Translate

12 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร เสทโมจนคาถา

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
[๑๒๙๖] บุคคลไม่มีสังวาสกับภิกษุและภิกษุณี การสมโภคบางอย่าง อันภิกษุและภิกษุณีย่อมไม่ได้ในบุคคลนั้น ไม่ต้องอาบัติ เพราะไม่อยู่ปราศ ปัญหาข้อนี้ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๒๙๗] ครุภัณฑ์ ๕ อย่าง อันพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ตรัสว่า ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้จำหน่าย ผู้ใช้สอย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๒๙๘] ข้าพเจ้าไม่กล่าวถึง บุคคล ๑๐ จำพวก เว้นบุคคล ๑๑ จำพวกเสีย ภิกษุไหว้ผู้แก่กว่า ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๒๙๙] ภิกษุไม่ใช่ผู้ถูกยกวัตร ไม่ใช่ผู้อยู่ปริวาส ไม่ใช่ผู้ทำลายสงฆ์ และไม่ใช่ผู้หลีกไปเข้ารีด ตั้งอยู่ในภูมิของภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกัน ไฉนจึงไม่ทั่วไปแก่สิกขา ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๐] บุคคลเข้าถึงธรรม ไต่ถามกุศลที่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่ผู้เป็นอยู่ ไม่ใช่ผู้ตาย ไม่ใช่ผู้นิพพาน ท่านผู้รู้ทั้งหลายเรียกบุคคลนั้นว่าอย่างไร? ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๑] ไม่พูดถึงอวัยวะเหนือรากขวัญขึ้นไป เว้นอวัยวะใต้สะดือลงมา ภิกษุพึงต้องอาบัติปาราชิกเพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัยได้อย่างไร? ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๒] ภิกษุทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง ไม่ได้ให้สงฆ์แสดงพื้นที่ เกินประมาณ มีผู้จองไว้หาชานรอบมิได้ ไม่ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๓] ภิกษุทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง ให้สงฆ์แสดงพื้นที่แล้วได้ประมาณ ไม่มีผู้จอง มีชานรอบ แต่ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๔] ไม่ประพฤติประโยคอะไรทางกาย และไม่พูดกะคนอื่นๆ ด้วยวาจา แต่ต้องอาบัติหนัก ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความขาด ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๕] สัตบุรุษ ไม่ทำความชั่วอะไรทางกายและทางวาจา แม้ทางใจผู้นั้นถูกสงฆ์นาสนะแล้ว ชื่อว่าถูกนาสนะด้วยดี เพราะเหตุไร? ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๖] ภิกษุไม่เจรจากับมนุษย์ไรๆ ด้วยวาจา และไม่กล่าวถ้อยคำกะผู้อื่น แต่ต้องอาบัติทางวาจา มิใช่ทางกาย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๗] สิกขาบท อันพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐพรรณนาไว้แล้ว สังฆาทิเสส ๔ สิกขาบท ภิกษุณีต้องทั้งหมด ด้วยประโยคเดียวกัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๘] ภิกษุณี ๒ รูป อุปสมบทแต่สงฆ์ฝ่ายเดียว ภิกษุรับจีวรแต่มือของภิกษุณี ๒ รูป ต้องอาบัติต่างกัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๐๙] ภิกษุ ๔ รูปชวนกันไปลักครุภัณฑ์ ๓ รูป เป็นปาราชิก รูป ๑ ไม่เป็นปาราชิก ปัญหาข้อนี้ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๐] สตรีอยู่ข้างใน ภิกษุอยู่ข้างนอก ช่องไม่มีในเรือนนั้น ภิกษุจะพึงต้องอาบัติปาราชิกเพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัยได้อย่างไร? ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้วฯ
   [๑๓๑๑] ภิกษุรับประเคนน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และเนยใสด้วยตนเองแล้วเก็บไว้ เมื่อยังไม่ล่วงสัปดาห์ เมื่อปัจจัยมีอยู่ฉัน ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๒] อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ อาบัติสุทธิกปาจิตตีย์ ภิกษุต้องพร้อมกัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๓] ภิกษุ ๒๐ รูป มาประชุมกันสำคัญว่าพร้อมเพรียงจึงทำกรรม ภิกษุอยู่ในที่ ๑๒ โยชน์พึงยังกรรมนั้นให้เสียได้เพราะปัจจัยคือเป็นวรรค ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๔] ภิกษุต้องครุกาบัติล้วน ๖๔ ที่ทำคืนได้ ด้วยอาการเพียงย่างเท้า และด้วยกล่าววาจาคราวเดียวกัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๕] ภิกษุนุ่งผ้าอันตรวาสก ห่มผ้าสังฆาฏิ ๒ ชั้น ผ้าทั้งหมดนั้นเป็นนิสสัคคีย์ ปัญหาข้อนี้ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๖] ญัตติก็ไม่ใช่ กรรมวาจาก็ไม่เชิง และพระชินเจ้า ก็ไม่ได้ตรัสว่า เอหิภิกขุแม้สรณคมน์ก็ไม่มีแก่เธอ แต่อุปสัมปทาของเธอไม่เสีย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๗] บุคคลผู้โฉดเขลา ฆ่าสตรีซึ่งมิใช่มารดา และฆ่าบุรุษซึ่งมิใช่บิดา ฆ่าบุคคลผู้มิใช่อริยะแต่ต้องอนันตริยกรรมเพราะเหตุนั้น  ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๘] บุคคลผู้โฉดเขลา ฆ่าสตรีผู้เป็นมารดา ฆ่าบุรุษผู้เป็นบิดา ครั้นฆ่าบิดามารดาแล้วแต่ไม่ต้องอนันตริยกรรมเพราะโทษนั้น  ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๑๙] ภิกษุไม่โจท ไม่สอบสวน แล้วทำกรรมแก่บุคคลผู้อยู่ลับหลัง และกรรมที่ทำแล้วเป็นอันทำชอบแล้ว ทั้งการกสงฆ์ไม่ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๐] ภิกษุโจท สอบสวนแล้ว ทำกรรมแก่บุคคลผู้อยู่ต่อหน้า และกรรมที่ทำแล้วไม่เป็นอันทำทั้งการกสงฆ์ก็ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๑] ภิกษุตัด ต้องอาบัติก็มี ไม่ต้องอาบัติก็มี ภิกษุปิดต้องอาบัติก็มี ไม่ต้องอาบัติก็มีปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๒] ภิกษุพูดจริง ต้องอาบัติหนัก พูดเท็จต้องอาบัติเบา พูดเท็จต้องอาบัติหนัก และพูดจริงต้องอาบัติเบา ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๓] ภิกษุบริโภคจีวรที่อธิษฐานแล้ว ย้อมด้วยน้ำย้อมแล้ว แม้กัปปะก็ทำแล้วยังต้องอาบัติปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๔] เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ภิกษุฉันเนื้อ เธอไม่ใช่ผู้วิกลจริต ไม่ใช่ผู้มีจิตฟุ้งซ่านและไม่ใช่ผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา แต่เธอไม่ต้องอาบัติ ก็ธรรมข้อนั้น พระสุคตทรงแสดงแล้ว ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๕] เธอไม่ใช่ผู้มีจิตกำหนัด และไม่ใช่ผู้มีไถยจิต และแม้ผู้อื่นเธอก็ไม่ได้คิดจะฆ่า ความขาดย่อมมีแก่เธอผู้ให้จับสลาก เป็นอาบัติถุลลัจจัยแก่ภิกษุผู้จับ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๖] ไม่ใช่เสนาสนะป่าที่รู้กันว่ามีความรังเกียจ และไม่ใช่สงฆ์ให้สมมติ ทั้งกฐินเธอไม่ได้กราน เธอเก็บจีวรไว้ ณ ที่นั้นเอง แล้วไปตั้งกึ่งโยชน์เมื่ออรุณขึ้น เธอนั่นแหละไม่ต้องอาบัติปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๗] อาบัติทั้งมวลที่เป็นไปทางกาย มิใช่ทางวาจา ต่างวัตถุกัน ภิกษุต้องในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๘] อาบัติทั้งมวลที่เป็นไปทางวาจา มิใช่ทางกายต่างวัตถุกัน ภิกษุต้องในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๒๙] ไม่เสพเมถุนนั้นในสตรี ๓ จำพวก บุรุษ ๓ จำพวก คนไม่ประเสริฐ ๓ จำพวก และบัณเทาะก์ ๓ จำพวก และไม่ประพฤติเมถุนในอวัยวะที่ปรากฏ แต่ความขาดย่อมมีเพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๐] ขอจีวรกะมารดา และไม่ได้น้อมลาภไปเพื่อสงฆ์ เพราะเหตุไร ภิกษุนั้นจึงต้องอาบัติแต่ไม่ต้องอาบัติเพราะบุคคลผู้เป็นญาติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๑] ผู้โกรธ ย่อมให้สงฆ์ยินดี ผู้โกรธ ย่อมถูกสงฆ์ติเตียน ก็ธรรมที่เป็นเหตุให้สงฆ์สรรเสริญผู้โกรธนั้น ชื่ออะไร? ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๒] ผู้แช่มชื่น ย่อมให้สงฆ์ยินดี ผู้แช่มชื่น ย่อมถูกสงฆ์ติเตียน ก็ธรรมที่เป็นเหตุให้สงฆ์ติเตียนผู้แช่มชื่นนั้นชื่ออะไร? ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๓] ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ และทุกกฏ ในขณะเดียวกัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๔] ทั้งสองมีอายุครบ ๒๐ ปี ทั้งสองมีอุปัชฌาย์คนเดียวกัน มีอาจารย์คนเดียวกัน มีกรรมวาจาอันเดียวกัน รูปหนึ่งเป็นอุปสัมบัน รูปหนึ่งเป็นอนุปสัมบัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๕] ผ้าที่ไม่ได้ทำกัปปะ และไม่ได้ย้อมด้วยน้ำย้อม ภิกษุปรารถนา พึงแสวงหามานุ่งห่มและเธอไม่ต้องอาบัติ ก็ธรรมอันนั้น พระสุคตทรงแสดงแล้ว ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๖] ภิกษุณีไม่ให้ ไม่รับ การรับไม่มีด้วยเหตุนั้น แต่ต้องอาบัติหนัก มิใช่อาบัติเบาและการต้องนั้น เพราะการบริโภคเป็นปัจจัย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๗] ภิกษุณีไม่ให้ ไม่รับ การรับไม่มีด้วยเหตุนั้น แต่ต้องอาบัติเบา ไม่ใช่อาบัติหนักและการต้องนั้น เพราะการบริโภคเป็นปัจจัย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
   [๑๓๓๘] ภิกษุณีต้องอาบัติหนักมีส่วนเหลือ ปกปิดไว้ เพราะอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ไม่ใช่ภิกษุณีก็ไม่ต้องโทษ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.     เสทโมจนคาถา จบ.
หัวข้อประจำเรื่อง   [๑๓๓๙] ไม่มีสังวาส ไม่จำหน่าย บุคคล ๑๐ ไม่ใช่ผู้ถูกยกวัตร เข้าถึงธรรมอวัยวะเหนือรากขวัญ ต่อนั้น ทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง ๒ สิกขาบท ไม่ประพฤติประโยคทางกาย แต่ต้องอาบัติหนัก ไม่ทำความชั่วทางกายแต่ถูกสงฆ์นาสนะชอบแล้ว ไม่เจรจา สิกขาบท ชน ๒ คน และชน ๔ คน สตรี น้ำมัน นิสสัคคีย์
ภิกษุ ย่างเท้าเดิน นุ่งผ้า ไม่ใช่ญัตติ ฆ่าสตรีมิใช่มารดา ฆ่าบุรุษมิใช่บิดา ไม่โจท โจท ตัด พูดจริง ผ้าที่อธิษฐาน  พระอาทิตย์อัสดงแล้ว ไม่กำหนัด มิใช่เสนาสนะป่า อาบัติทางกาย ทางวาจา สตรี ๓ พวก มารดาโกรธให้ยินดี แช่มชื่น ต้องสังฆาทิเสส สองคน ผ้าไม่ได้ทำกัปปะ ไม่ให้ต้องอาบัติหนัก คาถาที่คิดจนเหงื่อไหล เป็นปัญหาที่ท่านผู้รู้ให้แจ่มแจ้งแล้วแล.
หัวข้อประจำเรื่อง จบ.
เสทโมจนคาถาวัณณนา วินิจฉัยในเสทโมจนคาถา พึงทราบดังนี้ :-
             บทว่า อสํวาโส มีความว่า ผู้ไม่มีสังวาส ด้วยสังวาส มีอุโบสถและปวารณาเป็นต้น. 
               หลายบทว่า สมฺโภโค เอกจฺโจ ตหึ น ลพฺภติ มีความว่า การสมโภคที่ไม่สมควร อันภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย ย่อมไม่ได้ในบุคคลนั้น แต่บุคคลนั้น อันภิกษุณีผู้มารดาเท่านั้น ย่อมได้เพื่อทำการเลี้ยงดูด้วยอาการให้อาบน้ำและให้บริโภคเป็นต้น. 
               สองบทว่า อวิปฺปวาเสน อนาปตฺติ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติ เพราะนอนร่วมเรือน (แก่ภิกษุณี). 
               หลายบทว่า ปญฺหา เมสา กุสเลหิ จินฺติตา มีความว่า ปัญหาข้อนี้ อันผู้ฉลาดคือบัณฑิตทั้งหลาย คิดกันแล้ว. 
               คำตอบปัญหานั้น พึงทราบด้วยภิกษุณีผู้เป็นมารดาของทารก. 
               จริงอยู่ คำตอบนั้น ตรัสหมายถึงบุตรของภิกษุณีนั้น. 
               คาถาว่าด้วยของไม่ควรจำหน่าย ตรัสหมายถึงครุภัณฑ์. ก็เนื้อความแห่งคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวเสร็จแล้ว ในวาระที่วินิจฉัยด้วยภัณฑ์. 
               หลายบทว่า ทส ปุคฺคเล น วทามิ มีความว่า ข้าพเจ้าไม่กล่าวถึงบุคคล ๑๐ จำพวก ที่กล่าวแล้วในเสนาสนขันธกะ. 
               หลายบทว่า เอกาทส วิวชฺชิย มีความว่า มิได้กล่าวถึงบุคคลควรเว้น ๑๑ จำพวก ที่ได้กล่าวแล้วในมหาขันธกะ. ปัญหานี้ตรัสหมายถึงภิกษุผู้เปลือยกาย. 
               ปัญหาที่ว่า กถํ นุ สิกฺขาย อสาธารโณ นี้ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้เคยเป็นช่างโกนผม. 
               จริงอยู่ ภิกษุผู้เคยเป็นช่างโกนผมนี้ ไม่ได้เพื่อรักษามีดโกนไว้. แต่ภิกษุเหล่าอื่น ย่อมได้: เพราะเหตุนั้นภิกษุผู้เคยเป็นช่างโกนผม จึงชื่อว่าผู้ไม่ทั่วไปเฉพาะสิกขา. 
               ปัญหาที่ว่า ตํ ปุคฺคลํ กตมํ วทนฺติ พุทฺธา นี้ ตรัสหมายถึงพระพุทธนิรมิต. 
               สองบทว่า อโธนาภึ วิวชฺชิย มีความว่า เว้นภายใต้สะดือเสีย. 
               ปัญหานี้ตรัสหมายถึงตัวกพันธะ๑- ไม่มีศีรษะ ที่มีตาและปากอยู่ที่อก.
๑- ตัวกะพันธะ เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งจัดเข้าในพวกอมนุษย์ ท่านว่าเป็นสัตว์ อยู่คงกระพันฟันไม่เข้ายิงไม่ออก. ทำนองเดียวกับตัวเวตาลกระมัง คำว่าอยู่คงกระพัน ก็ออกมาจากคำนี้. 
               ปัญหาที่ว่า ภิกฺขุ สญฺญาจิกาย กุฏี นี้ ตรัสหมายถึงกุฎีมีหญ้าเป็นเครื่องมุง. 
               ปัญหาที่ ๒ กล่าวหมายถึงกุฎีที่แล้วด้วยดินล้วน. 
               ปัญหาที่ว่า อาปชฺเชยฺย ครุกํ เฉชฺชวตฺถุํ นี้ ตรัสหมายถึงภิกษุณีผู้ปิดโทษ. 
               ปัญหาที่ ๒ ตรัสหมายถึงอภัพบุคคล มีบัณเฑาะก์เป็นต้น. 
               จริงอยู่ อภัพบุคคลเหล่านั่น ทั้ง ๑๑ จำพวก ต้องปาราชิกในเพศคฤหัสถ์แล้วแท้. 
               บทว่า วาจา ได้แก่ ไม่บอกวาจา. 
               หลายบทว่า คิรํ โน จ ปเร ภเณยฺย มีความว่า ภิกษุไม่พึงเปล่งแม้ซึ่งสำเนียงด่าบุคคลเหล่าอื่น ด้วยหมายว่า ชนเหล่านี้ จักฟังอย่างนี้ ปัญหานี้ ตรัสหมายถึงมุสาวาทนี้ว่า ภิกษุใด ไม่พึงเปิดเผยอาบัติซึ่งมีอยู่ สัมปชานมุสาวาททุกกฏ ย่อมมีแก่ภิกษุนั้น. 
               จริงอยู่ ธรรมดาอาบัติในมโนทวาร ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้นั่งนิ่งด้วยปฏิญญาไม่เป็นธรรม แต่เพราะเหตุที่ไม่เปิดเผยอาบัติ ซึ่งควรเปิดเผย อาบัตินี้ พึงทราบว่า เกิดแต่การไม่กระทำในวจีทวารของภิกษุนั้น. 
               ปัญหาที่ว่า สงฺฆาทิเสสา จตุโร นี้ ตรัสหมายถึงภิกษุณีผู้ก้าวลงสู่ฝั่งแม่น้ำ ที่นับเนื่องในละแวกบ้าน ในเวลาอรุณขึ้น. จริงอยู่ ภิกษุณีนั้น แต่พอออกจากบ้านของตน ในเวลาใกล้รุ่ง ก้าวลงสู่ฝั่งแม่น้ำ ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้ว ในเวลาอรุณขึ้น ย่อมต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๔ ตัว ซึ่งกำหนดด้วยการอยู่ปราศจากเพื่อนตลอดราตรี ไปสู่ละแวกบ้านตามลำพัง ไปสู่ฝั่งแม่น้ำตามลำพัง ล้าหลังพวกไปคนเดียว พร้อมกันทีเดียว. 
               ปัญหาที่ว่า สิยา อาปตฺติโย นานา นี้ ตรัสหมายถึงภิกษุณี ๒ รูป ผู้อุปสมบท แต่สงฆ์ฝ่ายเดียว. จริงอยู่ ในภิกษุณี ๒ รูปนั้นเป็นปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับ (จีวร) จากมือภิกษุณี ผู้อุปสมบท ในสำนักภิกษุทั้งหลายฝ่ายเดียว. เป็นทุกกฏ แก่ภิกษุผู้รับจากมือภิกษุณี ผู้อุปสมบท ในสำนักภิกษุณีทั้งหลายฝ่ายเดียว. 
               หลายบทว่า จตุโร ชนา สํวิธาย มีความว่า อาจารย์ ๑ และอันเตวาสิก ๓ ลักภัณฑะ ๖ มาสก. คือ ของอาจารย์ ลักด้วยมือของตนเอง ๓ มาสก สั่งให้ลักอีก ๓ มาสก เพราะฉะนั้น อาจารย์ต้องถุลลัจจัย. ฝ่ายของพวกอันเตวาสิก ลักด้วยมือของตนเองรูปละ ๑ มาสก สั่งให้ลักรูปละ ๕ มาสก เพราะเหตุฉะนี้นั้น อันเตวาสิกทั้ง ๓ จึงต้องปาราชิกด้วยประการอย่างนี้. ความย่อในคาถานี้เท่านี้. ส่วนความพิสดาร ได้กล่าวไว้แล้ว ในสังวิธาวหารวัณณนา ในอทินนาทานปาราชิก. 
               ปัญหาที่ว่า ฉิทฺทํ ตสฺมึ ฆเร นตฺถิ นี้ ตรัสหมายถึงกุฎีที่บังด้วยผ้าเป็นต้น และวัตถุที่กำหนดเป็นเครื่องลาดได้. 
               คาถาว่า เตลํ มธุํ ผาณิตํ ตรัสหมายถึงความกลับเพศ. 
               คาถาว่า นิสฺสคฺคิเยน ตรัสหมายถึงการน้อมลาภสงฆ์. 
               จริงอยู่ ภิกษุใด น้อมจีวร ๒ ผืน จากลาภที่เขาน้อมไปแล้วเพื่อสงฆ์ คือ จีวรผืน ๑ เพื่อตน ผืน ๑ เพื่อภิกษุอื่น ด้วยประโยคอันเดียวว่า ท่านจงให้แก่ข้าพเจ้าผืน ๑ แก่ภิกษุนั้นผืน ๑. ภิกษุนั้นต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ และสุทธิกปาจิตตีย์พร้อมกัน. 
               ปัญหาที่ว่า กมฺมญฺจ ตํ กุปฺเปยฺย วคฺคปจฺจยา นี้ ตรัสหมายถึงคามสีมา ในนครทั้งหลาย มีกรุงพาราณสีเป็นต้น ซึ่งมีประมาณ ๑๒ โยชน์. 
               คาถาว่า ปทวีติหารมตฺเตน ตรัสหมายเอาการชักสื่อ. ก็เนื้อความแห่งคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วในวัณณนาแห่งสัญจริตสิกขาบทนั่นแล. 
               ปัญหาที่ว่า สพฺพานิ ตานิ นิสฺสคฺคิยานิ นี้ ตรัสหมายถึงการใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซัก. จริงอยู่ แม้ถ้าว่า ภิกษุณีถือเอามุมไตรจีวร ซึ่งกาขี้รดเปื้อนโคลนซักด้วยน้ำ ไตรจีวรที่อยู่ในกายของภิกษุนั่นแล เป็นนิสสัคคีย์. 
               หลายบทว่า สรณคมนมฺปิ น จ ตสฺส อตฺถิ มีความว่า แม้การอุปสมบทด้วยสรณคมน์ ก็ไม่มี. ปัญหานี้ ตรัสหมายถึงการอุปสมบทของพระนางมหาปชาบดี. 
               บาทคาถาว่า หเนยฺย อนริยํ มนฺโท มีความว่า คนเขลาพึงฆ่าบุคคลแม้นั้น เป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม ซึ่งไม่ใช่พระอริยบุคคล. ปัญหานี้ ตรัสหมายถึงบิดาซึ่งกลายเป็นหญิง และมารดาซึ่งกลายเป็นชายเพราะเพศกลับ. 
               ปัญหาที่ว่า น เตนานนฺตรํ ผุเส นี้ ตรัสหมายถึงมารดาบิดาเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ดั่งมารดาของมิคสิงคดาบส และบิดาของสีหกุมารเป็นต้น. 
               คาถาว่า อโจทยิตฺวา ตรัสหมายถึงการอุปสมบทด้วยทูต. 
               คาถาว่า โจทยิตฺวา ตรัสหมายถึงการอุปสมบทของอภัพบุคคล มีบัณเฑาะก์เป็นต้น. 
               แต่คำที่มาในกุรุนทีว่า คาถาที่ ๑ ตรัสหมายถึงกรรมไม่พร้อมหน้า ๘ อย่าง ที่ ๒ ตรัสหมายถึงกรรมของภิกษุผู้ไม่มีอาบัติ. 
               สองบทว่า ฉินฺทนฺตสฺส อนาปตฺติ ได้แก่ เป็นปาราชิก แก่ภิกษุผู้ตัดหญ้าและเถาวัลย์ เป็นถุลลัจจัย แก่ภิกษุผู้ตัดองคชาต. 
               สองบทว่า ฉินฺทนฺตสฺส อนาปตฺติ คือ ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้ปลงผมและตัดเล็บ. 
               บทว่า ฉาเทนฺตสฺส คือ เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้ปิดอาบัติ. 
               บทว่า อนาปตฺติ คือ ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้มุงเรือนเป็นต้น. 
               วินิจฉัยในคาถาว่า สจฺจํ ภณนฺโต พึงทราบดังนี้ :- 
               ภิกษุพูดคำจริง กะสตรีผู้มีหงอน และคนกะเทยว่า เธอมีหงอน เธอมี ๒ เพศ ดังนี้ ย่อมต้องครุกาบัติ. แต่เป็นลหุกาบัติ แก่ภิกษุผู้กล่าวเท็จ เพราะสัมปชานมุสาวาท. เมื่อกล่าวเท็จ เพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีจริง ต้องครุกาบัติ. เป็นลหุกาบัติ แก่ภิกษุผู้พูดจริง เพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่มีจริง. 
               คาถาว่า อธิฏฺฐิตํ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้ไม่สละก่อน บริโภคจีวรที่เป็นนิสสัคคีย์. 
               คาถาว่า อตฺถงฺคเต สุริเย ตรัสหมายถึงภิกษุผู้มักอ้วก. 
               คาถาว่า น รตฺตจิตฺโต มีเนื้อความดังต่อไปนี้ :- 
               ภิกษุมีจิตกำหนัด ต้องเมถุนธรรมปาราชิก มีเถยยจิต ต้องอทินนาทานปาราชิก ยังผู้อื่นให้จงใจเพื่อตาย ต้องมนุสสวิคคหปาราชิก. แต่ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ มิใช่ผู้มีจิตกำหนัดและมิใช่ผู้มีเถยยจิต ทั้งเธอหาได้ชักชวนผู้อื่น เพื่อตายไม่เลย. แต่ความขาดย่อมมี คือเป็นปาราชิก แก่เธอผู้ให้สลาก. เป็นถุลลัจจัยแก่ภิกษุผู้รับสลาก คือ ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์. 
               ปัญหาที่ว่า คจฺเฉยฺย อฑฺฒโยชนํ นี้ ตรัสหมายถึงโคนต้นไม้ของสกุลหนึ่ง เช่นต้นไทรที่งามสล้าง. 
               คาถาว่า กายิกานิ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้จับรวบเส้นผมหรือนิ้วมือของหญิงมากคนด้วยกัน. 
               คาถาว่า วาจสิกานิ นี้ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้กล่าวคำชั่วหยาบโดยนัยเป็นต้นว่า เธอทุกคนมีหงอน. 
               หลายบทว่า ติสฺสิตฺถิโย เมถุนํ ตํ น เสเว มีความว่า ไม่ได้เสพเมถุนแม้ในหญิง ๓ จำพวกที่ตรัสไว้. 
               สองบทว่า ตโย ปุริเส มีความว่า จะได้เข้าหาชายทั้ง ๓ จำพวก แล้วเสพเมถุน ก็หาไม่. 
               สองบทว่า ตโย จ อนริยปณฺฑเก มีความว่า จะได้เข้าหาชน ๖ จำพวกแม้เหล่านี้ คือ คนไม่ประเสริฐ ๓ จำพวก กล่าวคืออุภโตพยัญชนกและบัณเฑาะก์ ๓ จำพวก แล้วเสพเมถุน ก็หาไม่. 
               สองบทว่า น จาจเร เมถุนํ พฺยญฺชนสฺมึ มีความว่า ประพฤติเมถุนแม้ด้วยอำนาจอนุโลมปาราชิก ก็หาไม่. 
               ข้อว่า พึงมีความขาดเพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัย ได้แก่ พึงเป็นปาราชิก เพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัย ปัญหาดังว่ามานี้ตรัสหมายถึงอัฏฐวัตถุกปาราชิก (ของภิกษุณี). จริงอยู่ ย่อมมีความขาดเพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัยแก่ภิกษุณีนั้น ผู้พยายามอยู่ เพื่อถึงความเคล้าคลึงด้วยกายอันเป็นบุพภาคแห่งเมถุนธรรม. 
               คาถาว่า มาตรํ จีวรํ นี้ ตรัสหมายถึงการเตือนให้เกิดสติเพื่อได้ผ้าวัสสิกสาฏิก ในเวลาหลังสมัย. 
               ก็แลวินิจฉัยแห่งคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว ในวัณณนาแห่งวัสสิกสาฏิกสิกขาบทนั่นแล. 
               คาถาว่า กุทฺโธ อาราธโก โหติ ตรัสหมายถึงวัตรของเดียรถีย์. ความพิสดารแห่งคำนั้น ตรัสแล้วในติตถิยวัตรนั่นเองว่า อัญเดียรถีย์ผู้บำเพ็ญวัตร เมื่อคุณของพวกเดียรถีย์ อันชนอื่นสรรเสริญอยู่ โกรธแล้ว ย่อมเป็นผู้ยังภิกษุทั้งหลายให้ยินดี. เมื่อคุณแห่งรัตนตรัยอันชนอื่นสรรเสริญอยู่ โกรธแล้ว ย่อมเป็นผู้อันภิกษุทั้งหลายพึงติเตียน. 
               แม้คาถาที่ ๓ ก็ตรัสหมายถึงติตถิยวัตรนั้นแล. 
               คาถาว่า สงฺฆาทิเสสํ เป็นต้น ตรัสหมายถึงภิกษุณี ผู้กำหนัดรับบิณฑบาต จากมือของบุรุษผู้กำหนัดแล้ว คลุกกับเนื้อมนุษย์ กระเทียม โภชนะประณีตและอกัปปิยมังสะที่เหลือ แล้วกลืนกิน. 
               คาถาว่า เอโก อนุปสมฺปนฺโน เอโก อุปสมฺปนฺโน เป็นต้น ตรัสหมายถึงสามเณรผู้ไปในอากาศ. ก็ถ้าว่า ในสามเณร ๒ รูปๆ หนึ่งเป็นผู้นั่งพ้นแผ่นดิน แม้เพียงปลายเส้นผมเดียว ด้วยฤทธิ์. สามเณรนั้นย่อมเป็นอนุปสัมบันแท้. แม้สงฆ์นั่งในอากาศ ก็ไม่พึงทำกรรมแก่อนุปสัมบันผู้อยู่บนพื้นดิน. ถ้าทำ, กรรมย่อมกำเริบ. 
               คาถาว่า อกปฺปกตํ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้มีจีวรอันโจรชิงไป. ก็แม้วินิจฉัยแห่งคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว โดยพิสดารในสิกขาบทนั้นแล. 
               หลายบทว่า น เทติ นปฺปฏิคฺคณฺหาติ มีความว่า แม้ภิกษุณีผู้ใช้ก็มิได้ให้, ภิกษุณีผู้รับใช้ก็มิได้รับจากมือของภิกษุณีผู้ใช้. 
               หลายบทว่า ปฏิคฺคโห เตน น วิชฺชติ มีความว่า ด้วยเหตุนั้นแล ภิกษุณีผู้ใช้ก็หาได้มีการรับจากมือของภิกษุณีผู้ใช้ไม่. 
               สองบทว่า อาปชฺชติ ครุกํ มีความว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้นภิกษุณีผู้ใช้ ย่อมต้องอาบัติสังฆาทิเสส เพราะเหตุที่ภิกษุณีผู้ที่ตนใช้ไปรับบิณฑบาตจากมือบุรุษผู้กำหนัด. 
               สองบทว่า ตญฺจ ปริโภคปจฺจยา มีความว่า ก็แลภิกษุณีผู้ใช้ เมื่อจะต้องอาบัตินั้น ย่อมต้องเพราะการบริโภคของภิกษุณีผู้รับใช้นั้นเป็นปัจจัย. จริงอยู่ ย่อมเป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุณีผู้ใช้ ในขณะเสร็จการฉันของภิกษุณีผู้รับใช้นั้น. 
               คาถาที่ ๒ ท่านกล่าวหมายถึงการใช้ไปในการรับน้ำและไม้สีฟันของภิกษุณีผู้ใช้นั้นเอง. 
               หลายบทว่า น ภิกฺขุนี โน จ ผุเสยฺย วชฺชํ มีความว่า จริงอยู่ ภิกษุณีต้องสังฆาทิเสสตัวใดตัวหนึ่ง ใน ๑๗ ตัวแล้ว แม้ปิดไว้ด้วยไม่เอื้อเฟื้อ ก็ไม่ต้องโทษ คือไม่ต้องอาบัติใหม่อื่น เพราะการปิดเป็นปัจจัย. เธอย่อมได้ปักขมานัตต์เท่านั้น เพื่ออาบัติที่ปิดไว้ก็ตาม ไม่ปิดไว้ก็ตาม. ก็แลบุคคลนี้ แม้จะไม่ใช่ภิกษุณี, แต่ต้องครุกาบัติ มีส่วนเหลือแล้วปิดไว้ ก็ไม่ต้องโทษ. 
               ได้ยินว่า ปัญหาที่ว่า ปญฺหา เมสา กุสเลหิ จินฺติตา นี้ ท่านกล่าวหมายถึงภิกษุผู้อันสงฆ์ยกวัตร. จริงอยู่ (สงฆ์) ไม่มีวินัยกรรมกับภิกษุนั้น, เพราะเหตุนั้น เธอต้องสังฆาทิเสสแล้ว แม้ปิดไว้ก็ไม่ต้องโทษ ฉะนี้แล
  เสทโมจนคาถาวัณณนา จบ.

ไม่มีความคิดเห็น: