
คาถาสังคณิกะอีกนัยหนึ่ง เรื่องโจทเป็นต้น
[๑๐๖๙] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า การโจทเพื่อประสงค์อะไร? การสอบสวนเพื่อเหตุอะไร? สงฆ์เพื่อประโยชน์อะไร? ส่วนการลงมติเพื่อเหตุอะไร?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การโจทเพื่อประสงค์ให้ระลึกถึงความผิด. การสอบสวนเพื่อประสงค์จะข่ม สงฆ์เพื่อประโยชน์ให้ช่วยกันพิจารณา ส่วนการลงมติ เพื่อให้การวินิจฉัยแต่ละเรื่องเสร็จสิ้นไป.
เธออย่าด่วนพูด อย่าพูดเสียงดุดัน อย่ายั่วความโกรธ ถ้าเธอเป็นผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ อย่าพูดโดยผลุนผลัน อย่ากล่าวถ้อยคำชวนวิวาท ไม่กอปรด้วยประโยชน์ วัตรคือการซักถาม อนุโลมแก่สิกขาบทอันพระพุทธเจ้าผู้เฉียบแหลม มีพระปัญญาทรงวางไว้ ตรัสไว้ดีแล้ว ในพระสูตร อุภโตวิภังค์ ในพระวินัย คือ
ขันธกะ ในอนุโลม คือ บริวาร ในพระบัญญัติ คือ วินัยปิฎก และในอนุโลมิกะ คือ มหาประเทศ เธอจงพิจารณา วัตรคือการซักถามนั้น อย่าให้เสียคติที่เป็นไปในสัมปรายภพ เธอผู้ใฝ่หาประโยชน์เกื้อกูล จงซักถามถ้อยคำที่กอปรด้วยประโยชน์ โดยกาล สำนวนที่กล่าวโดยผลุนผลันของจำเลย และโจทก์ เธออย่า
พึงเชื่อถือโจทก์ฟ้องว่าต้องอาบัติ แต่จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ต้องอาบัติ เธอต้องสอบสวนทั้งสองฝ่าย พึงปรับตามคำรับสารภาพ และถ้อยคำสำนวน คำรับสารภาพ เรากล่าวไว้ในหมู่ภิกษุลัชชี แต่ข้อนั้น ไม่มีในหมู่ภิกษุอลัชชี อนึ่ง ภิกษุอลัชชีพูดมาก เธอพึงปรับตามถ้อยคำสำนวน ดังกล่าวแล้ว.
อลัชชีบุคคล
[๑๐๗๐] อุ. อลัชชีเป็นคนเช่นไร คำรับสารภาพของผู้ใดฟังไม่ขึ้น ข้าพระพุทธเจ้าทูลถามพระองค์ถึงข้อนั้น คนเช่นไร พระองค์ตรัสเรียกว่าอลัชชีบุคคล?
พ. ผู้ที่แกล้งต้องอาบัติ ปกปิดอาบัติ และถึงอคติ คนเช่นนี้เราเรียกว่า อลัชชีบุคคล.
ลัชชีบุคคล
[๑๐๗๑] อุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็ทราบเกล้าว่าคนเช่นนี้ เป็นอลัชชีบุคคล แต่ข้าพระพุทธเจ้าทูลถามพระองค์ถึงข้ออื่น คนเช่นไร พระองค์ตรัสเรียกว่า ลัชชีบุคคล?
พ. ผู้ที่ไม่แกล้งต้องอาบัติ ไม่ปกปิดอาบัติ ไม่ถึงอคติ คนเช่นนี้
เราเรียกว่า ลัชชีบุคคล.
บุคคลผู้โจทก์ไม่เป็นธรรม
[๑๐๗๒] อุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็ทราบเกล้าว่า คนเช่นนี้ตรัสเรียกว่า ลัชชีบุคคล แต่ข้าพระพุทธเจ้าทูลถามพระองค์ถึงผู้อื่น คนเช่นไรตรัสเรียกว่า ผู้โจทก์ไม่เป็นธรรม?
พ. ภิกษุโจทโดยกาลไม่ควร ๑ โจทด้วยเรื่องไม่เป็นจริง ๑ โจทด้วยคำหยาบ ๑ โจทด้วยคำไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ มุ่งร้ายโจท ไม่มีเมตตาจิตโจท ๑ คนเช่นนี้ เราเรียกว่า ผู้โจทก์ไม่เป็นธรรม.
บุคคลผู้โจทก์เป็นธรรม
[๑๐๗๓] อุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็ทราบเกล้าว่า คนเช่นนี้ตรัสเรียกว่า ผู้โจทก์ไม่เป็นธรรม แต่ข้าพระพุทธเจ้า ทูลถามพระองค์ถึงข้ออื่น คนเช่นไรตรัสเรียกว่าผู้โจทก์เป็นธรรม?
พ. ภิกษุโจทโดยกาล ๑ โจทด้วยเรื่องจริง ๑ โจทด้วยคำสุภาพ ๑ โจทด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ ๑ มีเมตตาจิตโจท ไม่มุ่งร้ายโจท ๑ คนเช่นนี้เราเรียกว่า ผู้โจทก์เป็นธรรม.
คนโจทก์ผู้โง่เขลา
[๑๐๗๔] อุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็ทราบเกล้าว่าบุคคลเช่นนี้ ตรัสเรียกว่า ผู้โจทก์เป็นธรรม แต่ข้าพระพุทธเจ้า ทูลถามพระองค์ถึงข้ออื่น คนเช่นไร ตรัสเรียกว่าโจทก์ผู้เขลา?
พ. บุคคลไม่รู้คำต้นและคำหลัง ๑ ไม่ฉลาดในคำต้นและคำหลัง ๑ ไม่รู้ทางแห่งถ้อยคำอันต่อเนื่องกัน ๑ ไม่ฉลาดต่อทางแห่งถ้อยคำอันต่อเนื่องกัน ๑ คนเช่นนี้เราเรียกว่าโจทก์ผู้เขลา.
คนโจทก์ผู้ฉลาด
[๑๐๗๕] อุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็ทราบเกล้าว่า คนเช่นนี้ตรัสเรียกว่า โจทก์ผู้เขลา แต่ข้าพระพุทธเจ้าทูลถามพระองค์ถึงข้ออื่นคนเช่นไร ตรัสเรียก โจทก์ผู้ฉลาด?
พ. บุคคลรู้คำต้นและคำหลัง ๑ ฉลาดในคำต้นและคำหลัง ๑ รู้ทางแห่งถ้อยคำอันต่อเนื่องกัน ๑ ฉลาดต่อทางแห่งถ้อยคำอันต่อเนื่องกัน ๑ คนเช่นนี้เราเรียกว่า โจทก์ผู้ฉลาด.
การโจท
[๑๐๗๖] อุ. จริง พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็ทราบเกล้าว่า คนเช่นนี้ ตรัสเรียกว่า โจทก์ผู้ฉลาด แต่ข้าพระพุทธเจ้าขอทูลถามพระองค์ถึงข้ออื่น อย่างไร พระองค์ตรัสว่าเรียกว่าการโจท?
พ. เพราะเหตุที่โจทด้วยศีลวิบัติ ๑ อาจารวิบัติ ๑ ทิฏฐิวิบัติ ๑ และแม้ด้วยอาชีววิบัติ ๑ ฉะนั้น เราจึงเรียกว่าการโจท.
คาถาสังคณิกะอีกนัยหนึ่ง จบ
![]() |
อรรถกถา ปริวาร คาถาสังคณิกะอีกนัยหนึ่ง เรื่องโจทเป็นต้นทุติยคาถาสังคณิกวัณณนา วินิจฉัยในทุติยคาถาสังคณิกะ พึงทราบดังนี้ :- |
วาจาที่แสดงไล่เลียงวัตถุและอาบัติ ชื่อว่าโจทนา.
วาจาที่เตือนให้นึกถึงโทษ ชื่อว่าสารณา.
สองบทว่า สงฺโฆ กิมตฺถาย มีความว่า ประชุมสงฆ์เพื่อประโยชน์อะไร?
บาทคาถาว่า มติกมฺมํ ปน กิสฺส การณา มีความว่า ความเข้าใจ ความประสงค์ ตรัสว่า มติกรรม มติกรรมนั้น ตรัสไว้เพราะเหตุแห่งอะไร?
บาทคาถาว่า โจทนา สารณตฺถาย มีความว่า วาจาสำหรับไล่เลียงมีประการดังกล่าวแล้ว เพื่อประโยชน์ที่จะเตือนให้นึกถึงโทษที่บุคคลผู้เป็นจำเลยนั้นได้กระทำแล้ว.
บาทคาถาว่า นิคฺคหตฺถาย สารณา มีความว่า ส่วนวาจาที่จะเตือนให้นึกถึงโทษ เพื่อประโยชน์ที่จะข่มบุคคลนั้น.
บาทคาถาว่า สงฺโฆ ปริคฺคหตฺถาย มีความว่า สงฆ์ผู้ประชุมกัน ณ ที่นั้น เพื่อประโยชน์ที่จะช่วยกันวินิจฉัย. อธิบายว่า เพื่อประโยชน์ที่จะพิจารณาว่า เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม คือเพื่อประโยชน์ที่จะทราบว่า อธิกรณ์นั้นได้วินิจฉัยถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง.
บาทคาถาว่า มติกมฺมํ ปน ปาฏิเยกฺกํ มีความว่า ความเข้าใจ ความประสงค์ของพระเถระผู้เป็นนักพระสูตร และพระเถระผู้เป็นนักวินัยทั้งหลาย ก็เพื่อให้วินิจฉัยสำเร็จเป็นแผนกๆ.
หลายบทว่า มา โข ปฏิฆํ มีความว่า อย่าก่อความโกรธในจำเลยหรือโจทก์.
หลายบทว่า สเจ อนุวิชฺชโก ตุวํ มีความว่า ถ้าว่าท่านเป็นพระวินัยธรนั่งวินิจฉัยอธิกรณ์ ซึ่งหยั่งลงในท่ามกลางสงฆ์.
บทว่า วิคฺคาหิยํ มีความว่า (ท่านอย่าได้กล่าวถ้อยคำชวนวิวาท) ซึ่งเป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้หรือ?
บทว่า อนตฺถสญฺหิตํ มีความว่า อย่ากล่าวถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย คือทำบริษัทให้ปั่นป่วนลุกลามขึ้น.
วินิจฉัยในบทว่า สุตฺเต วินเย เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :-
อุภโตวิภังค์ ชื่อว่าสูตร, ขันธกะ ชื่อว่าวินัย, บริวาร ชื่อว่าอนุโลม, วินัยปิฏกทั้งสิ้น ชื่อว่าบัญญัติ, มหาปเทส ๔ ชื่อว่าอนุโลมิกะ.
บาทคาถาว่า อนุโยควตฺตํ นิสาเมถ มีความว่า ท่านจงพิจารณาวัตรในการซักถาม.
บาทคาถาว่า กุสเลน พุทฺธิมตา กตํ มีความว่า อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เฉียบแหลมเป็นบัณฑิต บรรลุความสำเร็จแห่งพระญาณ ทรงนำออกตั้งไว้.
บทว่า สุวุตฺตํ มีความว่า อันพระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ดีแล้ว.
บทว่า สิกฺขาปทานุโลมิกํ มีความว่า เหมาะแก่สิกขาบททั้งหลายเนื้อความเฉพาะบทเท่านี้ก่อน.
ส่วนพรรณนาโดยย่อพร้อมทั้งอธิบายในคาถานี้ ดังนี้ :-
ถ้าว่า ท่านผู้ว่าอรรถคดี อย่ากล่าวผลุนผลัน อย่ากล่าวถ้อยคำชวนวิวาท ไม่ประกอบด้วยประโยชน์, ก็วัตรในการซักถามอันใด อันพระโลกนาถผู้ฉลาดมีปัญญาทรงจัดไว้ แต่งตั้งไว้ดี ในสูตรเป็นต้นเหล่านั้น อนุโลมแก่สิกขาบททั้งปวง, ท่านจงพิจารณา คือจงตรวจดูอนุโยควัตรนั้น.
บาทคาถาว่า คตึ น นาเสนฺโต สมฺปรายิกํ มีความว่า จงพิจารณาอนุโยควัตร อย่าให้เสียคติคือความสำเร็จในสัมปรายภพของตน. จริงอยู่ ภิกษุใดไม่พิจารณาอนุโยควัตรนั้น ซักถาม, ภิกษุนั้นย่อมให้เสียคติของตนที่เป็นในสัมปรายภพ, เพราะเหตุนั้น จงพิจารณาอย่าให้เสียคตินั้นได้.
บัดนี้ พระอุบาลีเถระกล่าวคำว่า หิเตสี เป็นอาทิ เพื่อแสดงอนุโยควัตรนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หิเตสี ได้แก่ ผู้แสวงคือผู้ใฝ่หาประโยชน์. อธิบายว่า จงเข้าไปตั้งไมตรีและธรรมเป็นบุพภาคแห่งไมตรีไว้.
บทว่า กาเล ได้แก่ ในกาลที่จัดว่าสมควร คือในกาลที่สงฆ์เชิญเท่านั้น. อธิบายว่า ท่านจงซักถาม ในเมื่อสงฆ์มอบภาระแก่ท่าน.
บาทคาถาว่า สหสา โวหารํ มา ปธาเรสิ มีความว่า สำนวนที่กล่าวโดยผลุนผลัน คือถ้อยคำที่กล่าวโดยผลุนผลันใด ของโจทก์และจำเลยเหล่านั่น อย่าคัด คือ อย่าถือเอาสำนวนนั้น.
ความสืบสมแห่งคำให้การ เรียกว่าความสืบเนื่อง ในบาทคาถาว่า ปฏิญฺญานุสนฺธิเตน การเย นี้, เพราะเหตุนั้น พึงปรับตามคำสารภาพและความสืบสม. อธิบายว่า พึงกำหนดความสืบสมแห่งคำให้การ แล้วจึงปรับตามคำสารภาพ.
อีกอย่างหนึ่ง พึงปรับตามคำรับสารภาพและตามความสืบสม. อธิบายว่า พึงปรับตามคำรับสารภาพของจำเลยผู้เป็นลัชชี พึงปรับตามความสืบสมแห่งความประพฤติของจำเลยผู้อลัชชี.
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคาถาว่า เอวํ ปฏิญฺญา ลชฺชีสุ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า วตฺตานุสนฺธิเตน การเย มีความว่า พึงปรับตามความสืบสมแห่งความประพฤติ. อธิบายว่า คำรับสารภาพใด กับความประพฤติของอลัชชีนั้นสมกัน, พึงปรับตามคำสารภาพนั้น.
บทว่า สญฺจิจฺจ ได้แก่ ต้องทั้งรู้.
บทว่า ปริคูหติ ได้แก่ ปิดไว้ คือ ไม่แสดง ไม่ออกเสีย.
บาทคาถาว่า สจฺจํ อหํปิ ชานามิ มีความว่า คำใดอันพระองค์ตรัสแล้ว คำนั้นเป็นจริง, แม้ข้าพระองค์ก็รู้คำนั้น อย่างนั้นเหมือนกัน.
สองบทว่า อญฺญญฺจ ตาหํ มีความว่า ก็แลข้าพระองค์จะทูลถามพระองค์ถึงอลัชชีชนิดอื่น.
บาทคาถาว่า ปุพฺพาปรํ น ชานาติ มีความว่า ไม่รู้ถ้อยคำที่ตนกล่าวไว้ในกาลก่อน และตนกล่าวในภายหลัง.
บทว่า อโกวิโท ได้แก่ ไม่ฉลาดในคำต้นและคำหลังนั้น.
บาทคาถาว่า อนุสนฺธิวจนปถํ น ชานาติ มีความว่า ไม่รู้ถ้อยคำที่สืบสมแห่งคำให้การ และถ้อยคำที่สืบสมแห่งคำตัดสิน.
บาทคาถาว่า สีลวิปตฺติยา โจเทติ คือโจทด้วยกองอาบัติ ๒.
บทว่า อาจารทิฏฺฐิยา ได้แก่ โจทด้วยอาจารวิบัติและทิฏฐิวิบัติ. เมื่อจะโจทด้วยอาจารวิบัติ ย่อมโจทด้วยกองอาบัติ ๕, เมื่อจะโจทด้วยทิฏฐิวิบัติ ย่อมโจทด้วยมิจฉาทิฏฐิและอันตคาหิกทิฏฐิ.
บาทคาถาว่า อาชีเวนปิ โจเทติ มีความว่า โจทด้วยสิกขาบท ๖ ซึ่งบัญญัติไว้ เพราะอาชีวะเป็นเหตุ.
บทที่เหลือที่ในทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
ทุติยคาถาสังคณิกวัณณนา จบ.
โจทนากัณฑ์ ข้อซักถามของภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์
[๑๐๗๗] ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงถามโจทก์ว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านโจทภิกษุรูปนี้นั้นโจทเพราะเรื่องอะไร ท่านโจทด้วยศีลวิบัติ อาจารวิบัติ หรือโจทด้วยทิฏฐิวิบัติ? ถ้าโจทก์นั้นตอบอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าโจทด้วยศีลวิบัติ โจทด้วยอาจารวิบัติ หรือว่าข้าพเจ้าโจทด้วยทิฏฐิวิบัติ. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซัก
ถามโจทก์ อย่างนี้ว่า ท่านรู้ศีลวิบัติ อาจารวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ หรือ? ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้าพเจ้ารู้ศีลวิบัติ รู้อาจารวิบัติ รู้ทิฏฐิวิบัติ. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์พึงซักถามโจทก์อย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ก็ศีลวิบัติเป็นไฉน อาจารวิบัติเป็นไฉน ทิฏฐิวิบัติเป็นไฉน? ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓
นี้จัดเป็นศีลวิบัติ ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต นี้เป็นอาจารวิบัติ มิจฉาทิฏฐิ อันตคาหิกทิฏฐิ นี้เป็นทิฏฐิวิบัติ.
ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักถามโจทก์อย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านโจทภิกษุรูปนี้นั้น โจทด้วยเรื่องที่เห็น ด้วยเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง หรือด้วยเรื่องที่รังเกียจ? ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าโจทด้วยเรื่องที่เห็น โจทด้วยเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง หรือว่าข้าพเจ้าโจทด้วยเรื่องที่รังเกียจ.
ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักถามโจทก์ต่อไปว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านโจทภิกษุรูปนี้ด้วยเรื่องที่เห็นนั้น ท่านเห็นอะไร? เห็นอย่างไร? เห็นเมื่อไร? เห็นที่ไหน? ท่านเห็นภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติปาราชิก หรือท่านเห็นภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ หรือ? ท่านอยู่ที่ไหน? และภิกษุรูปนี้อยู่ที่ไหน? ท่านทำอะไรอยู่? ภิกษุรูปนี้ทำอะไรอยู่?
ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้าพเจ้ามิได้โจทภิกษุรูปนี้ด้วยเรื่องที่เห็น แต่ว่าข้าพเจ้าโจทด้วยเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักถามอย่างนี้ว่า ข้อที่ท่านโจทภิกษุรูปนี้ ด้วยเรื่องได้ยินได้ฟังนั้น ท่านได้ยินได้ฟังอะไร? ได้ยินได้ฟังว่าอย่างไร? ได้ยินได้ฟังเมื่อไร? ท่านได้ยินได้ฟังที่ไหน? ท่านได้ยิน
ได้ฟังว่าภิกษุนี้ ต้องอาบัติปาราชิก หรือ ท่านได้ยินได้ฟังว่าภิกษุนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิตหรือ? ท่านได้ยินได้ฟังต่อภิกษุ หรือ ได้ยินได้ฟังต่อภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา ราชมหาอำมาตย์ เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ หรือ?
ถ้าโจทก์ตอบอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้าพเจ้ามิได้โจทภิกษุรูปนี้ด้วยเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง แต่ข้าพเจ้าโจทด้วยเรื่องที่รังเกียจ.
ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงซักถามโจทก์อย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ข้อที่ท่านโจทภิกษุรูปนี้ด้วยเรื่องที่รังเกียจนั้น ท่านรังเกียจอะไร? รังเกียจว่าอย่างไร? รังเกียจเมื่อไร? รังเกียจที่ไหน? ท่านรังเกียจว่าภิกษุรูปนี้ต้องอาบัติปาราชิก หรือท่านรังเกียจว่าภิกษุรูปนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ
ทุกกฏ ทุพภาสิต หรือ? ท่านได้ยินได้ฟังต่อภิกษุจึงรังเกียจหรือ ท่านได้ยินได้ฟังต่อภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา ราชมหาอำมาตย์ เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์แล้วรังเกียจ หรือ?
เปรียบเทียบอธิกรณ์
[๑๐๗๘] เรื่องที่เห็นสมด้วยเรื่องที่เห็น เรื่องที่เห็นเทียบกันได้กับเรื่องที่เห็นแต่บุคคลนั้นไม่ยอมรับ เพราะอาศัยการเห็นบุคคลนั้น ถูกรังเกียจโดยไม่มีมูล พึงปรับอาบัติตามปฏิญญา พึงทำอุโบสถกับบุคคลนั้น. เรื่องที่ได้ยินได้ฟังสมด้วยเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง เรื่องที่ได้ยินได้ฟังเทียบกันได้กับเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง แต่
บุคคลนั้นไม่ยอมรับเพราะอาศัยการได้ยินได้ฟัง บุคคลนั้นถูกรังเกียจโดยไม่มีมูล พึงปรับอาบัติตามปฏิญญา พึงทำอุโบสถกับบุคคลนั้น. เรื่องที่ได้ทราบสมด้วยเรื่องที่ได้ทราบ เรื่องที่ได้ทราบเทียบกันได้กับเรื่องที่ได้ทราบ แต่บุคคลนั้นไม่ยอมรับเพราะอาศัยการได้ทราบบุคคลนั้นถูกรังเกียจโดยไม่มีมูล พึงปรับอาบัติตามปฏิญญา พึงทำอุโบสถกับบุคคลนั้น เถิด.
ว่าด้วยเบื้องต้นของการโจทเป็นต้น
[๑๐๗๙] ถามว่า การโจท มีอะไรเป็นเบื้องต้น มีอะไรเป็นท่ามกลาง มีอะไรเป็นที่สุด?
ตอบว่า การโจท มีขอโอกาสเป็นเบื้องต้น มีการทำเป็นท่ามกลาง มีการระงับเป็นที่สุด.
ถ. การโจท มีมูลเท่าไร? มีวัตถุเท่าไร? มีภูมิเท่าไร? โจทด้วยอาการเท่าไร?
ต. การโจท มีมูล ๒ มีวัตถุ ๓ มีภูมิ ๕ โจทด้วยอาการ ๒ อย่าง.
ถ. การโจทมีมูล ๒ เป็นไฉน?
ต. การโจท มีมูล ๑ การโจทไม่มีมูล ๑ นี้การโจทมีมูล ๒.
ถ. การโจท มีวัตถุ ๓ เป็นไฉน?
ต. เรื่องที่เห็น ๑ เรื่องที่ได้ยินได้ฟัง ๑ เรื่องที่รังเกียจ ๑ นี้การโจทมีวัตถุ ๓.
ถ. การโจท มีภูมิ ๕ เป็นไฉน?
ต. จักพูดโดยกาลอันควร จักไม่พูดโดยกาลไม่ควร ๑ จักพูดด้วยคำจริง จักไม่พูดด้วยคำไม่จริง ๑ จักพูดด้วยคำสุภาพ จักไม่พูดด้วยคำหยาบ ๑ จักพูดด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ จักไม่พูดด้วยคำไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ จักมีเมตตาจิตพูด จักไม่มุ่งร้ายพูด ๑ นี้การโจทมีภูมิ ๕.
ถ. โจทด้วยอาการ ๒ อย่าง เป็นไฉน
ต. โจทด้วยกายหรือโจทด้วยวาจา นี้โจทด้วย อาการ ๒ อย่าง.
ข้อปฏิบัติของโจทก์และจำเลยเป็นต้น
[๑๐๘๐] โจทก์ควรปฏิบัติอย่างไร? จำเลยควรปฏิบัติอย่างไร? สงฆ์ควรปฏิบัติอย่างไร? ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ควรปฏิบัติอย่างไร?
ถามว่า โจทก์ ควรปฏิบัติอย่างไร?
ตอบว่า โจทก์พึงตั้งอยู่ในธรรม ๕ อย่างแล้วจึงโจทผู้อื่น คือ จักพูดโดยกาลอันควร จักไม่พูดโดยกาลไม่ควร ๑ จักพูดด้วยคำจริง จักไม่พูดด้วยคำไม่จริง ๑ จักพูดด้วยคำสุภาพ จักไม่พูดด้วยคำหยาบ ๑ จักพูดด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ จักไม่พูดด้วยคำไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ จักมีเมตตาจิตพูด จักไม่มุ่งร้ายพูด ๑ โจทก์ควรปฏิบัติอย่างนี้.
ถ. จำเลย ควรปฏิบัติอย่างไร? ต. จำเลย พึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ คือ ในความสัตย์ ๑ ในความไม่ขุ่นเคือง ๑ จำเลยควรปฏิบัติอย่างนี้. ถ. สงฆ์ ควรปฏิบัติอย่างไร ต. สงฆ์พึงรู้คำที่เข้าประเด็นและไม่เข้าประเด็น สงฆ์ควรปฏิบัติอย่างนี้. ถ. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ ควรปฏิบัติอย่างไร? ต. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ พึงระงับอธิกรณ์นั้น โดยประการที่อธิกรณ์นั้น จะระงับ โดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสน์. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ ควรปฏิบัติอย่างนี้.
ว่าด้วยอุโบสถเป็นต้น [๑๐๘๑] ถามว่า อุโบสถเพื่อประโยชน์อะไร? ปวารณาเพื่อเหตุอะไร? ปริวาส เพื่อประโยชน์อะไร? การชักเข้าหาอาบัติเดิมเพื่อเหตุอะไร? มานัตเพื่อ ประโยชน์อะไร? อัพภานเพื่อเหตุอะไร? ตอบว่า อุโบสถเพื่อประโยชน์แก่ความพร้อมเพรียง. ปวารณา เพื่อประโยชน์แก่ความหมดจด. ปริวาสเพื่อประโยชน์แก่มานัต. การชัก เข้าหาอาบัติเดิมเพื่อประโยชน์แก่นิคคหะ. มานัตเพื่อประโยชน์แก่อัพภาน. อัพภานเพื่อประโยชน์แก่ความหมดจด. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์มีปัญญาทราม โง่เขลา และไม่มีความเคารพในสิกขา บริภาษพระเถระทั้งหลาย เพราะ ฉันทาคติ โทสาคติ ภยาคติ โมหาคติ เป็นผู้ขุดตน กำจัดอินทรีย์แล้ว เพราะกายแตกย่อมเข้าถึงนรก. ภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ไม่พึงเห็นแก่อามิส และไม่พึงเห็นแก่บุคคล ควรเว้นสองอย่างนั้นแล้ว ทำตามที่เป็นธรรม. โจทก์เป็นผู้มักโกรธ มักถือโกรธ ดุร้าย แสร้งกล่าวบริภาษ ย่อมปลูก อนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. โจทก์กระซิบใกล้หูคอยจับผิด ยังการวินิจฉัยให้บกพร่อง เสพ ทางผิด ย่อมปลูกอนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. โจทก์ฟ้องโดยกาลอันไม่ควร ฟ้องด้วยคำไม่จริง ฟ้องด้วยคำ หยาบ ฟ้องด้วยคำไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มุ่งร้ายฟ้อง ไม่มีเมตตาจิต ฟ้อง ปลูกอนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. โจทก์ไม่รู้ธรรมและอธรรม ไม่ฉลาดในธรรมและอธรรม ปลูก อนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. โจทก์ไม่รู้วินัยและอวินัย ไม่ฉลาดในวินัยและอวินัย ปลูกอนาบัติ ว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. โจทก์ไม่รู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงภาษิตแล้วและมิได้ทรงภาษิต ไม่ ฉลาดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงภาษิตแล้วและไม่ได้ภาษิต ปลูกอนาบัติว่า อาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. โจทก์ไม่รู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงประพฤติและไม่ได้ทรงประพฤติ ไม่ฉลาดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงประพฤติและไม่ได้ทรงประพฤติ ปลูก อนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. โจทก์ไม่รู้สิ่งที่ทรง บัญญัติและไม่ได้ทรงบัญญัติ ไม่ฉลาดในสิ่งที่ทรงบัญญัติและไม่ได้ทรง บัญญัติ ปลูกอนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. โจทก์ไม่รู้อาบัติและอนาบัติ ไม่ฉลาดในอาบัติและอนาบัติ ปลูก อนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. โจทก์ไม่รู้อาบัติเบา และอาบัติหนัก ไม่ฉลาดในอาบัติเบาและอาบัติหนัก ปลูกอนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. โจทก์ไม่รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ไม่ฉลาด ในอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ปลูกอนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. โจทก์ไม่รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ไม่ฉลาดในอาบัติ ชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ปลูกอนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้น ชื่อว่าย่อมเผาตน. โจทก์ไม่รู้คำต้นและคำหลัง ไม่ฉลาดต่อคำต้นและคำหลัง ปลูก อนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตน. โจทก์ไม่รู้ทางถ้อยคำอันต่อเนื่องกัน ไม่ฉลาดต่อทางถ้อยคำอัน ต่อเนื่องกัน ปลูกอนาบัติว่าอาบัติ โจทก์เช่นนั้นชื่อว่าย่อมเผาตนแล. โจทนากัณฑ์ จบ หัวข้อประจำเรื่อง
[๑๐๘๒] คำสั่งสอน การโจท ผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ เบื้องต้น มูลอุโบสถ คติตั้งอยู่ ในโจทนากัณฑ์แล.
อรรถกถา ปริวาร โจทนากัณฑ์ ข้อซักถามของภิกษุผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ เป็นต้น
โจทนากัณฑกวัณณนา [กิจของภิกษุผู้ว่าอรรถคดี]
บัดนี้ พระอุบาลีเถระเริ่มคำว่า อนุวิชฺชเกน เป็นอาทิ เพื่อแสดงกิจอันพระวินัยธรพึงกระทำ
ในการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นแล้วอย่างนั้น.
ในคำนั้น คาถาว่า ทิฏฺฐํ ทิฏฺเฐน เป็นต้น มีเนื้อความดังนี้ :-
ภิกษุรูปหนึ่ง กำลังออกหรือกำลังเข้าไป โดยสถานที่อันเดียวกันกับมาตุคามผู้หนึ่ง อันโจทก์เห็นแล้ว. โจทก์นั้นจึง
ฟ้องภิกษุนั้นเป็นจำเลยด้วยอาบัติปาราชิก; ฝ่ายจำเลยยอมรับการเห็นของโจทก์นั้น แต่จำเลยยังไม่ถึงปาราชิก จึงไม่ปฏิญญา เพราะอิงการ
เห็นนั้น. ในคำของโจทก์และจำเลยนี้ การใดอันโจทก์นั้นเห็นแล้ว การนั้นสมด้วยคำที่ว่าได้เห็นของโจทก์นั้น นี้ว่า จำเลยอันข้าพเจ้าได้
เห็นแล้ว ด้วยประการฉะนี้. แต่เพราะเหตุที่ฝ่ายจำเลยไม่ยอมปฏิญญาโทษ เพราะอาศัยการเห็นนั้น จึงชื่อว่าผู้ถูกรังเกียจโดยไม่บริสุทธิ์.
อธิบายว่า เป็นผู้รังเกียจโดยไม่มีมูล. สงฆ์พึงทำอุโบสถกับบุคคลนั้นตามปฏิญญาที่ว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ของบุคคลนั้น.
ใน ๒ คาถาที่เหลือ มีนัยอย่างนี้แล.
คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล.
พรรณนากิจของภิกษุผู้ว่าอรรถคดี จบ.
[ว่าด้วยเบื้องต้นของโจทนาเป็นอาทิ
วินิจฉัยในปุจฉาวิสัชนามีอาทิว่า อะไรเป็นเบื้องต้นของโจทนา พึงทราบดังนี้ :- หลายบทว่า สจฺเจ จ อกุปฺเป จ มีความว่า จำเลยพึงตั้งอยู่ในธรรม ๒ ประการ คือ ให้การตามจริง ๑ ไม่ขุ่น เคือง ๑ คือว่าการใดอันตนกระทำหรือมิได้กระทำ การนั้นแล อันตนพึงให้การ (เช่นนั้น). และไม่พึงให้เกิดความขุ่นเคืองในโจทก์ หรือในภิกษุผู้ว่าอรรถคดี หรือในสงฆ์. สองบทว่า โอติณฺณาโนติณฺณํ ชานิตพฺพํ มีความว่า สงฆ์พึงรู้ถ้อยคำอันเข้าประเด็นและไม่เข้าประเด็น.
ในคำนั้น มีวิธีสำหรับรู้ดังนี้ :- สงฆ์พึงรู้ว่า คำต้นของโจทก์เท่านี้ คำหลังเท่านี้ คำต้นของจำเลยเท่านี้ คำหลังเท่านี้. พึงกำหนดลักษณะที่ควรเชื่อถือของโจทก์ พึงกำหนดลักษณะที่ควรเชื่อถือของจำเลย พึงกำหนดลักษณะที่ควรเชื่อถือ ของภิกษุผู้ว่าอรรถคดี. ภิกษุผู้ว่าอรรถคดี เมื่อยังการพิจารณาให้ บกพร่องแม้มีประมาณน้อย อันสงฆ์พึงสั่งว่า ผู้มีอายุ ท่านจงพิจารณา ให้ดีบังคับคดีให้ตรง. สงฆ์พึงปฏิบัติอย่างนี้. วินิจฉัยในคำว่า เยน ธมฺเมน เยน วินเยน เยน สตฺถุสา สเนน อธิกรณํ วูปสมฺมติ นี้ พึงทราบดังนี้ :- บทว่า ธมฺโม ได้แก่ เรื่องที่เป็นจริง. บทว่า วินโย ได้แก่ กิริยาที่โจทก์ และกิริยา ที่จำเลยให้การ. บทว่า สตฺถุสาสนํ ได้แก่ ญัตติสัมปทาและ อนุสาวนสัมปทา. จริงอยู่ อธิกรณ์ย่อมระงับโดยธรรม โดยวินัย และโดยสัตถุ ศาสนานั่น เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้ว่าอรรถคดี พึงโจทด้วยวัตถุที่เป็นจริง แล้วให้จำเลยระลึกถึงอาบัติ และยังอธิกรณ์ นั้นให้ระงับด้วยญัตติสัมปทาและอนุสาวนสัมปทา. ภิกษุผู้ว่าอรรถคดีพึงปฏิบัติอย่างนี้. คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล. แม้ปุจฉาวิสัชนามีอาทิว่า อุโบสถ เพื่อประโยชน์อะไร? ก็ตื้นเหมือนกันแล. วินิจฉัยในอวสานคาถาทั้งหลาย พึงทราบดังนี้ :- บาทคาถาว่า เถเร จ ปริภาสติ มีความว่า เมื่อจะทำ ความดูหมิ่น ย่อมด่าว่า ภิกษุเหล่านี้ไม่รู้อะไร. บาทคาถาว่า ขโต อุปหตินฺทฺริโย มีความว่า ชื่อว่าผู้มี ตนอันขุดแล้ว เพราะความที่ตนเป็นสภาพอันตนเองขุดแล้ว ด้วยความ เป็นผู้ถึงความลำเอียงด้วยฉันทาคติเป็นต้นนั้น และด้วยการด่านั้น และชื่อว่าผู้มีอินทรีย์อันตนเองขจัดเสียแล้ว เพราะความที่อินทรีย์ มีศรัทธาเป็นต้น เป็นคุณอันตนเองขจัดเสียแล้ว. สองบาทคาถาว่า นิรยํ คจฺฉติ ทุมฺเมโธ น จ สิกฺขาย คารโว มีความว่า ผู้มีตนอันขุดแล้ว มีอินทรีย์อันตนขจัด แล้วนั้น ชื่อว่าผู้มีปัญญาทราม เพราะไม่มีปัญญา และชื่อว่าไม่มีความ เคารพในการศึกษา เพราะไม่ศึกษาในสิกขา ๓ เพราะแตกแห่งกาย ย่อมเข้าถึงนรก. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ไม่ควรอิงอามิส (และไม่ควรอิงบุคคลพึงเว้นส่วนทั้ง ๒ นั้นเสีย) กระทำตามธรรม. เนื้อความแห่งคำนั้นว่า ไม่พึงกระทำ เพราะอิงอามิส จริงอยู่ เมื่อถือเอาอามิสมีจีวรเป็นต้น ที่โจทก์หรือจำเลยฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งให้ ชื่อว่ากระทำเพราะอิงอามิส ไม่พึงกระทำอย่างนั้น. หลายบทว่า น จ นิสฺสาย ปุคฺคลํ มีความว่า เมื่อลำเอียงเพราะความรักเป็นต้น โดยนัยมีอาทิว่า ผู้นี้เป็น อุปัชฌาย์ของเรา หรือว่า ผู้นี้เป็นอาจารย์ของเรา ชื่อว่ากระทำเพราะ อิงบุคคล ไม่พึงกระทำอย่างนั้น. ทางที่ถูก พึงเว้นส่วนทั้ง ๒ นั้นเสีย กระทำตามที่เป็นธรรมเท่านั้น. บาทคาถาว่า อุปกณฺณกํ ชปฺเปติ มีความว่า กระซิบที่ ใกล้หูว่า ท่านจงพูดอย่างนี้ อย่าพูดอย่างนี้. สองบทว่า ชิมฺหํ เปกฺขติ มีความว่า ย่อมแส่หาโทษ เท่านั้น. บทว่า วีติหรติ ได้แก่ ยังการวินิจฉัยให้บกพร่อง. สองบทว่า กุมฺมคฺคํ ปฏิเสวติ มีความว่า ย่อมชี้อาบัติ. สองบทว่า อกาเลน จ โจเทติ มีความว่า ผู้อัน พระเถระมิได้เชื้อเชิญ โจทในสมัยมิใช่โอกาส. บาทคาถาว่า ปุพฺพาปรํ น ชานาติ มีความว่า ไม่รู้คำต้นและคำหลัง. บาทคาถาว่า อนุสนฺธิวจนกถํ น ชานาติ มีความว่า ไม่รู้ถ้อยคำ ด้วยอำนาจความสืบสมแห่งคำให้การ และความสืบสมแห่งคำวินิจฉัย. คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล. โจทนากัณฑกวัณณนา จบ.Twister (1996) HD ในฟาร์มแห่งหนึ่งในโอคลาโฮมา เมื่อปี 1969 โจ ธอร์นตัน วัยเยาว์ พ่อแม่ของเธอ และโทบี้ สุนัข ของพวกเขาต้องพักพิงจากพายุทอร์นาโด F5 ซึ่งท้ายที่สุดได้ทำลายฟาร์ม ของพวกเขาและสังหารพ่อของโจในอีกยี่สิบเจ็ดปีต่อมา โจเป็นนักอุตุนิยม วิทยา ผู้คลั่งไคล้พายุทอร์นาโด และเป็นผู้นำทีมนักล่าพายุ อดีตนักอุตุนิยม วิทยาที่กลายมาเป็นนักล่ารายการทีวีเดินทางไปโอคลาโฮมาพร้อมกับ เมลิสซา รีฟส์ นักบำบัดคู่หมั้นของเขา เพื่อให้แน่ใจว่าโจจะลงนามใน เอกสารหย่า โจใช้กระดาษเพื่อล่อให้บิลกลับมาและแสดงให้เขา เห็น "โดโรธี" ซึ่งเป็นอุปกรณ์คล้ายแคปซูลที่บรรจุเซ็นเซอร์ตรวจอากาศ เล็กๆ หลายร้อยตัวที่เขาคิดค้นขึ้น โดโรธีสามารถปฏิวัติการวิจัย พายุทอร์นาโดและอาจจัดให้มีระบบเตือนภัยพายุก่อนหน้านี้ แต่ อุปกรณ์ดังกล่าวจะต้องติดตั้งใกล้กับพายุทอร์นาโดอย่างเป็นอันตรายจึงจะ สามารถทำงานได้ ทีมของโจเร่งรีบออกไปตามล่าพายุที่กำลังพัฒนา ไม่สามารถ ลงนามในเอกสารหย่าได้ บังคับให้บิล พร้อมด้วยเมลิสซา ติดตามพวกเขาเข้าสู่พายุที่รวมตัวกัน Twisters (2024) ทวิสเตอร์ส‧พ.ศ. 2567 ‧ แอคชั่น/กระตุกขวัญ ‧ 2 ชม. 2 นาที |เป็นเรื่องราวของ เคท คูเปอร์ นักไล่ล่าพายุผู้เผชิญพายุทอร์นาโดในช่วง เรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้เธอกำลังศึกษารูปแบบของพายุบนหน้าจออย่างปลอดภัย ในนิวยอร์กซิตี้ เธอถูกเพื่อนของเธอ จาวิ หลอกให้เข้าไปในทุ่งโล่งเพื่อทดสอบ ระบบติดตามพายุที่ล้ำสมัย ที่นั่นเธอได้พบกับ ไทเลอร์ โอเวนส์ ซูเปอร์สตาร์ โซเชียลมีเดียผู้มีเสน่ห์และบ้าบิ่นที่ประสบความสำเร็จในการโพสต์ การผญภัยไล่ล่าพายุไปพร้อมกับทีมของเขา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น