Translate

22 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 19 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖      
   ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
 ฝ่ายปีศาจยักษ์หมูรีบหนีมา ครั้นถึงเขาที่อยู่ก็เข้าในถ้ำ ฉวยได้คราดเหล็กเก้าซี่ กลับออกมาจะต่อสู้แก่เห้งเจีย ๆ เห็นดังนั้น ก็ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายสัตว์ยักษ์หมู มึงรู้จักไหมว่ากูมีชื่อเสียงแลฝีมือให้เร่งบอก จะไว้ชีวิตไม่ฆ่าฟัน
 ปีศาจยักษ์หมูจึงตอบว่า เดิมเราเกิดมามีจิตโฉดเขลาเกียจคร้านไม่รู้แล้ว ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนที่สุดความบวชเรียนอย่างไรเราไม่รู้ จิตมืดมัวหมกมุ่นแต่ในกามคุณ ครั้นวันหนึ่งเราปะฤๅษีเอาคัมภีร์มาเทศน์ให้ฟังสอนให้กลับใจไปทางที่ชอบ ชี้สวรรค์นรกให้เราเข้าใจ บอกตามหัวใจแพทย์ให้รู้ เราฟังดูก็ชอบใจ จึงได้เรียนต่อมาทั้งกลางวันแลกลางคืนมิได้ขาด จนสำเร็จแก่กล้าเหาะได้ด้วยฌาน จึงได้ขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้เสมอ ๆ มิได้ขาด อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันประชุมเทพบุตรเลี้ยงโต๊ะ ครั้นเทพยดาพร้อมกันแล้วเง็กเซียงฮ่องเต้ จึงทรงตั้งให้เราเป็นเซียนพ่องแม่ทัพใหญ่ มีหน้าที่ได้รักษาวิมานทั่วไป กับได้กำกับในลำแม่น้ำทีฮ้อ บังคับบัญชาได้สิทธิ์ขาด
 เมื่อเหตุจะมี อ๋องโป๊เนี่ยเนี้ยได้จัดการเลี้ยงโต๊ะชมพู่ เทพยดาทุกวิมานเป็นคราวใหญ่ เมื่อเวลาประชุมนั้นเราเมาสุราหลงเข้าไปในตำหนัก เห็นนางฟ้ามีรูปโฉมอันงามยิ่งนัก ความกำหนัดได้เกิดขึ้นในใจเราจนดวงจิตเคลิ้มไปไม่รู้สึกผิดแลชอบ จึงจับนางฟ้ากอดรัดจะใคร่ร่วมประเวณี ทันใดนั้นมีเทพบุตรพวกสอดแนมเห็นเข้า จึงนำเหตุการณ์ทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ ทรงพระพิโรธสั่งให้จับตัวเรา เง็กเซียงฮ่องเต้ ปรับโทษเราเป็นมหันต์โทษ แต่ในขณะนั้นท่านไทเป๊กกิมแชช่วยทูลเบี่ยงบ่ายขอโทษ เง็กเซียงฮ่องเต้จึงได้โปรดยกโทษประหารชีวิต แต่ให้ลงโทษเฆี่ยนสองพันที จนเนื้อหนังเราแตกโลหิตไหลแล้วสาปไล่ไปให้พ้นวิมาน เราจึงได้ลงมาจากสวรรค์ อาศัยอยู่ที่เขาฮกลีนซัว เพราะมีโทษดังนั้นจึงได้จุติไปเข้าในท้องสุกร จึงได้มีนามว่าตือกังเจีย เรื่องราวของเราเป็นดังนี้เจ้าจงรู้เถิด
 เห้งเจียได้ฟังปีศาจหมูชี้แจงดังนั้นจึงพูดว่า ข้าพเจ้ารู้แล้วเหตุเดิมนั้นเจ้าเป็นเทียนพ่องง่วนโซ่ยแม่ทัพผู้บัญชาการในลำแม่น้ำทีฮ้อบนสวรรค์ จุติลงมาเป็นปีศาจยักษ์หมู เที่ยวกวนชาวบ้านให้ได้ความเดือดร้อนอย่างนั้นซิเจ้าจึงได้รู้จักชื่อเรา
 ปีศาจสุกรมีความขัดใจจึงร้องตอบไปว่า เมื่อครั้งก่อนตัวเจ้าทำการวุ่นวายบนสวรรค์ชื่ออ้ายเป๊กเบ๊อุนคนนี้ ทำให้พวกเราที่อยู่บนฟ้าได้ความเดือดร้อน ทำไมเราจะไม่รู้จักชื่อเสียงแห่งท่านเล่า บัดนี้จะมาทำการอวดอิทธิฤทธิ์ที่นี่อีก ไม่รู้จักฝีมือเราจงลองกินคราดเหล็กสักทีหนึ่งจะได้รู้ว่าดีหรือไม่ดี
 เห้งเจียได้ฟังดังนั้นเกิดโทษะพลุ่งขึ้นมา แกว่งกระบองโถมเข้าตี ตือกังเจียเอาคลาดรับรบกันไปมาต่างมีกำลังเข้มแข็งหาลดละแก่กันไม่ รบกันในคืนวันนั้นตั้งแต่สองยามจนตะวันขึ้น ตือกังเจียทานกำลังเห้งเจียไม่ได้ จึงบันดาลเป็นลมหนีกลับเข้าถ้ำปิดประตูไม่ออกมาต่อสู้อีกหายเงียบไป
 เห้งเจียเห็นที่ประตูถ้ำนั้นมีแผ่นศิลาตั้งวางบนปากถ้ำ มีอักษรสามตัวอ่านว่าหุ่นจันต๋องแปลว่าถ้ำประชุมเมฆ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงแลพระอาทิตย์เห็นขึ้นสูงแล้ว ก็วิตกถึงพระอาจารย์ว่าจะคอยท่า ก็รีบเหาะกลับมายังบ้านเกาท้ายกง
 ครั้นถึงก็ลอยลงยังพื้นดินเดินเข้าไปในบ้าน นมัสการพระอาจารย์และคำนับท่านผู้เฒ่าทั้งหลายแล้ว จึงเล่าเรื่องที่จับยักษ์ปีศาจหมูแลได้ต่อสู้กันให้ฟังทุกประการ แล้วจึงเรียกเกาท้ายกงมาพูดว่าปีศาจนั้นมิใช่คนในมนุษย์โลกนี้ และมิใช่เป็นปีศาจยักษ์อะไร มูลเหตุเดิมนั้นเป็นขุนนางบนสวรรค์ เป็นที่เทียนพ่องง่วนโซ่ยของเง็กเซียงฮ่องเต้ บัดนี้จุติลงมาเป็นสุกรป่า เพราะฉะนั้นปากคางจึงยาวดุจหมูอันความจริงจิตกายสิทธิ์บริบูรณ์อยู่ หากว่าเขากินข้าากินน้ำเปลืองไปมาก เป็นแต่เลี้ยงชีวิตเท่านั้นเอง ไมได้ทำความอะไรให้เดือดร้อนแก่บุตรสาวของท่านตา ข้าพเจ้าเห็นว่าบุตรเขยคนนี้ก็ไม่ต้องอับอายอะไรแก่ใคร ควรท่านจะเลี้ยงไว้จะขับไล่เสียทำไม
 ฝ่ายเกาท้ายกงได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงตอบว่า เขามิได้ทำร้ายแก่บุตรสาวข้าพเจ้าก็จริงอยู่ แต่ชื่อเสียงนั้นไม่งามเพราะชาวบ้านที่ใกล้ไกลเหล่านั้นเขาพูดกันว่า บ้านข้าพเจ้าได้บุตรเขยเป็นปีศาจยักษ์ไว้ในบ้าน เขาพูดกันอย่างนี้ใจข้าพเจ้าไม่สบายเลย
 พระถังซัมจั๋งจึงพูดแก่เห้งเจียว่า เจ้าช่วยเขาก็จงช่วยให้ตลอด ให้เขาเห็นเท็จแลจริงทำไมจึงจะมาทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ อย่างนั้นเล่า
 เห้งเจียพูดว่า ถ้าดังนั้นข้าพเจ้าไปคราวนี้จะจับตัวมาให้ท่านทั้งหลายดู พูดดังนั้นแล้วก็บอกว่าข้าพเจ้าจะไปละ คนทั้งหลายแลไปก็มิได้เห็นร่างกายเห้งเจีย พากันแลดูตากันตกตะลึงอยู่ทั้งนั้น ฝ่ายเห้งเจียรีบมาถึงเขาฮกลีนชัวก็ลอยลงยังเนินเขาเดินเข้ามายังประตูถ้ำ เห็นถ้ำยังปิดอยู่ เห้งเจียจึงเอากระบองเหล็กกะทุ้งประตูถ้ำทะลายลงไปหมด แล้วเดินเข้าไปร้องท้าทายอึกกระทึก
 ฝ่ายตือกังเจียกำลังนอนหลับกรนเสียงครืดคราดอยู่ในถ้ำ พอได้ยินเสียงอึกกระทึกที่ปากถ้ำแลด่าว่าท้าทาย อดโทโสอยู่มิได้ก็ลุกขึ้นจับคราดสำรวมบริกรรมภาวนา ให้ร่างกายเกิดกำลังแล้วก็กระโดดออกมาร้องว่า เฮ้ยเป๊กเบ๊อุนเราทำอะไรให้แก่ท่าน ๆ จึงได้มารื้อประตูถ้ำของเราเสียดังนี้ ท่านไม่ได้เรียนกฎหมายโลกหรือ ท่านว่าผู้ใดพังประตูบ้านเขาโทษถึงตาย
 เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลูกสัตว์สี่เท้าไม่รู้จักอะไร กูตีประตูพังไปโทษถึงตาย ใครจะมาชำระกูให้แก่มึงเล่า ส่วนที่มึงไปชิงลูกสาวเขามาเป็นเมียไม่มีเถ้าแก่แลขันหมากอย่างนี้แลโทษมึงจะถึงตาย
 ตือกังเจียได้ฟังดังนั้นจึงร้องว่า อย่าพูดมากไปเลย เอ็งจงดูคราดของเรานี้ก่อนเถิดว่าคมหรือไม่ ถ้าเห็นว่าคมก็อย่าทำฮึกหาญไปเลย จะมาถึงที่ตายเสียเปล่า ๆ ดอก
 เห้งเจียพูดว่าคราดของเอ็งนั้นวิเศษอะไรนักหนา เราเห็นดีอย่างเดียว แต่จะคราดกุมฝอยในสวนเกาท้ายกงพ่อตาเอ็งเท่านั้น
 ตือกังเจียจึงบอกว่าเจ้าจำไม่ได้หรือคราดอันนี้ มิใช่ของมนุษย์โลกนี้ เราจะแสดงเหตุเดิมให้ท่านเข้าใจ คือ ประกอบไล่ด้วยอากาศน้ำกายสิทธิ์ทำเป็นเหล็กอันวิเศษ ท้ายเสียงเล่ากุนเอาเหล็กนั้นทำเป็นลูกสะดึงแลระฆัง ยังเหลืออยู่อีกจึงได้ทำเป็นคราดอันหนึ่งเก้าซี่ประกอบด้วยฟ้าดินและฤดูทั้งสาม ทั้งอาย พระอาทิตย์ พระจันทร์ เพราะฉะนั้นนามคราดนี้จึงได้เรียกว่าเซียงโป๊ซึมกีมป่า คือ คราดวิเศษอย่างดีที่หนึ่ง ได้นำไปถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ไว้สำหรับคุมทหารเหลงเซียวเต้ย เมื่อเรารับเป็นที่พ่องง่วนโซ่ย พระองค์ประทานให้เราไว้สำหรับตัว จะเปลี่ยนแปลงกายก็ได้โดยใจประสงค์ จะเหาะเหินไปมามีคาบเรียกเป็นไปได้ทุกสิ่งทุกประการ เมื่อเวลาคราวประชุมบนสวรรค์เราเอาติดตัวไปด้วย เพราะมีความห้าวหาญจึงได้เสียการตกลงมาในที่ดังนี้ จิตเราเป็นมิจฉาทิฐิกินมนุษย์เสียเป็นอันมากลงทะเลมังกรก็เกรงกลัว ขึ้นบกเขาหมู่เสือก็ขยาดอำนาจฤทธิ์แห่งเรา เราคิดเวทนาว่าหัวของเจ้าเป็นเหล็กหรือทองแดง เราบอกให้รู้สึกก่อนโดยความเอ็นดู เจ้ารู้ดังนี้แล้วขวัญจะไม่อยู่กับตัว เจ้าจงรีบกลับไปเสียเถิด
 เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อ้ายสัตว์สี่เท้าเอ็งอย่าออกฝีปากไปเลย เราจะยื่นศรีษะให้เจ้าลองสับดูสักทีก็จะได้รู้ว่า ขวัญเราจะหายหรือไม่ พูดแล้วเห้งเจียก็ก้มศรีษะร้องบอกให้ตือกังเจียฟัน ตือกังเจียเห็นดังนั้นก็ยกคราดสับลงไปด้วยเต็มกำลังถูกศรีษะเห้งเจียเป็นประกายออกมาดุจไฟพะเนียงเมื่อเวลาคนจุด แต่เห้งเจียก็ยืนเฉยอยู่ไม่แสดงความหวั่นไหวหวาดเสียวเจ็บป่วยอะไร ตือกังเจียเห็นดังนั้นมือแลเท้าก็อ่อนไป ให้คิดครั่นคร้ามอยู่ในใจ จึงแกล้งทำเป็นพูดว่าหัวเจ้าแข็งจริง เจ้านี้เรารู้จักจำได้แล้ว เมื่อก่อนขึ้นไปทำอิทธิฤทธิ์วุ่นวายบนสวรรค์ บ้านเดิมเจ้าอยู่ที่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องได้สูญหายไปนานแล้ว บัดนี้ทำไมจึงได้มาถึงที่นี่อีกเล่า ชะรอยพ่อตาเราจะไปจ้างมาดอกกระมังจึงได้วุ่นวายเช่นนี้อีก
 เห้งเจียจึงพูดว่าพ่อตาของเจ้าก็มิได้ไปหาเรามา เพราะเรากลับใจรักษาศีลแลภาวนาตั้งอยู่ในสัมมาทิฐิมรรค ตามรักษาพระอาจารย์ถังซัมจั๋งเพื่อจะไปประเทศไซทีนมัสการพระยูไลย ขออาราธนาพระคัมภีร์ไตรปิฎกไปประดิษฐานในประเทศทิศตะวันออก เราเดินทางมาพอค่ำลงจึงได้ขอพักอาศัยนอนที่บ้านเกาท้ายกง ๆ เล่าความให้เราฟังและเชิญเราได้ช่วยจับตัวอ้ายกินรำ
 ตือกังเจีย ได้ฟังเห้งเจียเล่าถึงพระที่จะไปไซทีให้ฟังทุกประการก็ดีใจ จึงโยนคราดเหล็กที่ถืออยู่นั้นเสีย แล้วคำนับเห้งเจียพูดว่า ขอท่านได้กรุณาข้าพเจ้าด้วยเถิด พระที่จะไปไซทีนั้นบัดนี้อยู่ที่ไหน ขอท่านได้นำข้าพเจ้าไปให้พบปะสักหน่อยเถิด
 เห้งเจียจึงถามตือกังเจียว่า เจ้าอยากจะใคร่พบปะกับพระนั้นด้วยเหตุประการใด
 ตือกังเจียจึงตอบว่า เดิมพระกวนอิมมาสั่งสอนให้ข้าพเจ้ารักษาศีล ข้าพเจ้าก็ได้รับโอวาทคำสั่งสอนของท่าน แล้วท่านซ้ำสั่งว่าให้คอยอยู่ที่เขานี้ เมื่อมีพระเมืองใต้ถังจะมาอาราธนาพระไตรปิฎกเดินมาทางนี้ ก็ให้ข้าพเจ้าตามไปเป็นสานุศิษย์ ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็ตั้งใจคอยอยู่สองสามปีมานี่แล้ว ก็มิได้ข่าวคราวอะไรที่ไหนเลย ท่านเป็นศิษย์ของพระแล้วทำไมจงไม่บอกบ้างเล่า ถือว่ามีฤทธิ์มากก็มาทำข่มเหงเราดังนี้ ข้าพเจ้ามิได้รู้สึกว่าท่านเป็นประการใด ก็จำเป็นต้องสู้รบกัน แม้ถึงท่านทำแก่ข้าพเจ้าดังนี้ เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบความตลอดดังนี้แล้ว ก็มิได้มีใจถือโกรธแห่งท่าน ขอท่านกรุณาได้อนุกูลช่วยพาไปให้ได้พบแก่พระด้วยเถิด
 เห้งเจียพูดว่า เจ้าอย่าใช้อุบายล่อลวงเรายังไม่วางใจเจ้า ถ้าเจ้ามีน้ำใจจะติดตามไปเมืองไซทีด้วยกันจริงแล้ว จึงให้สัตย์ปฏิญาณตนเสียก่อน เราจึงจะพาไปให้พบแก่พระอาจารย์ของเรา
 ตือกังเจียได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น จึงคุกเข่าลงกับพื้นดินแล้วเงยหน้าขึ้นบนอากาศ กล่าวคำปฏิญาณว่า นะโมพุทธะ ถ้าข้าพเจ้าไม่มีใจจริงดังปากว่า ขอให้ต้องโทษฟ้าจงทำลายตัวข้าพเจ้าให้ป่นเป็นร้อยท่อนเถิด
 เห้งเจียเห็นตือกังเจียให้สัตย์ปฏิญาณดังนั้น ก็มีความยินดี จึงเรียกให้ตือกังเจียลุกขึ้นแล้วก็พูดว่า เราเห็นจริงแลเชื่อในความสัตย์ของเจ้าแล้ว จึงช่วยกันเก็บกิ่งไม้ใบหญ้าแห้งมาใส่ถ้ำแล้วเอาไฟจุดเผาถ้ำเสีย ครั้นเสร็จแล้วตือกังเจียจึงพูดแก่เห้งเจียว่า ว้นนี้ในใจคอของข้าพเจ้าปลอดโปร่งไม่มีความขัดข้องอะไรแล้ว ขอท่านจงช่วยพาข้าพเจ้าไปเถิด
 เห้งเจียได้ฟังตือกังเจียพูดดังนั้น จึงจับคราดเหล็กของตือกังเจียมาถือไว้แล้ว มือหนึ่งก็จับหูตือกังเจียโดดขึ้นบนอากาศเหาะกลับมายังบ้านเกาท้ายกง ครั้นถึงก็พาตือกังเจียเดินเข้าไปในบ้าน
 เวลานั้นพระถังซัมจั๋งกำลังนั่งอยู่กับผู้เฒ่าเกาท้ายกง ๆ แลไปเห็นเห้งเจียจับหมูปิศาจมาได้ ต่างคนต่างก็มีความยินดีเป็นที่สุดจึงพากันเดินออกมารับ ตือกังเจียเห็นพ่อตากับพระเดินออกมารับจึงตรงเข้ามาคุกเข่าลงคำนับกราบพระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่า ขอพระอาจารย์ได้โปรด ถ้าเมื่อแรกทราบว่าพระอาจารย์มาอยู่ในบ้านพ่อตาดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะมีความยินดีมิได้รบพุ่งกันเลย ข้าพเจ้าตั้งใจมานมัการขอท่านจงได้กรุณาข้าพเจ้าด้วยเถิด
 พระถังซัมจั๋งจึงถามว่านี่ทำกันอย่างไรจึงพากันมาได้ เห้งเจียจึงว่าแก่ตือกังเจียว่า เจ้าจงเล่าให้พระอาจารย์ฟังเถิด
 ตือกังเจียได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น จึงแจ้งความตามเหตุผลตั้งแต่ต้นได้พบพระกวนอิมจนตลอดมาถึงบัดนี้ทุกประการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังก็ทราบความตามเรื่องที่เป็นมา มีความยินดียิ่งนักจึงพูดแก่เกาท้ายกงว่า ให้ตั้งโต๊ะเครื่องบูชาขึ้นแล้วพระถังซัมจั๋งกับเกาท้ายกงก็คุกเข่าลงคำนับระลึกคุณของพระกวนอิม ครั้นเสร็จแล้วต่างคนนั่งสนทนากัน
 ฝ่ายตือกังเจียนมัการพระถังซัมจั๋ง ขอยอมตัวเป็นศิษย์จะได้ปฏิบัติรักษาพระอาจารย์ไปในทางกันดาร แลคำนับเห้งเจียขอเป็นน้อง
 พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าเวลานี้ ตือกังเจียก็ปฏิญาณตนเป็นผู้ตั้งอยู่ในทางสัมมาปฏิปทาแล้ว เพราะฉะนั้นอาตมภาพจะตั้งฉายาให้ใหม่ จะเห็นดีด้วยหรือไม่
 ตือกังเจียจึงตอบว่า ขอพระอาจารย์ได้ทราบ ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้พบพระกวนอิม ๆ ตั้งฉายาให้เรียกข้าพเจ้าว่า (ตือหงอเหนง) แล้ว
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วพูดว่าดีแล้ว เป็นสาวกเดียวกันกับเห้งเจีย
 ตือกังเจียจึงพูดว่าข้าพเจ้าได้รับปฏิบัติ ถือศีลแปดรับประทานแจมานานแล้ว บัดนี้มาปะพระอาจารย์ข้าพเจ้าจะขอลาออกจากกินแจ พระอาจารย์จะเห็นชอบด้วยหรือไม่
 พระถังซัมจั๋งจึงห้ามว่า เดิมได้กินแจแล้วจะมากลับใจอย่างนั้นหาควรไม่ ไว้อาตมจะให้ชื่อตามกิริยาที่ถือนั้นจะได้เรียกตามเวลาการ คือให้ชื่อว่าตือโป๊ยก่าย แปลว่าถือศีลแปด
 ตือกังเจียได้ฟังพระอาจารย์ตั้งนามให้ดังนั้น ก็มีความยินดีเป็นที่ยิ่งจึงคำนับรับชื่อนั้นโดยความเคารพ ฝ่ายเกาท้ายกงเห็นยักษ์หมูผู้บุตรเขย เข้าปฏิบัติในทางสัมมาปฏิปทาดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้คนใช้จัดโต๊ะ
เครื่องแจมาเลี้ยงพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์แลผู้เฒ่าที่มาอยู่ในเวลานั้น ตือโป๊ยก่ายจึงบอกแก่เกาท้ายกงว่า บิดา จงให้ภรรยาข้าพเจ้าออกมาคำนับพระอาจารย์กับท่านผู้เฒ่าเหล่านี้ จะได้รู้เห็นว่าเป็นภรรยาข้าพเจ้า
 เห้งเจียได้ยินดังนั้นจึงตวาดว่า ตัวได้สละใจปฏิบัติทางธรรมแล้วไม่ควรจะยกเอาเรื่องภรรยามากล่าวต่อไปอีก ตั้งแต่นี้อย่าพูดเรื่องภรรยาต่อไป เราพากันรับประทานแจแล้วจะลาท่านทั้งหลายออกเดินไปกับด้วยพระอาจารย์ เกาท้ายกงจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งขึ้นนั่งฉันองค์เดียว เห้งเจียกับโป๊ยก่ายเข้าโต๊ะเดียวกัน ส่วนผู้เฒ่าทั้งหลาย รวมกันโต๊ะหนึ่ง
 ครั้นจัดเสร็จแล้วก็ลงมือรับประทาน เกาท้ายกงจึงเข้าไปเอาเงินแลทองมาใส่เต็มถาดหนึ่ง แล้วยกออกมาถวายฉลองคุณพระถังซัมจั๋ง ๆ จึงพูดว่าอาตมาเดินทางไปบิณฑบาตของฉันเลี้ยงชีพไปคราว หนึ่ง ๆ ซึ่งเงินทองอย่างนี้หาควรแก่อาตมภาพไม่ เห้งเจียจึงลุกมาหยิบเงินทองในถาดมากำมือหนึ่ง แล้วเรียกเกาใช้มาบอกว่านี่รางวัลให้เจ้า เพราะเจ้าได้ชัก นำมาจึงได้ตือโป๊ยก่ายมาเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่ง เราขอบใจเจ้ามาก ๆ จงรับเงินทองนี้ไปไว้ใช้สอยตามปราถนา เถิด เกาใช้ก็คำนับรับเอาเงินนั้นไว้
 ฝ่ายเกาท้ายกงเอากาสาผืนหนึ่ง ถวายพระถังซัมจั๋งกับรองเท้าสองคู่ให้เห้งเจียหนึ่งคู่ ตือโป๊ยก่ายหนึ่งคู่ สำหรับเดินป่า โป๊ยก่ายจึงพูดว่าข้าพเจ้าขอฝากคำลาแก่วงศ์ญาติทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าจะตามพระอาจารย์ไป แล้วบอกแก่ เกาท้ายกงว่าภรรยาข้าพเจ้านั้นข้าพเจ้าขอฝากกับบิดาไว้ด้วย จงระวังรักษาให้แก่ข้าพเจ้าด้วย บางทีถ้าข้าพเจ้า ไปอาราธนาพระไตรปิฎกไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าจะกลับมาเป็นบุตรเขยท่านอีกต่อไป
 เห้งเจียได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงตวาดว่าอ้ายคนพูดอะไรเลอะเทอะดังนั้น ตือโป๊ยก่ายพูดว่าพี่ยังไม่ทราบ บางทีข้าพเจ้าไปข้างโน้นนานวัน อยู่ข้างนี้แม่ยายก็จะยกภรรยา ข้าพเจ้าให้เป็นภรรยาผู้อื่นเสีย
 พระถังซัมจั๋งได้ยินพูดกันดังนั้นจึงพูดว่า อย่าเอาความอันมิใช่กิจของเราผู้ถือบวชมาพูดให้ เสียเวลาเลย จงจัดแจงเก็บของใส่หาบจะได้ไป โป๊ยก่ายก็จัดแจงเตรียมตัวเสร็จ พระถังซัมจั๋ง จึงลาเกาท้ายกง และคนทั้งหลายแล้วออกมาขึ้นม้า เห้งเจียก็คำนับลาเกาท้ายกงถือกระบอง เหล็กเดินข้างหน้าพระอาจารย์ โป๊ยก่ายก็ยกหาบใส่บ่าแล้วก็ออกเดินตามไป เกาท้ายกงกับคนทั้งหลายก็เดินตามออกมาส่ง
 ครั้นพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสองพ้นไปแล้ว ก็ต่างคนต่าง คำนับลากันไปที่อยู่ของตน ๆ ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์เดินตามกันมาตามระยะทางแนวป่า ชมพลางเดินพลางหมายทิศ ปราจิณ เดินมาได้ประมาณสักเดือนหนึ่งก็มีความสบายดีอยู่มิได้มีเหตุการสิ่งใด ข้ามพ้นเฃต (โอซือจั๊งก๊ก) ครั้นเดินมาก็แลเห็นภูเขาหนึ่งสูงยอดเทียมเมฆ พระถังซัมจั๋งจึงบอกว่าข้างหน้ามีภูเขาสูงจงระวังระไว
 โป๊ยก่ายได้ฟังพระอาจารย์พูดดังนั้นจึงตอบว่า ขอท่านอย่าวิตกซึ่งเหตุการอันใดเลย ภูเขา นี้นามเรียกว่า (ภู่โท่ซัว) ในเขานี้มีพระสำเร็จฌานองค์หนึ่งนามเรียกว่า (โอเซ้าเสี้ยนซือ) รักษาปฏิบัติอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าเคยมาหาท่าน พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายบอกดังนั้นก็นิ่งอยู่ ครั้นขึ้นมาบนเนินเขาพระถังซัมจั๋งแลไป ข้างหน้าเห็นบนต้นไม้หอม มีรังใหญ่รังหนึ่งทำด้วยหญ้าแลกิ่งไม้ บนยอดไม้นั้นมีนกต่าง ๆ จับอยู่ ร้องส่งเสียง คูขันเป็นที่น่าฟังยิ่งนัก
 โป๊ยก่ายจึงชี้บอกว่า ที่ต้นไม้นั้นแลเป็นที่อยู่ของพระโอเซ้า พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นเร่งขับ ม้าตรงเข้าไปที่ต้นไม้นั้น ฝ่ายพระอาจารย์โอเซ้าแลเห็นคนทั้งสามเข้ามาดังนั้น พิเคราะห์ดูก็รู้ว่า พวกเมืองถังมา จึงโดดลงจากต้นไม้ เข้ามายืนตรงหน้าม้าพระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าขออภัยยท่านเถิด ที่ข้าพเจ้าได้มารับท่านช้าไป พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็ลงจากม้าคุกเข่าคำนับ พระอาจารย์โอเซ้าจึงจับมือพระถังซัมจั๋งแล้ว พูดว่า ขอท่านจงลุกขึ้นเถิด
 ฝ่ายโป๊ยก่ายเดินเข้ามาคำนับพระอาจารย์โอเซ้า ๆ เห็นตือกังเจียจึงถามว่า ตัวอยู่เขาฮกลิ่นซัวมีนิสัยด้วยหรือ จึงได้เข้าร่วมทางไปด้วยท่านผู้สำเร็จอย่างนี้ โป๊ยก่ายจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้พึ่งพระกวนอิมชี้แจงชักชวนแนะนำในทางมรรคผล เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้ตั้ง จิต อธิษฐานจะตามพระอาจารย์ไป พระอาจารย์โอเซ้าพูดว่าดีแล้ว ๆ จึงชี้มือมาตรงเห้งเจียถามว่าผู้นี้คือใคร
 เห้งเจียได้ยินพระอาจารย์โอเซ้าถามดังนั้น ก็หัวเราะแล้วตอบว่าทำไมท่านจำข้าพเจ้า ไม่ได้ จำได้แต่โป๊ยก่ายเท่านั้นหรือ พระอาจารย์โอเซ้าพูดว่า อาตมานี้ยังไม่เคยรู้จักท่าน พระถังซัมจั๋งจึงบอกว่า คนนั้นคือ สานุศิษย์ใหญ่ของข้าพเจ้าเอง นามเดิมเรียกว่าหงอคง
 พระอาจาริย์โอเซ้าได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วพูดว่า อาตมาไม่ทันปราศัยขออภัยเสียเถิด พระถังซัมจั๋งจึงถามว่าไซทีนั้นยังใกล้หรือไกล ขอพระอาจารย์ได้โปรดชี้แจงให้ทราบด้วย พระอาจารย์โอเซ้า ตอบว่าไกลนัก ๆ แต่จงอุตส่าห์ไปเถิดก็จะมีเวลาถึงดอก แต่หนทางนั้นที่จะไปนั้นกันดาร มีสัตว์ร้ายเป็นต้นว่าเสือและลายอ้อนชุกชุม ยักษ์มารและปีศาจมีมาก อาตมาจะถวายพระคาถาเครื่องคุ้มตัว ถ้าพบปะยักษ์มารอันร้ายกาจ จงบริกรรมภาวนาแล้วก็จะคุ้มตัวได้สารพัด ให้พ้นจากภัยอันตรายต่างๆ พระคาถานี้มีห้าสิบสี่วรรคคิดเป็นอักษรสามร้อยเจ็ดสิบตัวอักษร
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงพูดว่า ขอพระอาจารย์ได้โปรดสอนให้ข้าพเจ้าเถิด ท่านอาจารย์โอเซ้าได้ฟังพระถังซัมจั๋งว่าดังนั้น จึงสาธยายพระคาถานั้นให้พระถังซัมจั๋งฟัง มีอรรถดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ มาฮาปัญญะปาลามิโต ซิมเกงกวนจู่จ๋ายโพซาด เห่งซิมปัญญะ ปาลามิโต สี้เจี๊ยวกีเง้าอุ๊นกายกงโต้อิ๊ด เซียดเค้าเว็ดเซี้ยลี่เจจื้อ เซกปุ๊ดอี่คง ๆ ปุ๊ดอี่เซก เซกเจกซีคง ๆ เจกซีเซกซีวเสี่ยงเห่งเซก เอียดหกยู่สี เซี้ยลี่จื้อ สีจูฮวดคงเสียง ปุ๊ดเซงปุ๊ด เบี๊ยด ปุ๊ดเก๊า ปุ๊ดเจ๋ง ปุ๊ดก๊าม
 สีโก่คงตัง โม่เซก เทียเฮียวมีชอกฮวด โบ่งั้นก่าย หนายจีโบ่ อีเซกก่าย โบ่ๆเม้งเอียดโบ่ๆเม้งจิ๊น หนายจีโบ่ เล้าซี้เอียดเล้าซีจิ๋น โบ่เก้าเจกเบี๊ยด เต๊า โบ่ตี๊เอียดโบ่หงาย โบ่ซ้อเตกโก โพธิสัตว์ท้าอี ปัญญะปาลามิโต โก่ซิมโม่ กว๊ายหงายโบ๋ กว๊ายหวายโก๋ โบ่อิ้ว ต้งโผ่ อ้วนลีเตียนเต๊ามั่ง เสียงกู๊เก๊งเนียดพิ้น ซัมซิจูฮุด อีปัญญะ ปา ลามิโต โก่เต็กออเหมาโตลาซัมเมียว ซัมโพนิโก่ตี ปัญญะปาลามิโต สีต๋ายสินจู่ สีต่ายเม้งจู่ สีโบ่เสียงจู่ โบ่เต๊งๆจู่ เน่งตื้ออิ๊ดเซียดเก้า จินซิดปุ๊ฮือ โก่ส้อยปัญญะปาลามิโตจู่เจ่ก ส้วยจู๊ เอี๊ยะเอี๊ยดที้ปาลา ที้ปาลาเอี๊ยดที้ซอปาฮอ (จบคาถา)
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง เมื่อได้ฟังพระอรรถคาถาดังนั้นก็จำทรงไว้ได้ โดยเหตุบุญญาภิสังขารการ สั่งสม อบรมพระโพธิสมภารมามากแล้ว ย่อมมีพระปัญญาอันสุขุมสามารถจะจำทรง
ขณะเมื่อประภิกษุโอเซ้าว่าคาถาให้ฟังเที่ยวเดียวก็จำได้ จนตลอดจบพระคาถานั้น ทุกวันนี้ได้รู้ออกแพร่หลาย ตาม ชาวชนทั้งหลายได้สั่งสอนกันต่อ ๆ มาเป็นคำข้อปฏิบัติในทางสัมมาทิฐิอย่างประเสริฐ ฝ่ายพระโอเซ้าครั้นสอนให้พระถังซัมจั๋งจำพระคาถาได้แล้ว ก็หันหน้าจะกลับขึ้นบนรังที่อยู่ของตน ตามเดิม พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็เดินเข้ามายึดพระโอเซ้าไว้ จะใคร่ถามหนทางอันจะไปไซที
 พระอาจารย์โอเซ้าเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ซึ่งหนทางจะเดินไปนั้นไม่สู้ยากอะไรนัก ในระยะ ทางนั้นห้วยเขาก็มากไม่คณานับได้ มีสิงสัตว์ที่ดุร้ายยักษ์ ผี ปีศาจชุกชุม ถึงกระนั้นจงวางใจเถิดอย่ามีความ หวาดเสียวสะดุ้งกลัวอะไรเลย ถ้าไปถึงเขาม่อฮี้งัมข้างริมนั้นจงระวังไว้ เพราะมีป่ามืดมีปีศาจเสือปลามักสกัดทาง ทำร้าย และในเขตนั้นมียักษ์มารออกดาดาษมีสัตว์สิงห์โตและเสือเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงกายาได้ต่าง ๆ
 เมื่อพระโอเซ้าบอกหนทางให้เสร็จแล้วจึงกล่าวคำเป็นปริศนาว่า หมู่ป่าหาบคอนคงจะพบน้ำ ร้าย เมื่อครั้งแรกมาพบลงหินนานปี จงถามดูซึ่งหนทางจะไปไซทีนั้นเขารู้จักทางเป็นแน่ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วพูดว่า พวกเราไปเถิดไม่ต้องถามแล้ว จงถามข้าพเจ้าดีกว่า พระถังซัมจั๋งได้ฟังพระโอเซ้าพูดดังนั้น ก็คิดไม่ออกว่าอะไรยืนนิ่งอยู่ ฝ่ายพระอาจารย์โอเซ้าเมื่อพูดเป็นปริศนาแล้ว ก็บันดาลเป็นแสงสว่างเหมือนสีทองลอยขึ้นไป นั่งบนรังตามเดิม พระถังซัมจั๋งก็ยกมือขึ้นคำนับขอบคุณโดยเคารพ
 เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความโกรธพระโอเซ้าเป็นอันมากจึงเอากระบองขว้างขึ้นไป แลเห็นเป็น รัศมีและดอกบัวมีสีต่าง ๆ และเมฆหมอกออกกลุ้มไปล้อมรังพระโอเซ้าอยู่ กระบองของเห้งเจียก็ไม่ทำอันตรายพระ โอเซ้าได้ พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงร้องห้ามเห้งเจียว่า ทำไมจึงคิดทำลายรังผู้สำเร็จดังนี้เล่า เห้งเจียจึงพูดว่าเมื่อตะกี้นี้พระโอเซ้าพูดหยาบช้า เปรียบข้าพเจ้าทั้งสอง พระอาจารย์ไม่ได้ยินหรือ พระถังซัมจั๋งพูดว่าเธอพูดเแจงหนทางให้ต่างหาก มิได้พูดอยาบช้าอะไรเลย
 เห้งเจียตอบว่า พระอาจารย์หาเข้าใจไม่ เธอพูดว่าหมูป่าหาบคอนนั้น คือพูดถึงโป๊ยก่าย ลิงหิน นานปีนั้นคือพูดถึงตัวข้าพเจ้า พระอาจารย์หาคิดเห็นได้ไม่ โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงห้ามว่าพี่เห้งเจียอย่า โกรธขึงเลย พระองค์นี้ท่านรู้ได้ทั้งอดีต อนาคต ซึ่งท่านพูดว่าแรกจะพบน้ำร้ายนั้น คือได้แก่อะไรยังคิดหาออกไม่ จงคอยดูไปก่อนก็จะเห็นเท็จและจริง เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายห้ามดังนั้น ก็ร่ายมนต์เรียกกระบองกลับลงมาถือไว้ แล้วก็นิมนต์พระ อาจารย์ให้ขึ้นม้าพากันลงมาจากเขาหมายทิศปราจิณเดินไป

ไม่มีความคิดเห็น: