Translate

23 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 21 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖    
     ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
ตอน ผจญปีศาจกระแตสุดร้ายกาจ
(บทที่ ๒๑) ฝ่ายบริวารปิศาจยักษ์ทั้งหลายได้ยินเห้งเจียร้องบอกดังนั้น ทั้งได้เห็นศพปีศาจเสือเซียนฮองด้วยก็ยิ่งตกใจเป็นอันมาก ต่างก็วิ่งแข่งกันจะเข้าไปบอกแก่ใต้อ๋องโดยเร็ว
 ฝ่ายปิศาจในถ้ำอึ้งฮองต๋อง ในเมื่อเวลาเซียนฮองออกไปต่อสู้กับเห้งเจียอยู่นั้น ก็ยังหาได้รู้ว่าแพ้ชนะเป็นอย่างไรไม่ กำลังนั่งนิ่งไตร่ตรองอยู่แต่ในใจ บัดเดี๋ยวใจพวกเฝ้าประตูวิ่งเข้ามาบอกว่า บัดนี้เซียนฮองถูกอ้ายหน้าขนมันตีตายกำลังลากเอาศพมาทิ้งที่หน้าประตูถ้ำ ขอใต้อ๋องได้ทราบ อึ้งฮองใต้อ๋องได้ยินบริวารมาบอกดังนั้นก็ยิ่งมีความแค้นขึ้นมาจึงพูดว่า มันทำไมจึงไม่รู้การอย่างนี้ เรายังหาได้กินเนื้ออาจารย์ของมันไม่ มันกลับมาตีเซียนฮองของเราตายอย่างนี้ จะไม่มีความโกรธอย่างไรได้ จำเราจะต้องออกไปดูอ้ายคนอะไรลือว่าชื่อเห้งเจีย จะจับตัวมาแก้แค้นให้เซียนฮองของเราให้จงได้ พูดแล้วก็รีบแต่งตัวใส่เกราะแล้วมือถืออาวุธสามง่าม พาพวกบริวารน้อยตามหลังออกมายังน่าประตูถ้ำ
 ฝ่ายเห้งเจียยืนรออยู่หน้าประตูถ้ำ ครั้นแลเห็นอึ้งฮองใต้อ๋องออกมาดู กิริยาเข้มแข็ง
 อึ้งฮองใต้อ๋อง ครั้นออกมาเห็นเห้งเจียยืนอยู่ จึงร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายคนไหนที่ชื่อซึงเห้งเจีย ๆ ได้ยินดังนั้นมือหนึ่งถือหนังปิศาจมือหนึ่งคุมกระบองเหล็กจึงตอบว่า แซ่ซึงตาของเจ้ายืนอยู่นี่ เจ้าจงรีบส่งพระอาจารย์ออกมาโดยเร็วจะได้รอดพ้นจากความตาย
 อึ้งฮองใต้อ๋องพิจารณาดูเห้งเจียโดยละเอียดเห็นรูปลักษณ์เห้งเจียไม่น่าดูต่ำเตี้ยหยาบคายสูงประมาณสามศอกเศษ อึ้งฮองหัวเราะแล้วพูดว่า น่าเวทนารูปร่างอะไรอย่างนี้ จะเป็นคนเก่งกาจอะไร พิเคราะห์ดูดุจหัวกระโหลกผี จะสู้รบอะไรกับใครได้
 เห้งเจียได้ฟังอึ้งฮองพูดดังนั้น จึงพูดว่าอ้ายทารกเอ็งไม่มีนัย์ตา ทำไมเจ้าจึงไม่รู้จักตาหรือ ตานี้แม้ว่าตัวต่ำเตี้ยก็จริงแต่มีความประหลาดมาก แม้ตีหัวทีหนึ่ง ตัวข้าก็จะยืดสูงขึ้นไปอีกก็ได้ จึงยื่นศรีษะให้อึ้งฮองใต้อ๋องเอาด้ำสามง่ามตีลงที่ศรีษะเห้งเจียทีหนึ่ง เห้งเจียไหวตัวทะลึ่งสูงขึ้นอีกหกศอก อึ้งฮองใต้อ๋องเห็นดังนั้นก็ตกใจ แล้วยกสามง่ามขึ้นแข็งใจร้องตวาดว่าอ้ายซึงเห้งเจียเอาวิชากลอะไรมาหลอกเราเล่นดังนี้ เจ้าจงมาลองฝีมือกันดูให้รู้ว่าใครจะแพ้ชะนะ ว่าแล้วอึ้งฮองเอาสามง่ามแทงเห้งเจีย เห้งเจียเอากระบองรับรบกันไปมา ต่างมีกำลังเข้มแข็งด้วยกัน รบกันประมาณสามสิบเพลงยังหาแพ้ชนะกันไม่ แต่เห้งเจียคิดจะรีบเอาชัยชนะจึงถอนขนในตัวออกกำมือหนึ่งใส่ในปากเคี้ยว แล้วร่ายเวทย์คาถาพ่นออกไป ร้องเรียกให้แปลงขนเหล่านั้นแปลงกายดุจรูปเดียวกับเห้งเจียทุก ๆ รูปทุก ๆ ขน ก็กรูกันเข้าล้อมอึ้งฮองใต้อ๋องอยู่ท่ามกลาง
รูปภาพ ;
 อึ้งฮองใต้อ๋องเห็นดังนั้น ออกใจให้หวั่นหวาดไปทั้งกายก็สั่นระรัวจึงคิดว่าตัวเราวันนี้จะถึงที่ตาย แล้วหวนคิดขึ้นได้จึงเอาปากก้มลงกับพื้นธรณีแล้วร่ายคาถาม้วนลม บัดเดี๋ยวใจก็บันดาลเกิดเป็นลมพายุพัดหอบเอาขนเห้งเจียที่เป็นรูปนั้นก็ปลิวไปตามลมทั้งสิ้น
 เห้งเจียแลไปเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงร่ายคาถาเรียกขนคืนยังเดิมแล้ว ยังแต่เห้งเจียผู้เดียวมือถือกระบองเหล็กตรงมาจะทำร้ายอึ้งฮอง ๆ เห็นดังนั้นก็เป่าด้วยลมทิพย์ถูกสองแก้วตาเห้งเจีย ๆ เหลือที่จะทนความเจ็บแสบนั้นได้ก็กระโดดกลับถอยหนี กลับออกมากลับไปหาโป๊ยก่าย อึ้งฮองเห็นดังนั้นก็เรียกลมกลับคืนมาแล้วพาพวกบริวารกลับเข้าถ้ำ
 ฝ่ายโป๊ยก่ายแอบอยู่ในซอกเขาเฝ้าม้าแลสิ่งของอยู่แลเห็นเห้งเจียถูกลมพายุอันใหญ่มืดฟ้ามัวฝนก็รู้ได้แน่ว่าอึ้งฮองใต้อ๋องทำลมพายุพัดต่อสู้กับเห้งเจีย นั่งคอยเงี่ยหูฟัง บัดเดี๋ยวใจลมพายุก็หยุดได้ยินเสียงกระหืดกระหอบมา โป๊ยก่ายแลเห็นเห้งเจียจึงถามว่าพี่เมื่อกี้อึ้งฮองมันทำลมพยุห์ใหญ่พี่ไปอยู่ในที่ไหนจึงมานี่
 เห้งเจียบอกว่าเหลือกำลัง ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวข้าพเจ้ายังไม่เคยพบเห็นลมอะไรอย่างนี้ อ้ายปีศาจคนนี้มันถือสามง่ามมาต่อสู้กับพี่ ๆ ร่ายมนต์เป็นรูปวานรเข้าล้อมมัน ๆ เรียกลมพายุพัดวานรนั้นปลิวไปตามลมหมด ลมนั้นพัดแรงเหลือที่จะตั้งมั่นอยู่ได้ เพราะฉะนั้นพี่จึงได้หนีออกนอกสายลมนั้นกลับมา พี่ก็เคยเรียกลมเรียกฝน แต่ไม่เหมือนลมของอ้ายปีศาจอึ้งฮองนี้ ดูมันเรี่ยวแรงเหลือเกิน
 โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า ถ้ากระนั้นเราจะคิดประการใดต่อไป จึงจะช่วยพระอาจารย์ของเราออกมาได้
 เห้งเจียบอกว่าซึ่งการจะแก้พระอาจารย์ออกมานั้น จำจะต้องคิดหาอุบายใหม่ ไม่ทราบว่าตำบลนี้จะมีหมอยารักษาตาหรือไม่ จะได้ให้หมอรักษาตา เพราะในแก้วตาเจ็บปวดเหลือเกิน
 โป๊ยก่ายถามว่านัยน์ตานั้นเจ็บเป็นอย่างไร จึงต้องหาหมอรักษา เห้งเจียโกรธด่าว่าอ้ายเดรัจฉาน อึ้งฮองมันพ่นด้วยลมทิพย์หลบไม่ทันจึงถูกลมทิพย์ ในแก้วตาจึงได้ปวดเหลือที่จะทน
 โป๊ยก่ายว่าอยู่ในกลางป่าแลเขาเช่นนี้ เวลาก็จวนจะค่ำอยู่แล้ว จะไปอาศัยอยู่ที่ไหนจะได้หาหมอยาตาได้
 เห้งเจียพูดว่า ซึ่งจะหาที่อาศัยนั้นไม่สู้ยากนัก พี่คิดดูว่าอ้ายปีศาจมันยังหาอาจกินเนื้ออาจารย์เราได้ไม่ จำเราจะพากันออกแนวทางหาบ้านคนจะได้อาศัยสักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้จึงค่อยคิดหาอุบายต่อไป พูดดังนั้นแล้วคนทั้งสองก็พากันเดินตัดทางออกจากเขา บัดเดี๋ยวก็ออกพ้นซอกเขาลงเดินตามแนวทาง ประเดี๋ยวใจก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่า คนทั้งสองก็ยืนพิจารณาดูก็แลเห็นที่ริมชายเขามีเรือนหลังหนึ่งตามไฟอยู่วับแวม
 เห้งเจียโป๊ยก่ายเห็นดังนั้น ก็ดีใจจึงบุกหญ้าพงตัดตรงเข้าไปจนถึงประตูบ้าน เห้งเจียจึงเข้าไปเคาะประตูร้องเรียกว่า เปิดประตูรับด้วย เรียกอยู่สองสามคำ บัดเดี๋ยวก็มีตาเฒ่าเดินออกมาถามว่า คนที่ไหนมาร้องเรียกมีกิจธุระอะไรหรือ
 เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าทั้งสองนี้อยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งให้อาจารย์ข้าพเจ้าไปเมืองไซทีประเทศ นมัสการพระพุทธเจ้า ขออาราธนาพระคัมภีร์ไตรปิฎกธรรม เพื่อจะได้ทำมหากุศลอันใหญ่ บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งสองตามพระอาจารย์เดินข้ามเขาอึ้งฮองมา อึ้งฮองใต้อ๋องออกสกัดทางจับเอาพระอาจารย์ของข้าพเจ้าหนีเข้าถ้ำแล้ว บัดนี้เวลาจวนค่ำแล้ว ขออาศัยนอนพักสักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าข้าพเจ้าจะลาไปขอท่านได้กรุณาเถิด
 ตาเฒ่าได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น จึงบอกว่าขอเชิญท่านทั้งสองคนเข้ามาเถิด เห้งเจียโป๊ยก่ายก็จูงม้ายกหาบเข้ามาข้างในแล้ว ต่างมาเคารพตาเฒ่า ๆ ก็เชิญให้นั่งที่อันสมควร แล้วยกน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยงพูดจาสนทนากัน บัดเดี๋ยวคนใช้ก็ยกอาหารเครื่องแจออกมาตั้งบนโต๊ะ แล้วตาเฒ่าก็เชิญเห้งเจียโป๊ยก่ายกินข้าว ครั้นคนทั้งสองเสพย์อาหารเสร็จแล้ว ตาเฒ่าก็จัดที่ให้นอนพัก
         เห้งเจียจึงถามตาเฒ่าว่า ขอท่านได้โปรดในที่ตำบลนี้มีหมอรักษาตาอยู่บ้างหรือไม่
         ตาเฒ่าได้ฟังถามดังนั้น จึงถามว่าผู้ใดเจ็บตาหรือท่านจึงถามหาหมอยาตา
         เห้งเจียบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดบังอะไรแก่ท่านตา ข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจ็บตาเลย แต่วันนี้สู้รบกับอึ้งฮองใต้อ๋องอยู่ที่หน้าถ้ำมันพ่นด้วยลมพิษถูกตาข้าพเจ้าเจ็บปวดเหลือที่จะทนได้
 ตาเฒ่าได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น จึงพูดว่าท่านผู้นี้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังดังนี้ ข้าพเจ้ามีความวิตกมาก เพราะอึ้งฮองใต้อ๋องพ่นพิษเป็นลมมีฤทธิ์อันแรงร้ายมากนัก อันลมนี้มิใช่ลมสี่ฤดูในสี่ทิศ
 โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า เป็นลมในขมับหรือลมในแก้วหูหรือลมในหัวสมองดอกกระมังจึงได้ร้ายแรงดังนี้
         ตาเฒ่าตอบว่าไม่ใช่ มิใช่นามลมอย่างนี้เกิดแก่เวทย์มนต์คาถา
         เห้งเจียถามว่าทำอย่างไรจึงจะรู้ชัดซึ่งลมอันนี้ได้
 ตาเฒ่าบอกว่า ลมอันนี้บังเกิดขึ้นแล้วมืดฟ้ามัวฝน แม้เทวดาเทพารักษ์กระทบถูกเข้าก็ให้เศร้าหมอง ถูกหินศิลาก็แตกหักไปทั้งสิ้น แม้ถูกมนุษย์แลสัตว์ใด ๆ ก็จะต้องถึงความตายมิได้รอดพ้นไปเลย เว้นแต่เซียนทั้งหลายจึงจะไม่ตาย
 เห้งเจียว่าพวกข้าพเจ้ามิใช่เทพยดาก็จริง แต่เป็นเชื้อภูมิของเทพยดาเซียน อันชีวิตนั้นยากที่จะทำลายได้ แต่ถูกในแก้วตาปวดแสบเหลือทน
 ตาเฒ่าจึงพูดว่าถ้ากระนั้นก็ยังแก้ไขได้ แต่ในตำบลบ้านนี้ไม่มีผู้ใดจะขายยา ข้าพเจ้ามียาวิเศษอยู่ขนานหนึ่ง เป็นยาของท่านผู้วิเศษบอกให้ สามารถจะแก้รักษาลมทั้งหลายนั้นได้
 เห้งเจียได้ฟังตาเฒ่าพูดดังนั้น ก็มีความดีใจเป็นที่สุด จึงพูดแก่ตาเฒ่าว่า ถ้ากระนั้น ขอท่านได้สงเคราะห์ให้ยาข้าพเจ้าลองดูบางทีจะหายได้บ้างกระมัง ตาเฒ่าจึงหยิบยามาส่งให้เห้งเจียแต้มดู แล้วสั่งว่าแม้แต้มยาเข้านัยน์ตาแล้ว จงระงับจิตนอนให้สบาย พอรุ่งแจ้งนัยน์ตาก็จะหายปวด
         เห้งเจียทำตามคำสั่งแล้ว ก็เอายาใส่ตาแล้วก็หลับตาไม่ลืมดูอะไรดุจคนตาบอด
โป๊ยก่ายเห็นเห้งเจียใส่ยาตาดังนั้นแล้ว จึงจัดแจงปูลาดที่นอน ร้องเรียกพี่เห้งเจียจงมานอนเถิด เห้งเจียค่อย ๆ คลำเก้กังมา โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าท่านตาให้ยาใส่แล้วทำไมท่านตาไม่ให้ไม้ท้าวด้วยเล่า
 เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงด่าว่าอ้ายสัตว์กินรำ มึงดูถูกกูเช่นคนตาบอดขอทานหรือ โป๊ยก่ายก็หัวเราะก๊ากใหญ่แล้วก็ขึ้นเตียงนอน
 ฝ่ายเห้งเจียในคืนวันนั้น ก็นั่งสำรวมจิตให้ระงับอยู่ในที่สุข ถึงสามยามจึงปล่อยใจนอน ครั้นจวนรุ่งเห้งเจียก็ผุดลุกขึ้นเกาคางเกาหูลืมตาสว่างแจ่มใสยิ่งกว่าเดิมได้ร้อยเท่าพันเท่า จึงพูดว่ายาของท่านตานั้นดีจริงหาที่เปรียบมิได้ พูดฉะนั้นแล้วก็เหลียวซ้ายแลขวามิได้เห็นบ้านเรือน ๆ สูญหายไปหมดสิ้น เห็นแต่ต้นไม้ใหญ่ เห้งเจียกับโป๊ยก่ายนอนอยู่บนหญ้า โป๊ยก่ายเห็นประหลาดดังนั้นจึงพูดแก่เห้งเจียว่าพี่เห็นเป็นอย่างไร เห้งเจียก็มองไปมิได้เห็นบ้านเรือนอะไรเลย โป๊ยก่ายตรึกนึกขึ้นได้ก็ตกใจว่าบ้านเรือนหายไปหมดดังนี้ ก็หาบของแลม้านั้นอยู่ที่ไหน เห้งเจียชี้มือว่า ที่ต้นไม้นั้นม้ากับหาบของเราไม่ใช่หรือ โป๊ยก่ายพูดว่าบ้านนี้เรามานอนอาศัยอยู่เหตุใดยกไปจึงไม่ให้เรารู้เล่า หรือเห็นว่าเราเป็นคนแปลกเดินมาอาศัย ผู้ใหญ่บ้านจะจับผิด เพราะฉะนั้นจึงได้ยกไปไม่ทันสว่าง พวกเรานอนหลับไม่รู้ตัวดุจคนตาย เหตุใดเมื่อเขารื้อบ้านจึงไม่ดังตึงตังบ้างเลย
 เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า เจ้าอย่าพูด!เลอะเทอะไปเลย จงไปดูบนกิ่งไม้นั้น กระดาษหนังสืออะไรอยู่ที่นั่น
 โป๊ยก่ายเหลียวไปเห็น ก็วิ่งเข้าไปดูแล้วเอามือแกะลงมาพิจารณาดู เห็นมีอักษรสี่แถวเป็นคำอรรถว่า (จึงกือพิสี่จอกหยินกือ ฮู้ฮวดแกล้ำเตี๊ยมฮ่วยลู้ เบี้ยวยอกอิ้วกุนอิ่งนี้เกี่ย จิ้นซิมหั้งกว่ายบอกเตาตู้) แปลเป็นภาษาไทยได้ความว่า ตำบลนี้ไม่ใช่ถิ่นมนุษย์อยู่ เป็นของเทวดาเทพารักษ์บันดาลให้ ยาวิเศษให้ท่านแก้ตาเจ็บ จงตั้งใจกำจัดปีศาจให้ราบคาบอย่าหันเห
 เห้งเจียรู้ใจความแล้ว จึงพูดว่าพวกเจ้าแลเทพยดาเทพารักษ์เหล่านี้ ตั้งแต่คราวได้ม้ามังกรมาจนบัดนี้มิได้ใช้สอยอะไร บัดนี้มาทำหลอกเล่นดังนี้ โป๊ยก่ายว่าทำไมเทวดาจะมายอมให้พี่ใช้สอยเล่า เห้งเจียว่าน้องยังไม่รู้เรื่อง พวกเทพารักษ์เหล่านี้ คือได้รับคำสั่งของพระโพธิสัตว์คอยตามคุ้มครองรักษาพวกเราแลพระอาจารย์ ตั้งแต่ที่เขาปั๊วจั่วซัวได้บอกนามชื่อกับเราตั้งแต่ครั้งนั้นมาก็มิได้ใช้สอยอะไร
 โป๊ยก่ายจึงพูดว่า ท่านเหล่านี้คอยคุ้มครองรักษาพระอาจารย์ เพราะฉะนั้นจึงมิให้เราเห็น มาบันดาลบ้านเรือนแลให้ยาตาใส่หายได้พี่จะโกรธเคืองทำไม เรารีบพากันไปช่วยพระอาจารย์ของเราเถิด
 เห้งเจียพูดว่า ตำบลนี้ระยะทางไปถ้ำอึ้งฮองต๋องไม่สู้ไกลกี่มากน้อย เจ้าจงอยู่ที่นี่คอยระวังม้าแลหาบสิ่งของ แอบอาศัยอยู่พุ่มไม้นี้ พี่จะเข้าไปในถ้ำฟังข่าวดูพระอาจารย์จะมีข่าวประการใด แล้วจึงค่อยคิดสู้รบกันต่อไป
 โป๊ยก่ายพูดว่า พี่จงไปสืบข่าวฟังดูให้แน่ว่าจะเป็นตายประการใด ถ้าพระอาจารย์ตายเสียแล้วเราจะได้ต่างคนต่างไปทำธุระการงานบ้าง ถ้าอาจารย์ยังไม่ตายเราจะได้คุ้มเกรงรักษาพระอาจารย์ไปกว่าจะสำเร็จการกลับมา
 เห้งเจียจึงพูดว่าเจ้าอย่าพูดให้วุ่นไปข้าจะไปสืบดูก่อน ว่าแล้วก็เหาะไปยังถ้ำอึ้งฮองต๋อง ครั้นถึงเห้งเจียก็หยุดยืนพิจารณาดู เห็นประตูถ้ำปิดแน่นเสียงเงียบอยู่ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงร่ายพระคาถาแปลงกายเป็นยุงขาลาย บินลอดเข้าไปในถ้ำร่อนพิจารณาดูทั่วไป เห็นพวกปีศาจน้อยยังนอนหลับอยู่ทั้งนั้น แต่อึ้งฮองผู้เดียวตื่นอยู่ร้องสั่งให้ปีศาจน้อยคอยระวังประตูถ้ำให้กวดขันวิตกว่า วานนี้เห้งเจียต้องลมจะไม่ตาย วันนี้คงจะมาแก้แค้นเราเป็นแน่ เห้งเจียหยุดฟังอึ้งฮองต๋องสั่งบริวารดังนั้นแล้วก็บินเลยเข้าไป เห็นประตูชั้นในปิดแน่นจึงบินลอดเข้าไป ข้างหลังนั้นมีสวนมีเสาปักอยู่เห็นพระอาจารย์ต้องมัดอยู่กับเสา
กำลังคร่ำครวญทุกข์ร้อนบ่นถึงเห้งเจียโป๊ยก่ายอยู่ เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงบินโผลงจับที่ศรีษะพระอาจารย์ หลวงจีน ถังซัมจั๋งได้ยินเสียงเรียกก็จำได้ว่าเห้งเจีย จึงถามว่าอยู่ที่ไหนเราไม่เห็นตัว เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าจับอยู่บนศรีษะ พระอาจารย์อย่าวิตกโทมนัสไปเลย วันนี้ข้าพเจ้าจะคิดทำลายถ้ำกำจัดปีศาจอึ้งฮองเสียให้จงได้ พระอาจารย์ จึงจะพ้นทุกขได้
 วันนี้พระอาจารย์จึงตั้งสติอารมณ์ให้ดีเถิด ว่าเท่านั้นแล้วก็โผบินกลับออกมายังที่อึ้งฮองต๋องกำลัง จัดสั่งให้พวกบริวารตระเตรียมการระวังรักษา บัดเดี๋ยวเห็นปีศาจวิ่งเข้ามาบอกว่า ข้าพเจ้าไปตรวจตูตามแนวป่า พบอ้ายปากยาวหูใหญ่นั่งแอบอยู่ในพุ่มรก นี่หากว่าข้าพเจ้าหลบมาเสียเร็ว ถ้าหาไม่มันคงจะจับได้ แต่ไม่เห็นอ้าย หน้าขนเมื่อวานนี้ มันจะไปข้างไหนหาทราบไม่ ขอใต้อ๋องได้ทราบ อึ้งฮองใต้อ๋องได้ฟังพลตระเวรมาบอกดังนั้นจึงพูดว่า อ้ายเห้งเจียชะรอยถูกลมร้ายตายเสียแล้ว แม้ว่าไม่ตายก็คงจะไปหาผู้วิเศษมาช่วยเป็นแน่ พวกบริวารจึงถามว่า ถ้าเห้งเจียยังไม่ตายจะไปหาผู้วิเศษมาช่วยดังนั้น ใต้อ๋องจะคิดต่อสู้ด้วยประการใดเล่า
 อึ้งฮองใต้อ๋องจึงพูดว่า เราวิตกอยู่แต่เล่งเกิ๊ยดโพธิสัตว์องค์เดียวนั่นแลจึงจะกำจัดเราได้ นอกจากนั้นเราไม่วิตกเลย เวลาที่อึ้งฮองใต้อ๋องพูดดังนั้น เห้งเจียยุงจับอยู่บนขื่อได้ฟังอึ้งฮองพูดทุกประการ ก็มีความยินดีจึงรีบโผบินออกจาก ถ้ำแล้วแปลงกายกลับเป็นรูปเดิมตรงมายังที่โป๊ยก่ายซ่อนอยู่นั้น เรียกโป๊ยก่ายว่าเรามาแล้ว โป๊ยก่ายเห็นเห้ง เจียมาก็ดีใจ ถามว่าพี่ไปสืบข่าวพระอาจารย์นั้นได้ความอย่างใดบ้าง เมื่อตะกี้นี้อ้ายปีศาจพลตระเวณเดินตรวจมา ทางนี้ ข้าพเจ้าไล่จับไม่ทันมันวิ่งหนีไปได้
 เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายเล่าความให้ฟังดังนั้น จึงหัวเราะแล้วพูดว่าจริง ของเจ้า แล้วเห้งเจียก็เล่าความซึ่งลอบเข้าไปในถ้ำให้โป๊ยก่ายฟังทุกประการ เห้งเจียพูดว่ามันวิตกกลัวแต่เล่ง เกี่ยดโพธิสัตว์เท่านั้น แต่เล่งเกี่ยดโพธิสัตว์จะอยู่ที่ไหนเล่า เมื่อสองคนกำลังปรึกษากันอยู่นั้น แลไปเห็นตาแก่ เดินมาข้างทางคนหนึ่ง โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจึงพูดแก่เห้งเจียว่า ที่คำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า อยากจะใคร่รู้หนทาง ป่าเขาก็ให้ถามคนเดินทาง บัดนี้มีตาเฒ่าเดินมาควรจะถามดูหากจะได้รู้ได้บ้างดอกกระมัง เห้งเจียจึงเอาไม้กระบองซ่อนเสียแล้ว จึงมีคำถามท่านตาเฒ่าว่า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของหลวง จีนถังซัมจั๋ง จะไปอาราธนาคัมภีร์พระไตรปิฎกธรรม บัดนี้มาถึงที่นี้พระอาจารย์ของข้าพเจ้าหายไป
 ข้าพเจ้าขอ ถามท่านตาว่า พระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดนั้นอยู่ที่ไหน ขอได้โปรดบอกให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ตาเฒ่าได้ฟังถามดังนั้นจึงชี้มือบอกว่า พระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดนั้นอยู่ทิศอาคเนย์ ระยะทาง ใกล้ไกลประมาณสองพันโยชน์ ที่ตำบลนั้นมีภูเขาชื่อว่าสุเมรุน้อย ในภูเขานั้นมีพระอุโบสถใหญ่พระโพธิสัตว์เล่ง เกี๊ยดบัดนี้ท่านกำลังแสดงธรรมอยู่ แม้ว่าท่านจะอาราธนาพระคัมภีรก็เชิญไปเถิด เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่จะไปอาราธนาพระคัมภีร์ของท่านดอก ข้าพเจ้ามีธุระแต่ไม่รู้จัก หนทางที่จะไปหาท่าน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้ถามท่านเพื่อจะขอความกรุณาช่วยแนะนำ
 ตาเฒ่าจึงชี้มือตรง ทิศนี้ตามทางและจะพบโพธิสัตว์ เห้งเจียหันหน้ามาตาเฒ่าก็หายไปไม่เห็นรูปกาย แลไปเห็นแต่กระดาษตกอยู่ข้าง ทาง เห้งเจียเดินมาหยิบขึ้นดูเห็นมีอักษรสี่แถว มีคำอรรถภาษาจีนว่า (เสี้ยงฮกซีเทียนใต้เซี้ย เล่านั้งหนัยสีลี้ตึ้ง แก ซูมีซัวอิ้วปวยเล่งกุน เล่งเกี่ยดตวงนี้ซี่วฮุดเปีย) เห้งเจียคลี่อ่านดูก็รู้ในใจความทั้งสิ้น โป๊ยก่ายถามว่าทำไม เราจึงปะแต่พวก ผี ปีศาจที่บันดาลเป็นสายเป็นลมหายไปนั้นเป็นคนอะไร เห้งเจียบอกว่าไม่ใช่อื่นคือลี้ตึ้งแก เห้งเจียจึงส่งกระดาษหนังสือนั้นให้แก่โป๊ยก่าย โป๊ยก่ายคลี่ออกอ่านจึงถามว่าลี้ตึ้งแกนั้นคือผู้ใด เห้งเจียบอก ว่าคือไทเบ๊กกิมแชนั้นเอง
 โป๊ยก่ายได้ฟังว่าไทเบ๊กกิมแชมีความยินดีพูดว่า ผู้มีคุณเมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้าไม่ได้พึ่ง ท่านผู้นี้ทูลขอโทษเง๊กเซียงฮ่องเต้แล้ว ตัวข้าพเจ้าป่านนี้จะเป็นละอองธุลีผงคลีไปแล้ว เห้งเจียจึงสั่งว่าน้องอย่าออกนอกทาง จึงซ่อนตัวอยู่ในพุ่มรกนี้ก่อน แลจงระวังม้ากับหาบของ เราไว้ให้ดี พี่จะไปนิมนต์เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์มาจึงค่อยแก้ไขเอาอาจารย์ออก โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้นจึงบอกว่า พี่ตั้งใจไปหาพระโพธิสัตว์เถิด อย่าวิตกถึงข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ามีวิชาซ่อนตัวได้ดุจเต่าหับ ไม่มีผู้ใดเห็นตัวเลย
 เห้งเจียครั้นสั่งโป๊ยก่ายเสร็จแล้ว ก็สำรวมจิตเหาะขึ้นกลางอากาศลอยไปยังทิศอาคเนย์ บัดเดี๋ยว ก็มาถึงเห็นภูเขาหนึ่งสูงเทียมเมฆมีรัศมีสีต่าง ๆ สอดแสงระยับตา ที่ท่ามกลางระหว่างเขามีพระวิหารใหญ่ได้ยิน เสียงระฆังวังเวงแลธูปเทียนหอมระรื่นไปทั้งสิ้น เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความยินดี จึงร่ายพระคาถาลอยลงยังพื้นแล้ว ก็เดินตรงมายังหน้าประตูวิหาร ครั้นถึงแลไปบนลานพระวิหาร เห็นชีผ้าขาวคนหนึ่งนั่งบริกรรมเจริญพระพุทธคุณ อยู่
 เห้งเจียค่อย ๆ เดินใกล้เข้าไปแล้ว ยกมือคำนับแล้วพูดว่าขอท่านได้โปรดว่าที่นี้ใช่ที่พระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยด หรือมิใช่ ชีผ้าขาวตอบว่านี่แลถูกแล้ว ท่านจะมีกิจธุระอย่างไรหรือ เห้งเจียบอกว่าขอท่านได้โปรดกราบเรียนแก่พระโพธิสัตว์ด้วยว่า ข้าพเจ้าเป็นสานุศิษย์ของพระ ถังซัมจั๋งอยู่ ณ เมืองใต้ถังทิศบูรพา มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้หลวงจีนถังซัมจั๋ง ไปนมัสการพระพุทธเจ้า ขออาราธนาคัมภีร์พระไตรปิฎกยังประเทศไซที บัดนี้มีกิจธุระร้อนข้าพเจ้าอยากจะพบท่าน
 ชีผ้าขาวว่าท่านสั่งข้าพเจ้ามากความนักข้าพเจ้าจำมิได้ เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นท่านจงกราบเรียน อย่างนี้ก็ได้ว่า บัดนี้ศิษย์หลวงจีนถังซัมจั๋ง ชื่อซึงหงอคงจะมาเฝ้า ชีผ้าขาวรับคำแล้วเข้าไปกราบเรียนว่าขอพระ ผู้เป็นเจ้าได้ทราบ บัดนี้สานุศิษย์หลวงจีนถังซัมจั๋งชื่อซึงหงอคง มีธุระจะเข้ามาเฝ้า ขอพระผู้เป็นเจ้าได้ทราบ ฝ่ายพระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดทราบว่า หงอคงจะมาหา จึงออกไปยังยังวิหารรับเข้ามา
 เห้งเจียเห็น พระโพธิสัตว์ออกมา จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วก็เดินตามเข้าไป เห้งเจียเดินพลางพิจารณาดูพลาง เห็นตามฝาแลห้อง หอประดับประดาล้วนแต่เพ็ชรนิลจินดาแก้วระย้ามีสีต่าง ๆ ดุจวิมานสวรรค์ ครั้นถึงที่ข้างในพระโพธิสัตว์เชิญให้ นั่งแล้วให้เอาน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยง เห้งเจียพูดว่า น้ำร้อนน้ำชานั้นขอท่านอย่าได้วุ่นวายเลย บัดนี้พระอาจารย์ ของข้าพเจ้าเดินทางมาถึงตำบลเขาอึ้งฮองซัวต๋อง อึ้งฮองใต้อ๋องจับเอาอาจารย์ของข้าพเจ้าไปไว้ในถ้ำ อาจารย์ ข้าพเจ้าได้ความเดือดร้อนอยู่สองสามเวลาแล้ว ถ้าช้าไปก็คงจะเป็นอันตรายถึงชีวิตแน่ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมา เชิญพระโพธิสัตว์ไปให้ช่วยปราบปรามปีศาจร้ายจะได้แก้พระอาจารย์ออกให้พ้นจากที่ยากด้วย
 พระเล่งเกี๊ยดได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อาตมาได้รับคำสั่งของพระพุทธเจ้าอยู่ที่เขานี้ คอยกำจัดหมู่ ปีศาจและสัตว์ร้ายในเขาอึ้งฮองซัว ครั้งก่อนได้จับตัวมันมาสั่งสอน ให้ตั้งอยู่ในทางสัมมาปฏิบัติ บัดนี้มันมีจิต กำเริบประทุษร้ายอย่างนี้ ก็เป็นหน้าที่ของอาตมาภาพจะต้องไปกำจัดเสีย ไว้นานไปจะเกิดจลาจลขึ้นมากมายไป พระพุทธเจ้าได้ให้ของวิเศษไว้สองอย่าง คือยาบังลมเม็ดหนึ่ง ไม้กระบองมังกรทองคำอันหนึ่ง สำหรับกำจัด ปีศาจร้ายพวกนี้พระโพธิสัตว์พูดดังนั้นแล้ว จึงจับไม้กระบองถือเดินออกมาจากวิหารพร้อมด้วยเห้งเจีย เหาะตรง มายังเขาอึ้งฮองซัว
 ครั้นถึงพระโพธิสัตว์สั่งเห้งเจียว่า ท่านจงลงไปล่อมันให้ออกมานอกถ้ำ อาตมจะคอยอยู่บน กลีบเมฆ ถ้ามันออกมาแล้วอาตมาจะเอาของวิเศษจับตัวมันให้ได้ เห้งเจียครั้นได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งดังนั้นแล้ว ก็ลงมายังประตูถ้ำ เอากระบองเหล็กกะทุ้งประตูถ้ำ หักพังหลายลงไปทั้งสิ้น มือก็ตีปากก็ด่าด้วยคำอยาบช้าต่าง ๆ พวกปิศาจเฝ้าประตูถ้ำเมื่อได้เห็นเห้งเจียทำดังนั้นก็ตกใจ พากันวิ่งเข้าไปบอกอึ้งฮองใต้อ๋องว่า บัดนี้อ้ายหน้าขนมาพังประตูถ้ำเสียแล้ว ขอใต้อ๋องได้ทราบเถิด อึ้งฮองใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นมีความโกรธยิ่งนักจึงพูดว่า อ้ายนี่จองหองเหลือเกินไม่มีความยำเกรง เลย หมิ่นประมาทเรามากนัก เราจะออกไปทำลมร้ายพัดให้ตายเสียจะได้สิ้นชาติ
 ว่าดังนั้นแล้วก็ จับสามง่ามเป็นอาวุธรีบออกมานอกประตูถ้ำ พอแลเห็นเห้งเจียอึ้งฮองก็เอาสามง่ามแทง เห้งเจีย ๆ ยกกระบองขึ้นรับไว้ รบกันไปมาประมาณสองเพลง อึ้งฮองจะใคร่ทำลมร้ายให้ บังเกิดขึ้น พอจะร่ายมนต์พระเล่งเกี๊ยดเห็นดังนั้น จึงร่ายพระคาถาขว้างไม้ตระบองลงไป สั่งให้ เป็นมังกรทองแปดเล็บเข้าจับอึ้งฮอง ๆ หนีไม่พ้นมังกรก็รัดอึ้งฮองไว้ อึ้งฮองสิ้นกำลังก็แปลง กายเป็นรูปเดิม คือเป็นหนูขนเหลือง เห้งเจียกระโจนมาจะตีให้ตาย
 พระโพธิสัตว์ร้องขอไว้ ว่าอย่าทำให้มันตายเลย ด้วยเดิมมันได้รักษาศีลภาวนามานานแล้ว เพราะด้วยมันลักกินน้ำมันที่ตามไว้ไนถ้วยแก้ว ที่หน้าพระพุทธรูปนั้นมืดไป มันกลัวเทพยดาเทพารักษ์ ที่รักษาพระอารามจะจับตัวมัน ๆ จึงได้หนีมาอาศัยอยู่ที่ เขานี้ ไว้อาตมาจะเอาตัวไปหาพระพุทธเจ้า เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงนมัสการขอบพระคุณพระโพธิสัตว์ ๆ ก็กลับไปยังสำนักตามเดิม ฝ่ายโป๊ยก่ายนั่งอยู่ในพุ่มไม้คอยถ้าอยู่ บัดเดี๋ยวก็แลเห็นเห้งเจียมา
 โป๊ยก่ายจึงถามว่า พี่ไปหา พระโพธิสัตว์ได้ความประการใดบ้างหรือเปล่า เห้งเจียเล่าเหตุการณ์ตามที่ได้ไปเชิญพระโพธิสัตว์มาปราบปีศาจหมู่ให้โป๊ยก่ายฟังทุกประการ บัดนี้เราควรจะรีบไป แก้พระอาจารย์ของเราออกมาเถิด โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียเล่าให้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดีหาที่เปรียบมิได้ เห้งเจียโป๊ยก่ายก็พากันมาที่ในถ้ำเดินเข้าข้าง ใน โป๊ยก่ายเอาคราดเหล็กสับตะบมเข้าไปไม่เลือกว่า ปีศาจเล็กใหญ่ตายวินาศไปทั้งสิ้น เห้งเจียก็เอากระบอง เหล็กตีขนาบไปไม่ว่าห้องหอและประตูหน้าต่างล้มพังไปทั้งสิ้น แล้วก็พากันตรงเข้าไปหลังถ้ำแก้พระอาจารย์ออก จากเสา
 เห้งเจียจึงเล่าความทั้งปวงให้พระอาจารย์ฟังตั้งแต่ต้นมา พระถังซัมจั๋งเมื่อได้ฟังเห้งเจียเล่าดังนั้น จึงยกมือขึ้นนมัการขอบคุณพระโพธิสัตว์ ครั้นแล้วพระ อาจารย์กับศิษย์ก็พากันมาในถ้ำ นั่งพักกินน้ำร้อนน้ำชาสักประเดี๋ยวพอหายเหนื่อย แล้วก็พากันออกจากถ้ำ ตั้งหน้าตรงไปยังมัจฌิมประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น: