[๓๐๐] ท่านทั้งหลาย ธรรมคือปาราชิก ๔ สิกขาบท
ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว ภิกษุ ต้องอาบัติปาราชิกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ย่อมไม่ได้สังวาสกับภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นปาราชิก ย่อมเป็นผู้หาสังวาสมิได้ในภายหลังเหมือนในกาลก่อน
ข้าพเจ้าขอถามท่านทั้งหลายในธรรม คือ ปาราชิก ๔ สิกขาบทนั้นว่า ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ในธรรม คือ ปาราชิก ๔ สิกขาบทนี้แล้วหรือ
ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สองว่า ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์
ในธรรม คือ ปาราชิก ๔ สิกขาบทนี้แล้วหรือ
ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สามว่า ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ในธรรม คือ ปาราชิก ๔ สิกขาบทนี้แล้วหรือ ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ในธรรม คือ
ปาราชิก ๔ สิกขาบทนี้แล้วเพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้นิ่ง
ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้แล.
ปาราชิกกัณฑ์ จบ
หัวข้อประจำเรื่อง ปาราชิก ๔ สิกขาบท คือ:-
เมถุนธรรม ๑ อทินนาทาน ๑ มนุสสวิคคหะ ๑ อุตตริมนุสสธรรม ๑ เป็นวัตถุแห่ง มูลเฉท หาความสงสัยมิได้ ดั่งนี้แล.
อรรถกถา ปาราชิกกัณฑ์ บทสรุปปาราชิก ๔ สิกขาบท
[บทสรุปปาราชิก]
คำว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมคือปาราชิก ๔ ข้าพเจ้ายกขึ้นสวดแล้วแล นี้เป็นคำแสดงถึงปาราชิกที่ยกขึ้นแสดงในปาราชิกกุทเทสนี้นั่นแล.
แต่ประมวลกันเข้าแล้ว พึงทราบปาราชิกทั้งหมดทีเดียวว่ามี ๒๔ อย่าง. ๒๔ อย่างคืออะไรบ้าง? คือที่มาในพระบาลี ๘ อย่างก่อน คือ ของพวกภิกษุ ๔ เฉพาะของพวกนางภิกษุณี ๔. อภัพบุคคล ๑๑ จำพวก.
บรรดาอภัพบุคคล ๑๑ จำพวกเหล่านั้น
บัณเฑาะก์ สัตว์ดิรัจฉานและอุภโตพยัญชนก ๓ จำพวก เป็นพวก อเหตุกปฏิสนธิ จัดเป็นพวกวัตถุวิบัติ. พวกวัตถุวิบัติเหล่านั้น ไม่ถูกห้ามสวรรค์ แต่ถูกห้ามมรรค.
จริงอยู่ บัณเฑาะก์เป็นต้นเหล่านั้นจัดเป็น อภัพบุคคลสำหรับการได้มรรค เพราะเป็นพวกวัตถุวิบัติ. ถึงการบรรพชา
สำหรับพวกเขา ก็ทรงห้ามไว้. เพราะฉะนั้น บัณเฑาะก์เป็นต้นแม้เหล่านั้นจึงจัดเป็นผู้พ่ายแพ้ (เป็นปาราชิก).
บุคคล ๘ จำพวกเหล่านี้ คือคนลักเพศ ภิกษุเข้ารีตเดียรถีย์ คนฆ่ามารดา คนฆ่าบิดา คนฆ่าพระอรหันต์ สามเณรผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี คนทำโลหิตุปบาท ภิกษุผู้ทำสังฆเภท ชื่อว่าถึงฐานะเป็นอภัพบุคคล เพราะเป็นผู้วิบัติด้วยการกระทำของตน เพราะฉะนั้นจึงจัดเป็นผู้พ่ายแพ้ด้วย.
บรรดาบุคคล ๘ จำพวกนั้น สำหรับบุคคล ๓ จำพวกเหล่านี้ คือ คนลักเพศ ภิกษุเข้ารีตเดียรถีย์ สามเณรผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี ไม่ถูกห้ามสวรรค์ แต่ถูกห้ามมรรคแท้. อีก ๕ จำพวกถูกห้ามแม้ทั้ง ๒ อย่าง. เพราะว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นจำพวกสัตว์ที่จะต้องเกิดในนรก ไม่มีระหว่าง.
อภัพบุคคล ๑๑ จำพวกเหล่านี้และบุคคลผู้เป็นปาราชิก ๘ ข้างต้นจึงรวมเป็น ๑๙ ด้วยประการฉะนี้.
แม้บุคคลเหล่านั้นรวมกับนางภิกษุณีผู้ยังความพอใจให้เกิดในเพศคฤหัสถ์ แล้วนุ่งห่มอย่างคฤหัสถ์จึงรวมเป็น ๒๐.
จริงอยู่ นางภิกษุณีนั้นถึงจะไม่ได้กระทำการล่วงละเมิดด้วยอัชฌาจาร ก็จัดว่า ไม่เป็นสมณีได้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้; เพราะเหตุนั้น ปาราชิกเหล่านี้ จึงมี ๒๐ ก่อน. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อนุโลมปาราชิก แม้อย่างอื่นยังมีอีก ๔ด้วยอำนาจภิกษุ ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ ภิกษุมีองค์กำเนิดยาว (ปรารถนาจะเสพเมถุนธรรม จึงสอดองค์กำเนิดเข้าไปทางวัจจมรรคของตน) ๑ ภิกษุมีหลังอ่อน (ปรารถนาจะเสพเมถุนธรรม ก้มลงอมองค์กำเนิดของตน) ๑ ภิกษุเอาปากอมองค์กำเนิดของผู้อื่น ๑ ภิกษุนั่งสวมองค์กำหนดของผู้อื่น ๑.
ก็เพราะเหตุที่ธรรมของคน ๒ คน ผู้เข้าถึงความเป็นเช่นเดียวกันด้วยอำนาจราคะตรัสเรียกว่า เมถุนธรรม; ฉะนั้น ปาราชิก ๔ เหล่านี้ ชื่อว่า ย่อมอนุโลมแก่เมถุนธรรมปาราชิก โดยปริยายนี้ เพราะภิกษุ ๔ จำพวกนั้น ถึงจะไม่ได้เสพเมถุนธรรมเลย ก็พึงต้องอาบัติได้ ด้วยอำนาจการยังมรรคให้เข้าไปทางมรรคอย่างเดียว; เพราะเหตุนั้นจึงเรียกว่า อนุโลมปาราชิก ฉะนี้แล.
พึงประมวลอนุโลมปาราชิก ๔ เหล่านี้และปาราชิก ๒๐ ประการข้างต้นเข้าด้วยกันแล้ว ทราบปาราชิกทั้งหมดทีเดียวว่ามี ๒๔ อย่าง ด้วยประการฉะนี้.
ข้อว่า น ลภติ ภิกฺขูหิ สทฺธึ สํวาสํ มีความว่า ย่อมไม่ได้สังวาสต่างโดยประเภท มีอุโบสถ ปวารณา ปาฏิโมกขุทเทสและสังฆกรรมกับด้วยภิกษุทั้งหลาย.
ข้อว่า ยถา ปุเร ตถา ปจฺฉา มีความว่า ในกาลก่อน คือในเวลาเป็นคฤหัสถ์และเวลาที่ยังมิได้อุปสมบท(ย่อมเป็นผู้ไม่มีสังวาส)ฉันใด,ภายหลังแม้ต้องปาราชิกแล้วก็เป็นผู้ไม่มีสังวาสฉันนั้นเหมือนกัน. สังวาสต่างโดยประเภทมีอุโบสถ ปวารณาปาฏิโมกขุทเทสและสังฆกรรมกับด้วยภิกษุทั้งหลายของภิกษุนั้น ไม่มี; เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมไม่ได้สังวาสกับด้วยภิกษุทั้งหลาย.
ข้อว่า ตตฺถายสฺมนฺเต ปุจฺฉามิ มีความว่า ข้าพเจ้าขอถามท่านทั้งหลายในปาราชิก ๔ เหล่านั้นว่า ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์แลหรือ?
บทว่า กจฺจิตฺถ ตัดบทว่า กจฺจิ เอตฺถ มีความว่า ในปาราชิก ๔ เหล่านี้
ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แลหรือ?
อีกประการหนึ่ง สองบทว่า กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา
มีความว่า ท่านทั้งหลายย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์แลหรือ?
บทที่เหลือทุกๆ แห่งมีเนื้อความตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
จตุตถปาราชิกวรรณนา ในอรรถกถาพระวินัย
ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ.
[อธิษฐานคาถาของท่านผู้รจนา]ขอพระสัทธรรม จงดำรงอยู่สิ้นกาลนานขอฝนจงตกต้องตามฤดูกาล ยังหมู่สัตว์ให้เอิบอิ่ม สิ้นกาลนาน ขอพระราชาจงปกครองแผ่นดิน โดยธรรมเทอญ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น