ตอน ปีศาจชุดเหลืองจอมโหด (ช่วงที่ 2)
(บทที่ ๓๐) อึ่งเพ้าปิศาจยักษ์เมื่อจับซัวเจ๋งมามัดขึงไว้แล้ว จิตใจก็ยังไม่หมายจะทำอันตรายแก่ซัวเจ๋ง จึงนั่งตรึกตรองนึกในใจว่า อันพระถังซัมจั๋งเป็นสมณะประพฤติชอบย่อมรู้ผิดถูกดีชั่วบุญบาป เราปล่อยให้เธอรอดชีวิตไป แลจะกลับให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งกลับมาทำร้ายเราดังนี้ก็ผิดไป หากจะไม่เป็นไปได้ ซึ่งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมารบนี้ ชะรอยเมียของเราเอ็ง เขียนหนังสือรับฝากพระถังซัมจั๋งไปถวายพระราชบิดา ๆ เธอทราบความจึงใช้ให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งกลับมาทำร้ายเรา อึ่งเพ้าคิดดังนั้นแล้ว ก็ให้คิดแค้นก๋งจู๊จะใคร่ฆ่านางเสีย
ฝ่ายนางก๋งจู๊ก็หารู้ตัวไม่ ครั้นหวีผมแต่งตัวแล้วก็เดินออกมาจากห้อง อึ่งเพ้าเห็นจึงชี้หน้าว่าอีชาติหญิงร้ายจิตคล้ายสุนัขไม่มีความดี ตั้งแต่ได้เจ้ามาเราก็มิได้กล่าวคำอยาบช้าให้เคืองหู ถนอมน้ำใจเจ้าทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ที่สุดจะตกแต่งร่างกายก็ได้อุตส่าห์หาให้ได้ดังความปราถนา จะกินจะนอนก็มิให้ร้อนรน แต่เจ้ามิได้มีความกตัญญูรู้คุณแห่งเรา เจ้าคิดถึงบิดามารดาก็ตามใจเจ้า แต่มิได้คิดถึงที่ได้เป็นผัวเมียร่วมรักกันมา
ก๋งจู๊ครั้นได้ฟังอึ่งเพ้าพูดดังนั้น มีความตกใจสะดุ้งทั้งตัว จึงคุกเข่าลงต่อหน้า อึ่งเพ้าแล้วพูดว่าใต้อ๋องทำไมวันนี้มากล่าวความอันไม่มียางรักและอาลัยเช่นนี้เล่า อึ่งเพ้าว่าไม่รู้ว่าเราแตกร้าวหรือเจ้าคิดให้แตกร้าว เราจับได้ถังซัมจั๋งจะใคร่กินเนื้อ ทำไมเจ้าแก้มัดปล่อยไป และแอบฝากหนังสือลับไปด้วยให้บิดาเจ้ารู้เรื่อง ถ้ามิดังนั้นทำไมอ้ายสองคนจะได้กลับมาทำร้ายแก่เราอย่างนี้เล่า และทั้งมันได้ทวงให้ส่งเจ้ากลับไปเมือง
ก่งจู๋ได้ฟังอึ่งเพ้าพูดดังนั้น จึงพูดว่าท่านไต้อ๋องเห็นจะโกรธข้าพเจ้าผิดดอกกระมัง ข้าพเจ้าก็หาได้ฝากข่าวอะไรไปไม่ อึ่งเพ้าว่ายังจะทำปากกล้าไปอีกเดี๋ยวนี้เราจับได้คนหนึ่งเป็นพยาน ก๋งจู๊ถามว่าใครที่ไหน อึ่งเพ้าว่าอ้ายซัวเจ๋งศิษย์ของพระถังซัมจั๋งเป็นพยานนะสิ แรกมันมาถึงแล้วมันหนีรอดไปได้เลยจะใคร่มาหาที่ตายอีก นี่คงจะมีคนใช้ให้มาจึงได้มาอีกฉะนี้ ก๋งจู๊ได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าใต้อ๋องมีความสงสัย ขอใต้อ๋องจงยับยั้งซึ่งความโกรธไว้ก่อน ใต้อ๋องกับข้าพเจ้าไปต่อหน้าซัวเจ๋งถามดู แม้ว่าข้าพเจ้ามีหนังสือฝากไปจริงตามแต่ท่านจะฆ่าฟันเถิด แม้ว่าไม่จริงใต้อ๋องก็อย่าเพิ่งทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าก่อนเลย
อึ่งเพ้าได้ฟังดังนั้นก็ไม่ว่ากระไร ตรงมาจับมวยผมลากไป ครั้นมาถึงที่ ๆ ซัวเจ๋งต้องมัดอยู่นั้น อึ่งเพ้าจึงผลักนางคว่ำลงกับพื้น มือถือมีดดาบร้องถามโดยความโกรธว่า อ้ายซัวเจ๋งมึงจงบอกโดยความจริง ซึ่งเจ้าสองคนบังอาจสามารถมาพังประตูถ้ำของเราให้เสียไปทั้งนี้ เพราะอีหญิงคนนี้ฝากหนังสือไปให้พระราชบิดามันรู้ข่าว จึงให้มึงทั้งสองมาทำร้ายกูมิใช่หรือ
ซัวเจ๋งเวลานั้นยังต้องมัดอยู่ เห็นอึ่งเพ้ามีกิริยาดุร้ายจะใคร่ฆ่านางก๋งจู๊ และถามถึงหนังสือดังนั้น ซัวเจ๋งแกล้งทำหน้าชื่นแล้วตอบว่า อ้ายมารร้ายมึงอย่าทำให้ผิดธรรมเนียมไป ใครมีหนังสือลับอะไรที่ไหน เหตุนี้เพราะด้วยมึงจับอาจารย์กูขังไว้ในถ้ำ ท่านเลยเห็นรูปร่างนาง ครั้นท่านเข้าไปขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กได้เอารูปวาดของนางออกมาให้ดู เพื่อจะสืบถามข่าวคราวว่าได้พบปะบ้างหรือ อาจารย์ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จึงบอกว่าได้พบเห็นอยู่ในถ้ำนี้ เพราะฉะนั้นเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กจึงให้เรามาทวงนางกงจู๊ เป็นความจริงอย่างนี้ จะมีหนังสือใครฝากไปที่ไหนเจ้าจะฆ่าก็จงเร่งฆ่าเราเสียดีกว่า จะฆ่าทำไมแก่ผู้หญิงคนซื่อตรง
อึ่งเพ้าได้ฟังซัวเจ๋งพูดจาองอาจกล่าวกล้าดังนั้น ก็ทิ้งมีดเข้าประคองนางให้ลุกขึ้น ปัดเป่าผงดินแล้วพูดว่า ขอเจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธเราเลย เพราะเป็นเวลาโกรธปราศจากสติหาทันจะได้ตรึกตรองไม่ ว่าดังนั้นแล้ว ก็พยุงก๋งจู๊ขึ้นนั่งบนที่สูง คำนับขอขมาโทษที่ได้กระทำผิดล่วงเกินอยาบช้านั้น นางก็อนุญาตให้ แล้วจึงบอกแก่สามีว่าใต้อ๋องจงแก้มัดซัวเจ๋งออก เอากุญแจใส่ดีกว่า อึ่งเพ้าก็ทำตาม ซัวเจ๋งก็มีความดีใจ เราทำความดีแก่ท่าน ๆ ก็ทำความดีตอบแทนแก่เรา อึ่งเพ้าจึงให้จัดโต๊ะและสุราเสร็จแล้ว อึ่งเพ้ากับก๋งจู๊ก็นั่งโต๊ะเสพสุราเป็นที่สบายใจ แล้วอึ่งเพ้าคิดขึ้นมาได้จึงให้ปีศาจคนใช้นำเอาเสื้อกางเกงเครื่องนุ่งห่มสำหรับใหม่มานุ่งห่ม ครั้นแต่งตัวเสร็จแล้วเอามีดดาบซ่อนไว้ในเสื้อ จึงเอามือลูบหลังนางก๋งจู๊แล้วสั่งว่า เจ้าจงคอยระวังบุตรทั้งสองและระวังอย่าให้อ้ายซัวเจ๋งหนีไปได้ บัดนี้ถังซัมจั๋งคงจะยังอยู่ในพระราชวัง แลเราจะไปเยี่ยมญาติด้วย
นางก๋งจู๊ถามว่าใต้อ๋องจะไปเยี่ยมญาติที่ไหน ข้าพเจ้ายังไม่เคยได้ยินใต้อ๋องพูดถึงญาติเลย อึ่งเพ้าจึงบอกว่าบิดาของเจ้าก็เป็นพ่อตาของเรา ๆ เป็นบุตรเขยของท่าน ทำไมไม่ไปเยือนเล่า ก๋งจู๊ห้ามว่าใต้อ๋องอย่าไปเลย เพราะเดิมพระราชบิดาก็มิได้รู้จักรูปร่างว่าเป็นประการใด ใต้อ๋องมีรูปและลักษณะอย่างนี้ จะเข้าไปในพระราชวัง ถ้าพระราชบิดาทอดพระเนตรเห็นก็จะไม่มีจิตหวาดเสียวสะดุ้งกลัวยิ่งนักหรือ จะพาให้เกิดการไม่ดีขึ้นดอกกระมัง ถ้าจะไม่ไปเสียเลยจะดีกว่าดอกกระมัง ขอใต้อ๋องจงดำริดูให้จงดีก่อน อึ่งเพ้าพูดว่าถ้ากระนั้นเราจะจำแลงตัวให้สะสวยคนทั้งหลายได้เห็นก็จะชมว่างาม ว่าแล้วอึ่งเพ้าก็ร่ายพระเวทย์บิดเบือนกายกลายเป็นมานพหนุ่มน้อยนักเรียนรูปร่างสะสวย
ก๋งจู๊เห็นปีศาจแปลงกายสะสวยแล้วอย่างนั้น ก็มีความยินดียิ่งนัก แล้วจึงพูดว่า แม้ถึงแปลงกายสะสวยแล้วอย่างนี้ ใต้อ๋องจะเข้าเฝ้าพระราชบิดาก็คงจะไม่เสียเกียรติยศ พระราชบิดาก็คงจะทรงกรุณาบรรดาขุนนางใหญ่น้อยทั้งหลายก็คงจะมีความรักใคร่นับถือเป็นแน่ พระราชบิดากับขุนนางทั้งหลายก็คงจะรับรองเลี้ยงดูเป็นอันดี แต่เมื่อเวลาจะนั่งโต๊ะรับประทานอาหาร บางทีจะเมาสุรามากเข้าก็เผลอตัว รูปและกิริยาดุร้ายแปรกลับให้เขาเห็นก็จะพาให้เสียการ
อึ่งเพ้าจึงตอบว่า เจ้าคิดรอบคอบไปอย่างนั้นก็ชอบแล้ว แต่เป็นธุระส่วนตัวของพี่คงจะระวังรักษากิริยาไว้ให้ดีมิให้เสียการไปได้ พูดดังนั้นแล้ว ก็เหาะขึ้นบนอากาศตรงไปยังเมืองเชียงโป๊ก๊กประเดี๋ยวก็มาถึงเมือง อึ่งเพ้าก็ลงยังพื้นเดินเข้าไปในประตูวัง ครั้นถ้งจึงบอกแก่ขุนนางว่า บัดนี้พระราชบุตรเขยที่สามจะขอเข้าไปเฝ้าพระราชบิดา ขอท่านได้เข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ
ฝ่ายขุนนางพนักงานเฝ้าทวารครั้นได้ฟังดังนั้น จึงนำความเข้าไปกราบทูลว่าบัดนี้มีพระราชบุตรเขยที่สาม จะเข้ามาเฝ้าขอพระองค์ได้ทรงทราบ ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กได้ทรงฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น ก็นึกสงสัยจึงตรัสถามขุนนางทั้งหลายว่าบุตรเขยของเรามีแต่สองคนเท่านั้น จะมีบุตรเขยที่สามมาแต่ไหนเล่า
พวกขุนนางทั้งหลายจึงกราบทูลว่า บุตรเขยที่สามนั้น เห็นจะเป็นปีศาจยักษ์ดอกกระมัง ครั้นพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น จึงตรัสว่าถ้ากระนั้นก็ให้พาตัวเข้ามาเถิด พระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่าอันกายสิทธิ์ถึงจะเป็นปีศาจ มันย่อมเหาะเหินเดินอากาศได้ แม้จะเรียกมันก็มาได้ จะไม่เรียกมันก็มาได้ บัดนี้มาถึงแล้ว ขอพระองค์จงเรียกตัวให้เข้ามาเถิด จะได้เห็นรูปร่างเนื้อตัวว่าเป็นประการใด เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊ก เมื่อได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น จึงรับสั่งแก่ขุนนางให้ออกไปพาตัวอึ๋งเพ้าเข้ามา อึ่งเพ้าครั้นเข้ามาถึงหน้าที่นั่งแล้ว ก็ทำกิริยาคำนับ แล้วก็ยืนอยู่ส่วนหนึ่ง
ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินกับขุนนางทั้งหลาย เห็นอึ่งเพ้ารูปร่างสะสวยดังนั้น ก็หารู้ว่าปีศาจแปลงกายไม่ พากันเห็นเป็นคนดีไปทั้งนั้น ส่วนพระเจ้าแผ่นดินพระองค์จึงตรัสถามว่า ถิ่นฐานบ้านเรือนของเจ้าอยู่แห่งหนตำบลใด แลเมื่อเวลาไรได้กับบุตรเรา มาวันนี้จึงได้มาเยี่ยมญาติ
ปีศาจแปลงถวายคำนับแล้วทูลว่า ข้าพเจ้าอยู่ข้างทิศตะวันออกตรงไปจากเมืองนี้ ตำบลนั้นเขาเรียกว่า (เขาอั๊วจื๊อป้วนปอง้วยต๋อง) จากนี้ไปสามร้อยโยชน์ พระเจ้าแผ่นดินทรงซักต่อไปว่า ทางไกลถึงสามร้อยโยชน์ เหตุใดก๋งจู๊จึงได้ไปถึงพบปะเป็นผัวเมียแก่เจ้า
อึ่งเพ้าแก้ไขโดยความเท็จว่า เดิมข้าพเจ้าฝึกหัดยิงธนูหน้าไม้ เที่ยวยิงโคถึกมฤคีเลี้ยงชีพ เมื่อก่อนสิบสามปีเดือนสี่ขึ้นสิบห้าค่ำ ข้าพเจ้าขึ้นไปบนเนินเขา จะใคร่ไปยิงเนื้อบังเอิญพบเสือเฒ่าตัวหนึ่งแบกหญิงสาวคนหนึ่งข้ามเนินลงมา ข้าพเจ้าโก่งหน้าไม้ยิงไปถูกเสือเฒ่านั้นล้มลงยังพื้น พวกข้าพเจ้าก็กรูกันเข้าจับเสือมัดแล้วพาไปบ้าน แลหญิงนั้นก็อุ้มเอาไปบ้านด้วย ค่อยพิทักษ์รักษาเอายาชโลม และให้กินข้าวน้ำจนหายเป็นปกติดีแล้ว นางก็มิได้บอกว่าเป็นพระราชบุตรี แม้ว่าบอกแก่ข้าพเจ้าแต่แรกว่าเป็นก๋งจู๊ที่สามแล้ว
ที่ไหนจะอาจสามารถร่วมรักกันได้ ข้าพเจ้าก็คงจะนำนางมาถวาย เอาความชอบเป็นขุนนางมีเกียรติยศ เพราะก๋งจู๊บอกว่าตนเป็นพลเรือนข้าพเจ้าจึงได้ยึดไว้เป็นภรรยามาก็หลายปีแล้ว และเมื่อเวลาวันที่ข้าพเจ้าแต่งงานจะเอาเสือเฒ่าตัวนั้นออกต้มแกง เพื่อจะเชิญวงศ์ญาติมากินเลี้ยงเป็นที่รื่นเริงกัน นางก๋งจู๊เห็นดังนั้นจึงพูดอ้อนวอนข้าพเจ้า ขอให้ปล่อยเสือเฒ่านั้นไปมิให้ฆ่า ข้าพเจ้าก็ปล่อยไปมิได้ทำอันตรายแก่เสือ เสือเฒ่าเห็นแก้มัดแล้วก็ไปจำศีลอยู่ในถ้ำหลายปี สำเร็จในทางฌานเปลี่ยนแปลงกายได้ต่าง ๆ เที่ยวทำให้ชาวชนหลงเชื่อ แลทำอันตรายแก่มนุษย์ทั้งหลายอยู่เนือง ๆ
ข้าพเจ้าได้ยินว่าเมื่อปีก่อน มีพระสงฆ์ชื่อถังซัมจั๋งมาจากเมืองใต้ถัง เพราะมีรับสั่งให้ไปมัชฌิมประเทศอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ข้าพเจ้าได้พบปะ และได้ยินอย่างนี้หลายครั้ง จึงคิดว่าอ้ายเสือเฒ่าแปลงกายได้ มันได้ฆ่าพระถังซัมจั๋งเสียแล้วได้หนังสือเดินทาง เพราะฉะนั้นมันจึงเที่ยวหลอกเขาตลอดมา แปลงเป็นรูปพระถังซัมจั๋งอย่างนี้ บัดนี้มาหลอกพระองค์ในพระราชวังใน ทำไมพระองค์จึงเชื่อถือยกย่องให้นั่งอยู่บนนั้นเล่า นี่แลคือเสือเฒ่าที่แบกก๋งจู๊ไปเมื่อสิบสามปีก่อนนั้นมิใช่พระถังซัมจั๋งที่จะไปอาราธนาพระธรรมดอก
เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กได้ฟังฮูเบ๊บุตรเขยพูดดังนั้น ก็ตกพระทัยตะลึงไปเป็นครู่ จึงได้พระสติถามว่าทำไมฮูเบ๊จึงจำได้ว่าเสือเฒ่าตัวนี้พาก๋งจู๊ไป ปีศาจแปลงได้ฟังถามดังนั้นจึงทูลว่าข้าพเจ้าอยู่ยังป่าเขากิริยาของเสือเฒ่านี้จะผันแปรประการใดข้าพเจ้าทราบได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงจำได้
พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสว่า ฮูเบ๊จำได้ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นรู่ปร่างเป็นอย่างไร ฮูเบ๊ปีศาจจึงทูลว่าถ้าพระองค์จะใคร่เห็นรูปเดิมของเสือนั้นขอน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่ง ข้าพเจ้าจะทำให้พระองค์เห็น จะได้ทรงทราบว่าจะจริงหรือไม่จริง
พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขันธีเอาน้ำมาถ้วยหนึ่งให้แก่ฮูเบ๊ ๆ ก็เสกด้วยคาถาแล้วอมน้ำพ่นไปยังหน้าพระถังซัมจั๋ง สั่งให้แปล ร่างกายเป็นเสือเฒ่า รูปร่างพระถังซัมจั๋งก็กลายเป็นเสือเฒ่านั่งขยับเขี้ยวคำรามร้องโฮกฮากอยู่ เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กกับขุนนางใหญ่น้อยทั้งหลายเห็นจริงดังนั้นก็พากันตกใจ หลบหนีซุกซ่อนกลัวเสือไปทุกคน ยังแต่ขุนนางฝ่ายทหารที่ใจกล้าก็พากันถืออาวุธเข้าล้อมตีเอาเสือเฒ่า
ในครั้งนี้หากชีวิตของพระถังซัมจั๋งยังไม่ถึงที่อันตราย แม้พวกทหารตีแทงฟันสักร้อยครั้ง ก็มิได้กระทบถูกต้องถึงเนื้อหนังและรู้สึกเจ็บถึงพระถังซัมจั๋ง โดยเทพยดาป้องกันรักษาอยู่ หากเป็นผลกรรมก่อนซึ่งได้กระทำไว้ก็ให้เป็นไปตามยะถากรรมฉะนั้น ถ้าไม่มีบุญญาบารมีเทพยดามิได้พิทักษ์รักษาแล้ว เนื้อหนังพระถังซัมจั๋งก็จะแหลกละเอียดไปเช่นแก่เต้าฮู่ยี้ พวกขุนนางนายทหารทั้งหลายคอยระวังล้อมเสือจนเวลาบ่าย จึงจับเสือใส่กรงเหล็กได้แล้วจึงรับสั่งแก่ขุนนางให้จัดโต๊ะ
เลี้ยงตอบคุณฮูเบ๊ที่ได้มาช่วย เวลานั้นก็จวนเย็นบรรดาขุนนางก็ออกจากเฝ้าเจ้าพนักงานจัดเครื่องโต๊ะพร้อมแล้ว ก็เชิญฮูเบ๊ไปนั่งโต๊ะ อึ่งเพ้าก็เข้านั่งกินตามสบาย ทั้งสองข้างซ้ายชวามีนางบำเรอรุ่นสาวรูปร่างสะอาดสวยทุก ๆ คน มายืนคอยเฝ้าฮูเบ๊ปีศาจสิบแปดคน บ้างก็รินสุราแลขับร้องดีดสีตีเป่าบำเรอต่าง ๆ อึ่งเพ้านั่งกินคนเดียวจนเวลาครึ่งคืน เสพสุรามากจนมึนเมาก็สะกดใจไว้มิอยู่ ผุดลุกขึ้นหัวเราะเสียงดังสนั่นก้อง รูปเดิมก็ปรากฎออกมาใหญ่โตสูงกว่าแปดศอก เอื้อมมือไปจับหญิงที่ดีดพิณลากมาอ้าปากออกกัดเอาศรีษะเคี้ยวกินต่างแกล้มสุรา
ฝ่ายพวกหญิงบำเรออีกสิบเจ็ดคนเห็นดังนั้น ต่างตกใจตัวสั่นสิ้นสติทุก ๆ คน ต่างพากันลุกวิ่งหนีเที่ยวซุกซ่อน แลมิได้อาจร้องไห้อื้ออึงไปได้ ด้วยเป็นเวลามืดค่ำ พระเจ้าแผ่นดินเข้าสู่ที่พระบรรทมแล้ว ฝ่ายปิศาจอึ่งเพ้านั่งอยู่ที่โต๊ะแต่ผู้เดียวก็รินสุราออกดื่มลากเอาศพคนตายมากัดกินแกล้มเหล้าโลหิตไหลออกเปื้อนสองข้างริมฝีปากเลอะเทอะ ฝ่ายม้ามังกรของพระถังซัมจั๋ง ซึ่งผูกอยู่ที่ศาลาโรงพักนั้น ได้ยินคนพูดเล่าลือกันว่าพระถังซัมจั๋งเป็นเสือเฒ่า ให้แค้นใจดังใครเอามีดมาแทงเข้าที่ยอดอก นึกในใจว่าอาจารย์ของเราคนดี ๆ ทำไมมันจึงพูดว่าเป็นเสือเฒ่า ถ้าจริงดังนั้นเห็นปิศาจมันจะทำเอาจึงได้แปลเป็นเช่นนั้นไป ซึ่งมันทำดังนี้ คือมันจะคิดฆ่าพระอาจารย์ของเรา ทำอย่างไรหนอจึงจะแก้ไขได้
พี่เห้งเจียหรือก็กลับไปเสียนานแล้ว โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ไม่ได้ข่าวคราว ถ้าวันนี้เรามิได้ช่วยพระอาจารย์ การที่เราอุตสาหะกระทำมาเป็นพาหะนะก็ไม่มีประโยชน์อะไร ล้มละลายไปหมดสิ้น เวลานี้ก็สองยามแล้ว ม้ามังกรไม่สามารถจะอดใจอยู่ได้ก็สลัดกระซากเชือกบังเหียนขาด เผ่นขึ้นกลางอากาศแปรรูปเป็นมังกรลอยอยู่บนเมฆพิจารณาดู ก็เห็นในพระราชวังใน
ที่ตำหนัก (งึ้นอานเต้ย) เห็นจุดประทีปสว่างอึ๋งเพ้าปีศาจนั่งอยู่ท่ามกลางเสพสุรากินเนื้อคนตายสะบายใจ มังกร
พิศดูโดยละเอียดแล้วจึงหัวเราะพูดว่า จำเราจะแปลงตัวเข้าไปล่อลวงบางทีจะสมคิดจับตัวปีศาจไว้ จะได้แก้พระ
อาจารย์ออกได้
คิดดังนั้นแล้วก็แปลงกายเป็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างสะอาดงามดุจผู้หญิงชาววังใน ค่อยย่องก้าว
เดินขึ้นบนตำหนักเข้าไปข้างในแล้ว จึงมีวาจาโอนอ่อนพูดว่า ท่านฮูเบ๊ท่านอย่าทำร้ายข้าพเจ้า ๆ จะรินสุราให้ท่าน
กิน
ฮูเบ๊ปิศาจพูดว่าเจ้าจงรินเถิด นางมังกรแปลงก็หยิบเอาป้านสุรามารินใส่ถ้อย สุราก็มูนสูงพ้นปากถ้วยขึ้นมาสอง
องคุลี โดยเหตุมังกรเสกพระเวทย์ไว้มิให้น้ำสุราล้นไหลออกไปได้ แล้วยกไปส่งให้อึ๋งเฝ้าปีศาจ ๆ ชมว่าเจ้ารินสุราดี
เจ้ายังจะรินให้สูงกว่านี้ได้หรือไม่ นางแปลงบอกว่าได้ จึงหยิบถ้วยมาวาง ยกป้านขึ้นรินน้ำสุราลงในถ้วย น้ำสุราพูน
สูงมียอดดุจเจดีย์ ปีศาจอึ่งเพ้ารับถ้วยสุรามาดื่มหมดถ้วยแล้ว ก็คว้าเอาศพคนตายมากัดกินอีก จึงถามหญิงแปลง
ว่าเจ้าร้องเพลงได้หรือไม่ นางแปลงบอกว่าร้องได้บ้างเล็กน้อย แล้วก็ร้องให้ปีศาจฟัง
ปิศาจถามว่าเจ้ารำเป็นหรือไม่
นางแปลงบอกว่ารำได้บ้าง แต่รำมือเปล่าไม่งาม สู้มีสิ่งใดถือแล้วรำจึงงาม ปีศาจก็ชักเกี่ยมที่เหน็บซ่อนไว้ในตัวออก
ส่งให้ นางแปลงรับเอาเกี่ยมมาแล้ว ยกเกี่ยมขึ้นคำนับสามหน ก็ย่างเท้าออกท่ารำฟันซ้ายฟันขวาท่าทางคล่องแคล่ว
อึ่งเพ้าแลดูไม่กระพริบตา นางเห็นได้ทีก็รำแอบเข้าไปใกล้ ยกเกี่ยมขึ้นฟันลงไปที่ศรีษะปีศาจ อึ่งเพ้าหลบทันกระโดด
ถอยหลัง ฉวยเหล็กค้ำกันสาด หนักประมาณแปดสิบชั่งมารับรอต่อสู้แก่นางแปลง หลบไล่กันออกมาในท้องฟ้ามืด
ต่อสู้กันไปมาประมาณแปดเก้าเพลงกำลังมังกรก็อ่อนลง จึงขยับท่าห่างออกไปขว้างด้วยอาวุธเกี่ยม
อึ่งเพ้าจึงเอามือ
รับจับเกี่ยมไว้ได้ มือหนึ่งเอาเหล็กค้ำกันสาดขว้างไป ถูกสะโพกมังกรเจ็บปวดสาหัส มังกรก็โดดลงน้ำไป ปีศาจไล่
ตามมาก็มิได้เห็นจึงกลับมายังตำหนัก (งึ้นอานเต้ย) ตามเดิมกินสุราเมาแล้วก็นอนหลับไป
ฝ่ายมังกรหนีหลบอยู่ในน้ำ ประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นเงียบเสียงจึงได้โผล่ขึ้นมา เหาะขึ้นบนอากาศกลับไปยังที่พักศาลา
เดิม กลายเป็นม้าไปยังเก่าเข้านอนอยู่ในโรง แต่ที่สะโพกรอยถูกเหล็กกันสาดนั้นฟกบวมมีความเจ็บปวดมาก
ฝ่ายโป๊ยก่ายเมื่อปล่อยให้ซัวเจ๋งรบแก่อึ่งเพ้าอยู่นั้น ตัวก็เข้าซุกรกมุดหัวนอนเสียตื่นหนึ่ง ครั้นถึงครึ่งคืนก็ตกใจตื่นขึ้น
แหงนดูบนท้องฟ้าเห็นดาวขึ้นเต็มท้องฟ้า จึงคิดแต่ในใจว่าซัวเจ๋งเห็นปีศาจจะจับไปแล้ว เราจะต้องกลับไปยังเมือง
ก่อน คิดดังนั้นแล้วเหาะกลับมาบัดเดี๋ยวก็ถึงศาลาโรงพัก ลงยังพื้นเดินเข้าไปมองดูไม่เห็นอาจารย์
ในเวลานั้นเงียบ
สงัดไม่มีคน มองไปก็เห็นม้านอนอยู่ในโรงก็ตกใจ จึงถามว่าทำไมจึงนอนหายใจมีอาการดุจคนเกือบจะสิ้นชีวิต เหตุ
อะไรที่สะโพกจึงได้บวมเล่า เห็นจะมีคนมาทำร้ายอาจารย์จับม้าทุบตีจึงได้เป็นอย่างนี้
ม้ามังกรได้ยินเสียงโป๊ยก่ายบ่นดังนั้นก็จำได้ จึงร้องด้วยเสียงอันดังว่าอ้ายหมูป่าไปไหนมา
โป๊ยก่ายได้ยินเสียงคนก็ประหลาดใจแทบจะล้มลงยั้งตัวได้จะใคร่ออกวิ่ง ม้าก็หันปากกัดชายเสื้อไว้
แล้วพูดว่าอย่ากลัว โป๊ยก่ายตัวสั่นถามว่าทำไมวันนี้น้องจึงพูดภาษาคนได้ จะมีเหตุร้ายแรงอย่างไร
ดอกกระมัง
ม้าจึงพูดว่า พี่ไม่รู้หรืออาจารย์นั้นมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นแล้ว โป๊ยก่ายบอกว่าเราไม่รู้
เลย ม้าพูดว่าไม่รู้จริงฉันจะเล่าให้พี่ฟัง ม้าจึงเล่าตั้งแต่ต้นจนปลายให้โป๊ยก่ายฟังทุกประการ
โป๊ยก่ายว่ามีเหตุขึ้นอย่างนี้เราจะคิดแก้ไขอย่างไรดี ม้ากลับถามโป๊ยก่ายว่าพี่จะคิดอย่างไรเล่า
โป๊ยก่ายว่าเราขยับขยายกลับไปยังทะเลเถิด เข้าของเหล่านี้พี่จะหาบไปยังบ้านพ่อตา กลับไปเป็น
ลูกเขยเขาเสียดีกว่า
ม้ามังกรได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็กัดเอากางเกงดึงไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วก็ร้องไห้อ้อนวอน
ว่าขอพี่อย่าได้คิดเช่นนั้นเลย โป๊ยก่ายถามว่าไม่ให้คิดอย่างนั้นจะให้คิดอย่างไรเล่า ซัวเจ๋งปีศาจก็จับขังไว้เสียแล้ว
ข้ารบสู้มันไมได้ จะไม่ไปจะให้ทำอย่างไรอีก
ม้ามังกรก็ร้องไห้อ้อนวอนว่า พี่อย่าคิดอย่างนั้นเลย แม้ว่าพี่คิดจะช่วยพระอาจารย์แล้ว พี่จงรีบไปหา
คนหนึ่งก็คงจะช่วยได้เป็นแน่ โป๊ยก่ายว่าเจ้าจะให้ไปหาใครที่ไหน ม้าจึงพูดว่าพี่จงรีบเหาะไปยังเขาฮวยก๊วยซัวเชิญ
พี่เห้งเจียมา เธอมีฤทธิ์อานุภาพมากคงจะปราบปีศาจได้ ก็จะช่วยพระอาจารย์ให้พ้นภัยได้ ทั้งจะได้แก้แค้นที่เรา
แพ้มันด้วย โป๊ยก่ายจึงพูดว่าหมายว่าจะให้ไปเชิญใครที่ไหนเล่า มิรู้ก็จะให้ไปเชิญพี่เห้งเจีย เห็นแกจะไม่มาเป็นแน่
เพราะแกสิไม่ชอบแก่เราอยู่แล้ว
เมื่อก่อนอยู่ที่ภูเขาแปะเฮ้าซัว เธอตีปีศาจแปะกุดฮูหยินตาย ท่านอาจารย์โกรธเคือง
จึงไล่แกกลับไป เธอมาโกรธเรา เราก็ไม่รู้ว่าโดยเหตุอะไรที่ไหน เธอคงจะไม่มาเห็นจะป่วยการเปล่า บางทีเราพูด
ไม่ถูกใจก็จะจับตัวเราไว้ทรมาน เราจะทำอย่างไรเล่าจึงจะรอดชีวิตได้
ม้ามังกรพูดว่าพี่เห้งเจียนั้นคงจะไม่ทุบตีท่านเป็นแน่ เธอเป็นพระยาลิงมีความกตัญญูมาก พี่ไปถึงแล้ว
ก็อย่าได้บอกว่าอาจารย์ต้องทุกข์ภัย ให้พูดว่าพระอาจารย์คิดถึงให้มาหาต้องหลอกเธออย่างนั้น
ครั้นเมื่อเธอมาถึง
แล้วเราจึงให้รู้เรื่อง เมื่อเธอมาถึงได้เห็นแก่ตาแล้ว ก็คงจะต้องคิดปราบปรามปีศาจ คงจะช่วยอาจารย์ออกได้
โป๊ยก่ายครั้นได้ฟังม้าพูดดังนั้น จึงพูดว่าดีแล้ว เจ้ามีกะใจดังนี้ เราก็คงจะไปตามเจ้าว่า แม้เราไม่ไป
คนทั้งหลายจะติฉินนินทาว่าเราไม่มีความกตัญญูต่ออาจารย์ โป๊ยก่ายพูดดังนั้นแล้ว ก็เหาะไปยังเขาฮวยก๊วยซัว
ในคราวนี้พระถังซัมจั๋งยังไม่ถึงที่ตาย โป๊ยก่ายจึงกางใบหูทั้งสองข้างดุจกางใบ ก็แล่นฉิวตามลมไป บัดเดี๋ยวก็มา
ถึงตังเกียทะเลใหญ่ เหาะข้ามพ้นทะเลแล้วก็ลดลงยังพื้นเดินไป ตัดตรงเข้าป่าหาทางจะเดินไปยังเขาฮวยก๊วยซัว มา
ประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงพูด
โป๊ยก่ายเงี่ยหูฟังแน่แล้วแลไปก็เห็นเห้งเจีย ในเวลานั้นแห้งเจียออกมานั่งที่เนินเขาอยู่
บนแท่นหิน พวกลิงบริวารแวดล้อมยืนคำนับเป็นลำดับกัน โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจึงคิดว่าเห้งเจียมีเกียรติยศมาก เวลานี้
เราอย่าเพิ่งให้เห็นก่อน จำจะแอบอยู่ตามพุ่มไม้ที่รกก่อน ดูได้ช่องแล้วจึงเข้าไปหา ฝ่ายเห้งเจียนั่งอยู่บนแท่นหิน
แลไปก็เห็นโป๊ยก่ายเข้าแอบรกซ่อนตัวอยู่ เห้งเจียจึงบอกแก่บริวารว่า พวกเจ้าจงรีบไปจับตัวอ้ายคนป่าที่แอบซ่อนตัว
อยู่ในพุ่มรกนั้นมา
พวกวานรทั้งหลายก็กรูกันวิ่งไปจับตัวโป๊ยก่ายมาแล้ว ผลักให้นั่งลงกับพื้น เห้งเจียถามว่าอ้ายคน
ป่ามึงอยู่ที่ไหนไปไหนมา จึงมาซุ่มอยู่ที่นี่
โป๊ยก่ายก้มหน้าพูดว่า ไม่อาจรับคำถามและมิใช่คนป่า เป็นคนรู้จักชอบกัน เห้งเจียพูดว่าที่ตำบล
ของเรานี้ ที่ไหนคนจะไปมาถึงได้ โป๊ยก่ายก้มหัวซุกปากไม่ให้เห็น แล้วพูดว่าท่านกับเราเป็นพี่น้องกันมาหลายปีแล้ว
มาวันนี้ทำไมจำไม่ได้แล้วหรือ กลับพูดว่าคนป่าอะไรที่ไหน เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ไหนเจ้าจงเงยหน้าขึ้นดูทีหรือ
โป๊ยก่ายแหงนหน้ายื่นปากพูดว่าดูก็ดูซี จำเราได้หรือไม่ ถ้าจำไม่ได้ก็จำเอาแต่ที่ปากเถิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น