Translate

18 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 12 ไซอิ๋ว นวนิยาย

เห้งเจีย/ภาพยนตร์ Havoc in Heaven พ.ศ. 2504 ‧ภาพยนตร์แนวแฟนตาซี/ผจญภัย ‧ 1 ชม. 54 นาที
【Chinese _ English subtitle】Uproar in Heaven (1964)(【國語英字】大鬧天宮(1964))

 เมื่อยมบาลนำวิญญาณเล่าช้วนกับนางลี้จุ๋ยเน้ยออกจากเมืองนรกแล้ว มายังเมืองเชียงอาน ครั้นถึงยมบาลจึงเอาวิญญาณของเล่าช้วนส่งเข้าไปในหอกิมเต็งให้เข้ารูปเดิม ครั้นวิญญาณของเล่าช้วนเข้าร่างกายเสร็จแล้ว ยมบาลก็พาวิญญาณของนางลี้จุ๋ยเน้ยเข้าในพระราชวังมายังสวนดอกไม้
 ฝ่ายนางลี้เง็กเอ็งเป็นขนิษฐาภคินีของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เวลานั้นมาเที่ยวในสวนดอกไม้ นางกำลังเที่ยวเดินชมพฤกษาชาติในสวนเป็นที่สำราญแล้วก็มายืนพักอยู่ใต้ร่มใม้ ขณะนั้นยมบาลเห็นนางลี้เง็กเอ็งกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ยมบาลก็ตรงเข้าทุบที่ท้องน้อยนางก็ล้มลงขาดใจตาย ยมบาลก็เอาวิญญาณของนางลี้จุ๋ยเน้ยใส่เข้าในรูปนางลี้เง็กเอ็ง ครั้นเสร็จแล้วยมพบาลก็กลับไปยังเมืองนรกตามเดิม
 ฝ่ายพวกสาวใช้ซึ่งมาในสวนเห็นนางลี้เง็กเอ็งหกล้มมีอันเป็นดังนั้น ต่างก็วิ่งเข้าไปบอกแก่นางฮ่องเฮ้ามะเหสีว่า บัดนี้นางลี้เง็กเองกำลังเที่ยวเล่นในสวนยืนอยู่ดี ๆ ก็ล้มลงขาดใจตายเสียแล้ว
 ฝ่ายนางฮ่องเฮ้าได้ฟังสาวใช้มาบอกดังนั้นก็ตกใจออกจากตำหนัก มากราบทูลพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ว่า นางลี้เง็กเอ็งไปเที่ยวในสวนล้มลงสิ้นชีวิตเสียแล้ว
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังฮ่องเฮ้าทูลดังนั้นจึงตรัสว่า เหตุการณ์อันนี้เอาเป็นจริงไม่ผิด เพราะเราเมื่อลาพระยามัจจุราชจะกลับมา ก็ได้ถามเงียมฬ่ออ๋องว่าบนเมืองมนุษย์ข้าราชการจะมีเหตุการณ์ประการใดบ้าง พระยามัจจุราชก็ได้บอกแก่เราว่า ข้าราชการทั้งหลายก็สบายดีอยู่ทุกคน วิตกแต่น้องสาวของเราจะมิได้อยู่ในเมืองมนุษย์นาน ซึ่งพระยายมราชบอกแก่เรานั้นก็จริงไม่ผิดเลย เมื่อพระองค์ตรัสแก่ฮ่องเฮ้าดังนั้นแล้วก็เสด็จมายังสวนดอกไม้
 ครั้นมาถึงใต้ร่มพฤกษาใหญ่ แลเห็นนางลี้เง็กเอ็งมีลมหายใจเนือง ๆ อยู่ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เห็นดังนั้นแล้ว จึงตรัสห้ามคนทั้งหลายว่า อย่าร้องไห้อื้ออึงไป พระองค์ก็เสด็จเข้าใกล้เอาพระกรประคองศรีษะนางลี้เง็กเองขึ้นจึงตรัสเรียกนางลี้เง็กเอ็งว่า เง็กเอ็ง ๆ จงฟื้นขึ้นเถิด
 ฝ่ายดวงจิตนางลี้จุ๋ยเน้ย เมื่อเข้าสิงรูปนางลี้เง็กเอ็ง ครั้นได้ยินเสียงคนเรียกดังนั้นก็พลิกตัว แล้วร้องเรียกเล่าช้วนผู้สามีว่า จงคอยข้าพเจ้าด้วยเถิด
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ฟังนางกงจู๊น้องสาวพูดดังนั้น จึงตรัสว่าพี่อยู่ที่นี่
 เมื่อนางลี้จุ๋ยเน้ยได้ยินเสียงพูดดังนั้น จึงลืมตาขึ้นเห็นคนทั้งหลายมานั่งล้อมอยู่ จึงลุกขึ้นนั่งแล้วถามว่า นี่คนอะไรที่ไหนจึงอาจสามารถคุมขังเราอย่างนี้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสว่าไม่ใช่คนอื่น คือพี่ชายพี่สะไภ้ของเจ้าเอง
 นางลี้จุ๋ยเน้ยจึงตอบว่า เอาที่ไหนมาพูดพี่ชายพี่สะใภ้ของข้าไม่มี ตัวข้าพเจ้าชื่อลี้จุ๋ยเน้ยต่างหาก สามีของข้าพเจ้าแซ่เล่าชื่อช้วน อยู่ด้วยกันมีบุตรสองคน บ้านตำบลเมืองกุนจิ๋ว เพราะเมื่อสามเดือนก่อน ข้าพเจ้ามีจิตศรัทธาเอากำไลมือออกทำบุญถวายแก่หลวงจีนไป สามีข้าพเจ้าทราบจึงกล่าวอยาบช้าแก่ข้าพเจ้าต่าง ๆ ว่าไม่อยู่ในโอวาทของสามี ทำโดยพละการตนเอง แล้วกล่าวคำเสียดสีต่าง ๆ ข้าพเจ้ามีความโทมนัสน้อยใจ อายแก่ชาวบ้านทั้งหลายจึงได้สละชีวิตเอาผ้าแพรผูกฅอตาย ครั้นสามีข้าพเจ้าไปพบแก่ข้าพเจ้าบอกว่าพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งใช้ให้นำแตงโมไปถวายพระยาเงียมฬ่ออ๋อง ๆ มีความกรุณาปล่อยผัวข้าพเจ้าแลตัวข้าพเจ้าให้กลับมายังมนุษย์โลกนี้ เวลาข้าพเจ้าเดินตามหลังสามีข้าพเจ้ามานั้น ข้าพเจ้าเดินช้าตามไม่ทันบังเอิญหกล้มลง สามีข้าพเจ้าเดินไปทางไหนไม่ทราบ นี่ท่านทั้งหลายเหล่านี้เหตุใดจึงมาล้อมคุมเราอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักผิดแลชอบหรือ
 เมื่อพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ฟังนางพูดดังนั้น พระองค์เข้าพระทัยไปเสียว่า นางกงจู๊หกล้มลงพระสติเสียฟั่นเฟือนเคลือบเคลิ้มไปจึงได้พูดจาเลอะเทอะ จึงรับสั่งให้ขันธีไปตามไทอุยหมอหลวง แล้วรับสั่งให้นางสาวใช้ช่วยกันพะยุงนางเข้าไปที่พระตำหนักข้างใน
 เมื่อเวลาพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ กำลังประทับตรัสด้วยเรื่องนางเง็กเอ็งกับฮ่องเฮ้าอยู่นั้น ฝ่ายพวกขันธีซึ่งคอยระวังการข้างหน้ามากราบทูลว่า บัดนี้เล่าช้วนที่อาสานำแตงโมไปถวายพระยามัจจุราชกลับเป็นขึ้นมาแล้ว จะคอยเข้าเฝ้าพระองค์อยู่ที่ประตูชั้นนอก
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้รับสั่งให้ขันธีพาเล่าช้วนเข้ามาเฝ้า เล่าช้วนถวายบังคมแล้วก็ถอยออกมายืนอยู่ที่ควร
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ตรัสถามเล่าช้วนว่า ซึ่งเจ้านำแตงโมไปถวายเงียมฬ่ออ๋องนั้นเป็นประการใด
 เล่าช้วนกราบทูลว่าข้าพเจ้าได้ลงไปถึงประตูผีกุ๊ยหมึงกวน คนเฝ้าประตูจึงนำข้าพเจ้าเข้าไปยังปราสาทซัมล้อเต้ย ครั้นถึงข้าพเจ้านำแตงโมถวายพระยาเงียมฬ่ออ๋องมีความยินดีนัก จึงสั่งให้เอาแตงโมไปเก็บ พระยามัจจุราชถามชื่อแลแซ่ว่าเหตุใดจึงลงมาในเมืองนรกข้าพเจ้าจึงบอกเหตุว่าภรรยาผูกคอตาย จึงได้มานะเข้าอาสาลงมาถวายแตงโมให้ทราบทุกประการ เงียมฬ่ออ๋องจึงใช้ให้ยมบาลไปตามวิญญาณของภรรยาข้าพเจ้ามาพบกับข้าพเจ้า แล้วเงียฬ่ออ๋องค้นสารบบบัญชีเกิดตาย แล้วพูดว่าข้าพเจ้าทั้งสองยังไม่ถึงกำหนดตาย ให้ยมบาลพาข้าพเจ้าทั้งสองคนกลับมาส่งยังมนุษย์โลก
 เมื่อเวลาเดินมานั้น ข้าพเจ้าเดินมาหน้าภรรยาเดินตามหลังมา ข้าพเจ้าก็มาเข้ารูปเดิมฟื้นขึ้นแล้ว ไม่ทราบว่าภรรยาของข้าพเจ้าไปข้างไหน เข้ารูปอะไรก็หาทราบไม่ ข้าพเจ้าจึงได้มาเฝ้าพระองค์ การเป็นดังนี้ขอพระองค์ได้ทรงทราบ
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังเล่าช้วนทูลดังนั้น ก็เฉลียวพระไทย พระองค์จึงตรัสถามเล่าช้วนต่อไปว่า พระยาเงียมฬ่ออ๋องได้พูดอะไรอีกบ้างหรือเปล่า เล่าช้วนกราบทูลว่า ก็ไม่เห็นพูดอะไร ได้ยินแต่ยมบาลพูดแก่พระยามัจจุราชว่า นางลี้จุ๋ยเน้ยตายนานแล้วรูปกายก็เปื่อยเน่าทรุดโทรมแล้วจะทำอย่างไร
 พระยาเงียมฬ่ออ๋องจึงสั่งให้ยมบาลเอารูปนางลี้เง็กเอ็งกงจู๊แทน ให้เอาวิญญาณของนางลี้จุ๋ยเน้ยเข้าอาศัยเถิด ข้าพเจ้าได้ยินพระยามัจจุราชสั่งยมบาลดังนี้ ไม่ทราบว่านางลี้เง็กเอ็งกงจู๊นั้นคนไหนบ้านเรือนอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบยังหาได้ไปค้นหาไม่
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังเล่าช้วนทูลดังนั้น ก็มีพระทัยยินดียิ่งนัก พระองค์จึงตรัสแก่ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหลายว่า เมื่อเราจะลาเงียมฬ๋ออ๋องกลับมานั้น เราได้ถามเงียมฬ่ออ๋องว่า บนเมืองมนุษย์เป็นอย่างไรบ้าง เงียมฬ่ออ๋องบอกว่าข้าราชการพร้อมเพรียงกันอยู่ดี แต่น้องสาวของเราอายุจะไม่ยืนยาว เมื่อตะกี้นี้นางกงจู๊น้องสาวเราไปเที่ยวในสวนอยู่ดี ๆ ก็ล้มสลบไป เรารู้เหตุจึงได้ไปที่นางล้มอยู่ เราเข้าประคับประคองแก้ไขได้สติฟื้นขึ้นบอกว่าชื่อนางลี้จุ๋ยเน้ยซึ่งเป็นภรรยาเล่าช้วน ซึ่งนางพูดดังนี้เราก็คิดว่าเห็นว่าเป็นการประหลาดอยู่ การสมต้นสมปลายเหมือนที่เล่าช้วนมาเล่าให้เราฟังเดี๋ยวนี้ ท่านทั้งหลายจะเห็นประการใด
 ฝ่ายงุยเต็งขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลว่า ซึ่งการจะเปลี่ยนดวงจิตนั้นก็คงจะมีอยู่บ้าง ถ้าจะให้สิ้นสงสัยแล้ว ขอเชิญกงจู๊มาข้างหน้าให้ดูเล่าช้วนก็จะได้รู้เหตุจริงประจักษ์ได้ ข้าพเจ้าเห็นการดังนี้ ขอพระองค์ได้ทรงทราบ
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ตรัสว่าเราได้ให้ไทอุยเขารักษาอยู่จะเป็นประการใดยังไม่ทราบ ตรัสดังนั้นแล้วจึงรับสั่งให้สาวใช้ไปบอกให้กงจู๊น้องเราออกมาข้างหน้าเดี๋ยวนี้
 นางสาวใช้ได้ฟังรับสั่ง ก็รืบเข้าไปข้างในตามรับสั่ง ฝ่ายไทอุยซึ่งประจำรักษานางกงจู๊นั้น ก็ประกอบยาให้นางพนักงานนำไปถวายนางกงจู๊ นางสาวใช้ก็นำมาถวายแลทูลเตือนให้นางเสวย
 ฝ่ายนางลี้จุ๋ยเน้ยเห็นนางสาวใช้แลพนักงานมาวุ่นวายดังนั้น จึงพูดว่าเราเจ็บไข้อะไร เรามากับสามี ๆ ของเราหายไปเราจึงมีความวิตกทั้งคิดถึงบุตรของเราทั้งสองยังไม่รู้ว่าจะเป็นประการใด ซึ่งตัวเรามาอยู่ที่นี้ได้ความคับแค้นเหมือนอยู่ในกรงขังสัตว์ ตัวเราหาใช่กงจู๊ไม่ ถ้าท่านเอ็นดูเราแล้ว ก็จงปล่อยเราให้ออกไปเสียเถิด ว่าแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไปไม่หยุดเลย
 ฝ่ายนางพนักงานครั้นมาถึงตำหนักแล้ว ก็บอกแก่นางกงจู๊ว่า มีรับสั่งให้นางกงจู๊ออกไปข้างหน้าเดี๋ยวนี้ แล้วก็กันเข้าพยุงให้นางเดินออกมาข้างหน้า ครั้นถึงแล้วจึงให้นางคำนับพระเจ้าแผ่นดินแล้วยืนเฝ้าอยู่ที่ควร
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงรับสั่งว่า เจ้าจำสามีของเจ้าได้แน่แล้วหรือ นางลี้จุ๋ยเน้ยจึงกราบทูลว่า เหตุใดข้าพเจ้าจะจำสามีของข้าพเจ้าไมได้เล่า ข้าพเจ้า สองคนผัวเมียนี้บิดามารดาได้สู่ขอกันไว้ตั้งแต่เล็ก ครั้นเติบใหญ่ขึ้นบิดามารดาได้แต่งให้อยู่กินด้วยกันจนเกิดบุตรสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่งทำไมจะจำกันไม่ได้
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้นางสาวใช้พาตัวนางกงจู๊ลงไปข้างล่างที่ชะลา
 ฝ่ายนางลี้จุ๋ยเน้ยเมื่อลงมาข้างล่างก็เห็นเล่าช้วนนางจำได้แน่ถนัด นางตรงเข้าจับมือเล่าช้วนยึดไว้แล้ว ถามว่าทำไมตัวทิ้งฉันหนีมาเสียก่อน ไม่คอยฉันบ้างเลยฉันสะดุดหกล้มลงแล้ว ครั้นลุกขึ้นได้ก็ไม่เห็นเจ้าไปข้างไหนก็ไม่รู้ ฉันถูกคนทั้งหลายล้อมคุมฉันอยู่ ฉันก็ไม่ยอมอยู่ด้วยคนเหล่านั้น คิดจะหนีคนเหล่านั้นเที่ยวตามหาเจ้า บังเอินมาพบกันดังนี้ เจ้าไปข้างไหนมา
 เล่าช้วนเห็นนางมายึดข้อมือพูดดังนั้น ก็ให้นึกสงสัยกะอำกะอากอยู่ จึงนึกว่าน้ำเสียงนั้นก็จำได้ไม่ผิดภรรยาของเรา แต่ร่างกายหาใช่ไม่ ครั้นจะพูดตอบแก่นางก็กลัวความผิด เพราะนางกงจู๊เป็นน้องสาวของพระเจ้าแผ่นดิน ก็ยืนตกตะลึงตรองอยู่
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงรับสั่งว่าซึ่งการเป็นดังนี้ อุประมาเหมือนภูเขาแยกแลแผ่นดินทรุด ยากที่จะได้พบเห็นอย่างนี้ คือเอาดวงจิตคนที่เป็นใส่ในร่างกายคนที่ตาย ก็เพื่อประสงค์จะเปลี่ยนร่างกายกันเท่านั้น พระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงบำเหน็จรางวัลแก่เล่าช้วนตามสมควร แล้วให้นางสาวใช้ไปขนเครื่องใช้สอยแลเครื่องแต่งตัวของนางกงจู๊มาพระราชทานให้แก่เล่าช้วนแลภรรยาทั้งสิ้น แล้วพระองค์ทรงพระอักษร ยกนางกงจู๊พระราชทานให้เป็นภรรยาเล่าช้วน แล้วทรงพระอนุญาตให้พากันไปบ้านเรือนของตนตามเดิม
 ฝ่ายเล่าช้วนกับภรรยาครั้นได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแล้วทั้งสองคน ก็คุกเข่าถวายคำนับทูลลาพระเจ้าแผ่นดินออกจากพระราชวังไป ผัวเมียก็มีความรื่นเริงในใจเป็นที่สุด ก็พากันเดินทางไปยังเมืองกังจิว ครั้นถึงบ้านเดิมจึงเข้าไปในห้องเรือนเห็นบุตรทั้งสองซึ่งชาวบ้านเขาเมตาเลี้ยงไว้ให้ ก็ยิ่งมีความชื่นชมโสมนัสเป็นอันมาก ทั้งสองผัวเมียก็อยู่เป็นสุขสืบตระกุลต่อมา
 ฝ่ายอวยชีจงมีรับสั่งให้นำเงินในคลัง ๆ หนึ่งบันทุกเกวียนไปยังเมืองห้อล้ำ ครั้นถึงจึงเที่ยวค้นหาบ้านเซียงเลี้ยงผู้เจ้าของเงิน ครั้นรู้แน่แล้ว อวยชีจงพร้อมด้วยขุนนางกรมการก็รีบไปยังบ้านเซียงเลี้ยงผู้เจ้าของทรัพย์
 ครั้งนั้นยังมีเฒ่าชราคนหนึ่งชื่อเซียงเลี้ยง เป็นคนใจกุศล มีภรรยาคนหนึ่งก็เป็นคนชราเหมือนกัน แต่หามีบุตรชายหญิงที่จะสืบแซ่ไม่ ตายายทั้งสองคนนั้นเป็นคนซื่อตรง หากินค้าขายโดยทางสุจริต ในบ้านเฒ่าทั้งสองนั้น ขายเป็นหม้อแลไหเตาอั้งโล่แลเครื่องเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ แม้ขายได้กำไรมากน้อยเท่าใดก็เอาไว้แต่พอค่าโสหุ้ยกินเท่านั้น นอกจากนั้นก็ให้ทานแลทำบุญด้วยหลวงจีนแลซื้อกระดาษเงินกระดาษทองเผาฝากไว้ในเมืองผีเนือง ๆ สองเฒ่าตายายทำแต่การกุศลอยู่อย่างนี้เนืองนิตย์มิได้ขาด
 ฝ่ายอวยชีจงกับขุนนางกรมการบันทุกเงินตรงมายังบ้านเซียงเลี้ยง เสียงรถแลม้าแลคนเดินเซ็งแซ่ เฒ่าเซียงเลี้ยงกับยายเห็นขุนนางผู้ใหญ่แลม้ารถเข้ามาในบ้านดังนั้น ก็ตกใจดุจหูหนวกตาบอดระรัวสั่นเทาไปทั้งกายจะหนีก็หนีหาทันไม่ ตายายก็ก้มหน้าคุกเข่าลงกับดินคำนับหมอบนิ่งอยู่
 อวยชีจงเห็นดังนั้นก็ลงจากเกี้ยวเดินเข้าไปใกล้ แลเห็นเฒ่าทั้งสองคุกเข่าอยู่กับดิน จึงร้องบอกว่าตายายทั้งสองจงลุกขึ้นเถิด ข้าพเจ้าเป็นขุนนางผู้ใหญ่ก็จริง แต่มีพระราชประสงค์มาโดยการดี ตายายอย่าได้มีความวิตกกลัวแต่อย่างใดเลย เพราะข้าพเจ้ารับ ๆ สั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้นำเงินคลังหนึ่งมาใช้ให้แก่ตายาย ๆ จงรับไปเก็บไว้ จะได้เลี้ยงชีวิตไปภายหน้า ข้าพเจ้าจะได้กลับไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทรงทราบ
 สองเฒ่าได้ฟังขุนนางผู้ใหญ่พูดดังนั้น ตายายก็งกงันอกใจเต้นตึกตักปากคอสั่นรัวไป แข็งใจตอบว่าข้าพเจ้าเป็นคนจนค้าขายพอเลี้ยงชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น จะเอาเงินเอาทองที่ไหนมาเป็นคลังสองคลังให้เจ้านายยืม ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้มีทรัพย์สมบัติอะไร ท่านทั้งปวงนี้จะมาผิดบ้านผิดตัวเสียแล้ว ข้าพเจ้าจะรับทรัพย์ซึ่งไม่แจ่มใสดังนี้ ไม่อาจรับได้ ขอท่านได้ไปค้นดูที่อื่นเถิด
 อวยชีจงได้ฟังตายายพูดดังนั้น จึงตอบว่า ตายายยังไม่ทราบเรื่องตลอดจึงยังคลางแคลงอยู่ ไว้ธุระข้าพเจ้าจะเล่าให้ตายายฟัง คือตายายเป็นคนจนก็จริง แต่ตายายได้ทำบุญแก่หลวงจีนที่
ถือบวชเหมือนพระ แลให้ทานแก่คนอนาถาแลได้ซื้อกระดาษทองกระดาษเงินเผาฝากลงไปยังเมืองนรก เงินมีหลายคลังแล้ว เมื่อพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้สวรรคตไปนั้น ได้ลงไปยังเมืองนรก ครั้นเมื่อเวลาจะกลับ ขึ้นมาเมืองมนุษย์ ได้ยืมเงินของตายายหนึ่งคลังทรงบริจาคให้ทานแก่พวกผีปิศาจอสูรกายเหล่านั้น ผู้เป็น ประกันเงินให้แก่พระองค์นั้น คือทุยปังสมุห์บัญชีใหญ่ในเมืองนรกนั้น เพราะฉะนั้น
 เมื่อเวลาทรงฟื้นกลับ คืนเป็นขึ้นมาแล้ว จึงรับสั่งให้ข้าพเจ้าบรรทุกเงินที่ยืมไปให้ทานนั้นมาคืนให้ตายาย ๆ จงรับไว้เถิด เฒ่าทั้งสองได้ฟังดังนั้น จึงยกมือขึ้นเหนือเกล้าแล้วพูดว่า ของทั้งนี้ข้าพเจ้าทั้งสองไม่สามารถจะรับไว้ได้ แม้จะรับซึ่งเงินทองนี้ไว้ ถ้าตายเสียจะดีกว่า แม้ถึงข้าพเจ้าได้เผากระดาษเงินทองก็จริง แต่เหมือนอยู่ในที่ มืดมัวไม่แจ่มแจ้งกระจ่างเห็นจริงสว่างชัดใสได้ พระเจ้าแผ่นดินยืมเงินนั้นก็หามีสิ่งใดเป็นสำคัญควรเชื่อถือ ได้ไม่ ถ้าขืนจะให้ข้าพเจ้าจะทนสู้รับพระราชอาญายอมตายเป็นแท้ ขอท่านได้กรุณาแก่ข้าพเจ้าทั้งสองผู้ชราเถิด
 อวยชีจงได้ฟังตายายพูดยืนยันมั่นคงอยู่ดังนั้นก็เป็นที่จนใจ ก็พาเกวียนบรรทุกเงินกับบ่าวไพร่กลับมายัง เมืองหลวง เข้าเฝ้ากราบทูลตามเหตุผลซึ่งได้ไปพบปะเซียงเลี้ยง แลที่เซียงเลี้ยงกับภรรยาไม่ยอมรับเงิน ให้พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบทุกประการ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งว่าสองเฒ่าตายายนี้จัดเอาเป็นคนซื่อตรง ใจบุญแท้ รับสั่งดังนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้อวยชีจงนำเงินนั้นไปสร้างวัด และปฏิสังขรณ์วัดวาอารามที่ ชำรุดหักพังให้กลับคืนดีขึ้นดังเก่า แลกระทำศาลาที่อาศัยชาวชนจะได้พึ่งพักเวลาเดินทาง เหมือนดังได้ ใช้ให้แก่ตายายทั้งสองนั้นแล้ว
 ฝ่ายอวยชีจงเมื่อได้ฟังรับสั่งดังนั้นแล้ว จึงนำเงินนั้นไปซื้อที่ดินอันบริสุทธิ์ ซึ่งเจ้าของ มิได้หวงแหนเต็มใจขายให้ เป็นเนื้อที่สี่เหลี่ยมกว้างยาวเท่ากันคือกว้างสิบเส้นยาวสิบเส้น ครั้นฤกษ์ดี จึงให้ช่างก่อสร้างเป็นวัดขึ้นวัดหนึ่ง พร้อมทั้งศาลาแลบ่อน้ำแลกุฎีวิหาร กับถนนหนทางที่แห่งใด ๆ ที่ทรุดโทรมก็ปฏิสังขรณ์ขึ้นดังเก่า ครั้นทำการเสร็จแล้วบริบูรณ์จึงนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าถังไทจง ฮ่องเต้ พระองค์ได้ทรงทราบแล้วจึงพระราชทานนามว่าวัดเซียงก๊กยี่ ประสงค์เอานามอักษรเซียงเพราะ หมายความว่าเงินของเซียงเลี้ยงออกสร้าง ที่ข้างวัดข้างขวานั้น ให้ปลูกเป็นห้องตึกอันงดงาม ให้สลักแผ่นศิลาลงชื่อเซียงเลี้ยงผัวเมีย แล้วจารึกชื่ออวยชีจงในแผ่นศิลาด้วยว่าเป็นผู้กำกับสร้างวัดด้วยคนหนึ่ง ครั้นเสร็จการที่ทรงเพิ่มเติมแล้ว จึงรับสั่งให้อวยชีจงมีการฉลองวัดใหม่
 อวยชีจงจึงได้ จัดการฉลองวัดตามรับสั่ง ครั้นสร้างวัดเสร็จแล้ว จึงได้นำความขึ้นกราบทูลถวายส่วนพระราชกุศลการฉลองให้ทราบทุกประการ เมื่อพระองค์ได้ทรงทราบแล้ว มีพระทัยโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้สั่งให้เจ้าพนักงานทำหนังสือประกาศให้ขุนนางผู้ใหญ่ ผู้น้อย มาประชุมพร้อมกันในที่เสด็จออก จะทรงปรึกษาในราชการมหากุศล กับให้ขุนนางฝ่ายธรรมการ มีหนังสือบอกกำหนดวัน ให้หลวงจีนทั่วทั้งมณฑลเมืองเชียงอานให้รู้ทุกอารามหลวง จะได้จัดคัดเลือก หลวงจีนที่เชี่ยวชาญมีวิชาความรู้และสติปัญญา แลความปฏิบัติเรียบร้อยบริสุทธิ์ตั้งให้เป็นเจ้าคณะ ใหญ่ ให้มาประชุมพร้อมกันในระหว่างเดือนหนึ่ง
 ครั้นปิดหนังสือประกาศแล้วก็ทราบทั่วกันทุก ๆ พระ อาราม บรรดาหลวงจีนเจ้าคณะผู้ใหญ่ก็มาพร้อมกันที่ศาลาธรรมในพระราชวัง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จึงรับสั่งให้ท่วนเบี้ยนขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ จัดเลือกหลวงจีน รูปใดที่มีคุณวุฒิเชี่ยวชาญ ชำนิชำนาญในข้อวัตรปฏิบัติ แลการสวดเรียนได้ตลอดทุกประการแล้ว จะตั้งให้เป็นเจ้าคณะตามสมควรแก่คุณานุรูป ท่วนเบี้ยนก็ทำหนังสือขึ้นถวายมีความว่า ในเมืองปราจิณทิศนั้นศาสนาไม่มีเจ้ามีข้า แลไม่มีบิดาแลบุตร เอาแต่ความอบาย ตามภูมิทุกทาง อาศัยเหตุเหล่านี้เป็นคำสั่งสอน ที่คนเฉลียวฉลาดแสดงว่าบาปบุญ ปากก็สวดภาษามคธเอาเป็นอารมณ์ว่าพ้นซึ่งโทษ อันที่จริงความเกิดตายอายุยืนหรือไม่ ยืนนั้น ตามมูลเหตุจะเป็นไป ซึ่งข้ออาญาจักรอำนาจบุญภาคบารมีนั้น ก็อาศัยผู้ที่ เป็นเจ้ามนุษย์ ในปัจจุบันนี้ชาวชนทั้งหลายกล่าวว่าอาศัยเหตุทางพุทธนั้นเป็นอารมณ์
 ก็เมื่อเดิมนั้นยังไม่มีศาสนธรรมของพุทธเจ้า ก็มีแต่เง้าตี่ซามอ๋อง ท่านทั้งหลายนี้ก็มี ความซื่อตรง เจ้าก็ตั้งอยู่ในยุติธรรม ข้าก็มีความกตัญญู อายุก็ยืนยาว ต่อมาภายหลัง มาถึงวงษ์ฮ้านเม่งตี้พึ่งตั้งว่าพุทธศาสนา คือเมืองมัชฌิมประเทศคำภีร์คำสั่งสอนก็ไม่พอ ที่จะเชื่อถือได้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ทรงทอดพระเนตรความในหนังสือนั้นแล้วพระองค์ก็ส่งหนังสือนั้นให้ขุนนาง ทั้งหลายดู แลให้ปรึกษาหารือกันดูใครเห็นประการใด
 ขณะนั้นขุนนางใจเสียงคนหนึ่ง ชื่อเซียวอู๊จึงลุกออกจากที่แล้วถวายบังคมทูลว่า ซึ่ง การในทางพุทธศาสนานั้น ก็มีความรุ่งเรืองมาหลายวงษ์แล้ว พระศาสนธรรมนี้ย่อมเป็นมูลรากแห่ง มหากุศลอันใหญ่ สามารถจะนำสัตว์ให้ได้ความสุขความเจริญในโลกนี้แลโลกหน้า แลสามารถจะ ทำลายเสียซึ่งอกุศลมูล คือโลภะ โทสะ โมหะ อวิชขา แต่มนุษย์ทั้งปวงหากจะผินหลังทางกุศล พอใจ จะเดินอยู่แต่ในทางอกุศล เพราะประกอบไปด้วยความโง่ คือโมหะมีแต่ความประมาทมัวเมา พุทธนั้นคือ องค์พระสัมมาสัมพุทโธ ซึ่งเสด็จดับขันธ์นิพพานล่วงลับไปแล้ว คงยังแต่พระธรรมคำสอนต่างพระองค์ ต้องอาศัยพระมหากษัตริย์ปกครองไพร่ฟ้าอาณาจักรเป็นศาสนูประถัมภ์ เพราะฉะนั้น
 ขอพระองค์ได้ โปรดบังคับด้วยอาญาจักร อย่าให้หมิ่นประมาทพระพุทธศาสนาอันเป็นบรมรัตนะ ยากที่จะเกิดจะมีได้ใน โลกในครั้งหนึ่งคราวใด ท่วนเบี้ยนได้ฟังดังนั้น ก็ลุกขึ้นตอบเซียวอู๊ว่า ธรรมดาคนทั้งหลายที่รู้จักบุญแลบาป แล้ว จะต้องเคารพบิดามารดาแลเคารพเจ้านายของตนจึงจะชอบ ฝ่ายพระพุทธศาสนานั้น กลับกลายไม่เคารพบิดามารดาแลละทิ้งบ้านเมืองเหย้าเรือน เคหาเอาตัวรอดแต่ผู้เดียว ไม่รักษาความกตัญญูแลไม่อยู่ในอำนาจของพระเจ้าแผ่นดิน เอาแต่ความสุข โดยลำพังตนฉะนี้ จะมิเป็นข้ออกตัญญูหรือ
 ก็ส่วนตัวท่านเซียวอู๊นั้นเล่า มิใช่ว่าจะไม่มีบิดามารดาผู้ได้ ให้บังเกิดมาเมื่อไร จะมาเคารพนับถือคำสั่งสอนอันไม่มีวงษ์ญาติแลบิดามารดาดังนี้ ความจริงข้อนี้ จะมิเป็นอกตัญญูหรือ เซียวอู๊ได้ฟังดังนั้น จึงทำเป็นประสานมือพนมยกขึ้นเหนือเศียรเกล้าแล้วพูดว่า ซึ่งท่าน แสดงหมิ่นประมาทโดยโมหาคติแห่งท่านดังนี้ ก็คือเป็นพวกสัตว์นรกนั้นเองจะต่างอะไรแก่สัตว์นรกเล่า ท่วนเบี้ยนกับเซียวอู๊โต้ตอบกันดังนั้น ก็ยังไม่ยุติตกลงกัน
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ได้ ทรงฟังขุนนางทั้งสองโต้ตอบกันดังนั้นจึงเบือนพระพักตร์ไปตรัสถามขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ทั้งสอง คือเตียว เก้าง้วนเตียวสือฮ่วน ว่าซึ่งการในพระพุทธศาสนานั้นท่านเห็นเป็นอย่างไร ขุนนางทั้งสองจึงกราบทูลว่าพระพุทธศาสนานั้น เป็นนิยามิกมรรค มีความวิสุทธิ์วิมุติ สุขพ้นจากคำสอนของศาสนาในโลกนี้ เป็นหนทางแห่งความระงับทุกข์และระงับกิเลส เป็นธรรมรัตนะ อันวิเศษประเสริฐยิ่ง
 เมื่อครั้งวงษ์จิวน้ำซ่องบู๊จัดเป็นไตรศาสนา คือพุทธศาสตร์ หนึ่ง ไสยศาสตร์ หนึ่ง อิสีศาสตร์ หนึ่ง เป็นสามศาสนาด้วยกัน พุทธศาสนาเป็นที่หนึ่ง ตั้งแต่ครั้งพระมหาต้ายฮุยเสียนซือ อาจารย์มีอภินิหารย์ล้ำเลิศลึกซึ้ง มีคำสอนปรากฎปกแผ่ให้หมู่ชนทั้งหลายปฏิบัติรักษา แลความปรากฎ ให้ได้รับผลเห็นคุณประจักษ์มิใช่จะไม่มีความศักดิ์สิทธิ์เมื่อไร แลเมื่อครั้งพระอาจารย์เง้าโจ๊จุติเวลานั้นก็เห็นปรากฎได้ แลเมื่อพระธรรมาจารย์ก็ให้เห็น ปรากฎด้วยพระศาสนะธรรมอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่เดิมมาจนบัดนี้ พระพุทธศาสนาก็เป็นที่สูงสุดหาที่จะ เปรียบมิได้ดังนี้ หาควรที่จะทอดทิ้งเสียไม่แลไม่ควรทำลายให้เสื่อมสูญไป ความจริงย่อมเป็นดังนี้ ขอ พระองค์ได้ทรงพระดำริห์โดยสุขุม แลทรงพิจารณาให้กระจ่างแจ้งด้วยพระปรีชาญาณเถิด
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังขุนนางทั้งสองทูลดังนั้นมีพระทัยใสโสมนัสยินดียิ่งนัก จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งสองว่าท่านทั้งสองพูดดังนี้ ถูกต้องตามกระแสธรรมสมควรแก่ศาสนาแล้ว พระองค์ จึงรับสั่งเป็นฉินทฤกษ์คำขาดว่า ถ้าผู้ใดขืนพูดคัดค้านโต้เถียงขึ้นอีก จะให้ลงโทษจงหนัก แล้ว พระองค์ตรัสแก่งุยเต็ง เซียวอู๊เตียวเก้าง้วนขุนนางทั้งสามให้นิมนต์หลวงจีนมาประชุมให้พร้อมกันยัง สภาคารศาลาธรรม แล้วให้เลือกหลวงจีนที่สมควรเป็นเจ้าคณะจัดการในพระพุทธศาสนา
 ขุนนางทั้งสามได้ฟังรับสั่งแล้ว ก็ลุกจากที่ถวายบังคมลาออกจากพระราชวังกลับไป ที่อยู่ ครั้นรุ่งขึ้นเชิญหลวงจีนมาประชุมพร้อมกันแล้ว จึงตรวจเลือกดูในที่ประชุมว่าหลวงจีนรูปใดจะมี คุณวุฒิสมควรที่จะยกให้เป็นใหญ่ได้ ครั้นไล่เลียงไต่ถามเข้าก็ได้หลวงจีนรูปหนึ่งมีมารยาทอันงาม และมีความรู้เชี่ยวชาญเคร่งครัดข้อวัตรปฏิบัติดีมีความบริสุทธิ์ คือกิมเสียนโพธิสัตว์แปลว่าท่านผู้ข้อง อยู่ในที่จะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้ได้จุติลงมาในมนุษย์โลก เมื่อยังเป็นทารกอยู่นั้นมีนามว่ากังลิ้ว
 ครั้นเติบ ใหญ่อุปสมบทแล้วพระอาจารย์ให้นามว่าเหี้ยนจึง หลวงจีนเหี้ยนจึงองค์นี้ ตั้งแต่คลอดออกจากครรภ์มา ไม่มีแผ้วพาลในการโลกีย์ ตานั้นคืองุยเต็งขุนนางผู้ใหญ่ บิดานั้นคือตั๊นกองหยี ๆ เมื่อเป็นที่จอหงวนได้กลับมาเมืองหลวงแล้ว พระเจ้าแผ่นดินตั้งให้เป็นที่ต้ายหั๊กสือขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ หลวงจีนรูปนี้เธอไม่พอใจในกามโภคีและชื่อเสียงเกียรติยศ มีสันดานสุภาพมักน้อยสันโดษปฏิบัติทางธรรมระงับจิตไปห่างจากกิเลศ เครื่องร้อนมีวิหารธรรมเครื่องอยู่แห่งใจ ความรู้ในทางศาสนาก็เชี่ยวชาญมาก
 ครั้นขุนนางทั้งสามตรวจสอบใต่สวนไล่เลียงโดยละเอียดแล้ว จึงได้นำหลวงจีนเหี้ยนจึงเข้าเฝ้า ขุนนางทั้งสามกราบทูลว่าขอพระบารมีปกเกล้า ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งสามไปเลือก หลวงจีนนั้น บัดนี้ได้มารูปหนึ่งมีความรู้ในพระพุทธศาสนาโดยละเอียด ชื่อหลวงจีนตั๊นเหี้ยนจึง ขอพระองค์ได้ทรงทราบ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังขุนนางทั้งสามกราบทูลดังนั้น พระองค์จึงคิดอยู่
 สักครู่หนึ่งแล้วจึงตรัสถามว่า หลวงจีนรูปนี้เป็นบุตรของตั้นกองหยีจอหงวนมิใช่หรือ หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังรับสั่งถามดังนั้น จึงย่อตัวแล้วถวายพระพรว่าถูกต้องแล้วตาม พระกระแสรับสั่ง ข้าพเจ้าเป็นบุตรตั๊นกองหยีจอหงวน พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งสามว่า ท่านทั้งสามเลือกได้หลวงจีนรูปนี้ก็สมควรแล้ว จึง ตรัสว่าเราจะตั้งให้เป็นพระราชาคณะผู้บังคับบัญชาว่ากล่าวสั่งสอนหลวงจีนทั้งปวงในการวัดวาอาราม คือฝ่ายพระพุทธศาสนาให้เรียบร้อย พระองค์จึงจัดผ้าไตรและเครื่องบริขารตามยศสมณะศักดิ์ของ ราชาคณะพระราชทานหลวงจีนเหี้ยนจึง
 หลวงจีนเหี้ยนจึงครั้นได้รับยศเป็นราชาคณะแล้วก็ถวายพระพรลาออกมาจากพระราชวัง กลับมายังวัดใหญ่ชื่อวัดฮั้วเซ็งยี่ไม่ใกล้ไกลนักกับพระราชวัง ครั้นมาถึงแล้วหลวงจีนเหี้ยนจึงให้ หลวงจีนทั้งหลายฝึกซ้อมกันตามหมวดตามหมู่ แลผู้คนข้าราชการทั้งปวงที่มาช่วยในการนี้ ก็ให้ดูการตามน่าที่อันสมควร ครั้นเสร็จการพรักพร้อมแล้วหลวงจีนเหี้ยนจึง ๆ หาฤกษ์ได้วันดีที่จะทำ การเปิดพิธี ฝ่ายหลวงจีนลูกวัดทั้งหลายตรวจนับรวมกันได้พันสองร้อยรูป จัดเป็นสามส่วนคืออย่างสูงอย่างกลาง อย่างต่ำ ให้รักษาการณ์ตามหน้าที่
 ครั้นวันกำหนดการมงคลคือศักราชเจงกวนได้เสวยราชสมบัติสิบ สามปีแล้ว ในปีนั้นเป็นปีมะเส็งเดือนสิบเอ็ดขึ้นสามค่ำ วันนั้นเป็นวันมหามงคลพิธีเจ็ดๆหนเป็นสี่สิบ เก้าวันจึงหยุดการ ครั้นหลวงจีนเหี้ยนจึงทำการเสร็จแล้วจึงทำหนังสือขึ้นถวาย พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ครั้นพระองค์ทรงทราบแล้ว ถึงวันกำหนดพระองค์ก็เสด็จออกขุนนางครั้นขุนนางพร้อมแล้ว ก็เสด็จ ออกจากพระราชวังขึ้นทรงรถพร้อมด้วยขุนนางซ้ายขวาหน้าหลัง แห่นำตามเสด็จมายังวัดฮั้วเซ็งยี่ ครั้นพระองค์เสด็จถึงวัดพวกพิณพาทย์ก็บันเลงดนตรีรับเสด็จตามธรรมเนียม พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ลงจากราชรถเสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่โรงราชพิธีธรรม ประทับบนพระเก้าอี้
 ขุนนางทั้งปวงก็เฝ้าตามลำดับยศถวายบังคมพร้อมกันแล้วก็นั่งอยู่ตามสมควร ฝ่ายหลวงจีนเจ้าคณะผู้ใหญ่จึงให้เคาะระฆังสัญญา หลวงจีนทั้งหลายเมื่อได้ยินระฆังดังนั้นก็ครองจีวร มาประชุมพร้อมกัน หลวงจีนเหี้ยนจึงนำหน้าหลวงจีนทั้งหลายเข้ามาในที่พิธี ยืนเป็นลำดับเรียบร้อย หลวงจีนเหี้ยนจึงก็จุดธูปเทียนเครื่องนมัสการพร้อม ขุนนางพนักงานเครื่องสักการะบูชาก็จัดธูปเทียนขึ้น ถวายพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ทรงรับธูปเทียนขึ้นบูชาแล้ว ทรงตั้งสัตยาธิษฐานตามความประสงค์เสร็จ แล้วก็ทรงถวายนมัสการพระพุทธรูปโดยเคารพ
 ฝ่ายขุนนางใหญ่น้อยต่างคนก็ต่างจุดธูปเทียนบูชานมัสการพระปฏิมากรเสร็จแล้ว หลวงจีน เหี้ยนจึงสวดพระพุทธมนต์จบแล้วจึงนำหลวงจีนทั้งหลายเข้ามาเฝ้า แล้วหลวงจีนเหี้ยนจึงก็ถวายหนังสือแสดง ข้อความในการพิธีนั้น พระเจ้าแผ่นดินทรงทอดพระเนตรตลอดแล้วก็มีพระทัยใสโสมนัสสายิ่งนัก จึงตรัสแก่ หลวงจีนทั้งหลายว่า ท่านผู้เป็นนักบวชทั้งหลายจงอุตสาหะช่วยข้าพเจ้าทำการพิธีนี้ให้สำเร็จเพื่อจะได้ เป็นคุณทั่วกัน ข้าพเจ้าจะมีความขอบใจท่านเป็นที่ยิ่ง
 หลวงจีนทั้งหลายได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งดังนั้นต่างก็พร้อมกันถวายพระพรว่า อาตมภาพทั้งหลายนี้จะขอสนองพระเดชพระคุณให้สมพระราชประสงค์ของมหาบพิตร ไม่มีความ รังเกียจท้อถอยแต่อย่างใดเลย ในวันนั้นการพิธีเสร็จแล้ว พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็เสด็จกลับเข้าสู่พระราชวัง จะกล่าวถึงพระกวนอิมกับฮุยไง้ เมื่อกำบังตัวอาศัยอยู่ในศาลพระภูมินั้นหลายเวลา แต่เที่ยวหาคน ศรัทธาเชื่อในคุณแห่งพระรัตนไตร เพื่อจะได้ไปนำพระคำภีร์พระพุทธศาสนาก็ยังหาได้ไม่
 ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ได้ยินข่าวว่าพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งตั้งให้หลวงจีนกังลิ้วเป็นราชาคณะพิธี ธรรม ด้วยหลวงจีนรูปนี้เดิมเราได้ให้นำเต๊าแชกุนนิมนต์มาจุติในครรภ์นางอุนเกี๋ยว พระกวนอิม รู้แน่ดังนั้นแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก จึงแปลงตัวเป็นหลวงจีนอนาถากายตัวล้วนแต่โรคเรื้อนกุตถัง ครั้นแปลงตัวเสร็จแล้วก็เดินมาตามถนนร้องขายผ้ากาสาวพัสตร์กับไม้เท้าไปตามถนน ครั้นเดินมาพบหลวงจีนรูปหนึ่งถามว่า ไม้เท้ากับผ้าจีวรนี้ท่านจะขายสักเท่าใด
 พระกวนอิมจึงแกล้งตอบว่ากาสาวพัสตร์นี้ราคาห้าพันตำลึงเงิน ไม้เท้านี้ราคาสองพันตำลึงเงิน หลวงจีนรูปนั้นไม่รู้จักก็หัวเราะแล้วพูดว่าพระขี้เรื้อนกุตถังเอาจีวรไม้เท้าอะไรที่ไหนมาขายสองสิ่ง ราคาถึงเจ็ดพันตำลึงเงิน จะมีความวิเศษประเสริฐอย่างไรหนอ ฝ่ายพระกวนอิมเมื่อได้ฟังหลวงจีนพูดดังนั้น ก็มิได้โต้ตอบประการใด ออกเดินตามถนนเรื่อยมา แต่เดินมาก็หลายชั่วโมง ครั้นถึงประตูเมืองข้างทิศตะวันออก ก็บังเอิญพบขุนนางผู้ใหญ่ ชื่อเซียวอู๊ ๆ เวลานั้นออกจากเฝ้าจะกลับบ้าน คนนำหน้าของเซียวอู๊ร้องให้คนหลีกทาง
 คนทั้งหลายเห็นก็พากัน หลีกไปมิได้กล้าที่จะรออยู่ช้า ฝ่ายพระกวนอิมเดินมาถึงก็ไม่หลีก แกล้งยืนขวางอยู่ มือก็ถือผ้าจีวรแลไม้เท้า ใจมิได้หวาดหวั่น เซียวอู๊อยู่บนหลังม้าเห็นดังนั้นจึงรั้งบังเหียนม้าให้หยุด แลเห็นผ้าจีวรนั้นมีรัศมีสว่างไสวออกมา จึงบอกให้คนใช้ถามว่า ของสองสิ่งนั้นจะราคาสักเท่าใด พระกวนอิมจึงบอกว่า ผ้ากาสาวพัสตร์นี้กับไม้เท้านี้จะขายราคาเจ็ดพันตำลึง เซียวอู๊ถามว่าของ สองสิ่งนี้จะมีความวิเศษประการใดราคาจึงได้แพงนัก
         พระกวนอิมตอบว่า บางทีก็ดีบางทีก็ไม่ดี บางทีเอาราคาบางทีไม่เอาราคา
         เซียวอู๊จึงถามว่า ดีไม่ดีนั้นเป็นอย่างไร
 พระกวนอิมตอบว่า ดีนั้นคือผู้ใดได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์นี้แล้วปราศจากกิเลสและภัยอสรพิษทั้งหลายไม่ทำอะไรได้ แลไม่ ตกในอบายภูมิสี่ ไม่ดีนั้นคนที่มีจิต โกรธ โลภ หลง ด้วยกามราคะ เป็นทุศีลบุคคล ไม่มีความอาย เป็นอะสัชชีตา ทำลายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คนอย่างนี้ยากที่จะได้พบได้ปะผ้ากาสาวพัสตร์แลไม้เท้าอย่างนี้
         เซียวอู๊จึงถามต่อไปว่า อย่างไรจึงว่า บางทีจะเอาเงิน บางทีจะไม่เอาเงิน
 พระกวนอิมตอบว่า แม้บุคคลผู้ใดไม่มีศรัทธาไม่เชื่อในคุณแห่งพระรัตนไตรถ้าขืนจะซื้อของสองสิ่งนี้ จะเอาราคาเจ็ดพันตำลึงเงิน อย่างนี้จะต้องเอาเงิน แลแม้ผู้ใดมีจิตศรัทธาเคารพต่อคุณพระรัตนไตร ใจบุญยินดีในทางกุศล ถ้าอยากจะได้ของสองสิ่งนี้ก็จะอนุญาตให้และจะผูกไมตรีให้เป็นที่ชอบกันโดยธรรม อย่างนี้แลจะไม่เอาเงินเลย
 เซียวอู๊ได้ฟังดังนั้น ก็ยิ่งเพิ่มความศรัทธากล้าหาญขึ้นมาก แล้วเซียวอู๊คิดอยู่แต่ในใจโดยความ อนุมานคาดหมาย ประกอบเข้ากับกิริยาอาการและทั้งเห็นปาฏิหารย์ที่ได้เห็นรัศมีในของทั้งสองสิ่ง นั้นด้วย จึงเข้าใจว่าท่านผู้นี้คงจะเป็นผู้มีอภินิหารย์เป็นมั่นคง จึงลงจากหลังม้าแล้ว ก็พนมมือนมัสการ ถามว่า ข้าพเจ้าขออภัยโทษเถิด ท่านอย่าได้ถือโทษข้าพเจ้าเลย แล้วเซียวอู๊จึงพูดแก่หลวงจีนทั้งสอง ว่า บัดนี้พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีพระศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้นหาที่เปรียบมิได้ บัดนี้พระองค์ ตั้งพระราชพิธีกระทำการมหากุศลทั้งน้ำทั้งบก ออกพระราชทรัพย์บริจาคเป็นทานทุกแห่งทุกหน ผ้ากาสาวพัสตร์นี้สมควรจะถวายหลวงจีนเหี้ยนจึง ๆ จะชอบ ข้าพเจ้าขอนิมนต์ท่านทั้งสองเข้าเฝ้าพระ เจ้าแผ่นดินด้วยข้าพเจ้าเถิด
 พระกวนอิมได้ฟังเซียวอู๊พูดดังนั้น ก็มีความยินดีด้วยสมประสงค์ที่คิดไว้ จึงตอบว่าตามแต่ใจท่านเถิด เซียวอู๊ได้ฟังดังนั้น ก็พาหลวงจีนทั้งสองเข้าไปในพระราชวัง
 ครั้นถึงหน้าพระลาน เซียวอู๊ก็บอกแก่ ขันธีตามซึ่งได้พาหลวงจีนสองรูปมาจะขอเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ขันธีเมื่อได้ทราบดังนั้น จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินตามที่เซียวอู๊สั่งมาทุกประการ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เมื่อได้ทรงทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้ขันธีไปนำเซียวอู๊กับหลวงจีนทั้งสองรูป เข้ามาเฝ้า เซียวอู๊เข้ามาถึงถวายบังคมแล้วก็ยืนคอยฟังรับสั่งอยู่ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จึงรับสั่งถามเซียวอู๊ว่า มีกิจธุระอย่างไรหรือ
 เซียวอู๊กราบทูลเรื่องผ้า กาสาวพัสตร์กับไม้เท้านั้น ให้พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสถามหลวงจีนทั้งสองว่า ของสองสิ่งนั้นจะคิดเป็นมูลค่าสักเท่าใด
         ฝ่ายพระกวนอิมกับฮุยไง้ เมื่อตามเซียวอู๊กับขันธีเข้ามายืนอยู่นั้น หาได้คำนับพระเจ้าถังไทจง ฮ่องเต้ไม่ ครั้นได้ยินรับสั่งถามดังนั้น จึงตอบว่าผ้ากาสาวพัสตร์นั้นห้าพันตำลึง ไม้เท้านั้น สองพันตำลึง
         พระเจ้าแผ่นดินทรงถามว่า ของสองสิ่งนี้จะวิเศษอะไรจึงได้คิดราคามากดังนั้น
 พระกวนอิมตอบว่า ผ้าจีวรนี้ป็นของวิเศษเป็นฝีมือของนางเทพอัปสรเป็นผู้ทำ มีรัศมีสว่างรุ่งโรจน์ แลยังมีคำอธิบายชี้แจงว่าผ้ากาสาวพัสตร์นี้ เป็นมหรรครัตนะอาจให้ผู้ครองบรรลุภูมิสี่ทางหก ตลอดสำเร็จเสร็จสิ้น แจ้งพระนฤพานพ้นจากกิเลสอาสวะ รักษากายให้บริสุทธิ์อาศัยอยู่ใน จักรวาลเขาสุวรรณบรรพต จิต กายบริสุทธิ์ดุจคนโทเพ็ชร ตั้งแต่สมเด็จพระพุทธเจ้าบัญญัติทำผ้า กาสาวพัสตร์นี้ร้อยหมื่นพันกัลป์ ผู้ใดก็ไม่อาจสามารถจะได้พบเห็นของสิ่งนี้
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ แลขุนนางทั้งปวงได้ฟังหลวงจีนพูดชี้แจงให้ฟังดังนั้น ก็มีความเชื่อเกิดปีติ โสมนัสศรัทธาด้วยกันทุก ๆ คน จึงพระเจ้าถึงไทจงฮ่องเต้ทรงถามต่อไปว่า ไม้เท้านั้นจะมี คุณวิเศษประการใด
 พระกวนอิมตอบว่า ไม้เท้าทำด้วยทองแดงกับเหล็กประกอบกัน บนยอดนั้นมีเก้าองค์ระย้า และเก้าปล้อง และประกอบด้วยของวิเศษ แม้ผู้ใดได้ถืออยู่กับมือแล้ว ย่อมป้องกันสรรพภัย และอสรพิษก็ไม่ทำร้ายได้ อาจพังประตูนรกได้ และให้ผู้ที่ถือนั้นมีจิตอันผ่องใสไม่มีกังวลเสพในที่ ชั่ว คือกามคุณทั้งห้า แลตัณหามานะทิฐิ แลบรรลุถึงอมตะธรรมนิยตะสถานอันเป็น อกุปธรรมไม่รู้กำเริบคืนคลาย คือพระนฤพาน ไม้เท้านี้วิเศษอย่างนี้ขอพระองค์ได้ทรงทราบ
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังหลวงจีนอาคันตุกะกล่าวสรรเสริญของวิเศษสองอย่างดังนั้นแล้ว รับสั่งให้เซียวอู๊รับผ้ากาสาวพัสตร์มาคลี่ดู ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ทอดพระเนตรทรงพิจารณาโดยละเอียดตลอดทั้งผืนแล้ว ทรงนึก ในพระทัยว่า ของสิ่งนี้เป็นของวิเศษโดยแท้ พระองค์จึงตรัสกับหลวงจีนนั้นว่า บัดนี้ข้าพเจ้า ได้ตั้งพิธีธรรม กระทำการมหากุศลยังวัดฮั้วเซงยี่ ให้หลวงจีนทั้งหลายสวดมนต์แลแสดง ธรรมอยู่ แลในพิธีนั้นมีหลวงจีนรูปหนึ่งมีบุญอะภินิหารย์บารมีมาก ข้าพเจ้าได้ตั้งเธอเป็นเจ้าคณะ ในพิธีนี้ บัดนี้ข้าพเจ้าได้เห็นจีวรของท่าน สมควรแก่หลวงจีนเจ้าคณะรูปนั้น เพราะฉะนั้น
 ข้าพเจ้าจะ ขอซื้อผ้ากาสาวพัสตร์นี้ กับไม้เท้าสองสิ่งด้วยกัน เพื่อถวายหลวงจีนเหี้ยนจึง เธอจะได้ครอง กระทำการพิธีนั้น ท่านจะคิดเอาราคามากน้อยเท่าใดก็ตาม
 หลวงจีนทั้งสองจึงพูดว่าแม้หลวงจีนเหี้ยนจึงนั้น เธอมีความบริสุทธิ์แลมีบุญอภินิหารย์แล้ว อาตมภาพขอถวายพระองค์ตามพระทัยประสงค์ไม่รับพระราชทานราคา หลวงจีนทั้งสองพูด ดังนั้นแล้วก็ย่อตัวถอยออกมาจะเลยไป
 พระเจ้าแผ่นดินเห็นหลวงจีนพูดดังนั้นกับเห็นหลวงจีน จะกลับไป จึงรับสั่งให้เซียวอู๊ร้องนิมนต์ให้หยุดก่อน พระองค์ลงจากเก้าอี้เสด็จเข้ามาใกล้ หลวงจีนแล้ว จึงย่อพระองค์ลงตรัสแก่หลวงจีนทั้งสองนั้นว่า เดิมท่านว่าราคาของสองสิ่งนั้นถึง เจ็ดพันตำลึง ท่านเห็นข้าพเจ้าจะต้องประสงค์ท่านจะไม่เอาเงินดังนี้ ดุจข้าพเจ้าเอาอำนาจข่มขี่เอา ของ ๆ ท่าน การอันนี้ก็หาเช่นนั้นไม่ ข้าพเจ้าจะคิดสมนาคุณท่านตามราคาท่านอย่าได้เกรงใจเลย
 หลวงจีนทั้งสองได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าเติมอาตมภาพได้อธิษฐานไว้แล้ว มาบัดนี้พระองค์ก็มี พระทัยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแลมีบุญบารมีหาที่เปรียบมิได้ แลหลวงจีนเหี้ยนจึงก็เป็น ผู้มีบุญบารมีแก่กล้าทั้งทรงสติปัญญาเชี่ยวชาญในทางพระพุทธศาสนา สมควรที่จะนำของ สองสิ่งนี้ถวายให้สำหรับตัว เป็นอันขาดอามตภาพไม่รับพระราชทานเงินราคาของสองสิ่งนั้นแล้ว
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังหลวงจีนทั้งสองตั้งใจดังนั้น จึงรับสั่งให้ขุนนางจัดเครื่องแจมาจะเลี้ยง ตอบแทนคุณ หลวงจีนทั้งสองไม่รับนิมนต์ย่อตัวลงแล้วก็เดินกลับออกมาจากพระราชวัง มาตาม ทางถนนเข้าพักอยู่ในศาลพระภูมิตามเดิม พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จออกขุนนาง จึงรับสั่งให้งุยเต็งไปยังวัดฮั้วเซงยี่ นิมนต์หลวงจีนเหี้ยนจึง ให้เข้ามาเดี๋ยวนี้
 งุยเต็งครั้นได้ฟังรับสั่งดังนั้นแล้วก็ถวายบังคมลาออกมาจากที่เฝ้า ขึ้นม้ารีบไปยังวัดฮั้วเซงยี่ ครั้นถึงจึงลงจากม้าเข้าไปยังที่อยู่ของหลวงจีนผู้หลาน บอกว่ามีรับสั่งให้มานิมนต์เข้าไปในพระราชวังเดี๋ยวนี้ หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังว่ารับสั่งให้หาดังนั้นก็จัดแจงครองผ้าออกจากที่อยู่ขึ้นเกี้ยว งุยเต็งก็ขึ้น ม้ารีบออกจากวัดตรงมายังพระราชวัง
 ครั้นถึงหลวงจีนลงจากเกี้ยวงุยเต็งลงจากม้าเข้าในพระ ราชวังใน กำลังเสด็จออกขุนนางพนักงานนิมนต์ให้นั่งที่อันสมควร พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสแก่หลวงจีนเหี้ยนจึงว่า ท่านมีความเหน็ดเหนื่อยในการพิธีไม่มีอัน ใดที่จะทดแทนคุณของท่าน เมื่อเวลาเช้าเซียวอู๊พาหลวงจีนอาคันตุกะสององค์เข้ามาหาโยม หลวงจีนทั้งสองนั้นมีจิตศรัทธานำผ้ากาสาวพัสตร์แลไม้เท้ามาให้โยม ๆ ขอเอาของสองสิ่งนี้ถวาย ตอบแทนคุณท่าน แล้วแต่ท่านจะเอาไปใช้สอยตามประสงค์เถิด
 หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งดังนั้นก็รับเอาจีวรกับไม้เท้านั้นมา พระเจ้าแผ่นดินรับ สั่งว่าท่านโปรดครองจีวรฉลองศรัทธาโยมเดี๋ยวนี้โยมจะได้โมทะนา หลวงจีนเหี้ยนจึงก็ครองจีวรตามรับสั่ง พระเจ้าแผ่นดินแลขุนนางทั้งหลายได้เห็นหลวงจีนเหี้ยนจึงครองผ้ากาสาวะภัตรนั้น มีรัศมีสีแสง ระยับเป็นที่เจริญตาเห็นสมควรแก่หลวงจีนเหี้ยนจึงโดยแท้ ขุนนางทั้งหลายเห็นพร้อมกันดังนั้นต่าง ก็สรรเสริญว่างามหาที่เปรียบมิได้
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จึงรับสั่งให้ขุนนางจัดกระบวนแห่ให้แห่ไปส่งยังวัดที่ทำพิธี ขุนนาง ทั้งหลายก็ถวายบังคมลามาจัดกระบวนแห่ตามรับสั่ง หลวงจีนเหี้ยนจึงก็ถวายพระพรลาออก จากพระราชวัง บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ตามออกมาส่งพวกกระบวนแห่ก็เดินกระบวน ราษฎรชายหญิงพากันมาดูกระบวนแห่เต็มไปทั้งถนน พากันบ่นสรรเสริญว่างดงามราวกับพระ อรหันต์เสด็จมา การที่แห่หลวงจีนเหี้ยนจึงครั้งนี้ เหมือนเมื่อแห่ต้ายหั๊กสือครั้งเมื่อเป็นจอหงวนซึ่งเป็นโยมของหลวงจีนเหี้ยนจึงครั้งนั้น
 ครั้นกระบวนแห่มาถึงวัดแล้วหลวงจีนทั้งหลายก็มาพร้อมกันยืนคอยรับอยู่หน้าวัด ครั้นกระบวนแห่มาถึงประตูวัด หลวงจีนเหี้ยนจึงก็ลงจากเกี้ยวเดินเข้าในโรงพิธีจุดธูปเทียนบูชา พระพุทธรูปแล้ว ต่างคนต่างก็กลับไปที่อยู่ของตน ตั้งแต่วันเปิดพิธีมาก็ได้เจ็ดวันแล้วอันการพระราชกุศลนั้นก็ทราบทั่วกันไปทุก ๆ ตำบล ในวันนั้น เป็นวันที่เจ็ดหลวงจีนเหี้ยนจึง ๆ ทำหนังสือขึ้นถวายเชิญเสด็จพระเจ้าแผ่นดินถังมายังวัด จะได้ ทรงฟังพระสัทธรรม พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงทราบหนังสือเชิญดังนั้น จึงรับสั่งให้ฮ่องเฮ้า กับพระสนมตามเสด็จไปยังวัด
 ครั้นพร้อมกันแล้วพระองค์ก็ทรงรถเสด็จไปยังวัดฮั้วเซงยี่ ลงจาก ราชรถเสด็จขึ้นประทับที่เก๋งเหล็กริมโรงพิธี ฝ่ายพระกวนอิมครั้นรู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินเสด็จมายังวัดแล้ว จึงพูดแก่ฮุยไง้ว่าวันนี้งานพระราชพิธี ครบกำหนดเจ็ดวันแล้ว แลเป็นวันประชุมใหญ่ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จไปทรงธรรมยังวัด แล้วเราจะแอบแฝงไปดู หนึ่งจะได้เห็นในที่ประชุมพิธีนั้นว่าจะเป็นประการใด สองจะได้เห็นหลวงจีนเหี้ยนจึงนั้นว่าจะมีบุญญาธิการครองผ้ากาสาวพัสตร์อันวิเศษนั้นได้หรือไม่ สามจะไปฟังดูว่า หลวงจีนเหี้ยนจึงจะแสดงพระธรรมคำภีร์ใด
 พระกวนอิมพูดดังนั้นแล้วก็แปลงกายเดินตรงไปยัง ที่วัดฮั้วเซงยี่ ครั้นถึงแล้วก็เข้าไปยังข้างโรงพิธีแอบพิเคราะห์ดูในพิธีนั้น เห็นงดงามวิจิตร ด้วยการตกแต่งดุจดังว่าวิมานสถาน ได้ยินดนตรีพิณพาทย์ประโคมขานสนั่นก้องน่าปลื้มจิต เป็นที่รื่นเริงบันเทิงใจในการกุศลธรรมยิ่งนัก พระกวนอิมก็แอบเดินเข้าไปใกล้ธรรมาสน์ แลเห็น หลวงจีนเหี้ยนจึงนั่งอยู่บนธรรมาสน์กำลังแสดงธรรมแยกออกเป็นสามประการ คือทิฐะธัมมิกัต ธะ ประโยชน์เป็นประโยชน์ ชั่วเกิดถึงตายส่วนหนึ่งเป็นธรรมอันผู้จะได้รับผลตั้งแต่ธรรมการะ กิริยาตายไปแล้ว เรียกว่าสัมปะรายิกัฐประโยชน์แปลว่าประโยชน์เบื้องหน้า อีกส่วนหนึ่งเป็น ปรมัตประโยชน์แปลว่าประโยชน์ที่พ้นชาตินี้แลชาติน่าคือพระนฤพาน
 พระกวนอิมครั้นได้ฟังดังนั้นจึงเข้าไปใกล้ธรรมาสน์ เอามือตบธรรมาสน์แล้วพูดว่าที่ท่านแสดง ด้วยปรมัตประโยชน์นั้นยังย่อนักไม่พิศดารขอให้แสดงโดยวิถานกว้างขวางด้วยหนทางแห่งพระ อริยะมรรคไม่ได้หรือ
 หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ยินพระกวนอิมว่าดังนั้น จึงลงจากธรรมาสน์มาคำนับแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้า ขอขมาโทษเพราะข้าพเจ้าไม่ทันเห็นว่าท่านมา แลไม่ทันจะได้เคารพเพราะมัวแสดงธรรมอยู่ ข้าพเจ้าแลหลวงจีนทั้งหลายเข้าใจในธรรมแต่ส่วนหยาบ ๆ มิได้รอบรู้ในพระปริยัติธรรมคำภีร์ พระพุทธศาสนาให้ลึกซึ้ง อันพระมหาปรมัตอรรถธรรมโดยพิศดารนั้นประการใดขอท่านได้ โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด
 พระกวนอิมได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่าคำภีร์ที่ท่านแสดงนั้นเป็นคำภีร์ต่ำโปรดคนตายให้พ้นโทษไม่ได้ เป็นแต่สมมุติตามเหตุของโลกเท่านั้น ข้าพเจ้ามีซึ่งพระมหาปรมัต คือพระไตรปิฎกธรรมอัน บริบูรณ์ ธรรมอย่างนั้นโปรดคนตายให้ไปสู่สุคติได้ เป็นธรรมอันสูงสุดกระทำผู้รู้แจ้งแทงตลอด ให้ถึงอะมัตธรรมไม่เกิดไม่ตายได้ย่อมเป็นบรมสุข
 ขณะเมื่อพระกวนอิมกำลังชี้แจงให้หลวงจีนเหี้ยนจึงฟังอยู่นั้น มีพนักงานผู้หนึ่งเที่ยวเดินตรวจดู การรอบโรงพิธีเดินมาเห็นหลวงจีนขี้เรื้อนองค์นั้น เรียกหลวงจีนเหี้ยนจึงซึ่งกำลังแสดงธรรมอยู่ ให้ลงมาพูดกันดังนั้น จึงรีบเข้าไปกราบทูลพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ว่าขอพระองค์ได้ทรงทราบ บัดนี้มีหลวงจีนรูปหนึ่งมาดูกิริยาอาการหยาบคายเข้าไปยังที่ธรรมาสน์ที่หลวงจีนเหี้ยนจึงกำลัง แสดงทำอยู่ ก็เรียกให้ลงมาจากธรรมาสน์จะเป็นพระอะไรก็ไม่ทราบ ดูกิริยาจะอวดตนดีว่าเป็น คนรู้ท่าทางเห็นวุ่นวายอยู่มาก
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานไปพาตัวหลวงจีนนั้นเข้ามา ยังหน้าพระที่นั่ง หลวงจีนทั้งสองเข้ามาแล้วก็มิได้กระทำคำนับพระเจ้าแผ่นดินยืนสำรวมนิ่งอยู่ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นหลวงจีนทั้งสองก็ทรงจำได้ จึงรับสั่งถามว่าท่านทั้งสอง นี้ที่ได้เอาผ้ากาสาวพัสตร์กับไม้เท้ามาให้มิใช่หรือ หลวงจีนทั้งสองก็ถวายพระพรว่าอาตมภาพ ได้ถวายมหาบพิตรจริง พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่าท่านจะมาฟังธรรมหรือ ๆ จะขบฉันสิ่งใด ของข้าพเจ้ามีอยู่พร้อมถวาย เหตุใดท่านจึงไปเรียกผู้แสดงธรรมอยู่บนธรรมาสน์เล่า ท่านเห็นสมควรอย่างไรหรือ
 หลวงจีนทั้งสองตอบว่าท่านผู้ที่แสดงธรรมนั้น รู้แต่คำภีร์ที่สั่งสอนชั้นต่ำ ๆ จะโปรดคนตาย ให้วิญญาณ จิต พ้นโทษนั้นไม่ได้ อาตมภาพมีพระปริยัติธรรมคือพระไตรปิฎกธรรม อาจ สามารถจะโปรดสัตว์ทั้งหลายให้พ้นโทษไปสู่สุคติได้ แลจะให้บรรลุธรรมวิเศษทิศเบื้องบนคือ มรรคผลและนฤพานได้ด้วย
 เมื่อพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังหลวงจีนชี้แจงดังนั้น พระองค์ให้เกิดโสมนัสศรัทธาเป็นที่ยิ่ง จึงรับสั่ง ถามหลวงจีนทั้งสองว่าอันพระปริยัติธรรมซึ่งเป็นที่รวบรวมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่าพระไตรปิฎกคือพระสูตรพระปรมัตพระวินัยนั้น ประดิษฐานอยู่ในประเทศใดขอพระผู้ เป็นเจ้าได้โปรดชี้แจงให้โยมทราบ หลวงจีนจึงตอบว่าอันพระไตรปิฎกนั้นอยู่ทิศปราจิณประเทศที่วัดลุ่ยอิมยี่ ยังที่สมเด็จพระ พุทธเจ้าทรงประทับอยู่นั้น จึงจะมีพระไตรปิฎกธรรม
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสว่าท่านยังจะทรงจำอรรถธรรมนั้นได้หรือไม่ หลวงจีนจึงตอบว่าจำได้ บริบูรณ์ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนี้ก็มีพระทัยยินดียิ่งนัก จึงสั่งหลวงจีนเหี้ยนจึงให้พาหลวง จีนนั้นไปที่ธรรมาน์จะได้แสดงธรรม ครั้นถึงหลวงจีนเหี้ยนจึงก็นิมนต์หลวงจีนขี้เรื้อนให้ขึ้นยัง ธรรมาสน์ หลวงจีนแปลงได้ฟังดังนั้น ก็ทำอิทธิปาฎิหารย์ลอยขึ้นไปบนอากาศ หลวงจีนซึ่งเป็น ศิษย์คือฮุยไง้ก็ลอยตามอาจารย์ขึ้นไปเหยียบเมฆทั้งสององค์ มีรัศมีเหมือนสายรุ้งสว่างลอยอยู่ กลางอากาศ แปรกลับรูปตามเดิมเป็นพระกวนอิมมือถือคนโทหยกวิเศษแลกิ่งสนทั้งซ้ายขวา ฮุยไง้ศิษย์มือถือกระบอง ยืนเคียงข้างอาจารย์ลอยอยู่ในอากาศด้วยกัน
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงจุดธูปเทียนบูชานมัสการ ฝ่ายพวกขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยกับหลวงจีนทั้งหลายกับนางชีแลชนมาประชุมกันในครั้งนั้น ต่างก็ กราบไหว้นมัสการบูชาแล้วพร้อมกันสวดว่า นะโมกวนซิอิม ผ่อสัก พระเจ้าแผ่นดินถังให้ช่าง เขียนมาวาดรูปพระกวนอิมไว้จะได้เป็นที่ระรึก ตันแชโง่เต่าจึ๊อช่างเขียนสองคนได้ฟังรับสั่งดังนั้น จึงแหวกหน้าขึ้นบนอากาศเอาพู่กันวาด รูปผู้วิเศษแล้วก็นำขึ้นถวาย
 ครั้นพระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรพอพระทัยแล้ว รับสั่งให้ขันธี เอาฉากรูปเขียนไปเก็บไว้ในที่อันสมควร ฝ่ายพระกวนอิมลอยอยู่บนอากาศเปล่งรัศมีเป็นสีทองลอยตามอากาศไปจนสุดสายตาแล้วก็หาย ไปในเมฆ คนทั้งหลายแลตามไปก็ไม่เห็นองค์พระกวนอิม เห็นแต่กระดาษแผ่นหนึ่งลอยอยู่บน อากาศแล้วก็ตกลงมายังหน้าโรงพิธี ข้าราชการทั้งหลายเห็นแล้วก็เก็บเอามาถวายพระเจ้า แผ่นดินให้ทอดพระเนตร พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้รับมาทรงทอดพระเนตรอักษรในหนังสือนั้นว่า ขอคำนับพระเจ้าแผ่นดินถังให้ทรงทราบ คือที่มัชฌิมประเทศนั้นมีพระธรรมอันวิเศษแต่ ระยะทางไกลกันดารถึงสิบหมื่นแปดพันโยชน์ ใครมีศรัทธาได้ไปอาราธนามาได้แล้วแลได้ สวดพระธรรมคาถานั้นเมื่อเวลาใดหมู่ผีแลปีศาจที่มีโทษอันกรรมให้ผลทรมานอยู่ จึงจะพ้นโทษ ได้ ถ้าผู้ใดตั้งใจไปจนได้สมประสงค์แล้วมรรคผลกุศลนั้นจะสำเร็จได้เป็นแท้
 พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงทราบความในจดหมายดังนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้หยุดการพิธีนั้นไว้ก่อน คอยรอให้ผู้ที่จะอาสาไปเชิญพระไตรปิฎกมาแล้วจึงค่อยตั้งพิธีใหม่ต่อไปอีก เจ้าพนักงานทั้งหลายได้รับสั่งแล้วก็งดการพิธีนั้นไว้ตามรับสั่ง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสถามว่า ผู้ใดจะมีศรัทธาอุตสาหะรับอาสาไปยังมัชฌิมประเทศ นมัสการพระพุทธเจ้า ขออาราธนาพระคำภีร์ไตรปิฎกมาให้สมประสงค์ของเราได้บ้าง
 เมื่อขณะพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้รับสั่งขาดพระโอษฐ์ลงทันที หลวงจีนเหี้ยนจึงก็ลุกออกมายืนตรง หน้าพระที่นั่งทูลว่า อาตมภาพจะขออาสาสนองพระเดชพระคุณไปยังมัชฌิมประเทศ เชิญพระ คัมภีร์พระไตรปิฎกมาให้สมดังพระราชประสงค์ให้จงได้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็มีพระทัยยินดีใสโสมนัสยิ่งนัก พระองค์ลุกจากราช บัลลังก์เสด็จมาจับมือหลวงจีนเหี้ยนจึงแล้วตรัสว่า แม้ท่านมีความอุตสาหะกตัญญูเช่นนั้น ข้าพเจ้าขอผูกไมตรีนับท่านว่าเป็นน้องชายของข้าพเจ้า ดุจได้ร่วมบิดามารดาเดียวกันเถิด
 เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว จึงพาหลวงจีนเหี้ยนจึงเข้าไปยังพระพุทธรูปจุดธูปเทียนนมัสการ กราบสี่หนแล้ว จึงทรงลุกขึ้นตรัสเรียกหลวงจีนเหี้ยนจึงว่าพระน้องเราที่รัก พระเหี้ยนจึงคำนับ ขอบพระคุณซึ่งทรงนับถือว่าอยู่ในพระบรมวงศ์แล้วจึงทูลว่า อาตมภาพก็หาบุญบารมีอะไรที่ ไหนไม่ซึ่งพระองค์ทรงพระเมตาดังนี้ ก็จะขอฉลองพระเดชพระคุณไปยังมัชฌิมประเทศอาราธนา พระไตรปิฎกมาจงได้ ถ้าแม้มิได้ก็จะยอมตายไม่กลับมา แม้มิจริงใจต่อพระองค์แล้วขอให้ อาตมภาพตกไปในทางอบายภูมิเถิด ครั้นหลวงจีนเหี้ยนจึงกระทำสัตย์ปฏิญาณตน ต่อหน้าพระพุทธปฏิมากรดังนั้นแล้ว
 พระเจ้า ถังไทจงฮ่องเต้ก็มีพระไทยยินดีรับสั่งว่า จะหาวันฤกษ์ดีก่อนจึงค่อยออกหนังสือเดินทาง พระองค์ตรัสดังนั้นแล้วก็ลาพระเหี้ยนจึงเสด็จขึ้นทรงราชรถ เสด็จกลับเข้าสู่พระราชวัง พวก ขุนนางข้าราชการทั้งหลายก็พากันกลับสถานบ้านเรือนแห่งตน ๆ ฝ่ายพระเหี้ยนจึงก็ออกจากวัดฮั้วเซงยี่ กลับไปยังวัดอั่งฮกยี่ที่อยู่ของตนตามเดิม
 ฝ่ายหลวงจีนในอารามวัดอั่งฮกยี่ทั้งหลาย เห็นหลวงจีนเหี้ยนจึงกลับมา ก็ต่างคนต่างพากัน มาเยี่ยมเยือน ไต่ถามข่าวคราวทุกข์สุขแลการที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎก ส่วนหลวงจีน ที่เป็นสานุศิษย์ของพระเหี้ยนจึง จึงเข้ามาคำนับถามว่า หนทางที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎก ธรรมนั้น ได้ยินคำคนเขาเล่าลือพูดกันว่า ทางก็ไกลกันดาร เดินแสนยากลำบากที่สุด และทั้งประกอบไปด้วยสัตว์ร้ายต่างๆ ชุกชุมมาก ยากที่จะระวังรักษาชีวิตให้ตลอดไปได้
 พระเหี้ยนจึง ๆ ตอบว่า เราปฏิญาณอธิษฐานตัวเราแล้ว ถ้าทำใจท้อถอยไม่ไปตามที่ตั้งสัตย์ อธิษฐานไว้แล้ว ตัวเราก็จะต้องไปในอบายภูมิทั้งสี่นั้น หามีเวลาที่จะเกิดไม่ แต่ที่เราจะไปนี้ ยังหารู้ว่าจะร้ายหรือจะดีไม่ ท่านทั้งหลายจงจำไว้ เราไปก็ยังหามีกำหนดไม่ว่าจะช้าหรือจะเร็ว บางทีจะสองสามปี หรือบางทีจะหกเจ็ดปีก็ยังว่าไม่ถูก ท่านจงดูกิ่งสนนั้น แม้ว่าชี้ไปข้าง ทิศตวันออก นั่นแลเราจะกลับมาเป็นแน่ แม้ไม่ตรงดังนั้นเราก็ยังจะมิได้กลับมา พวกศิษย์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้น ต่างคนก็กำหนดจดจำตามคำอาจารย์สั่ง
 ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ครั้นรุ่งขึ้นจึงเสด็จออกขุนนางพระองค์มีรับสั่งให้ขุนนางฝ่าย อาลักษณ์ แต่งหนังสือเดินทางตามซึ่งพระองค์ทรงพระดำริ ฝ่ายขุนนางพนักงานอาลักษณ์ ก็แต่งตามใจความที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกยังมัชฌิมประเทศ ทิศตวันตก ครั้นแต่งเสร็จแล้วนำขึ้นถวาย พระเจ้าแผ่นดินทรงรับมาทอดพระเนตรแล้ว พระองค์ จึงทรงเซ็นพระนาม ให้ขุนนางเอาใส่ของผนึกแล้ว ประทับตราแผ่นดินเป็นหนังสือเดินทาง
 ขุนนางฝ่ายโหราศาสตร์ถวายพระฤกษ์ว่า วันนี้เป็นวันฤกษ์ดีมหามงคลอันจะออกเดินทางไกลฝ่าย พวกขันทีก็กราบทูลว่า พระเจ้าน้องยาเธอพระเหี้ยนจึงก็มาคอยฟังรับสั่งอยู่ข้างนอกแล้ว ขอ พระองค์ได้ทรงทราบ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ได้ทรงฟังขันธีทูลดังนั้น จึงรับสั่งให้ขันธีออกไปนิมนต์พระเหี้ยนจึง เข้าไปเฝ้า พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสว่า วันนี้เป็นวันฤกษ์ดีควรจะออกเดินทางได้ ต้องเอาหนังสือ สำหรับเดินทางฉบับนี้ไปสำหรับตัว บางทีจะข้ามด่านและเดินทางไม่ขัดขวาง และบาตร ๆ นี้ ข้าพเจ้าถวายให้ไว้สำหรับจะได้บิณฑบาตเมื่อเวลาขัดสน แล้วรับสั่งให้จัดคนที่ล่ำสันแข็งแรง สองคนให้ตามไปสำหรับใช้สอย กับม้าขาวตัวหนึ่งจะได้ขี่ไปในทางกันดาร
 ฝ่ายพระเหี้ยนจึง รับหนังสือแลสิ่งของที่พระราชทานเสร็จแล้ว ก็ถวายพระพรลาออกจากพระราชวัง ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินกับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย ก็พร้อมกันตามส่งพระเหี้ยนจึงจนถึงประตู กำแพงเมือง ครั้นถึงประตูเมืองพร้อมกันแล้วพระเหี้ยนจึงก็พักรอคอยฤกษ์อยู่ก่อนฝ่ายหลวงจีน ทั้งหลายพร้อมกันมาคอยส่งอยู่ที่ประตูเมือง ต่างมีผ้าหนาวแลผ้าร้อนก็เอามาส่งให้พระ เหี้ยนจึง สำหรับที่จะได้ใช้ตามทาง
 พระเหี้ยนจึงรับสิ่งของแล้วก็ทำความคำนับขอบใจทุก ๆ คน พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จึงตรัสแก่พระเหี้ยนจึงว่า เวลานี้จะไปอาราธนาพระไตรปิฎก ข้าพเจ้า จะขอตั้งนามใหม่ให้ท่านให้เรียกว่า ถังซัมจั๋ง แปลว่าพระไตรปิฎกเมืองถัง พระเหี้ยนจึงได้ฟังดังนั้น จึงย่อตัวลงรับนามตามรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จึงรับสั่งถาม ถังซัมจั๋งว่าท่านไปแล้วสักเมื่อไรจะกลับ พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า ประมาณสามปีจะกลับ
 พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสว่า หนทาง เข้าป่าจะเดินก็นานเดือนนานวันอย่าได้ลืมบ้านเก่าเมืองเดิมของเราเสีย เมื่อถึงสำเร็จความ ปราถนาแล้วจงรีบกลับมา ข้าพเจ้าจะคอยท่า ตรัสดังนั้นแล้วพระองค์ทรงอวยพรให้
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง ครั้นได้มงคลฤกษ์อันอุดมแล้ว จึงถวายพระพรลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินถัง กับบรรดาข้าราชการที่มาส่งขึ้นม้าขาวที่พระราชทานกับคนใช้ทั้งสองคน ออกจากประตู กำแพงเมืองเชียงอาน ตั้งหน้าตรงไปปราจิณทิศ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้กับคนทั้งหลายที่มาส่ง ครั้นพระถังซัมจั๋งเดินไปลับตาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ขึ้นทรงม้าพระที่นั่ง เสด็จกลับเข้าพระมหา ราชวัง ขุนนางทั้งหลายก็ต่างคนต่างกลับไปยังสถานบ้านเรือน

ไม่มีความคิดเห็น: