Translate

24 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 22 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖    
     ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
ตอน ข้ามแม่น้ำหลิวซาเหอ ซัวเจ๋ง ถวายตัว
(บทที่ ๒๒ ) เมื่อหลวงจีนถังซัมจั๋งออกพ้นภัยปีศาจอึ้งฮองใต้อ๋องแล้ว พร้อมด้วยเห้งเจียโป๊ยก่ายออกเดินมาวันหนึ่ง ก็ข้ามพ้นอึ้งฮองเนี้ย ลงเดินกับพื้นดินตัดตรงหมายทิศปราจิณ
 ในฤดูนั้นเป็นฤดูวสันต์จักระจั่นเรไรร้องออกเพรียกไปทั้งป่า อาจารย์กับศิษย์เดินพลางชมพลางตามทางมา ในเวลานั้นตะวันยอแสงจวนจะค่ำ ได้ยินเสียงคลื่นละลอกซัดดังสนั่น หลวงจีนถังซัมจั๋งแลไปข้างหน้าเห็นแม่น้ำขวางหน้ากว้างใหญ่แลไม่เห็นฝั่ง คลื่นซัดขึ้นสูงดุจภูเขา แลดูเวิ้งว้างน่ากลัว จึงร้องเรียกเห้งเจียโป๊ยก่ายเข้ามาใกล้แล้ว ถามว่าข้างน่านั้นมีแม่น้ำขวางหน้าแลไม่เห็นฝั่ง ทำไมไม่แลเห็นเรือไปมาเลยเราจะข้ามไปทางใดได้เล่า
 เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์ถามดังนั้น จึงเหาะขึ้นไปบนอากาศเอามือบังตาดู แล้วก็ลงมาบอกแก่พระอาจารย์ว่า อันแม่น้ำนี้กว้างขวางนักยากที่จะข้ามไปได้ หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า กว้างประมาณสักเท่าใด เห้งเจียบอกว่า กว้างประมาณแปดร้อยโยชน์เศษ
         โป๊ยก่ายถามว่า ทำไมพี่ประมาณรู้ว่าแปดร้อยโยชน์เล่า ข้าพเจ้ามีความสงสัยอยู่
         เห้งเจียตอบว่าน้องยังไม่รู้ สองจักษุพี่นี้ดุจดวงพระอาทิตย์ที่ส่องโลกอยู่เวลากลางวันพี่แลไปเห็นได้พันโยชน์ มีความดีร้ายพี่ย่อมรู้ได้ทั้งสิ้น แต่ลำแม่น้ำนี้ด้านใต้ด้านเหนือไม่รู้ว่าใกล้ไกลสักเท่าใด แต่พอคะเนได้ว่าตรงที่จะข้ามไปนี้กว้างประมาณแปดร้อยโยชน์
 หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็มีจิตหวาดเสียวเศร้าหมอง จึงชักม้าหันถอยหลังหันหน้าไปแลเห็นเสาศิลาปักอยู่มีอักษรจารึกไว้สามอักษร อาจารย์กับศิษย์เดินเข้าไปใกล้ อ่านดูว่า (หลิวซัวหอ) คือกระแสชลทราย แลข้างบนนั้นมีหนังสือตัวเล็กสี่แถวว่า โป๊ยแปะหลิวซัวก่าย แปลว่าแปดร้อยโยชน์กระแสชล แถวที่สองว่า (ซัมเชยเนกจุ๊ยซิม) แปลว่าลึกนั้นสามพันเส้น แถวที่สามว่า (หง่อหม้อเพียวปุ๊ดกี้) แปลว่าขนห่านก็ไม่ลอยได้ แถวที่สี่ว่า (สูฮวยเตี้ยเต้ยติ๊ม) แปลว่าถึงใบไม้เล็กน้อยหรือขนแห่งจามจุรีถ้าตกลงแล้วก็ไม่อาจลอยอยู่หลังน้ำได้
 อาจารย์กับศิษย์กำลังดูหนังสือนั้นอยู่ พอได้ยินเสียงดังในลำแม่น้ำ คลื่นระลอกนูนสูงขึ้นดุจภูเขา เสียงหวั่นไหวไปทั้งลำแม่น้ำ บัดเดี๋ยวใจแลไปที่กลางน้ำ เห็นโผล่ขึ้นมารูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว บนศรีษะมีผมสีแดงรุงรัง จักษุทั้งสองข้างสว่างโชติดุจดาวประจำเมือง เสียงดุจฟ้าลั่นตัวสวมเสื้อขนห่านลาย นุ่งผ้าถักด้วยหวาย ที่คอแขวนกะโหลกหัวผีเก้ากะโหลก มือถือไม้พลองวิเศษดูเข้มแข็งปีศาจนั้นแลเห็นหลวงจีนถังซัมจั๋งก็เดินรี่ตรงเข้ามาที่ตลิ่ง คิดจะทำร้ายหลวงจีนถังซัมจั๋ง
 เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็เข้าอุ้มเอาพระอาจารย์ลงจากหลังม้าหลีกออกไปให้ห่าง โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็วางหาบลงกับพื้น ฉวยคราดเหล็กตรงมาสกัดหน้าปีศาจไว้ แล้วยกคราดขึ้นสับลงที่ศรีษะปีศาจ ๆ เอาพลองขึ้นรับ ต่างคนต่างเข้มแข็งรบกันประมาณยี่สิบเพลงก็ยังหาแพ้แลชนะกันไม่
 เห้งเจียกำลังเฝ้ารักษาพระอาจารย์อยู่ เห็นโป๊ยก่ายต่อสู้ปีศาจดังนั้น อดไม่ได้จึงบอกพระอาจารย์ว่า พระอาจารย์จงอยู่ที่นี่ข้าพเจ้าจะไปช่วยโป๊ยก่ายตีจับอ้ายปีศาจนั้นให้จงได้ พูดแล้วก็จับกระบองเหล็กกระโดดวิ่งเข้าไป ครั้นถึงก็ยกกระบองตีลงที่ศรีษะปีศาจ ๆ เห็นดังนั้นจึงเอาไม้รับแล้วกระโดดถอยออกมาลงน้ำหนีไป มิได้ผุดขึ้นมาอีก โป๊ยก่ายโกรธเห้งเจียว่าพี่มาทำไมก็ไม่รู้ ปีศาจนั้นฝีมือมันอ่อน อีกสามสี่เพลงก็จะจับตัวได้ นี่มันเห็นพี่ดุร้ายนักมันกลัวมันจึงหนีลงไปเสียจะทำอย่างไรจึงจะจับตัวได้เล่า
         เห้งเจียพูดว่า พี่เห็นน้องรบกับปีศาจพี่ก็คันมือ อดอยู่ไม่ได้ลองฝีมิอให้มันรู้มันกลัวมันก็หนีลงน้ำไป พูดแล้วก็พากันไปหาพระอาจารย์
       หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า จับตัวปีศาจได้หรือเปล่า 
         เห้งเจียบอกว่ามันไม่ต่อสู้หนีลงน้ำไปไม่ขึ้นมา
         หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่าปีศาจนี้มันอยู่ในลำน้ำนี้ มันคงจะรู้เหตุการณ์ได้ทุกประการ
         เห้งเจียจึงพูดว่า เห็นจะจริงของพระอาจารย์แต่มันอยู่ในน้ำจะทำประการใด
 โป๊ยก่ายจึงพูดว่า เมื่อเดิมข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับการในแม่น้ำทีฮ้อบนสวรรค์ ข้าพเจ้าเข้าใจได้ แต่วิตกว่าในน้ำมีบริวารมากข้าพเจ้าคนเดียวจะต่อสู้ไม่ไหว
 เห้งเจียจึงพูดว่าถ้ากระนั้นน้องจงลงไปรบ ล่อให้มันขึ้นมาบนบกก่อน แล้วพี่จะคอยจับตัวมันให้จงได้ โป๊ยก่ายว่าถ้ากระนั้นเห็นจะได้การ โป๊ยก่ายพูดแล้วก็ผลัดผ้าผูกรัดให้แน่นมั่นคงดีแล้ว มือถือคราดเหล็กโดดลงไปในน้ำ ร่ายพระเวทย์คาถาเบิกน้ำให้เป็นช่องแล้ว ก็ลงไปยังที่ปีศาจอาศัยอยู่
 ฝ่ายปีศาจรบแพ้ไปนั่งพักบัดเดี๋ยวใจ ก็แลเห็นคนแหวกน้ำลงมา ผุดลุกขึ้นเห็นอ้ายคนที่สักครู่รบกันลงมา จึงฉวยได้พลองร้องตวาดว่า อ้ายคนนี้มึงลงมาที่นี่ทำไม มึงจงดูให้ดีกูจะตีหัวมึง ว่าแล้วก็ยกกระบองขึ้นตรงมาจะตีศรีษะโป๊ยก่าย ๆ เอาคราดรับปัดป้องกันไปมา แล้วโป๊ยก่ายจึงถามว่า นี่เองเป็นปีศาจยักษ์อะไรที่ไหนจึงสามารถมาอยู่กั้นกลางหนทางอย่างนื้
 ปีศาจยักษ์ตอบว่า เจ้าจำเราไม่ได้หรือ เรามิใช่ปีศาจราชทูตยักษ์มารอะไรที่ไหน แลมิใช่ไม่มีชื่อเสียงเมื่อไร มี เจ้าอยากจะรู้มูลเหตุเราจะเล่าให้เจ้าฟัง เมื่อเริ่มเกิดนั้น มีภาคเชี่ยวชาญหาใช่น้อยไม่ ครั้นมาภายหลังได้เรียนวิชา สำเร็จทางโลกิย์ฌานสำรวมจิต ต่อมาพระอาจารย์แนะนำทางมรรคผล นานวันฌานนั้นก็แก่กล้าขึ้นทุกที จึงจุติไปเกิดอยู่ในชั้นดาวดึงส์ พระผู้เป็นจอมโลกาคือเง็กเซียงฮ่องเต้ ทรงตรัสต่อพระโอฐให้เป็นที่ราชองครักษ์ใต้เจียงกุน พระเป็นเจ้าจะเสด็จแห่งหนตำบลใด เราต้องตามเสด็จทุกครั้ง สำหรับคอยแหวกวิสูตรราชรถ 
 มาวันหนึ่งแม่อ๋องโบ๊เลี้ยงโต๊ะชมภู่ พร้อมด้วยเทพบุตร เทพธิดา บังเอิญเคราะห์ร้าย ข้าพเจ้าทำคนโทแก้วเจียระไนแตก เทวดาทั้งหลายพากันตกใจ เง็กเซียงฮ่องเต้ทรงพระพิโรธรับสั่งให้ประหารชีวิตข้าพเจ้า เดชะบุญท่านชิดเคียดเซียนกราบทูล ขอโทษข้าพเจ้าไว้จึงได้รอดชีวิต แต่ให้ลงอาญาเฆี่ยนแปดสิบที สาปให้ลงมาใต้หล้าอาศัยแม่น้ำหลิวซัวฮ้อ ทรมานอดอยากเหลือที่จะพรรณนา หิวก็เที่ยวหาเนื้อมนุษย์กิน อิ่มแล้วก็จมอยู่ในน้ำ เที่ยวท่องไปมาอยู่อย่างนี้ กินมนุษย์ก็มากมายหลายคนอยู่แล้ว เก็บกะโหลกหัวผีไว้แขวนคอดูเล่น ทำไมเจ้าจึงอาจสามารถมาอวดดีในถิ่นที่แห่งเรา วันนี้ท้องเรามันร้องคอยเจ้าอยู่แล้ว เจ้าอย่าพูดเลอะเทอะไปเลย
 โป๊ยก่ายได้ฟังปีศาจเล่าให้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าเจ้าอย่าอวดดีไปเลย ถ้าเจ้าดีจริงแล้วเหตุใดเจ้าจึงหนีเราลงมาดำน้ำอยู่เล่า ตัวเราก็กำเนิดมาจากน้ำเหมือนกัน. เจ้าจงแลดูคราดของเรา โป๊ยก่ายว่าดังนั้นแล้วก็ยกคราดขึ้นสับลงไปตรงศรีษะปีศาจ ๆ ก็ยกพลองขึ้นป้องกันรับรองไว้ ต่างรบกันโดยมีความสามารถมิได้ย่อหย่อน โป๊ยก่ายรบรอ ล่อขึ้นมาทางบก
 เห้งเจียยืนอยู่ริมฝั่งเห็นโป๊ยก่ายรบแก่ปีศาจอยู่กลางน้ำ ล่อเข้ามาจนริมฝั่ง ปีศาจก็ไล่แต่ไม่อาจเข้าริมฝั่ง รั้งรออยู่ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ จับกระบองเหล็กจะใคร่ตีปีศาจสักทีหนึ่ง ปีศาจเห็นดังนั้นก็ไม่ต่อสู้ กลับดำน้ำหนีไปเสียมิได้ผุดขึ้นมาอีก โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจึงบ่นว่าพี่เห้งเจียทำใจดุจลิงไม่คอยรอรั้ง ให้ข้าพเจ้าล่อมันขึ้นมาถึงบนบกก่อนแล้วจึงค่อยล้อมจับมัน พี่มาทำใจร้อนมันกลัวมันก็หนีลงน้ำไปเสียแล้วไม่ขึ้นมา ทีนี้จะทำอย่างไรต่อไปเล่าจึงจะจับมันได้
 เห้งเจียจึงว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉานมึงอย่าบ่นไปเลย พากันไปหาอาจารย์ก่อน แล้วจึงค่อยคิดอ่านกันใหม่ ครั้นมาถึงจึงเล่าเหตุการณ์ที่รบกันกับปีศาจให้พระอาจารย์ฟังทุกประการ
         หลวงจีนถังซัมจั๋ง จึงพูดว่าถ้าดังนั้นเราจะทำประการใดดี
         โป๊ยก่ายว่าถ้าได้ตัวปีศาจนี้มาแล้ว สารพัดการก็คงจะสำเร็จได้ทุกประการ
 เห้งเจียจึงพูดว่าพระอาจารย์อย่ามีความวิตกเลย เวลาจวนค่ำอยู่แล้ว ไว้รอพรุ่งนี้ฉันเช้าแล้วจึงค่อยคิดอ่านกันใหม่ ในคืนนั้นศิษย์กับอาจารย์นอนพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ รุ่งเช้าเห้งเจียจึงเอาบาตรเหาะไปทางทิศอุดร บิณฑบาตบัดเดี๋ยวใจก็ได้กระยาหารเหาะกลับมาเอาอาหารถวายพระอาจารย์ ๆ จึงถามว่า เห้งเจียไปบิณฑบาตรทำไมจึงไม่ถามเหตุการณ์ในลำแม่น้ำนี้เล่า บางทีเขาจะรู้ได้บ้างกระมัง
 เห้งเจียบอกว่า ข้าพเจ้าเหาะไปไกลทางถึงเจ็ดพันโยชน์ บ้านเหล่านั้นอยู่ไกลนักที่ไหนจะรู้เหตุการณ์ในลำแม่น้ำนี้ได้เล่า
 โป๊ยก่ายฟังเห้งเจียพูดแปลกหูดังนั้น จึงถามว่าพี่ไปมาก็บัดเดี๋ยวใจ ทำไมว่าไกลถึงเจ็ดพันโยชน์ พี่พูดดังนี้ใครเขาจะเชื่อได้
 เห้งเจียพูดว่า อันความข้อนี้น้องยังหาเข้าใจไม่ เพราะวิชาของพี่หกเหาะไปทีหนึ่งเป็นระยะทางได้ถึงหมื่นแปดพันโยชน์ ทำไมกับทางเจ็ดพันโยชน์เล่า ขยับตัวหน่อยเดียวก็จะไปมาถึงได้โดยเร็ว
 โป๊ยก่ายพูดว่า พี่มีฤทธาศักดานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้โดยสะดวก จะให้พระอาจารย์ขึ้นบ่าแบกเหาะข้ามไปไม่ต้องรบพุ่งจะมิดีหรือ
 เห้งเจียจึงพูดว่า น้องก็มีฤทธาอานุภาพเหมือนกัน ทำไมจึงไม่อุ้มพระอาจารย์ข้ามฟากไปเล่า น้องอย่าเข้าใจว่าเป็นการง่าย ด้วยพระอาจารย์ร่างกายจิตใจเป็นปุถุชนมีความหนักยิ่งกว่าเขาพระสุเมรุ ส่วนพี่ร่างกายเป็นกายสิทธิ์มีฤทธิ์เปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างทุกประการ แต่ที่พระอาจารย์นั้นแสนยาก ดังคำโบราณท่านว่า ภูเขาใหญ่จะใคร่ให้ย้ายไปพ้นพี่ ก็เบาดุจเมล็ดพันธุ์ผักกาด อันจะยกปุถุชนให้ข้ามพ้นขันธมารนั้น ยากที่จะให้พ้นได้ มาทว่าเราทั้งสองมีฤทธาอานุภาพอันเชี่ยวชาญก็คุ้มได้แต่ชีวิตรของเรา อันจะคุ้มชีวิตร่างกายของพระอาจารย์ด้วยนั้น ยากที่จะคุ้มให้พ้นสมุทรทุกข์ได้ แลหากว่าโดยง่าย เราทั้งสองเหาะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมมาก่อนจะไม่ได้หรือ ก็ขัดอยู่อีกเล่า ด้วยไปถึงโน่นพระพุทธเจ้าจะไม่ให้ก็จะเป็นการยากที่สุด เราจะว่าง่ายอย่างไรได้เล่า พูดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็จัดเครื่องแจถวายพระอาจารย์เหลือจากนั้น เห้งเจียกับโป๊ยก่ายก็รับประทาน
 ครั้นเสร็จแล้วพระถังซัมจั๋งจึงถามเห้งเจียว่า เห้งเจียจะคิดประการใดต่อไป เห้งเจียว่าไม่ต้องอย่างไร จะต้องให้โป๊ยก่ายลงไปล่ออีกสักครั้งหนึ่ง จึงสั่งโป๊ยก่ายว่า วันนี้น้องต้องลงไปรบ ล่ออีกสักครั้งหนึ่ง ทีนี้พี่ไม่ทำใจเร็ว จะคอยให้มันขึ้นมาบนบกให้ถนัดแล้ว จึงจะล้อมจับมัน โป๊ยก่ายขัดไม่ได้ เกาหัวเกาหูแล้วก็ผลัดผ้าจับคราดสำหรับมือแล้ว ก็ร่ายพระเวทย์แหวกน้ำลงไปยังที่ปีศาจอยู่ ปีศาจแลเห็นโป๊ยก่ายก็กระโดดออกมาสกัดหน้าพูดว่า เฮ้ยอ้ายนี่อย่าเพิ่งเข้ามา แล้วตวาดด้วยเสียงอันดังว่ามึงจงดูพลองของกูก่อน
 โป๊ยก่ายว่าพลองของเองดุจไม้ท้าวที่ถือไว้ทุกข์ให้แก่คนตาย ยังมีหน้าเอาออกมาให้ปู่ตาดูจะวิเศษอย่างไร
 ปีศาจว่าเจ้ายังไม่รู้เรื่องพงศาวดารของพลองนี้ ไม้พลองวิเศษอันนี้มิใช่ของในมนุษย์โลกนี้เมื่อไร ไม้นี้เป็นของผู้สำเร็จกระทำประกอบด้วยของวิเศษและประดับล้วนแต่เพ็ชรนิลจินดามีราคามาก เป็นของไว้สำหรับปราบปีศาจและยักษ์ร้าย และไว้สำหรับคุ้มกัน บนปราสาทเล่งเซียวโป๊เต้ โดยเราเป็นองครักษ์สำหรับพระองค์เรียกว่าใต้เจียงกุน เง็กเซียงฮ่องเต้ประทานให้เราสำหรับตัว อยากให้ยาวก็ได้ให้สั่นก็ได้ จะให้เล็กให้ใหญ่ก็ได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจึงได้เรียกว่าพลองวิเศษ มิใช่ของในมนุษย์โลกยนี้ ตั้งแต่เราถูกถอดก็ถือติดมือมาจนทุกวันนี้ ไม่เหมือนอาวุธของเจ้า เป็นคราดที่สำหรับเขาคราดหญ้าคราดฟางอย่างนั้น ก็เอามาถืออวดกับเขาช่างไม่มีอายเลยจริง ๆ
 โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วพูดว่า เจ้าอย่าประมาทว่าคราดหญ้าคราดฟาง ถ้าเอ็งถูกสักทีหนึ่งแล้วเลือดก็จะไหลออกมาสด ๆ ทั้งเก้าแผล พูดเถียงกันไปมาปีศาจยักษ์ยกพลองขึ้นตีโป๊ยก่าย โป๊ยก่ายก็ยกคราดขึ้นรับรบกันเป็นสามารถ โป๊ยก่ายสู้พลางถอยพลางทำอุบายรบ ล่อทอดคราดลากหนี ปีศาจก็ไล่กระชั้นชิดติดพัน โป๊ยก่ายร้องว่าเฮ้ยอ้ายปีศาจมึงดีแล้วจงขึ้นมารบกันบนบกให้ถึงแพ้และชนะจึงจะเห็นจริงว่าเจ้ามีฝีมือ
 ปีศาจยักษ์ว่าเจ้าหลอกเราจะให้ขึ้นบนบก เจ้าจะได้ช่วยกันกับอ้ายหน้าขนรุมกันรบเรากระนั้นหรือ ถ้าเจ้าถือว่ามีฤทธิ์ก็จงลงมารบกันในน้ำเถิด
 เมื่อปีศาจหัน ๆ รีๆ พูดโต้ตอบแก่โป๊ยก่ายอยู่ริมฝั่งน้ำ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็บังเกิดใจร้อน จึงคิดในใจว่าจำเราจะแปลงเป็นนกตะกรุมหาปลา คิดดังนั้นแล้วก็ร่ายพระเวทย์แปลงกายเป็นนกตะกรุมบินขึ้นบนอากาศแล้ว โผ ลงที่ปีศาจจะเข้าโฉบเอาปีศาจ ฝ่ายปีศาจกำลังโต้ตอบอยู่แก่โป๊ยก่าย ได้ยินเสียงลมหวิวมาแลขึ้นไปเห็นนกตะกลุมลงมา ก็คิดว่าเห็นจะเป็นอ้ายหน้าขนแปลงกายมาจึงโดดลงน้ำดำหนีไปมิได้ขึ้นมาสู้รบ
 ฝ่ายเห้งเจียกับโป๊ยก่ายต่างพูดกันว่า อ้ายปีศาจร้ายนี้มันก็มีกำลังและฝีมือจะรบเอาชัยชนะมันก็ไม่ได้ จะล่อให้ขึ้นบกมันก็ไม่ขึ้น ดูเป็นการยากที่สุดเสียแล้ว เห้งเจียกับโป๊ยก่ายก็พากันกลับมาหาพระอาจารย์เล่าความที่ได้สู้รบกับปีศาจ ให้พระอาจารย์ฟังทุกประการ
 พระถังซัมจั๋งเมื่อได้ฟังเห้งเจียกับโป๊ยก่ายเล่าให้ฟังดังนั้น ก็ไม่มีความสบายจึงพูดว่าการที่มาติดขัดเสียเช่นนี้แล้ว ฉันใดเราจะได้ข้ามแม่น้ำนี้ไปได้เล่า
เห้งเจียจึงพูดว่าอย่าเลยข้าพเจ้าจะไปน่ำไฮ้หาพระโพธิสัตว์กวนอิม นิมนต์ท่านมาช่วยแก้ไขจึงจะได้ โป๊ยก่ายจง อยู่ระวังรักษาพระอาจารย์อย่าให้มีเหตุอันตรายได้ โป๊ยก่ายจึงพูดว่าพี่จงไปเถิดดีแล้ว แต่ถ้าไปถึงแล้วพี่ช่วยกราบเรียนขอบพระคุณของท่านด้วย โดยท่านได้ อนุเคราะห์แนะนำสั่งสอนข้าพเจ้า หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงสั่งว่า เห้งเจียจงไปเร็วมาเร็วเป็นการรีบร้อนอย่าได้นอนใจเลย เห้งเจียคำนับพระอาจารย์แล้ว แล้วก็สำรวมจิตเหาะขึ้นเวหาตรงไปยังทิศอาคะเนย์เขาน่ำไฮ้ มาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงน่ำไฮ้ ลงยังพื้นพสุธาเดินเข้าไปยังสำนัก
 ครั้นถึงประตูนอกเห้งเจียบอกแก่เด็กที่เฝ้าประตู ให้กราบเรียน พระโพธิสัตว์ เวลานั้นพระโพธิสัตว์อยู่ที่ริมสระบัวกับด้วยพวกศิษย์ทั้งหลาย ครั้นทราบว่าเห้งเจียมาพระ โพธิสัตว์ก็กลับเข้ามายังสำนัก ให้เปิดประตูรับเห้งเจียเข้าไป เห้งเจียนมัการแล้วก็ยืนคอยฟังพระโพธิสัตว์อยู่ ส่วนพระโพธิสัตว์จึงถามว่าท่านมีกิจธุระอย่างใดหรือ เห้งเจียกราบเรียนว่า วันก่อนนั้นมาถึงตำบลเกาเล้า จึง ได้สานุศิษย์คนหนึ่งชื่อหงอเหน็ง แล้วเดินมาพึ่งข้ามพ้นอึ้งฮองเนี้ย บัดนี้มาถึงลำแม่น้ำหลิวซัวฮ้อ แม่น้ำนั้นกว้าง ใหญ่น้ำก็ลึกเรือแพจะใช้พาหนะข้ามก็ไม่มี แลในแม่น้ำนั้นมีปีศาจยักษ์ร้ายจะคอยทำร้ายพระอาจารย์ หงอ เหน็งได้ต่อสู้ถึงสามครั้งแล้ว
 ก็เอาชัยชนะมิได้เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอพึ่งพระบารมีท่านได้โปรดสงเคราะห์ด้วย โดยข้าพเจ้าสิ้นความคิดแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อันสัญชาติวานรแล้วย่อมอวดเก่งว่าตนมีฝีมือ พอใจแต่จะรบสู้ เหตุใดท่านไม่บอกเล่าว่าจะไปอาราธนาพระคัมภีร์ไตรปิฎกธรรมเล่า เห้งเจียว่าข้าพเจ้าหมายจะจับตัวปีศาจให้ได้ จะได้บังคับให้พาพระอาจารย์ข้ามน้ำส่ง ก็หาทันจะบอกออกชื่อว่าจะไปอาราธนาพระคัมภีร์ไตรปิฎกไม่ พระโพธิสัตว์พูดว่ามันมิใช่ยักษ์มารอะไรที่ไหน มันคือองครักษ์ใต้เจียงกุน ขุนนางข้างที่ของเง็ก เซียงฮ่องเต้ ต้องโทษบนสวรรค์จึงสาปให้ลงมาอยู่ในลำแม่น้ำหลิวซัวฮ้อนี้
 เมื่อครั้งก่อนอาตมาได้ชักนำสั่งสอนให้ อยู่ปฏิบัติรักษาธรรม แลได้สั่งว่าแม้มีผู้มาทางนี้ก็ให้ติดตามสวามิภักดิ์เป็นศิษย์ไป กว่าจะสำเร็จการธุระ ภายหลังจึงจะเอาคุณลบล้างโทษ แม้เมื่อแรกมาบอกว่าจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกแล้ว เธอก็คงจะเข้า สวามิภักดิ์ ไม่ให้ต้องลำบากอย่างนี้ พระโพธิสัตว์พูดดังนั้นแล้ว จึงเรียกฮุยไง้สานุศิษย์ใหญ่มาแล้ว จึงหยิบลูกน้ำ เต้าในมือเสื้อออกมาส่งให้ฮุยไง้แล้วสั่งว่า จงไปด้วยเห้งเจียยังแม่น้ำหลิวซัวฮ้อ ยืนบนหลังน้ำร้องเรียกว่าหงอเจ๋ง บัดนี้มีผู้จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกมาแล้ว ให้รีบขึ้นมาสวามิภักดิ์ติดตามไปด้วยเถิด แล้วส่งน้ำเต้าให้หงอเจ๋ง ร้อยหัวกะโหลกผีเป็นวงรอบ แล้วเอาน้ำเต้าไว้ตรงกลางวงทำเป็นกิริยาเรือจะได้ส่งพระถังซัมจั๋งข้ามฟาก
 ฮุยไง้ได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งทุกประการแล้ว คำนับลาพระโพธิสัตว์พาเห้งเจียออกจากสำนัก เหาะกลับมายังแม่น้ำหลิวซัวฮ้อ ครั้นถึงฮุยไง้หยุดกลางแม่น้ำ แล้วร้องเรียกว่าหงอเจ๋ง ๆ บัด นี้ผู้อาราธนาพระไตรปิฎกธรรมมาคอยท่าอยู่นี่แล้ว ทำไมจึงไม่รีบขึ้นมาสวามิภักดิ์เป็นศิษย์ไปเล่า ฮุยไง้เรียกดังนั้นแล้ว ก็เลยมาหาพระถังซัมจั๋ง ต่างคำนับกัน โป๊ยก่ายแลเห็นฮุยไง้มาก็ดีใจ จึง มาคำนับ โป๊ยก่ายคำนับแล้วคำนับอีก เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงพูดว่าน้องอย่ากระทำให้ชักช้า ไป ให้ท่านเรียกปีศาจขึ้นมาเสียก่อนเถิดจึงค่อยขอบพระคุณท่าน
 หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ใครจะเรียกปิศาจเล่า เห้งเจียบอกว่าพระโพธิสัตว์สั่งฮุยไง้มาให้เป็นผู้เรียก หลวงจีนถังซัมจั๋ง ได้ทราบว่าพระโพธิสัตว์มีความกรุณาเมตาจิตอย่างนั้น ก็มีความยินดีจึงยกมือขึ้นนมัการไปยังทิศ ที่พระโพธิสัตว์อยู่ แล้วคำนับขอบใจฮุยไง้ซึ่งได้มีใจมาช่วย ฝ่ายปีศาจอยู่ใต้น้ำ เมื่อได้ยินเสียงมาเรียกชื่อของตัว และพูดว่ามีผู้มาอาราธนาพระไตรปิฎก ธรรม มาคอยอยู่ข้างฝั่งดังนั้น ก็นึกขึ้นได้คือพระโพธิสัตว์สั่งไว้ คิดดังนั้นก็แทรกน้ำโผล่ขึ้นมาเหลียวซ้ายแลขวา พอแลมาปะฮุยไง้เข้าก็จำได้ คำนับแล้วก็ถามว่า พระโพธิสัตว์อยู่ที่ไหน
 ฮุยไง้บอกว่า พระโพธิสัตว์มิได้มา สั่งให้ข้าพเจ้ามาสั่งท่านว่า จงรีบติดตามสวามิภักดิ์หลวงจีนถังซัมจั๋งไปประเทศไซที แลให้เอากะโหลกหัวผีเก้าหัว ที่ห้อยคอนั้นร้อยรอบเป็นวงแล้ว เอาน้ำเต้าวางกลางวง แล้วยกวางลงบนหลังน้ำเป็นต่างเรือ จะได้ส่งพระ อาจารย์ข้ามฟากไป หงอเจ๋งจึงถามว่าบัดนี้ผู้จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกนั้นอยู่ที่ไหน ฮุยไง้จึงชี้มือว่าที่ยืนอยู่บนฝั่งน้ำ นั้นมิใช่หรือ
 หงอเจ๋งแลไปเห็นพระถังซัมจั๋งยืนอยู่ จึงวางไม้พลองเสียวิ่งมากราบนมัสการแล้วพูดว่า ข้าพเจ้ามีตาเนื้อ แต่ไม่มีแก้วตาปัญญาจำอาจารย์ไม่ได้ ขอพระอาจารย์อย่าได้ถือโทษข้าพเจ้าเลย หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ตัวมีจิตศรัทธาจริงใจจะยอมอยู่ในคำสั่งสอนของอาตมาหรือ หงอเจ๋งพูดว่าข้าพเจ้าได้พึ่งพระโพธิสัตว์สั่งสอน และได้รับคำสั่งสอนของท่าน และท่านได้ตั้งฉายาให้นามเรียกว่า (ซัวหงอเจ๋ง) เมื่อได้รับอย่างนี้แล้ว ทำไมจะไม่อยู่ในคำสั่งสอนของท่านเล่า
 หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่าถ้าดังนั้นก็ดีแล้ว จึงเรียกเห้งเจียให้เอามีดโกนมาโกนผมให้หงอเจ๋ง แล้วหงอเจ๋งจึงนมัสการหลวงจีนถังซัมจั๋งเป็นอาจารย์ คำนับเห้งเจียโป๊ยก่ายเป็นพี่ พระ ถังซัมจั๋งเห็นกิริยาหงอเจ๋งมัธยัสถ์ จึงให้เรียกนามว่า (ซัวฮั่นเสียงแลซัวเจ๋งก็เรียก) ฝ่ายฮุยไง้เห็นซัวเจ๋งมีความเคารพเรียบร้อยแล้ว จึงพูดว่า หงอเจ๋งได้สมาทานองค์ศีลแล้ว จงอย่า มีความเกียจคร้าน รีบทำเรือจะได้ส่งท่านถังซัมจั๋งข้ามฟาก
 หงอเจ๋งได้ฟังฮุยไง้บอกดังนั้น ก็ถอดหัวกะโหลกผีทั้งเก้าออกจากคอแล้ว เอาเชือกหวายร้อยวงกะโหลกทั้งเก้านั้น วางลงที่หลังน้ำแล้วเอาน้ำเต้าวางอยู่ท่ามกลาง แล้วจึงนิมนต์พระอาจารย์ถังซัมจั๋งลงเหยียบน้ำเต้า ตัวลอยดุจ อยู่บนเรือไม่พลิกแพลงดุจยืนอยู่บนแผ่นดิน ข้างซ้ายมีโป๊ยก่ายข้างขวามีซัวเจ๋งประะคับประคอง ข้างหลังมีเห้งเจีย จูงม้า ข้างบนมีฮุยไง้คุมรักษา
 วันเมื่อหลวงจีนถังซัมจั๋งเหยียบน้ำเต้าข้ามฟากไปนั้น ก็โดยอานุภาพอภินิหารย์ของ พระกวนอิมน้ำเต้าก็ลอยละลิ่วไป คลื่นระลอกก็มิได้ซัดสงัดสงบเงียบถึงฟากฝั่งได้โดยสะดวกดังประสงค์ อาจารย์ กับศิษย์ก็พากันขึ้นบก ฮุยไง้ก็ลงเก็บเอาน้ำเต้าขึ้นมา หัวกะโหลกผีเหล่านั้นก็อันตรธานสูญหายไป ฮุยไง้ก็ลา กลับไปยังน่ำไฮ้ หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ยกมือนมัสการ อาจารย์กับศิษย์ก็ตั้งหน้าตรงไปยังทิศปราจิณ

ไม่มีความคิดเห็น: