
อธิกรณปัจจยวาร ที่ ๕
[๘๗๘] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ วิวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือวิวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๒ คือ
๑. ด่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
๒. ด่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
เพราะปัจจัย คือ วิวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติหนึ่ง บรรดาวิบัติ ๔ คืออาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๒ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ. เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต
มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑. จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
[๘๗๙] ถามว่า พระปัจจัย คือ อนุวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อนุวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๓ คือ
๑. ภิกษุโจทภิกษุด้วยปาราชิกธรรมอันไม่มีมูล ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๒. โจทด้วยอาบัติสังฆาทิเสสอันไม่มีมูล ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
๓. โจทด้วยอาจารวิบัติอันไม่มีมูล ต้องอาบัติทุกกฏ.
เพราะปัจจัย คือ อนุวาทาธิกรณ์ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๓ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ. เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิด
แต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔. ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
[๘๘๐] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาปัตตาธิกรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาปัตตาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๔ คือ
๑. ภิกษุณีรู้อยู่ปกปิดปาราชิกธรรม ต้องอาบัติปาราชิก.
๒. สงสัยปกปิด ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
๓. ภิกษุปกปิดอาบัติสังฆาทิเสส ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
๔. ปกปิดอาจารวิบัติ ต้องอาบัติทุกกฏ.
เพราะปัจจัย คือ อาปัตตาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๔ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง
บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายวาจาและจิต. จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔. ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑
[๘๘๑] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ กิจจาธิกรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ กิจจาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๕ คือ
๑. ภิกษุณีประพฤติตามภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร ไม่สละกรรมเพราะสวดประกาศห้ามครบ ๓ จบ จบญัตติ เป็นทุกกฏ.
๒. จบกรรมวาจา ๒ ครั้ง เป็นถุลลัจจัย.
๓. จบกรรมวาจาครั้งสุดท้าย ต้องอาบัติปาราชิก
๔. ภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ไม่สละกรรมเพราะสวดประกาศห้ามครบ ๓ จบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๕. ไม่สละทิฏฐิลามก เพราะสวดประกาศห้ามครบ ๓ จบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
เพราะปัจจัย คือ กิจจาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๕ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๕ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ.
เกิดด้วยสมุฏฐานหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายวาจา และจิต จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔. ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑
[๘๘๒] ถามว่า เว้นอาบัติ ๗ และเว้นกองอาบัติ ๗ เสีย อาบัตินอกนั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗? เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖? จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔? ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
ตอบว่า เว้นอาบัติ ๗ และเว้นกองอาบัติ ๗ เสีย อาบัตินอกนั้นไม่จัดเป็นวิบัติข้อไหนบรรดาวิบัติ ๔ ไม่สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติไหน บรรดากองอาบัติ ๗ ไม่เกิดด้วยสมุฏฐานไหน บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ ไม่จัดเป็นอธิกรณ์ข้อไหน บรรดาอธิกรณ์ ๔ ไม่ระงับด้วยสมถะข้อไหน บรรดาสมถะ ๗ ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร? เพราะเว้นอาบัติ ๗ และเว้นกองอาบัติ ๗ เสียไม่มีอาบัติอย่างอื่นอีก. อธิกรณปัจจยวาร ที่ ๕ จบ อนันตรเปยยาล จบ
หัวข้อบอกวาร
[๘๘๓] กติปุจฉาวาร ๑ สมุฏฐานวาร ๑ กตาปัตติวาร ๑ อาปัตติสมุฏฐานวาร ๑ วิปัตติวาร ๑ กับอธิกรณวาร ๑ฯ
ปริยายวาร ที่ ๖
[๘๘๔] วิวาทาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน? มีฐานเท่าไร? มีวัตถุเท่าไร? มีภูมิเท่าไร มีเหตุเท่าไร? มีมูลเท่าไร? ภิกษุวิวาทกันด้วยอาการเท่าไร? วิวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ เท่าไร?
อนุวาทาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน? มีฐานเท่าไร? มีวัตถุเท่าไร? มีภูมิเท่าไร? มีเหตุเท่าไร? มีมูลเท่าไร? ภิกษุโจทด้วยอาการเท่าไร? อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
อาปัตตาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน? มีฐานเท่าไร? มีวัตถุเท่าไร? มีภูมิเท่าไร? มีเหตุเท่าไร? มีมูลเท่าไร? ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการเท่าไร? อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
กิจจาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน? มีฐานเท่าไร? มีวัตถุเท่าไร? มีภูมิเท่าไร? มีเหตุเท่าไร? มีมูลเท่าไร? กิจเกิดด้วยอาการเท่าไร? กิจจาธิกรณ์ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร?
[๘๘๕] ถามว่า วิวาทาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน?
ตอบว่า มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นประธาน มีความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง เป็นประธาน.
ถ. มีฐานเท่าไร?
ต. มีฐาน คือ เรื่องทำความแตกร้าวกัน ๑๘.
ถ. มีวัตถุเท่าไร?
ต. มีวัตถุทำความแตกร้าวกัน ๑๘.
ถ. มีภูมิเท่าไร?
ต. มีภูมิ คือ วัตถุทำความแตกร้าวกัน ๑๘.
ถ. มีเหตุเท่าไร?
ต. มีเหตุ ๙ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓.
ถ. มีมูลเท่าไร?
ต. มีมูล ๑๒.
ถ. ภิกษุวิวาทกันด้วยอาการเท่าไร?
ต. ภิกษุวิวาทกันด้วยอาการ ๒ คือ เห็นว่าเป็นธรรม ๑ เห็นว่าไม่เป็นธรรม ๑.
ถ. วิวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
ต. วิวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ ด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยเยภุยยสิกา ๑
[๘๘๖] ถามว่า อนุวาทาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน?
ตอบว่า มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นประธาน มีความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง เป็นประธาน.
ถ. มีฐานเท่าไร?
ต. มีฐาน คือ วิบัติ ๔.
ถ. มีวัตถุเท่าไร?
ต. มีวัตถุ คือ วิบัติ ๔.
ถ. มีภูมิเท่าไร?
ต. มีภูมิ คือ วิบัติ ๔.
ถ. มีเหตุเท่าไร?
ต. มีเหตุ ๙ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓.
ถ. มีมูลเท่าไร?
ต. มีมูล ๑๔.
ถ. ภิกษุโจทด้วยอาการเท่าไร?
ต. ภิกษุโจทด้วยอาการ ๒ คือ ด้วยวัตถุ ๑ ด้วยอาบัติ ๑.
ถ. อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
ต. อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ ด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยสติวินัย ๑ ด้วยอมูฬหวินัย ๑ ด้วยตัสสปาปิยสิกา ๑.
[๘๘๗] ถามว่า อาปัตตาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน?
ตอบว่า มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นประธาน มีความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง เป็นประธาน.
ถ. มีฐานเท่าไร?
ต. มีฐาน คือ กองอาบัติ ๗.
ถ. มีวัตถุเท่าไร?
ต. มีวัตถุ คือ กองอาบัติ ๗.
ถ. มีภูมิเท่าไร?
ต. มีภูมิ คือ กองอาบัติ ๗.
ถ. มีเหตุเท่าไร?
ต. มีเหตุ ๙ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓.
ถ. มีมูลเท่าไร?
ต. มีมูล คือ สมุฏฐานอาบัติ ๖.
ถ. ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการเท่าไร?
ต. ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการ ๖ คือ ไม่ละอาย ๑ ไม่รู้ ๑ สงสัยแล้วขืนทำ ๑ สำคัญว่าควรในของไม่ควร ๑ สำคัญว่าไม่ควรในของควร ๑ ลืมสติ ๑.
ถ. อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
ต. อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ ด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ ด้วยติณวัตถารกะ ๑.
[๘๘๘] ถามว่า กิจจาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน?
ตอบว่า มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นประธาน มีความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง เป็นประธาน.
ถ. มีฐานเท่าไร?
ต. มีฐาน คือ กรรม ๔.
ถ. มีวัตถุเท่าไร?
ต. มีวัตถุ คือ กรรม ๔.
ถ. มีภูมิเท่าไร?
ต. มีภูมิ คือ กรรม ๔.
ถ. มีเหตุเท่าไร?
ต. มีเหตุ ๙ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓.
ถ. มีมูลเท่าไร?
ต. มีมูล ๑ คือ สงฆ์.
ถ. กิจเกิดด้วยอาการเท่าไร?
ต. กิจเกิดด้วยอาการ ๒ คือ ด้วยญัตติ ๑ ด้วยอปโลกน์. ๑
ถ. กิจจาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
ต. กิจจาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะอย่างหนึ่ง คือ ด้วยสัมมุขาวินัย.
[๘๘๙] ถามว่าสมถะ มีเท่าไร?
ตอบว่า สมถะมี ๗ คือ สัมมุขาวินัย สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ เยภุยยสิกา ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ สมถะมี ๗ เหล่านี้.
ถ. บางทีสมถะ ๗ เหล่านี้ เป็นสมถะ ๑๐ สมถะ ๑๐ เป็นสมถะ ๗ ด้วยอำนาจวัตถุโดยปริยาย หรือ?
ต. บางทีเป็นได้ ก็บางทีเป็นได้อย่างไร? คือ วิวาทาธิกรณ์มีสมถะ ๒ อนุวาทาธิกรณ์มีสมถะ ๔ อาปัตตาธิกรณ์มีสมถะ ๓ กิจจาธิกรณ์มีสมถะ ๑ อย่างนี้ที่สมถะ ๗ เป็นสมถะ ๑๐ สมถะ ๑๐ เป็นสมถะ ๗ ด้วยอำนาจวัตถุโดยปริยาย. ปริยายวารที่ ๖ จบ
สาธารณวารที่ ๗
[๘๙๐] ถามว่า สมถะเท่าไร ทั่วไปแก่วิวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ไม่ทั่วไปแก่วิวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ทั่วไปแก่อนุวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ไม่ทั่วไปแก่อนุวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ทั่วไปแก่อาปัตตาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ไม่ทั่วไปแก่อาปัตตาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ทั่วไปแก่กิจจาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ไม่ทั่วไปแก่กิจจาธิกรณ์?
ตอบว่า สมถะ ๒ อย่าง ทั่วไปแก่วิวาทาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา. สมถะ ๕ อย่าง ไม่ทั่วไปแก่วิวาทาธิกรณ์ คือ สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ.
สมถะ ๔ อย่าง ทั่วไปแก่อนุวาทาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปิยสิกา. สมถะ ๓ อย่าง ไม่ทั่วไปแก่อนุวาทาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา ปฏิญญาตกรณะ ติณวัตถารกะ.
สมถะ ๓ อย่าง ทั่วไปแก่อาปัตตาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย ปฏิญญาตกรณะ ติณวัตถารกะ. สมถะ ๔ อย่าง ไม่ทั่วไปแก่อาปัตตาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปิยสิกา.
สมถะอย่างหนึ่ง ทั่วไปแก่กิจจาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย. สมถะ ๖ อย่าง ไม่ทั่วไปแก่กิจจาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ. สาธารณวารที่ ๗ จบ
ตัพภาคิยวารที่ ๘
[๘๙๑] ถามว่า สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนนั้นแห่งวิวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไรเป็นไปในส่วนอื่นแห่งวิวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนนั้นแห่งอนุวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนอื่นแห่งอนุวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนนั้นแห่งอาปัตตาธิกรณ์? สมณะเท่าไร เป็นไปในส่วนอื่นแห่ง
อาปัตตาธิกรณ์? สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนนั้นแห่งกิจจาธิกรณ์? สมถะเท่าไรเป็นไปในส่วนอื่นแห่งกิจจาธิกรณ์?
ตอบว่า สมถะ ๒ อย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งวิวาทาธิกรณ์ คือสัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา. สมถะ ๕ อย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่งวิวาทาธิกรณ์ คือ สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ.
สมถะ ๔ อย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งอนุวาทาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปิยสิกา. สมถะ ๓ อย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่งอนุวาทาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา ปฏิญญาตกรณะ ติณวัตถารกะ.
สมถะ ๓ อย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งอาปัตตาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย ปฏิญญาตกรณะ ติณวัตถารกะ. สมถะ ๔ อย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่งอาปัตตาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปิยสิกา.
สมถะอย่างหนึ่ง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งกิจจาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย. สมถะ ๖ อย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่งกิจจาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ. ตัพภาคิยวารที่ ๘ จบ
วารที่ ๙ ว่าด้วยสมถะทั่วไปแก่สมถะ
[๘๙๒] สมถะทั่วไปแก่สมถะ สมถะไม่ทั่วไปแก่สมถะ สมถะบางอย่างทั่วไปแก่สมถะ สมถะบางอย่างไม่ทั่วไปแก่สมถะ.
ถามว่า อย่างไร สมถะบางอย่างทั่วไปแก่สมถะ อย่างไร สมถะบางอย่างไม่ทั่วไปแก่สมถะ?
ตอบว่า เยภุยยสิกา ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ.
สติวินัย ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา. อมูฬหวินัย ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย.
ปฏิญญาตกรณะ ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย. ตัสสปาปิยสิกา ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ.
ติณวัตถารกะ ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา.
สมถะบางอย่าง ทั่วไปแก่สมถะอย่างนี้ สมถะบางอย่าง ไม่ทั่วไปแก่สมถะอย่างนี้. วารที่ ๙ ว่าด้วยสมถะทั่วไปแก่สมถะ จบ
วารที่ ๑๐ ว่าด้วยสมถะเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ
[๘๙๓] สมถะเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ สมถะเป็นไปในส่วนอื่นแห่งสมถะ สมถะบางอย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ สมถะบางอย่างเป็นไปในส่วนอื่นแห่งสมถะ.
ถามว่า อย่างไร สมถะบางอย่างเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ อย่างไร สมถะบางอย่างเป็นไปในส่วนอื่นแห่งสมถะ?
ตอบว่า เยภุยยสิกาเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่งสติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ.
สติวินัยเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่งอมูฬหวินัยปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา.
อมูฬหวินัยเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่งปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย.
ปฏิญญาตกรณะเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่งตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย.
ตัสสปาปิยสิกาเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่งติณวัตถาร
กะเยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ.
ติณวัตถารกะ เป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่งเยภุยยสิกา
สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา.
สมถะบางอย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะอย่างนี้ สมถะบางอย่างเป็นไปในส่วน
อื่นแห่งสมถะอย่างนี้.
วารที่ ๑๐ ว่าด้วยสมถะเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ จบ
5.5 · IMDb นรกยึดไฟลต์ พ.ศ. 2568 ‧ กระตุกขวัญ/อาชญากรรม ‧ 1 ชม. 30 นาที (Flight Risk) 2025 ‧ Thriller/Crime ‧ 1h 30m|HD THAI
กับเรื่องราวของตำรวจอากาศสาว (มิเชลล์ ด็อกเคอรี) ที่ต้องพาผู้ร้ายสำคัญ (โทเฟอร์ เกรซ) บินข้ามฟ้าผ่านดินแดนรกร้างของรัฐอะแลสกา แต่การเดินทางครั้งนี้ต้องเปลี่ยนมาเป็นการเอาชีวิตรอดเมื่อนักบินบนเครื่องที่เหมือนจะธรรมดาคือวายร้ายตัวฉกาจมากด้วยทักษะสุดอันตราย(มาร์ก วาห์ลเบิร์ก) ที่ต้องการสังหารพยานเพื่อปิดปาก มหึมาความมันส์บนน่านฟ้ากว่า 10,000 ฟุตจึงได้เปิดฉากเล่นหลักดูไม่ได้ ลองกดตัวเล่นอื่น ตัวเล่นหลัก แจ้งปัญหา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น