หน้าเว็บ

05 ธันวาคม 2567

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ จีวรขันธกะ พระนอนหลับลืมสติ เป็นต้น นอนหลับลืมสติ มีโทษ ๕ ประการ

Google Workspace logo
 ทำบุญ [๑๕๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายฉันโภชนาหารอันประณีตแล้วนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิเคลื่อนเพราะความฝันเสนาสนะเปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคมีท่านพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ เสด็จพระพุทธดำเนินไปตามเสนาสนะ ได้ทอดพระเนตรเห็น
เสนาสนะเปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ ครั้นแล้ว รับสั่งถามท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ เสนาสนะนั่นเปรอะเปื้อนอะไร?
   อา. พระพุทธเจ้าข้า เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายฉันโภชนาหารอันประณีตแล้วนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิเคลื่อนเพราะความฝัน เสนาสนะนี้นั้นจึงเปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ พระพุทธเจ้าข้า.
   ภ. ข้อที่กล่าวมานั่นย่อมเป็นอย่างนั้น อานนท์ ข้อที่กล่าวมานั่นย่อมเป็นอย่างนั้นอานนท์ ความจริง เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิจึงเคลื่อนเพราะความฝัน ภิกษุเหล่าใดนอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัว น้ำอสุจิของภิกษุเหล่านั้นไม่เคลื่อน อนึ่งน้ำอสุจิของภิกษุปุถุชน ผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม
   ก็ไม่เคลื่อน ข้อที่น้ำอสุจิของพระอรหันต์จะพึงเคลื่อนนั้นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส.
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันนี้เรามีอานนท์เป็นปัจฉาสมณะเที่ยวเดินไปตามเสนาสนะ ได้เห็นเสนาสนะเปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ จึงได้ถามอานนท์ว่า เสนาสนะนั่นเปรอะเปื้อนอะไร อานนท์ชี้แจงว่า พระพุทธเจ้า
ข้า เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายฉันโภชนาหารอันประณีตแล้ว นอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับลืมสติไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิเคลื่อนเพราะความฝัน เสนาสนะนี้นั้นจึงได้เปรอะเปื้อนน้ำอสุจิ เราได้กล่าวรับรองว่า ข้อที่กล่าวมานั่นย่อมเป็นอย่างนั้น อานนท์ ข้อที่กล่าวมานั้นย่อมเป็นอย่างนั้น อานนท์ ความจริง
   เมื่อภิกษุเหล่านั้นนอนหลับลืมสติ ไม่รู้สึกตัว น้ำอสุจิจึงเคลื่อนเพราะความฝัน ภิกษุเหล่าใดนอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัว น้ำอสุจิของภิกษุเหล่านั้นไม่เคลื่อน อนึ่ง น้ำอสุจิของภิกษุปุถุชนผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม ก็ไม่เคลื่อน ข้อที่น้ำอสุจิของพระอรหันต์จะพึงเคลื่อนนั้น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส.
&@นอนหลับลืมสติ มีโทษ ๕ ประการ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่นอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว มีโทษ ๕ ประการ นี้คือ หลับเป็นทุกข์ ๑ ตื่นเป็นทุกข์ ๑ เห็นความฝันอันลามก ๑ เทพดาไม่รักษา ๑ อสุจิเคลื่อน ๑
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่นอนหลับ ลืมสติ ไม่รู้สึกตัว มีโทษ ๕ ประการนี้แล.
&@นอนหลับคุมสติ มีคุณ ๕ ประการ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่นอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัวอยู่ มีคุณ ๕ ประการนี้ คือ หลับเป็นสุข ๑ ตื่นเป็นสุข ๑ ไม่เห็นความฝันอันลามก ๑ เทพดารักษา ๑ อสุจิไม่เคลื่อน ๑
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่นอนหลับ มีสติตั้งมั่น รู้สึกตัว มีคุณ ๕ ประการ นี้แล.
&@พระพุทธานุญาตผ้านิสีทนะ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้านิสีทนะ เพื่อรักษากาย รักษาจีวร รักษาเสนาสนะ.
&@พระพุทธานุญาตผ้าปัจจัตถรณะ
   สมัยต่อมา ผ้านิสีทนะเล็กเกินไป ป้องกันเสนาสนะได้ไม่หมด ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุต้องการผ้าปูนอนใหญ่เพียงใด เราอนุญาตให้ทำผ้าปูนอนใหญ่เพียงนั้น.
&@พระพุทธานุญาตผ้าปิดฝี
   [๑๕๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระเวลัฏฐสีสะพระอุปัชฌาย์ของท่านพระอานนท์อาพาธเป็นโรคฝีดาดหรืออีสุกอีใส ผ้านุ่งผ้าห่มกรังอยู่ที่ตัวเพราะน้ำหนองของโรคนั้น ภิกษุทั้งหลายเอาน้ำชุบๆ ผ้าเหล่านั้น แล้วค่อยๆ ดึงออกมา ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จพระพุทธดำเนินไปตามเสนาสนะทอดพระเนตรเห็นภิกษุเหล่านั้น
กำลังเอาน้ำชุบๆ ผ้านั้นแล้วค่อยๆ ดึงออกมา ครั้นแล้ว จึงเสด็จพระพุทธดำเนินเข้าไปทางภิกษุเหล่านั้น ได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุรูปนี้อาพาธเป็นโรคอะไร?
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ท่านรูปนี้อาพาธเป็นโรคฝีดาดหรืออีสุกอีใสผ้ากรังอยู่ที่ตัว เพราะน้ำหนอง พวกข้าพระพุทธเจ้าเอาน้ำชุบๆ ผ้าเหล่านั้นแล้วค่อยๆ ดึงออกไป.
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้าปิดฝีแก่ภิกษุที่อาพาธเป็นฝีก็ดี เป็นพุพองก็ดี เป็นสิวก็ดี เป็นโรคฝีดาดหรืออีสุกอีใสก็ดี.
&@พระพุทธานุญาต ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดปาก
   [๑๕๘] ครั้งนั้น นางวิสาขา มิคารมาตา ถือผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดปาก เข้าไปในพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงพระกรุณาโปรดรับผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดปากของหม่อมฉัน ซึ่งจะเป็นไปเพื่อประโยชน์สุข
แก่หม่อมฉัน ตลอดกาลนานด้วยเถิด.   พระผู้มีพระภาคทรงรับผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดปาก ครั้นแล้วได้ทรงชี้แจง ให้นางวิสาขามิคารมาตาเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ครั้นนางวิสาขา มิคารมาตา อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ลุกจากที่นั่ง
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณกลับไป.
         ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้าเช็ดหน้าผ้าเช็ดปาก.
&@องค์ของการถือวิสาสะ ๕ ประการ
   [๑๕๙] ก็โดยสมัยนั้นแล เจ้าโรชะมัลลกษัตริย์ เป็นพระสหายของท่านพระอานนท์ได้ฝากผ้าโขมพัสตร์ผืนเก่าๆ ไว้กับท่านพระอานนท์ และท่านพระอานนท์ก็มีความต้องการด้วยผ้าโขมพัสตร์ผืนเก่าๆ ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ให้ถือวิสาสะแก่บุคคลผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ คือ เคยเห็นกันมา ๑ เคยคบกันมา ๑ เคยบอกอนุญาตกันไว้ ๑ เขายังมีชีวิตอยู่ ๑ รู้ว่าเมื่อเราถือเอาแล้ว เขาจักพอใจ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถือวิสาสะแก่บุคคลที่ประกอบด้วยองค์ ๕ เหล่านี้.
&@พระพุทธานุญาตผ้าบริขาร
   [๑๖๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายมีไตรจีวรบริบูรณ์แต่ยังต้องการผ้ากรองน้ำบ้าง ถุงบ้าง จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตผ้าบริขาร.
&@พระพุทธานุญาตผ้าที่ต้องอธิษฐานและวิกัป
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตไตรจีวรบ้าง ผ้าอาบน้ำฝนบ้าง ผ้าปูนั่งบ้าง ผ้าปูนอนบ้าง ผ้าปิดฝีบ้าง ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดปากบ้าง ผ้าบริขารบ้าง ผ้าทั้งหมดนั้น ต้องอธิษฐานหรือต้องวิกัปหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผ้าไตรจีวร เราอนุญาตให้อธิษฐาน ไม่ใช่ให้วิกัป ผ้าวัสสิกสาฎกให้อธิษฐานตลอด ๔ เดือนแห่งฤดูฝน พ้นจากนั้น ให้วิกัป ผ้านิสีทนะให้อธิษฐาน ไม่ใช่ให้วิกัป ผ้าปัจจัตถรณะ ให้อธิษฐาน ไม่ใช่ให้วิกัป ผ้าปิดฝี ให้อธิษฐานตลอดเวลาที่อาพาธ พ้นจากนั้นให้วิกัป ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดปาก ให้อธิษฐาน ไม่ใช่ให้วิกัป ผ้าบริขาร ให้อธิษฐาน ไม่ใช่ให้วิกัป.
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความสงสัยว่า ผ้าขนาดเล็กเพียงเท่าไรหนอต้องวิกัป จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผ้าขนาดเล็ก ยาว ๘ นิ้ว กว้าง ๔ นิ้ว โดยนิ้วพระสุคต เราอนุญาตให้วิกัป
   สมัยต่อมา ผ้าอุตราสงค์ที่ทำด้วยผ้าบังสุกุล ของท่านพระมหากัสสปเป็นของหนัก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำการเย็บดามด้วยด้าย.
   มุมสังฆาฏิไม่เสมอกัน ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เจียนมุมที่ไม่เสมอออกเสีย.
   ด้ายลุ่ยออก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ติดผ้าอนุวาต ผ้าหุ้มขอบ.
   สมัยต่อมา แผ่นผ้าสังฆาฏิลุ่ยออก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เย็บตะเข็บดังตาหมากรุก.
&@พระพุทธานุญาตผ้าที่ตัดและไม่ตัด
   [๑๖๑] ก็โดยสมัยนั้นแล เมื่อสงฆ์กำลังทำจีวรให้ภิกษุรูปหนึ่ง ผ้าตัดทั้งหมดไม่พอภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้าที่ต้องตัด ๒ ผืน ไม่ต้องตัด ๑ ผืน.
   ผ้าต้องตัด ๒ ผืน ไม่ต้องตัดผืนหนึ่ง ผ้าก็ยังไม่พอ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้า ๒ ผืนไม่ต้องตัด ผืนหนึ่งต้องตัด.
   ผ้า ๒ ผืนไม่ต้องตัด ผืนหนึ่งต้องตัด ผ้าก็ยังไม่พอ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เพิ่มผ้าเพลาะ แต่ผ้าทุกผืนที่ไม่ได้ตัด ภิกษุไม่พึงใช้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ.

อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ จีวรขันธกะ   องค์ของการถือวิสาสะ ๕ ประการเป็นต้น
ว่าด้วยถือวิสาสะเป็นต้น
   สามบทว่า ปุถุชฺชนา กาเมสุ วีตราคา
ได้แก่ ปุถุชนผู้ได้ฌาน.
   บทว่า สนฺทิฏฺโฐ ได้แก่ เพื่อนที่สักว่าเคยเห็นกัน.
   บทว่า สมฺภตฺโต ได้แก่ เพื่อนผู้ร่วมสมโภค
คือเพื่อนสนิท. 
   บทว่า อาลปิโต ได้แก่ ผู้อันเพื่อนสั่งไว้อย่างนี้ว่า ท่านต้องการสิ่งใดซึ่งเป็นของเรา, ท่านพึงถือเอาสิ่งนั้นเถิด. 
   วิสาสะย่อมขึ้นด้วยองค์ ๓ เหล่านี้ คือ ยังเป็นอยู่ ๑ เมื่อของนั้นอันตนถือเอาแล้ว เจ้าของเป็นผู้พอใจ ๑ กับองค์อันใดอันหนึ่งใน ๓ องค์เหล่านั้น. 
บทว่า ปํสุกูลิกโต คือ ผ้าอุตราสงค์ที่ทำด้วยผ้าบังสุกุล. 
   สองบทว่า ครุโก โหติ คือ เป็นของหนัก
เพราะทาบผ้าปะในที่ซึ่งชำรุดแล้วๆ. 
   สองบทว่า สุตฺตลูขํ กาตุํ มีความว่า เพื่อทำการเย็บตรึงด้วยด้ายเท่านั้น. 
   บทว่า วิกณฺโณ คือ เมื่อชักด้ายเย็บ มุมสังฆาฏิข้างหนึ่งเป็นของยาวไป. 
   สองบทว่า วิกณฺณํ อุทฺธริตุํ คือ เพื่อเจียนมุมที่ยาวเสีย. 
   บทว่า โอกิริยนฺติ คือ ลุ่ยออกจากมุมที่ตัด.
   สองบทว่า อนุวาตํ ปริภณฺฑํ
ได้แก่ อนุวาตและผ้าหุ้มขอบ. 
   สองบทว่า ปตฺตา ลชฺชนฺติ คือ ด้ายทั้งหลายที่เย็บในหน้าผ้าใหญ่ ย่อมหลุดออก คือผ้าลุ่ยออกจากผ้าผืนเก่านั้น. 
   สองบทว่า อฏฺปทกํ กาตุํ คือ เพื่อเย็บหน้าผ้าด้วยตะเข็บอย่างรอยในกระดานหมากรุก. 
   สองบทว่า อนฺวาธิกํปิ อาโรเจตุํ คือ เพื่อเพิ่มผ้าดาม. แต่ผ้าดามนี้ พึงเพิ่มในเมื่อผ้าไม่พอ, ถ้าผ้าพอ ไม่ควรเพิ่มผ้าดาม พึงตัดเท่านั้น.
@พระให้ผ้าแก่โยมมารดาบิดาได้
   [๑๖๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ผ้าเกิดขึ้นแก่ภิกษุรูปหนึ่งหลายผืนและท่านปรารถนาจะให้ผ้านั้นแก่โยมมารดาบิดา ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุให้ด้วยรู้ว่ามารดาบิดา เราจะพึงว่าอะไร เราอนุญาตให้สละแก่มารดาบิดา แต่ภิกษุไม่พึง
ทำศรัทธาไทยให้ตกไป รูปใดให้ตกไป ต้องอาบัติทุกกฏ.
&@พระพุทธบัญญัติให้ครองผ้า ๒ ผืนเข้าบ้าน
   [๑๖๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเก็บผ้าสังฆาฏิไว้ในวิหารอันธวัน แล้วครองผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสกเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต คนร้ายขโมยผ้าสังฆาฏินั้นไป ภิกษุนั้นจึงใช้ผ้าเก่าครองจีวรคร่ำคร่า. ภิกษุทั้งหลายพูดอย่างนี้ว่า อาวุโส เพราะเหตุไร คุณจึงใช้ผ้าเก่า ครองจีวรคร่ำคร่าเล่า?
   ภิกษุนั้นตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมเก็บผ้าสังฆาฏิไว้ในวิหารอันธวันนี้ แล้วครองอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสกเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต คนร้ายขโมยผ้าสังฆาฏินั้นไป เพราะเหตุนั้นผมจึงใช้ผ้าเก่า ครองจีวรคร่ำคร่า.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีแต่ผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสกไม่พึงเข้าบ้าน รูปใดเข้าไป ต้องอาบัติทุกกฏ.    สมัยต่อมา ท่านพระอานนท์ ลืมสติครองแต่ผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสกเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวคำนี้แก่
ท่านพระอานนท์ว่า อาวุโสอานนท์ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามไว้แล้ว มิใช่หรือว่า ภิกษุมีแต่ผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสก ไม่พึงเข้าบ้าน ดังนี้ ไฉนพระคุณเจ้าจึงมีแต่ผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสกเข้าบ้านเล่า?
   พระอานนท์ตอบว่า จริง ขอรับ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามไว้แล้วว่า ภิกษุมีแต่ผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสกไม่พึงเข้าบ้าน ก็แต่ว่า ผมเข้าบ้านด้วยลืมสติ.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
เหตุที่เก็บผ้าไตรจีวรไว้ได้
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุที่เก็บผ้าสังฆาฏิไว้ได้ มี ๕ อย่าง คือ เจ็บไข้ ๑ สังเกตเห็นว่าฝนจะตก ๑ ไปสู่ฝั่งแม่น้ำ ๑ ที่อยู่คุ้มได้ด้วยดาล ๑ ได้กรานกฐิน ๑
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุที่เก็บผ้าสังฆาฏิไว้ได้มี ๕ อย่างนี้แล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุที่เก็บผ้าอุตราสงค์ไว้ได้มี ๕ อย่างนี้ คือ เจ็บไข้ ๑ สังเกตเห็นว่าฝนจะตก ๑ ไปสู่ฝั่งแม่น้ำ ๑ ที่อยู่คุ้มได้ด้วยดาล ๑ ได้กรานกฐิน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุที่เก็บผ้าอุตราสงค์ไว้ได้มี ๕ อย่างนี้แล.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุที่เก็บผ้าอันตรวาสกไว้ได้มี ๕ อย่างนี้ คือ เจ็บไข้ ๑ สังเกตเห็นว่าฝนจะตก ๑ ไปสู่ฝั่งแม่น้ำ ๑ ที่อยู่คุ้มได้ด้วยดาล ๑ ได้กรานกฐิน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุที่เก็บผ้าอันตรวาสกไว้ได้มี ๕ อย่างนี้แล.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุที่เก็บผ้าอาบน้ำฝนไว้ได้มี ๕ อย่างนี้ คือ เจ็บไข้ ๑ ไปนอกสีมา ๑ ไปสู่ฝั่งแม่น้ำ ๑ ที่อยู่คุ้มได้ด้วยดาล ๑ ผ้าอาบน้ำฝนยังไม่ได้ทำหรือทำค้างไว้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุที่เก็บผ้าอาบน้ำฝนไว้ได้มี ๕ อย่างนี้แล.
&@ ถวายจีวรเป็นของสงฆ์
   [๑๖๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่แต่ผู้เดียว คนทั้งหลายในถิ่นนั้นได้ถวายจีวรด้วยเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายถวายแก่สงฆ์ จึงภิกษุรูปนั้นได้มีความปริวิตกว่าพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุ ๔ รูปเป็นอย่างน้อยชื่อว่าสงฆ์ แต่เรารูปเดียว และคนเหล่านี้ได้ถวายจีวรด้วยเปล่งวาจาว่า
   ข้าพเจ้าทั้งหลายถวายแก่สงฆ์ ดังนี้ ถ้าไฉนเราจะพึงนำจีวรของสงฆ์เหล่านี้ไปพระนครสาวัตถี ครั้นแล้วได้นำจีวรเหล่านั้นไปพระนครสาวัตถี กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ จีวรเหล่านั้นเป็นของเธอผู้เดียว จนถึงเวลาเดาะกฐิน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในข้อนี้ ภิกษุจำพรรษารูปเดียว ประชาชนในถิ่นนั้นถวายจีวรด้วยเปล่งวาจาว่า พวกข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตจีวรเหล่านั้นแก่เธอรูปเดียวจนถึงเวลาเดาะกฐิน.
   สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งอยู่รูปเดียวตลอดฤดูกาล ประชาชนในถิ่นนั้นได้ถวายจีวรเปล่งวาจาว่า พวกข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ จึงภิกษุรูปนั้นได้ดำริดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่าภิกษุ ๔ รูปเป็นอย่างน้อยชื่อว่าสงฆ์ แต่เราอยู่ผู้เดียว และคนเหล่านี้ได้ถวายจีวรด้วยเปล่งวาจาว่า พวกข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ ถ้าไฉนเราจะ
พึงนำจีวรของสงฆ์เหล่านี้ไปพระนครสาวัตถี ครั้นแล้วได้นำจีวรเหล่านั้นไปพระนครสาวัตถี แจ้งความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สงฆ์ผู้อยู่พร้อมหน้ากันแจก.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในข้อนี้ ภิกษุอยู่ผู้เดียวตลอดฤดูกาล ประชาชนในถิ่นนั้นได้ถวายจีวรด้วยเปล่งวาจาว่าพวกข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุรูปนั้นอธิษฐานจีวรเหล่านั้นว่า จีวรเหล่านี้ของเรา ถ้าเมื่อภิกษุรูปนั้นยังไม่ได้อธิษฐานจีวรนั้น มีภิกษุรูปอื่นมา พึงให้ส่วนแบ่งเท่าๆ กัน ถ้า
เมื่อภิกษุ ๒ รูปกำลังแบ่งจีวรนั้น แต่ยังมิได้จับสลาก มีภิกษุรูปอื่นมา พึงให้ส่วนแบ่งเท่าๆ กัน ถ้าเมื่อภิกษุ ๓ รูปกำลังแบ่งจีวรนั้น และจับสลากเสร็จแล้วมีภิกษุรูปอื่นมา พวกเธอไม่ปรารถนาก็ไม่ต้องให้ส่วนแบ่ง.
   สมัยต่อมา มีพระเถระ ๒ พี่น้อง คือ ท่านพระอิสิทาส ๑ ท่านพระอิสิภัตตะ ๑ จำพรรษาอยู่ในพระนครสาวัตถี ได้ไปอาวาสใกล้บ้านแห่งหนึ่ง คนทั้งหลายกล่าวกันว่า นานๆ พระเถระทั้งสองจะได้มา จึงได้ถวายภัตตาหารพร้อมทั้งจีวร พวกภิกษุประจำถิ่นถามพระเถระทั้งสองว่า ท่านเจ้าข้า จีวรของสงฆ์เหล่านี้ เกิดขึ้น
เพราะอาศัยพระคุณเจ้าทั้งสอง พระคุณเจ้าทั้งหลายจักยินดีรับส่วนแบ่งไหม?
   พระเถระทั้งสองตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่จีวรเหล่านั้นเป็นของพวกท่านเท่านั้นจนถึงเวลาเดาะกฐิน.
   สมัยต่อมา ภิกษุ ๓ รูป จำพรรษาอยู่ในพระนครราชคฤห์ ประชาชนในเมืองนั้นถวายจีวรด้วยเปล่งวาจาว่า พวกข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ จึงภิกษุเหล่านั้นได้ดำริดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุ ๔ รูปเป็นอย่างน้อยชื่อว่าสงฆ์ แต่เรามี ๓ รูปด้วยกัน และคนเหล่านี้ถวายจีวรด้วยเปล่งวาจาว่า พวกข้าพเจ้า
ถวายแก่สงฆ์ พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ สมัยนั้น พระเถระหลายรูป คือ ท่านพระนีลวาสี ท่านพระสาณวาสี ท่านพระโคปกะ ท่านพระภคุ และท่านพระผลิกสันทานะ อยู่ ณ วัดกุกกุฏาราม เขตนครปาตลีบุตร จึงภิกษุเหล่านั้นเดินทางไปนครปาตลีบุตรแล้วเรียนถามพระเถระทั้งหลาย พระเถระทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า
   พวกเรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการที่จีวรเหล่านั้นเป็นของพวกท่านนั้น จนถึงเวลาเดาะกฐิน.

เรื่องพระอุปนนท์
   [๑๖๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระอุปนนทศากยบุตร จำพรรษาอยู่ในพระนครสาวัตถีได้ไปอาวาสใกล้บ้านแห่งหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในวัดนั้นปรารถนาจะแบ่งจีวร จึงประชุมกัน ภิกษุเหล่านั้น พูดอย่างนี้ว่า อาวุโส ภิกษุทั้งหลายจักแบ่งจีวรของสงฆ์เหล่านี้แล ท่านจักยินดีส่วนแบ่งไหม ขอรับ ท่านพระอุปนนท์ตอบว่า
   อาวุโสทั้งหลาย ผมยินดี ขอรับ แล้วได้รับส่วนจีวรแต่อาวาสนั้นไปวัดอื่น แม้ภิกษุทั้งหลายในวัดนั้นก็ปรารถนาจะแบ่งจีวร จึงประชุมกัน และพูดอย่างนี้ว่า อาวุโส ภิกษุทั้งหลายจักแบ่งจีวรของสงฆ์เหล่านี้แล ท่านจักยินดีส่วนแบ่งไหมขอรับ ท่านพระอุปนนท์ตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมยินดี ขอรับ แล้วได้รับส่วนจีวร
แต่อาวาสนั้นไปวัดอื่น แม้ภิกษุทั้งหลายในวัดนั้นก็ปรารถนาจะแบ่งจีวรจึงประชุมกัน และก็พูดอย่างนี้ว่า
   อาวุโส ภิกษุทั้งหลายจักแบ่งจีวรของสงฆ์เหล่านี้แล ท่านจักยินดีส่วนแบ่งไหม ขอรับ ท่านพระอุปนนท์ตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมยินดี ขอรับ แล้วได้รับจีวรแต่อาวาสแม้นั้น ถือจีวรห่อใหญ่กลับมาพระนครสาวัตถีตามเดิม.
             ภิกษุทั้งหลายชมเชยอย่างนี้ว่า พระคุณเจ้าอุปนนท์ ท่านเป็นผู้มีบุญมาก จีวรจึงเกิดขึ้นแก่ท่านมากมาย.
             อุป. อาวุโสทั้งหลาย บุญของผมที่ไหน ผมจำพรรษาอยู่ในพระนครสาวัตถีนี้ ได้ไปอาวาสใกล้บ้านแห่งหนึ่ง พวกภิกษุในวัดนั้น ปรารถนาจะแบ่งจีวร จึงประชุมกัน พวกเธอกล่าว
กะผมอย่างนี้ว่า อาวุโส ภิกษุทั้งหลายจักแบ่งจีวรของสงฆ์เหล่านี้แล ท่านจักยินดีส่วนแบ่งไหมขอรับ ผมตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมยินดี ขอรับ แล้วได้รับส่วนจีวรแต่อาวาสนั้นไปวัดอื่น
แม้ภิกษุในวัดนั้น ก็ปรารถนาจะแบ่งจีวร จึงประชุมกัน และพวกเธอก็ได้กล่าวกะผมอย่างนี้ว่าอาวุโส ภิกษุทั้งหลายจักแบ่งจีวรของสงฆ์เหล่านี้แล ท่านจักยินดีส่วนแบ่งไหม ขอรับ ผมตอบว่า
อาวุโสทั้งหลาย ผมยินดี ขอรับ แล้วได้รับส่วนจีวรแต่อาวาสนั้น ไปวัดอื่น แม้ภิกษุในวัดนั้นก็ปรารถนาจะแบ่งจีวร จึงประชุมกัน และกล่าวกะผมอย่างนี้ว่า อาวุโส ภิกษุทั้งหลายจักแบ่ง
จีวรของสงฆ์เหล่านี้แล ท่านจักยินดีส่วนแบ่งไหม ขอรับ ผมตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมยินดีขอรับ แล้วได้รับส่วนจีวรแต่อาวาสแม้นั้น เพราะอย่างนี้ จีวรจึงเกิดขึ้นแก่ผมมากมาย.
             ภิ. พระคุณเจ้าอุปนนท์ ท่านจำพรรษาในวัดหนึ่ง แล้วยังยินดีส่วนจีวรในอีกวัด
หนึ่งหรือ?
             อุป. อย่างนั้น ขอรับ.
             บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย .... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระอุปนนทศากยบุตร จำพรรษาในวัดหนึ่งแล้ว จึงได้ยินดีส่วนจีวรในอีกวัดหนึ่งเล่า แล้วกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
             พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอุปนนท์ว่า ดูกรอุปนนท์ ข่าวว่าเธอจำพรรษาในวัดหนึ่งแล้ว ยินดีส่วนจีวรในอีกวัดหนึ่ง จริงหรือ?
             ท่านพระอุปนนท์ทูลรับว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า.
             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอจำพรรษาในวัดหนึ่งแล้ว ไฉนจึงได้ยินดีส่วนจีวรในอีกวัดหนึ่งเล่า การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน
ที่ยังไม่เลื่อมใส .... ครั้นแล้ว ทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุจำพรรษาในวัดหนึ่งแล้ว ไม่พึงยินดีส่วนจีวรในวัดอื่น รูปใดยินดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
             สมัยต่อมา ท่านพระอุปนนทศากยบุตร รูปเดียวจำพรรษาอยู่สองวัด ด้วยคิดว่าโดยวิธีอย่างนี้ จีวรจักเกิดขึ้นแก่เรามาก ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความสงสัยว่า พวกเราจักให้ส่วน
จีวรแก่ท่านพระอุปนนทศากยบุตรอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
             พระผู้มีพระภาคตรัสแนะว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงให้ส่วนแก่โมฆบุรุษส่วนเดียว.
             ภิกษุทั้งหลาย ก็ในข้อนี้ภิกษุรูปเดียว จำพรรษาอยู่ ๒ วัด ด้วยคิดว่าโดยวิธีอย่างนี้ จีวรจักเกิดขึ้นแก่เรามาก ถ้าภิกษุจำพรรษาในวัดโน้นกึ่งหนึ่ง วัดโน้นกึ่งหนึ่ง พึงให้ส่วนจีวรในวัด
โน้นกึ่งหนึ่ง วัดโน้นกึ่งหนึ่ง หรือจำพรรษาในวัดใดมากกว่า พึงให้ส่วนจีวรในวัดนั้น.
@ถวายจีวรเป็นของสงฆ์ อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ จีวรขันธกะ   พระให้ผ้าแก่โยมมารดาบิดาได้เป็นต้น
ว่า้วยสัทธาไทยให้ตกเป็นต้น
 วินิจฉัยในคำว่า น ภิกฺขเว สทฺธาเทยฺยํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
              เมื่อให้แก่ญาติที่เหลือทั้งหลาย ชื่อยังสัทธาไทยให้ตกไปแท้. ส่วนมารดาบิดาแม้ตั้งอยู่ในความเป็นพระราชา ถ้าปรารถนา พึงให้.
               บทว่า คิลาโน ได้แก่ ผู้ไม่สามารถจะถือเอาไปได้ เพราะเป็นผู้อาพาธ.                บทว่า วสฺสิกสงฺเกตํ ได้แก่ ๔ เดือนในฤดูฝน. 
               บทว่า นทีปารํ ได้แก่ ภัตเป็นของอันภิกษุพึงฉันที่ฝั่งแม่น้ำ.                บทว่า อคฺคฬคุตฺติวิหาโร มีความว่า ก็กุฎีที่อยู่มีลิ่มเป็นเครื่องคุ้มครองเท่านั้น เป็นประมาณ
               ในความเป็นผู้อาพาธ ความกำหนด หมายความว่า เป็นเดือนมีในฤดูฝน ความไปสู่ฝั่งแม่น้ำ และความมีกฐินอันกรานแล้วเหล่านี้ทั้งหมดทีเดียว. 
               จริงอยู่ ภิกษุเก็บไว้ในกุฎีที่อยู่ที่คุ้มครองเท่านั้น จึงควรไปในภายนอก เก็บไว้ในกุฎีที่อยู่ที่ไม่ได้คุ้มครองไม่ควรไป. แต่กุฎีที่อยู่ของภิกษุผู้อยู่ป่า ย่อมไม่เป็นกุฏิที่อยู่คุ้มครองด้วยดี อันภิกษุ
               ผู้อยู่ป่านั้น พึงเก็บไว้ในหม้อสำหรับเก็บของแล้วซ่อนไว้ในที่อันมิดชิดดี มีโพรงศิลา และโพรงไม้เป็นต้นแล้วจึงไป.
 ถวายจีวรเป็นของสงฆ์ ว่าด้วยผ้าที่เกิขึ้นในจีวรกาล แห่งจีวรเหล่านั้น                               ข้อว่า ตุยฺเหว ภิกฺขุ ตาหิ จีวรานิ มีความว่า จีวรเหล่านั้นแม้ที่เธอถือนำไปแล้วในที่อื่น ย่อมเป็นของเธอเท่านั้น, ใครๆ อื่นไม่เป็นใหญ่
แห่งจีวรเหล่านั้น.                ก็แล ครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว จึงตรัสคำว่า อิธ ปน เป็นอาทิ เพื่อแสดงว่า แม้ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่มีความรังเกียจถือเอา. 
                ข้อว่า ตสฺเสว ตานิ จีวรานิ ยาวกฐินสฺส อุพฺภาราย มีความว่า หากว่า ได้ภิกษุครบคณะ กฐินเป็นอันกรานแล้ว จีวรเหล่านั้นเป็นของเธอตลอด ๕ เดือน ถ้าไม่ได้กรานกฐิน ตลอด
จีวรมาสเดือนเดียวเท่านั้น. จีวรใดๆ อันพวกทายกถวายว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ก็ดี ถวายว่า ข้าพเจ้าถวายเฉพาะสงฆ์ก็ดี ถวายว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้วก็ดี ถวายว่า ข้าพเจ้าถวายผ้า
จำนำพรรษาก็ดี ถึงแม้ว่า จีวรมรดกยังมิได้แจก ภิกษุทั้งหลายเข้าไปสู่วัดนั้น จีวรทั้งปวงนั้นย่อมเป็นของภิกษุผู้กรานกฐินนั้นเท่านั้น. 
               ภิกษุนั้นถือเอาผ้าจำนำพรรษาแม้ใด จากทุนทรัพย์ที่ไวยาวัจกรตั้งไว้ประกอบดอกเบี้ย เพื่อประโยชน์แก่ผ้าจำนำพรรษา หรือจากกัลปนาสงฆ์อันเกิดในวัดนั้น ผ้าจำนำพรรษา
นั้นทั้งหมดเป็นอันเธอถือเอาด้วยดีแท้.                จริงอยู่ ในคำว่า ตสฺเสว ตานิ จีวรานิ ยาวกฐินสฺส อุพฺภาราย นี้ มีลักษณะดังนี้ :- 
               ผ้าที่เกิดขึ้นแก่สงฆ์ด้วยอาการใดๆ ก็ตาม ย่อมถึงแก่ภิกษุผู้กรานกฐินแล้วตลอด ๕ เดือน แก่ภิกษุไม่ได้กรานกฐินตลอดจีวรมาสเดือนหนึ่ง. ส่วนผ้านี้ใดที่ทายกบอกถวายว่า ข้าพเจ้า
ถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาในวัดนี้ หรือว่า ข้าพเจ้าถวายผ้าจำนำพรรษา ผ้านั้นย่อมถึงแม้แก่ภิกษุผู้มิได้กรานกฐินตลอด ๕ เดือน. ผ้าจำนำพรรษาที่เกิดขึ้น นอกจากผ้าที่กล่าวแล้วนั้น ภิกษุพึงถามดูว่า นี่เป็นผ้า
จำนำพรรษาสำหรับพรรษาที่ล่วงไปแล้วหรือ? หรือว่า สำหรับพรรษาที่ยังไม่มา เหตุไรจึงต้องถาม? เพราะผ้านั้นเกิดขึ้นหลังสมัย.
ว่าด้วยผ้าที่เกิดขึ้นในฤดูกาล บทว่า อุตุกาลํ ได้แก่ กาลอื่นจากฤดูฝน. วินิจฉัยในคำว่า ตานิ จีวรานิ อาทาย สาวตฺถึ คนฺตฺวา นี้ พึงทราบดังนี้ :- จีวรเหล่านั้นย่อมเป็นของสงฆ์ในที่ๆ เธอไปถึงแล้วๆ เท่านั้น ผ้าสักว่าอันภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วเท่านั้น เป็นประมาณในการถือเอาจีวรนี้ เพราะเหตุนั้น หากภิกษุบางพวกเดินสวนทาง มา ถามว่า ไปไหนคุณ? ได้ฟังเนื้อความนั้นแล้วกล่าวว่า เราทั้งหลายไม่เป็นสงฆ์หรือคุณ? แล้วแบ่งกันถือเอาในที่นั้นทีเดียว เป็นอันถือเอาด้วยดี. แม้ถ้าว่า ภิกษุนั้นแวะออกจากทาง เข้าสู่วัดหรืออาสนศาลา บางแห่งก็ดี เมื่อเที่ยวบิณฑบาต เข้าสู่เฉพาะเรือนหลังหนึ่งก็ดี ก็แล ภิกษุทั้งหลายในที่นั้นเห็นเธอแล้วถามเนื้อความนั้นแล้วแบ่งกันถือเอา เป็นอันถือเอาด้วยดีเหมือนกัน. วินิจฉัยในข้อว่า อธิฏฺาตุํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- อันภิกษุผู้จะอธิษฐาน พึงรู้จักวัตร ความพิสดารว่า ภิกษุนั้นพึงตีระฆังประกาศเวลาแล้ว คอยหน่อยหนึ่ง ถ้าภิกษุทั้งหลาย มาตามสัญญาระฆังหรือตามกำหนดเวลา พึงแบ่งกับภิกษุเหล่านั้น : ถ้าไม่มา พึงอธิษฐานว่า จีวรเหล่านี้ถึงแก่เรา เมื่ออธิษฐานแล้วอย่างนั้น จีวรทั้งปวงเป็นของเธอเท่านั้น. ส่วนลำดับไม่คงอยู่. ถ้ายกขึ้น ทีละผืนๆ ถือเอาอย่างนี้ว่า นี่ส่วนที่ ๑ ถึงแก่เรา นี่ส่วนที่ ๒, อันจีวรที่เธอถือเอาแล้ว เป็นอันถือเอาแล้วด้วยดี แต่ลำดับคงตั้งอยู่. จีวรเป็นอันภิกษุผู้แม้ให้ถึงถือเอาอยู่อย่างนั้น อธิษฐานแล้วเหมือนกัน. แต่ถ้าภิกษุตีระฆังหรือไม่ตีก็ตาม ประกาศเวลาหรือไม่ประกาศก็ตาม ถือเอาด้วยทำในใจว่า ที่นี่มีแต่เราเท่านั้น จีวรเหล่านี้ย่อมเป็นของเฉพาะเรา จีวรเหล่านั้นเป็นอันถือเอาไม่ชอบ. หากเธอถือเอาด้วยทำในใจว่า ที่นี่ไม่มีใครๆ อื่น จีวรเหล่านี้ย่อมถึงแก่เรา เป็นอันถือเอาด้วยดี. สองบทว่า ปาติเต กุเส มีความว่า เมื่อสลากในส่วนอันหนึ่งสักว่า ให้จับแล้ว แม้ถ้ามีภิกษุตั้งพันรูป จีวรชื่อว่าอันภิกษุทั้งปวงถึงเอาแล้วแท้. ข้อว่า นากามา ภาโค ทาตพฺโพ มีความว่า ก็ถ้าว่า ภิกษุทั้งหลายเป็นผู้ประสงค์จะให้ตามชอบใจของตนไซร้ จงให้เถิด. แม้ในอนุภาคก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า สจีวรานิ มีความว่า ชนทั้งหลายพูดกันว่า เราทั้งหลายจักถวาย แม้ซึ่งกาลจีวรแก่สงฆ์ จากส่วนอันจะพึงถวายแก่พระเถระนี้เทียว เมื่อกาลจีวรนั้นอันเราทั้งหลายจัดไว้แผนกหนึ่ง จะช้าเกินไป ดังนี้แล้ว ได้ทำภัตทั้งหลายพร้อมทั้งจีวรโดยทันทีทีเดียว. หลายบทว่า เถเร อาคมฺม อุปฺปนฺนานิ มีความว่า จีวรเหล่านี้พลันเกิดขึ้นเพราะความเลื่อมในท่านทั้งหลาย. ข้อว่า สงฺฆสฺส เทมาติ จีวรานิ เทนฺติ มีความว่า ชนทั้งหลายถวายล่าช้าจนตลอดจีวรกาลทั้งสิ้นทีเดียว. ส่วนใน ๒ เรื่องก่อน พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวว่า อทํสุ เพราะชนทั้งหลาย มีการถวายอันกำหนดแล้ว. สองบทว่า สมฺพหุลา เถรา ได้แก่ พระเถระผู้เป็นหัวหน้าแห่งพระวินัยธรทั้งหลาย. ก็แล เรื่องนี้กับเรื่องพระเถระสองพี่น้องก่อนเกิดขึ้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ส่วนพระเถระเหล่านี้เป็นผู้เคยเห็นพระตถาคต เพราะเหตุนั้น ในเรื่องก่อนๆ พระธรรม สังคาหกาจารย์ทั้งหลายได้กล่าวแล้วตามนัยที่พระตถาคตทรงบัญญัติไว้นั่นแล.
เรื่องพระอุปนนท์               สองบทว่า คามกาวาสํ อคมาสิ มีความว่า พระอุปนันทศากยบุตรนั้นกำหนดแล้วเทียว ซึ่งกาลเป็นที่แบ่งจีวรว่า แม้ไฉน ภิกษุทั้งหลาย เมื่อแบ่งจีวรกัน พึงทำความ
สงเคราะห์แก่เราบ้าง? ดังนี้ จึงได้ไป.                บทว่า สาทิยิสฺสสิ คือ จักถือเอาหรือ?                จริงอยู่ ในเรื่องนี้ ส่วนย่อมไม่ถึงแก่พระอุปนันทศากยบุตรนั้น แม้โดยแท้ ถึง
กระนั้น ภิกษุเหล่านั้นได้กล่าวว่า ท่านจักรับหรือ? ดังนี้ ก็ด้วยทำในใจว่า พระเถระนี้เป็นชาวกรุง เป็นธรรมกถึก มีปากกล้า. 
               ก็วินิจฉัยในข้อว่า โย สาทิเยยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส นี้ พึงทราบดังนี้ :-                เป็นลหุกาบัติก็จริงอยู่ ถึงกระนั้น จีวรที่ถือเอาแล้ว ก็ควรคืนให้ในที่ซึ่งตนถือเอา แม้
หากว่า จีวรเหล่านั้นเป็นของเสียหายไปก็ดี เก่าไปก็ดี ย่อมเป็นสินใช้แก่ภิกษุนั้นแท้. ครั้นเมื่อภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านจงให้ เมื่อเธอไม่ให้ พึงให้ปรับตามราคาของในเมื่อทอดธุระ. 
               บทว่า เอกาธิปฺปายํ มีความว่า ท่านทั้งหลายจงให้ส่วนเป็นที่ประสงค์อันเดียว คือส่วนแห่งบุคคลผู้เดียวเท่านั้น. 
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงวางแบบ จึงตรัสคำว่า อิธ ปน เป็นอาทิ เพื่อแสดงอาการสำหรับภิกษุจะพึงให้ส่วนเฉพาะบุคคลผู้เดียวนั้น. 
               บรรดาบทเหล่านั้น หลายบทว่า สเจ อมุตฺร อุปฑฺฒํ อมุตฺร อุปฑฺฒํ มีความว่า หากว่า ภิกษุนั้นอยู่ในวัดตำบลละวันหนึ่งบ้าง ๗ วันบ้าง บุคคลผู้เดียวย่อมได้ส่วนใด ในวัดตำบล
หนึ่งๆ พึงให้วัดละกึ่งส่วนๆ, จากส่วนนั้นๆ. ส่วนเป็นที่ประสงค์อันเดียว ชื่อเป็นอันภิกษุทั้งหลายให้แล้ว ด้วยประการฉะนี้. 
               ข้อว่า ยตฺถ วา ปน พหุตรํ มีความว่า ถ้าภิกษุอยู่ในวัดหนึ่งรับแต่อรุณเท่านั้น โดยวาระ ๗ วันในวัดนอกนี้ ด้วยประการอย่างนี้เธอชื่อว่าอยู่มากกว่าในวัดก่อน; เพราะฉะนั้น พึง
ให้ส่วนจากวัดที่อยู่มากกว่านั้นแก่เธอ : ส่วนเป็นที่ประสงค์อันเดียว เป็นอันภิกษุทั้งหลายให้แล้ว ด้วยประการอย่างนี้บ้าง. ก็การให้ส่วนเป็นที่ประสงค์อันเดียวนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยหลายวัดมีสีมา
เดียวกัน แต่ต่างลาภ ต่างอุปจาระกัน. ส่วนในวัดที่ต่างสีมากัน การถือเสนาสนะย่อมระงับ. เพราะเหตุนั้น ส่วนแห่งจีวรในวัดนั้น ย่อมไม่ถึง (แก่เธอ). แต่สิ่งของที่เหลือทั้งหมด มีอามิสและเภสัชเป็นต้น 
ย่อมถึงแก่ภิกษุผู้อยู่ภายในสีมา ในวัดที่มีสีมาเดียวกัน และวัดที่มีสีมาต่างๆ กันทั้งปวง.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น