หน้าเว็บ

09 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๒ ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๙ เรื่องพระฉันนะ [ว่าด้วย การสร้างวิหารใหญ่] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

[๓๙๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาค พุทธเจ้าประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตพระนคร โกสัมพี.
 ครั้งนั้น มหาอำมาตย์อุปัฏฐากของท่านพระฉันนะสร้างวิหารถวายท่านพระฉันนะ. แต่ท่านพระฉันนะสั่งให้มุงให้โบกฉาบวิหารที่ทำสำเร็จแล้วบ่อยครั้ง. วิหารหนักเกินไป ได้ทะลายลงมา. จึงท่านพระฉันนะมัวสาละวนเก็บรวบรวมหญ้าและไม้ ได้ทำนาข้าวเหนียวของพราหมณ์คนหนึ่งให้เสียหาย. 
        พราหมณ์นั้นจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระคุณเจ้าทั้งหลายจึงได้ทำนาข้าวเหนียวของข้าพเจ้าให้เสียหาย? ภิกษุทั้งหลายได้ยินพราหมณ์นั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาผู้ที่มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระฉันนะจึงได้ให้มุงให้โบกฉาบวิหารที่สำเร็จแล้วบ่อยครั้งเล่า? วิหารหนักเกินไป ได้ทะลายลงมา. แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค-.
พระทรงสอบถาม   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระฉันนะว่า ดูกรฉันนะ ข่าวว่าเธอให้มุงให้โบกฉาบวิหารที่สำเร็จแล้วบ่อยครั้ง วิหารหนักเกินไปได้ทะลายลงมา จริงหรือ?
             ท่านพระฉันนะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระทรงติเตียน
           พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอจึงได้ให้มุงให้โบกฉาบวิหารที่ทำเสร็จแล้วบ่อยครั้งเล่า? วิหารหนักเกินไปก็ทะลายลง การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว-.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
        ๖๘. ๙. อนึ่ง ภิกษุผู้ให้ทำซึ่งวิหารใหญ่ จะวางเช็ดหน้าเพียงไรแต่กรอบแห่งประตู จะบริกรรมช่องหน้าต่าง พึงยืนในที่ปราศจากของสดเขียว อำนวยให้พอกได้ ๒-๓ ชั้น ถ้าเธออำนวยยิ่งกว่านั้น แม้ยืนในที่ปราศจากของสดเขียว ก็เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระฉันนะ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๓๙๘] วิหารที่ชื่อว่า ใหญ่ ท่านว่ามีเจ้าของ.
             ที่ชื่อว่า วิหาร ได้แก่ ตึกที่เขาโบกฉาบปูนไว้เฉพาะภายในก็ตาม ที่เขาโบกฉาบปูนไว้เฉพาะภายนอกก็ตาม หรือที่เขาโบกฉาบปูนไว้ทั้งภายในทั้งภายนอกก็ตาม.
             บทว่า ผู้ให้ทำ คือ สร้างเองก็ดี ให้ผู้อื่นสร้างก็ดี.
             บทว่า เพียงไรแต่กรอบแห่งประตู คือ ชั่วหัตถบาสโดยรอบแห่งบานประตู.
             บทว่า จะวางเช็ดหน้า คือ จะวางประตู.
             บทว่า จะบริกรรมช่องหน้าต่าง คือ จะบริกรรมหน้าต่างให้มีสีเขียว สีดำ สียางไม้ ลายดอกไม้ เถาวัลย์ ฟันมังกร ดอกจอก.
             คำว่า พึงยืนในที่ปราศจากของสดเขียว อำนวยให้พอกได้ ๒-๓ ชั้น ความว่า ที่ชื่อว่า ของสดเขียว ได้แก่ บุพพัณณชาติ อปรัณณชาติ.
ถ้าภิกษุยืนสั่งการอยู่ในที่มีของสดเขียว ต้องอาบัติทุกกฏ.
ให้มุงตามทางแถว พึงมุงเอง ๒ แถวๆ ที่ ๓ สั่งให้มุงแล้วพึงหลีกไป.
 ให้มุงเป็นชั้น พึงมุงเอง ๒ ชั้นๆ ที่ ๓ สั่งให้มุงแล้วพึงหลีกไป.
             [๓๙๙] คำว่า ถ้าเธออำนวยให้ยิ่งกว่านั้น แม้ยืนในที่ปราศจากของสดเขียว ความว่า มุงด้วยอิฐ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ แผ่นอิฐ.
             มุงด้วยแผ่นศิลา ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ แผ่นศิลา.             
      โบกฉาบด้วยปูนขาว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ ก้อนปูนขาว.
             มุงด้วยหญ้า ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ กำหญ้า.
             มุงด้วยใบไม้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ ใบไม้.
บทภาชนีย์ - ติกะปาจิตตีย์
             [๔๐๐] เกิน ๒-๓ ชั้น ภิกษุสำคัญว่าเกิน อำนวยการ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             เกิน ๒-๓ ชั้น ภิกษุสงสัย อำนวยการ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             เกิน ๒-๓ ชั้น ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ถึง อำนวยการ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ
    หย่อนกว่า ๒-๓ ชั้น ภิกษุสำคัญว่าเกิน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
    หย่อนกว่า ๒-๓ ชั้น ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.             
    หย่อนกว่า ๒-๓ ชั้น ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ถึง ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
             [๔๐๑] ภิกษุมุง ๒-๓ ชั้น ๑ ภิกษุมุงหย่อนกว่า ๒-๓ ชั้น ๑ ภิกษุสร้างถ้ำ ๑ คูหา ๑ กุฎีมุงหญ้า ๑ ภิกษุสร้างกุฎีเพื่อภิกษุอื่น ๑ ภิกษุสร้างด้วยทรัพย์ของตน ๑ ยกอาคารอันเป็นที่อยู่เสีย ภิกษุสร้างทุกอย่างไม่ต้องอาบัติ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ ภูตคามวรรคที่ ๒
 สิกขาบทที่ ๙         เสนาสนวรรค มหัลลกวิหาร
         พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :- 
 [แก้อรรถปาฐะ เรื่องกรอบประตูหน้าต่าง] 
                 โอกาสขนาดเท่าความกว้างของบานประตู โดยรอบแห่งบานประตู ชื่อว่าทวารโกส (กรอบแห่งประตู) ในคำว่า ยาว ทฺวารโกสา นี้. แต่ในมหาปัจจรีท่านกล่าวไว้ว่า หนึ่งศอกคืบ วัดจากบานประตู. ในกุรุนทีกล่าวว่า ขนาดเท่าบานประตูในข้างทั้งสอง ด้านแห่งประตู. ในมหาอรรถกถาท่านกล่าวว่า ชื่อว่าบานประตู มีขนาดศอกคืบก็มี ๒ ศอกก็มี ๒ ศอกคืบก็มี. คำในมหาอรรถกถานั้นท่านกล่าวดีแล้ว. 
                 จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาอรรถนั้นนั่นแล จึงทรงทำการกำหนดอย่างสูงไว้ ดังนี้ว่า ชั่วหัตถบาส โดยรอบแห่งบานประตู. 
                 บทว่า อคฺคลฏฺฐปนาย มีความว่า เพื่อจะวางทวารพันธ์ (กรอบประตู) พร้อมทั้งบาน. 
                 อธิบายว่า เพื่อต้องการความไม่เคลื่อนที่แห่งกรอบประตูพร้อมทั้งบานประตู. จริงอยู่ แม้บทภาชนะว่า ทฺวารฏฺฐปนาย นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสหมายเอาอรรถนี้นั่นแล. 
                 ก็ในคำนี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ :- 
                ก็บานประตูหมุนคล่องย่อมกระทบฝาในเวลาเปิด, ย่อมกระทบกรอบประตูในเวลาปิด, ฝาย่อมกระเทือนด้วยการกระทบนั้น, เพราะฝากระเทือนนั้น ดินย่อมคลอน ครั้นคลอนแล้วย่อมหย่อนหรือหลุดลง. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ยาว ทฺวารโกสา อคฺคลฏฺฐปนาย ดังนี้. 
                 บัณฑิตพึงเห็นใจความในคำนั้นอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสไว้ในมาติกา ไม่ได้ตรัสไว้ในบทภาชนะเลยว่า กิจชื่อนี้ ควรกระทำ แม้ก็จริง, ถึงกระนั้นเพื่อจะวางเช็ดหน้าเพียงไรแต่กรอบแห่งประตู ก็พึงฉาบเอง หรือพึงให้ฉาบบ่อยๆ โดยอำนวยการตามในอัตถุปปัตติเหตุว่า ภิกษุให้ฉาบบ่อยๆ ให้โบกบ่อยๆ ดังนี้. 
                 ส่วนในคำที่ตรัสไว้ในบทภาชนะว่า ปิฏฺฐิสงฺฆาฏสฺส สมนฺตา หตฺถปาสา พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- 
                 วิหารใดมีประตูอยู่ตรงกลาง และมีฝาสูงอยู่ส่วนบน, หัตถบาสโดยรอบใน ๓ ทิศ เป็นอุปจารแห่งวิหารนั้น. สำหรับวิหารเล็ก มีอุปจารใน ๒ ทิศ. แม้ในวิหารเล็กนั้น บานประตูที่เปิดออก ย่อมกระทบฝาใด, แม้ฝานั้น ก็ยังจัดเป็นอุปจารไม่ได้ครบถ้วน. 
             แต่โดยกำหนดอย่างสูง ทรงอนุญาตหัตถบาสโดยรอบใน ๓ ทิศ (และ) ทรงอนุญาตการโบกฉาบ เพื่อต้องการทำประตูให้แน่น. แต่ถ้าว่า มีโอกาสที่ควรฉาบแม้ในส่วนเบื้องบนแห่งประตู, จะฉาบโอกาสแม้นั้นก็ควร. 
                 ในคำว่า อาโลกสนฺธิปริกมฺมาย นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกบานหน้าต่างว่า อาโลกสันธิ. ในคำนี้มีอธิบายดังนี้ว่า บานหน้าต่างเหล่านั้นในเวลาเปิด จะกระทบส่วนของฝาประมาณคืบหนึ่งบ้าง เกินกว่าบ้าง. 
                ก็ในคำว่า อโลกสันธิ นี้ย่อมได้อุปจารในทิศทั้งปวง เพราะเหตุนั้น โอกาสประมาณเท่าความกว้างแห่งบานหน้าต่างในทิศทั้งปวง. ภิกษุพึงฉาบเองหรือพึงให้ฉาบ เพื่อประโยชน์แก่การบริกรรมบานหน้าต่าง. 
                คำว่า เสตวณฺณํ เป็นต้น ไม่ใช่เป็นการแจกบทมาติกา. 
                 จริงอยู่ ชื่อว่าวิหารจะเป็นของหนักด้วยสีขาวเป็นต้นนี้ หามิได้ เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงอนุญาต (สีขาวเป็นต้น) ไว้ในบทภาชนะนั่นแล. เพราะเหตุนั้น ภิกษุพึงทำกิจทุกอย่างมีการฉาบปูนขาวเป็นต้นนี้ตามสบาย.
 [ว่าด้วยการอำนวยให้การพอกบนหลังคา] 
                เพื่อทรงแสดงกรรม คือการฉาบอันภิกษุพึงทำอย่างนี้แล้ว แสดงกรรมที่ภิกษุพึงทำบนหลังคาอีก พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ทฺวิตฺติจฺฉทนสฺส เป็นต้น. พึงทราบวินิจฉัยในคำนั้นดังนี้ :- 
                 คำว่า ทฺวิตฺติจฺฉทนสฺส ปริยายํ คือ (อำนวยให้) การพอกหลังคาได้ ๒-๓ ชั้น. การพอกเรียกว่า ปริยาย. อธิบายว่า พึงอำนวยให้พอกได้ ๒ ครั้ง หรือพอกได้ ๓ ครั้ง. 
                 สองบทว่า อปหริเต ฐิเตน คือ ยืนอยู่ในที่ปราศจากของสดเขียว. 
                 ก็ในคำว่า หริตํ นี้ ทรงประสงค์เอาบุพพัณชาติต่างโดยเป็นข้าวเปลือก ๗ ชนิด และอปรัณชาติต่างโดยเป็นถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา ถั่วพู น้ำเต้าและฟักเขียวเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้นแล พระองค์จึงตรัสว่า ที่ชื่อว่า ของสดเขียว ได้แก่ บุพพัณชาติ อปรัณชาติ. 
                 ก็ในคำว่า สเจ หริเต ฐิโต อธิฏฺฐาติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- 
                 พืชที่เขาหว่านในนาแม้ใด ชั้นแรกยังไม่สำเร็จ (ยังไม่งอก) ก็หรือว่า เมื่อฝนตกแล้ว จักสำเร็จ (จักงอก), พืชแม้นี้ ก็ถึงการนับว่าของสดเขียวเหมือนกัน. เพราะฉะนั้น ภิกษุยืนอยู่ แม้ในนาเห็นปานนั้น ก็ไม่อำนวยการ. พึงยืนอำนวยการในที่ปราศจากของสดเขียวเท่านั้น.
       ในเรื่องอำนวยการปราศจากของสดเขียวในนาที่หว่านพืชแล้ว แม้นั้นมีกำหนดดังต่อไปนี้คือ ภิกษุนั่งอยู่ที่ข้างอกไก่ก็ดี ช่อฟ้าเรือนยอดก็ดี ยอดโดมข้างบนก็ดี มองดูทางริมขอบเชิงชายแห่งหลังคาเห็นคนผู้ยืนอยู่บนภูมิภาคใด, และคนยืนอยู่ที่ภูมิภาคใด 
               ย่อมเห็นภิกษุนั้นผู้นั่งอยู่ข้างบน, พึงยืนอยู่ที่ภูมิภาคนั้น, ย่อมไม่ได้เพื่อจะยืนอำนวยการในที่แม้เป็นที่ปราศจากของสดเขียว ภายในแห่งภูมิภาคนั้นเข้ามา เพราะเหตุไร? เพราะว่าภูมิภาคนี้ เป็นโอกาสที่จะพังลงมาแห่งวิหารเมื่อจะพัง. 
                การมุงตรงๆ ไปไม่อ้อม ชื่อว่า การมุงตามทางแถว ในคำว่า มคฺเคน ฉาเทนฺตสฺส นี้. การมุงตามทางแถวนั้น ย่อมมีได้ด้วยอิฐ ศิลาและปูนขาว. 
                 คำว่า เทฺว มคฺเค อธิฏฺฐหิตฺวา มีความว่า ทางแถว ๒ แถว ถ้ามุงไม่ดี, ย่อมได้แม้เพื่อจะรื้อออกเสียแล้วให้มุงบ่อยๆ. เพราะฉะนั้น พึงมุงเอง ๒ แถว อย่างที่ตนต้องการ แล้วแถวที่ ๓ พึงสั่งว่า ต่อไปนี้ จงมุงอย่างนี้ แล้วหลีกไป. 
                 บทว่า ปริยาเยน แปลว่า ด้วยการพอกเป็นชั้นๆ (การมุงเป็นชั้นๆ). 
                 ก็การมุงอย่างนี้ ย่อมได้ด้วยหญ้าและใบไม้. เพราะเหตุนั้น ในการมุงแม้นี้ ภิกษุพึงมุงเอง ๒ ชั้น อย่างที่ตนต้องการแล้ว ชั้นที่ ๓ พึงสั่งว่า ทีนี้ จงมุงอย่างนี้ แล้วหลีกไป ก็ถ้าว่า ไม่หลีกไป พึงยืนนิ่งเสีย. ก็การมุงทั้งหมดนี้ พึงทราบว่า ในเบื้องบนหลังคา. ภิกษุทั้งหลายเข้าใจว่า ก็วิหารที่มุงเป็นชั้นๆ ฝนจะไม่รั่วได้นาน จึงมุงอย่างนี้. 
                 คำว่า ตโต เจ อุตฺตรึ มีความว่า เลย ๓ แถว หรือ ๓ ชั้นขึ้นไป คือในแถวที่ ๔ หรือในชั้นที่ ๔. 
                   คำว่า กรเฬ คือ ในกำหญ้าทุกๆ กำ. 
                   บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ตื้นทั้งนั้นแล. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล. 
 มหัลลกวิหารสิกขาบทที่ ๙ จบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น