ตอน ปราบปีศาจกระดูกขาว พระซังธัมจั๋งไล่หงอคง
หลวงจีนถังซัมจั๋งไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงพูดว่าถ้ากระนั้นเราจะยกโทษให้อีกสักครั้งหนึ่ง เจ้าจง
ลุกขึ้นเถิดตั้งแต่นี้ไปอย่าได้ทำดุร้ายเช่นนี้อีกต่อไป เห้งเจียคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าไม่กล้าทำอีกต่อไป พูดแล้วก็ไป
จับม้ามาให้พระอาจารย์ขี่ เห้งเจียก็ออกเดินนำหน้าตัดทางไป
(บทที่ ๒๗) ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋ง ตั้งแต่ได้กินผลยิ่นเซียมก๊วยแล้ว ร่างกายดุจเปลี่ยนแปลงใหม่ มีกำลังพะลังยิ่งขึ้นกว่าเก่า เวลาที่กำลังเดินมานั้น แลไปข้างหน้าเห็นภูเขาใหญ่ยอดสูงเทียมเมฆ หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงเรียกศิษย์ทั้งสามแล้วกำชับว่าจงระวังระไวให้ดี บางทีที่เขานี้จะมีสัตว์ร้ายของร้าย เห้งเจียตอบว่าพะอาจารย์อย่ามีความวิตก ข้าพเจ้าเคยเป็นพระยาวานร แม้จะมีสัตว์ร้ายเช่นแก่เสือก็ไม่ต้องวิตกกลัว ขอพระอาจารย์จงวางอารมณ์เถิด เห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว มือถือกระบองเหล็กออกเดินนำหน้าตัดทางขึ้นบนเขา
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงบอกเห้งเจียว่า อาตมภาพเดินมาก็ออกหิวแล้ว เห้งเจียจงไปเที่ยวบิณฑบาตรอาหารมาให้อาตมภาพฉันเถิด เห้งเจียจึงว่าท่านอาจารย์ไม่ทราบหรือ ในป่าในดงไม่มีบ้านเรือนผู้คนอย่างนี้จะไปบิณฑบาตรอาหารแก่ผู้ใดเล่า หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจิตใจก็เศร้าหมองไม่สบาย จึงพูดแก่เห้งเจียว่าเดิมเจ้าติดอยู่ในเขาพูดได้แต่ปาก มือแลเท้าก็กระดิกไม่ไหว เราได้ช่วยสงเคราะห์ให้เจ้าหลุดพ้นจากความทรมาน เจ้าติดตามเรามาเป็นสานุศิษย์ไม่มีความเพียรมีแต่ความเกียจคร้านอย่างนี้
เห้งเจียจึงตอบว่าข้าพเจ้าก็มีความจงรักภักดีต่อท่าน หาได้มีความเกียจคร้านไม่ หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงว่า ถ้าเจ้าไม่เกียจคร้านแล้ว เหตุใดเราให้ไปบิณฑบาตรท่านจึงมิไปเล่า ท้องเราหิวอย่างนี้จะเดินไปที่ไหนได้เล่า เห้งเจียจึงพูดว่าพระอาจารย์อย่าโกรธขึงเลย ข้าพเจ้าทราบได้ว่าท่านถือว่ามีคาถา แม้ข้าพเจ้าขัดขืนท่านก็จะภาวนาให้ข้าพเจ้าได้รับความเดือดร้อน แม้ท่านมีความหิวโหยแล้ว ขอให้ลงจากม้าพักก่อนข้าพเจ้าจะไปเที่ยวหาบ้านคน บิณฑบาตรจังหันมาถวาย
เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศ แลไปดูทั้งสี่ทิศก็มิได้เห็นมีบ้านเรือนผู้คน มีแต่ป่าดงพงไพร เห้งเจียแลไปข้างทิศอาคเนย์เห็นมีภูเขาหนึ่ง มีผลไม้ชมพู่สุกแดงไปทั้งเขา เห้งเจียเห็นดังนั้นแล้วก็ลดลงยังพื้นพสุธา มาบอกแก่พระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าเหาะขึ้นไปดูรอบทุกทิศ ไม่เห็นมีบ้านเรือนผู้คน เห็นข้างทิศอาคเนย์มีภูเขาหนึ่งมีผลชมพู่สุก ข้าพเจ้าจะไปเก็บมาถวายให้ท่านฉันแก้หิวก่อน หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็มีความยินดีจึงพูดแก่เห้งเจียว่า เราถือเพศเป็นสมณะถ้าได้กินผลชมพู่ก็ดีกว่าของอื่น เห้งเจียไดฟังพระอาจารย์ว่าดังนั้น ก็ฉวยบาตรเหาะขึ้นบนเวหาตรงไปยังทิศอาคเนย์ ครั้นถึงก็ลงยังพื้นภูเขาตรงมาที่ต้นชมพู่ ก็เลือกเก็บตามชอบใจ
ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งคอยเห้งเจียอยู่ที่ภูเขานั้น (มีคำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า แม้มีภูเขาสูงใหญ่ก็จะมีสัตว์ที่ดุร้าย หรือปีศาจอันสำคัญ) ก็จริงเหมือนดังคำโบราณที่ท่านกล่าวไว้ คือในภูเขานั้นมีปีศาจยักษ์ตนหนึ่ง (ในเวลานั้นมันเหาะขึ้นกลางอากาศแอบเมฆมองดูทั้งสี่ทิศ บังเอิญแลลงมาเห็นหลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็มีความยินดียิ่งนัก จึงออกปากบังเอิญ ๆ เราได้ยินชาวชนบทเล่าลือกันว่า มีพระสงฆ์อยู่ข้างทิศตะวันออก จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เธอองค์นั้นคือกิมเสียนโพธิสัตว์กลับชาติ บวชเรียนมาได้สิบชาติแล้ว มีความบริสุทธิ์ถ้าผู้ใดกินเนื้อเธอก้อนหนึ่งจะมีอายุยืนยาวนาน
บัดนี้มาถึงเขตเขาแดนของเรา เราจะเข้าไปจับตัวก็เกรงสานุศิษย์ทั้งสามนั่งเฝ้าอยู่ เมื่อปีศาจเห็นดังนั้นแล้ว จึงตรึกตรองคิดกลอุบายว่า จำเราจะแปลงกายล่อลวงดูก่อนว่าจะเป็นประการใด คิดดังนั้นแล้วก็ลงยังซอกเขา แปลงภายเป็นรูปหญิงสาว มือหนึ่งถือชามข้าวมือหนึ่งถือจานของหวาน เดินตรงมายังทิศตะวันออก
ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งคอยเห้งเจียที่นั่น แลไปเห็นหญิงคนหนึ่งเดินมา หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งถามว่า เห้งเจียพูดว่าตำบลนี้เป็นที่เปลี่ยวไม่มีบ้านเรือนผู้คน ทำไมจึงมีผู้หญิงเดินมาแต่ข้างไหนเล่า โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะถามดูก่อน พูดดังนั้นแล้วจึงทำกิริยาเรียบร้อยเดินมาข้างหน้าหญิงนั้น พิเคราะห์ดูรูปร่างงดงาม โป๊ยก่ายมีความกำหนัดในรูปหญิงนั้น จึงมีสุนทรวาจาถามว่า แม่น้องหญิงท่านจะไปข้างไหน ที่มือนั้นท่านถือสิ่งของอะไร
ปีศาจแปลงได้ฟังถามดังนั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเอาข้าวหอมของหวานจะมาแก้บนถวายพระสงฆ์ ไม่ได้ไปไหนจะมาที่นี่เอง โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็กลับมาบอกอาจารย์ว่า เกิดเป็นคนมีบุญแล้วก็มีมาเอง ท่านอาจารย์ใช้ให้พี่เห้งเจียไปเที่ยวบิณฑบาตร เธอว่าจะไปเก็บชมพู่ก็เธอเป็นชาติลิง บางทีไปปะชมพู่จะเก็บกินให้อิ่มเสียก่อนแล้วจึงจะกลับมา อาจารย์ดูหญิงนั้นจะมาถวายสังฆทาน หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงพูดว่า พวกเรามานี่ก็ยังหาพบผู้คนที่มีศรัทธาถวายข้าวสงฆ์ไม่ โป๊ยก่ายบอกว่าโน่นแล้วมิใช่หรือ
หลวงจีนถังซัมจั๋งแลไปเห็นหญิงนั้นมานั่งอยู่ จึงมีสุนทรวาจาถามว่า สีกาโยมบ้านช่องอยู่ที่ไหน จะแก้บนด้วยเหตุอย่างไร จึงได้มีจิตเอาข้าวมาถวายสังฆทานถึงที่นี่ ปีศาจปลอมบอกว่า ขอท่านอาจารย์ได้ทราบว่าตำบลภูเขานี้ (จั่วฮ่วยทู้เป๊ด) บนยอดเขานั้นเรียกว่า (แปะเฮ้าเนี้ย) ข้างทิศตะวันตกนั้นคือบ้านข้าพเจ้าตั้งอยู่ที่นั่น บิดามารดาข้าพเจ้าอยู่ในศีลในธรรมไม่ทำบาปอยาบช้า สามีข้าพเจ้าเป็นคนใจบุญ คิดทำแต่ที่เป็นการกุศล วันนี้ข้าพเจ้ามีนิสัยอันใหญ่จึงได้มาพบท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าขอนำเครื่องกระยาหารถวายต่อท่าน
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังหญิงแปลงพูดดังนั้น ก็ไตร่ตรองในใจยังไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรให้ควรแก่การนั้น โป๊ยก่ายออกอยากเต็มกลั้น จึงเดินมาฉวยชามข้าวกับขนมยกมา แล้วก็ลงมือกินบังเอิญแลไปก็เห็นเห้งเจียกลับมา เห้งเจียเหลือบไปเห็นรูปหญิงแปลงก็อาจสามารถรู้ได้ว่าปีศาจ จึงวางบาตรลงทันทีชักกระบองตรงเข้าตีที่ศรีษะปีศาจ หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ ร้องห้ามว่าอย่าเพิ่งก่อนนี่เหตุใดจึงมาตีเขาทำไม เห้งเจียว่าหญิงคนนี้มันเปนปีศาจ พระอาจารย์ยังไม่ทราบ มันมิใช่คนดีมันจะมาล่อลวงให้หลงกลแล้วจะกินเนื้อพระอาจารย์เสีย พระถังซัมจั๋งว่าอ้ายลิง เขามีศรัทธาจะเอาข้าวมาถวายทำไมเจ้าหาเหตุไปตีเขาอย่างนี้ควรแล้วหรือ
เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์พูดดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่า อาจารย์ที่ไหนจะรู้ได้ซึ่งเล่ห์กลของปีศาจนั้น ข้าพเจ้าอยู่ที่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง แม้ว่าจะคิดกินเนื้อคนแล้วก็ได้โดยแท้ มันจะเปลี่ยนแปลงประการใดข้าพเจ้าก็รู้ได้ทั้งสิ้น ถ้าข้าพเจ้ามาช้าสักหน่อยท่านอาจารย์ก็จะต้องเดือดร้อนด้วยปีศาจร้าย แม้มา ทว่าเห้งเจียพูดดังนั้นแล้ว หลวงจีนถังซัมจั๋งก็มิได้เห็นจริงด้วย เห้งเจียจึงได้พูดต่อไปว่า ข้าพเจ้าทราบเหตุแล้วว่าท่านอาจารย์เห็นรูปหญิงนั้น งามจึงมีความรักใคร่ถ้าท่านมีจิตกระสันอย่างนั้นแล้ว ก็จงปลูกบ้านเรือนอยู่ในที่ตำบลนี้ จะได้ทำการวิวาหะมงคลด้วยกันแก่หญิงนี้ พวกข้าพเจ้าจะได้กลับไปยังถิ่นฐานตามเดิมจะไม่ดีหรือ จะต้องไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมให้ลำบากป่วยการทำไมเล่า
หลวงจีนถังซัมจั๋งเป็นผู้มัทยัธมักน้อย เมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดแดกดันประชดดังนั้น ก็ให้มีใจโกรธเห้งเจียแลมีความอายเป็นอันมากจนหน้าแดง เห้งเจียยกกระบองตีปีศาจล้มกลิ้งลงกับพื้น แต่ปีศาจนั้นมีอิทธิฤทธิ์ ก็ถอดรูปทิ้งซากศพไว้บันดาลเป็นลมหนีไปในอากาศ
ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นดังนั้น อกใจก็ซ่านเสียวระรัวสั่นไปทั้งกาย จึงร้องด่าเห้งเจียว่า อ้ายชาติวานรทำไมมึงจึงมิได้มีเมตาจิตเลย เขาไม่มีโทษผิดอะไร เหตุใดจึงตีเขาให้ถึงแก่ความตายอย่างนี้ เห้งเจียตอบว่าพระอาจารย์จงดู ในชามจานเหล่านั้นเป็นของอะไร หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงลุกเดินเข้าไปใกล้ พิจารณาดูในชามนั้นก็ล้วนแต่หนอน ในจานก็ล้วนแต่ กบ และ เขียด อึ่ง กิงกือทั้งสิ้น เมื่อเห็นดังนั้นจึงค่อยมีความเชื่อเห้งเจีย แต่กระนั้นก็ไม่ห้ามความโกรธของโป๊ยก่ายได้ โป๊ยก่ายบอกแก่อาจารย์ว่า หญิงคนนั้นเขาเป็นชาวนา ทำไมว่าเขาเป็นปีศาจ แท้ที่จริงพี่เห้งเจียตีเขาตายแล้ว กลัวพระอาจารย์จะภาวนา จึงแกล้งทำกลบังตาแปลงเป็นรูปต่าง ๆ อย่างนี้
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดชี้แจงดังนั้น ก็พาซื่อกลับเห็นจริงด้วยโป๊ยก่าย จึงภาวนาคาถาเห้งเจียก็หมุนลงกับพื้น ร้องว่าอาจารย์อย่าภาวนาเลย ข้าพเจ้าจะขอพูดให้อาจารย์ฟัง หลวงจีนถังซัมจั๋งว่าจะพูดอะไร เป็นผู้ถือศีลแล้วทุกเวลาจะต้องตั้งอยู่ในธรรมอันชอบ นี่เจ้าตีเขาจนตายอย่างนี้ควรหรือ แม้จะตามไปอาราธนาพระธรรมมาจะต้องการอะไร เจ้าจงเร่งกลับไปเสียเถิดจะไปต่อไปด้วยกันมิได้แล้ว
เห้งเจียเห็นพระอาจารย์มีความโกรธเคืองดังนั้นจึงถามว่า อาจารย์จะให้ข้าพเจ้ากลับไปข้างไหน หลวงจีนถังซัมจั๋งพูดว่า ข้าไม่เอาเจ้าไปเป็นศิษย์อีกแล้ว เห้งเจียว่าแม้ท่านไม่ให้ข้าพเจ้าไปด้วย ข้าพเจ้าวิตกกลัวว่าท่านจะไปไม่ตลอดถึงไซที หลวงจีนถังซัมจั๋งว่าชีวิตเราอยู่กับดินฟ้า มิใช่เจ้าจะช่วยให้พ้นจากความตายนั้นได้เมื่อไร เจ้าจงรีบกลับไปเถิด เห้งเจียว่าข้าพเจ้ากลับไปก็ได้ แต่ทว่าข้าพเจ้ายังหาได้สนองพระคุณท่านไม่ หลวงจีนถังซัมจั๋งว่าข้ากับเจ้ามีคุณอะไรต่อกัน
เห้งเจียได้ฟังอาจารย์พูดดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าตั้งแต่ทำวุ่นวายบนสวรรค์ จนพระเจ้าลงโทษเอาภูเขาครอบตัวต้องทรมานอยู่ในนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิมสั่งสอนให้รับศีลแล้ว พระอาจารย์จึงได้มาช่วยให้พ้นทุกข์ แม้ข้าพเจ้ามิไปไซทีด้วยท่าน คนทั้งหลายเขารู้เหตุว่าข้าพเจ้ามิได้รู้จักคุณของท่าน เขาทั้งหลายจะแช่งด่าว่ากล่าวความชั่วของข้าพเจ้า จะติดอยู่ชั่วฟ้าและดิน ขอพระอาจารย์ได้เมตาแก่ข้าพเจ้าเถิด
หลวงจีนถังซัมจั๋งเป็นผู้มีเมตาจิต ครั้นได้ฟังเห้งเจียพูดอ้อนวอนดังนั้น ก็มีความสงสารจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นเราจะยกโทษให้สักครั้งหนึ่ง ถ้าภายหลังทำเช่นนี้อีก จะภาวนาให้ถึงความเจ็บปวดสาหัส เห้งเจียคำนับแล้วลุกขึ้นไปเอาชมพู่ที่เก็บมานั้น ถวายพระอาจารย์ให้ฉันพอแก้หิวแล้ว ก็ออกเดินข้ามเขามา
ฝ่ายปิศาจนั้นหนีรอดชีวิตมาได้แล้ว แอบอยู่บนอากาศมีความโกรธเห้งเจียนัก กัดฟันคันเขี้ยวบ่นว่าเราได้ยินมาหลายปีแล้ว เขาเล่าลือกันว่า หลวงจีนถังซัมจั๋งมีสานุศิษย์มีฤทธาอานุภาพมาก มาวันนี้เราเห็นจริงเหมือนคำคนที่เล่าลือกัน หลวงจีนถังซัมจั๋งเธอดูไม่ออกจวนจะกินของที่เราถวายอยู่แล้ว บัดเดี๋ยวเราก็จะจับตัวได้ บังเอิญเห้งเจียมาทันเข้า ทำให้เราเสียความคิดแล้วกลับมาตีเราด้วยกระบองเหล็ก ที่ไหนเราจะยอมให้มันข้ามเขาไปได้ เราจำคิดหลอกมันดูอีกสักครั้งหนึ่ง คิดดังนั้นแล้วก็ลงยังพื้นพสุธาแปลงกายเป็นยายเฒ่าคนหนึ่ง อายุประมาณแปดสิบเศษ ถือไม้เท้าเดินสกัดหน้ามา ร้องไห้พลางเดินพลาง
โป๊ยก่ายแลเห็นดังนั้น จึงบอกแก่พระอาจารย์ว่า ไม่เป็นการแล้วพี่เห้งเจียตีหญิงคนนั้นตาย ที่ยายเฒ่าเดินมานั้น เห็นจะเป็นแม่มาตามลูกสาวแกดอกกระมัง เห้งเจียว่าเจ้าโป๊ยก่ายเจ้าอย่าพูดมากไป หญิงแก่นี้อายุถึงแปดสิบเก้าสิบแล้ว หญิงที่ตายอายุสิบแปดสิบเก้า ยายคนนี้จะมีบุตรเมื่ออายุหกสิบแล้วยังไรได้ ชะรอยปิศาจมันแกล้งแปลงมาจะล่อลวงเราให้หลงกล จำข้าจะไปดูมันให้แน่นอนก่อน ว่าแล้วเห้งเจียก็เดินสกัดหน้ายายเฒ่านั้น แล้วพิจารณาดูแก่หง่อมหน้านิ่วคิ้วย่นเดินเซซังมา เห้งเจียก็รู้ได้ว่าปีศาจแปลง ก็มิได้รั้งรอยกกระบองขึ้นตีศรีษะปีศาจ ๆ เห็นยกไม้กระบองตีก็ถอดรูปทิ้งซากศพไว้ บันดาลเป็นลมหายไป
หลวงจีนถังซัมจั๋งเห็นก็ตกใจ ลงมาจากม้ามาดูซากศพเห็นนอนกลิ้งอยู่กับพื้นก็สิ้นสติไม่รู้ที่ว่าจะพูดประการใด จึงภาวนาคาถายี่สิบจบ มงคลก็รัดศรีษะเห้งเจียล้มกลิ้งลงกับพื้น เจ็บปวดสาหัสแทบจะขาดใจ จึงร้องว่าพระอาจารย์อย่าภาวนาเลย จะว่ากระไรก็ให้ว่าเถิด หลวงจีนถังซัมจั๋งว่าจะพูดอะไรอีกต่อไปเล่า สั่งสอนอย่างไรก็ไม่เชื่อฟังแล้ว ขืนทำแต่ดุร้ายฆ่าตีเขาให้ถึงแก่ความตาย นี่เหตุอะไรจึงได้เป็นเช่นนี้
เห้งเจียว่ามันเป็นปีศาจจะไว้มันได้หรือ จำเป็นจะต้องตัดรอนมันเสีย หาไม่มันก็จะทำร้ายเรา หลวงจีนถังซัมจั๋งพูดว่าอ้ายลิงมึงอย่ามาพูดเลอะเทอะไปเลย อะไรจะมีปีศาจมากมายอย่างนั้นทีเดียว น้ำใจมึงดุร้ายอย่างนี้แล้วจะอยู่ต่อไปไม่ได้ จงรีบกลับไปเสียโดยเร็วเถิด เราไม่ให้เจ้าตามเราต่อไปแล้ว เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์จะให้ข้าพเจ้ากลับไปก็ไม่ยากอะไรดอก แต่ยังมีข้อขัดข้องอยู่ประการหนึ่ง
หลวงจีนถังซัมจั๋งจึงถามว่า ขัดข้องด้วยเหตุประการใดจงชี้แจงให้เราฟัง เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าไม่ปิดบังพระอาจารย์ ตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนนั้น เคยตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ในเขาฮวยก๊วยซัวถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ตั้งแต่ตามพระอาจารย์มาเป็นสานุศิษย์ ต้องมงคลบังคับรัดอยู่บนศรีษะ จะให้กลับไปหาเพื่อนฝูงอย่างไรได้ แม้ว่าพระอาจารย์ไม่ต้องประสงค์ข้าพเจ้าแท้แล้ว ขอท่านได้ภาวนาคาถา ถอดมงคลนั้นออกเสียก่อน ข้าพเจ้าจะได้ลาท่านไปไม่ขัดขวางดื้อดึง ซึ่งข้าพเจ้าอุตสาหะพยายามตามท่านมาก็ไม่สำเร็จประโยชน์แล้ว ก็จะกลับลาท่านไปยังที่เดิม
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจ ด้วยเวลานั้นพระโพธิสัตว์สอนแต่พระคาถารัด พระคาถาถอนท่านยังหาได้สอนไม่ จึงพูดว่าเราจะเอาอะไรที่ไหนไปถอนให้ได้เล่า เห้งเจียจึงพูดว่าแม้ไม่มีคาถาถอนท่านต้องเอาข้าพเจ้าไปด้วย จะขับไล่ข้าพเจ้าเสียนั้นหาควรไม่
ฝ่ายปิศาจถูกเห้งเจียตีสองครั้ง ก็หาเป็นอันตรายไม่ นึกสรรเสริญเห้งเจียว่าอ้ายลิงตัวนี้มันดีแท้ มัน
รู้จักดูเรา ๆ ทำล่อลวงมันสองครั้งแล้วมันก็สามารถรู้ได้ พวกเหล่านี้มันเดินเร็ว ถ้าลงพ้นจากเขานี้ไปสี่สิบโยชน์ ก็
จะพ้นอาณาเขตของเรา จำเราจะต้องแปลงตัวไปล่อลวงมันดูอีกสักครั้งหนึ่ง คิดดังนั้นแล้วก็แปลงกายเป็นรูปตาเฒ่า
ชรามือถือลูกประคำ ปากภาวนาบริกรรมพระพุทธคุณ
หลวงจีนถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้า แลเห็นคนแก่เดินมาจึงพูด
สรรเสริญว่า ทิศปราจิณประเทศนี้มีคนใจบุญมาก มีการธุระเดินทางยังอุตส่าห์ภาวนาเจริญพระพุทธคุณ
โป๊ยก่ายจึงพูดว่าพระอาจารย์อย่าเพิ่งสรรเสริญ ภัยจะมีมาถึงตัว หลวงจีนถังซัมจั๋งถามว่า ภัยจะ
มีมาแต่ข้างไหนอีกเล่า โป๊ยก่ายบอกว่าตีลูกสาวเขาตายแล้วมิหนำยังตีเมียเขาตายอีกเล่า อีตาเฒ่าคนนี้น่ากลัวจะ
เป็นผัวและเป็นพ่อของหญิงสองคนที่เห้งเจียตีตาย ชะรอยจะมาตามลูกเมียของเขา
เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงพูดว่าอ้ายชาติหมูมึงอย่าพูดให้เลอะเทอะไป ข้าจะไปดูให้รู้
แน่ก่อนว่าจะเป็นประการใด เห้งเจียเอาไม้กระบองซ่อนเสียแล้ว ก็เดินตัดหน้าตาเฒ่ามาร้องถามว่าท่านตาจะไปข้าง
ไหน ทำไมจึงต้องเดินภาวนาไปด้วยเล่า ตัวเราเป็นชาติเสือสมิง เจ้าทำอุบายล่อลวงต่าง ๆ จะมาล่อลวงเราด้วย
หรือ จะล่อลวงได้ก็แต่ผู้อื่น จะมาหลอกลวงเราด้วยนั้นไม่ได้ กูรู้จักมึงคืออ้ายปีศาจผีร้าย
ฝ่ายปีศาจแปลงได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น อ้าปากไม่ออก
เห้งเจียก็ชักกระบองแล้วคิดว่า เราตีมัน
สองครั้งแล้ว มีแต่โทษไม่มีคุณ ในครั้งนี้จำเราจะตีมันให้สิ้นชีวิต อย่าให้เป็นได้อีกต่อไปแม้พระ
อาจารย์จะโกรธเคืองเราก็จะมีที่อ้าง เราก็จะพูดได้เต็มปาก คิดดังนั้นก็ร่ายพระคาถา เรียกเจ้า
เขาและเทวดา และพระภูมิเจ้าที่ในตำบลนั้น บัดเดี๋ยวก็มาพร้อมกัน เห้งเจียจึงร้องสั่งว่าท่าน
ทั้งหลายจงเป็นธุระแก่ข้าพเจ้า ด้วยปีศาจตนนี้มันสิงสู่อยู่ที่นี่ มันมาทำการล่อลวงพระอาจารย์
สองครั้งแล้ว ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะตีมันให้สิ้นชาติเสีย ขอท่านทั้งหลายคอยระวังสกัดไว้อย่าให้มัน
หนีไปได้
เจ้าเขาและ เทวดา และพระภูมิเจ้าที่ได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้น ก็พากันคอยระวังอยู่
เห้งเจียเมื่อสั่ง
เสร็จแล้วก็ถือกระบองเหล็กเดินตรงเข้าไปตีถูกตาเฒ่าแปลง ปีศาจนั้น ล้มลงกับพื้นก็สิ้นชีวิต หลวงจีนถังซัมจั๋งอยู่บน
หลังม้าเห็นดังนั้น ก็ตกประหม่าร่างกายสั่นระรัวไปทั้งกาย โป๊ยก่ายเห็นดังนั้น หัวเราะแล้วพูดว่าเดินหนทางได้ครึ่ง
วันเท่านั้น ตีคนตายเสียถึงสามคนพี่เห้งเจียนี้ฝีมือแกดีมากๆ
หลวงจีนถังซัมจั๋งจะภาวนาพระคาถา เห้งเจียวิ่งมาร้องว่าพระอาจารย์อย่าเพิ่งภาวนาก่อน ท่าน
จงมาดูรูปร่างปีศาจว่ามันเป็นประการใด มีแต่กระดูกกองอยู่ เท่านั้น
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงเดิน
เข้าไปใกล้พิจารณาดู ก็เห็นแต่กระดูกเป็นกองอยู่ จึงถามเห้งเจียว่า คนพึ่งตายใหม่ ๆ ทำไมจึงมีแต่กระดูกอยู่
อย่างนี้เล่า
เห้งเจียบอกว่าปีศาจนั้น มันบังเกิดกายสิทธิ์มันมีฤทธิ์แปลงกายได้อาศัยอยู่ในที่ตำบลนี้ คอย
เที่ยวหลอกลวงชนทั้งหลายให้หลงเชื่อ มันต้องกระบองกายสิทธิ์จึงตาย ร่างกายจึงได้แปรกลับเป็นรูปเดิม มันเป็นไม้
อกไก่นามเรียกภาษาจีนว่า (แป๊ะกุ๊ดฮูหยิน) เพราะฉะนั้นมันบังเกิดเป็นปิศาจฉะนี้
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังและเห็นศพดังนั้นก็เชื่อ โป๊ยก่ายยืนอยู่ข้างนั้นสอพลอพูด พระอาจารย์อย่า
เพิ่งเชื่อก่อน ที่คนตายก็แลเห็นแจ้งอยู่กับตา พี่เห้งเจียแกกลัวท่านภาวนา แกจึงเล่นกลทำให้ตาคนเห็นเป็นรูป
กระดูกเช่นนี้ หลวงจีนถังซัมจั๋งเป็นคนหูเบา แลทั้งไม่ชอบเห้งเจียว่าเป็นคนดุร้ายอยู่แล้วก็พาซื่อเห็นจริงด้วย โป๊ย
ก่าย มีความโกรธเห้งเจียจึงภาวนาพระคาถา เห้งเจียร้องว่าขอพระอาจารย์ได้หยุดก่อน ข้าพเจ้าจะพูดให้ท่านฟัง
หลวงจีนถังซัมจั๋งว่าอ้ายหัวลิงยังจะมาพูดว่ากระไรต่อไปอีกเล่า วิสัยคนทำความดีดุจหญ้าเมื่อฤดูเดือนสาม ถึงไม่
เห็นสูงแต่มากวันเข้าย่อมสูงยาวขึ้น คนทำการชั่วร้ายเปรียบเหมือนเอามีดสับกับหิน ถึงไม่เห็น นานไปก็เห็นเป็น
รอย นี่เจ้าตีคนตายในวันเดียวถึงสามคนฉะนี้ เห็นว่าสันดานเจ้าดุร้ายเหลือเกิน มิได้คิดจะทิ้งพยศอันชั่วเลย
เราจะผ่อนผันอย่างไรได้ เจ้าจงไปเสียให้พ้นเราโดยเร็ว ข้าไม่เลี้ยงเจ้าอีกแล้ว
เห้งเจียพูดว่าอาจารย์โกรธเคือง
ข้าพเจ้าจะมิผิดไปหรือ ก็เมื่อเห็นแก่ตาว่าเป็นเป็นปีศาจร้าย คิดล่อลวงจะฆ่าพระอาจารย์ข้าพเจ้าป้องกันท่านไว้
กำจัดปีศาจเสียได้ฉะนี้ ท่านมาหลงเชื่อฟังอ้ายหัวหมูมันสอพลอพูดยุยง กลับมาให้โทษโกรธข้าพเจ้าอย่างนี้จะควร
หรือ แลท่านกลับมาขับไล่ข้าพเจ้า ๆ จะไม่ไปก็เป็นคนไม่มีความอาย ครั้นข้าพเจ้าจะไปก็วิตกถึงพระอาจารย์ที่จะไม่มี
คนใช้ไปข้างหน้าอีก หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็โกรธจึงพูดว่า อ้ายชาติลิงไม่มีอาฌา อวดว่าตัวเป็น
คนดีไม่มีผิด โป๊ยก่ายซัวเจ๋งนั้นไม่ใช่คนหรือ
เห้งเจียพูดอ้อนวอนชี้แจงอย่างไรพระถังซัมจั๋งก็ไม่เชื่อฟังก็มีความ
โทมนัสเสียใจเป็นอันมาก จึงถอนใจใหญ่พูดว่าแสนเข็ญ ๆ เมื่อพระอาจารย์ออกจากเมืองหลวง มาถึงเล่าเป๊กกิม
เล่าเป๊กกิม ก็ส่งมาถึงเหลียงก่ายซัว ท่านช่วยข้าพเจ้าออกจากเขาข้าพเจ้าก็คำนับท่านว่าเป็นอาจารย์ ข้าพเจ้า
ตามมาข้ามเขาเข้าถ้ำปราบปีศาจจับผีร้าย จับโป๊ยก่ายได้ซัวเจ๋งอย่างนี้ มีความทุกข์ยากลำบากมากับท่านสุดที่จะ
พรรณา มาวันนี้พระอาจารย์จะมาหลงเชื่ออ้ายคนสอพลอยุยงโกรธข้าพเจ้าไล่ข้าพเจ้าเสีย มิให้ไปตามตั้งแต่นี้ก็จะ
ขาดกัน แต่ยังขัดข้องด้วยพระคาถานั้นอยู่
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่าเจ้าจงกลับไปเถิด
คาถานั้นข้าไม่ภาวนาต่อไปแล้ว เห้งเจียจึงตอบว่าอย่างนี้ก็ยากอยู่ที่จะเชื่อได้ ไปข้างหน้าบางทีไปปะปีศาจหรือยักษ์
ร้ายโป๊ยก่ายสู้ไม่ได้ก็จะคิดถึงข้าพเจ้า ท่านก็จะภาวนาพระคาถาขึ้น ข้าพเจ้าก็จะมีความเจ็บปวดจะทนที่ไหนได้เล่า
หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ยิ่งมีความแค้น จึงลงจากหลังม้าเรียกซัวเจ๋งให้เอาถุงมา จึงเอากระดาษ
พู่กันออกเขียนหนังสือสัญญาแล้วส่งให้เห้งเจีย พูดว่าเจ้าถือหนังสือนี้ไว้เป็นพยาน ตั้งแต่นี้ไปเราไม่ต้องการใช้เจ้า
ต่อไป หรือเจ้าไม่เชื่อเราจะปฏิญาณตัวให้ เห้งเจียรับหนังสือแล้วพูดว่าท่านไม่ต้องปฏิญาณดอก ข้าพเจ้าจะลาพระ
อาจารย์ไปแล้ว ข้าพเจ้าสวามิภักดิ์ตามท่านมาก็ไม่สำเร็จมรรคผลอันใด มาได้ครึ่งทางก็จากกันไป ขอพระอาจารย์
นั่งลงข้าพเจ้าจะกราบลา
หลวงจีนถังซัมจั๋งหันหน้าไปเสียไม่รับลา แล้วพูดว่า ข้าเป็นสมณะตั้งอยู่ในกิจแห่งธรรม
ไม่เหมือนเจ้าเป็นชาติคนพาลเราไม่รับไหว้ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงร่ายพระคาถา แล้วถอนขนเพ็ชรออกสามเส้นเสกขึ้น
เป็นรูปเห้งเจียอีกสามรูป เข้าล้อมหน้าล้อมหลังไหว้อาจารย์ หลวงจีนถังซัมจั๋งหลบไม่พ้นจึงรับไหว้เห้งเจีย
ครั้นเห้งเจียไหว้แล้วก็ลุกขึ้นเรียกขนเพ็ชรกลับเข้าตัวตามเดิม แล้วจึงมาสั่งซัวเจ๋งว่าน้องเป็นคนดีแม้ไปข้างหน้า จงระวังอย่า
ไว้ใจอ้ายโป๊ยก่ายชาติชั่วมักจะพูดสอพลอส่อเสียด เมื่อเดินตามทางไปนั้นจงระวังระไว บางทีจะปะปีศาจแลยักษ์ร้าย
ถ้าดังนั้นเจ้าจงออกชื่อพี่ว่าเป็นสานุศิษย์ใหญ่ พวกปีศาจเหล่านั้นรู้สึกเคยเข็ดหลาบ ฤทธาอานุภาพของพี่จะคลั่น
คร้ามไม่อาจจะทำร้ายพระอาจารย์
หลวงจีนถังซัมจั๋งพูดว่า ข้าเป็นสมณะสุจริตไม่เหมือนเจ้าคนชั่วร้ายอย่างนั้น เจ้าอย่าวุ่นวาย
ว่ากล่าวสั่งสอนเลย จงรีบไปให้พ้นโดยเร็วเถิด เห้งเจียเห็นว่าอาจารย์สิ้นความอาลัยแท้แล้วมิรู้
ที่จะทำประการใด ก็จำจะต้องกลับไป เห้งเจียก็เหาะขึ้นกลางอากาศหกขะเมนทีหนึ่ง เหาะตรงมายังเขาฮวยก๊วยซัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น