Translate

20 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 16 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖      
   ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่      
 ตอน ผจญปีศาจหมี ชิงจีวรวิเศษ (ช่วงที่ 1)
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงชักม้าเดินตรงเข้าไปถึงประตูวัด พิจารณาดูเห็นเป็นพระอารามใหญ่ พระถังซัมจั๋งลงจากม้าแล้วก็เดินเข้าไปในวัด เห็นหลวงจีนเดินออกมาสามสี่องค์ พระถังซัมจั๋งจึงยืนหยุดอยู่ข้างทางแล้ว ครั้นหลวงจีนเข้ามาใกล้พระถังซัมจั๋งจึงคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้ามาแต่เมืองถังเวลานี้ก็ค่ำแล้ว ข้าพเจ้าขออาศัยพักค้างในวัดสักคืนหนึ่งเถิด หลวงจีนเหล่านั้นได้ฟังดังนั้นก็เชิญพระถังซัมจั๋งเข้าไปในวัด พระถังซัมจั๋งร้องบอกเห้งเจียให้จูงม้าเข้ามาข้างใน หลวงจีนเหล่านั้นเห็นเห้งเจียประหลาดกว่าคนทั้งหลายจึงถามว่า คนที่จูงม้ามานั้นเป็นคนอะไรข้าพเจ้าไม่เคยเห็นเลย
 พระถังซัมจั๋งจึงบอกว่า ท่านพูดแต่เบา ๆ ด้วยเขาเป็นคนใจน้อย ถ้าได้ยินพวกท่านพูดไม่ชอบใจก็จะโกรธมุทะลุขึ้น คนนั้นหรือคือเป็นสานุศิษย์ของข้าพเจ้าเอง
 หลวงจีนทั้งหลายได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ทำไมท่านจึงได้หาสานุศิษย์อย่างนี้รูปร่างไม่น่าดูเลย
 พระถังซัมจั๋งตอบว่าถึงรูปร่างไม่ดีก็จริง แต่ต้องการก็ใช้ได้ หลวงจีนทั้งหลายได้ฟังดังนั้นก็ยังหาได้ตอบประการใดไม่ จึงพาพระถังซัมจั๋งเดินเข้ามาถึงในโบถส์
 พระถังซัมจั๋งแลขึ้นไปเห็นกระดานป้ายหน้าประตู จารึกอักษรใหญ่สี่ตัวว่า (กวนอิมเซียนยี่) เห็นแล้วก็เดินตามหลวงจีนเข้าไปข้างใน ครั้นถึงหน้าพระประธาน ก็คุกเข่าลงกราบพระพุทธรูป หลวงจีนทั้งหลายก็ตีกลองเป็นสัญญาณนมัสการพระ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็วิ่งเข้าฉวยไม้ไปเคาะระฆัง ครั้นพระถึงซัมจั๋งนมัสการพระแล้ว หลวงจีนก็หยุดตีกลอง แต่เห้งเจียหาหยุดตีระฆังไม่ หลวงจีนทั้งหลายจึงร้องว่าอาจารย์ไหว้พระแล้วจงหยุดตีระฆังเถิด
 เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านไม่เข้าใจบวชเป็นพระได้วันหนึ่งก็เคาะระฆังทีหนึ่ง จึงจะถูกตามแบบอย่าง ว่าดังนั้นแล้วก็ตีระฆังหาหยุดไม่
 หลวงจีนทั้งหลายที่อยู่ในวัดได้ยินเสียงระฆังตีไม่หยุด ต่างคนก็ตกใจวิ่งมาดูแล้วพูดว่าอ้ายคนป่าอยู่ที่ไหนจึงมาตีระฆังพังอย่างนื้
 เห้งเจียได้ยินเสียงหลวงจีนร้องพูดมาดังนั้น จึงปล่อยไม้ตีระฆังเสีย กระโดดออกมาพูดว่าไม่ใช่ใครมาตีดอก คือเราเป็นตาของพวกท่านทั้งหลายมาตีระฆังเอง
 หลวงจีนทั้งหลายเห็นเห้งเจียร่างน่ากลัวดังนั้น ต่างคนตกใจวิ่งหลบถลาหกล้มบ้าง ก็ร้องว่ารามสูรย์หรือยักษ์มาแล้ว
 เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงร้องว่า รามสูรย์นั้นเป็นหลานของเราเอง พวกท่านทั้งหลายจงลุกขึ้นเถิดอย่าวิ่งหนีไปให้ได้ความลำบากยากเหนื่อยเลย ข้าพเจ้าคืออยู่ประเทศจีนใต้ถังมาด้วยท่านอาจารย์ถังซัมจั๋งอย่าตกใจไปเลย ไม่ทำอันตรายดอก
 หลวงจีนทั้งหลายได้ฟังดังนั้นก็เหลียวไปเห็นพระถังซัมจั๋ง จึงค่อยมีสะติลุกขึ้นมาเคารพกันตามกิจแห่งหลวงจีน พระถังซัมจั๋งจึงได้ออกจากโบถส์มายังกุฎีใหญ่ หลวงจีนทั้งหลายจึงเชิญพระถังซัมจั๋งให้นั่งที่อันสมควรแล้วก็ยกน้ำชามาเลี้ยง
 ขณะนั้นเห็นเด็กพะยุงหลวงจีนผู้เฒ่าออกมา พระถังซัมจั๋งจึงย่อตัวลงคำนับ อาจารย์เจ้าวัดก็คำนับตอบ แล้วพูดว่าข้าพเจ้ามีความยินดีด้วยได้ยินเขาพูดกันว่าพระใต้ถังมาถึงนี่ จึงได้ออกมาคำนับและอยากจะใคร่พบท่านว่า มาจากเมืองถึงนี้ระยะทางใกล้ไกลสักเท่าใด
 พระถังซัมจั๋งจึงตอบว่า ข้าพเจ้ามาจากเมืองเชียงอานสิ้นเขตนั้นห้าพันโยชน์กว่า จากเขาเหลียงกัยซัวต่อแดนนั้นมา ข้ามเมืองไซฮวนปิ๊ดก๊ก จนมาถึงที่นี่ประมาณสักหกพันโยชน์กว่า
 อาจารย์ผู้เฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ระยะทางก็ไกลท่านยังอุตส่าห์มาถึงนี่ อันตัวข้าพเจ้าทั้งชาติก็มิได้ออกไปข้างไหนเลยเปรียบเหมือนนั่งอยู่ในบ่อ แลเห็นแต่ฟ้าเท่านั้นเอง
 พระถังซัมจั๋งจึงถามว่าพระอาจารย์อายุเท่าใดแล้ว หลวงจีนผู้เฒ่าจึงตอบว่าอายุข้าพเจ้าได้สองร้อยเจ็ดสิบปีแล้ว
 เห้งเจียนั่งอยู่ข้างริมนั้น ครั้นได้ยินเจ้าวัดบอกดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านยังเป็นคราวแก่หลานเหลนโหลนของเราอยู่ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ทำขึงตาไม่ให้เห้งเจียพูด เห้งเจียเห็นพระอาจารย์ทำนัยน์ตาดังนั้นก็นิ่งอยู่มิได้พูดต่อไป
 ในขณะนั้นพอเด็กศิษย์ยกถาดที่ชาซึ่งทำด้วยหยกแลถ้วยชาสำริดสามถ้วยมาวางบนโต๊ะ แล้วมีเด็กอีกคนหนึ่งยกกาปั้นทองฃาวมารินน้ำชาสามถ้าย พระผู้เฒ่าจึงเชิญพระถังซัมจั๋งให้ฉัน
 พระถังซัมจั๋งแลเห็นดังนั้นจึงชมว่า ของใช้ของท่านแต่ล้วนมีราคาทั้งนั้น หลวงจีนผู้เฒ่าจึงพูดว่าสิ่งของเล็กน้อยอย่างนี้ท่านชมเสียสายตาเปล่า ๆ ไม่ประหลาดอะไรนักหนา ท่านมาจากเมืองหลวงมีสิ่งของอะไรประหลาดบ้าง ฃอให้ข้าพเจ้าผู้บ้านนอกชมบ้างพอเป็นขวัญตา
 พระถังซัมจั๋งจึงตอบว่าข้าพเจ้ามาจากเมืองหลวงก็จริง แต่มิได้เอาของอะไรมา เพราะหนทางแสนที่กันดารลุ่มดอนโขดเขาทั้งเหลือที่จะไกลมากนัก
 เห้งเจียครั้นได้ฟังพระอาจารย์พูดดังนั้น ก็ร้องบอกแก่พระถังซัมจั๋งว่า ของเรามีของวิเศษคือผ้ากาสาวพัสตร์เอาออกมาอวดกับเขาบ้างไม่ได้หรือ
 หลวงจีนทั้งหลายได้ยินเห้งเจียว่าดังนั้น ก็พากันหัวเราะเป็นที่เย้ย เห้งเจียเห็นหลวงจีนทั้งปวงพากันหัวเราะ จึงถามว่าท่านหัวเราะอะไรกัน
 หลวงจีนรูปหนึ่งบอกแก่เห้งเจียว่า ได้ยินท่านพูดว่าผ้ากาสาวพัสตร์วิเศษของท่านมี หลวงจีนทั้งหลายเขาจึงพากันหัวเราะ อันผ้ากาสาวพัสตร์วิเศษนั้นของข้าพเจ้าทั้งปวงนี้ก็มีคนละสามสี่สิบผืน แต่ของท่านอาจารย์ใหญ่นั้นไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดร้อยผืน ซึ่งเก็บไว้เราจะให้คนยกมาให้ท่านดู พูดดังนั้นแล้วก็เรียกคนรักษาสั่งมาว่า ให้ไปเอาผ้ากาสาที่เก็บไว้ในตู้ทั้งสิบสองตู้มาที่นี่ คนใช้ก็ไปเปิดตู้ขนเอาผ้าออกมาห้อยจนเต็มราวที่น่ากุฎีใหญ่ หลวงจีนผู้เป็นสมภารรองจึงเชิญให้พระถังซัมจั๋งดู
 พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงชมว่า ผ้ากาสาเหล่านี้งามดีทุก ๆ ผืนล้วนแต่แพรจินเจา ที่ประดับประดาต่างสีดูระยับระย้างามหาที่เปรียบมิได้
 เห้งเจียแลเห็นดังนั้นก็เกิดมานะขึ้น จึงพูดว่าดีแล้ว ๆ เราจะเอาของเราออกให้ดูบ้าง พระถังซัมจั๋งเห็นอาการเห้งเจียดังนั้น จึงกระหยิบตาว่าจะเอาจีวรออกประกวดแก่เขาทำไม เราสองคนมาจากทางไกล โบราณท่านว่า อันเพ็ชรนินจินดาของงามของดีไม่ต้องจะให้คนเห็น ถ้าจิตไม่ดีแล้วจิตนั้นจะเกิดความโลภขึ้นมีความอยากได้ ก็จะคิดกลอุบายกระทำร้ายแก่เราต่าง ๆ
 เห้งเจียจึงพูดว่า พระอาจารย์จงวางใจเถิด ไว้เป็นธุระข้าพเจ้าเอง ว่าแล้วจึงไปเอาถุงย่ามนั้นมาแก้ออก ยกเอาห่อผ้านั้นออกมาแล้ว ก็แก้ห่อผ้านั้นออก เอาผ้ากาสาวพัสตร์คลี่ขึงออกให้หลวงจีนทั้งหลายดู หลวงจีนทั้งหลายเหล่านั้น ต่างพิจารณาดูผ้ากาสาวพัสตร์ เห็นเป็นรัศมีสว่างไปทั้งกุฎิดูประหลาดอัศจรรย์งามหาที่เปรียบมิได้ ต่างออกปากร้องชมกันออกแซ่ไปว่า งามหาที่เปรียบมิได้ เป็นบุญตาของพวกเราจึงได้มาเห็นของวิเศษอย่างนี้
 ฝ่ายสมภารผู้เฒ่า เมื่อได้เห็นดังนั้นก็บังเกิดจิตโลภขึ้นในทันใดนั้น จึงลุกจากที่นั่งมายืนตรงหน้าพระถังซัมจั๋ง คำนับแล้วคุกเข่าลงพนมมือร้องไห้พูดว่า ข้าพเจ้าไม่มีนิสัยแต่ชาติก่อนจึงมิได้พบของวิเศษอย่างนี้ มาบัดนี้ได้เห็นของวิเศษอันประหลาด ขอโอกาศให้ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด
 พระถังซัมจั๋งจึงประคองตัวหลวงจีนผู้เฒ่าขึ้นแล้ว ถามว่าท่านอาจารย์จะมีกิจธุระพูดอะไรหรือ
 หลวงจีนผู้เฒ่าจึงพูดว่า อันผ้ากาสาวพัสตร์ของท่านเอาออกให้ข้าพเจ้าดู เวลาก็จวนจะค่ำอยู่แล้ว นัยน์ตาข้าพเจ้าก็มืดนักจะดูก็ไม่เห็นทั่วทั้งผืน ข้าพเจ้ามีความเสียใจนัก ถ้าแม้ท่านมีจิตกรุณาแก่ข้าพเจ้าแล้วขอให้ข้าพเจ้ายืมไปในห้องดูสักคืนหนึ่งเถิด พรุ่งนี้จะส่งคืนไม่ทราบว่าท่านจะกรุณาหรือไม่
 พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นในใจให้หวาดเสียวแล้วกลับคิดแค้นเห้งเจีย จึงหันหน้ามาพูดว่า เหตุนี้เป็นเพราะเจ้าเองจึงได้เกิดความอย่างนี้ขึ้น
 เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบพระอาจารย์ว่า พระอาจารย์วิตกอะไรจงให้เอาไปเถิด ถ้าเป็นเหตุประการใดแล้ว ข้าพเจ้าจะรับประกันเอง เห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว ก็หยิบผ้ากาสาวพัสตร์นั้นส่งให้หลวงจีนผู้เฒ่าไป หลวงจีนผู้เฒ่ามีความยินดีเป็นที่สุด รับเอาผ้ามาแล้วจึงสั่งให้หลวงจีนทั้งปวงจัดกุฎิให้พระถังซัมจั๋งอยู่ข้างนอก ครั้นสั่งเสร็จแล้วก็ถือผ้ากาสาวพัสตร์เดินเข้าไปยังห้องข้างใน
 ฝ่ายหลวงจีนลูกวัดก็พาพระถังซัมจั๋งไปยังศาลาที่พัก จัดแจงห้องและของเครื่องใช้สอยให้พระถังซัมจั๋งแล้วก็ลากลับไป
 ฝ่ายเห้งเจียครั้นหลวงจีนทั้งหลายพากันกลับไปแล้ว ก็เอาผ้ามาผูกทอดหญ้าฟางไว้เสร็จแล้ว ยกหาบมาวางไว้ในห้อง จัดแจงที่นอนให้อาจารย์แล้วก็ปิดประตูลั่นกลอน อาจารย์กับศิษย์เหนื่อยมาก็นอนหลับไป
 ฝ่ายหลวงจีนผู้เฒ่าได้จีวรวิเศษไปแล้ว ก็เข้าห้องจุดตะเกียงคลี่ผ้ากาสาวพัสตร์ออกดูโดยละเอียด จึงคิดว่าของสิ่งนี้เป็นของวิเศษยากที่ผู้ใดจะหาได้ ถึงเราอยากได้ก็เห็นจะไม่สมประสงค์ ทำอย่างไรดีหนอจึงจะได้ผ้านี้เป็นของเรา ยิ่งนึกไปก็ไม่เห็นท่าทางที่จะคิดฉ้อโกงเอาได้ ลงจนใจก็ลงสิ้นแต้มร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ ฝ่ายหลวงจีนทั้งหลายได้ยินเสียงร้องไห้ดังนั้นก็พากันเข้าไปดู เห็นท่านเจ้าวัดร้องไห้อยู่ดังนั้นจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงได้ร้องไห้ดังนี้ อาจารย์ผู้เฒ่าจึงบอกว่าตัวข้าไม่มีนิสัยที่จะดูผ้ากาสาวพัสตร์อันนี้ของพระถังซัมจั๋งแล้ว
 ศิษย์ทั้งหลายจึงพูดแนะนำว่า ผ้ากาสาวพัสตร์อยู่กับมือแล้วมิใช่หรือ ทำไมจึงต้องร้องไห้ดังนั้น
 อาจารย์ผู้เฒ่าจึงพูดว่า ถึงดูได้ก็จริงแต่มิได้ไว้ชม เหตุฉะนี้ข้าจึงเสียใจนัก อายุข้านี้ก็ได้สองร้อยเจ็ดสิบแล้วได้เก็บเอาผ้าเหล่านั้นไว้เป็นหลายร้อยผืนก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร ผ้ากาสาวพัสตร์ผืนนี้หากจะได้ครองวันหนึ่งแล้วก็ตายก็ยังเป็นที่พอใจอยู่
 หลวงจีนศิษย์ทั้งหลายจึงพูดว่า แม้ท่านปราถนาจะใคร่ครองดูก็จะไม่ยากอะไร จงชักชวนให้หลวงจีนถังซัมจั๋งรอหยุดพักอยู่อีกสักวันสองวันก็ได้ ท่านอาจารย์คงจะได้ครองจีวรตามประสงค์ จะมาทุกข์ร้อนอะไรให้ป่วยการเสียเปล่า ๆ
 หลวงจีนผู้เฒ่าว่าถึงอยู่สักปีหนึ่ง ถ้าเขาจะไปก็ต้องคืนให้เขา จะเอาของเขาไว้อย่างไรได้
 ขณะนั้นยังมีเถรโค่งรูปหนึ่งชื่อกวั๊งตี๊จึงพูดว่า ถ้าอยากจะได้ผ้ากาสาวพัสตร์ไว้เป็นของเราให้ยืดยาวนั้นจะยากอะไร ไม่เห็นจะต้องวิตกเลย
 อาจารย์ผู้เฒ่าได้ยินดังนั้นก็ดีใจเป็นอันมาก จึงถามว่าหลานเห็นอย่างไรหรือ เถรโค่งตอบว่า พระถังซัมจั๋งเป็นคนเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยมาก บัดนี้ก็หลับสนิทแล้ว พวกเราหลายคนด้วยกัน พร้อมมือช่วยกันงัดกลอนเปิดประตูเข้าไปจับคนทั้งสองฆ่าเสีย แล้วม้ากับของในหาบ แลผ้ากาสาวพัสตร์ก็จะตกอยู่ในมือเรา อย่างนี้จะไม่ยืดยาวหรือ
 อาจารย์ผู้เฒ่าได้ยินดังนั้น ก็มีความยินดีเป็นที่สุด เอาผ้าเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่าดีแล้วคิดอุบายอย่างนี้ จึงสั่งให้กวั๊งตี๊จัดแจงเตรียมอาวุธ
 ยังมีเณรโค่งอีกองค์หนึ่งชื่อกวั๊งบู๊ เห็นกวั๊งตี๊จัดแจงอาวุธวุ่นวาย จึงมาพูดแก่อาจารย์ว่า ซึ่งคิดจะฆ่าเขานั้นต้องดูให้แนบเนียน คนที่เป็นอาจารย์นั้นไม่สู้กระไร วิตกแต่อ้ายคนหน้าขนที่เป็นสานุศิษย์ ดูเหมือนหากเราทั้งร้อยคนก็จะสู้มันไม่ได้ อุบายอย่างนี้เห็นจะไม่สู้ดี ถ้าไม่สำเร็จซ้ำจะเกิดภัยแก่พวกเรา ข้าพเจ้ามีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ต้องถึงใช้อาวุธก็ได้
 อาจารย์ผู้เฒ่าจึงถามว่า อุบายของเจ้านั้นอย่างไร ขอให้ชี้แจงให้เราฟัง
 กวั๊งบู๊จึงบอกว่า ความเห็นของข้าพเจ้านั้น ให้พวกเราเก็บไม้แห้งที่เป็นเชื้อไฟให้มาก เอามาสุมไฟเผากุฎิที่คนทั้งสองนอนอยู่ทั้งคนทั้งม้าก็จะเป็นจุลไปหมด ถึงพวกชาวบ้านเขาเห็นเขาก็คงเข้าใจว่าผู้ที่มาอาศัยทำไฟให้ติดขึ้นไหม้กุฎิแลไหม้ตัวเอง ความก็จะไม่อื้อฉาวเงียบสูญไป ผ้ากาสาวพัสตร์ก็จะตกอยู่แก่เราจะไปไหนเสีย ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้จะเห็นดีด้วยหรือไม่ อาจารย์เจ้าวัดได้ยินดังนั้นก็ตบมือหัวเราะก๊าก ๆ แล้วชมว่าความคิดของเจ้าดีแท้ เออ อย่างนั้นซิกาสาวพัสตร์จะได้เป็นของเราได้ยืดยาว ว่าแล้วก็สั่งสานุศิษย์ที่ร่วมใจให้รู้ทั่วทุกคน
 ฝ่ายสานุศิษย์ทั้งหลาย ต่างคนต่างก็เตรียมตัวคอยท่าอยู่ ได้เวลาก็จะเอาไฟเผากุฎิตามที่คิดกันไว้
 ฝ่ายเห้งเจียจิตใจเป็นกายสิทธิ์ ผิดกว่าธรรมดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายทั่วโลก ถึงจะนอนหูก็ไวรู้สึกได้ง่าย ทั้งเป็นธรรมดาของวานรทั้งหลายหูไวเป็นที่สุด ทั้งพระถังซัมจั๋งก็นับเนื่องเข้าในพระโพธิสัตว์และเป็นผู้ประกอบด้วยบุญญาภิสังขารมาก ย่อมมีธรรมรักษาอยู่เสมอ
เวลานั้นเห้งเจียกำลังนอน ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบอยู่ข้างนอกก็มีความสงสัยเป็นอันมาก ผุดลุกขึ้นจะเปิดประตู ออกไปดู ก็กลัวอาจารย์จะตกใจ จึงสำร่วมจิตร่ายพระเวทย์แปลงกายเป็นแมลงผึ้งบินลอดออกมาทางช่องหน้าต่าง ก็แลเห็นหลวงจีนทั้งหลายกำลังพากันขนเอาไม้แห้งและฟางฝอยมากองรอบกุฎิ สังเกตดูคงจะเอาไฟเผาคลอกเรากับ อาจารย์เป็นแน่
 เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะแต่ในใจนึกว่าไม่ผิดคำพระอาจารย์ที่พูดไว้เลย หลวงจีนเหล่านี้มันคิด อุบายจะเผาเรา เพราะมันอยากได้ผ้ากาสาวพัสตร์ของอาจารย์เท่านั้น มันจึงได้คิดร้ายอย่างนี้ ถ้าเราจะตีก็จะตาย เสียทั้งสิ้นแต่วิตกว่าพระอาจารย์จะว่าเราดุร้าย อย่าเลยเราจะต้องเอากลซ้อนกลเห็นจะดี คิดดังนั้นแล้วเห้งเจียก็ เหาะขึ้นไปยังประตูสวรรค์น่ำทีหมึง
 ครั้นถึงจึงเดินเข้าไปในหมู่เทวดาที่ประตูสวรรค์อยู่นั้น เทวดาทั้งหลายเหล่านั้น พากันตกใจร้องบอกกันวุ่นวายว่า ให้รีบหนีโดยเร็วเถิด ครั้งก่อนก็ได้มาทำวุ่นวายให้พวกเราเดือดร้อนทีหนึ่งแล้ว บัดนี้ก็มาอีกแล้ว พวกเทวดาเหล่านั้นพากันตื่นวิ่งหนีกระจายไป เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงโบกมือห้าม แล้วร้องว่าท่านทั้งหลายอย่ากลัวเลย ข้าพเจ้าจะมาหาท่านกวั๊ง หมุดทีอ๋องดอก หาได้มาคิดทำร้ายแก่ท่านทั้งหลาย กำลังเห้งเจียพูดยังไม่ทันจะขาดคำลงก็พอ กวั๊งหมุดทีอ๋องก็ เดินออกมา
 เห้งเจียแลเห็นกวั๊งหมุดทีอ๋องก็คำนับแล้วพูดว่า บัดนี้พระถังซัมจั๋งเดินทางมาพักนอนที่ในวัด หลวง จีนใจร้ายจะเอาไฟคลอกเผาเสียให้ตาย การก็จวนเต็มทีแล้ว ข้าพเจ้ามาทั้งนี้ ปราถนาจะยืมลูกบังไฟไปช่วยพระถังซัมจั๋งสักครั้งหนึ่ง ถ้าการสำเร็จแล้วจะเอากลับมาคืนส่งให้โดยเร็ว กวั๊งหมุดทีอ๋องได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นจึงกลับถามว่า ถ้าคนร้ายจะเอาไฟคลอกชอบแต่จะเอาน้ำแก้ จึงจะต้องด้วยแบบแผน ทำไมท่านจะเอาลูกบังไฟไปทำไมเล่า
 เห้งเจียจึงชี้แจงว่า ท่านหาทราบในความคิดของข้าพเจ้าไม่ คือถ้าเอาน้ำช่วยไฟก็จะไม่ติดขึ้นได้ พวกคนร้ายก็จะไม่สมความคิด ข้าพเจ้าปราถนาจะให้พวกคนร้ายเขาสมความคิดของเขา ข้าพเจ้าจึงมายืมลูกไฟไป ช่วยแต่พระถังซัมจั๋งองค์เดียวเท่านั้น นอกนั้นตามแต่เขาจะเผากันให้ไหม้อย่างไร ก็ตามแต่ยะถากรรมของเขาเถิด ขอท่านได้รีบให้ข้าพเจ้าโดยเร็วเถิด ถ้าช้าอยู่ก็จะเสียการ
 กวั๊งหมุดทีอ๋องได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วนึกว่าวานรตัวนี้มีความคิดจะเอาแต่ตัวรอดไม่เอาธุระของ ใคร คิดดังนั้นแล้ว กวั๊งหมุดทีอ๋องก็หยิบลูกบังไฟส่งให้ แล้วกำชับว่า ถ้าเสร็จธุระแล้วจงรีบเอา มาส่ง เห้งเจียรับลูกบังไฟแล้วมีความยินดีคำนับลา กวั๊งหมุดทีอ๋อง รีบออกจากประตูสวรรค์เหาะกลับ มาลงยังวัด ครั้นถึงเห้งเจียจึงเอาลูกบังไฟ คลี่ออกคลุมกุฎิที่พระถังซัมจั๋งนอนกับทั้งม้าและหาบเสบียงอาหารเสร็จ แล้ว เห้งเจียก็ออกไปที่หลังกุฎีใหญ่ที่อาจารย์ผู้เฒ่าใจร้ายอยู่นั้น นั่งแอบคอยระวังผ้ากาสาวพัสตร์ แลคอยดูหลวง จีนใจร้ายจะลงมือทำการเมื่อไร ก็จะประสมเข้าทำด้วย
 ฝ่ายหลวงจีนทั้งหลายเมื่อเห็นได้เวลาสมควรแล้ว จึงเอาไฟมาจุดฟางที่ใต้ถุนกุฎิพระถังซัมจั๋ง กับเห้งเจียนอนอยู่นั้น ให้ลุกขึ้นไฟโพลงโดยรวดเร็ว เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็ร่ายพระคาถา เรียกลมเป่าผสมซ้ำช่วย ไฟก็ยิ่งลุกพุ่งโพลงเลยไปติดกุฎิแลที่ใกล้เคียงต่อ ๆ ไปอีกเป็นอันมาก ฝ่ายหลวงจีนทั้งหลายเมื่อเห็นดังนั้นก็พากันตกใจ ต่างวุ่นวายไปทั้งวัด ช่วยกันหามตู้แลหีบขน ของเครื่องใช้ร้องเรียกกันเสียงอึกกะทึกไปทั้งวัด
 ในเวลานั้นไฟก็ยิ่งลุกออกแดงไปในท้อง อากาศก็สว่างไปจนถึงถ้ำปิศาจยักษ์ ในที่ใกล้นั้นมีปิศาจตนหนึ่ง อยู่ทางทิศอาคเนย์ มีภูเขาหนึ่งเรียกว่า เขาเฮ๊กฮองซัว มีถ้ำ ๆ หนึ่งเรียกว่าเฮ๊กฮองต๋อง เวลาเมื่อไฟไหม้วัดนั้น แสงไฟถ่อไปถึงถ้ำเฮ๊กฮองต๋อง ปีศาจยักษ์นอนอยู่ในถ้ำ พลิก กลับตัวหันหน้าออกมาทางปากถ้ำ ได้ยินเสียงลมพะยุหวั่นไหว แลไปดูเห็นแสงไฟสว่างส่องมาถึงหน้าถ้ำ ก็ตกใจ ลุกขึ้นเดินออกมาดู เห็นไฟไหม้สว่างอยู่ข้างทิศอุดร ก็นึกว่าเห็นไฟจะไหม้ที่วัดกวนอิมเซียนอื๊อแน่แล้ว จำเราจะ ต้องไปช่วยดับไฟจึงจะชอบ คิดแล้วก็รีบเหาะมายังวัด
 ครั้นถึงก็พิจารณาดูเห็นกุฎิใหญ่นั้นไฟหาไหม้ไม่ แล ข้างหลังกุฎิใหญ่มีคนนั่งภาวนาเรียกลมอยู่ เมื่อปีศาจยักษ์เห็นดังนั้น จึงร่ายมนต์กำบังตัวลอยลงแอบเข้าไปในกุฎิ ใหญ่ เห็นมีห่อผ้าแพรวางอยู่บนโต๊ะมีรัศมีสว่างออกมาเป็นสีแสงต่าง ๆ ก็นึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก จึงเดินเข้าไปใกล้ หยิบห่อผ้าแก้ออกดู ก็เห็นผ้ากาสาวพัสตร์วิเศษงามยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบได้ มีความยินดียิ่งนัก เดิมคิดจะ มาช่วยดับไฟ
 ครั้นมาเห็นผ้ากาสาวพัสตร์เข้า จิตก็กลับไม่คิดที่จะช่วยดับไฟ จึงหยิบเอาผ้ากาสาวพัสตร์นั้นได้แล้ว ก็ออกจากห้องกุฎิเหาะกลับไปยังถ้ำที่อยู่ของตนตามเดิม ครั้นไฟโทรมลงแล้ว ฝ่ายหลวงจีนทั้งหลายในวัดนั้นต่างคนต่างร้องไห้ด้วยความเสียดายข้าว ของที่ไหม้ไฟหมดด้วยกันทุก ๆ คน เป็นที่น่าสังเวชยิ่งนัก สมด้วยคำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า (ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์ นั้นกลับมาลงตัวเห็นทันตา)
 ฝ่ายเห้งเจียเห็นไฟโทรมลงแล้ว จึงเปิดลูกบังไฟนั้นออกจากกุฎิที่พระถังซัมจั๋งอยู่ ก็รีบเหาะไปยัง สวรรค์เอาลูกบังไฟไปส่งกวั๊งหมุดทีอ๋อง แล้วก็รีบเหาะกลับลงมาก็พอสว่าง จึงคิดเห็นว่าพระอาจารย์ถังซัมจั๋งยัง ไม่ตื่น จึงแปลงกายเป็นแมลงผึ้งบินลอดเข้าไปในช่องหน้าต่าง ครั้นเข้าไปแล้วก็กลายเป็นรูปเดิมเดินเข้ามาปลุก พระอาจารย์
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเมื่อรู้สึกตื่นแล้ว ลุกขึ้นครองผ้าเปิดประตูเดินออกมาแลไปทั้งสี่ทิศ ไม่เห็นห้อง หอและกุฎิศาลา เห็นแต่กำแพงพังทลายไฟไหม้เป็นเถ้าถ่านไปหมดสิ้น ครั้นเห็นดังนั้นแล้วก็มีความตกใจจึงถามเห้งเจีย ว่า นี่เป็นด้วยเหตุผลประการใด เห้งเจียจึงแกล้งตอบว่า พระอาจารย์เห็นจะนอนฝันไปดอกกระมัง เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าหนีไฟแทบจะ ไม่พ้นเสียแล้ว พระถังซัมจั๋งยิ่งมีความฉงน จึงถามว่าทำไมอาตมภาพจึงไม่รู้เล่า
 เห้งเจียจึงพูดว่าข้าพเจ้าคอยแต่ระวังรักษาแต่กุฎิที่เราอยู่ จะปลุกพระอาจาย์ก็กลัวจะตกใจ พระถังซัมจั๋งพูดว่าทำไมจึงไม่ช่วยรักษาที่อื่นบ้างเล่า เห้งเจียว่าข้าพเจ้าจะบอกให้พระอาจารย์ทราบ ที่เกิดเหตุขึ้นทั้งนี้นั้น ก็เหมือนดังคำที่พระอาจารย์ว่าเมื่อวานนี้ เพราะพวกหลวงจีนเหล่านี้คิด อยากจะได้ผ้ากาสาวพัสตร์ของเรา จึงได้คิดจะเอาไฟเผาเราให้ตายเสีย ถ้าเราตายเสียแล้ว ผ้าจะได้ตกอยู่แก่เขา นี่หากว่าข้าพเจ้ารู้สึกเสียก่อนแล้ว จึงมิได้เป็นอันตราย หาไม่ป่านนี้ก็จะ เหลือแต่กระดูก ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าพวกนี้หามีหิริโอตัปปะไม่ ข้าพเจ้าจึงไม่ช่วย เลยซ้ำเรียกลมมา ให้พัดส่งใหญ่ไฟจึงได้ลุกลามมากมายไปดังนี้ เพื่อให้สมน้ำหน้าและพอใจของพวกคนพาลที่มุ่ง ร้ายหมายจะทำแก่เรา
 พระถังซัมจั๋งพูดว่า ธรรมดาไฟจะต้องเอาน้ำดับจึงจะชอบ นี่ท่านกลับเอาลมมาผสมดังนี้จะควรหรือ เห้งเจียว่า คำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า (ตัวเป็นคนอย่าคิดร้ายแก่เสือ เสือก็อย่าคิดร้ายแก่คน) ถ้าเขาไม่ใช้ไฟเราก็ไม่เรียกลม เห้งเจียพูดแล้วก็หัวเราะ พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ถ้าดังนั้นผ้ากาสาวพัสตร์จะมิไหม้ไฟเสียแล้วหรือ เห้งเจียว่าเห็นจะไม่เป็นไร ด้วยผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ที่กุฎิใหญ่ไฟมิได้ไหม้ไปถึงได้ จำเราจะไปทวงเอาผ้ากาสาวพัสตร์ของเราเถิด พระถังซัมจั๋งจึง จูงม้าเดินมายังกุฎิใหญ่ เห้งเจียยกหาบใส่บ่าเดินตามมา
 เวลานั้นหลวงจีนทั้งหลายกำลังนั่งคร่ำครวญทุกข์ร้อนอยู่ พอแลเห็นพระถังซัมจั๋งกับศิษย์เดิน ตามกันมา ต่างคนก็ตกใจสำคัญว่าปีศาจคนทั้งสองที่ไฟไหม้ตายมาทวงชีวิต ต่างคนก็คุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่าขอ ท่านได้โปรดเถิด คนที่คิดร้ายต่อท่านนั้น หาใช่พวกข้าพเจ้าไม่ ท่านอย่ามาทวงเอาชีวิตแก่ข้าพเจ้าเลย เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงตวาดว่า พวกเดรัจฉานไม่รู้จักคน พวกเจ้าจะต้องถึงแก่ความตาย นึ่ใคร มาทวงชีวิตแก่พวกเจ้าเล่า จงรีบไปเอาผ้ากาสาวพัสตร์นั้นมาให้โดยเร็วเราจะได้ไป
 ขณะนั้นหลวงจีนทั้งหลายพากันตะลึงไปหมดไม่รู้ที่ว่าจะตอบประการใด มีหลวงจีนสองรูปเป็น คนใจกล้าจึงถามว่า เมื่อคืนนี้ท่านพักนอนอยู่ในกุฎิ ไฟไหม้ตายแล้วยังมาทวงจะเอาผ้ากาสาวพัสตร์ดังคนเป็นฉะนี้ ผีหรือคน เรามีความสงสัยอยู่ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่าไฟที่ไหนไม่เห็นไหม้ตัวเรา จงพากันไปดูที่กุฎินั้นซิ ไฟ ไหม้หรือไม่ไหม้จะได้รู้แน่ พวกหลวงจีนเหล่านั้นก็พากันออกไปดูที่กุฎิ ก็เห็นกุฎินั้นยังดีอยู่มิได้ไหม้เกรียมหรือไหม้อะไร สักนิดหนึ่ง
 ครั้นเห็นดังนั้นแล้ว ต่างคนก็ครั่นคร้ามเกรงกลัวแล้วมาคิดเห็นว่า พระถังซัมจั๋งกับเห้งเจียนี้เห็นจะเป็น ผู้วิเศษสำเร็จแล้ว จึงมีอภินิหารย์โดยเป็นผู้รักษาธรรมอันบริสุทธิ์ จึงหาเป็นอันตรายไม่ คิดเห็นดังนั้นแล้ว จึงพา กันเข้ามาในกุฎิใหญ่จะบอกความแก่ท่านผู้เฒ่า
 ขณะนั้นอาจารย์ผู้เฒ่ากำลังคร่ำครวญเป็นทุกข์อยู่ ด้วยหาผ้ากาสาวพัสตร์ไม่เห็นทั้งไฟก็ไหม้วัด วาอารามหมดสิ้น พอได้ยินหลวงจีนลูกวัดมาพูดดังนั้น ก็ไม่รู้ที่จะคิดประการใด ในจิตใจให้หมกมุ่นเพราะกระทำ การไม่ตลอด จึงลุกเดินเข้าไปข้างในเอาศรีษะกะแทกเข้ากับฝาผนัง จนศรีษะแตกถึงแก่ความตายจึงมีคำกลางกล่าว ว่า (หลวงตาเฒ่าคิดมิดีประกอบไปด้วยความโลภ คิดเอาไฟเผาท่านท่านก็ไม่เป็นอันตราย ตัวกลับต้องมาถึงแก่ ความตายก็เพราะโลภะเจตนา) ดังนี้แหละ
 ฝ่ายหลวงจีนทั้งหลายเห็นพระอาจารย์ผู้เฒ่าฆ่าตัวตายดังนั้น ต่างคนต่างก็ร้องไห้ กลับออกมา บอกพระถังซัมจั๋งและเห้งเจียว่า พระอาจารย์ผู้เฒ่าเอาศรีษะโดนฝาตายเสียแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายค้นหาผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ไม่พบไม่เห็น แล้วแต่ท่านจะมีความกรุณาแก่พวกข้าพเจ้าเถิด
 เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธเป็นกำลัง ตวาดด้วยเสียงเป็นอันดังดุจฟ้าผ่าว่า พวกเจ้าเหล่านี้ เอาไปซ่อนเสียเป็นมั่นคง ว่าแล้วก็เรียกหลวงจีนมาทุกคน เห้งเจียค้นหาโดยละเอียดก็ไม่พบเห็น แล้วจึงเดินไปเที่ยวค้นทุกหีบทุกตู้ก็มิได้เห็น พระถังซัมจั๋งมีความโทมนัะและแค้นเห้งเจียเป็นที่สุด เห้งเจียเห็นพระอาจารย์โกรธจึงพูดว่า พระอาจารย์อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าคงจะสืบเสาะหาเอามา ให้จงได้ เห้งเจียกระโดดมาฉวยไม้กระบองเหล็กออกจากหูไล่ตีหลวงจีนเหล่านั้น พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงร้องห้ามเห้งเจียว่า อย่าทำวุ่นวาย จงไปตรวจถามดูจะตกหล่นอยู่ที่ไหน บ้างดอกกระมัง ด้วยเกิดฟืนไฟไหม้ลนอย่างนี้
 เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์ร้องห้ามดังนั้นก็หยุดอยู่ หลวงจีนทั้งหลายจึงคำนับแล้วพูดว่าข้าพเจ้า ทั้งหลายมิได้รู้เห็นด้วยเลย เหตุการณ์ทั้งนี้เพราะตาผีเฒ่าอยากได้ผ้ากาสาวพัสตร์ของท่าน จึงได้ คิดอุบายหวังจะฆ่าท่าน ข้าพเจ้าทั้งหลายก็หาได้ทราบไม่ ข้าพเจ้าทั้งหลายมัวสาละวนดับไฟ และขนของอยู่ ผ้ากาสาวพัสตร์นั้นจะตกไปอยู่แห่งใดก็หาทราบไม่
 เห้งเจียได้ฟังหลวงจีนพูดดังนั้นก็ยิ่งมีความโกรธมากขึ้น จึงเดินเข้าไปในกุฎิใหญ่ที่ห้องสมภาร ตายอยู่นั้น ค้นดูทั่วก็มิได้พบเห็นผ้ากาสาวพัสตร์ จึงใช้ให้หลวงจีนเหล่านั้นขุดดินใต้กุฎิขึ้นหาดูจนทั่วไปก็มิได้ พบเห็น ซึ่งจะเข้าใจว่าไฟไหม้เสียแล้วก็หาชอบไม่ จึงถามหลวงจีนทั้งหลายเหล่านั้นว่า ที่ในบริเวณใกล้เคียง เหล่านี้มียักษ์และปีศาจ อสูรกายปรากฎอยู่บ้างหรือไม่ จึงสมภารรองผู้หนึ่งบอกว่า ทางข้างทิศอาคเนย์นี้มีภูเขาหนึ่ง เรียกว่าเฮกฮองซัว มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งเรียกว่าเฮกฮองต๋อง มีปิศาจยักษ์อยู่ตนหนึ่งชอบอัธยาสัยแก่สมภารที่ตายเคยไป มาหาสู่กันอยู่เสมอ
 เห้งเจียถามว่าอยู่ใกล้หรือไกล สมภารรองบอกว่าไม่สู้ไกลนักประมาณห้าสิบเส้น เห้งเจียได้ฟัง ดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดแก่พระอาจารย์ว่า จงวางใจเสียเถิดไม่ต้องสงสัยเลย คือปีศาจยักษ์นี้เองมันดอดมาขโมยเอา ไปเป็นแน่แล้ว ข้าพเจ้าจะไปค้นหาดู พูดดังนั้นแล้วจึงเรียกหลวงจีนทั้งหลายเหล่านั้นมาพร้อมกันแล้วจึงสั่งว่า ท่าน ทั้งหลายจงระวังรักษาพระอาจารย์ของเราไว้ให้ดี และจงระวังดูม้าของเราไว้ด้วย แม้มีเหตุการณ์อันตรายแต่อย่างใด แล้ว เราจะตีด้วยกระบองเหล็กนี้ให้หัวและตัวเจ้าแหลกละเอียดไปทั้งนั้น
 เห้งเจียพูดสั่งหลวงจีนเหล่านั้นแล้ว จึง แกว่งกระบองเหล็กตีซ้ายป่ายขวาด้วยกำลังอิทธิฤทธิ์ กำแพงและอิฐปูนเหล่านั้นพังทะลายลงไปหมด หลวงจีน ทั้งหลายได้เห็นดังนั้น ก็ยิ่งมีความกลัวจนตัวงอรีบลงคุกเข่าคำนับแล้วก็พูดว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายจะระวังรักษาพระ อาจารย์ตามท่านสั่ง มิให้เป็นอันตรายได้ เห้งเจียครั้นได้ฟังหลวงจีนทั้งหลายรับปฏิญาณดังนั้น แล้วก็มีความยินดีจึงจัดแจงแต่งตัวมั่นคง แล้วก็รีบเหาะไปยังเขาเฮกฮองซัว

ไม่มีความคิดเห็น: