Translate

04 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๓ ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคทรงพระชนม์อยู่เป็นต้น ว่าด้วยวัตถุแห่งการโจทเป็นต้น ว่าด้วยภิกขุโง่และฉลาดเป็นต้น

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคทรงพระชนม์อยู่เป็นต้น
     [๙๕๔] มีอยู่ อาบัติ เมื่อพระผู้มีพระภาคยังทรงพระชนม์ ภิกษุจึงต้อง เมื่อปรินิพพานแล้ว ไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ เมื่อพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ภิกษุจึงต้อง เมื่อยังทรงพระชนม์ไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ เมื่อพระผู้มีพระภาคยังทรงพระชนม์ก็ดี ปรินิพพานแล้วก็ดี ภิกษุต้อง.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกาล หาต้องในเวลาวิกาลไม่
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในเวลาวิกาล หาต้องในกาลไม่
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกาล และในเวลาวิกาล.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกลางคืน หาต้องในกลางวันไม่
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกลางวัน หาต้องในกลางคืนไม่
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกลางคืน และกลางวัน.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีพรรษา ๑๐ จึงต้อง มีพรรษาหย่อน ๑๐ ไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีพรรษาหย่อน ๑๐ จึงต้อง มีพรรษา ๑๐ ไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีพรรษา ๑๐ และมีพรรษาหย่อน ๑๐ ก็ต้อง.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีพรรษา ๕ จึงต้อง มีพรรษาหย่อน ๕ ไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีพรรษาหย่อน ๕ จึงต้อง มีพรรษา ๕ ไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีพรรษา ๕ และมีพรรษาหย่อน ๕ ก็ต้อง.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นกุศล จึงต้อง มีจิตเป็นอกุศลไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอกุศล จึงต้อง มีจิตเป็นกุศลไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอัพยากฤต จึงต้อง.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุพรั่งพร้อมด้วยสุขเวทนา จึงต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุพรั่งพร้อมด้วยทุกขเวทนา จึงต้อง
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุพรั่งพร้อมด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงต้อง.
ว่าด้วยวัตถุแห่งการโจทเป็นต้น
   [๙๕๕] วัตถุแห่งการโจทมี ๓ คือ เห็น ๑ ได้ยิน ๑ รังเกียจ ๑.
   การให้จับสลากมี ๓ คือ ปกปิด ๑ เปิดเผย ๑ กระซิบที่หู ๑.
   ข้อห้ามมี ๓ คือ ความมักมาก ๑ ความไม่สันโดษ ๑ ความไม่ขัดเกลา ๑.
   ข้ออนุญาตมี ๓ คือ ความมักน้อย ๑ ความสันโดษ ๑ ความขัดเกลา ๑.
   ข้อห้ามแม้อื่นอีก ๓ คือ ความมักมาก ๑ ความไม่สันโดษ ๑ ความไม่รู้จักประมาณ ๑.
   ข้ออนุญาตมี ๓ คือ ความมักน้อย ๑ ความสันโดษ ๑ ความรู้จักประมาณ ๑.
   บัญญัติมี ๓ คือ บัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติ ๑.
   บัญญัติแม้อื่นอีก ๓ คือ สัพพัตถบัญญัติ ๑ ปเทสบัญญัติ ๑ สาธารณบัญญัติ ๑.
   บัญญัติแม้อื่นอีก ๓ คือ อสาธารณบัญญัติ ๑ เอกโตบัญญัติ ๑ อุภโตบัญญัติ ๑.
ว่าด้วยภิกขุโง่และฉลาดเป็นต้น
   [๙๕๖] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุเป็นผู้โง่ จึงต้อง เป็นผู้ฉลาดไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุเป็นผู้ฉลาด จึงต้อง เป็นผู้โง่ไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุเป็นผู้ทั้งโง่ทั้งฉลาด จึงต้อง.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกาฬปักษ์ ไม่ต้องในชุณหปักษ์
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในชุณหปักษ์ ไม่ต้องในกาฬปักษ์
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องทั้งในกาฬปักษ์ และชุณหปักษ์.
   มีอยู่ การเข้าพรรษาย่อมควรในกาฬปักษ์ หาควรในชุณหปักษ์ไม่
   มีอยู่ ปวารณาในวันมหาปวารณา ย่อมควรในชุณหปักษ์ หาควรในกาฬปักษ์ไม่
   มีอยู่ สังฆกิจที่เหลือ ย่อมควรทั้งในกาฬปักษ์และชุณหปักษ์.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุย่อมต้องในฤดูหนาว ไม่ต้องในฤดูร้อนและในฤดูฝน
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุย่อมต้องในฤดูร้อน ไม่ต้องในฤดูหนาวและในฤดูฝน
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุย่อมต้องในฤดูฝน ไม่ต้องในฤดูร้อนและในฤดูหนาว.
 มีอยู่ อาบัติ สงฆ์ต้อง คณะ และบุคคล ไม่ต้อง
 มีอยู่ อาบัติ คณะต้อง สงฆ์ และบุคคล ไม่ต้อง
 มีอยู่ อาบัติ บุคคลต้อง สงฆ์ และคณะ ไม่ต้อง.
   มีอยู่ สังฆอุโบสถและสังฆปวารณา ควรแก่สงฆ์ ไม่ควรแก่คณะ และบุคคล
   มีอยู่ คณะอุโบสถ และคณะปวารณา ควรแก่คณะ ไม่ควรแก่สงฆ์ และบุคคล
   มีอยู่ อธิษฐานอุโบสถ และอธิษฐานปวารณา ควรแก่บุคคล ไม่ควรแก่สงฆ์ และคณะ.
ว่าด้วยการปิดเป็นต้น
   [๙๕๗] การปิดมี ๓ คือ ปิดวัตถุ ไม่ปิดอาบัติ ๑ ปิดอาบัติ ไม่ปิดวัตถุ ๑ ปิดทั้งวัตถุและอาบัติ ๑.
   เครื่องปกปิดมี ๓ คือ เครื่องปกปิด คือ เรือนไฟ ๑ เครื่องปกปิด คือ น้ำ ๑ เครื่องปกปิด คือ ผ้า ๑.
   สิ่งที่กำบังไม่เปิดเผยนำไปมี ๓ คือ มาตุคาม กำบังไม่เปิดเผยนำไป ๑ มนต์ของพวกพราหมณ์กำบังไม่เปิดเผยนำไป ๑ มิจฉาทิฏฐิกำบังไม่เปิดเผยนำไป ๑.
   สิ่งที่เปิดเผยไม่กำบังจึงรุ่งเรืองมี ๓ คือ ดวงจันทร์เปิดเผย ไม่กำบังจึงรุ่งเรือง ๑ ดวงอาทิตย์เปิดเผยไม่กำบังจึงรุ่งเรือง ๑ ธรรมวินัยอันพระตถาคตเจ้า ประกาศแล้วเปิดเผยไม่กำบังจึงรุ่งเรือง ๑.
   การให้ถือเสนาสนะมี ๓ คือ ให้ถือในวันเข้าพรรษาต้น ๑ ให้ถือในวันเข้าพรรษาหลัง ๑ ให้ถือพ้นระหว่างนั้น ๑.
ว่าด้วยอาพาธเป็นต้น
   [๙๕๘] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุอาพาธ จึงต้อง ไม่อาพาธ ไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่อาพาธ จึงต้อง อาพาธไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุอาพาธและไม่อาพาธก็ต้อง.
ว่าด้วยงดปาติโมกข์เป็นต้น
   [๙๕๙] การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรมมี ๓ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรมมี ๓.
   ปริวาสมี ๓ คือ ปฏิจฉันนปริวาส ๑ อัปปฏิจฉันนปริวาส ๑ สุทธันตปริวาส ๑.
   มานัตมี ๓ คือ ปฏิจฉันนมานัต ๑ อัปปฏิจฉันนมานัต ๑ ปักขมานัต ๑.
   รัตติเฉทของภิกษุผู้อยู่ปริวาสมี ๓ คือ อยู่ร่วม ๑ อยู่ปราศ ๑ ไม่บอก ๑.
ว่าด้วยต้องอาบัติภายในเป็นต้น
   [๙๖๐] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องภายใน ไม่ต้องภายนอก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องภายนอก ไม่ต้องภายใน
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องทั้งภายในทั้งภายนอก.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องภายในสีมา ไม่ต้องภายนอกสีมา
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องภายนอกสีมา ไม่ต้องภายในสีมา
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องทั้งภายในสีมา ทั้งภายนอกสีมา.
ว่าด้วยต้องอาบัติด้วยอาการ ๓ อย่างเป็นต้น
   [๙๖๑] ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ ต้องด้วยกาย ๑ ต้องด้วยวาจา ๑ ต้องด้วยกายวาจา ๑.
   ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการแม้อื่นอีก ๓ คือ ต้องในท่ามกลางสงฆ์ ๑ ต้องในท่ามกลางคณะ ๑ ต้องในสำนักบุคคล ๑.
   ภิกษุออกจากอาบัติด้วยอาการ ๓ คือ ออกด้วยกาย ๑ ออกด้วยวาจา ๑ ออกด้วยกายวาจา ๑.
   ภิกษุออกจากอาบัติด้วยอาการแม้อื่นอีก ๓ คือ ออกในท่ามกลางสงฆ์ ๑ ออกในท่ามกลางคณะ ๑ ออกในสำนักบุคคล ๑.
   ให้อมูฬหวินัยไม่เป็นธรรมมี ๓ ให้อมูฬหวินัยเป็นธรรมมี ๓.
ว่าด้วยข้อที่สงฆ์จำนงเป็นต้น
   [๙๖๒] ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงตัชชนียกรรม คือเป็นผู้ก่อความบาดหมาง จ่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาลไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ เป็นผู้คลุกคลีกับคฤหัสถ์ ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงนิยสกรรม คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมางก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ ในสงฆ์ ๑ เป็นพาล ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ เป็นผู้คลุกคลีกับคฤหัสถ์ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงปัพพาชนียกรรม คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาล ๑ ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงปฏิสารณียกรรม คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาล ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ ด่าบริภาษคฤหัสถ์ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่เห็นอาบัติ คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาล ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ ต้องอาบัติแล้วไม่ปรารถนาจะเห็นอาบัติ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่ทำคืนอาบัติ คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาล ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ ต้องอาบัติแล้วไม่ปรารถนาจะทำคืนอาบัติ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันเลวทราม คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาล ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ ไม่ปรารถนาจะสละคืนทิฏฐิอันเลวทราม ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงตั้งใจจับให้มั่น คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาลไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ คลุกคลีกับคฤหัสถ์ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ เป็นผู้มีศีลวิบัติในอธิศีล ๑ เป็นผู้มีอาจารวิบัติในอัชฌาจาร ๑ เป็นผู้มีทิฏฐิวิบัติในอติทิฏฐิ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ เป็นผู้ประกอบด้วยการเล่นทางกาย ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยการเล่นทางวาจา ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยการเล่นทางกายและวาจา ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ เป็นผู้ประกอบด้วยอนาจารทางกาย ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยอนาจารทางวาจา ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยอนาจารทั้งทางกายและวาจา ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ เป็นผู้ประกอบด้วยการลบล้างทางกาย ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยการลบล้างทางวาจา ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยการลบล้างทางกายและวาจา ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ เป็นผู้ประกอบด้วยมิจฉาชีพทางกาย ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยมิจฉาชีพทางวาจา ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยมิจฉาชีพทั้งทางกายและวาจา ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ ต้องอาบัติ ถูกสงฆ์ลงโทษแล้ว ทำการอุปสมบท ๑ ให้นิสัย ๑ ให้สามเณรอุปัฏฐาก ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ สงฆ์ลงโทษเพราะอาบัติใดต้องอาบัตินั้น ๑ ต้องอาบัติอื่นอันเช่นกัน ๑ ต้องอาบัติอันเลวทรามกว่านั้น ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ พูดติพระพุทธเจ้า ๑ พูดติพระธรรม ๑ พูดติพระสงฆ์ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ งดอุโบสถ ณ ท่ามกลางสงฆ์ สงฆ์พึงกำจัดเสียว่า อย่าเลยภิกษุ เธออย่าก่อความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาท แล้วทำอุโบสถ คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ งดปวารณา ณ ท่ามกลางสงฆ์ สงฆ์พึงกำจัดเสียว่า อย่าเลยภิกษุ เธออย่าก่อความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาท แล้วทำปวารณา คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์ไม่พึงให้สังฆสมมติอะไรๆ คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์ไม่พึงว่ากล่าว คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์ไม่พึงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งในหัวหน้าอะไร คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ ภิกษุทั้งหลายไม่พึงอาศัยอยู่ คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ ไม่พึงให้นิสัย คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ จะให้ทำโอกาส ไม่ควรทำโอกาส คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ ไม่พึงเชื่อถือคำให้การ คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ อันใครๆ ไม่พึงถามวินัย คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ ไม่พึงถามวินัย คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ อันภิกษุทั้งหลายไม่พึงตอบวินัย คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ ไม่พึงตอบวินัย คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ อันภิกษุทั้งหลายไม่พึงให้คำซักถาม คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ อันภิกษุทั้งหลายไม่พึงสนทนาวินัยด้วยกัน คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ ไม่พึงให้กุลบุตรอุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.

ว่าด้วยอุโบสถเป็นต้น
   [๙๖๓] อุโบสถมี ๓ คือ อุโบสถวันสิบสี่ ๑ อุโบสถวันสิบห้า ๑ อุโบสถสามัคคี ๑. อุโบสถแม้อื่นอีก ๓ คือ สังฆอุโบสถ ๑ คณะอุโบสถ ๑ ปุคคลอุโบสถ ๑. อุโบสถแม้อื่นอีก ๓ คือ สุตตุทเทศ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑.
       ปวารณามี ๓ คือ ปวารณาวันสิบสี่ ๑ ปวารณาวันสิบห้า ๑ ปวารณาสามัคคี ๑. ปวารณาแม้อื่นอีก ๓ คือ สังฆปวารณา ๑ คณะปวารณา ๑ ปุคคลปวารณา ๑. ปวารณาแม้อื่นอีก ๓ คือ ปวารณา ๓ หน ๑ ปวารณา ๒ หน ๑ ปวารณามีพรรษา
เท่ากัน ๑.
       บุคคลไปอบายไปนรกมี ๓ คือ ไม่เป็นพรหมจารี แต่ปฏิญญาว่าเป็นพรหมจารี ไม่ละปฏิญญาข้อนี้ ๑ โจทพรหมจารีผู้บริสุทธิ์ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ด้วยอพรหมจรรย์อันไม่มีมูล ๑ มีปกติกล่าวอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า กามทั้งหลายไม่มีโทษ ถึงความเป็นผู้หมกมุ่นในกามทั้งหลาย ๑.
       อกุศลมูลมี ๓ คือ อกุศลมูล คือโลภะ ๑ อกุศลมูล คือ โทสะ ๑ อกุศลมูลคือโมหะ ๑.
       กุศลมูลมี ๓ คือ กุศลมูล คือ อโลภะ ๑ กุศลมูล คือ อโทสะ ๑ กุศลมูลคืออโมหะ ๑.
       ทุจริตมี ๓ คือ กายทุจริต ๑ วจีทุจริต ๑ มโนทุจริต ๑.
       สุจริตมี ๓ คือ กายสุจริต ๑ วจีสุจริต ๑ มโนสุจริต ๑.
   พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติโภชนะ ๓ ในสกุล เพราะทรงอาศัยอำนาจประโยชน์ ๓ คือ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก เพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อประสงค์ว่าพวกมักมากอย่า อาศัยฝักฝ่ายทำลายสงฆ์ ๑ เพื่อทรงอนุเคราะห์สกุล ๑.
   พระเทวทัตมีจิตอันอสัทธรรม ๓ อย่าง ครอบงำย่ำยี จึงเกิดในอบายตกนรกชั่วกัลป์ช่วยเหลือไม่ได้ คือความปรารถนาลามก ๑ ความมีมิตรชั่ว ๑ พอบรรลุคุณวิเศษเพียงขั้นต่ำก็เลิกเสียในระหว่าง ๑.
   สมมติมี ๑ คือ สมมติไม้เท้า ๑ สมมติสาแหรก ๑ สมมติไม้เท้าและสาแหรก ๑. เขียงรองเท้าที่ตั้งอยู่ประจำเลื่อนไปมาไม่ได้มี ๓ คือ เขียงรองเท้าถ่ายวัจจะ ๑ เขียงรองเท้าถ่ายปัสสาวะ ๑ เขียงรองเท้าสำหรับชำระ ๑.
   สิ่งของสำหรับถูเท้ามี ๓ คือ ก้อนกรวด ๑ กระเบื้องถ้วย ๑ ฟองน้ำทะเล ๑.    หมวด ๓ จบ
หัวข้อประจำหมวด
 [๙๖๔] ทรงพระชนม์ ๑ กาล ๑ กลางคืน ๑ พรรษาสิบ ๑ พรรษาห้า ๑ กุศลจิต ๑ เวทนา ๑ วัตถุแห่งการโจท ๑ สลาก ๑ ข้อห้าม ๒ อย่าง ๑ ข้อบัญญัติ ๑ ข้อบัญญัติอื่นอีก
๒ อย่าง ๑ โง่ ๑ กาฬปักษ์ ๑ ควร ๑ ฤดูหนาว ๑ สงฆ์ ๑ แก่สงฆ์ ๑ การปิด ๑ เครื่อง ปกปิด ๑ สิ่งกำบัง ๑ สิ่งเปิดเผย ๑ เสนาสนะ ๑ อาพาธ ๑ ปาติโมกข์ ๑ ปริวาส ๑ มานัต ๑ ปริวาสิกภิกษุ ๑ ภายใน ๑ ภายในสีมา ๑ ต้องอาบัติ ๑ ต้องอาบัติอีก ๑ ออกจากอาบัติ ๑ ออกจากอาบัติอื่นอีก ๑ อมูฬหวินัย ๒ อย่าง ๑ ตัชชนียกรรม ๑ นิยสกรรม ๑ ปัพพานียกรรม ๑ ปฏิสารณียกรรม ๑ ไม่เห็นอาบัติ ๑ ไม่ทำคืนอาบัติ ๑ ไม่สละคืนทิฏฐิ ๑ จับให้มั่น ๑ กรรม ๑ อธิศีล ๑ คะนอง ๑ อนาจาร ๑ ลบล้าง ๑ อาชีวะ ๑ ต้องอาบัติ ๑ ต้องอาบัติเช่นนั้น ๑ พูดติ ๑ งดอุโบสถ ๑ งดปวารณา ๑ สมมติ ๑ ว่ากล่าว ๑ หัวหน้า ๑ ไม่อาศัยอยู่ ๑ ไม่ให้ นิสัย ๑ ไม่ทำโอกาส ๑ ไม่ทำการไต่สวน ๑ ไม่ถาม ๒ อย่าง ๑ ไม่ตอบ ๒ อย่าง ๑ แม้ซัก ถามก็ไม่พึงให้ ๑ สนทนา ๑ อุปสมบท ๑ นิสัย ๑ ให้สามเณรอุปัฏฐาก ๑ อุโบสถ ๓ หมวด ๓ อย่าง ๑ ปวารณา ๓ หมวด ๓ อย่าง ๑ เกิดในอบาย ๑ อกุศล ๑ กุศล ๑ ทุจริต ๑ สุจริต ๑ โภชนะ ๓ อย่าง ๑ อสัทธรรม ๑ สมมติ ๑ เขียงรองเท้า ๑ สิ่งของถูเท้า ๑ หัวข้อตามที่ กล่าวนี้รวมอยู่ในหมวด ๓.
หัวข้อประจำหมวด จบ
อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๓  [พรรณนาหมวด ๓]  วินิจฉัยในหมวด ๓ พึงทราบดังนี้ :-.  
       หลายบทว่า อตฺถาปตฺติ ติฏฺฐนฺเต ภควติ อาปชฺชติ มีความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายัง
ทรงอยู่ ภิกษุจึงต้องอาบัติใด อาบัตินั้นมีอยู่. มีนัยเหมือนกันทุกบท. 
       บรรดาอาบัติเหล่านั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงอยู่ ภิกษุจึงต้องอาบัติ เพราะโลหิตุปบาท.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ภิกษุจึงต้องยังทรงอยู่ไม่ต้องอาบัติ เพราะร้องเรียกพระเถระด้วย
วาทะว่า อาวุโส เป็นปัจจัย เพราะพระบาลีว่า อานนท์ ก็บัดนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ย่อมร้องเรียกกันและกัน
ด้วยวาทะว่า อาวุโส โดยเวลาที่เราล่วงไปเสีย ท่านทั้งหลายไม่พึงร้องเรียกกันและกันอย่างนั้น, อานนท์
ภิกษุผู้เถระอันภิกษุผู้ใหม่ พึงร้องเรียกด้วยวาทะว่า ภทนฺเต หรือว่า อายสฺมา ดังนี้. 
        เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงอยู่ก็ตาม ปรินิพพานแล้วก็ตาม เว้นอาบัติ ๒ เหล่านี้เสีย
        ภิกษุย่อมต้องอาบัติที่เหลือ. 
        เมื่อห้ามเสียแล้ว ฉันของเคี้ยวของฉันที่ไม่เป็นเดน ชื่อว่าต้องอาบัติในกาล หาต้องในวิกาลไม่.
แต่ย่อมต้องอาบัติเพราะวิกาลโภชน์ในวิกาล หาต้องในกาลไม่. ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ ทั้งในกาลและวิกาล. 
        ในเวลากลางคืน ย่อมต้องอาบัติเพราะนอนในเรือนร่วมกัน, ในเวลากลางวัน ย่อมต้องอาบัติ
เพราะไม่ปิดประตูเร้นอยู่. ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ ทั้งกลางคืนและกลางวัน. 
               ภิกษุผู้พาล ไม่ฉลาด เมื่อให้บริษัทอุปัฏฐาก ด้วยคิดว่า เรามีพรรษา ๑๐
เรามีพรรษาเกิน ๑๐ ผู้มีพรรษาครบ ๑๐ ย่อมต้อง ผู้มีพรรษาหย่อน ๑๐ ไม่ต้อง. 
               ภิกษุใหม่หรือปูนกลาง เมื่อให้บริษัทอุปัฏฐาก ด้วยคิดว่า เราเป็นบัณฑิต เราเป็น
คนฉลาด ผู้มีพรรษาหย่อน ๑๐ ย่อมต้อง ผู้มีพรรษาครบ ๑๐ ไม่ต้อง. 
               ทั้งภิกษุผู้มีพรรษาครบ ๑๐ ทั้งภิกษุผู้มีพรรษาหย่อน ๑๐ ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ. 
               ภิกษุผู้พาล ไม่ฉลาด เมื่อไม่ถือนิสัยอยู่ ด้วยคิดว่า เรามีพรรษาครบ ๕ ผู้มีพรรษา
ครบ ๕ ย่อมต้อง. 
               ภิกษุใหม่ไม่ถือนิสัยอยู่ ด้วยคิดว่า เราเป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาด ผู้มีพรรษา
หย่อน ๕ ย่อมต้อง. ทั้งภิกษุผู้มีพรรษาครบ ๕ ทั้งภิกษุผู้มีพรรษาหย่อน ๕ ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ. 
               ภิกษุผู้มีจิตเป็นกุศล ย่อมต้องอาบัติเห็นปานนี้ คือ บอกธรรมกะอนุปสัมบันว่าโดยบท,
แสดงธรรมแก่มาตุคาม. 
               ภิกษุผู้มีจิตเป็นอกุศล ย่อมต้องอาบัติต่างโดยชนิด มีปาราชิก, สุกกวิสัฏฐิ,
กายสังสัคคะ, ทุฏฐุลละ, อัตตกามปาริจริยา, ทุฏฐโทสะ, สังฆเภทะ, ปหารทานะ, ตลสัตติกะ เป็นต้น. 
               ผู้มีจิตเป็นอัพยากฤต ย่อมต้องอาบัติ มีไม่แกล้งนอนในเรือนร่วมกันเป็นต้น.
พระอรหันต์ย่อมต้องอาบัติใด ภิกษุผู้มีจิตเป็นอัพยากฤต ย่อมต้องอาบัตินั้นทั้งหมด. 
               ภิกษุผู้พร้อมเพรียงด้วยสุขเวทนา ย่อมต้องอาบัติต่างชนิดมีเมถุนธรรมเป็นต้น.
ผู้พร้อมเพรียงด้วยทุกขเวทนา ย่อมต้องอาบัติต่างชนิดมีทุฏฐโทสะเป็นต้น. 
               ผู้พร้อมเพรียงด้วยสุขเวทนา ย่อมต้องอาบัติใด ภิกษุผู้มีตนมัธยัสถ์ (วางเฉย)
เมื่อต้องอาบัตินั้นแล ชื่อว่าผู้พร้อมเพรียงด้วยอทุกขมสุขเวทนาต้อง (อาบัติ).
               ข้อว่า ตโย ปฏิกฺเขปา มีความว่า ข้อห้าม ๓ อย่าง ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
คือ ความเป็นผู้มักมาก ความเป็นผู้ไม่สันโดษในปัจจัย ๔ ความไม่รักษาข้อปฏิบัติอันขูดเกลากิเลส,
ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้แล อันพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงห้ามแล้ว. 
               ส่วนธรรม ๓ อย่าง มีความเป็นผู้มักน้อยเป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
ทรงอนุญาตแล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม ๓ อย่าง ทรงอนุญาต. 
               ภิกษุให้บริษัทอุปัฏฐาก ด้วยคิดว่า เรามีพรรษาครบ ๑๐ ไม่ถือนิสัย ด้วยคิดว่า
เรามีพรรษาครบ ๕ ผู้โง่เขลาต้อง ผู้ฉลาดไม่ต้อง. 
               ผู้มีพรรษาหย่อน ๑๐ คิดว่า เราเป็นผู้ฉลาด เมื่อให้บริษัทอุปัฏฐาก เพราะความเป็น
พหุสุตบุคคล และผู้มีพรรษาหย่อน ๕ ไม่ถือนิสัย ผู้ฉลาดต้องผู้โง่เขลาไม่ต้อง. 
               ทั้งผู้ฉลาด ทั้งผู้โง่เขลา ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ. 
               เมื่อไม่เข้าพรรษา ย่อมต้องในกาฬปักข์ ไม่ต้องในชุณหปักข์. เมื่อไม่ปวารณาในวัน
มหาปวารณา ย่อมต้องในชุณหปักข์ ไม่ต้องในกาฬปักข์. ย่อมต้องอาบัติที่เหลือทั้งในกาฬปักข์และชุณหปักข์.
               การเข้าพรรษา ย่อมสำเร็จในกาฬปักข์ ไม่สำเร็จในชุณหปักข์. 
               ปวารณาในวันมหาปวารณา ย่อมสำเร็จ ในชุณหปักข์ ไม่สำเร็จในกาฬปักข์. 
               สังฆกิจที่ทรงอนุญาตที่เหลือ ย่อมสำเร็จทั้งในกาฬปักข์และชุณหปักข์. 
               ภิกษุนุ่งผ้าอาบน้ำฝนที่วิกัปป์เก็บไว้ในวันปาฏิบทหลัง แต่เพ็ญเดือนกัตติกาหลัง ย่อมต้องในฤดูเหมันต์. 
               แต่ในกุรุนที กล่าวว่า ไม่ถอนในวันเพ็ญเดือนกัตติกาหลัง ย่อมต้องในฤดูเหมันต์.
คำในอรรถกถากุรุนทีแม้นั้นท่านกล่าวชอบ. เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เราอนุญาตให้ภิกษุ
อธิษฐานตลอด ๔ เดือน ต่อแต่นั้นไป อนุญาตให้วิกัปป์. 
               เมื่อฤดูร้อนยังเหลือกว่า ๑ เดือน ภิกษุแสวงหา และเมื่อฤดูร้อนยังเหลือกว่ากึ่งเดือน
ภิกษุทำนุ่ง ชื่อว่าย่อมต้องอาบัติในคิมหฤดู.
               เมื่อมีผ้าอาบน้ำฝน แต่เปลือยกายอาบน้ำฝน ชื่อว่าย่อมต้องอาบัติในฤดูฝน. 
               สงฆ์เมื่อทำปาริสุทธิอุโบสถหรืออธิษฐานอุโบสถ ย่อมต้องอาบัติ. 
               คณะเมื่อทำสุตตุทเทสและอธิฏฐานอุโบสถ ย่อมต้องอาบัติ. 
               ภิกษุผู้เดียว เมื่อทำสุตตุทเทส ย่อมต้องอาบัติ. แม้ในปวารณาก็นัยนี้แล.
               สังฆอุโบสถ และสังฆปวารณา ย่อมสำเร็จแก่สงฆ์เท่านั้น. 
               คณะอุโบสถ และคณะปวารณา ย่อมสำเร็จแก่คณะเท่านั้น. 
               อธิษฐานอุโบสถและอธิษฐานปวารณา ย่อมสำเร็จแก่บุคคลเท่านั้น.
                              [ว่าด้วยการปิด ๓ อย่างเป็นต้น]               
               เมื่อกล่าวคำว่า ข้าพเจ้าต้องปาราชิก เป็นต้น ชื่อว่าปิดวัตถุ ไม่ปิดอาบัติ.
               เมื่อกล่าวคำว่า ข้าพเจ้าได้เสพเมถุนธรรม เป็นต้น ชื่อว่าปิดอาบัติไม่ปิดวัตถุ. 
               ภิกษุใด ไม่บอกวัตถุ ไม่บอกอาบัติ, ภิกษุนี้ ชื่อว่าปิดทั้งวัตถุทั้งอาบัติ. 
               ที่ชื่อว่าที่กำบัง เพราะปกปิดไว้. 
               ที่กำบัง คือเรือนไฟ ชื่อว่า ชนฺตาฆรปฏิจฺฉาทิ. แม้ในที่กำบังนอกนี้ ก็มีนัยเหมือนกัน. 
               ภิกษุผู้ปิดประตูอยู่ภายในเรือนไฟ ควรทำบริกรรม. แม้ภิกษุผู้แช่อยู่ในน้ำ
ก็ควรทำบริกรรมนั้นเหมือนกัน. แต่ไม่ควรขบเคี้ยวหรือฉันในสถานทั้ง ๒. 
               ของอันปกปิด คือ ผ้า ควรในที่ทั้งปวง. 
               ภิกษุผู้ปกปิด (กาย) ด้วยของปกปิด คือ ผ้านั้นแล้ว สมควรทำกิจทั้งปวง. 
               บทว่า วหนฺติ มีความว่า ย่อมไป คือย่อมออกไป ได้แก่ไม่ได้ความติเตียนหรือคำคัดค้าน.
ดวงจันทร์พ้นจากเมฆ หมอก ควัน ธุลีและราหูแล้ว เปิดเผยดี ย่อมรุ่งเรือง, อันสิ่งเหล่านั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง
กำบังแล้ว ย่อมไม่รุ่งเรือง. ดวงอาทิตย์ก็เหมือนกัน. แม้ธรรมวินัยที่ภิกษุเปิดเผยจำแนก แสดงอยู่แล
จึงรุ่งเรือง, ปกปิดไว้หารุ่งเรืองไม่.
                              [ว่าด้วยอาบัติที่ผู้อาพาธต้องเป็นต้น]           
               ภิกษุผู้อาพาธ เมื่อออกปากขอเภสัชอย่างอื่น ในเมื่อจำเป็นต้องทำด้วยเภสัชอย่างอื่น ย่อมต้อง (อาบัติ).
               ผู้ไม่อาพาธ เมื่อออกปากขอเภสัช ในเมื่อไม่จำเป็นต้องทำด้วยเภสัช ย่อมต้อง. 
               ภิกษุทั้งอาพาธและไม่อาพาธ ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ. 
               ข้อว่า อนฺโต อาปชฺชติ โน พหิ มีความว่า เมื่อสำเร็จการนอนเข้าไปเบียด (ภิกษุเข้าไปก่อน) ย่อมต้อง. 
               ข้อว่า พหิ อาปชฺชติ โน อนฺโต มีความว่า เมื่อตั้งเตียงเป็นต้นของสงฆ์ไว้กลางแจ้งแล้วหลีกไป
ชื่อว่าย่อมต้องในภายนอก. ย่อมต้องอาบัติที่เหลือทั้งภายในและภายนอก. 
               ข้อว่า อนฺโต สีมาย มีความว่า ภิกษุอาคันตุกะ เมื่อไม่แสดงอาคันตุกวัตร กางร่มสวมรองเท้า
เข้าสู่วิหาร แต่พอเข้าอุปจารสีมา ก็ต้อง. 
               ข้อว่า พหิ สีมาย มีความว่า ภิกษุเตรียมจะไป เมื่อไม่บำเพ็ญคมิกวัตร มีเก็บงำภัณฑะไม้เป็นต้น
หลีกไป แต่พอก้าวล่วงอุปจารสีมาก็ต้อง. ย่อมต้องอาบัติที่เหลือทั้งภายในสีมาและภายนอกสีมา.
                              [ว่าด้วยอาบัติที่ต้องในท่ามกลางสงฆ์เป็นต้น]
               เมื่อภิกษุผู้แก่กว่า มีอยู่ ภิกษุไม่ได้รับเผดียงกล่าวธรรมชื่อว่าต้องในท่ามกลางสงฆ์.
ในท่ามกลางคณะก็ดี ในสำนักบุคคลก็ดี ก็นัยนี้แล. 
               ออก (จากอาบัติ) ด้วยติณวัตถารกสมถะ ชื่อว่าออกด้วยกาย. 
               เมื่อภิกษุไม่ยังกายให้ไหว แสดงด้วยวาจา อาบัติชื่อว่าออกด้วยวาจา. 
               เมื่อทำกิริยาทางกายประกอบกับวาจาแสดง อาบัติชื่อว่าออกด้วยกายด้วยวาจา. 
               อาบัติที่เป็นทั้งเทสนาคามินีทั้งวุฏฐานคามินี ย่อมออกในท่ามกลางสงฆ์.
แต่ว่า เพราะอาบัติเป็นเทสนาคามินีเท่านั้น ย่อมออกในท่ามกลางคณะและบุคคล.
5.7/10 · IMDb เร็ว..แรง ทะลุไทเป พ.ศ. 2567 ‧ แอคชั่น/กระตุกขวัญ
‧ 1 ชม. 41 นาทีWeekend in Taipei 2024
‧ Action/Thriller ‧ 1h 41m|HD THAI 
ดูหนังออนไลน์ Weekend in Taipei (2024) เร็ว..แรง ทะลุไทเป

อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติด และอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ
สืบสวน ได้กลับมาย้อนรอยความรักของทั้งสองที่เมืองไทเป โดยที่
ไม่รู้เลยว่า ที่แห่งนี้มีอันตรายที่เป็นผลลัพธ์จากการกระทำในอดีตของ
ทั้งสองเฝ้ารออยู่
[ว่าด้วยองค์เป็นเหตุลงโทษและเพิ่มโทษ] สองบทว่า อาคาฬฺหาย เจเตยฺย มีความว่า สงฆ์พึงตั้งใจเพื่อความแน่นเข้า คือเพื่อความมั่นคง. อธิบายว่า สงฆ์เมื่อปรารถนา พึงลงอุกเขปนียกรรม แก่ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงตัชชนียกรรมเป็นต้นแล้ว ไม่ยังวัตรให้เต็ม. ในคำว่า อลชฺชี จ โหติ พาโล จ อปกตตฺโต จ นี้ มีความว่า ไม่พึงลงโทษด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ว่า ผู้นี้เป็น ผู้โง่ ไม่รู้จักธรรมและอธรรม หรือว่า ผู้นี้มิใช่ปกตัตต์ ไม่รู้จัก อาบัติและมิใช่อาบัติ. พึงลงโทษแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติ ซึ่งมี ความเป็นผู้โง่เป็นมูลและมีความเป็นไม่ใช่ผู้ปกตัตต์เป็นมูล. ผู้ต้องอาบัติ ๒ กอง ชื่อว่าผู้เสียศีลในอธิศีล. ผู้ต้องอาบัติ ๕ กอง ชื่อว่าผู้เสียอาจาระ. ผู้ประกอบด้วยอันตคาหิกทิฏฐิ ชื่อว่าผู้เสียทิฏฐิ. พึงลงโทษแก่ภิกษุเหล่านั้น ผู้ไม่เห็น ไม่ทำคืนอาบัติ และผู้ไม่ยอมสละทิฏฐิเท่านั้น. อนาจารต่างโดยชนิดมีเล่นการพนันเป็นต้น ด้วย เครื่องเล่นมีสกา๑- เป็นอาทิ ชื่อว่าเล่นทางกาย. อนาจารต่างโดยชนิดมีทำเปิงมางปากเป็นต้น ชื่อว่า เล่นทางวาจา. อนาจารทางทวารทั้ง ๒ ต่างโดยชนิดมีฟ้อนและขับ เป็นต้น ชื่อว่าเล่นทางวาจา. อนาจารทวารทั้ง ๒ ต่างโดยชนิดมีฟ้อนและขับ เป็นต้น ชื่อว่าเล่นทางกายและทางวาจา. ความก้าวล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติในกายทวาร ชื่อว่าอนาจารทางกาย ความก้าวล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติในวจีทวาร ชื่อว่าอนาจารทางวาจา ความก้าวล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติในทวาร ทั้ง ๒ ชื่อว่าอนาจารทางกายทวารและทางวจีทวาร. สองบทว่า กายิเกน อุปฆาติเกน ได้แก่ ด้วยการไม่ศึกษาสิกขาบทที่ทรงบัญญัติในกายทวาร. จริงอยู่ ภิกษุใดไม่ศึกษาสิกขาบทนั้น ภิกษุนั้น ชื่อว่าผลาญสิกขาบทนั้น. เพราะเหตุนั้น การไม่ศึกษานั้น ของภิกษุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า การผลาญเป็นไปทางกาย. แม้ใน ๒ สิกขาบทที่เหลือ ก็นัยนี้แล. ข้อว่า กายิเกน มิจฺฉาชีเวน ได้แก่ ด้วยการรับใช้ของคฤหัสถ์มีเดินส่งข่าวเป็นต้นก็ดี ด้วยเวชกรรมมีผ่าฝีเป็นต้นก็ดี. บทว่า วาจสิเกน ได้แก่ ด้วยรับหรือบอกข่าว (ของคฤหัสถ์) เป็นต้น. บทที่ ๓ ท่านกล่าวด้วยอำนาจประกอบบททั้ง ๒ เข้าด้วยกัน. หลายบทว่า อลํ ภิกฺขุ มา ภณฺฑนํ มีความว่า อย่าเลยภิกษุ เธออย่าทำความบาดหมาง อย่าทำความทะเลาะ อย่าทำความแก่งแย่ง อย่าก่อวิวาท. บทว่า น โวหริตพฺโพ ได้แก่ ไม่พึงว่ากล่าวอะไรเลย. จริงอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ย่อมไม่สำคัญที่จะพึงฟังถ้อยคำของภิกษุเช่นนั้น แม้ว่ากล่าวอยู่. ข้อว่า น กิสฺมิญฺจิ ปจฺเจกฏฺฐาเน มีความว่า (ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ คือเป็นอลัชชีเป็นต้น) อันสงฆ์ไม่พึงตั้งไว้ในตำแหน่งหัวหน้าไรๆ คือแม้ ตำแหน่งเดียว มีถือพัด (อนุโมทนา) เป็นต้น. สองบทว่า โอกาสํ การาเปนฺตสฺส มีความว่า (ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ คือเป็นอลัชชีเป็นต้น) ซึ่งขอโอกาสอยู่อย่างนี้ว่า ขอท่านจงให้โอกาส ข้าพเจ้าอยากพูดกะท่าน. ข้อว่า นาลํ โอกาสกมฺมํ กาตุํ มีความว่า โอกาสอันภิกษุไม่พึงทำว่า ท่านจักทำอะไร? ดังนี้. ข้อว่า สวจนียํ นาทาตพฺพํ มีความว่า คำให้การ ไม่ควรเชื่อถือ คือแม้ถ้อยคำ ก็ไม่ควรฟัง ไม่ควรไปในที่ซึ่งเธอประสงค์จะเกาะตัวไป. หลายบทว่า ตีหงฺเคหิ สมนฺนาคตสฺส ภิกฺขุโน วินโย มีความว่า ภิกษุนั้นย่อมรู้วินัยใด วินัยนั้นย่อมเป็นวินัยของเธอ วินัยนั้น อันสงฆ์ไม่พึงถาม. สองบทว่า อนุโยโค น ทาตพฺโพ มีความว่า สงฆ์ไม่พึงให้โอกาสเพื่อถาม แก่ภิกษุพาลนั้น ผู้ถามอยู่ว่า นี้ควรหรือ? เธออันสงฆ์พึงตอบว่า จงถามภิกษุอื่น. แม้ภิกษุใด ย่อมถามภิกษุนั้น ภิกษุนั้น อันภิกษุผู้บัณฑิตพึงกล่าวว่า ท่านจงถามภิกษุอื่น เพราะเหตุนั้น ภิกษุพาลนั้น อันภิกษุอื่นไม่พึงถามเลยทีเดียว คือคำถามของภิกษุพาลนั้น อันใครๆ ไม่พึงฟัง. สองบทว่า วินโย น สากจฺฉิตพฺโพ มีความว่า ปัญหาวินัยอันใครๆ ไม่พึงสนทนา คือเรื่องที่ควรหรือไม่ควร ก็ไม่พึงสนทนา (กับภิกษุพาลนั้น). ๑- ปาสกาทีหิ, ปาสก = Throw = ทอดลูกบาท - เล่นสกา [ว่าด้วยชาวอบาย ๓ พวกเป็นต้น] สองบทว่า อิทมปฺปหาย ได้แก่ ไม่สละลัทธิมีความเป็นผู้ปฏิญญาว่า ตนเป็นพรหมจารีบุคคลเป็นต้นนั่น. สองบทว่า สุทฺธํ พฺรหฺมจารึ ได้แก่ ภิกษุผู้ขีณาสพ. สองบทว่า ปาตพฺยตํ อาปชฺชติ ได้แก่ ถึงความเป็นผู้ตกไปคือการเสพ. แต่เพราะพระบาลีว่า อิทมปฺปหาย บุคคลนั้น พึงละความปฏิญญาว่าตนเป็นพรหมจารีบุคคลนั้นเสียแล้ว ขอขมาพระขีณาสพเสียว่า ข้าพเจ้า กล่าวเท็จ ขอท่านจงอดโทษแก่ข้าพเจ้า แล้วสละลัทธิที่ว่า โทษในกามทั้งหลายไม่มีเสีย ทำการชำระคติให้สะอาด. อกุศลทั้งหลายด้วย รากเหง้าทั้งหลาย ชื่อว่าอกุศลมูล. อีกอย่างหนึ่ง รากเหง้าของอกุศลทั้งหลาย ชื่อว่าอกุศลมูล. แม้ในกุศลมูล ก็นัยนี้แล. ความประพฤติชั่วหรือความประพฤติผิดรูป ชื่อว่าทุจริต. ความประพฤติเรียบร้อยหรือความประพฤติที่ดี ชื่อว่าสุจริต. ทุจริต ที่ทำด้วยกายอันเป็นทางสำหรับทำ ชื่อว่ากายทุจริต. ในบททั้งปวง ก็นัยนี้แล. คำที่เหลือ นับว่าชัดเจนแล้ว เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในที่นั้นๆ ฉะนี้แล. พรรณนาหมวด ๓ จบ.

ไม่มีความคิดเห็น: