Translate

15 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 4 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖      
      
ซิ่วแชองค์นี้ คือเทวดาดาวอายุยืน ท่านเป็นมิตรสหายกันกับฮกแชแลลกแช ซิวแชเธอสำเร็จภาคอย่างวิเศษอายุยืนชั่วกัลป์ เมื่อเห้งเจียทำลายโค่นต้นยิ่นเซียมก๊วย ท่านติ๋นหงวนต้ายเซียนให้เห้งเจียไปเที่ยวหายามาแก้ให้กลับฟื้นคืนเป็นมายังเดิม จึงได้สิ้นความโกรธเคืองกัน ครั้นพระโพธิสัตว์กวนอิม มาชุบต้นยิ่นเซียมก๊วยฟื้นแล้ว ซิ่วแชก็พร้อมด้วยท่านฮกแชแลลกแช พากันกลับไปยังสำนักเกาะพ้องโล้ยังเดิม
ปิศาจยักษ์ อึ่งเพ้าใต้อ๋องตนนี้ เดิมคือดาวกุยแช อยู่ในหมู่ดาว ๒๘ ดวงบนสวรรค์ เมื่อครั้งก่อนนั้นผูกสมัครรักใคร่กันกับนางฟ้าองค์หนึ่ง ซึ่งมีนามว่าเง็กหนึง นางเง็กหนึงจุติลงมาเอากำเนิดเปนพระราชธิดาของพระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊ก อึ่งเพ้าปิศาจยักษ์ก็จุติตามลงมาอาศัยที่เขาอั๊วจือซัว แลลักเอาราชบุตรีของเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กไปเป็นภรรยา ภายหลังได้รบกันกับเห้งเจีย เง็กเซียงฮ่องเต้ให้หมู่ดาวยี่สิบแปดดวงลงมาตามตัวกลับขึ้นไปอยู่สวรรค์เปนดาวอยู่ตามเดิม
พระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กพระองค์นี้ พระองค์ครองราชสมบัติตามทางทศพิธราชธรรม ปกครองฝูงราษฎร์ในพระราชอาณาเขตของพระองค์ให้อยู่เย็นเป็นสุขทั่วหน้าประชาชน พระองค์มีพระราชบุตรีสามพระองค์ พระองค์ที่สามทรงพระนามว่าแปะฮวยเซียว ๆ นี้ถูกอึ่งเพ้าใต้อ๋องปิศาจยักษ์จับเอาไปเป็นเมียอยู่ในถ้ำสิบสามปี เกิดบุตรด้วยอึ่งเพ้าสองคน ขายหนึ่งหญิงหนึ่ง ภายหลังพบกับพระถังซัมจั๋งแลสานุศิษย์ทั้งสามคน ช่วยเป็นธุระแก้ไขรบพุ่งแก่ปิศาจอึ่งเพ้า นางจึงได้กลับไปยังสถานบ้านเมืองตามเดิม
นางเง็กนึ้งฮวยเซียวนี้เดิมเป็นนางฟ้า อยู่ในวิมานตำหนักทีเฮียง มีจิตปฏิพัทธ์ผูกรักกับดาวกุยแช นางจึงได้จุติลงมาเอากำเนิด เป็นราชธิดาแห่งพระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊ก เป็นพระราชบุตรีที่สามทรงพระนามว่า เง็กนึ้งกงจู๊ อึ่งเพ้าปิศาจยักษ์จึงได้ลักไปไว้เป็นภรรยา เกิดบุตรด้วยอึ่งเพ้าสองคนเป็นขายหนึ่งหญิงหนึ่ง เห้งเจียไปปราบอึ่งเพ้าได้จึงได้พานางเง็กนึ้งกงจู๊กลับไปบ้านเมือง อึ่งเพ้าก็กลับไปเป็นดาวกุยแชอยู่ตามเดิม
กิมกั๊กใต้อ๋อง เดิมเป็นสานุศิษย์ของท่านท้ายเสียงเล่ากุน กิมกั๊กเป็นผู้รักษาเบ้าทอง ที่ลักเอาของวิเศษของท้ายเสียงเล่ากุนไปหนีลงมาเกิดในมนุษย์โลก ตั้งตัวเป็นอ๋องอยู่ตำบลเขาเพ่งเต๊งซัวถ้ำเน่ยฮวยต๋อง สกัดจับพระถังซัมจั๋งไปขังไว้ในถ้ำเน่ยฮวยต๋อง เห้งเจียแผลงฤทธิ์ไปจับตัวได้ ท้ายเสียงเล่ากุนต้องลงมาตามขอโทษเห้งเจีย พากลับไปอยู่วิมานดุสิตตามเดิม
งึ้นกั๊กใต้อ๋องตนนี้ เดิมเป็นสานุศิษย์ของท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุน ร่วมคิดกันกับกิมกั๊กลักเอาของวิเศษของท้ายเสียงเล่ากุนพรหมไปจุติลงมาเกิด อาศัยตั้งตัวอยู่ในตำบลเขาเพ่งเต๊งซัวตั้งตัวเปนอ๋อง ทั้งสองคนนี้แผลงฤทธานุภาพ จับพระถังซัมจั๋งไปไว้ในถ้ำ เห้งเจียตามไปพบได้สู้รบกันโดยความสามารถ เห้งเจียจับได้ ท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุนลงมาขอโทษพาไปไว้ยังชั้นดุสิตตามเดิม
อาชิตใต้อ๋องตนนี้ กำเนิดเดิมเป็นเสือปลา ได้รักษาศีลภาวนาอยู่ที่เขาน่ำซัวช้านาน จึงได้สำเร็จภาคเนรมิตบิดเบีอนเปลี่ยนแปลงกายได้ต่าง ๆ กิมกั๊กงึ้นกั๊กใต้อ๋องทั้งสอง นับอาชิดใต้อ๋องว่าเป็นน้าชาย เมื่อกิมกั๊กงึ้นกั๊กใต้อ๋องทั้งสองรบกับเห้งเจียสู้เห้งเจียไม่ได้ กิมกั๊กงึ้นกั๊กทั้งสองจึงได้ไปเชิญอาชิดใต้อ๋องผู้น้าให้มาช่วย ถูกเห้งเจียโป๊ยก่ายสับด้วยคราดเหล็ก จึงได้ถึงแก่ความตาย
เจ้าเมืองโอเกยก๊กพระองค์นี้ ครองราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรม มีพระทัยเมตตาปราณีแก่ประชาราษฎร สมัยนั้นฝนแล้งบังเกิดการกันดารเข้าปลาอาหารแพง พระองค์จึงได้ตั้งพิธีฃอฝน มีปิศาจช่วนจินแปลงกายเป็นฤาษีวุ เต้าหยินมาช่วยเรียกฝนเรียกลม ครั้นฝนและลมมีมาดังประสงค์ ราษฎรได้ความสุข พระองค์จึงได้ทรงนับถือเต้าหยินเป็นมิตรสหาย ภายหลังช่วนจินผลักพระองค์ลงในสระ ช่วนจินชิงเอาสมบัติขึ้นครองเมือง พระถังซัมจั๋งมาถึงเมือง รู้เหตุจึงให้เห้งเจียช่วยพระองค์ได้กลับคืนครองราชสมบัติไปตามเดิม
ช่วนจินเต้าหยินผู้นี้ เดิมกำเนิดเป็นราชสีห์ของพระโพธิสัตว์บุญซู้ขี่พาหนะ เธอแปลงกายลงมาเป็นเต้าหยิน ผูกสมัครรักใคร่เป็นมิตรสหายกับพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กได้สองสามปี จึงคิดประทุษร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก แปลงตัวปลอมเป็นพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กครองราชสมบัติมาได้ เมื่อเห้งเจียมาถึงเมืองจึงได้กำจัด พระโพธิสัตว์บุญซู้ก็เสด็จมาช่วยเห้งเจียจับ พาไปไว้ยังเดิม
      หงอคงเหาะเร็วกว่าไทเป๊กกิมแช ครั้นถึงก็เข้าไปในประตูนำทีหมึง ท้าวจตุโลกบาล คือ เจงเซียนทีอ๋องหมึง กับนายทหารทั้งสาม คือ พั่งล้าวเซียน หนึ่ง เตงซึงเซียน หนึ่ง เตียวกอเซียน หนึ่ง ถืออาวุธกั้นหน้าหงอคงไว้ห้ามมิให้เข้าไป
      หงอคงจึงพูดว่า ไทเป๊กกิมแชนี้เห็นจะไปหลอกเรา แต่เดิม
ได้บอกแก่เราว่า เง็กเซียงมีหนังสือรับสั่งให้เชิญเราขึ้นมา เหตุไรเล่าจึงใช้ทหารถืออาวุธมากั้นกางห้ามมิให้เราเข้าไป หงอคงกำลังพูดอยู่ไม่ทันจะขาดคำลง ไทเป๊กกิมแชก็เหาะมาพอถึงเข้า หงอคงโกรธไทเป๊กกิมแชเป็นกำลัง จึงต่อว่าไทเป๊กกิมแชว่า ท่านบอกว่า เง็กเซียงฮ่องเต้ให้หา แล้วทำไมเล่าจึงให้พวกนี้ถืออาวุธมาคอยห้ามกั้นกางอยู่อย่างนี้
      ไทเป๊กกิมแชจึงตอบว่า ท่านไต้เซียนอย่าเพ่อโกรธขึ้ง
ข้าพเจ้าก่อน เพราะว่าตั้งแต่เดิมนั้นท่านยังไม่เคยขึ้นมา เพราะฉะนั้น ผู้เฝ้าประตูสวรรค์จึงยังไม่ปล่อยให้ท่านเข้าไป แม้ท่านได้รับตำแหน่งยศเข้าในหมู่เทวดาแล้ว ถึงจะไปจะมาก็ไม่มีใครขัดขวางได้เลย
      หงอคงได้ฟังไทเป๊กกิมแชชี้แจงดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าดังนั้น
ข้าพเจ้าจะยังไม่เข้าไป จะคอยอยู่ที่นี่ ไทเป๊กกิมแชว่า ท่านต้องเข้าไปพร้อมกับข้าพเจ้าจึงจะควร ไทเป๊กกิมแชจึงเรียกผู้เฝ้าประตูให้เปิดรับแล้วบอกว่า ท่านผู้นี้เป็นไต้เซียนอยู่ในใต้หล้า เง็กเซียงฮ่องเต้มีลายพระราชหัตถ์ให้เราไปเชิญขึ้นมาเฝ้า ท่านอย่าสงสัยเลย ผู้เฝ้าประตูก็เปิดประตูยอมให้เข้าไป ไทเป๊กกิมแชพาหงอคงค่อยเดินเข้าไป หงอคงเดินพลางพิศดูวิมานปราสาทราชมนเทียรของเง็กเซียงฮ่องเต้เรียงราย ล้วนแล้วแต่ด้วยแก้วอันมีสีต่าง ๆ ประดับประดา มีแสงอันสว่างรุ่งเรืองงดงามหาที่เปรียบมิได้
ไทเป๊กกิมแชพาหงอคงเข้ามาถึงวิมานเหลงเซียวเต้ย แล้วให้รอคอยฟังรับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ ไทเป๊กกิมแชก็เดินตรงเข้าไปยังหน้าพระที่นั่งถวายบังคม แต่หงอคงยืนนิ่งอยู่ส่วนหนึ่ง มิได้ถวายคำนับ คอยเงี่ยแต่ หูฟังอยู่ว่าพระเป็นเจ้าจะตรัสประการใด ไทเป๊กกิมแชจึงกราบทูลว่า ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้าไปว่ากล่าวแก่หงอคงให้ขึ้นมารับ ราชการนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้ลงไปพูดจาชักชวนหงอคง บัดนี้ ได้พาตัวขึ้นมาเฝ้าพร้อมอยู่หน้าพระที่นั่งแล้ว ขอ พระองค์ได้ทรงทราบ
 เง็กเซียงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นหงอคง หงอคงจึงย่อตัวลงแล้วก็ทูลว่า ตัวข้าพเจ้าเองชื่อ ซึงหงอคงไต้อ๋อง ขณะนั้น หมู่เทพยดาทั้งหลายแลเซียนกำลังเฝ้าอยู่พร้อมกันได้ยินหงอคงกราบทูลดูเป็นอาการที่ถือตัว มีความกระด้างมาก ก็พากันหวาดหวั่นสะดุ้งใจ จึงพูดว่า ลิงไพรตัวนี้พูดจาจองหอง ไม่มีความเคารพคารวะอ่อนน้อม ยำเกรงเลย จะต้องถึงความตายเป็นเที่ยงแท้แล้ว ฝ่ายเง็กเซียงฮ่องเต้มีเทวบัญชาทรงโปรดอภัยว่า ท่านทั้งหลายอย่าถือเลย เพราะเขาอยู่ในมนุษย์ โลก ไม่รู้ขนบธรรมเนียมในเมืองสวรรค์ พึ่งจะได้สำเร็จใหม่ ๆ แม้จะมีความผิดพลั้งประการใด ๆ เรายกโทษให้ ไม่ทรงถือ
 หมู่เทพยดาแลเซียนทั้งหลายได้ฟังเง็กเซียงฮ่องเต้โปรดอภัยดังนั้นจึงพากันน้อมกายถวายคำนับขอบพระ คุณที่ทรงพระกรุณาเมตตาแก่สัตว์ทั่วหน้ากัน หงอคงได้ยินรับสั่งดังนั้นก็คุกเข่าถวายคำนับโดยความเคารพ เง็กเซียงฮ่องเต้จึงรับสั่งถามเทพยดาทั้งซ้ายแลขวาว่า ตำแหน่งหน้าที่ขาดแห่งใดบ้าง เราจะตั้ง หงอคงขึ้นให้เป็นเกียรติยศ
 ขณะนั้น ปุนเต๊กแชกุนได้ยินรับสั่งถามดังนั้น จึงคุกเข่าลงคำนับกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ในสวรรค์ขุนนางทุกตำแหน่งมิได้ขาดหน้าที่ ยังขาดอยู่ก็แต่นายกองคนเลี้ยงม้าเท่านั้น ควรจะตั้งให้หงอคงมีหน้าที่ใน ตำแหน่งนี้ เง็กเซียงฮ่องเต้ก็ทรงตั้งให้หงอคงเป็นขุนนางตำแหน่งที่เป๊กเบ๊อุน หงอคงก็มีความยินดีถวายบังคมรับที่ตั้ง เสร็จแล้ว เง็กเซียงฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ปักเต๊กแชกุนพาตัวหงอคงเป๊กเบ๊อุนไปยังที่โรงม้า จัดการมอบให้ดูแลรักษาการ ตามรับสั่ง
 ครั้นหงอคงมาถึงแล้ว ก็ดูแลรักษาการ ตรวจดูสิ่งของเครื่องใช้สอยแลม้า ลงบัญชีไว้เรียบร้อย แล้วมอบให้สมุห์บัญชีเก็บรักษาไว้ตามเดิม ตั้งแต่หงอคงมารับหน้าที่ตำแหน่งเป๊กเบ๊อุน ก็ตั้งใจคอยระวังดูแลการ งานทั้งกลางวันแลกลางคืน มิใคร่จะได้หลับนอน ม้าก็อ้วนพีบริบูรณ์ขึ้นทุก ๆ ตัว ตั้งแต่หงอคงเข้ามาจัดการในโรงม้า แลรักษาการก็เรียบร้อย คิดดูก็รู้สึกว่ากว่าครึ่งเดือนมาแล้ว
 อยู่มาวันหนึ่ง ว่าธุรการสำราญใจ บรรดานายรองที่รับใช้สอยของหงอคงพร้อมมูลกันยกสุราเครื่อง แกล้มมาเลี้ยงหงอคงเพื่อความสำราญแลหมายว่าพึ่งได้รับเกียรติยศที่ตั้งใหม่ ๆ หงอคงก็เข้านั่งรับ ประทานพร้อมกันตามความสบาย หงอคงจึงถามบรรดานายรองรองลงไปว่า อันที่เป๊กเบ๊อุนนี้จะเป็น ขุนนางตำแหน่งยศอะไร นายรองทั้งหลายจึงบอกว่า เป๊กเบ๊อุนเป็นที่นายเลี้ยงม้า หามีตำแหน่งยศ ขุนนางไม่ หงอคงจึงพูดว่า ถ้าไม่มีตำแหน่งขุนนาง คงจะเป็นที่ใหญ่ นายรองตอบว่า ไม่ใหญ่ไม่โตอะไรดอก คือนามเรียกว่ายัง ไม่มีตำแหน่ง หงอคงจึงว่า เหตุใดจึงว่าไม่มีตำแหน่ง นายรองบอกว่า ไม่มีตำแหน่งนั้นคือเป็นที่เล็กที่สุด เป็นแต่ผู้คุม คนเลี้ยงม้าเท่านั้นเอง เป็นที่นี้ ถ้าหากว่าเลี้ยงม้าอ้วน ม้าไม่เจ็บไม่ไข้ ก็ได้ชื่อว่า เลี้ยงม้าดี ไม่มียศศักดิ์อะไร แม้ว่า เลี้ยงม้าผอมไผ่หรือมีโรค ก็จะได้รับซึ่งความอัปยศแล้วก็จะมีโทษด้วย
 หงอคงได้ฟังนายรองทั้งหลายชี้แจงดังนั้นดุจไฟลุกขึ้นในหัวใจ ก็กัดฟันร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า มีความหมิ่นประมาทเราเหลือเกิน เราอยู่ที่เขาฮวยก๊วยซัวเป็นเจ้าเป็นนาย ไปเชิญเรามาย่ำยีให้เราเป็นคนเลี้ยงม้า มีความดูถูกเราอย่างนี้ เราไม่ทำราชการให้เสียเวลา เราจะกลับไปถิ่นที่เดิมของเรา หงอคงพูดดังนั้นแล้วจึงทุลแลถีบ โต๊ะฉีกบัญชีเสียทั้งสิ้น แล้วฉวยกระบองเหล็กกายสิทธิ์ออกจากหู ร่ายพระเวทคาถากวัดแกว่งให้ใหญ่ขึ้น แล้วก็ออก จากที่เลี้ยงม้าเดินตรงออกมาจากประตูสวรรค์นำทีหมึง หมู่เทวดาที่เฝ้าประตูเห็นเป๊กเบ๊อุนก็รู้ว่านายกองเลี้ยงม้า ก็หา ได้พูดจาขัดขวางประการใดไม่ ปล่อยให้ออกประตูไป
 หงอคงเหาะมาประเดี๋ยวก็ถึงเขาฮวยก๊วยซัว แลเห็นนายวานร ทั้งสี่แลพวกปิศาจยักษ์ทุกถ้ำมาประชุมพร้อมกันฝึกหัดเพลงอาวุธอยู่ หงอคงจึงเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ท่านทั้งหลาย เรามาแล้ว ขณะนั้น พวกบริวารวานรแลพวกปิศาจยักษ์ทั้งหลายก็กรูกันเข้ามาคำนับเชิญหงอคงเข้าถ้ำ หงอคง มาถึงก็ขึ้นนั่งบนแท่น แล้วบริวารทั้งหลายก็เข้ามานั่งเรียงรายกันตามหน้าที่ จึงพากันไต่ถามว่า ไต้อ๋องได้ขึ้นบน สวรรค์นั้นได้รับยศศักดิ์ประการใด ขึ้นไปอยู่ก็นานถึงสิบห้าปีมีสุขทุกข์ประการใดบ้าง
 หงอคงจึงบอกว่า ได้ไปอยู่ประมาณสักสิบห้าวันเท่านั้น ทำไมท่านทั้งหลายว่าเราไปอยู่ได้ถึงสิบห้าปี เล่า บริวารว่า ในมนุษย์ปีหนึ่งเป็นวันเดียวในสวรรค์ ท่านไต้อ๋องได้รับตำแหน่งที่อันใด หงอคงได้ยินบริวารถามซ้ำดังนั้นก็ยกมือขึ้นโบกบอกว่า อย่าถามเลย ไม่ควรพูด นึกขึ้นมาแล้วเรา แค้นใจนัก อายเขาเหลือที่จะอาย ด้วยเง็กเซียงฮ่องเต้ไม่รู้จักใช้คน ตั้งให้เราเป็นอะไรก็ไม่รู้เรียกว่า เป๊กเบ๊อุน เป็นที่ นายกองเลี้ยงม้า ไม่มีตำแหน่งเกียรติยศอะไร เดิมเราก็หาทราบไม่
 ครั้นมาวันหนึ่ง เราจึงรู้เหตุเพราะเราถามพวกที่อยู่ ด้วยกันนั้น เขาบอกว่า เป็นที่ขุนนางอย่างต่ำที่สุด เราจึงมีความแค้นใจนัก จึงได้ทำลายสิ่งของเสียสิ้นแล้วเราจึง กลับมา ที่ถ้ำนี้ของเราก็มีความสุขสบายหาที่เปรียบมิได้ บรรดาถ้ำใหญ่น้อยใกล้ไกลก็ยอมมาสามิภักดิ์เข้าด้วยทั้งสิ้น ไปอยู่ทำไมในสวรรค์เป็นที่นายกองเลี้ยงม้า ไม่สมเกียรติยศเลย ป่วยการเปล่า ๆ พวกนายทหารทั้งสี่นายสั่งบริวารทั้งหลายให้จัดสุรามาให้หงอคงไต้อ๋องรับประทานกับเครื่องกิน โอชารสต่าง ๆ
 ในขณะที่หงอคงนั่งรับประทานสุราอยู่นั้น บริวารวานรเข้ามาคำนับบอกว่า ข้างนอกมีต๊อกกั่กกุ๊ย อ๋องสองตนบอกว่า จะขอเข้ามาหาไต้อ๋อง หงอคงจึงให้วานรออกไปพาเข้ามาในถ้ำ ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องเข้ามาถึงเห็น หงอคงนั่งอยู่ท่ามกลางบริวาร ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องทั้งสองก็คุกเข่าลงคำนับแล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้าทั้งสองได้ทราบว่า ไต้อ๋องมีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่ผู้น้อยซึ่งมาสามิภักดิ์อยู่ในความปกครอง กับได้ยินข่าวว่า ไต้อ๋องได้รับเกียรติยศ ในสวรรค์แลกลับลงมา ข้าพเจ้ามีเสื้อแพรเหลืองตัวหนึ่งนำมาคำนับท่านเป็นบรรณาการ แลข้าพเจ้าทั้งสองขอ สวามิภักดิ์อยู่ด้วยท่าน ตามแต่ไต้อ๋องจะใช้สอย
 หงอคงได้ฟังต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องพูดดังนั้นก็พิศดู เห็นต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องทั้งสองหน้าตาดุร้าย มีเขาอยู่ที่ ศีรษะคนละเขา ดูเขานั้นคล้ายแก่เขากระบือ หงอคงเห็นดังนั้นแล้วก็มีความยินดี จึงรับเอาเสื้อแพรสีเหลืองไว้ แล้วก็ ตั้งให้ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องทั้งสองเป็นที่จงต๊กเซียนฮอง คือ แม่ทัพหน้า ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องรับที่แม่ทัพหน้าแล้วจึงคำนับถาม ว่า ไต้อ๋องได้รับยศตำแหน่งที่อะไรในสวรรค์ หงอคงตอบว่า เง็กเซียงฮ่องเต้มีความดูถูกเรามากนัก ตั้งให้เราเป็นที่เป๊กเบ๊อุน คือ นายกองเลี้ยงม้า
 ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องเซียนฮองจึงพูดว่า ไต้อ๋องมีฤทธิ์อานุภาพไม่มีผู้ใดจะต่อต้าน ธุระอะไรมาต้องยอม เป็นที่นายกองเลี้ยงม้า ข้าพเจ้าเห็นว่า ฤทธิ์เดชของไต้อ๋องสมควรจะเป็นซีเทียนไต้เซีย คือ เป็น ใหญ่เสมอฟ้า จึงจะสมควร หงอคงได้ฟังต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องก็มีความยินดี จึงตอบว่า ถ้าท่านเห็นสมควรแล้ว เราก็ยอมตามใจท่าน ทั้งหลาย พูดแล้วก็สั่งวานรผู้ใหญ่ให้ออกไปตั้งเสาธงชักธงยี่ห้อขึ้นให้เขียนอักษรสี่ตัว คือ ซีเทียน ไต้เซีย ตั้งแต่นี้ต่อไปให้เรียกเราอย่างนี้ อย่าให้เรียกไต้อ๋องต่อไป แล้วประกาศให้รู้ทั่วกันทุก ๆ ถ้ำบรรดาที่อยู่ในความปกครอง นายทหารทั้งปวงก็ทำตามคำสั่งทุกประการ
 ฝ่ายเง็กเซียงฮ่องเต้เสด็จออกทิพยบัลลงก์ เทพยดาเฝ้าพร้อมกัน เวลานั้น เตียวเทียนซือเทวบุตรพานายรองเลี้ยงม้า ของเป๊กเบ๊อุนเข้ามาเฝ้าทูลว่า ขอพระเป็นเจ้าได้โปรด ด้วยเป๊กเบ๊อุนนั้นโกรธว่า ได้เป็นที่เล็กน้อย ไม่พอใจ เมื่อจะ หนีกลับไป ได้ทุบต่อยแลฉีกบัญชี ในขณะเมื่อเตียวเทียนซือกราบทูลอยู่นั้น ท้าวจตุโลกบาลเจงเปียงทีอ๋องนำพวก วิษณุกรรมมาเฝ้าถวายบังคมกราบทูลว่า เป๊กเบ๊อุนไม่ทราบว่าอย่างไร เห็นออกไปจากประตูนำทีหมึงแล้ว เมื่อเง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังเทพบุตรทั้งหลายกราบทูลดังนั้น จึงรับสั่งว่า ท่านทั้งสองจงกลับไป ที่อยู่เถิด เราจะจัดเทพบุตรให้ลงไปจับตัวเป๊กเบ๊อุนให้จงได้
 ถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียผู้บุตรทั้งสองมากราบทูลว่า ข้า พระองค์ทั้งสองจะขอรับอาญาสิทธิ์ของพระองค์ลงไปปราบปรามปิศาจวานรให้ราบคาบ ถักทะลีทีอ๋องนี้ คือ หลีเจง แลโลเฉียไทจือ ซึ่งแต่ก่อนมีชื่ออยู่ในห้องสิน พ่อลูกได้มาเป็นเทพบุตร อยู่ในดาวดึงส์
 เมื่อเง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังเทพบุตรรับอาสาดังนั้น จึงรับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องเทพบุตรเป็นแม่ทัพ ให้จัดเทพบุตรเป็นหมวดเป็นกองลงไปยังเขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมจ๋อง จับตัวเป๊กเบ๊อุนมาให้จงได้ ถักทะลีทีอ๋องแลโลเฉียทั้งสองได้รับสั่งดังนั้นแล้วก็ถวายบังคมลาออกไปยังที่ประชุม จึงให้กือเล่งสิน เทวดาเป็นเซียนฮองแม่ทัพหน้า ถักทะลีทีอ๋องจัดเสร็จแล้วพร้อมกันออกประตูนำทีหมึง รับขับพลเทวดาเหาะมายัง เขาฮวยก๊วยซัว ครั้นถึงแล้วก็ตั้งค่ายมั่นลงในที่สมรภูมิชัย
 ถักทะลีทีอ๋องจึงสั่งให้กือเล่งสินเข้าไปท้าชวนรบ กือเล่งสินได้ฟังแม่ทัพสั่งดังนั้นก็ลามาจัดแจงแต่งตัว มือถือขวานเป็นอาวุธออกมาจากค่าย ตรงมา ยังปากถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง กือเล่งสินแลไปเห็นพวกวานรแลพวกปิศาจยักษ์เป็นอันมาก ล้วนเพศพันธุ์รูปกายหน้าตา ต่าง ๆ มือถืออาวุธฝึกหัดซ้อมกันอยู่ กือเล่งสินเห็นดังนั้นจึงร้องตวาดไปด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายพวกปิศาจทั้งหลาย เหล่านี้ เอ็งจงรีบไปบอกเป๊กเบ๊อุนนายของเอ็งว่า เราคือทหารเอกซึ่งอยู่ในดาวดึงส์ รับสั่งพระเป็นเจ้าจอมโลกาเง็ก เซียงฮ่องเต้ให้ลงมาปราบปรามพวกเอ็งให้ราบคาบ เอ็งเร่งไปบอกนายเอ็งให้มาอ่อนน้อมยอมสามิภักดิ์เสียโดยดี แม้ขัดขืนดื้อดึง พวกเอ็งจะถึงแก่ความตายทั้งสิ้น
 ฝ่ายพวกวานรแลอสุระยักษ์ผีปิศาจทั้งหลายเมื่อได้ฟังถ้อยคำกือเล่งสินดังนั้น ก็เข้าไปในถ้ำบอกแก่ ซีเทียนไต้เซียว่า บัดนี้ มีกองทัพยกมาแต่สวรรค์ ตัวแม่ทัพหน้ามาร้องท้าชวนรบบอกว่า เป็นขุนนางผู้ใหญ่ของเง็ก เซียงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ลงมากำจัดพวกวานรแลปิศาจอสุระยักษ์เสียให้สิ้น แล้วบอกแก่ข้าพเจ้าให้เข้ามาบอกแก่ไต้ เซียนให้รีบออกไปยอมสามิภักดิ์เสียโดยเร็ว ถ้าขัดขืนจะทำลายถ้ำเสียให้ราบเป็นหน้ากลองไป ซีเทียนไต้เซียได้ฟังดังนั้นจึงให้วานรเอาเครื่องแต่งตังมาแต่ง เสร็จแล้วมือก็ถือกระบอกเหล็กกายสิทธิ์ พาพวกบริวารเดินออกจากถ้ำ ทั้งสี่วานรนายทหารใหญ่ก็คุมพวกพลวานรแลปิศาจอสุรกายตั้งเป็นกระบวนทัพตาม พิชัยสงคราม คอยระวังคิดจะต่อสู้อยู่โดยสามารถ
 ฝ่ายกือเล่งสินแลเห็นจึงร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายชาติวานรชั่วร้าย เอ็งจำเราได้หรือไม่ ซีเทียนไต้เซียได้ยินดังนั้นจึงร้องตอบไปว่า เราหารู้จักว่าตัวเจ้าเป็นชาติอะไรไม่ เจ้าจงรีบบอกชื่อแล แซ่มาให้รู้จักไว้ก่อน กือเล่งสินจึงตอบว่า ตัวเป็นชาติวานรจึงไม่รู้จักเรา เจ้าจำเราไม่ได้หรือ ตัวเราคือเทวดา เป็นเซียน ฮองแม่ทัพหน้าของถักทะลีทีอ๋อง ถักทะลีทีอ๋องถือรับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ลงมาปราบปรามตัวเจ้า แม้ว่ารู้สึกตัว กลัวความตายแล้ว ให้รีบอ่อนน้อมแก่เราเสียโดยดี เราจะช่วยเบี่ยงบ่ายแก้ไขขอโทษที่เจ้าได้กระทำหยาบช้าแก่ เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าขัดขืนดื้อดึงถือดีว่ามีกำลังฤทธิ์เดช ก็จะถึงแก่ความตายด้วยฝีมือเราเป็นเที่ยงแท้
 ซีเทียนไต้เซียได้ฟังดังนั้นจึงร้องตอบไปว่า เจ้าอย่าอวดอ้างวางโตให้มากเกินไป จะถูกด้วย กระบองเหล็กสักที เดี๋ยวก็จะบี้แบนป่นเป็นจุณไป เพราะฉะนั้น เราจะไว้ชีวิตก่อน ให้เจ้ากลับไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า พระองค์หารู้จักใช้คนไม่ เรามีฤทธาศักดานุภาพดีทุกสิ่งทุกอย่าง อาจจะปราบภูตผีปิศาจแลยักษ์มารแลคนพาลชั่ว ร้ายในโลกได้ เหตุใดจึงตั้งให้เราเป็นนายกองเลี้ยงม้าโดยความดูถูกเราเหลือเกินนัก ตัวจงดูเสาที่เราปักธงขึ้น ไว้นั้น ถ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ตั้งเราเป็นขุนนางตามอักษรสี่ตัวนี้แล้ว เราก็จะเลิกการรบพุ่งไม่ชิงชัย ถ้าไม่ตามใจเรา อย่างนี้ เราก็จะตีกระหนาบขึ้นไปยังดาวดึงส์ให้ถึงปราสาทเหลงเซียวเต้ย มิให้เง็กเซียงฮ่องเต้มีความสุขอยู่ได้
 กือเล่งสินเทพบุตรได้ยินถ้อยคำของซีเทียนไต้เซียดังนั้น จึงเหลือบขึ้นไปดูบนเสาธง เห็นมีอักษรอยู่ สี่ตัว คือ ซีเทียนไต้เซีย เห็นแล้วก็หัวเราะ พูดว่า อ้ายเดรัจฉานมิได้รู้จักหนักแลเบาว่าฟ้าต่ำดินสูง อยากจะเป็น ซีเทียนไต้เซีย จงมาลองดูคมขวานของเราเสียก่อนว่าจะคมตัดคอเอ็งขาดได้หรือไม่ ว่าดังนั้นแล้ว กือเล่งสินขยับ ยกขวานฟันลงตรงศีรษะซีเทียนไต้เซีย ซีเทียนไต้เซียยกกระบองเหล็กกายสิทธิ์ขึ้นรับ ขวานก็สะท้อนมือกือเล่งสิน แทบจะหลุด ง่ามมือกือเล่งสินฉีกโลหิตไหล
 กือเล่งสินทานกำลังซีเทียนไต้เซียมิได้ จวนจะหนีอยู่แล้ว ซีเทียนไต้เซียยกกระบองขึ้นตี กือเล่งสินยกขวานขึ้นรับ ด้ามขวานหักออกไปเป็นสองท่อน กือเล่งสิน กระโดดถอยหนีรีบกลับไปยังค่ายโดยเร็ว ซีเทียนไต้เซียเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายกระเป๋าหนังแขวนก้น กูไว้ชีวิตมึง ให้รีบกลับไป บอกนายมึงโดยเร็วเถิด ฝ่ายกือเล่งสินหนีกลับเข้าค่ายได้แล้วก็มาคำนับบอกถักทะลีทีอ๋องแม่ทัพว่า เป๊กเบ๊อุนมีฤทธาศักดา นุภาพมากนัก จะเอาชัยชนะเห็นจะไม่ได้ ขอท่านได้โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่ง
 ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธ แล้วพูดว่า ท่านไประกทพให้ข้าศึกศัตรูมันมีใจกำเริบ แลเสื่อม เสียเกียรติยศของเง็กเซียงฮ่องเต้ อ้ายลิงจะมีใจกำเริบดูถูกได้ จึงเรียกเพชฌฆาตให้เอาตัวกือเล่งสินไปประหารชีวิตเสีย ฝ่ายโลเฉียจึงคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ซึ่งโทษของกือเล่งสินนั้น ข้าพเจ้าของดไว้ก่อน ข้าพเจ้าจะ อาสาออกไปลองฝีมือแก่ซีเทียนไต้เซียดูว่าจะเป็นประการใด ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังโลเฉียว่าดังนั้น จึงยกโทษกือเล่งสินให้แก่โลเฉีย กือเล่งสินพ้นโทษได้แล้ว ก็คำนับลาแม่ทัพกลับไปยังที่อยู่ โลเฉียก็จัดแจงแต่งตัวใส่เกราะเสร็จแล้ว มือถืออาวุธออกมาจากค่าย ตรงไปยัง หน้าถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง
 เวลานั้น ซีเทียนไต้เซียจวนจะพาพลพวกวานรกลับอยู่แล้ว พอเห็นโลเฉียรีบมาโดยกำลังเร็ว ซีเทียนไต้เซียจึงร้องถามไปว่า ชายหนุ่มน้อยคนนี้อยู่ที่ตำบลใดจึงเดินมาที่ปากถ้ำของเราได้ ท่านจะมีกิจธุระอย่างไรหรือ โลเฉียได้ยินหงอคงถามดังนั้นจึงตอบว่า อ้ายวานรเดรัจฉานชาติชั่ว มึงไม่รู้จักกูหรือ เราเป็นบุตรที่ สามของถักทะลีทีอ๋องท้าวเทวราชผู้เป็นใหญ่ได้อาญาสิทธิ์จากเง็กเซียงฮ่องเต้ใช้ให้ลงมาจับตัวเจ้าเอง ยังไม่รู้สึกดอกหรือ
 ซีเทียนไต้เซียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ตัวเจ้าเป็นเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ทำไมจึง สามารถบังอาจพูดจาโอหัง เราจะยกชีวิตไว้ให้กลับไปเพราะยังเป็นเด็กอยู่ เจ้าจงดูบนเสาธงเป็นยี่ห้ออะไร จงจำไป ทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ตั้งเราตามยี่ห้อที่เราจารึกไว้ในธงนั้นเป็นขุนนางตำแหน่งนี้ เราจึงจะงดไม่รบพุ่งต่อสู้ และ จะยอมนอบน้อมต่อเง็กเซียงฮ่องเต้ ถ้าไม่ตั้งให้พอใจเรา เราก็ยกทัพขึ้นไปให้กระทั่งถึงปราสาทเหลงเซียวเต้ยให้จงได้ โลเฉียได้ฟังดังนั้นจึงแลขึ้นไปดูบนเสาธง เห็นมีอักษรสี่ตัวว่า ซีเทียนไต้เซีย โลเฉียจึงพูดว่า เอ็ง เป็นเดรัจฉานมาใช้ยี่ห้ออย่างนี้ มิได้รู้จักความตายความฉิบหายว่าจะมีมาถึงตัว เอ็งจงก้มคอมารับคมอาวุธเกี้ยมสักที หนึ่งก่อน จะได้รู้สึกดีแลชั่ว
 ซีเทียนไต้เซียก็มิได้มีความหวาดหวั่น จึงร้องบอกแก่โลเฉียว่า เจ้าอยากฟันก็จงเข้ามาฟันลองดูสัก สองสามทีก็ได้ เพราเห็นว่าเจ้ายังเป็นเด็ก จึงจะยอมให้ลองฟันดูเล่นก่อน โลเฉียได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตวาดด้วยเสียงอันดังสำแดงเป็นสามเศียรหกมือกุมอาวุธหกอย่าง คือ เกี้ยมสำหรับฆ่าปิศาจยักษ์ หนึ่ง มีดหมอ หนึ่ง เชือกมัดยักษ์ หนึ่ง กระบองเหล็กใหญ่ หนึ่ง จักรไฟ หนึ่ง ตะกร้อ หนึ่ง คือ เหมือนลูกทุเรียน
 ครั้นจับอาวุธครบทั้งหกมือแล้วก็วิ่งเข้ามาจะตีซีเทียนไต้เซีย ซีเทียนไต้เซีย เห็นดังนั้นจึงร้องด่าว่า อ้ายเด็กทารกแกล้งทำกิริยาอาการแปรปรวนไปต่าง ๆ เอ็งเข้าใจว่าของเอ็งดีที่สุด แล้วหรือ เรายังมีความรู้ดีวิเศษกว่าเจ้ามากนัก ว่าแล้วก็ตวาดด้วยเสียงอันดัง แปลงกายเป็นสามเศียรหกกรให้ เหมือนกับโลเฉีย มีมือถือกระบองทั้งหกมือเข้ารบกับโลเฉียเป็นสามารถ ขณะเมื่อโลเฉียกับซีเทียนไต้เซียเข้ารบกันนั้น พื้นพสุธาก็หวั่นไหว เขาไม้ห้วยธารก็สะเทือนไปทั้งสิ้น ต่างคนต่างมีฤทธาศักดานุภาพแคล่วคล่องว่องไว ขับเคี่ยวกันได้สามร้อยสามสิบเพลง โลเฉียสำแดง อาวุธหกอย่างให้เป็นพันเป็นหมื่นออกไปมากกว่ามาก
 ซีเทียนไต้เซียก็สำแดงกระบองออกเป็นพัน เป็นหมื่นเหมือนกัน ยังหาทันแพ้ชนะกันไม่ ซีเทียนไต้เซียจึงถอนขนเพชรออกหนึ่งเส้นร่ายพระเวทเป็น รูปซีเทียนไต้เซียขึ้นอีกรูปหนึ่งถืออาวุธเหมือนกันยืนล่อรบประจัญบานกับโลเฉียอยู่ ตัวซีเทียนไต้เซีย แอบเข้าข้างโลเฉียตีด้วยกระบองเหล็กกายสิทธิ์ โลเฉียหลบไม่ทัน ถูกที่ท้ายทอยเจ็บปวดยิ่งนัก ก็ ล่าหนีกลับเข้าค่าย
 ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องแลเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงออกปากพูดว่า หงอคงนี้มีฤทธาศักดานุภาพมากนัก เราจะทำอย่างไร จึง จะเอาชัยชนะมันได้ โลเฉียจึงบอกกับถักทะลีทีอ๋องว่า ที่ปากถ้ำนั้นมันตั้งเสาธงไว้เขียนอักษรสี่ตัวในธงว่า ซีเทียนไต้เซีย แลมันได้บอกข้าพเจ้าว่า ถ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ตั้งให้มันรับยี่ห้อสี่ตัวนั้นแล้ว ก็จะอ่อนน้อมยอมอยู่ในบังคับแลให้สงบ การรบพุ่งจลาจล ถ้าไม่ตั้งให้แก่มันตามอักษรสี่ตัวนั้นแล้ว มันจะบุกบั่นรบพุ่งให้กระทั่งถึงปราสาทเหลงเซียวเต้ย ถักทะลีทีอ๋องจึงพูดว่า ถ้าดังนั้น ไม่ต้องต่อสู้รบพุ่งอะไรกัน เรากลับขึ้นไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ขอเอา พลเทพบุตรที่เข้มแข็งยกมาล้อมจับให้จงได้
 ถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียปรึกษากันตกลงแล้วก็รีบขับพลเหาะกลับขึ้นไปยังดาวดึงส์โดยเร็ว ฝ่ายซีเทียนไต้เซียเมื่อมีชัยชนะแก่เทพยดาแล้ว ก็พาพวกบริวารกลับเข้าถ้ำที่อยู่ พวกปิศาจยักษ์ ทั้งเจ็ดสิบสองถ้ำแลมิตรสหายทั้งหกก็มาพร้อมกันคำนับ แลเชยชมฝีมือ แลสรรเสริญต่าง ๆ ซีเทียนไต้เซียจึงให้จัด ของเลี้ยงมาเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงสำราญ ซีเทียนไต้เซียจึงพูดแก่มิตรสหายทั้งปวงว่า ท่านทั้งหลายยกเราขึ้นเป็นซีเทียนไต้เซียแล้ว ท่านทั้งหลาย ก็จะต้องเป็นไต้เซียเหมือนเรา
 ขณะนั้น หงู้หม้ออ๋องได้ยินซีเทียนไต้เซียพูดดังนั้นจึงคำนับแล้วพูดว่า ท่านพูดดังนั้นก็สมควรอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะตั้งนามของข้าพเจ้าให้เรียกว่า เพงเทียนไต้เซีย เกาหม้ออ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะตั้งนามว่า หงอทัยไต้เซีย พังหม้ออ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะตั้งนามว่า หุ้นเทียนไต้เซีย ไซท้ออ๋องพูดว่า ข้าพเจ้า จะตั้งนามว่า อีซัวไต้เซีย มีเกาอ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะตั้งนามว่า ทงฮวงไต้เซีย โง่ซุดอ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะตั้งนามว่า คูสินไต้เซีย
 ในเวลานั้น ไต้เซียทั้งเจ็ดตั้งตัวโดยลำพังตนเองแล้วก็เป็นที่สนุกสนาน รื่นเริงสำราญใจ ครั้นเลี้ยงดูกันเสร็จแล้ว ไต้เซียทั้งหกก็คำนับลา ซีเทียนไต้เซียพากันกลับไปอยู่ตาม ภูมิลำเนาของตน ๆ ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียกลับมาถึงดาวดึงส์แล้วก็ตรงเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ จึงกราบทูลพระเป็นเจ้าว่า ข้าพเจ้ารับ อาญาสิทธิ์ลงไปรบแก่หงอคง หงอคงมีฤทธานุภาพกล้าแข็งนัก เหลือสติกำลังที่จะต่อสู้เอาชัยชนะได้ ขอพระองค์ ได้โปรดให้เทพบุตรเพิ่มเติมไปช่วยอีก ข้าพเจ้าจะยกลงไปแก้มือดูอีกสักครั้งหนึ่ง
 เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังถักทะลีทีอ๋องทูลดังนั้นจึงตรัสถามว่า ปิศาจวานรตัวเดียวเท่านั้น เป็นเหตุ อย่างไรจึงต้องมาขอพลเพิ่มเติมอีก โลเฉียจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ หงอคงวานรตัวนี้มีกระบองเหล็กกายสิทธิ์ตีกือ ล่งสินด้วยกำลังทีเดียวด้ามขวานเหล็กหักออกไปเป็นสองท่อนต้องหนีกลับเข้าค่าย ข้าพเจ้าออกรบต่อสู้ มันตีถูก ท้ายทอยเจ็บปวดเหลือกำลังจะทนทานได้ ข้าพระองค์หนีมาโดยเร็วจึงได้รอดพ้นความตาย ขอพระองค์ได้ทรงทราบ โทษานุโทษแห่งข้าพเจ้าแล้วแต่จะโปรด
 อีกประการหนึ่ง หงอคงมันมีฤทธาอานุภาพมิใช่น้อย ที่ปากถ้ำตั้งเสาธงเขียนอักษรยี่ห้อสี่ตัวว่า ซีเทียนไต้เซีย มันบอกว่า ถ้าแม้นพระองค์ไม่ยอมตั้งยี่ห้อให้มันเหมือนดังอักษรสี่ตัวแล้วตามประสงค์ มันจะตีบุกรุก ขึ้นมาในดาวดึงส์ให้ถึงพระที่นั่งเหลงเซียวเต้ยให้จงได้ เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ตกพระทัยเป็นอันมาก ตรัสว่า ทำไมมันจึงมีความสามารถถึงเพียงนี้ ถ้าดังนั้น ต้องจัดพลเทพบุตรที่เข้มแข็งเพิ่มเติมลงไปปราบมันเสียให้ราบคาบ จะได้สิ้นความยุคเข็ญให้จงได้
 เมื่อกำลังเง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสอยู่นั้น ไทเป๊กกิมแชเทวดาองค์หนึ่งกราบทูลขึ้นว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ปิศาจวานรตัวนี้อยากมียศถาบรรดาศักดิ์โดยความหลง เพราะกำเริบฤทธา แลเชี่ยวชาญด้วยวิทยาอาคมขลัง ซึ่งพระองค์จะเกณฑ์พลเทพบุตรลงไปรบพุ่งแก่มันในคราวเดียวให้ได้ชัยชนะนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า จะไม่สำเร็จ กลับ จะพาให้เป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศแลอำนาจไปเสียอีก ขอให้พระองค์ทรงตั้งอยู่ในความกรุณา มีพระราชหัตถ เลขาไปเกลี้ยกล่อมตั้งให้มันมียศตามความประสงค์แห่งมัน เป็นซีเทียนไต้เซียตำแหน่งเปล่า ๆ กระนั้น มิได้บังคับ บัญชาสิ่งใด ก็จะไม่ร้อนใจแห่งเทพยเจ้าทั้งหลาย
 เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังไทเป๊กกิมแชทูลดังนั้นจึงย้อนตรัสถามว่า อย่างไรจึงเรียกว่า มีที่ตั้ง แต่ไม่มีการทำ ไทเป๊กกิมแชจึงกราบทูลว่า เป็นซีเทียนไต้เซีย แต่ไม่มีหน้าที่ว่าการแลไม่มีที่ได้ที่เสียอะไรสักอย่างเดียว ขอพระองค์ได้ทรงทราบ กักตัวเอาไว้บนสวรรค์ให้กลับใจดีได้ อย่าให้เป็นพาลมิจฉาทิฐิต่อไป ฟ้าแลดินก็จะเป็นปรกติ
 เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงเห็นด้วย จึงตรัสว่า ถ้าดังนั้นก็ตามที่ท่านว่านี้สมควรแล้ว จึงรับสั่งแก่บุนเต๊กแช กุน ให้แต่งพระอักษรมอบให้ไทเป๊กกิมแชลงไปเกลี้ยกล่อมในวันนี้ ฝ่ายบุนเต๊กแชกุนก็แต่งพระอักษร เสร็จแล้วนำมาถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ เง็กเซียงฮ่องเต้ก็พระราชทาน ให้แก่ไทเป๊กกิมแช ไทเป๊กกิมแชก็ถวายบังคมลาออกจากประตูนำทีหมึง แล้วก็สำแดงฤทธิ์เหาะตรงลงมายังเขาฮวย ก๊วยซัว
 ครั้นถึง ไทเป๊กกิมแชก็เดินมายังประตูถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง พิศดูไปก็เห็นผิดตากว่าแต่ก่อน บัดนี้ มีค่ายคูประตูหอ รบ แลพลทหารก็เข้มแข็งรักษาหน้าที่ประจำอยู่พร้อมเพรียง ทั้งเครื่องศัสตราวุธก็เรียบเรียงไว้เรียบร้อยเหมือนจะ คอยสู้รบ ปิศาจ ยักษ์ แลฝูงลิงก็มีเป็นอันมาก ฝึกหัดเพลงอาวุธแลโลดเต้นคะนองเหี้ยมฮึก ไทเป๊กกิมแชเดินมาถึง ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเข้าทันที
 พวกพลวานรทั้งหลายเหล่านั้นเห็นไทเป๊กกิมแชมาก็กรูกันมาจะทำอันตราย ไทเป๊กกิมแชจึง ร้องบอกว่า พวกเจ้าอย่าวุ่นวาย พวกเจ้ารีบไปบอกนายเจ้าว่า เราถือรับสั่งเชิญลายพระหัตถ์ของเง็กเซียงฮ่องเต้เป็น ราชทูตลงมาเชิญนายท่านขึ้นไปเฝ้าบนสวรรค์ เป็นการดีแก่นายเจ้า พวกวานรทั้งหลายได้ฟังไทเป๊กกิมแชบอกดังนั้น ก็พากันรีบเข้าไปแจ้งความแก่ซีเทียนไต้เซียตาม ถ้อยคำของเทวดาที่มาบอกเล่า
 ซีเทียนไต้เซียได้ฟังพวกวานรเข้ามาบอกเล่าดังนั้น จึงพูดว่า คราวนี้เห็นจะมาดี เราเห็นว่า ครั้งก่อน นั้น ไทเป๊กกิมแชลงมาเชิญเราไปตั้งเป็นขุนนางในตำแหน่งที่ไม่สมควร เราจึงหนีกลับลงมาเสียเป็นครั้งที่หนึ่ง ครั้งนี้ ไทเป๊กกิมแชลงมาอีก คงจะมีความดีเป็นแน่ ว่าแล้วจึงสั่งให้วานรทั้งหลายถือธง ตีกลอง ตั้งแถวยืนเป็นลำดับ ออกไป แล้วซีเทียนไต้เซียตกแต่งกาย คลุมหมวก สวมเสื้อ สอดเกราะ เสร็จแล้วก็พร้อมด้วยฝูงวานรห้อมล้อมออกไป รับไทเป๊กกิมแช
 ครั้นถึงปากถ้ำเห็นไทเป๊กกิมแช ซีเทียนไต้เซียก็ย่อกายลงคำนับแล้วจึงพูดว่า ท่านผู้เฒ่าไทเป๊กกิมแช ข้าพเจ้าขอเชิญท่านไปในถ้ำเถิด แล้วต่างคนก็ต่างทำคำนับกันตามธรรมเนียม แล้วพากันเข้าในถ้ำ เชิญให้ไทเป๊กกิม แชนั่งที่อันสมควร ไทเป๊กกิมแชจึงพูดว่า ครั้งก่อน ไต้เซียมีความน้อยใจว่า ที่ขุนนางเล็กน้อยไม่สมเกียรติยศ การอันนี้ย่อมเป็นธรรมเนียมอยู่ ท่านไม่เข้าใจหรือ อันวิสัยแลธรรมดาข้าราชการก็ต้องรับตำแหน่งหน้าที่เป็น ผู้น้อยไปก่อน เมื่อมีความชอบความดีก็ค่อยเลื่อนยศขึ้นไปทุกที ไม่ควรไต้เซียจะโทมนัสน้อยใจ
 วันก่อน ถักทะลีทีอ๋อง กับโลเฉียรับอาสามารบแก่ท่าน แล้วกลับขึ้นไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า ท่านตั้งเสาธงใช้ยี่ห้อว่า ซีเทียนไต้เซีย บรรดา ขุนนางเทพบุตรในดาวดึงส์ฝ่ายทหารขออาสายกพลโยธาเทพบุตรลงมารบแก่ท่านอีก แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย จึงได้ กราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ทัดทานขัดขวางแลขอโทษท่าน แลได้กราบทูลชี้แจงว่า ซึ่งจะยกพลทหารลงมาต่อสู้ชิงชัย แก่ท่าน คงเป็นความยกความลำบากเดือดร้อนทั่วไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ข้าพเจ้าทูลขอให้ตั้งท่านเป็นขุนนางตามความ ประสงค์ของท่าน การรบพุ่งก็จะสงบเรียบร้อยไม่ร้อนรนแก่เทพยดาแลมนุษย์ต่อไป
 เง็กเซียงฮ่องเต้ทรงเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นเทวราชทูตลงมาพูดจาชี้แจงแก่ท่าน ถ้าท่านเห็นชอบด้วยมีความยินดีสวามิภักดิ์ต่อพระเป็น เจ้าแล้ว ขอเชิญท่านขึ้นไปเฝ้าพร้อมกับข้าพเจ้าทีเดียว ซีเทียนไต้เซียได้ฟังไทเป๊กกิมแชชี้แจงดังนั้นก็มีความยินดีแล้วหัวเราะว่า ครั้งก่อนก็มีความลำบาก แก่ท่านหนหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ก็มีความลำบากแก่ท่านอีก ข้าพเจ้าขอบพระคุณท่านเป็นที่สุด แต่ไม่ทราบว่า บนสวรรค์ นั้นจะมีตำแหน่งขุนนางไต้เซียหรือไม่มีประการใด
 ไทเป๊กกิมแชจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้กราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้แล้ว จึงได้อาสาลงมาเชิญท่านไต้เซียขึ้นไป รับที่ตั้ง ท่านอย่าได้มีความสงสัยเลย ซีเทียนไต้เซียได้ฟังไทเป๊กกิมแชดังนั้นมีความยินดีเป็นที่สุด จึงสั่งเสียกิจการทั้งปวงแก่วานรนาย ทหารแลพลเรือนให้รักษาถ้ำที่อยู่แลควบคุมแลบังคับบัญชากันอยู่ตามเคย แล้วก็ชวนไทเป๊กกิมแชออกมาจากถ้ำ ต่างสำรวมจิตร่ายพระเวทคาถาขึ้นเหยียบเมฆเหาะลอยขึ้นไปยังประตูสวรรค์นำทีหมึง ก็แลเห็นนายทหาร แล เทพบุตร แลพระวิษณุกรรม พากันยกมือขึ้นคำนับพร้อมกัน
 ไทเป๊กกิมแชนำซีเทียนไต้เซียเข้าในปราสาทเหลงเซียว เต้ยตรงเข้าไปหน้าพระที่นั่ง ไทเป๊กกิมแชจึงถวายบังคมกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ซึ่งมีเทวบัญชารับสั่งใช้ ให้ข้าพเจ้าลงไปเชิญ หงอคงเป๊กเบ๊อุนก็ขึ้นมาแล้ว แล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เง็กเซียนฮ่องเต้จึงมีเทวโองการแก่หงอคงว่า ตั้งแต่นี้ไป เราตั้งให้เป็นซีเทียนไต้เซีย ตำแหน่ง สูงที่สุด ถ้าได้รับที่ตั้งเป็นขุนนางแล้ว อย่าได้ประพฤติการอันมิควร จงประพฤติแต่การที่ควรอันจะเป็นประโยชน์แก่โลก ทั้งหลาย ตรัสแล้วก็ทรงเซ็นลายพระหัตถ์ให้แก่หงอคง
 ฝ่ายหงอคงเมื่อได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางแล้ว แลได้ฟังเง็กเซียนฮ่องเต้ทรงกำชับสั่งสอนทั้งนั้น จึง ถวายบังคมกราบทูลขอบพระคุณ แล้วก็ถอยออกมายืนเฝ้าอยู่ตามตำแหน่ง เง็กเซียนฮ่องเต้รับสั่งให้เทพบุตรจัดทำเป็นหอขึ้นที่ริมมุมต้นชมพู่ข้างด้านเหนือ ปลูกเป็นสูงหอ ข้างซ้ายเป็นที่อยู่ระงับใจ ข้างขวาเป็นที่รักษาอารมณ์ สั่งให้เทพบุตรเซียนถองอยู่คอยรับใช้สอยทั้งสองแห่ง แล้ว รับสั่งให้เง้าเต๊กแชกุนนำซีเทียนไต้เซียไปยังที่อยู่ แลประทานสุราที่เซียนเคยบริโภคสองคนโทกับดอกไม้ทองคำสิบกิ่ง ได้เป็นที่ระงับจิตเพื่อมิให้ทำความชั่วต่อไป
 ซีเทียนไต้เซียได้รับของประทานแล้วก็ถวายบังคมลาออกมาพร้อมด้วยเง้าเต๊กแชกุนไปยังที่อยู่ ครั้นถึงแล้ว ซีเทียนให้จัดโต๊ะเปิดสุราซึ่งพระเป็นเจ้าพระราชทานมานั้นเชิญกันรับประทาน แล้ว เง้าเต๊กแชกุนก็คำนับลากลับไปที่อยู่ของตน ซีเทียนไต้เซียก็เข้าในหอพักสำราญอารมณ์ มีความปราโมทย์บันเทิงใจเป็นที่ยิ่ง อยู่ในสวรรค์ทุกเช้าเย็นนิรันดร์ไม่มีที่ขัดขวาง แต่หารู้ว่า ตน เป็นขุนนางตำแหน่งไหนไม่ มีแต่ชื่ออยู่เท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น: