(บทที่ ๓๑) เห้งเจียเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ จึงเรียกว่าตือโป๊ยก่าย โป๊ยก่ายได้ยินร้องเรียกคำหนึ่ง ก็กระโดดยืนขึ้นบอกว่านี่และนี่และคือตือโป๊ยก่ายแน่แล้ว เห้งเจียถามว่าทำไมไม่ตามพระอาจารย์ไป กลับมานี้มีธุระอะไรหรือ หรือเจ้าทำให้พระอาจารย์ขัดเคืองอย่างไร พระอาจารย์ขับไล่เจ้าเสียดอกกระมัง โป๊ยก่ายบอกว่าไม่ได้ทำให้อาจารย์ขัดเคืองอะไรดอก เห้งเจียว่าไม่ได้ทำให้ขัดเคืองทำไมจึงมาที่นี่ข้าสงสัยอยู่ โป๊ยก่ายว่าเพราะด้วยพระอาจารย์คิดถึง จึงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเชิญพี่ไป เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์นั้นได้ทำหนังสือสัญญาให้ไว้แก่เราแล้ว บัดนี้จะมาคิดถึงเราทำไมไม่หน้าเชื่อเลย
โป๊ยก่ายว่า พระอาจารย์ท่านคิดถึงจริง ๆ เพราะว่าเมื่อวันก่อนพระอาจารย์อยู่บนหลังม้ากำลังเดินไป อาจารย์ก็เรียกสานุศิษย์ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ยิน ซัวเจ๋งก็ไม่ได้ยินทำหูหนวกเสีย เพราะฉะนั้นพระอาจารย์จึงได้คิดถึงพี่ ว่าพวกข้าพเจ้าทั้งสองไม่เป็นการ โง่เขลามึนตึงนัก พูดว่าพี่เป็นผู้ว่องไวฉลาดเฉลียว เวลาใดเรียกก็ได้ยินทุกครั้ง เพราะฉะนั้นจึงได้รีบเร่งให้ข้าพเจ้ามาเชิญพี่ไป ขอพี่จงได้ไปเถิด เห้งเจียครั้นได้ฟังดังนั้น จึงลงมาจากแท่นหิน เดินมาจับมือโป๊ยก่ายพูดว่า น้องมาลำบากโดยทางไกล จงอยู่เล่นก่อนแล้วจึงค่อยไป โป๊ยก่ายว่าหนทางนั้นเหลือไกล วิตกแต่อาจารย์จะคอยท่า เราสองคนขอให้รีบไปเถิด
เห้งเจียพูดว่าน้องมาถึงวันนี้ จึงไปชมชัยภูมิเขานี้เล่นก่อนเถิด โป๊ยก่ายก็ไม่อาจขัด แต่ใจนั้นร้อนเหมือนไฟโดยวิตกถึงพระอาจารย์ แต่จนใจจำใจเดินตามเห้งเจียไปเหมือนคนไม่มีวิญญาณฉะนั้น เห้งเจียจับมือโป๊ยก่ายจูงขึ้นบนยอดเขา ภูเขานี้ตั้งแต่เห้งเจียกลับมาก็จัดแจงซ่อมแซมดูงดงามขึ้นมาก เป็นที่หนึ่งแห่งภูเขาในใต้หล้านี้ เห้งเจียพาโป๊ยก่ายเที่ยวดูแล้วก็พากลับเดินลงจากยอดเขา เห็นพวกบริวารวานรพากันเอาผลไม้ต่าง ๆ มาให้เห้งเจียเป็นข้าวเช้า เวลาเช้า เห้งเจียพูดว่าน้องของเราท้องใหญ่ ผลไม้เล็กน้อยที่ไหนจะพอ เห้งเจียจึงว่า เชิญน้องกินแก้หิวเถิด
เวลานั้นตะวันก็ขึ้นสูง โป๊ยก่ายจึงเร่งเห้งเจียว่า พระอาจารย์จะคอยท่าพี่จงรีบไปเถิด เห้งเจียว่าน้องจะเข้าไปชมในถ้ำก่อนเถิด โป๊ยก่ายไม่ยอมไป เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นข้าไม่กล้าจะหน่วงเจ้าไว้ แม้เจ้าจะไปก็เชิญเถิด
โป๊ยก่ายถามว่าพี่ไม่ไปกับข้าดอกหรือ เห้งเจียถามว่าเจ้าจะให้ข้าไปไหน เราอยู่ที่นี่ไม่มีผู้ใดมาบังคับเราได้ กินนอนก็เป็นสุขแล้ว จะวิ่งไปหาความทุกข์ยากอะไรที่ไหนอีกเล่า พระอาจารย์ถังซัมจั๋งก็ไล่เราแล้ว จะคิดถึงเราทำไมมีเราไม่เห็นด้วยเลย โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็เสียใจเป็นที่สุด ไม่อาจที่จะพูดอะไรอีกต่อไป จึงคำนับลาออกเดินไป เห้งเจียเห็นโป๊ยก่ายเดินลงไปจากเขาแล้ว จึงเรียกวานรบริวารมาสั่งว่า เจ้าจงตามโป๊ยก่ายไปแอบฟังดูว่า โป๊ยก่ายจะพูดจาว่าบ่นประการใด พวกวานรได้ฟังคำสั่งดังนั้น ก็พากันตามไป
ฝ่ายโป๊ยก่ายเมื่อเดินลงมาจากเขาหันหน้ากลับชี้มือพูดว่า อ้ายเห้งเจียอ้ายชาติลิงไพร มึงไม่ตามพระอาจารย์ผู้มีคุณไป มึงจะอยู่เป็นปีศาจยักษ์หาความสุข กูมีกะใจมาเชิญมึง ๆ ไม่ไปก็ช่างเถิด เดินพลางด่าพลางไม่หยุดปาก พวกวานรที่เดินตามไปฟัง ได้ยินดังนั้นก็กลับมาบอกเห้งเจียตามที่โป๊ยก่ายบ่นด่าว่าทุกประการ เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็บันดาลโทโสร้องสั่งว่าพวกเจ้าจงตามไปจับตัวมาให้ได้พวกลิงทั้งหลายก็กรูกันไปล้อมจับเอาตัวโป๊ยก่ายมัดมือไพล่หลังพามายังถ้ำ
ฝ่ายเห้งเจียอยู่ในถ้ำ เห็นพวกวานรจับตัวโป๊ยก่ายมาได้ จึงด่าว่าอ้ายชาติหมูกินรำมึงจะไปก็ไยมิไป ทำไมมึงจึงต้องด่าว่ากูด้วยเล่าโป๊ยก่ายคุกเข่าลงกับพื้น พูดว่าข้าพเจ้าอาจด่าพี่ได้ที่ไหน แม้ด่าพี่จริงดังนั้นก็ให้พี่ตัดคอข้าพเจ้าเสียเถิด เห้งเจียว่าเจ้าจะหลอกข้าได้อยู่หรือ หูข้างซ้ายของข้าได้ยินตลอดชั้นฟ้า เทวดาจะพูดร้ายดีอย่างไรข้าก็ได้ยิน หูข้างขวาของข้าได้ยินตลอดยังพระยาเงียมฬ่ออ๋อง (ยมราช) เจ้าด่าข้า ๆ จะไม่รู้ทีเดียวหรือ เห้งเจียจึงเรียกวานรให้เลือกไม้พลองอันใหญ่ ๆ มาจับอ้ายโป๊ยก่ายให้นอนหงายขึ้น ตีด้วยพลองที่ท้องยี่สิบทีแล้ว คว่ำลงจะเฆี่ยนหลังอีกยี่สิบทีแล้วข้าจะเอากระบองเหล็กตีส่งไปอีก
โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียสั่งดังนั้น จึงคำนับพูดว่าขอพี่ได้เห็นแก่พระอาจารย์เถิด ขอให้ยกโทษข้าพเจ้าไว้ก่อนเถิด ด้วยข้าพเจ้าได้ผิดแล้ว เห้งเจียจึงว่าเราจะเห็นอะไรแก่พระอาจารย์ ๆ ก็ได้ขับไล่เราเสียแล้ว โป๊ยก่ายว่า พี่ไม่เห็นแก่พระอาจารย์ก็จงเห็นแก่พระโพธิสัตว์เถิด เห้งเจียได้ยินออกชื่อพระโพธิสัตว์ใจก็อ่อนลงทันที จึงพูดว่าถ้ากระนั้นเราไม่เฆี่ยนเจ้า ๆ จงบอกไปตามจริง พระอาจารย์ต้องภัยได้ทุกข์อย่างไรหรือ เจ้าจึงมาล่อหลอกเราอย่างนี้
โป๊ยก่ายยังยืนคำอยู่ว่าพระอาจารย์มิได้ต้องภัยได้ทุกข์ที่ไหนดอก เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็ไม่เชื่อ จึงพูดว่าเจ้ามาหลอกเราได้ เฆี่ยนเสียจึงจะดีตั้งแต่เรากลับมา พระอาจารย์เดินไปก็ได้มีภัยทุก ๆ ตำบล เกิดเหตุร้ายแรงทุกย่างก้าว เจ้าจงรีบบอกมาโดยเร็วเราจึงจะยกโทษให้ หาไม่จะต้องตีเสียให้แทบตาย โป๊ยก่ายจึงพูดว่า ข้าพเจ้าปดพี่จริง ๆ ไม่ทราบว่าพี่จะมีหูทิพย์ตาทิพย์ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้เลย ขอพี่จงยกโทษอย่าเฆี่ยนตีข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าจะบอกตามจริงทุกประการแล้ว
เห้งเจียจึงบอกว่าลุกขึ้นเถิด พวกวานรทั้งหลายก็พากันถอยห่างออกไป โป๊ยก่ายผุดลุกขึ้นก้าวซ้ายก้าวขวาทำท่าจะหนี เห้งเจียว่าเองจะก้าวไปข้างไหน โป๊ยก่ายว่าไม่ไปไหน เดินผิดทางไปเห็นทางว่างก็เดินไปกระนั้น เห้งเจียว่าต่อให้เจ้าไปก่อนสามวัน เราจะตามไปจับตัวมาให้ทันมิให้หนีไปพ้นได้ เจ้าจงเข้ามาบอกความจริงโดยเร็วเถิด โป๊ยก่ายก็เข้าไปยืนใกล้แล้ว ก็เล่าบอกตั้งแต่ต้นจนปลายตามที่เป็นมาทุกประการ
เห้งเจียครั้นได้ฟังโป๊ยก่ายพูดเล่าบอกดังนั้นมีความโกรธจึงพูดว่า เมื่อเราจะกลับมาเราก็ได้สั่งไว้ทุกประการว่า แม้ไปพบปะปีศาจภูตผีและยักษ์มารในที่ใด ๆ จึงบอกชื่อเราว่าเป็นสานุศิษย์ของพระอาจารย์ปีศาจทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะไม่กล้าทำร้ายแก่พระอาจารย์ นี่เป็นเพราะพวกเจ้าอวดดีจึงได้เกิดเหตุร้ายแรงขึ้นอย่างนี้ โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียว่ากล่าวก็เป็นการจริงใจทุกอย่าง จึงคิดว่าอย่าเลยจะพูดให้เสียดแทงหัวใจเห้งเจียจึงจะได้ คิดแล้วจึงพูดว่าข้าพเจ้าก็ได้ออกชื่อพี่ แต่ปีศาจมันกลับหมิ่นประมาทดูถูกไม่มีความยำเกรง เห้งเจียถามว่ามันไม่เกรงกลัวนั้นมันพูดอยาบช้าหมิ่นประหมาทอย่างไร
โป๊ยก่ายเห็นได้ทีจึงปดทับถมว่า ข้าพเจ้าได้พูดว่าปีศาจมึงอย่าจองหอง อย่ามาคิดร้ายแก่พระอาจารย์ ยังมีพี่กูเป็นสานุศิษย์ใหญ่ชื่อว่า (หงอคง) เธอมีฤทธาอานุภาพมากเหาะเหินเดินอากาศได้ เคยปราบปรามภูตผีปีศาจยักษ์มารมามากแล้ว ถ้าเธอมาเวลาใดมึงก็จะถึงความพินาศจนไม่มีที่จะฝังศพ เมื่อข้าพเจ้าออกชื่อพี่ดังนี้ปีศาจมันกลับบังอาจพูดว่า ไหนอ้ายคนไหนที่ชื่อว่าอ้าย (ซึงหงอคง) ขอให้มันมาเอาโลหิตเส้นคมอาวุธดูสักหน่อยเถิด ต้องการอยากพบแก่มันนัก ถ้ามันมาแล้วเราจะจับมันลอกหนังเสีย แลชักเอาเส้นเอ็นออกกัดกระดูกให้แหลกเหลวลากหัวใจออกมากินเสีย เราจะปล่อยให้มันมาต่อสู้แก่เราทำไมหรือบางทีก็จะต้มน้ำมันเสีย
เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายบอกดังนั้นเหมือนใครเอาไฟมาจุดเข้าที่หัวใจลุกขึ้นโลดเต้นเกาหูเกาคางออกวุ่นวายตามกิริยาของลิง แล้วจึงถามว่าอ้ายปีศาจอะไรจึงสามารถมาด่าว่าท้าทายเราได้ถึงเพียงนี้ โป๊ยก่ายจึงว่าพี่จงหยุดยั้งอย่าเพิ่งโกรธวุ่นวายก่อน ที่มันพูดมันดูถูกพี่นั้นคืออ้ายปิศาจอึ่งเพ้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงจำมาเล่าให้พี่ฟัง
เห้งเจียจึงพูดว่าเราจะไปปราบปีศาจแม้เรามิไป มันจะหมิ่นประมาทเราได้ว่าไม่สู้มัน โป๊ยก่ายว่าขอพี่ได้ไปแก้แค้นหรือพี่จะไม่ไปก็ตามแต่ใจของพี่เถิด เห้งเจียกระโดดลงจากแท่นเข้าห้องผลัดเครื่องนุ่งห่มออกแล้ว เอาเครื่องผ้าผูกคอและผ้านุ่งด้วยหนังเสือ ครั้นแต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินออกมามือถือกระบองเหล็ก พวกบริวารวานรก็กรูกันมาถามว่าใต้เซียจะไปไหน
เห้งเจียพูดว่าเดิมเราตามพระอาจารย์ไปทั่วจักระวาล ก็รู้ว่าเราเป็นสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง เวลานั้นเธอว่าเราเป็นคนผิดไล่เราให้เรากลับมา เรากลับมายังที่เดิมของเรา ๆ ก็มีความสุขสำราญแล้ว บัดนี้เราจะไปตามรักษาพระอาจารย์ไปอาราธนาพระธรรม กว่าจะสำเร็จแล้วเราจึงจะกลับมาหาพวกเจ้า จะได้ความบรมสุขด้วยกันไปภายหน้า พวกบริวารได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้นต่างก็คำนับทุก ๆ ลิง
เห้งเจียจับมือโป๊ยก่ายไว้แล้วก็เหาะขึ้นบนเวหา ลอยละลิ่วปลิวมาเร็วยิ่งกว่าลมพัด บัดเดี๋ยวก็ถึงตังเอี๋ยงทะเลใหญ่เหาะข้ามฟากมา ครั้นถึงฝั่งตะวันตกเห้งเจียบอกแก่โป๊ยก่ายว่า น้องจงค่อย ๆ ไปพี่จะลงอาบน้ำสักประเดี๋ยวจะตามไป ตั้งแต่พี่กลับมามันติดกลิ่นอ้ายปีศาจจะเหม็นสาบพระอาจารย์ไม่ชอบ ท่านชอบแต่คนสะอาด
โป๊ยก่ายเวลานั้นก็รู้สึกได้ว่า เห้งเจียเป็นผู้ใจกตัญญูจริงมิได้คิดนอกใจแก่พระอาจารย์ โป๊ยก่ายรอคอยอยู่บนอากาศ เห้งเจียลงไปอาบน้ำประเดี๋ยวก็เหาะกลับขึ้นมา พร้อมกันเหาะตรงมายังปราจิณทิศ แลไปข้างหน้าก็เห็นพระเจดีย์มีรัศมีออกโชตช่วง โป๊ยก่ายชี้มือบอกว่านั่นและที่อยู่ของปีศาจอึ่งเพ้าแล้วซัวเจ๋งยังอยู่ในนั้น เห้งเจียว่าไว้ธุระพี่จะลงไปดูก่อน จะได้คิดต่อสู้แก่ปีศาจต่อไป โป๊ยก่ายว่าเวลานี้ปีศาจมิได้อยู่ในถ้ำ เห้งเจียว่าพี่เข้าใจได้แล้วพูดกันดังนั้นแล้วก็ลอยลงไปยังประตูถ้ำ
เห้งเจียก็เดินเข้าไปในประตูถ้ำเที่ยวมองดูก็เห็นปีศาจเด็กสองคนกำลังวิ่งเล่นกันอยู่ เห้งเจียก็วิ่งเข้าจับเอาจุกผมลากมาทั้งสองคนเด็กก็ร้องอึกกะทึกขึ้น พวกปีศาจบริวารเหล่านั้นก็เข้าไปบอกแก่นางก๋งจู๊ว่า บัดนี้ลูกของก๋งจู๊ทั้งสองคนนั้นมีคนมาจับไปข้างนอกแล้ว
นางก๋งจู๊ได้ฟังดังนั้น ก็รีบออกมาข้างนอก แลเห็นเห้งเจียจับเอาบุตรไป จึงร้องไปว่า ท่านทำไมมาจับบุตรของเราไปข้างไหน พ่อของมันดุร้ายนัก ท่านอย่าทำดังนั้นจะวุ่นวายขึ้น เห้งเจียพูดว่า ก๋งจู๊จำเราไม่ได้หรือ เราคือสานุศิษย์ใหญ่ของพระถังซัมจั๋ง คือ ซึงหงอคง บัดนี้น้องของเรา คือ ซัวเจ๋ง ยังอยู่ในถ้ำนี้ นางก๋งจู๊ไปปล่อยออกมาแล้ว เด็กทั้งสองนี้เราจึงจะคืนให้ นางก๋งจู๊ได้ฟังดังนั้น ก็วิ่งกลับเข้าไปในถ้ำ ตวาดพวกปีศาจที่คุมซัวเจ๋งให้ถอยออกไป แล้วนางเข้าแก้มัดซัวเจ๋งออก ซัวเจ๋งว่าอย่าปล่อยข้าพเจ้า ปีศาจมันจะทำอันตรายแก่ท่าน
นางก๋งจู๊พูดว่าท่านมีคุณได้ช่วยข้าพเจ้า ๆ จะแก้ให้ท่านไปพ้นจากอันตราย บังเอิญบัดนี้ที่หน้าถ้ำ มีพี่ของท่านชื่อเห้งเจียมาบอกให้เราปล่อยท่านออกไป ซัวเจ๋งครั้นได้ทราบดังนั้น แลได้ยินอักษรสองคำว่าเห้งเจียดุจดังว่าน้ำทิพย์มายาใจ มีความรื่นเริงหาที่เปรียบมิได้ก็รีบออกมายังประตูถ้ำ แลเห็นเห้งเจียคำนับแล้วพูดว่า วันนี้พี่อยู่บนฟ้ามาหรือ ขอให้ช่วยข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด
เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า เมื่อก่อนนั้นหากว่าอาจารย์ภาวนาคาถา ช่วยกันแก้ไขบ้างก็จะดี กลับทำพูดส่อเสียดจะรับรักษาพระอาจารย์ไปทางไซทีให้ตลอด ทำไมไม่ไปกลับมาคุดคู้อยู่ที่นี้เล่า ซัวเจ๋งจึงพูดว่าพี่เป็นคนกุนจือ การที่แล้วไปไม่ควรกลับเอามากล่าว ซัวเจ๋งก็พบแก่โป๊ยก่าย จึงเล่าถึงการเมื่อวานนี้ให้ฟัง เห้งเจียว่าอย่าพูดให้ช้าการ เจ้าสองคนจงรีบเอาเด็กนี้ไปยังเมืองเชียงโป๊ก๊กก่อน ล่อปีศาจอึ่งเพ้า ที่นี่ไว้ธุระพี่จะคอยมันมา ซัวเจ๋งว่าจะล่อมันอย่างไร
เห้งเจียว่า น้องทั้งสองจงเอาเด็กไปยังปราสาทในพระราชวัง เอาเด็กนี้ฟาดลงกับพื้น ถ้าใครถามก็จงบอกว่าเด็กนี้เป็นลูกของปิศาจอึ่งเพ้าจับมาได้ ถ้าปีศาจเห็นแล้ว รู้ดังนั้นก็คงกลับมายังถ้ำ พี่ไม่ต่อสู้แก่มันในเมือง โดยเห็นว่าราษฎรจะตกใจแตกตื่นวุ่นวายกัน โป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็คำนับลาอุ้มเด็กเหาะกลับตรงเข้าไปในเมืองเชียงโป๊ก๊ก
เห้งเจียเห็นคนทั้งสองไปแล้ว ก็เดินเข้าไปยังประตูใน ก๋งจู๊จึงเดินมาถามว่า ท่านเป็นคนอยู่ในศีลในธรรม ทำไมไม่ถือธรรมเนียม ท่านว่าให้ปล่อยน้องท่าน ๆ จะปล่อยลูกเรากลับ นี่น้องท่านเราก็ปล่อยไปแล้ว ทำไมท่านจึงไม่คืนลูกของเรามาให้เราเล่า เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ก๋งจู๊อย่าเพิ่งโกรธก่อน บุตรท่านข้าพเจ้าให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งพาไปเฝ้าพระเจ้าตาแล้ว ก๋งจู๊ว่าท่านทำอย่างนั้นมิผิดหรือ คืออึ่งเพ้านั้นไม่เหมือนคนทั้งหลาย
เมื่อวานนี้น้องของท่านทั้งสองรูปร่างดูแข็งแรงยังสู้มันไม่ได้ ตัวของท่านผอมดุจคนรื้อไข้จะมีฝีมืออย่างไรจึงจะจับมันได้ เห้งเจียพูดว่าอันฝีมือนั้นก่งจู๊ยังไม่เคยเห็นข้าพเจ้ากำจัดปีศาจดอก ก๋งจู๊ถามว่าท่านทำอย่างไร จึงจะปราบมัน ได้ เห้งเจียว่าจงหาที่ซ่อนตัวไว้ข้าพเจ้าคอยมันกลับมา จะได้ตีมันให้ล้มลงแล้ว ข้าพเจ้าจะพาก๋งจู๊กลับไปเมือง ก๋งจู๊ได้ ฟังเห้งเจียแนะนำดังนั้น ก็กลับเข้าไปในถ้ำหาที่แอบซ่อนตัวอยู่ เห้งเจียก็แปลงกายเป็นเหมือนก๋งจู๊นั่งคอยท่าอึ่งเพ้าอยู่ในถ้ำ ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง อุ้มลูกปีศาจสองคนเหาะมายังพระราชวังใน ครั้นถึงน่าพระที่นั่ง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็เอาเด็กนั้นฟาดลงกับพื้น ร่างกายเด็กทั้งสองก็อ่อนน่วมไปทั้งตัว เวลานั้นกำลังขุนนางข้าราชการอยู่พร้อมกัน เมื่อได้เห็นดังนั้นก็พากันตกใจว่าไม่ดีแล้ว บนฟ้าฟาดคนลงมาสองคน โป๊ยก่ายร้องประกาศด้วยเสียงอันดังว่า อ้าย เด็กสองคนนั้นคือลูกของปีศาจอึ่งเพ้า ข้าพเจ้าโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งไปจับมันมาได้เอง ฝ่ายปิศาจกำลังเมานอนอยู่ในตำหนักงึ้นอันเต้ย เวลานั้นกำลังนอนฝัน ได้ยินเสียงคนออกชื่ออึ่งเพ้า ก็ตกใจพลิกตัวตื่นเงยหน้ามองดู เห็น
โป๊ย ก่ายกับซัวเจ๋งยืนอยู่บนเมฆสองคน ทำอึกกะทึกแส้เสียง อึ่งเพ้าจึงดำริแต่ในใจว่า เมื่อวานนี้โป๊ยก่ายก็หนีแล้ว ซัวเจ๋งก็จับได้ขังไว้ในถ้ำ ทำไมมันจึงมาได้ และลูกของเราก็อยู่ในถ้ำ ทำไมจึงมาตกอยู่ในมือมันได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะกลับไปดูที่ถ้ำก่อน จะมีเหตุร้ายดีประการใด แล้วเราจึงค่อยกลับมาโต้ตอบแก่มันก็ไม่ช้าอะไร
คิดดังนั้นแล้วก็
มิได้เข้าไปลาเจ้าเมือง รีบเหาะตรงไปยังถ้ำ ในเวลานั้นก็รู้ทั่วกันว่าฮูเบ๊นั้นคือปีศาจยักษ์ เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กจึงรับ
สั่งให้คอยระวังเสือเฒ่านั้น ฝ่ายอึ่งเพ้ามาถึงถ้ำจึงเดินเข้าไปในประตู เห้งเจียแปลงนั่งคอยท่าปีศาจ พอแลเห็นเดินเข้า
มาเห้งเจียเอานิ้วหยิกนัยน์ตาแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตาก็ไหลลงอาบกาย แล้วเอามือทุบอกและทอดกายลงดิ้น
ร้องไห้เสียงโฮ ๆ เมื่อปีศาจอึ่งเพ้าเห็นดังนั้น ก็อดกลั้นอยู่มิได้วิ่งมาใกล้ลูบไล้ใต่ถามว่าเป็นอย่างไรที่ไหนหรือ จึงได้
เศร้าโศกเดือดร้อนรำคาญอย่างนี้
เห้งเจียจึงมารยาบอกว่าใต้อ๋องมีคำเขาพูดว่า ชายไม่มีเมีย ทรัพย์ไม่มีเจ้าของ หญิงไม่มีผัวตัวก็ลอย
เปล่า เหมือนเมื่อวานนี้ท่านไปเยือนญาติทำไมไม่กลับมา เมื่อเช้าวันนี้โป๊ยก่ายมันมาแย่งเอาซัวเจ๋งไปแล้วมิหนำซ้ำจับ
เอาลูกทั้งสองไปด้วย ข้าพเจ้าขอร้องเท่าไรมันก็ไม่ฟัง มันว่าจะพาไปในพระราชวังเยี่ยมพระเจ้าตา ครึ่งวันแล้วก็
มิได้เห็นลูก ไม่รู้ว่าจะตายเป็นประการใดก็ไม่เห็นใต้อ๋องกลับมาข้าพเจ้าจะทำอย่างไรได้ เพราะฉะนั้นให้มีความ
เจ็บแค้นในใจ จะกลั้นน้ำตาไว้มิได้
อึ่งเพ้าได้ฟังก๋งจู๊เล่าให้ฟังดังนั้น ก็โกรธพูดว่าลูกของเราจริงแล้ว เห้งเจียแปลงพูด
ว่าโป๊ยก่ายมันแย่งเอาไปเสียแล้ว ปีศาจก็โกรธดุจไฟกัลป์ กระโดดโลดเต้นขยับเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า มันเอาลูกกูไปฆ่าเสีย
แล้ว เราจะต้องจับอ้ายสองคนนี้มาฆ่าเสียบ้างจะได้แก้แค้นให้แก่ลูกเรา อึ่งเพ้าพูดแก่ก๋งจู๊แปลงว่าเจ้าอย่าโทมนัสร้อง
ไห้ไปเลยในจิตใจของเจ้านั้น เป็นอย่างไรบ้างหรือเปล่า เห้งเจียแปลงบอกว่าไม่เป็นอะไรดอก เพราะข้าพเจ้าคิด
ถึงลูกร้องไห้หนักเข้า ในท้องก็ให้จุกขึ้นมา
ปีศาจพูดว่าเจ้าไม่ต้องรีบรัดใจ อันการจุกเสียดนั้นมีของวิเศษเอาคลึงเข้า
ที่เสียดนั้นก็จะหาย เอานิ้วดีดทีหนึ่งก็ถอนหัวใจของเราออกมา
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ปิศาจก็พาเห้งเจียไปในที่ลับแล้ว สำรอกของวิเศษสิ่งหนึ่งออกมาประมาณ
เท่าฟองไก่ เห้งเจียเห็นก็ดีใจ พูดว่าของนี้ประกอบมากี่ปีจึงสำเร็จเป็นของวิเศษ ข้าพเจ้ามีนิสัยอัน
ใหญ่จึงได้มาเห็นซึ่งของนี้ เห้งเจียจึงหยิบเอามาลองคลึงดูที่น่าอกแล้วก็ลองเอานิ้วดีดดู
ปิศาจก็
ปัดมือจะเอาคืน เห้งเจียก็เอาใส่เข้าในปาก กลืนลงไปในท้องปีศาจกำหมัดจะทุบ เห้งเจียก็เอา
มือหนึ่งยกขึ้นรับไว้ เกาคางทีหนึ่ง ก็แปลงกายกลับเป็นรูปเดิมแล้วจึงพูดว่า อ้ายปีศาจยักษ์มึง
อย่าทำให้ล่วงเกิน เองจงดูว่ากูนี้คือใครจำได้หรือไม่
ปีศาจอึ่งเพ้าเห็นดังนั้นก็ตกใจ พูดว่าก่งจู๊ทำไมเจ้าจึงได้แปรรูปร่างเป็นเช่นนี้ไปเล่า
เห้งเจียว่าเรารู้ว่า เจ้าเป็นปีศาจ มึงว่าใครเป็นเมียของมึง ปู่ย่ายายมึงจำไม่ได้หรือ ปีศาจก็ตรึกนึก
ขึ้นมาว่าข้าจำได้แต่ว่าจำชื่อไม่ได้ เจ้าคือใครที่ไหน และอยู่ที่ไหนมีธุระอะไรมาถึงบ้านเรา ล่อลวงเอา
ของวิเศษของเราไป อันความจริงคือเป็นคนร้าย เห้งเจียว่าทำไมเจ้าจำข้าไม่ได้หรือ เราคือเป็นสานุศิษย์ใหญ่ของพระ
ถังซัมจั๋ง นามเรียกว่า ซึงหงอคงเห้งเจีย
เมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้นเราเป็นปู่ย่าตาทวดของเอง
ปีศาจพูดว่าอย่าพูดปดเราเลย เราจับถังซัมจั๋งได้มีสานุศิษย์สองคนเท่านั้น นามเรียกว่าโป๊ยก่ายซัว
เจ๋ง ไม่เคยได้ยินแซ่ซึ่งไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน เป็นอ้ายปีศาจผีมาล่อลวงเอาของวิเศษของเราอย่างนี้ เห้งเจียพูดว่า
เรามิได้มาพร้อมกับคนทั้งสองนั้น เพราะเราตีปีศาจตาย อาจารย์โกรธว่าเราดุร้ายไล่เราให้กลับไปเสีย จึงมิได้ร่วม
ทางมาด้วยกัน ทำไมเจ้าจึงไม่รู้จักปู่ย่าตาทวดของเองเล่า
อึ่งเพ้าตอบว่าเจ้ามิใช่คนดี อาจารย์เจ้าไล่กลับแล้วยังจะ
แบกหน้ามาดูคนทั้งหลาย เจ้าไม่มีความอายแก่เขาทั้งหลายเลย เห้งเจียด่าว่าอ้ายชาติข้า มึงไม่รู้หรือว่าวันหนึ่งก็
เป็นครู สิ้นชีวิตนบน้อมนั้นเป็นพ่อมึงคิดร้ายทำแก่พระอาจารย์กู ทำไมเราจะไม่มาช่วยเล่า จึงจะได้ทำตามสบาย
ใจของมีง แล้วมีงด่าลับหลังกูทำไม ปีศาจตอบว่าข้าได้ด่าเจ้าที่ไหน เห้งเจียว่าโป๊ยก่ายบอกแก่เราว่าเจ้าด่าเรา
ปีศาจว่าอ้ายตือโป๊ยก่าย อ้ายปากแหลมมันหัดฝีปากแม่สื่อ ทำไมจึงพอใจเชื่อมัน เห้งเจียว่าเจ้าอย่าพูดให้มากไป
เลย โหยกเหยกเสียเวลา เจ้ามีความเกียจคร้าน แขกมาทางไกลไม่มีอะไรจะเลี้ยงแขก เจ้าจงยื่นหัวออกมาให้เรา
ตีสักทีหนึ่งเป็นชาแก้อยากน้ำร้อน
อึ่งเพ้าหัวเราะแล้วพูดว่าเห้งเจียเจ้าเข้าใจผิดไป แม้ว่าเจ้าอยากจะตี ไม่ต้องถึง
ตัวเรา พวกบริวารของเราอเนกอนันต์ตัง ตามใจเจ้าจะเลือกตีเอาเรา วิตกกลัวว่าเจ้าจะออกประตูไม่ได้ ว่าแล้วอึ่ง
เพ้าก็เรียกปีศาจน้อยทั้งหลายให้ล้อมกั้นประตูไว้ทุกประตูโดยความแน่นหนา
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง มือก็ถือกระบองเหล็กร้องแปลงก็แปลงสามหัวหกมือ
จับกระบองสามอันก็ตรงเข้ามายังพวกปีศาจตีขนาบตายราบไปทั้งสิ้น เหลือแต่อ้ายปีศาจอึ่งเพ้าหนีลอดออกมานอก
ประตูถ้ำได้ แล้วร้องด่าว่าอ้ายชาติลิงไพร มึงอวดดีมาบุกรุกยังที่เขา ว่าแล้วก็กระโจนฟันเห้งเจียด้วยดาบเห้งเจียเอา
กระบองเหล็กรับ ต่างต่อสู้กันไปมาประมาณหกสิบเพลง
เห้งเจียคิดแต่ในใจว่าปีศาจนี้มันมีมีดดาบ รบแข็งแรงอาจ
รับกระบองได้ ฝีมือมันก็เข้มแขง จำเราจะล่อให้มันไล่ตามแล้วจึงหวนกลับมา มันเสียท่ามีดนั้นก็จะเอาได้ คิดดังนั้น
แล้วเห้งเจียก็ยกกระบองขยับล่อทำท่าหนีออกห่าง ปีศาจมือถือมีดดาบไล่รุกตามมา เห้งเจียเห็นได้ทีก็หวนกลับสวนมา
ปีศาจรับไม่ทัน เห้งเจียเอากระบองตีปัดมีดดาบกระเด็นไป แล้วตีถูกปีศาจทีหนึ่ง ปีศาจก็สูญหายไปในทันทีนั้น
เห้งเจียก็ยืนคิดอยู่ว่า ปีศาจเห็นจะหนีไปแล้ว
เห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศแลหาจนรอบทั้งแปด
ทิศก็มิได้เห็น จึงคิดขึ้นได้ว่า ปิศาจมันได้พูดว่าจำเราได้ ชะรอยจะเป็นดาวลงมาจากสวรรค์ จำเรา
จะขึ้นไปค้นดูจะเป็นปีศาจเจ้าอะไร คิดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นไปยังประตูสวรรค์น่ำทีหมึง เดินเข้าไปใน
ปราสาทธงเม่งเต้ยพบซีใต้เซียนซือทักว่าเห้งเจียท่านไปข้างไหนมา เห้งเจียคำนับบอกว่าข้าพเจ้า
ตามถังซัมจั๋งไปไซที บัดนี้มาถึงเมืองเชียงโป๊ก๊ก มีปีศาจยักษ์ลักเอาลูกสาวเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กไป
แลทำร้ายแก่พระถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าได้ต่อสู้มันได้หนีสูญหายไป ข้าพเจ้าคิดเห็นว่ามันจะเป็นเจ้าหรือ
ดาวบนสวรรค์ลงไป จึงได้ตามมาตรวจว่าจะเป็นเจ้าภูมิอารักษ์ตนใด
ซีใต้เซียนซือได้ฟังเห้งเจียบอก
ดังนั้น ก็นำความเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ ตรัสสั่งให้ตรวจดู ซีใต้เซียนซือก็ไปเที่ยวตรวจ
ทุก ๆ ภูมิห้องชั้นฟ้าดาวดึงส์ ก็ไม่มีเทพยดาองค์ใดหายไป อยู่พร้อมกันทุกภูมิที่ แล้วก็ตรวจรอบ
นอก ตามภูมิดาวทั้งหลายตรวจไปก็เห็นในภูมิยี่สิบแปดดาวนั้น ยังเหลือแต่ยี่สิบเจ็ดดวง หายไปแต่
ดาวกุยแช
ซีใต้เซียนซือก็นำความมากราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ จึงตรัสถามว่า หายไปสักกี่วันแล้ว
ซีใต้เซียนซือทูลว่าหายไปได้สิบสามวันแล้ว
เง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสว่า อันสิบสามวันในดาวดึงส์นี้ เป็นสิบสามปีในมนุษย์โลก จึงรับสั่งให้หมู่ดาวลงไปตามกุยแช
หมู่ดาวทั้งหลาย ก็พร้อมกันถวายบังคมลาออกจากปราสาทวิมานเล่งเซียวเต้ย ไปยังประตูน่ำทีหมึงก็พากันเหาะลง
ยังเขาอั๊วจื๊อซัว ครั้นถึงหมู่ดาวก็พักอยู่กลางอากาศ เดิมเมื่อปีศาจหนีเห้งเจียนั้น หมู่ดาวบนสวรรค์ก็เกรงฤทธิ์เห้งเจีย
จึงพากันมาหลบอยู่ที่ริมเขานั้นจึงไม่เห็น ครั้นปีศาจกุยแชได้ยินหมู่ดาวภาวนาเรียกจึงได้ออกมาให้เห็น หมู่ดาวก็พา
ตัวปีศาจไปยังสวรรค์
เห้งเจียเมื่อเห็นปีศาจมา ก็เข้ามาสกัดหน้าจะใคร่ตี หมู่ดาวทั้งหลายจึงห้ามว่าอย่าให้ทำเลย จงขึ้นไป
เฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้เถิด เห้งเจียก็พร้อมกับหมู่ดาวตามขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ ครั้นถึงหมู่ดาวก็นำเข้าถวาย กุยแชก็
เอาป้ายทองคำถวาย แล้วก็ถวายบังคมรับผิดสารภาพตามโทษที่กระทำ
เง็กเซียงฮ่องเต้ จึงตรัสถามกุยแชว่า บนสวรรค์นี้เป็นบรมสุขสำราญ เหตุใดท่านจึงได้หนีลงไปอยู่
ในมนุษย์โลกทำไม กุยแชจึงกราบทูลว่า ซึ่งโทษของข้าพเจ้ากระทำผิด ก็ถึงประหารชีวิตแล้วแต่ขอพระองค์ได้โปรด
เหตุทั้งนี้เป็นด้วยนางก๋งจู๊บุตรีเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊ก คือนางฟ้า (เง็กนึ้ง) อยู่ในตำแหน่งพีเฮียง มิจิตปฏิพัตผูกรักแก่
ข้าพเจ้า ๆ จึงวิตกว่าจะเป็นความมัวหมองในวิมานสถานทิพย์จึงให้จุติลงไป เอากำเนิดเป็นนางก๋งจู๊ที่สาม ของพระเจ้า
แผ่นดินเมืองเชียงโป๊ก๊ก ข้าพเจ้ามีความผูกพันธ์จึงได้แปลงกายเป็นปีศาจลงไปยังมนุษย์โลกจองเอาภูเขาอั๊วจื๊อซัว เป็น
สถานที่อาศัย จึงได้พานางมาอยู่ด้วยกันที่ในถ้ำนั้นประมาณสิบสามปี บัดนี้เห้งเจียมาถึงก็เป็นความสำเร็จตามประสงค์
แล้ว ข้าพเจ้าก็ยอมรับโทษซึ่งได้กระทำผิดล่วงละเมิดโดยพละการ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
เง็กเซียงฮ่องเต้ครั้นได้
ทรงฟังกุยแชกราบทูลดังนั้น พระองค์จึงเก็บป้ายทองคำนั้นไว้ ถอดกุยแชออกจากหมู่ดาวส่งไปให้อยู่กับท้ายเสียงเล่า
กุนในชั้นดุสิต ช่วยในการสุมไฟเอาคุณถ่ายซึ่งโทษ เห้งเจียเห็นเง็กเซียงฮ่องเต้ปรับโทษกุยแชแล้วก็มีความยินดี
ถวายบังคมลาแลคำนับลาหมู่เทพบุตรแล้วก็ออกมายังประตูน่ำทีหมึง เหาะมายังเขาอั๊วจื๊อซัวถ้ำปอง้วยต๋อง ครั้นถึงก็เข้า
ในถ้ำค้นหานางก๋งจู๊ แล้วก็เล่าความตามที่เป็นมาให้นางก๋งจู๊ฟังทุกประการ
ในทันใดนั้นโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็มาถึง เห้งเจียจึงพานางก่งจู๊ออกจากถ้ำกลับมาเมืองเชียงโป๊ก๊ก
บัดเดี๋ยวก็ถึงพระราชวังโดยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของเห้งเจีย นางก๋งจู๊ก็เดินตรงเข้าปราสาทกิมหลวนเต้ยคำนับพระราช
บิดา บรรดาพวกข้าราชการฝ่ายหน้าแลฝ่ายใน ก็พากันแวดล้อมเยี่ยมเยือนก๋งจู๊ ๆ กราบทูลพระราชบิดาว่า เห้ง
เจียได้ปราบปรามปีศาจด้วยกำลังอิทธิฤทธิ์เข้มแขง จึงได้รอดชีวิตมาเห็นพระพักตร์พระราชบิดาและหมู่พระญาติ
เจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กเมื่อได้เห็นพระราชธิดากลับมาได้แล้ว ก็มีพระทัยยินดีเบิกบานยิ่งนัก จึงตรัส
ถามว่าอันปีศาจคือดาวกุยแชแปลงกายมา นางก่งจู๊คือนางฟ้าเง็กนึ้งนั้น อยู่ในตำหนักพีเฮียงบนสวรรค์จุติลงมา
โดยมีนิสัยต่อกัน จึงได้เป็นภรรยาสามีกันฉะนั้นหรือ เห้งเจียก็ทูลว่าเป็นดังนั้น แลบัดนี้เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ปรับโทษ
กุยแชถอดเสียจากหมู่ดาวให้ไปอยู่กับท้ายเสียงเล่ากุนเป็นพนักงานสุมไฟ พระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กเมื่อได้ทรงฟังเห้ง
เจียดังนั้น ก็มีความขอบคุณเห้งเจียยิ่งนัก จึงรับสั่งให้เห้งเจียไปดูพระอาจารย์
ขุนนางทั้งหลายก็ช่วยกันหามกรง
เหล็กที่ใส่เสือเฒ่านั้นออกมาแล้วให้ถอดซี่กรงนั้นออก คนอื่น ๆ เห็นพระถังซัมจั๋งเป็นเสือเฒ่า แต่เห้งเจียผู้เดียวเห็น
พระอาจารย์ว่าถูกเวทมนต์ของปีศาจ แต่ปากแข้งขาไหวติงไม่ได้ เห้งเจียเห็นดังนั้นหัวเราะแล้วจึงพูดว่า พระอาจารย์
ทำไมไม่แก้ไขเล่า ท่านเห็นว่าเราเป็นคนดุร้ายไล่ให้เรากลับไปเสีย เหตุใดท่านจึงเป็นรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวดังนี้เล่า โป๊ยก่ายจึงพูดแก่เห้งเจียว่าพี่จะช่วยก็จงช่วยท่านเถิด จะทำพูดล้อเล่นเช่นนี้หาควรไม่
เห้งเจียว่า
สารพัดที่เจ้าจะพูดส่อเสียดยุยง เธอจึงได้เข้าใจว่าเจ้าเป็นคนดี ข้าเป็นคนไม่ดีเจ้าคนดีทำไมจึงไม่ช่วยเธอเล่า ยังมี
หน้ามาว่าเราอีกเล่า เดิมมาเราได้บอกว่าจะไปแก้แค้นปีศาจที่ด่าเรา เราก็ได้แก้แค้นสมประสงค์แล้ว เราจะกลับไปยังถ้ำ
ของเราตามเดิม
ซัวเจ๋งได้ยินเห้งเจียพูดว่าจะกลับไป จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า พี่ไม่เห็นแก่หน้าพระอาจารย์ก็
จงเห็นแก่พระพุทธเจ้าเถิด แม้ว่าพวกข้าพเจ้าช่วยได้แล้ว ก็จะไม่ต้องไปหาพี่ทางไกลเลย
เห้งเจียได้ฟังซัวเจ๋งพูด
ดังนั้นก็หัวเราะแล้วพยุงซัวเจ๋งให้ลุกขึ้นพูดว่า เหตุใดพี่จึงจะไม่ช่วยเล่าเจ้าจงเอาน้ำมาโดยเร็วเถิด ซัวเจ๋งจึงไปตักน้ำ
มาให้เห้งเจีย ๆ รับน้ำมาวางบนมือแล้วร่ายพระเวทคาถา เสกน้ำพ่นพระอาจารย์ก็คลายซึ่งเวทมนต์นั้น พระถังซัม
จั๋งก็แปรกลับตามรูปเดิม พระถังซัมจั๋งก็มาจับมือเห้งเจียถามว่า เห้งเจียมาจากไหน ซัวเจ๋งจึงเล่าความตามซึ่งโป๊ย
ก่ายได้ไปเชิญเห้งเจียมา แลทั้งได้ช่วยก๋งจู๊ให้กลับเมืองได้แล้ว แลได้คลายเวทมนต์ของปีศาจที่ทำแก่พระอาจารย์ให้
แก่พระอาจารย์ด้วย
พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็มีความยินดีแลขอบคุณเห้งเจียเป็นอันมาก จึงพูดว่าสานุศิษย์ได้
พึ่งเจ้าผู้เดียว ถ้าไปถึงไซทีสำเร็จแล้วได้กลับไปยังเมืองใต้ถังแล้ว จะนำความชอบของเห้งเจียขึ้นถวายพระเจ้าถังไท
จงฮ่องเต้ให้ทรงทราบว่าเป็นที่หนึ่งในความชอบ เห้งเจียว่าการอันนี้พระอาจารย์ไม่ต้องพูด ข้าพเจ้าก็คงรู้พระคุณของ
พระอาจารย์อยู่เอง
ฝ่ายเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊ก จึงสั่งให้จัดโต๊ะเครื่องแจเลี้ยงทั้งอาจารย์และศิษย์ แล้วให้นำเงินทองสิ่งของ
ดีต่าง ๆ มาถวายพระถังซัมจั๋งเป็นรางวัล พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็มิได้รับ กลับถวายคืนไว้เป็นพระราชทรัพย์ไปตาม
เดิม ครั้นเสร็จธุระแล้ว พระถังซัมจั๋งกับศิษย์สามคนก็คำนับลาพระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊ก ๆ กับขุนนางก็พากัน
ตามส่งจนกระทั่งประตูเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น