ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย
The History of Buddhism in India
พุทธศาสนายุคมุสลิมยึดครอง พ.ศ. ๑๗๐๐-๒๒๐๐
(Buddhism in Muslim ruler's time B.E. 1700-2200)
หลังจากราชศ์ปาละได้เสื่อมสลายลงแล้ว ลุ่ม #แม่น้ำคงคา ตอนกลางก็ตกอยู่ภายใต้ปกครองของกษัตริย์ราชวงค์เสนะ ซึ่งก่อตั้งโดยพระเจ้าลาวะเสนะ (Lavasena) กษัตริย์ราชวงศ์นี้ส่วนมากนับถือ
เครดิต วีดีโอ : |
การกัลปนาที่ดินและข้าพระโยมสงฆ์นั้น น่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญของการปกครองบ้านเมืองในขณะนั้น ยามที่บ้านเมืองระส่ำระสาย อำนาจบารมีของพระมหากษัตริย์ไม่สามารถแผ่ลงไปทั่วแผ่นดินได้ การอาศัยพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องค้ำจุนความมั่นคงย่อมเป็นไปได้ง่ายกว่าด้วยความใกล้ชิด
โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณภาคใต้ของไทยตั้งแต่พัทลุง สงขลา ปัตตานี เลยไปถึงไทรบุรีในประเทศมาเลเซีย หลวงปู่ทวดถือว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ในตำนานที่มีผู้ศรัทธา
จำนวนมากรูปสำคัญหนึ่งในสองรูปของเมืองไทยคู่กับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) หรือหลวงปู่โตที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์
เรื่องของหลวงพ่อทวดสามารถแยกได้เป็นสองเรื่องราว คือ เรื่องราวตามประวัติศาสตร์
ซึ่งปรากฏนามว่า “สมเด็จเจ้าพะโคะ” จากเอกสารท้องถิ่น และเรื่องราวตามตำนานซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด”
เรื่องสมเด็จเจ้าพะโคะนั้น ปรากฏอยู่ในคำบอกเล่าสืบต่อกันมาของท้องถิ่นต่างๆ แล้วบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร รวบรวมไว้ใน “พระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนา” ที่พระมหากษัตริย์ทรงพระราชูทิศพระราชทานที่ดินไร่นาอันเป็นของหลวงให้แก่พระสงฆ์แห่งพุทธศาสนา
ใช้บำรุงรักษาวัดวาอาราม รวมทั้งผู้คนชายหญิงซึ่งเรียกว่าถวายข้าพระโยมสงฆ์ให้แก่วัด(ตำราประชุมพระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนาสมัยอยุธยาภาค๑ จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๑๐)
เขาพะโคะเดิมชื่อ “เขาภีพัชสิง” หรือ “พิเพชรสิง”คำว่า “เขาพะโคะ”
สันนิษฐานว่าเป็นเสียงเพี้ยนมาจากพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่เรียกว่า “พระโคตมะ” บริเวณโดยรอบเป็นแหล่งชุมชนโบราณมาตั้งแต่อดีต เป็นบริเวณที่มีความเจริญรุ่งเรืองจากการทำการค้า ทำให้บ้านเมืองแถบนี้ถูกโจมตีจากโจรสลัดมลายูบ่อยครั้ง วัดพะโคะกลายเป็นเมืองถูกปล้นและเผาบ้านเมืองครั้งใหญ่ โดยบันทึกไว้ว่า ราวปลายสมัยสมเด็จพระนเรศวรบ้านเมืองระส่ำระสายไม่สามารถฟื้นตัวได้
โดยเจ้าอาวาสวัดพะโคะซึ่งเคยอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาและน่าจะเป็นพระสงฆ์ผู้มีบารมีพอสมควรในฐานะพระผู้ใหญ่ จึงขอพระราชทานการบูรณะวัดครั้งสำคัญในสมัยของพระเอกาทศรถ เมื่อ พ.ศ. ๒๑๕๓
พระมหากษัตริย์ที่กรุงศรีอยุธยาโดยพระราชทานพระบรมราชูทิศกัลปนาวัดต่างๆ ตั้งแต่บริเวณปากทะเลสาบสงขลาที่หัวเขาแดงจนถึงเขาพังไกร
ทั้งหมดราว ๖๓ วัด ขึ้นกับวัด หลังจากนั้นอีกราวสิบกว่าปีต่อมา โจรสลัดจากปลายแหลมมลายูก็เข้าปล้นบ้านเมืองอีกครั้ง ต่อจากนั้นก็ไม่ปรากฏเรื่องสมเด็จเจ้าพะโคะในเอกสารอื่นใดอีกเลย
อย่างไรก็ตาม วัดพะโคะ มีการบูรณะขึ้นใหม่และมีชื่อแบบเมืองหลวงว่า วัดราชประดิษฐาน อีกทั้งมีการขอกัลปนาไร่นาข้าพระขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง พบเอกสารที่ถูกรวบรวมไว้ที่หอสมุดวชิรญาณอีกเช่นกัน

ของวัดวาอาราม อันแสดงถึงความมั่นคงทางศาสนาและชุมชนที่เป็นอิสระจากรัฐท้องถิ่นและส่วนกลางมากพอที่จะมีอิสระในการทะนุบำรุงชุมชนหมู่บ้านและวัดของพวกตนให้รุ่งเรือง ดังภาพจิตรกรรมเพื่อการกัลปนานั้นแสดงไว้

ระหว่างพระศาสนากับบรรดาผู้คนในท้องถิ่น การยกศาสนสถานเป็นศูนย์รวมจิตใจให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่ทำให้สร้างความสามัคคีได้ไม่ยากลำบากนัก
สมเด็จเจ้าพะโคะกลายเป็นผู้นำทางศาสนาที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายให้ความเคารพนับถือ กลายเป็นผู้นำท้องถิ่นที่มีบทบาทอำนาจเหนือบรรดาขุนนาง อำมาตย์ และวัดพะโคะกลายเป็นปราการสำคัญที่คอยต้านอำนาจของศาสนาอิสลาม และป้องกันการโจมตีของโจรสลัดซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างความมั่นคงให้ราชอาณาจักร
ในอีกแง่มุมหนึ่งตามตำนานของหลวงพ่อทวดที่สืบทอดกันมาในท้องถิ่นแถบสทิงพระ ชีวประวัติที่เต็มไปด้วยอภินิหาร เล่ากันว่า “หลวงพ่อทวด” เกิดในราว พ.ศ. ๒๑๒๕ ณ บ้านสวนจันทร์ เมืองสทิงพระ มีชื่อว่า “ปู่” หรือ “ปู” บิดาคือ ตาหู มารดาคือ นางจันทร์ ปลูกบ้านอาศัยที่ดินเศรษฐีผู้หนึ่งไว้ชื่อ ปาน
ตาหูและนางจันทร์เป็นคนในอุปภัมถ์ของเศรษฐีปาน ระหว่างที่พ่อแม่กำลังเกี่ยวข้าวอยู่ได้ผูกเปลให้ลูกนอน นางจันทร์ก็เห็น “งูใหญ่” มาพันที่เปลลูกแล้วชูคอแผ่แม่เบี้ย นายหูและนางจันทร์พนมมือบอกเจ้าที่เจ้าทาง ขออย่าให้ลูกน้อยได้รับอันตราย ด้วยอำนาจบารมีของเด็กน้อย งูใหญ่จึงคลายลำตัวออกจากเปลเลื้อยหายไป
ปรากฏว่าเด็กชายปู่ยังคงนอนหลับสบายเป็นปกติ และมีลูกแก้วกลมส่องเป็นประกายอยู่ข้างตัว ตาหูนางจันทร์มีความเชื่อว่า เทวดาแปลงกายเป็นงูใหญ่นำดวงแก้ววิเศษมามอบให้กับลูกของตน นับแต่นั้นมาฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเด็กชายปู่เติบโตได้ไปศึกษาวิชาความรู้กับสมภารจวง และไปอุปสมบทที่สำนักพระครูกาเดิม วันหนึ่งในขณะที่เดินทางไปกรุงศรีอยุธยาโดยเรือสำเภา ท้องทะเลฟ้าวิปริตเกิดพายุ ทอดสมออยู่หลายวันจนน้ำจืดหมด เจ้าของเรือจึงไล่
พระภิกษุปู่ลงเรือเล็กส่งฝั่งหมาย ระหว่างที่ภิกษุปู่นั่งในเรือเล็กได้หย่อนเท้าลงในน้ำทะเลและบอกให้ตักชิมดู ปรากฏเป็นน้ำจืดอย่างน่าอัศจรรย์
ภิกษุปู่ได้เดินทางออกธุดงค์ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จนมาถึงวัดพะโคะที่มีความทรุดโทรมมาก จึงได้เดินทางไปกรุงศรีอยุธยาเพื่อขอพระราชทาน
พระกัลปนา นายช่างหลวงจึงบรรทุกศิลาแลงลงเรือสำเภามาบูรณะซ่อมแซมวัดพะโคะ และได้รับพระราชทานที่ดินนาถวายเป็นกัลปนาขึ้นแก่วัดพัทสิงห์บรรพตพะโคะ ในตำนานกล่าวว่าท่านหายไปจากวัดพะโคะ
ส่วนอีกตำนานหนึ่งซึ่งชาวพุทธในจังหวัดปัตตานีเชื่อว่าหลวงปู่ทวดคือพระรูปเดียวกับตำนานพระสงฆ์ที่เดินทางจาริกแสวงบุญเผยแผ่ศาสนาแถบอำเภอหนองจิกไปจนถึงไทรบุรี
คนทั่วไปเรียกว่า ท่านลังกา จนเมื่อมรณภาพที่เมืองไทรบุรี เส้นทางที่นำศพท่านกลับมาที่วัดช้างให้ ชาวบ้านยังจดจำระลึกถึงสถานที่ต่างๆ ที่ท่านลังกาเดินทางผ่าน และต่อมาในราว พ.ศ. ๒๔๙๗ ทางวัดช้างให้จัดสร้างพระเครื่องหลวงปู่ทวดเป็นวัตถุมงคลจนมีชื่อเสียง
โดยเขียนตำนานท่านลังกาองค์ดำคือหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดองค์เดียวกับสมเด็จเจ้าพะโคะที่วัดพะโคะ จึงกลายเป็นที่รู้จักว่าในนาม “หลวงปู่ทวด วัดช้างให้”และผู้คนก็ลืมเลือนหรือไม่รู้จักสมเด็จเจ้าพะโคะในตำนานท้องถิ่นของชาวสทิงพระคาบสมุทรสงขลาไป
![]() |
ไข่มุกข้อมูลรูปภาพ : dreamful geologist และรูปภาพจากเฟซบุ๊กๆจากเฟซบุ๊ก : วัดต้นเลียบ - ที่ฝังรกและกำเนิดหลวงปู่ทวด |
การผนวกกันระหว่างบันทึกทางประวัติศาสตร์กับตำนาน ทำให้เรื่องของหลวงพ่อทวดยังเป็นที่เล่าต่อมาจนปัจจุบัน สถานที่ที่ปรากฏในตำนานและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อทวดถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี เช่น ต้นเลียบขนาดใหญ่ที่เชื่อกันว่าฝังรกของหลวงปู่ทวดไว้ ที่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
ถือเป็นตัวแทนของหลวงปู่ทวด มีการสร้างศาลาตาหู-ยายจันทร์ โยมบิดามารดาของหลวงปู่ทวดไว้ในบริเวณใกล้เคียงกัน สถูปสมภารจวง พระอาจารย์องค์แรกของหลวงปู่ทวด
ที่วัดดีหลวง เป็นต้นสถานที่เหล่านี้ทำให้ตำนานของหลวงพ่อทวดยังคงโลดแล่นในความทรงจำ
เรื่องราวเหล่านี้ทำให้สถานะของสมเด็จเจ้าพะโคะ หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด นอกจากจะเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้มีคุณูปการต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นผู้มีบทบาทนำในการปกป้องประชาชนจากการปล้นของโจรสลัดมลายูแล้ว ยังเป็นผู้นำ
ทางวัฒนธรรมที่ส่งผ่านมาสู่ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้เรื่องราวในท้องถิ่น มีสิ่งยึดเหนี่ยวร่วมกัน ที่ทำให้ท้องถิ่นมีความเป็นหนึ่งเดียว ดังเห็นได้จากครั้งเมื่อน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้
ใน พ.ศ. ๒๕๕๓ ผู้คนบริเวณใกล้เคียงต่างพากันละทิ้งบ้านเรือนขึ้นไปวัดพะโคะ บ้างร้องไห้ บ้างโศกเศร้า กราบไหว้ขอให้บารมีของสมเด็จเจ้าพะโคะคุ้มครองท่ามกลางความสิ้นหวัง
แผนที่ภาพกัลปนาวัดพะโคะ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เป็นสมุดไทยขาวเขียนด้วยเส้นหมึก เนื้อหาเฉพาะส่วนที่เป็นแผนที่ภาพนับรวมได้ ๗๖หน้า เขียนด้วยอักษรไทยย่อซึ่งนิยมแพร่หลายในราวสมัยปลายอยุธยา ระบุได้ว่าเขียนขึ้นภายหลัง พ.ศ. ๒๒๒๓ แต่ก่อน พ.ศ. ๒๒๔๒ ศาสนาฮินดู แต่ก็ทรงอุปถมภ์พุทธศาสนาอยู่บ้าง ในตอนปลายราชวงค์นี้อาณาจักรมคธ และอินเดียส่วนเหนือกลางทั้งหมดต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองกองทัพมุสลิม
๑.การทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา (Nalanda demolition) ซากมหาวิทยาลัยนาลันทา แคว้นมคธ
ในขณะที่ ลัทธิพุทธตันตระ กำลังได้รับการปฏิบัติอย่างแพร่หลายในอินเดียทางทิศเหนือ กลาง และทิศตะวันออกในหมู่ชนชั้นต่ำพุทธศาสนาดั้งเดิมก็ถึงแก่ความเสื่อม เกิดสัทธรรมปฎิรูปผสมผสานกันเข้าจนหาความบริสุทธิ์ได้น้อย ต่อมากษัตริย์มุสลิมก็เริ่มเคลื่อนกองทัพอันเกรียงไกรเข้ายึดอินเดียทางทิศเหนือไว้ได้ในครอบครอง
โดยเด็ดขาด
พ.ศ.๑๗๓๗ กองทัพมุสลิมนำโดยโมฮัมหมัด โฆรี (Muhammad Ghori) กลับมาเพื่อแก้แค้นพระเจ้าปฤฐวีราช (Prithaviraj) อีกครั้งพร้อมกองทหาร ๑๒๐,๐๐๐ คน ยกทัพจากอัฟกานิสถาน ก็พิชิตกองทัพอินเดียได้ ณ ทุ่งปาณิพัตร ใกล้กรุงนิวเดลลี แต่คราวนี้พระเจ้าปฤฐวีราชแพ้ราบคาบและสิ้นพระชนม์ในสนามรบ พระมเหสีทราบข่าวก็กระโดดเข้ากองไฟ
พร้อมข้าราชบริพารจนกลายเป็นประเพณีสตรีสืบต่อมา พระเจ้าชายาจันทราทรงทราบและเตรียมรบ สุดท้ายก็พ่ายแพ้สิ้นพระชนม์ในสนามรบเช่นกัน
พ.ศ.๑๗๔๐ โมหัมหมัด โฆรี ก็ได้แต่งตั้ง กุดบัดดิน ไอบัค (Qutbuddin Aibak) นายพลของเขาดูแลกรุงอินทรปัตถ์ (เดลลี) และส่วนอื่น ๆ ของอินเดียที่ยึดได้ และไอบัคก็ได้ขยายจักรวรรดิออกไปเรื่อย ๆ รัฐคุชรตและรัฐอื่น ๆ ในอินเดียตอนกลางก็ถูกผนวกเข้ามาในสมัยนี้ ต่อมาพวกเขาก็เดินทัพไปสู่รัฐพิหาร มีชัยชนะเหนือพระเจ้าลวังเสนา กษัตริย์แห่งเบงกอล จึงเป็นการเปิดทางอย่างสะดวกให้ #กองทัพมุสลิมรุกเข้าอินเดียเหมือนเขื่อนแตก
ได้ทำลายวัดวาอารามและสถานที่สำคัญของพุทธศาสนา ของฮินดูและเชน ฆ่าพระภิกษุสามเณรตายหลายหมื่นรูป
ต่อมา พ.ศ.๑๗๖๖ อิคเทียขิลจิลูกชายภักเทียขิลจิ แม่ทัพมุสลิมอีกคนก็เข้าทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยนั้นอย่างราบเรียบ มหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ได้กลายเป็นสุสานของพระภิกษุสามเณร ดังบันทึกของท่านตารนาถชาวธิเบต ได้บันทึกไว้ว่า
"กองทัพเติร์กมุสลิม หลังจากที่รุกรบจนชนะแล้วได้ปกครองชมพูทวีปส่วนเหนือและแคว้นมคธแล้ว ต่อจากนั้นก็เริ่มทำลายวัดวาอารามปูชนียสถานเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมาย ต่อมา พ.ศ. ๑๗๖๖ กองทัพมุสลิมนำโดยอิคเทีย ขิลจิ พร้อมด้วยทหารม้า ๒๐๐ คน ก็ได้ยกทัพมาทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา"
พระภิกษุสงฆ์จำนวนมากถูกฆ่า และบางส่วนก็หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศใกล้เคียง ซึ่งโดยมากได้ไปอาศัยอยู่ที่เนปาลและธิเบต ในขณะที่กองทัพมุสลิมยกทัพเข้ามา ๓๐๐ คน ท่านธรรมสวามิน พระธิเบตและท่านราหุลศรีภัทร ไม่ขอหนีแต่จะขอตายที่นาลันทา แต่ต่อมาทั้งสองจึงได้ไปหลบหนีึซ่อนตัวอยู่ที่วัดชญาณนาถ
ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า รุกขมินิสสถาน ซึ่งห่างจากมหาวิทยาลัยนาลันทา ๓ กิโลเมตร เมื่อพวกเติร์กมุสลิมกลับไปแล้ว ได้มีผู้ออกมาเพื่อบูรณะนาลันทาขึ้นมาดั่งเดิม โดย มีท่านมุทิตาภัทร
(Muditabhadra) ได้จัดแจงซ่อมแซมขึ้นใหม่ ต่อมาเสนาบดีแคว้นมคธ นามว่า กุกฏะสิทธิ ได้บริจากทรัพย์สร้างวัดขึ้นอีก ภายในบริเวณนาลันทานั้นเอง นาลันทาทำทีจะฟื้นอีกครั้ง
แต่ต่อมามีพราหมณ์ ๒ คนได้มาถึงบริเวณนั้นจะยึดเอาเป็นที่ประกอบพิธีบูชายัญ ด้วยความคะนองสามเณรจึงหยิบภาชนะตักน้ำล้างเท้าสาดพราหมณ์ทั้งสอง พวกเขาโกรธมาก เวลาเลยผ่านไปสิบปีจึงมาเผาซ้ำ ห้องสมุดรัตโนทธิที่เหลือเป็นหลังสุดท้ายก็ถูกทำลายลงหมดหนทางจะเยียวยา จึงถูกปล่อยรกร้างจมดินเป็นเวลา ๖๒๔ ปี
พ.ศ.๒๔๐๓ ท่านเซอร์คันนี่งแฮมจึงได้ขุดค้นเจอซากของมหาวิทยาลัยตามคำบอกที่พระถังซำจั๋งเขียนไว้ในหนังสือของท่าน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพุทธศาสนาก็ได้เสื่อมและหมดไปจากอินเดียตอนเหนือ และตอนกลาง โดยไม่มีอะไรเหลือให้ปรากฏ นอกจากซากปรักหักพังของสถานที่สำคัญ ของ #พุทธศาสนา และ
พระพุทธรูปที่ถูกทำลายเป็นส่วนมาก และสิ่งเหล่านี้ก็ได้ถูกทอดทิ้งลบเลือนหายไปจากความทรงจำของชาวอินเดียมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๘๐๐ ปี จึงไม่เป็นการแปลกเลยว่า เพราะเหตุใดชาวอินเดียทุกวันนี้ จึงไม่รู้จักพุทธศาสนา ส่วน ศาสนาฮินดู และ #ศาสนาเชน นั้นก็ถูกทำลายเช่นกันแต่ไม่ค่อยจะรุนแรงเท่าไรนัก เพราะพระและนักบวชฮินดูมีหลายลัทธิหลายนิกาย บางนิกายไม่ค่อยจะมี
ความผิดแปลกแตกต่างจากฆราวาสเท่าไรนัก เพราะแต่งตัวเหมือนฆราวาสและมีครอบครัวได้อาศัยอยู่ตามบ้านเรือน พวกมุสลิมก็รู้ไม่ได้ว่าเป็นพระหรือเป็นฆราวาส ส่วนพระของพุทธศาสนานั้นแปลกจากพระในศาสนาอื่น ๆ การแต่งตัวรู้ได้ง่ายอยู่ที่ไหนก็รู้ได้ง่าย มุสลิมได้เบียดเบียนบังคับให้สึก ถ้าไม่สึกก็ฆ่าเสียเมื่อเป็นเช่นนี้
พระในพุทธศาสนาอยู่ไม่ได้ เมื่อไม่มีพระสงฆ์พุทธศาสนาก็หมดไปโดยปริยาย อีกอย่างหนึ่งผู้ที่นับถือพุทธนั้น โดยมากเป็นคนชั้นสูงเมื่อคนชั้นสูงหมดอำนาจ ศาสนาพุทธก็หมดไปด้วย ไม่เหมือนกับศาสนาฮินดูซึ่งผู้นับถือส่วนมากเป็นสามัญชนและศาสนาอยู่ได้ก็เพราะชนพวกนี้
พ.ศ. ๑๗๔๕ โมหัมหมัด โฆรีก็เสียชีวิตลง ไอบักจึงสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์ (สุลต่าน) แห่งเดลลี พวกเติร์ก หรือตุรกีจึงปกครองอินเดียสืบมา แม้จะเปลี่ยนผู้ปกครองและเชื้อสายบ้างแต่สุลต่านทั้งหมดก็เป็นมุสลิม พวกเขาปกครองอินเดียมายาวนานมากกว่า ๖๐๐ ปี เมื่อไอบัคเสียชีวิตลง บังลังก์ที่เดลลีก็ถูกยึดครอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น