Translate

17 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 10 ไซอิ๋ว นวนิยาย

(บทที่ ๑๐)
ครั้นอยู่มา พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสวยราชสมบัติเป็นบรมสุขใช้ยี่ห้อเจงกวนได้สิบสามปีที่เมืองเชียงอาน นอกกำแพงเมืองมีลำแม่น้ำใหญ่ชื่อ แม่น้ำเกียฮ้อ ข้างริมฝั่งแม่น้ำข้างทิศใต้มีโรงกระท่อมเล็กหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ของคนหาปลา ริมข้างเหนือเป็นของคนตัดฟืน
      มีชายนักเรียนสองคนเป็นเพื่อนมิตรสหายกัน ชายทั้งสอง
คนเดิมเข้าไปไล่หนังสือตกไม่ได้ ก็เลยคบกันเป็นมิตรสหายอย่างสนิท เที่ยวหากินตามสบาย ไม่ชอบอยู่ในบังคับใคร ผู้หนึ่งชื่อ เตียวเส่า ชอบหากินในทางตกเบ็ดตีอวน คนหนึ่งชื่อ ลี้เตี้ย ชอบหากินตามป่าตัดฟืนขาย
      ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ต่างคนก็ต่างไปหากินตามถนัดของตัว
ฝ่ายเตียวเส่าไปหาปลามาได้ก็กลับมา ฝ่ายลี้เตี้ยตัดฟืนมาได้ก็มาถึงบ้าน พร้อมกันแล้วก็พากันเข้าไปในเมืองเชียงอานไปเที่ยวเร่ขาย ครั้นขายได้เงินแล้วก็พากันกลับออกนอกกำแพงเมือง จึงพากันเข้าในโรงเตี๊ยมที่เขาขายสุราแห่งหนึ่ง ให้เจ้าของสุราจัดกับแกล้มแลสุราพร้อม แล้วสองสหายก็ชวนกันเสพสุรา พอสบายแล้วก็คิดเงินค่าสุราแลสิ่งของให้แก่เจ้าของโรงเตี๊ยม เสร็จแล้วก็ออกจากเตี๊ยมเดินมาจะกลับบ้าน คนทั้งสองเดินพลางพูดกันไปพลาง ฝ่ายเตียวเส่าพูดว่า เราได้
พิเคราะห์ดูคนเราในทุกวันนี้ ที่รู้จักการมาหลงโลภฟังคำเขายกยอชื่อเสียงจนไม่รู้สึกความไม่เที่ยงที่จะมีมาถึงตัว ที่หลงเพ้อละเมอเมาเกียรติยศเป็นขุนนาง ดุจดังว่านอนอยู่ในระหว่างอกเสือ รักเจ้านายโปรดปรานถ้าจะเปรียบก็เหมือนเลี้ยงงูพิษหรืองูอยู่ในมือเสือฉะนั้น คิดไปดูก็สู้เราหากินด้วยตนเองไม่ได้ ความสุขของเราอย่างนี้ไม่ต้องอยู่ในบังคับใคร สบายตามภูมิลำเนาทางป่าแลทางน้ำอย่างนี้ดีกว่า ข้ามไปวันหนึ่งก็เป็นที่เย็นใจได้

      ฝ่ายลี้เตี้ยได้ยินเตียวเส่าพูดดังนั้นจึงตอบว่า พี่พูดดังนั้นก็
นับว่าเป็นคติได้ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า ในน้ำสู้ตามภูมิลำเนาเขาไม้ไม่ได้ เตียวเส่าจึงตอบว่า ในภูมิลำเนาป่าเขาไม้นั้นสู้ในกระแสชลไม่ได้ คนทั้งสองโต้แย้งกันไปมาหาตกลงไม่ ลี้เตี้ยจึงชวนเตียวเส่าว่า เราทั้งสองพูดกันก็หาแพ้ชนะกันไม่ อย่าเลย เรามาร้องเพลงโต้กันคนละบทพอได้แก้รำคาญดีกว่าเถียงกัน แล้วต่างคนก็ต่างหัวเราะกัน เตียวเส่าจึงพูดว่า เชิญน้องร้องก่อน แล้วเราจะร้องตอบต่อทีหลัง
      ครั้นพูดกันดังนั้นแล้ว สองคนก็เดินพลางร้องเพลงพลาง
บัดเดี๋ยวก็มาถึงต้นทางแยก คนทั้งสองก็ยกมือต่างคำนับจะลากัน เตียวเส่าจึงร้องบอกแก่ลี้เตี้ยว่า เจ้าไปทางป่าเขา จงระวังระไวให้ดี บางทีพบเสือเข้า เจ้าจะทำประการใด เราวิตกว่า วันพรุ่งนี้จะไม่มีเพื่อนที่เคยเดินด้วยกัน
      ลี้เตี้ยได้ฟังเตียวเส่าพูดดังนั้นก็นึกขัดใจ จึงพูดว่า ทำไม
ท่านจึงพูดเป็นลางร้ายแรงดังนั้น ถ้าพูดดังนี้ ตัวของพี่ก็จงระวังให้จงดีเถิด เพราะว่าถึงพี่จะไปในทางน้ำ บางทีพายุแลคลื่นใหญ่จะซัดตัวพี่ให้จมน้ำดอกกระมัง พี่จงระมัดระวังให้ดี
      เตียวเส่าจึงตอบว่า ตัวเราทั้งชาติไม่ต้องวิตกด้วยคลื่นลมจะซัดพัดพาให้จมน้ำ
      ลี้เตียจึงพูดว่า ทำไมจึงพูดเช่นนี้ เราจะกำหนดได้หรือ
อันกิจบนอากาศย่อมเป็นวิสัยแลธรรมดาที่จะพึงเป็น หามีผู้ใดที่จะกำหนดแน่รู้เวลาที่จะเป็นได้ไม่
เตียวเส่าจึงพูดว่า ซึ่งเจ้าพูดดังนั้นก็จริงอยู่ แต่เจ้ายังไม่รู้เหตุ แต่เรารู้เหตุกำหนดได้ว่าไม่เป็นไร ลี้เตี้ยจึงพูดว่า พี่หากินในท้องมหาสมุทร มีการร้ายมาก ทำไมจึงพูดว่าไม่เป็นไร เตียวเส่าจึงตอบว่า เจ้ายังไม่แจ้ง บัดนี้ ในเมืองเชียงอาน ที่ต้นทางถนนใหญ่ที่ ประตูเมืองข้างทิศตะวันตก มีจีนแสผู้หนึ่งชื่อ อวนซิ้วเซ้ง เป็นหมอดูอยู่ทุกวัน เราเอาปลาไปให้ จีนแสตัวหนึ่ง จีนแสก็จับยามให้ว่า เราจะตีอวนทางทิศไหนดี
 จีนแสพิเคราะห์แล้วก็ชี้ทิศให้ไปตี อวนทางทิศนั้น เราก็ได้กุ้งปลามามาก ๆ ทุกวัน วันก่อนนี้ เราได้เอาปลากิมหลีฮื้อไปให้จีนแสตัว หนึ่ง จีนแสก็จับยามให้ว่า วันนี้ จะไปตีอวน จงไปทางแม่น้ำเกียฮ้อที่ปากน้ำ จะลงอวนก็ลงข้าง ทิศตะวันออก แล้วลากอวนมาข้างทิศตะวันตก คงจะได้กุ้งปลาเต็มลำเรือ ถ้าพรุ่งนี้เราได้ปลาสม ประสงค์ เราจะได้เอาไปขายในเมือง เราก็จะได้อัฐมาซื้อสุรากิน เราทั้งสองจะร้องเพลงพลางกิน สุราพลางให้มีความสุขสำราญ มิดีหรือ
 คนทั้งสองครั้นพูดกันดังนั้นแล้ว ก็ต่างคนต่างลาแยกทางกันไป เมื่อขณะคนทั้งสองพูดจาโต้ตอบชี้แจงกันดังนั้น มีพวกบริวารของพระยาเล่งอ๋อง เที่ยวตรวจมาตามลำแม่น้ำ ครั้นได้ยินคนทั้งสองพูดกันดังนั้นก็แอบคอยฟัง ครั้นรู้แจ้งในเหตุการณ์ ดังนั้นแล้วก็รับกลับไปยังบาดาลเข้าไปเฝ้าพระยาเล่งอ๋อง ครั้นถึงจึงทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ วันนี้ ข้าพเจ้าไปตรวจตามลำแม่น้ำแลมหาสมุทร พอไปถึงฝั่งแม่น้ำเกียฮ้อพบชายสองคน คนหนึ่ง แซ่ เตียว ชื่อ เส่า คนหนึ่งแซ่ ลี้ ชื่อ เตี้ย
 คนทั้งสองเดินพูดกันอยู่ริมฝั่งน้ำว่า ในเมืองเชียง อาน ที่ริมประตูเมืองข้างทิศตะวันตก มีจีนแสคนหนึ่งตั้งโต๊ะเป็นหมอดูดูให้แก่ชาวเมืองเชียง อานทั้งหลาย เตียวเส่าเคยไปให้จีนแสดูอยู่ทุกวัน จีนแสดูให้เตียวเส่าว่า วันนี้ จะลงอวนก็ให้ ไปทางแม่น้ำเกียฮ้อที่ปกน้ำ จะลงอวนให้ลงข้างทิศตะวันออก ลากอวนมาข้างทิศตะวันตก คงจะ ได้กุ้งปลาเต็มลำเรือ แม้ว่าจีนแสคนนี้ดูให้อย่างนี้ ถ้าจริงเช่นจีนแสทาย บริวารน้ำของเราเตียว เส่าคงจะจับไปหมด ขอพระองค์ได้โปรด พวกสัตว์พาหนะของพระองค์จะหมดสิ้นไปโดยเร็ว พระองค์จะได้พาหนะที่ไหนมาใช้สอย ข้าพเจ้าได้ทราบความมาดังนี้ ขอพระองค์ได้ทรงพระดำริให้มาก
 ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องครั้นได้ทราบดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก จึงพูดว่า จำเรา จะไปฆ่าจีนแสผู้นี้เสียจึงจะได้ ครั้นว่าแล้วก็จัดแจงแต่งกายจะขึ้นไปยังเมืองเชียงอาน เวลานั้น กำลังขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยประชุมกันพร้อมอยู่ในที่นั้น จึงพากันทูลทัดทาน พระยาเล่งอ๋องว่า ขอพระองค์ได้ทรงระงับพระทัย เพราะมีคำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า การ สิ่งใดที่มีผู้นำมาบอกเล่า พระองค์ยังมิได้เห็น อย่าเพ่อให้ฟังเอาเป็นจริงก่อน ถ้าพระองค์จะไป ในเวลากำลังโกรธเช่นนี้ ฤทธาอานุภาพของพระองค์ก็มาก หากจะเกิดเป็นลมเป็นฝน ข้าพเจ้าวิตก ว่า จะไหวหวั่นโกลาหลไปทั้งเมืองเชียงอาน ไพร่บ้านพลเมืองจะพากันตื่นตกใจ เง็กเซียงฮ่องเต้ ทรงทราบจะพระพิโรธ ก็จะมิลงโทษพระองค์ได้หรือ
 ขอพระองค์จงแปลงกายขึ้นไปทดลองดูก่อนว่า จีนแสนั้นจะทายเหตุการณ์ภายหน้าถูกต้องได้จริงจังหรือไม่ ถ้าจีนแสทายถูกแม่นยำจริงดังนั้น เห็นช่องฆ่าได้ก็จะได้ฆ่าเสีย แม้ว่าเป็นการเคลื่อนคลาดไม่สมจริงก็จะทุกข์ร้อนอะไรมี ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องครั้นได้ฟังพวกขุนนางพูดทัดทานแลชี้แจงดังนั้นก็เห็นชอบด้วย ค่อยบรรเทาความโกรธลง จึงร่ายมนต์แปลงกายเป็นชายหนุ่มนักเรียนแล้วก็ออกจากปราสาทจุ้ย เจียยี่ขึ้นมายังเมืองเชียงอาน ครั้นถึงก็เดินตรงมายังประตูเมืองข้างทิศตะวันตก ที่ประตูเมืองเห็นหมู่ ชนชายหญิงแออัดกันอยู่ จึงเดินเข้าไปใกล้ แลเห็นป้ายแขวนที่ประตูหน้าบ้านก็รู้แน่ว่า หมอดูอยู่ ที่นี่ จึงเดินเข้าไปใกล้ แลเห็นจีนแสนั่งอยู่
 กำลังคนมาหาให้จีนแสดูทายตามเคราะห์ดีแลเคราะห์ร้าย นักเรียนแปลงจึงเบียดคนเข้าไปคำนับแล้วก็นั่งลง ฝ่ายจีนแสเห็นนักเรียนหนุ่มน้อยดังนั้น ก็ยกน้ำชาให้กิน แล้วจึงถามว่า ท่านมามี กิจธุระอย่างใดหรือ นักเรียนแปลงจึงตอบว่า ขอท่านจีนแสได้โปรดดูอากาศเบื้องบนนั้นว่าจะ เป็นประการใด ขอท่านจีนแสได้พิเคราะห์ให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง จีนแสอวนซิ้วเซ้งเมื่อได้ฟังถาม ดังนั้น จึงยกมือขึ้นจับยามตรวจดูก็รู้ได้ว่า ในวันพรุ่งนี้จะมีฝน จึงบอกแก่นักเรียนผู้นั้นว่า แม้นเมฆ ตั้งคลุ้มฟ้าหมอกล้อมป่าอยู่ ลักษณะอย่างนี้ทายว่า ณ วันพรุ่งนี้จะมีฝน นักเรียนแปลงจึงถามต่อไปว่า พรุ่งนี้ฝนจะตกเวลาใด ฝนตกมากน้อยเท่าใด น้ำท่วม ลึกกี่ศอกกี่องคุลี ขอท่านจีนแสโปรดพิเคราะห์ทายให้แน่ ข้าพเจ้าจะมีรางวัลคำนับท่านให้ถึงใจ
 จีนแสได้ฟังนักเรียนแปลงถามดังนั้นจึงนับนิ้วมือพิเคราะห์ดูโดยละเอียด แล้วจึงพูด ว่าเวลาพรุ่งนี้ เช้าสามโมงเมฆจะตั้ง สี่โมงเช้าฟ้าจะร้อง ถ้าถึงเวลาเที่ยงฝนจะตก บ่ายสองโมงฝนจะ หยุด ประมาณน้ำในเมืองจะท่วมลึกสามศอกเศษ สามองคุลี เม็ดฝนมีสี่สิบแปดเม็ด นักเรียนแปลงได้ฟังดังนั้นทำเป็นหัวเราะ แล้วพูดแก่จีนแสว่า ข้าพเจ้าขออนุญาตแก่ ท่านจีนแส ถ้าท่านจีนแสทายดังนี้ แม้ว่าถูกต้องตามเวลาของท่านทายแล้ว ข้าพเจ้าจะคำนับรางวัล ท่านห้าสิบตำลึงทอง แม้ไม่ถูกตามเวลาที่ท่านกำหนดไว้นั้น ข้าพเจ้าจะขอทำลายป้ายที่แขวน เสียด้วยกระบองเหล็กให้แหลกละเอียด ท่านจงรีบออกจากบ้านนี้ไป ข้าพเจ้าจะเป็นผู้ไล่ท่านให้ออกไป พ้นเมืองเชียงอาน ไม่ให้อยู่ที่นี่เพื่อจะหลอกลวงคนทั้งหลายต่อไป ดังนี้ ท่านจะเห็นเป็นประการใด
 ฝ่ายจีนแสอวนซิ้วเซ้งได้ฟังนักเรียนพูดคำมั่นคงดังนั้น จึงตอบแก่นักเรียนผู้นั้นว่า ข้าพเจ้ายอมขอรับสัญญาแก่ท่าน ถ้าฝนไม่ตกไม่หยุดฟ้าไม่ร้องตามเวลา น้ำไม่เท่าที่ข้าพเจ้ากำหนด ตามสัญญา ก็ให้ท่านทำตามสัญญาเถิด ฝ่ายนักเรียนแปลงครั้นพูดสัญญาแก่จีนแสเสร็จแล้วก็ลาออกไปจากบ้านจีนแส ครั้นลับ ตาแล้วก็ชำแรกพสุธากลับลงไปยังบาดาล ครั้นถึงสถานที่อยู่แล้วก็คลายมนต์กลับเป็นพระยาเล่งอ๋อง ไปตามเดิม ฝ่ายหมู่บริวารทั้งหลายก็พากันเข้ามาคำนับถามว่า วันนี้ พระองค์ขึ้นไปยังเมืองเชียง อานสืบข่าวจีนแสหมอดูนั้น ได้ความเป็นประการใดบ้าง พระยาเล่งอ๋องจึงบอกว่า มีจีนแสผู้หนึ่งชื่อ อวนซิ้วเซ้ง ดูลักษณะก็ยังอ่อน ท่วงที ร่างกายก็งาม สมควรเป็นผู้รู้อยู่ เราได้ถามจีนแสว่า ช่วยดูฤกษ์บนอากาศว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง จีน แสจับยามแล้วทายว่า พรุ่งนี้จะมีฝน เราจึงซักถามว่า เวลาใดจะมีฝน จีนแสว่า เวลาเช้า สามโมง เมฆจะตั้ง สี่โมงฟ้าจะร้อง เที่ยงฝนจะตก บ่ายสองโมงฝนจะหยุด น้ำในเมืองจะลึกสามศอกกับสาม องคุลี มีเม็ดฝนสี่สิบแปดเม็ด เราจึงพนันว่า ถ้าแม้ถูก เราจะให้ทองคำห้าสิบตำลึง แม้ว่าผิด เราจะทำลายป้ายแลขับไล่จีนแสมิให้อยู่ในเมืองเชียงอาน
 จีนแสก็ยอมรับตามเราพูดสัญญา พวกบริวารทั้งจึงพูดว่า พระองค์ก็เป็นใหญ่ในมหาสมุทร มหาสมุทรทั้งแปดก็ อยู่ในอำนาจของพระองค์ทั้งสิ้น แลหมู่เทพยดาทั้งหลายก็รู้จักแก่พระองค์ เมขลาแลรามสูรอสุรีก็ ย่อมฟังอำนาจของพระองค์ จะมีฝนหรือไม่มีฝนพระองค์ก็คงรู้ได้โดยได้รับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ก่อน เหตุใดจีนแสจึงจะทายทักล่วงหน้าหมายมั่นเอาอย่างนี้ จะมิผิดหรือ
 ครั้นพวกบริวารทูลแก่พระยาเล่ง อ๋องดังนั้นแล้วก็พากันหัวเราะ ในทันใดนั้น ได้ยินเสียงบนอากาศร้องเรียกว่า พระยาเล่งอ๋องผู้เป็นใหญ่ในลำ แม่น้ำมหาสมุทรเกียฮ้อ เชิญท่านมารับท้องตราของเง็กเซียงฮ่องเต้ ในเมื่อเวลากำลังประชุมอยู่พร้อม กันนั้นต่างก็แหงนหน้าแลขึ้นไปดู จึงเห็นกิมอีลักสือ ราชทูต ถือท้องตราของเง็กเซียงฮ่องเต้เหาะ ลอยอยู่ในอากาศ พระยาเล่งอ๋องก็แต่งตัวจุดธูปเทียนแล้วยืนขึ้นคำนับ กิมอีลักสือก็ลอยลงมาใกล้ พระยาเล่งอ๋อง แล้วจึงส่งท้องตราให้แก่พระเล่งอ๋อง แล้วก็เหาะกลับไปยังสวรรค์ พระยาเล่งอ๋อง
 ครั้นเห็นเทวราชทูตกลับไปแล้วก็คลี่ท้องตราออกอ่านดู ใจความมีว่า ให้พระยาเล่งอ๋องมีหมาย เกณฑ์ออกไปให้พระยาเล่งอ๋องทั้งแปดมหาสุมทรกระทำให้ฝนตกลงมายังเมืองเชียงอานในวันพรุ่งนี้ เวลาเช้าสามโมงให้ตั้งเมฆ ครั้นถึงเวลาเช้าสี่โมงให้ฟ้าร้อง ถ้าถึงเวลาเที่ยงให้ฝนตก บ่ายสองโมง จึงให้ฝนหยุด น้ำในเมืองเชียงอานให้มีบริบูรณ์ลึกสามศอก สามองคุลีเศษ ให้มีสี่สิบแปดเม็ดฝน พระยาเล่งอ๋องครั้นได้ทราบความในท้องตราดังนั้นสิ้นสติตกตะลึง จึงพูดว่า จีนแส อวนซิ้วเซ้งนี้ทำนายแม่นยำยิ่งนัก มิได้ผิดเลยสักเส้นผมหนึ่ง พระยาเล่งอ๋องจึงพูดแก่บริวารทั้งหลาย ว่า ในมนุษยโลกนี้ยังมีคนวิเศษถึงอย่างนี้ ล่วงรู้ตลอดได้ทั้งดินฟ้าอากาศ พระยาเล่งอ๋องพูดดังนั้น แล้วก็ยิ่งมีความวิตกมากขึ้น
 ในขณะนั้น มีขุนนางปลาตนหนึ่งจึงทูลว่า พระองค์จงวางพระทัยเถิด ข้าพเจ้ามีอุบาย อยู่อย่างหนึ่งซึ่งจะให้จีนแสที่ทายไว้นั้นให้ผิดจงได้ พระยาเล่งอ๋องจึงถามว่า อุบายของท่านจะทำประการใดจึงจะให้ผิดจากคำ ทำนายของจีนแสได้ ขุนนางปลาจึงทูลว่า ขอพระองค์จงทำให้น้ำฝนผิดประมาณ ทั้งเวลาก็อย่าให้ตรงตาม กำหนด เกินหรือลดลงให้ผิดคำจีนแสทาย แล้วพระองค์ก็จะปรับโทษจีนแสได้ตามความปรารถนา จะต้องวิตกทำไมมี
 พระยาเล่งอ๋องครั้นได้ฟังขุนนางปลาพูดดังนั้นก็ค่อยคลายความวิตกเห็นชอบไป ด้วย มิได้คิดว่าตนจะมีความผิดที่กระทำให้ผิดจากรับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ไม่ สมด้วยคำโบราณ ท่านกล่าวว่า หวังใจจะให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นกลับมาถึงตัว เหมือนพระยาเล่งอ๋องผู้นี้ ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องครั้นรุ่งเช้าจึงมีหมายไปยังพระพาย แลรามสูร แลเมฆฟ้า แล เล่งอ๋องทั้งแปดทิศให้มาประชุมพร้อมกันบนอากาศเมืองเชียงอาน ให้มีฝนในเวลาเช้าพรุ่งนี้ ครั้นพวกเทพบุตรพนักงานทำฝนได้ทราบหมายดังนั้นต่างก็มาเตรียมกันอยู่พร้อมบนอากาศที่ ตรงเมืองเชียงอานคอยรอคำสั่งพระยาเล่งอ๋องผู้เป็นประธานอยู่
 ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องเมื่อส่งหมายไปแล้ว ก็จัดจัดแจงตัว ชำแรกแผ่นดินขึ้น จากบาดาล เหาะตรงไปยังเมืองเชียงอาน ครั้นถึงจึงสั่งว่า เช้าสี่โมงตั้งเมฆ เวลาเที่ยงให้ฟ้าร้อง บ่ายให้ฝนตก บ่ายสี่โมงให้ฝนหยุด ให้มีน้ำมาก ท่วมในเมืองลึกสามศอกถ้วน มีเม็ดฝนสี่สิบเม็ด
 ฝ่ายเทพบุตรแลเล่งอ๋องทั้งหลายได้ฟังคำสั่งพระยาเล่งอ๋องผู้เป็นประธานแล้ว ต่าง ก็เตรียมการของตน ๆ ครั้นถึงเวลากำหนดแล้ว ต่างก็ทำตามสั่ง บันดาลเมฆแลลมฝนให้มีขึ้น ในอากาศตามหน้าที่พนักงานแห่งตน ๆ ครั้นเสร็จแล้ว ต่างก็มาคำนับพระยาเล่งอ๋องลากับไป ยังที่อยู่ของตน พระยาเล่งอ๋องครั้นทำฝนให้ตกแล้ว แลทำให้เคลื่อนคลาดเวลา แลเศษเม็ดฝน ให้ลดน้อยแล้ว ก็ยินดี จึงคิดว่า เราทำให้ผิดที่จีนแสทำนายไว้ได้แล้ว จำเราจะเลยไปปรับโทษจีน แสตามที่เราได้สัญญาไว้ คิดดังนั้นแล้วก็แปลงกายเป็นนักเรียนหนุ่มน้อยเหาะลอยลงมาพื้นแผ่นดิน แล้วก็เดินมายังจีนแสหมอดู
 ครั้นถึงก็เข้าทุบป้ายแตกแล้วก็จับโยนทิ้งเสีย แล้วเดินเข้าถีบประตูพัง ลง แลกระชากกลอนประตูถือเดินเข้าไปข้างใน เห็นจีนแสอวนซิ้วเซ้งนั่งอยู่ จึงร้องว่า อ้ายจีนแส ทำไมมึงยังไม่ออกไปให้พ้นบ้านพ้นเมืองอีกเล่า ยังจะมานั่งไขว่ห้างอยู่ที่นี่ทำไม เอ็งอวดดีทำนายว่า ฝนจะตก ครั้นฝนตกก็ไม่ถูกต้องตามเวลาที่ทายไว้ เศษฝนก็ผิดไม่ถูกตามสัญญา เราจะยกชีวิตให้ จงรีบออกไปเสียโดยเร็ว

  1.  ต้นฉบับไทยพิมพ์ผิดว่า "สี่สิบเบ็ดเม็ด" ทำให้ไม่แน่ใจว่า เป็นสี่สิบเอ็ด หรือสี่สิบเจ็ด วิกิซอร์ซตรวจต้นฉบับจีนพบว่า เป็นสี่สิบ จึงแก้เป็นสี่สิบ ดังความต่อไปนี้
    "至次日,點札風伯、雷公、雲童、電母,直至長安城九霄空上。他挨到那巳時方布雲,午時發雷,未時落雨,申時雨止,卻只得三尺零四十點。改了他一個時辰,剋了他三寸八點。"
    ("The next day he ordered the Duke of Wind, the Lord of Thunder, the Boy of Clouds, and the Mother of Lightning to go with him to the sky above Chang'an. He waited until the hour of the Serpent before spreading the clouds, the hour of the Horse before letting loose the thunder, the hour of the Sheep before releasing the rain, and only by the hour of the Monkey did the rain stop. There were only three feet and forty drops of water, since the times were altered by an hour and the amount was changed by three inches and eight drops.")
  2.  "เกียม" หรือสำเนียงกลางว่า "เจี้ยน" (劎 jiàn) หมายความว่า กระบี่
   ฝ่ายจีนแสนั่งอยู่บนเก้าอี้ แลเห็นนักเรียนมาทำกิริยาหยาบช้าดังนั้น ก็มิได้หวาดหวั่นอะไร แกล้งนั่งเฉยแล้วก็ทำเป็นหัวเราะเสีย พระยาเล่งอ๋องเมื่อได้เห็นกิริยาจีนแสทำดังนั้น ก็ยิ่งบันดาลความโกรธมากขึ้น ตรงเข้าไปใกล้ยกไม้กลอนประตูขึ้นเงื้อจะตีและร้องว่าจงไปเสียให้พ้นที่นี่ อย่านั่งอยู่ไม่กลัวความตายหรือ
   จีนแสอวนซิ้วเซ้งได้ฟังนักเรียนแปลงว่าดังนั้น ก็กระทำเป็นแหงนหน้ามองดูฟ้าหัวเราะแล้วก็ตอบว่า อันความตายเราไม่กลัวโดยเหตุว่าเราไม่มีความผิดอะไรที่จะมีโทษให้ถึงแก่ความตาย เรามีความวิตกถึงแต่ตัวท่านจะถึงที่ตายเป็นแน่ ท่านดีแต่หลอกผู้อื่น จะมาหลอกเราด้วยนั้นไมได้ เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นพระยาเล่งอ๋องและเป็นใหญ่อยู่ในลำแม่น้ำเกียฮ้อมิใช่หรือ ท่านแกล้งแปลงรูปเป็นนักเรียนมาล่อลวงเอาความ เราจะบอกให้ท่านรู้สึกตัว ท่านขัดคำสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้เปลี่ยนแปลงเวลาให้ผิดจากคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าโลก วันพรุ่งนี้ท่านจะตายหรือเราจะตายก็จงคอยดูเถิด พูดแล้วก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง
   ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องเมื่อได้ฟังจีนแสพูดดังนั้น ก็ให้ตกตะลึงอกใจให้เต้นสั่นระรัวไปทั้งกายเสโทก็ซึมทราบอยู่โทรมกาย กลอนประตูที่ถือก็หลุดจากมือ จึงย่อตัวลงคำนับจีนแสแล้วพูดอ้อนวอนว่า ขอท่านจีนแสได้เมตตาข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด ข้าพเจ้าหมายใจว่าจะทำเล่น ๆ ก็มากลับเป็นความจริงไปดังนี้ ขอท่านจีนแสได้ช่วยแก้ไขให้ชีวิตข้าพเจ้ารอดด้วยเถิด ว่าพลางพระยาเล่งอ๋องก็ร้องไห้ ฝ่ายอวนซิ้วเซ้งจีนแส เห็นพระยาเล่งอ๋องร้องไห้คร่ำครวญอยู่ดังนั้น ก็มีจิตคิดสงสารจึงพูดว่า ข้าพเจ้าไม่มีอุบายอันใดที่จะแก้ให้ท่านรอดพ้นจากความตายได้ เป็นแต่จะชี้ทางให้ อันจะพ้นหรือมิพ้นจะเอาจริงเข้าก็จะยังไม่ได้ แต่ก็ลองดูตามบุญตามกรรมเผื่อจะพ้นได้บ้างดอกกระมัง
   พระยาเล่งอ๋องจึงถามว่า หนทางใดที่จะรอดตายได้บ้าง ขอท่านได้โปรดแนะนำให้ทราบเถิด ข้าพเจ้าจะกระทำตาม จีนแสอวนซิ้วเซ้งจึงบอกว่า วันพรุ่งนี้เวลาเที่ยงเง็กเซียงฮ่องเต้คงมีรับสั่งให้งุยเต็งเป็นเพชรฆาตฆ่าตัวท่าน แต่งุยเต็งเป็นขุนนางอยู่ในพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ท่านจงรีบไปหาพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้โดยเร็วเถิด อ้อนวอนขอให้พระองค์ช่วย พระยาเล่งอ๋องได้ฟังจีนแสชี้แจงแนะนำดังนั้น ก็มีความยินดีเป็นอันมาก คุกเข่าลงคำนับแล้วก็ลาจีนแสรีบไป เมื่อเวลาออกจากบ้านจีนแสนั้น ก็พอเป็นเวลาจวนค่ำ พระยาเล่งอ๋องก็ไม่กลับลงไปยังบาดาล เหาะลอยอยู่ในอากาศ ครั้นเวลาเที่ยงคืนเห็นเงียบสงัดแล้วก็แหวกกลีบเมฆลอยลงมายังพื้นพสุธาดล เดินตรงเข้าในทวารพระราชวังข้างใน
   เวลานั้นพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้บรรทมอยู่บนพระแท่นหลับสนิท ทรงพระสุบินนิมิตว่า พระองค์ทรงพระดำเนินออกจากพระราชมนเฑียรสถาน ไปยังพระราชอุทยานสวนดอกไม้ทอดพระเนตรเห็นมานพหนุ่มน้อยคนหนึ่ง เดินตรงเข้ามา ครั้นใกล้พระองค์ก็คุกเข่าลงถวายคำนับแล้วก็ร้องไห้ ทูลว่าขอให้พระองค์ช่วยชีวิตไว้ด้วยเถิด แล้วทูลว่าคนนั้นคือเป็นพระยาเล่งอ๋องผู้ใหญ่อยู่ในแม่น้ำเกียฮ้อ เหตุด้วยทำการละเมิดรับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ คือให้ฝนและลมให้ผิดเวลาและกำหนด บัดนี้เง็กเซียงฮ่องเต้มีรับสั่งให้งุยเต็งขุนนางของพระองค์เป็นเพชรฆาต วันพรุ่งนี้เวลาเที่ยงก็จะเอาตัวข้าพเจ้าไปยังสนามที่จะประหารชีวิต ข้าพเจ้าก็คงจะถึงแก่ความตาย ขอพระองค์ได้โปรดช่วยข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด ข้าพเจ้าจะมิได้ลืมพระเดชพระคุณของพระองค์เลย ในพระสุบินว่าพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสแก่พระยาเล่งอ๋องว่า ถ้างุยเต็งเป็นเพชรฆาตจริงแล้ว เราจะช่วยแก้ไขให้พ้นซึ่งความตาย ท่านอย่ามีความวิตกเลย จงกลับไปเถิด
   ฝ่ายพระยาเล่งอ๋อง ได้ฟังพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงรับว่าจะช่วยดังนั้น ก็มีความยินดี จึงลุกขึ้นถวายคำนับขอบพระคุณแล้วก็ลากลับไป ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เมื่อทรงพระสุบินนิมิตเห็นไปดังนั้นแล้วก็สะดุ้งตื่นฟื้นรู้สึกพระองค์ เสด็จลุกจากพระแท่นที่พระบรรทม ทรงพระราชดำริรำพึงอยู่แต่ในพระทัย พอได้อรุณรุ่งสว่างก็เสด็จเข้าที่สรงทรงเสวย แล้วก็เสด็จออกประทับยังพระที่นั่งกิมล่วนเต้ย ขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าพร้อมตามตำแหน่งหน้าที่ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นขุนนางเฝ้าอยู่พร้อมหน้ากันหมด ยังขาดแต่งุยเต็งขุนนางผู้ใหญ่ผู้เดียวยังไม่เห็นมา พระองค์จึงรับสั่งแก่ชีมงกงกุนซือว่า เมื่อคืนนี้เราฝันไปว่า มีชายหนุ่มน้อยคนหนึ่งมาคำนับแล้วบอกว่าตัวเป็นพระยาเล่งอ๋อง อยู่แม่น้ำเกียฮ้อ บัดนี้มีความผิดโดยละเมิดเทวโองการ จะให้ประหารชีวิตพระยาเล่งอ๋อง รับสั่งให้งุยเต็งเป็นเพชรฆาตฆ่าพระยาเล่งอ๋องในเวลาเที่ยงวันนี้ ขอให้เราช่วย เราเห็นพระยาเล่งอ๋องมาร้องขอให้เราช่วยชีวิตดังนั้น เราก็ได้ออกปากรับว่าจะช่วยดังนี้ ไม่ทราบว่าจะเป็นประการใด เวลานี้ก็ไม่เห็นงุยเต็งเข้ามา เราฝันดังนี้ท่านจะเห็นเป็นประการใด
   ชีมงกงได้ฟังรับสั่งถามดังนั้น จึงทูลว่าพระองค์ทรงพระสุบินนิมิตดังนี้ควรให้หางุยเต็งเข้ามาเฝ้า แล้วกักตัวงุยเต็งไว้ให้อยู่ในพระราชวังจนสิ้นเวลา ก็คงจะช่วยชีวิตพระยาเล่งอ๋องไว้ได้ตามความที่พระองค์ทรงพระสุบินนิมิตนั้น พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังชีมงกุนซือทูลดังนั้นก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้ขันธีออกไปตามตัวงุยเต็งให้เข้ามาเฝ้าโดยเร็ว ขันธีถวายบังคมรับ รับสั่งรีบไปยังบ้านงุยเต็ง ฝ่ายงุยเต็งเมื่อเวลากลางคืนก่อนนั้น ยังอยู่บนหอสูงพิจารณาดูซึ่งฤกษ์บนในเวลาดึกเงียบสงัด บัดเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงบนอากาศเหมือนเสียงนกการเวกร้อง งุยเต็งจึงเหลือบขึ้นไปดู ก็เห็นราชทูตเทวบุตรถือท้องตราเหาะมา ครั้นใกล้หอสูงที่งุยเต็งนั่งอยู่ ก็เหาะลอยลงมาใกล้ตัวงุยเต็ง จึงส่งท้องตรานั้นให้งุยเต็งแล้วก็ลาเหาะกลับไป
   งุยเต็งคำนับรับท้องตราแล้วก็จุดธูปเทียนคำนับบูชา คลี่หนังสือออกอ่านในท้องตรามีความว่า พระยาเล่งอ๋องในมหาสมุทรเกียฮ้อมีความผิดด้วยขัดรับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ โทษถึงประหารชีวิต บัดนี้มีรับสั่งให้งุยเต็งเป็นเพชรฆาตฆ่าผู้ผิด ไปยังอากาศในเวลาเที่ยงพรุ่งนี้ เอาตัวพระยาเล่งอ๋องไปตัดศรีษะเสีย งุยเต็งทราบดังนั้นแล้วก็ตั้งพิธีบูชาจะเข้าที่ระงับจิตไปปรากฎในสวรรค์เทวโลก เพราะฉะนั้นจึงมิได้มาในที่เฝ้า ฝ่ายพวกขันธี ครั้นมาถึงบ้านงุยเต็งแล้วก็เข้าไปหางุยเต็งบนหอสูง เห็นงุยเต็งกำลังจัดแจงเครื่องบูชา ก็เข้าไปคุกเข่าลงคำนับแล้วกราบเรียนว่า บัดนี้พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาตามท่านให้เข้าไปเฝ้าโดยเร็ว ไม่ทราบว่าจะมีราชการสิ่งใด
   งุยเต็งได้ทราบดังนั้นก็รีบแต่งตัว ครั้นเสร็จแล้วก็ชวนขันธีออกจากบ้าน รีบเข้าไปยังพระราชวัง ครั้นถึงงุยเต็งก็เข้าไปยังพระที่นั่ง ถวายบังคมแล้วจึงทูลว่าพระราชอาญาไม่พ้นเกล้า โดยมีกิจธุระจึงมิได้เข้ามาเฝ้า ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ข้าพเจ้าผู้มีความผิด พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังงุยเต็งกราบทูลดังนั้น ก็ทรงพระสรวล แล้วตรัสว่าเราไม่ถือโทษท่านดอก เราเห็นว่าท่านหายไปจึงให้ไปตามท่านมา ปราถนาจะใคร่คิดราชการบ้านเมืองให้มีความสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ต่อไปในเบื้องหน้า เมื่อเวลาที่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้รับสั่งอยู่กับงุยเต็งนั้น ก็จวนเวลาที่ขุนนางจะออกจากเฝ้าอยู่แล้ว ขุนนางทั้งหลายเห็นได้เวลาแล้วก็ถวายบังคมลาพากันออกจากที่เฝ้า
   พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เห็นขุนนางไปหมดแล้ว จึงรับสั่งแก่งุยเต็งว่า เชิญท่านเข้าไปข้างในด้วยกัน แล้วเสด็จลงจากพระที่นั่ง ทรงพระราชดำเนินเข้าในพระราชมณเฑียรฝ่ายใน งุยเต็งก็เดินตามเสด็จเข้าในห้องพระตำหนัก ถวายบังคมแล้วก็นั่งยังเก้าอี้ เวลาจวนจะเที่ยงอยู่แล้ว พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงรับสั่งแก่พวกขุนนางพนักงานให้นำกระดานหมากรุกมาตั้งบนโต๊ะ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จึงตรัสแก่งุยเต็งว่า ไจเสียงมาเดินหมากรุกกับเราดูเล่นสักกระดานหนึ่งพอแก้รำคาญ
   งุยเต็งได้ฟังรับสั่งดังนั้น มิได้ทราบในพระราชอุบาย ก็ถวายบังคมขยับเก้าอี้เข้าไปให้ใกล้โต๊ะ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็ทรงจับตัวหมากรุกเดิน งุยเต็งก็จับตัวหมากรุกเดิน ต่างเดินไปมากันอยู่ดังนั้น ยังมิได้ทันจะแพ้ชนะแก่กัน เวลานั้นพระอาทิตย์ตรงเที่ยงเป็นมัชฌันติกสมัย งุยเต็งจะจับตัวหมากรุกเดินบังเอิญให้ตัวของตัวอ่อนพับซบหน้าลงกับโต๊ะม่อยหลับไป พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เห็นอาการงุยเต็งเป็นดังนั้น ก็ทรงนิ่งอยู่โดยเข้าพระทัยว่า งุยเต็งอดนอนจึงนิ่งหวังพระทัยว่า จะให้งุยเต็งระงับกายสักครู่หนึ่งพอพ้นเวลาเที่ยง งุยเต็งตกใจตื่นขึ้นก็ลงจากเก้าอี้ คุกเข่าลงถวายบังคมแล้วทูลว่า ขอพระองคได้โปรดโทษข้าพเจ้าถึงแก่ความตาย โดยข้าพระองค์มีความประมาทมาหลับในที่เฝ้าดังนี้ มีความผิดเป็นอันมากนัก
   พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังงุยเต็งกราบทูลดังนั้นก็ทรงพระสรวล ตรัสแก่งุยเต็งว่าเราได้อนุญาตแก่ท่านแล้ว จงลุกขึ้นมาเล่นกันใหม่เถิด งุยเต็งได้ฟังรับสั่งทรงพระอนุญาตแล้ว ก็ถวายบังคมลุกขึ้นนั่งตามเดิม พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ รับสั่งให้นางพนักงานเรียงหมากรุกถวายใหม่ ครั้นเรียงเสร็จแล้วก็ทรงเตือนงุยเต็งให้เดินก่อน งุยเต็งถวายบังคมแล้วก็เดินหมากรุกไปตาหนึ่ง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงทรงจับตัวหมากรุกจะทรงเดิน ก็พอได้ยินเสียงข้างนอกอึกกะทึกร้องกันวุ่นวายเซ็งแซ่ บัดเดี๋ยวใจเห็นชีมงกงกับซินซกโป๊หิ้วศรีษะมังกรเข้ามาในพระตำหนักแล้ววางลงต่อหน้าพระที่นั่ง แล้วกราบทูลว่า ยังไม่เคยพบเห็นการอย่างนี้เลยดูเป็นความประหลาดอัศจรรย์ใจมากนัก
   พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสถามขุนนางทั้งสองว่าอันศรีษะมังกรนี้ ท่านเอามาแต่ข้างไหน
   ชีมงกงซินซกโป๊ จึงกราบทูลว่าทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่ถนนจับยี่เกย มีเสียงดังอยู่บนอากาศในกลีบเมฆ บัดเดี๋ยวศรีษะมังกรก็หล่นลงมา การอัศจรรย์ดังนี้ ข้าพระองค์เห็นเป็นความประหลาดมาก จึงได้มากราบทูลให้ทรงทราบ
   พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังขุนนางทั้งสองกราบทูลดังนั้น จึงรับสั่งถามงุยเต็งว่าการประหลาดดังนี้ท่านจะเห็นเป็นประการใด
   งุยเต็งจึงกราบทูลว่า ซึ่งเกิดการนี้ข้าพระองค์เป็นผู้ประหารชีวิตพระยาเล่งอ๋องเอง ขอพระองค์ได้ทรงทราบอย่าทรงพระวิตกสงสัยเลย
   พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสว่า ก็เมื่อท่านนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับเราไม่เห็นไปข้างไหน แล้วก็ไม่เห็นท่านมีอาวุธสิ่งใด ทำไมจึงจะไปฆ่าพระยาเล่งอ๋องได้ เรามีความสงสัยนัก ขอท่านจงชี้แจงให้เราทราบด้วย
   งุยเต็งจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบเมือคืนนี้ข้าพระองค์ได้รับท้องตราของเง็กเซียงฮ่องเต้มีรับสั่งให้เทพบุตรนำลงมาให้ ให้ข้าพระองค์เป็นเพชรฆาตสำหรับฆ่าพระยาเล่งอ๋อง ครั้นเทพยดาคุมตัวพระยาเล่งอ๋องมาที่สนามบนอากาศแล้ว ข้าพระองค์จึงได้ไปประหารชีวิตพระยาเล่งอ๋องเสียตามเทวบัญชา เมื่อขณะข้าพระพุทธเจ้าเล่นหมากรุกอยู่กับพระองค์ ข้าพระองค์ได้เผลอสติหลับไป ดวงจิตก็ออกจากกายลอยขึ้นไปยังสนามบนอากาศได้ เพื่อไปตัดศรีษะพระยาเล่งอ๋อง เพราะฉะนั้นศรีษะพระยาเล่งอ๋องจึงได้ตกลงมาจากอากาศ ขอพระองค์ได้ทรงทราบฝ่าพระบาท
   พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังงุยเต็งกราบทูลดังนั้นก็ทรงพระโสมนัสยินดีแล้วก็กลับเสียพระราชหฤทัยยิ่งนัก (ในที่นี้มีคำถามว่า เหตุใดทรงยินดีแล้วจึงกลับทรงเสียพระทัยอีกเล่า มีคำแก้ว่าที่ทรงยินดีนั้นเพราะงุยเต็งเป็นขุนนางของพระองค์ และยังได้รับหน้าที่ในสวรรค์ด้วย ที่ทรงเสียพระทัยนั้น เพราะตั้งพระทัยจะช่วยชีวิตพระยาเล่งอ๋องก็มิได้สมดังพระราชประสงค์จึงเสียพระทัย) แล้วพระองค์มีรับสั่งให้ซินซกโป๊นำศรีษะมังกรไปแขวนไว้ที่ตลาดแล้วป่าวร้องให้ราษฎรทั้งหลายทราบว่า การที่เป็นนี้มิใช่เป็นเหตุการณ์ร้ายแรงหรือให้โทษแก่บ้านเมืองแต่ประการใดเลย แล้วพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่งุยเต็งตามสมควร ขุนนางทั้งสามก็ถวายบังคมลาออกจากพระราชวังกลับไปบ้านเรือนแห่งตน
   เวลานั้นประมาณบ่ายสักสองโมงเศษ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จกลับเข้าไปประทับบนพระแท่นที่พระบรรทม ในพระทัยของพระองค์ให้เศร้าหมองขุ่นมัว พระกายให้มีพระอาการอ่อนเปลี้ยไปมิได้เป็นปรกติ ในคืนวันนั้นเวลาสองยามเศษพระองค์ได้ยินเสียงนอกประตูตำหนักเหมือนเสียงคนร้องไห้ ในพระทัยให้สะดุ้งหวั่นหวาดปราศจากความผาสุขไม่สบายพระทัยเลย บางทีให้เคลิ้มพระสติเห็นไปว่า พระยาเล่งอ๋องมีมือถือหิ้วศรีษะของตัวเองมาทั้งโลหิต แล้วร้องเรียกว่า ถังไทจงเอาชีวิตมาใช้ให้เรา จงเอาชีวิตมาเดี๋ยวนี้ แล้วพูดว่า เมื่อเวลาคืนวันวานนี้ ท่านรับเต็มปากว่าจะช่วยชีวิตเรา ทำไมจึงปล่อยให้งุยเต็งไปฆ่าเราเสีย ตัวเรากับท่านจะต้องลงไปให้ถึงพระยามัจจุราช จึงจะรู้ผิดและชอบ พระยาเล่งอ๋องพูดดังนั้นแล้ว ก็เข้ามาจับยึดข้อพระกรพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ไว้แล้ว ก็กระชากฉุดไปมาหาวางพระกรของพระองค์ไม่
   พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จะร้องก็ไม่ออกได้อึดอัดจนพระเสโทโทรมพระสรีระกาย ในเวลานั้นจะว่าเคลิ้มหรือจะว่าฝันก็หาแน่ได้ไม่ บัดเดี๋ยวพระองค์ทอดพระเนตรเห็นทางทิศอาคเนย์ บนอากาศในกลีบเมฆมีนางเทพอัปสรองค์หนึ่ง ถือกิ่งสนเหาะตรงมาใกล้พระองค์แล้ว เอากิ่งสนที่ถือมานั้นฟาดศรีษะมังกร ๆ ก็วางพระกรของพระองค์ แล้วเห็นพระยาเล่งอ๋องร้องไห้เดินสะอึกสะอื้นไปทางทิศปราจิณเฉียงเหนือ (มีคำอธิบายว่าที่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เห็นนางเทพอัปสรถือกิ่งสนนั้นคือพระกวนอิมที่มาพักอยู่ศาลพระภูมิได้มาช่วยขับปีศาจพระยาเล่งอ๋อง)
   ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเตัครั้นฟื้นได้พระสติสมประดีแล้ว ทรงร้องด้วยพระสุรเสียงอันดังโดยที่ตกพระทัยกลัวปีศาจมังกร
   ฝ่ายพวกนางสนมและนางพนักงานได้ยินรับสั่งดังนั้น ก็ตกใจกันทุกคนในคืนวันนั้น พากันมีความวิตกไม่ทราบว่าจะมีเหตุผลประการใด พากันตรวจตราหาเป็นอันที่จะหลับนอนไม่ เห็นพระเจ้าแผ่นดินหวาดสะดุ้งอยู่จนสว่าง
   ฝ่ายขุนนางทั้งหลายครั้นถึงเวลาเฝ้า ก็เข้ามาพร้อมกันยังท้องพระโรงคอยเตรียมเฝ้า ก็มิได้เห็นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกตามเคย คอยเฝ้าอยู่จนเวลาเช้าสามโมงจึงเห็นขันธีออกมาจากข้างในบอกแก่ขุนนางทั้งปวงว่า มีรับสั่งให้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายว่าวันนี้ไม่สบายพระทัยไม่เสด็จออก ขอเชิญท่านทั้งหลายกลับไปเถิด ครั้นบอกแล้วขันธีกลับเข้าข้างใน ฝ่ายขุนนางทั้งหลายเมื่อได้ทราบกระแสรับสั่งแล้วก็ต่างคนกลับบ้าน แลมีความสงสัยด้วยไม่รู้ว่าทรงพระประชวรหรือเป็นประการใด แต่เวลาเฝ้าก็พากันเข้ามาคอยเฝ้าก็มิได้เห็นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออก แต่เป็นดังนั้นมาประมาณสักห้าวันแล้วก็ไม่เห็นเสด็จออก บรรดาขุนนางทั้งปวงอยากจะใคร่ทราบและจะใคร่เข้ามาเฝ้าทูลถามพระอาการประชวรก็หาได้มีโอกาศที่จะได้เฝ้าและทูลถามพระอาการได้ไม่
   อยู่มาวันหนึ่งเห็นขันธีพาไทอุยหมอหลวงเข้าไปข้างใน ขุนนางทั้งปวงก็พากันวิตกไปต่าง ๆ
   ฝ่ายขันธีพาหมอเข้าไปถึงแล้วนางไท้ฮ่องเฮ้าพระราชมารดาจึงรับสั่งให้ไทอุย ประกอบพระโอสถที่ชื่นพระทัยจะให้พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสวย
   ไทยอุยได้รับสั่งแล้วก็จัดแจงประกอบพระโอสถที่ชื่นพระอารมณ์ขึ้นถวาย ครั้นพระองค์เสวยพระโอสถแล้วไทอุยก็ถวายบังคมลากลับออกมา บรรดาขุนนางที่ยังอยู่ที่พระทวารพระราชวังคอยฟังข่าวเห็นไทอุยออกมา จึงถามหมอว่าพระเจ้าแผ่นดินประชวรนั้นโดยพระอาการเป็นพระโรคอะไร หมอบอกว่าพระองค์ประชวรนั้นทางวาโยธาตุไม่ปรกติให้เคลือบเคลิ้มพระสติ มักให้เห็นเป็นปีศาจผีสางมาหลอกหลอนพระทัยให้หวั่นไหวทั้งธาตุก็วิกาลไม่มีกำลัง วิตกว่าพระชนม์จะไม่ยาวยืนเกินกว่าเจ็ดวันไปได้ บรรดาขุนนางทั้งปวงเมื่อได้ฟังไทอุยหมอหลวงบอกดังนั้น ต่างมีความวิตกเป็นอันมาก ครั้นไทอุยบอกพระอาการแก่ขุนนางดังนั้นแล้วก็คำนับลาขุนนางกลับไปที่อยู่
   ขณะนั้นมีขันธีออกมาจากข้างในบอกว่า นางไท้ฮ่องเฮ้ามีรับสั่งให้หาชีมงกง ซินซกโป๊ อวยชีจงทั้งสามคนให้เข้าไปเฝ้าข้างในเดี๋ยวนี้
   ชีมงกง ซินซกโป๊ อวยชีจงทราบว่ามีรับสั่งให้หาดังนั้น ขุนนางทั้งสามก็เดินตามขันธีเข้าไปในพระตำหนัก ครั้นถึงขุนนางทั้งสามก็ถวายบังคมแล้วนั่งตามที่ตามลำดับกัน
   พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นขุนนางทั้งสามเข้ามาเฝ้าก็มีพระทัยยินดี จึงมีพระราชดำรัสตรัสแก่ขุนนางทั้งสามว่าเมื่อเราอายุได้สิบเก้าปียกกองทัพไปเที่ยวหัวเมืองฝ่ายใต้ฝ่ายเหนือ ซอกซอนไปทุกหนแห่งก็ไม่เคยเห็นปีศาจผีสางอะไรที่ไหน มาเมื่อสองสามคืนนี้ให้เห็นเป็นคนถือศรีษะมังกรมาหลอกหลอนและพูดจา ทำทีคล้ายปีศาจเราวิตกด้วยไม่เคยเป็นเลย ท่านทั้งหลายจะคิดประการใด
   อวยชีจงได้ฟังรับสั่งดังนั้นจึงกราบทูลว่า พระองค์คิดตั้งบ้านเมืองครอบครองราชสมบัติ ได้ฆ่าคนเสียนับไม่ถ้วนก็ยังไม่มีปีศาจที่ไหนมารบกวน บัดนี้จะมีปีศาจที่ไหนมาเล่า
   พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงรับสั่งว่า แม้ว่าท่านจะใคร่ทราบความจริงจงคอยฟังดูที่ประตูตำหนัก ถ้าถึงเวลาที่เราจะเข้านอนก็คงจะได้ยินเสียงดุจเอาอิฐเอาทรายมาขว้างปา แล้วก็จะได้ยินเสียงร้องไห้และโห่ร้องกระทำอาการต่าง ๆ ท่านคงจะได้เห็นความจริง ตามที่เราเล่าให้ท่านฟัง
   ซินซกโป๊จึงทูลว่าขอพระองค์จงวางพระทัยเถิด คืนวันนี้ข้าพระองค์กับท่านอวยชีจงจะเฝ้าคอยอยู่ที่ประตูพระตำหนักข้างนอก คอยดูว่าจะเป็นปีศาจผีสางอะไร
   พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังซินซกโป๊ทูลดังนั้น ก็ทรงพระอนุญาตโปรดให้ขุนนางทั้งสองอยู่ตามคำที่กราบทูล ชีมงคงครั้นเห็นเวลาบ่ายแล้วก็ถวายบังคมลาออกจากพระราชวังกลับไปบ้าน
   ฝ่ายซินซกโป๊กับอวยชีจง ก็พักอยู่ข้างพระทวารพระราชวังชั้นใน ครั้นเวลาพลบค่ำ ขุนนางทั้งสองก็จัดแจงแต่งตัวถืออาวุธยืนเฝ้าประตูนอกพระตำหนักใกล้ที่พระบรรทม จนตลอดราตรีรุ่งสว่างก็ไม่เห็นปีศาจผีสางอะไร ในคืนวันนั้นพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงพระบรรทมหลับสนิทเป็นปรกติ มิได้ยินเสียงปีศาจและสิ่งใดเงียบสงัดไปได้คืนหนึ่ง
   ครั้นเวลาเช้าพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงบำเหน็จรางวัลให้ขุนนางทั้งสองเป็นอันมาก แล้วพระองค์ตรัสว่าตั้งแต่เราไม่สบายมาหลายเวลาแล้ว จะนอนก็ไม่ปรกติเลยสักคืนหนึ่ง หากเมื่อคืนนี้ได้ท่านทั้งสองมาอยู่จึงได้นอนหลับสนิทค่อยมีความสบายขึ้นเป็นอันมาก เชิญท่านทั้งสองกลับไปพักให้สบายเถิด เวลาค่ำจึงค่อยเข้ามาคอยระวังเราอีก
   ขุนนางทั้งสองได้ฟังรับสั่งดังนั้นแล้ว ก็ถวายบังคมลาออกจาพระราชวังไป ตั้งแต่นั้นมาขุนนางทั้งสองก็มาคอยเฝ้าระวังอยู่ดังนั้นถึงสามสี่วันมา ก็เห็นเงียบสงัดอยู่ไม่มีเหตุการณ์อะไรเลย พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เห็นขุนนางทั้งสองเข้ามาเฝ้าระวังอยู่ดังนั้นทุกคืน ได้รับความลำบากหาเป็นอันจะได้หลับนอนไม่ พระองค์มีความเกรงใจขุนนางทั้งสองเป็นอันมาก ครั้นมาวันหนึ่งจึงรับสั่งให้ขุนนางทั้งปวงให้เข้าไปเฝ้า พระองค์จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งหลายว่าตัวเราเมื่อสองสามคืนนี้ก็เป็นสุขปรกติดี แต่เราเห็นว่าซินซกโป๊ อวยชีจงท่านทั้งสองมีความลำบาก เราคิดว่าจะให้ช่างเขียนเข้ามาวาดรูปท่านทั้งสองไปปิดไว้ที่ประตูแลในที่อยู่ของเรา จะไม่ต้องลำบากแก่ท่านทั้งสองท่านทั้งหลายจะเห็นประการใด
   ขุนนางทั้งหลายก็เห็นชอบพร้อมกัน ตามกระแสพระราชดำริจึงให้ช่างเขียนเข้ามาวาดรูปซินซกโป๊กับรูปอวยซิจง ครั้นช่างทั้งสองเขียนรูปขุนนางทั้งสองแล้ว จึงให้เจ้าพนักงานนำไปปิดที่ประตูพระตำหนักข้างใน ตั้งแต่นั้นมาชนทั้งหลายจึงได้เขียนรูปซินซกโป๊แลรูปอวยชีจงปิดประตูบ้านและศาลเจ้า สมมุติว่าเป็นรูปศักดิ์สิทธิ์ป้องกันปีศาจได้เป็นธรรมเนียมต่อ ๆ มาจนทุกวันนี้ ตั้งแต่นั้นมาได้สองสามวันก็เงียบสงัด ครั้นอยู่มาหลายเวลาก็ได้ยินเสียงก้องดังอยู่ที่หลังตำหนักห้องเครื่องนอกประตูออกไป แต่ได้ยินเสียงดุจกองทัพยกเข้ามาเสียงหวั่นไหวอิฐทรายสาดเข้ามา ในคืนวันนั้นพระโรคพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็กลับกำเริบมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า พระองค์จึงรับสั่งให้หาขุนนางทั้งหลายเข้าไปเฝ้าโดยเร็ว
   พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ครั้นพระองค์เห็นขุนนางเข้ามาเฝ้าอยู่พร้อมกันแล้ว จึงมีพระราชดำรัสแก่ขุนนางว่าประตูข้างหน้าก็ปรกติเงียบดีแล้ว แต่คืนนี้ประตูข้างหลังตำหนักเราได้ยินเสียงดุจยกกองทัพเข้ามา และเสียงร้องอึกทึกทั้งขว้างอิฐทรายเข้ามาแลเสียงกู่ร้องออกเซ็งแซ่ ตัวเราให้มีใจหวาดหวั่นโรคจึงกำเริบหนักยิ่งขึ้นกว่าเก่า ชีมงกงจึงกราบทูลว่าประตูนอกเงียบสงัดดีแล้ว เพราะให้ซินซกโป๊อวยซิจงรักษา ประตูข้างหลังยังไม่มีผู้ใดรักษา ข้าพระองค์ขอให้งุยเต็งรักษาเฝ้าระวังอยู่จึงจะควร พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังชีมงกงกราบทูลดังนั้นทรงเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งให้งุยเต็งไปเฝ้ารักษาประตูหลัง งุยเต็งได้ฟังรับสั่งแล้ว ก็ถวายบังคมลามาจัดแจงแต่งตัวมือถือง้าวและเกี่ยมซึ่งสำหรับฆ่ามังกร ออกไปยังประตูหลังพระตำหนัก เฝ้าอยู่คืนหนึ่งจนสว่างก็ไม่มีผีสางอะไร หรือมีเสียงร้องโห่เกรียวกราวก็หามิได้ ประตูหน้าหลังก็เงียบสงัดไปหมด แต่พระโรคของพระเจ้าแผ่นดินนั้นก็ยิ่งหนักขึ้นทุกที
   ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง นางไท้ฮ่องเฮ้าพระราชมารดาของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เห็นพระราชบุตรทรงพระประชวรมีพระอาการมาก ไม่ไว้พระทัยแก่ราชการ จึงมีรับสั่งให้ขันธีออกไปเชิญขุนนางเข้าไปเฝ้าในพระราชวังชั้นใน เพื่อพระเจ้าแผ่นดินจะได้สั่งราชการบ้านเมือง
   ขุนนางทั้งปวง เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงพากันเข้ามาในพระราชวังข้างใน ครั้นถึงพร้อมกันแล้วก็ถวายบังคมพร้อมกัน ยืนเฝ้าตามตำแหน่ง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ บรรทมอยู่บนแท่น เห็นขุนนางมาพร้อมกันแล้ว จึงรับสั่งเรียกชีมงกงให้เข้าไปใกล้แล้วตรัสว่า ให้จัดแจงราชการบ้านเมืองทุกหน้าที่และเป็นผู้สำเร็จราชการทั้งสิ้น ครั้นพระองค์ทรงมอบราชการแก่ชีมงกงแล้ว จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาน้ำพระสุคนธ์มาสรง ครั้นสรงเสร็จแล้วก็ผลัดภูษาทรงใหม่ แล้วเสด็จประทับบนพระแท่น 
   ขณะนั้นงุยเต็งจึงคุกเข่าถวายบังคมคลานเข้ามายกพระหัดถ์พระเจ้าแผ่นดินทูนศรีษะของตัวไว้แล้ว ก็กราบทูลว่าขอพระองค์จงวางพระทัยเถิด ข้าพระองค์จะช่วยฉลองพระเดชพระคุณให้พระองค์มีพระชนม์มายุเจริญนานไปได้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังงุยเต็งกราบทูลดังนั้น จึงตรัสว่า โรคของเราเหลือมือแพทย์ที่จะรักษา เห็นเป็นปัจฉิมที่สุดแล้ว ท่านจะทำประการใดจึงจะหายได้ ขอให้เราทราบในอุบายแลความคิดของท่าน
   งุยเต็งกราบทูลว่า ข้าพระองค์มีหนังสือฉบับหนึ่งถวาย เพื่อพระองค์จะได้เอาติดไปในเมื่อพระองค์ลงไปในเมืองล่าง ถึงที่ฮองโตประตูชั้นต้น มีขุนนางสมุห์บัญชีใหญ่ แซ่ทุยชื่อปัง พระองค์เอาหนังสือฉบับนี้ส่งให้สมุห์บัญชีนั้นเถิด เขาจะได้ช่วยให้พระองค์กลับมาเมืองมนุษย์ได้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จึงรับสั่งถามว่า ทุยปังนั้นคือผู้ใด งุยเต็งกราบทูลว่า ทุยปังนั้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ของพระเจ้าเชียงหงวนฮ่องเต้ เดิมเป็นที่กำนัน ครั้นภายหลังเลื่อนเป็นที่กรมท่า เมื่อเป็นมนุษย์เป็นเพื่อนสนิทกันกับข้าพระองค์ ครั้นตายแล้วได้ลงไปเป็นที่สมุห์บัญชีใหญ่ในยมโลก พนักงานทำบัญชีเกิดและตายของมนุษย์ที่ในศาลฮองโต เมื่อเวลาข้าพระองค์นอนหลับก็ได้พบปะกันเสมอ ๆ
   พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จึงทรงรับหนังสือนั้นมาใส่ไว้ในมือเสื้อแล้วพระองค์ก็หลับพระเนตรพระวาโยก็อ่อนลงไปทุกที จนหมดอัสสาสะ ปัสสาสะ ประสาทเช่นบุคคลอันไม่มีชีวิตแล้ว
   ฝ่ายพวกนางสนมข้างในและขุนนางทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในที่นั้นก็พากันร้องไห้สงสารพระเจ้าแผ่นดินเป็นอันมาก ครั้นแล้วก็ให้เจ้าพนักงานยกพระศพขึ้นบนแท่นสุวรรณยังตำหนักแปะเฮ้าเต้ย จัดแจงแต่งเครื่องประดับตามพระเกียรติยศแห่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน แต่ยังหาได้เชิญพระศพเข้าในหีบ ซึ่งสำหรับใส่พระศพพระเจ้าแผ่นดินไม่ เพราะงุยเต็งให้รอไว้ก่อน ฝ่ายราชการบ้านเมือง ชีมงกงกับขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวง ก็ช่วยกันจัดแจงดูแลว่าราชการบ้านเมืองโดยความเรียบร้อยไม่มีเหตุร้ายแรงแต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น: