ตอน ผจญปีศาจหมี ชิงจีวรวิเศษ (ช่วงที่ 2)
เมื่อเห้งเจียเหาะไปนั้นพวกหลวงจีนทั้งหลายในวัด แลขึ้นไปบนอากาศ เห็นเห้งเจียมีฤทธาศักดานุภาพยิ่งนัก ต่างคนต่างก็มีความกลัวเกรงทุก ๆ คน แล้วพูดว่า เหาะเหินเดินอากาศได้ดังนี้ทั้งไฟก็มิได้ทำอันตรายได้ ตาเฒ่าเจ้าวัดไม่รู้จักฟ้าต่ำดินสูงคิดความร้ายทำลายเขา โทษนั้นกลับมาถึงตัวต้องมรณาเพราะความโลภเจตนาที่เห็นผิดเป็นชอบ
พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่านี่แน่ท่านทั้งหลาย เห้งเจียไปตามหาผ้ากาสาวพัสตร์ถ้าได้มาสมประสงค์ก็จะดีไป ถ้าไม่ได้ผ้ากาสาวพัสตร์มาชีวิตท่านทั้งหลายไม่ทราบว่าจะเป็นประการใด ด้วยเห้งเจียเป็นคนดุร้าย
เมื่อพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น หลวงจีนทั้งหลายมีความวิตกเป็นอันมาก ต่างคนต่างคุกเข่าลงคำนับเทพยดาเทพาอารักษ์ ร้องขอพรว่า ขอให้เห้งเจียได้ผ้ากาสาวพัสตร์สมประสงค์เถิด ต่างวิตกนั่งคอยฟังข่าวเห้งเจียอยู่พร้อมกัน
ฝ่ายเห้งเจียรีบเหาะตรงไปยังเขาเฮกฮองซัว ครั้นถึงก็รออยู่บนอากาศ พิจารณาดูโดยละเอียดเห็นภูเขาสูงเป็นสง่างาม เวลานั้นกำลังเป็นฤดูเดือนสาม ต้นไม้กำลังผลิดอกออกช่อเป็นที่น่าชม เห้งเจียพิจารณาดูภูเขารอบทั่วแล้ว แลไปข้างเนินเขาเห็นมีคนนั่งพูดกันอยู่สามคน จึงลงมาข้างริมเนินกำบังตัวแอบเข้าไปดูเห็นยักษ์นั่งอยู่สองข้าง ๆ ละคน อีกคนหนึ่งมีสีกายดำนั่งอยู่ข้างบนที่นั่งอยู่ข้างขวาเป็นเต๊าหยิน ที่นั่งอยู่ข้างซ้ายนั้นเป็นชีผ้าขาว ทั้งสามคนนั่งสนทนากัน ด้วยเรื่องฝึกฝนการบวชเรียนและวิทยา วิชา ต่าง ๆ อ้ายคนตัวดำนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า วันมะรืนนี้เป็นแซยิดของข้าพเจ้า ๆ ขอเชิญท่านทั้งสองได้เอ็นดูข้าพเจ้า มาประชุมในการมรรคสมังคีด้วย
คนที่เป็นชีผ้าขาวนั้นตอบว่า ทุก ๆ ปีข้าพเจ้าก็ต้องมาช่วยใต้อ๋อง ถึงปีนี้ก็ต้องมาช่วยอวยพรกันตามเคยเหมือนทุกปีมา
เจ้าตัวดำจึงพูดว่า เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าได้ของวิเศษสิ่งหนึ่งนามเรียกว่าผ้ากาสาวพัสตร์ ของสิ่งนี้เป็นของดีงามประหลาดตา วันพรุ่งนี้จะประชุมเลี้ยงฉลองผ้ากาสาวพัสตร์ จะตั้งนามประชุมนั้นว่า (กาสาประชุม) ท่านทั้งสองจะเห็นเป็นอย่างไร
คนที่เป็นเต๊าหยินหัวเราะแล้วตอบว่า ถ้าดังนั้นวันพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะมาคำนับก่อน
เห้งเจียแอบฟังแต่ต้นจนปลายทราบความทุกประการแล้ว ก็อุตส่าห์สะกดใจไว้จนทราบเรื่องตลอดแล้ว ก็กระโดดเข้ามาร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายขโมยมึงลักเอาผ้ากาสาวพัสตร์ของกูมา เอ๋งจงรีบเอามาคืนให้เราโดยเร็ว หาไม่มึงจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ว่าแล้วก็ถือกระบองเงื้อจะตี ปีศาจยักษทั้งสามเห็นดังนั้นก็ตกใจ อ้ายตัวดำบันดาลให้กายหายเป็นลมหนีไป เต๊าหยินโจนหนีเหาะขึ้นไปแฝงกลีบเมฆไป ยังแต่ชีผ้าขาวนั่งตกตลึงอยู่หาได้หนีไปไม่ เห้งเจียตีด้วยกระบองล้มลงขาดใจตาย ซากศพนั้นก็กลายกลับเป็นรูปงูขาวตัวหนึ่ง เห้งเจียเอากระบองเขี่ยขึ้นดูตัวก็ขาดเป็นสองท่อน แล้วเหลียวหาอ้ายตัวดำกับเต๊าหยินยังแลเห็นหลังอยู่ ก็รีบเหาะไล่ตามข้ามเขาไป เห็นหว่างเขาเป็นชะโงกง้ำออกมามีถ้ำใหญ่ ปิดปากถ้ำแน่นหนา ข้างบนปากถ้ำมีศิลาจารึกอักษรว่า เฮกฮองซัว ถ้ำเฮกฮองต๋อง เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงแกว่งกระบองร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายตายโหงจงรีบเอาผ้ากาสาวพัสตร์ของพระอาจารย์กูมาโดยเร็ว ถ้าขัดขืนช้าไปกูจะทำลายถ้ำเสียให้ราบเป็นน่ากลอง
ฝ่ายพวกบริวารยักษ์ ได้ยินดังนั้นจึงเข้าไปบอกแก่ใต้อ๋องว่าการที่จะประชุมกาสานั้นเห็นจะไม่สำเร็จ บัดนี้ข้างนอกที่ปากถ้ำนั้นมีอ้ายปากแหลมหน้าเหมือนรามสูรย์มาร้องทวงผ้ากาสาวพัสตร์ ถ้าไม่ออกไปมันว่าจะทำลายถ้ำเสียเดี๋ยวนี้ ขอท่านได้ทราบ
นายปีศาจยักษ์ได้ฟังบริวารยักษ์บอกดังนั้น มีความโกรธยิ่งนัก จึงเรียกบริวารให้เอาเกราะกับทวนมาให้ แล้วก็แต่งตัวสวมเกราะมือถือทวน รีบเดินออกมาที่ประตูถ้ำ เห้งเจียยืนคอยอยู่ ครั้นเห็นปีศาจดำตลอดตัวใส่หมวกดำ คล้ายรูปม้าสวมเกราะทองแดงเสื้อชั้นนอกทับเกราะแพรดอกดำ มือถือทวนเป็นอาวุธ สอดรองเท้าหนังดำ แลดูทั้งกายปีศาจดำดุจดินหม้อแลถ่านไฟ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะนึกในใจว่า อ้ายนี่เห็นกำเนิดมันจะเป็นพวกเผาถ่าน คิดดังนั้นแล้วก็นิ่งคอยดูอยู่
ฝ่ายปีศาจยักษ์เดินออกมาถึงประตูถ้ำแล้ว จึงร้องถามด้วยเสียงเป็นอันดังว่า ใครอยู่ที่วัดไหนหว่า จึงมาถามหาผ้ากาสาวพัสตร์ทำไม เองอยู่ที่ไหนผ้ากาสาวพัสตร์นั้นหายแต่เมื่อไร จึงได้เซ่อะซะมาทวงถามถึงที่นี่เองเชื่อดีอย่างไรหรือ
เห้งเจียได้ฟังจึงตอบว่า ผ้ากาสานั้นเก็บไว้ในกุฎิใหญ่ที่วัดกวนอิมเซียนอี้เมื่อคืนนี้ เกิดไฟไหม้วัดขึ้นตัวมึงแอบเข้าไปในกุฎิลักเอามาและนัดพวกพ้องมาจะทำกาสาประชุม ยังจะมีหน้ามาโต้ตอบได้อีกหรือ เร็ว ๆ จงรีบเอามาให้กูเสียโดยดี หาไม่ชีวิตมึงจะไม่รอดพ้นจากฝีมือกู
ฝ่ายอสูรยักษ์ ปีศาจได้ฟังดังนั้นจึงหัวเราะแล้วตอบว่า อ้ายคนเสเพลเจ้าอุบายมาก เมื่อคนนี้ไฟไหม้วัดนั้น เพราะด้วยเองเอาไฟมาทิ้งเอ็งแล้ว เราเห็นเอ็งนั่งอยู่หลังกุฎิใหญ่เรียกลมช่วยไฟให้ลุกขึ้นแรง จนไฟไหม้ไปทั้งวัด อันที่จริงข้าเอาผ้ากาสามาเสียนั้น ก็โดยคิดกลัวว่าไฟจะไหม้เสีย เจ้าจะทำอะไรเราหรือ ตัวเจ้าชื่อไร แซ่ใดมีฝีมืออย่างไร จึงอาจสามารถทำปากกล้ามาพูดจาจองหองที่นี่
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า เอ็งจำปู่ไม่ได้หรือ ปู่เป็นสานุศิษย์พระเจ้าน้องยาเธอพระถังซัมจั๋ง นามของเรานี้คือซึงเห้งเจีย ถ้าเอ็งอยากจะรู้ฝีมือเราว่าจะกล้าแข็งแรงฤทธิ์สักเท่าใดเราจะเล่าให้เจ้าฟัง หากเจ้าจะตั้งสติไม่อยู่ขวัญจะหนีไปจากตัว
ปีศาจยักษ์จึงพูดว่าไหนเจ้าลองเล่าให้เราฟังดูที หรือ เราจะได้รู้ว่าเจ้ามีฤทธิ์เดชสักเท่าใด
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะว่า อ้ายเหลนของกูเอ็งจงเงี่ยหูลงคอยฟัง ทวดจะเล่าให้เอ็งฟัง
ตั้งแต่แรกเมื่อเกิดทวดมีฤทธิ์เดชประกอบด้วยอากาศจึงเติบใหญ่ ได้ไปเรียนวิชาต่อครูสอนให้ ทวดรู้วิทยาและยาวิเศษไม่แก่ไม่ตาย ทวดได้สำเร็จเป็นใต้เซียนสารพัดคาบ จะเปลี่ยนแปลงกายได้ทุกประการ หมื่นกิจแสนการ ดวงจิตก็ไม่ประกอบไปด้วยตัณหา ราคะ อายตนะหกประการบริสุทธิ์ภาคมั่นคง ได้ลงไปปราบพระยาเล่งอ๋องได้กระบองวิเศษแล้วกลับมาเป็นเจ้าอยู่ที่ถ้ำเลียมต๋องเง็กเซียงฮ่องเต้ตั้งให้เป็นที่ซีเทียนใต้เซีย อยู่บนสวรรค์มียศ เป็นขุนนางผู้ใหญ่ เราทำวุ่นวายบนวิมานก็ไม่มีผู้ใดจะต่อต้านได้
เหตุเพราะท้ายเสียงเล่ากุนกับยี่หนึ่งจินกุนจับเราได้เอาไปบนสวรรค์ ท้ายเสียงเล่ากุนเอาไฟเผาเราด้วยเบ้าก็ไม่ตาย ทวดจึงถือกระบองกายสิทธิ์ตีขนาบเข้าไปถึงสามสิบสามชั้นวิมานไม่มีผู้ใดจะสู้ได้ สมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ จึงได้บันดาลเขาเง้าเห้งซัวครอบทวดไว้ได้ห้าร้อยปี ทวดจึงได้มาพบพระถังซัมจั๋ง บัดนี้เราตั้งอยู่ในสัมมาทิฐิมรรค จะไปวัดลุ่ยอิมยี่นมัสการพระผู้ประเสริฐ ผู้กระทำที่สุดของโลก และ ข้ามโลกได้แล้วทั้งรอบจักรวาลฟ้าดินต่อ ๆ มาถึงเดี๋ยวนี้ ก็รู้จักชื่อเราทั้งสิ้น เหลนจงฟังคำทวดที่เล่าให้ฟังนี้เถิด
ฝ่ายปิศาจยักษเมื่อได้ฟังเห้งเจียเล่าให้ฟังดังนั้น หัวเราะแล้วพูดว่า เออฉะนั้นเรานึกได้แล้วคือมูลเหตุนั้น เง๊กเซียงฮ่องเต้ตั้งให้เจ้าเป็นที่เป๊กเบ๊อุนอ้ายคนเลี้ยงม้ามิใช่หรือ
เห้งเจียได้ฟังปีศาจยักษกล่าวออกชื่ออักษรสามตัว ว่าเป๊กเบ๊อุน อันอักษรสามตัวนี้ ถ้าได้ยินได้เห็นเวลาใดก็เกิดโทโสดุจไฟเข้าลนหัวใจ ดวงตาเห้งเจียลุกดุจดาวโรหินี แกว่งกระบองกายสิทธิ์ชื่อกิมตอปัง ตรงเข้าตีปีศาจ ๆ ก็ขยับทวนเข้ารับ ต่างรบกันไปมาประมาณยี่สิบเพลงพอตะวันจวนเที่ยง
ปีศาจยักษ์เอาทวนกดกระบองเห้งเจียไว้แล้ว ร้องพูดแก่เห้งเจียว่า เวลานี้ก็จวนจะเที่ยงอยู่แล้ว จงพักให้เรากินอาหาร แล้วจึงค่อยมาต่อสู้กันใหม่ พูดแล้วก็ชักทวนถอยกลับเข้าถ้ำ สั่งบริวารให้ปิดประตูแน่นแล้วให้จัดเครื่องเลี้ยงและเขียนหนังสือไปเชิญ พวกพ้องมิตรสหายทุก ๆ แห่งมาเลี้ยงโต๊ะจะได้คิดการต่อสู้แก่ข้าศึกต่อไป บริวารได้หนังสือแล้วก็รีบแยกย้ายกันไป
ฝ่ายเห้งเจีย ครั้นปีศาจกลับเข้าถ้ำแล้วคิดจะทำลายถ้ำเข้าไปก็เหนื่อย เหลือกำลัง จึงเหาะกลับมายังวัดอิมเซียนอี้เข้าไปคำนับพระอาจารย์ แล้วเล่าความว่าปีศาจมีกายดำมันลักผ้ากาสาวพัสตร์ ไปจะทำการเลี้ยงโต๊ะ ในการแซยิดของมัน แลได้ต่อสู้กันจนกลับมาให้พระอาจารย์กับหลวงจีนทั้งปวงฟังทุกประการ หลวงจีนทั้งหลายจึงจัดแจงเครื่องแจถวายเพลพระถังซัมจั๋งฉันแล้ว เห้งเจียจึงรับประทานต่อภายหลัง
ครั้นเสพอาหารอิ่มเสร็จแล้ว เห้งเจียก็คำนับลาพระอาจารย์เหาะกลับไปยังเขาเฮกฮองซัว เมื่อขณะเหาะกลับมาแล้วลงไปเห็นบริวารปีศาจยักษ์เดินมามือถือหีบไม้สาลีหีบหนึ่ง เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ลอยลงยังที่พื้นดิน ตรงเข้าสกัดหน้าเอาไม้กระบองตีปีศาจยักษ์ตายคาที่ เห็นกายปีศาจอ่อนน่วมดุจฟองน้ำ เห้งเจียจึงลากศพทิ้งข้างทางแล้วเอาหีบนั้นมาเปิดดู ก็เห็นเป็นหนังสือเชิญกินโต๊ะ
ในใจความว่าข้าพเจ้าเฮกหันพระยาหมีดำ ขอคำนับมายังท่านกิมตือเล่าเสียงอาจารย์ได้ทราบ ด้วยบัดนี้ข้าพเจ้าจะทำการเลี้ยงโต๊ะและทำการกาสาประชุม ขอเชิญท่านมานั่งเล่นพอเป็นกิริยาที่รื่นเริงในกำหนดวันพรุ่งนี้เป็นวันประชุมขอจงมาในเวลากำหนดเถิด เห้งเจียอ่านดูรู้ความดังนั้นแล้วจึงหัวเราะว่า
เหตุนี้เองทำให้อ้ายอาจารย์เฒ่าที่ตายคบค้ากับอ้ายพวกปิศาจยักษ์มารเหล่านี้เป็นเพื่อนฝูง อายุมันจึงได้ยืนถึงสองร้อยเจ็ดสิบปี เห็นอ้ายพวกปิศาจเหล่านี้จะให้ว่านยาอะไรกิน จึงได้มีอายุยืนนานฉะนั้น จำเราจะแปลงกายเป็นอาจารย์เฒ่าผู้นั้น เข้าไปในถ้ำก็คงจะได้เห็นผ้ากาสาวพัสตร์ เพราะเราเคยเห็นและจำตัวอ้ายนั่งข้างขวาได้ คือเต๊าหยินที่เหาะหนีเราไปครั้งก่อน คิดดังนั้นแล้ว จึงสำรวมกิริยาร่ายพระเวทย์คาถาแปลงกายให้เหมือนรูปอาจารย์เต๊าหยิน
ครั้นแปลงกายแล้วก็เดินเข้ามายังถ้ำ เรียกให้เปิดประตูรับ พวกยักษ์บริวารได้ยินก็ออกมาเปิดประตูถ้ำ แลเห็นท่านอาจารย์กิมตี้มาจึงกลับเข้าไปบอกนายว่า บัดนี้ท่านอาจารย์กิมตี้มาแล้ว
เฮกหันได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า เราใช้คนไปเชิญเหตุใดจึงมาเร็วนัก ชะรอยจะเป็นเห้งเจียไปอ้อนวอนเชิญให้มาขอผ้ากาสาวพัสตร์คืนดอกกระมัง จำเราจะเอาผ้ากาสาวพัสตร์ซ่อนไว้เสียก่อน อย่าให้เห็น คิดดังนั้นแล้วก็เอาผ้ากาสาวพัสตร์นั้นเก็บซ่อนเสีย
ฝ่ายเห้งเจียเดินเข้าไปในประตูถ้ำ เดินพลางชมพลางเห็นผลไม้ดกออกดอกช่ออรชอนดุจสวนบนสวรรค์ ครั้นเดินเข้าไปถึงประตูชั้นที่สองเห็นทั้งสองข้างมีเหรียญหนังสือคู่หนึ่ง ข้างขวามีคำว่าระงับสุขสำราญไม่มีความโลภ ข้างซ้ายมีคำว่าอยู่ที่ลับความสนุกดุจเทวสถาน เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงคิดอยู่แต่ในใจว่า หนังสือที่เขียนไว้นั้นเป็นข้อนำความสำเร็จที่จะให้พ้นจากโลก ยักษ์เหล่านี้ก็รู้จักทางมรรคผลของความดี
เห้งเจียคิดดังนั้นแล้วก็เดินเข้าไปถึงประตูชั้นที่สาม แลดูรอบในนั้นเห็นประตูหน้าต่างสลักเสลาเป็นช่อเป็นชั้น ลวดลายต่าง ๆ งดงามเจริญตาเป็นที่เจริญใจยิ่งนัก ก็เดินตรงเข้าไปจนถึงตัวเฮกหัน
ฝ่ายเฮกหันครั้นเห็นเห้งเจียเดินเข้ามา ก็สวมเสื้อแต่งตัวออกมารับเชิญแล้วจึงพูดว่าข้าพเจ้าจะทำการเล็กน้อยในวันพรุ่งนี้ ท่านอาจารย์มีธุระหรือจึงมาก่อนกำหนดในจดหมาย
เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าจะใคร่ชมผ้ากาสาวพัสตร์ จึงได้รีบมาก่อนกำหนด เพราะได้ทราบในจดหมายซึ่งท่านให้คนถือไปให้ กำลังสนทนากันอยู่นั้น พวกบริวารที่ไปเที่ยวสอดแนมกลับเข้ามาบอกว่า ใต้อ๋องจงทราบเถิดว่า คนที่ถือหนังสือเทียบไปเชิญพระอาจารย์กิมตี้นั้น ไปได้ครึ่งทางพบเห้งเจียเข้าเห้งเจียตีตายเสียแล้ว แปลงกายปลอมเป็นอาจารย์กิมตี้เข้ามาในถ้ำ จะคิดอุบายเอาผ้ากาสาวพัสตร์คืนเป็นแน่ ข้าพเจ้าได้แอบดูได้เห็นประจักษ์แก่ตาแล้ว
เฮกหันครั้นได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธจึงเอาทวนแทงเห้งเจีย ๆ แลเห็นดังนั้นหลบถอยหลังแปรกลับเป็นรูปเดิม ชักกระบองเข้ารบรับกันในถ้ำ แลพถ้อยทีหนีไล่ถอยออกมาจนนอกประตูถ้ำ แลขึ้นรบกันบนยอดเขาต่างมีฤทธิ์เข้มแข็งรบกันได้หลายร้อยเพลง จนเวลาจวนค่ำก็ยังหาแพ้และชนะกันไม่
เฮกหันเอาทวนรับกระบองไว้แล้วร้องพูดว่า เห้งเจียหยุดก่อนเราจะพูดให้ท่านฟัง ด้วยเวลานี้ก็จวนจะค่ำอยู่แล้วเราหยุดรบกันเสียก่อนพรุ่งนี้เช้าเราจึงค่อยมารบกันให้ถึงแพ้และชนะ พูดดังนั้นแล้วก็บันดาลตัวให้เป็นสายเหมือนลมหายไปต่อหน้า เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำประการใดได้
ก็เหาะกลับมายังวัดเข้าไปคำนับพระอาจารย์
พระถังซัมจั๋งเห็นเห้งเจียกลับมาจึงถามว่า ไปพบผ้ากาสาวพัสตร์นั้นเป็นประการใดได้หรือไม่ได้
เห้งเจียจึงเล่าความตั้งแต่ต้นจนปลาย ให้พระอาจารย์ฟังทุกประการ
พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นจึงย้อนถามว่า ฝีมือปีศาจกับตัวเจ้า ใครจะเป็นอย่างไรกัน
เห้งเจียจึงตอบพระอาจารย์ว่า ก็พอจะสู้กันได้ไม่สู้กระไรนัก พระถึงซัมจั๋งจึงว่าถ้าดังนั้นทำ
ประการใดจึงจะได้ผ้ากาสาวพัสตร์คืนเล่า
เห้งเจียตอบว่าพรุ่งนี้คงจะเอาคืนให้จงได้ ค่ำวันนี้จะขอหยุดพักพอให้มีแรงเสียสักคืนก่อน
พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จิตใจให้วิตกด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ยิ่งนัก ในคืนวันนั้นพระถังซัมจั๋งหา
เป็นอันที่จะหลับนอนไม่ นั่งอยู่ที่ตรงหน้ต่างตรึกตรองหามีความสบายไม่
ฝ่ายเห้งเจียเมื่อพักนอนครั้นดึกสามยามเห้งเจียก็ผุดลุกขึ้นเรียกหลวงจีนทั้งหลายมาพร้อมกัน สั่งให้
ระวังรักษาพระอาจารย์ให้ดี เราจะมีธุระไปสักหน่อย
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งตรึกตรองเป็นทุกข์อยู่หาหลับไม่ ครั้นได้ยินเห้งเจียสั่งหลวงจีนดังนั้น ก็ลงจากเตียงร้อง
ถามออกมาว่าเห้งเจียจะไปข้างไหนเวลาค่ำมืดดังนี้แล้ว
เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าคิดว่าการสิ่งนี้ จะต้องไปหาพระกวนอิมเพราะที่วัดนี้ชาวชนทั้งหลายมา
สักการบูชา สร้างขึ้นถวายเป็นวัดของพระกวนอิม เพราะอักษรเขียนชื่อวัดก็เป็นชื่อพระกวนอิม ๆ ให้สัตว์เดรัจฉาน
ปีศาจยักษ์อยู่ใกล้วัดดังนี้ ข้าพเจ้าจะไปเชิญท่านและเล่าการให้ท่านฟังจะได้นิมนต์ท่านมา เห็นคงจะได้ผ้ากาสาวพัสตร์
คืนโดยง่าย ข้าพเจ้าคิดเห็นอย่างนี้จึงจะไปเชิญท่านมา
พระถังซัมจั๋งจึงถามว่าท่านไปเมื่อไรท่านจะกลับมา ด้วยพระกวนอิมก็อยู่ไกล
เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าคะเนเวลากินข้าวเช้าแล้วก็คงจะกลับมาถึง ถ้าอย่างช้าก็เพียงเที่ยง
เห้งเจีย พูดดังนั้นแล้วก็คำนับลาพระอาจารย์เหาะตรงไปยังเขาน่ำไฮ้บัดเดี๋ยวก็มาถึง
เห้งเจียลอย
พิจารณาอยู่บนอากาศเห็นชัยภูมิเขามีน้ำไหลรินเป็นฟูฝอยใสสะอาด มีต้นผลไม้ต่าง ๆ ผลิดอกออกช่อหลายอย่าง
หลายพัน ทั้งภูเขาโขดคูแลเพิงพักซับซ้อนเป็นลำดับต่าง ๆ มีไม้ต้นไม้ลำต่าง ๆ ดุจคนแกล้งมาปลูกไว้ ฝูงทีฆะชาติ
ปักษาก็มาร่อนร้องและลงจับจิกกินผลไม้ที่มีผล เร่าร้องสนั่นเสียงเซ็งแซ่ เห้งเจียดูก็ให้เกิดความเพลิดเพลินเจริญใจ จึง
นึกแต่ในใจว่าในสถานที่นี้ ควรเป็นที่อยู่ของผู้วิเศษที่มีสติปัญญาความระงับจะเป็นที่อาศัย
ครั้นแล้วก็ลอยลงยังพื้นดิน
เดินเข้าไปยังป่าไผ่ ครั้นถึงประตูเก๋งใหญ่เห้งเจียก็เดินเข้าไปข้างในแลเห็นพระกวนอิมนั่งอยู่บนบัลลังก์บัว เห้งเจียก็
คุกเข่าลงคำนับนมัสการโดยเคารพ พระกวนอิมเห็นเห้งเจียจึงถามว่า เจ้ามีกิจธุระอะไรหรือจึงได้มาจนถึงนี่
เห้งเจียนมัสการแล้วตอบว่า ข้าพเจ้ากับพระอาจารย์มีความร้อนใจเป็นอันมาก
เมื่อเดินทางไปไซทีพบวัดเข้าวัดหนึ่งมีนามว่าวัดกวนอิมเซียนอี้ ชนทั้งหลายมีความเลื่อมใสมาสักการบูชาด้วยธูปเทียน
ดอกไม้อยู่เนืองนิตย์มิได้ขาด บัดนี้มีสัตว์หมีปีศาจยักษ์ตนหนึ่งอยู่ใกล้วัด มันลักเอาผ้ากาสาวพัสตร์ของพระอาจารย์
ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าไปทวงถามหลายครั้งแล้วมันหาคืนให้ไม่ บัดนี้ข้าพเจ้าจะมาขอทวงเอาที่ท่านเพราะท่านเป็น
เจ้าของวัด ยอมอนุญาตให้ปีศาจยักษ์อยู่ใกล้เคียงวัดกวนอิมเซียนอี้ ขอให้ท่านเป็นธุระจัดแจงเอามาให้
พระกวนอิมได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงว่าเดรัจฉานไม่รู้จักผิดแลชอบพูดจาไม่มีแบบแผนเลย อ้าย
ปิศาจหมีมันลักเอาไปควรเอ็งจะไปทวงเอาแก่มันจึงจะถูก เหตุใดจะมาทวงเอาที่อาตมเล่า ซึ่งเหตุการณ์เกิดความเดือด
ร้อนขึ้นดังนี้ ที่แท้ก็เพราะเจ้าใจใหญ่นำเอาของวิเศษออกประกวดอวดแก่เขา ให้คนร้ายคนพาลเห็นแล้วยังมิหนำ
ซ้ำตัวเจ้าได้กระทำผิดเมื่อไฟติดขึ้นแล้ว เจ้ายังเรียกลมให้ผสมพัดจนไฟไหม้วัดวาอารามหมดสิ้นดังนี้ ยังมีหน้าเอาความ
ร้ายมาใส่เราอีกหรือ เราว่าดังนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าใครผิดแน่
เห้งเจียเห็นพระกวนอิมมีความโกรธดังนั้น ก็ลนลานกราบลงแล้วพูดว่า ขอท่านได้ยกโทษให้
ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด อันที่จริงนั้นข้าพเจ้าเห็นว่า อ้ายปีศาจมันไม่ยอมคืนผ้ากาสาวพัสตร์ให้แก่
ข้าพเจ้าเป็นแน่ พระถังซัมจั๋งจะภาวนาบีบศรีษะข้าพเจ้าเหลือที่จะทนได้ เพราะฉะนั้นซึ่งข้าพเจ้า
มาทั้งนี้ หมายจะพึ่งพระบารมีท่าน ขอได้โปรดกรุณาแก่ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด
พระกวนอิมจึงพูดว่า เอาเถอะข้าก็จะช่วยเพราะเห็นแก่พระถังซัมจั๋ง พูดดังนั้นแล้วก็ออกจากที่อยู่
ปาฏิหารย์เหาะลอยขึ้นบนอากาศ ตั้งหน้าตรงไปยังเขาเฮกฮองซัว เห้งเจียก็เหาะตามไปข้างหลัง ครั้นใกล้จะถึง
พระกวนอิมเห้งเจียลอยลงเดินไปตามทาง ขณะนั้นมีเต๊าหยินคนหนึ่งถือถาดเดินมาในถาดมียาวิเศษอายุวัฒนะสองเม็ด
เดินมาปะหน้าเห้งเจีย ๆ ยกไม้กระบองฟาดลงทีหนึ่ง เต๊าหยินล้มดิ้นขาดใจตาย
พระกวนอิมเห็นดังนั้นก็ตกใจจึง
พูดว่า อ้ายสัตว์วานรนี้ชั่วช้านักทำไมจึงได้ทำดังนี้เล่า เพราะว่าคนนี้เขามิได้ขโมยผ้ากาสาวพัสตร์ของตัวไป เหตุ
ใดจึงไปตีเขาให้ถึงแก่ความตาย
เห้งเจียพูดว่าท่านยังไม่ทราบ เต้าหยินนี้คือพวกพ้องบริวารของอ้ายยักษ์หมีดำ ถ้าละไว้ไม่คิด
ตัดกำลังปล่อยให้มากขึ้น พรุ่งนี้อ้ายเหล่านี้ก็จะมาประชุมกัน อ้ายเต๊าหยินคนนี้มันเที่ยวหาของมาช่วย
พูดดังนั้นแล้ว
ก็จับศพเต๊าหยินยกขึ้นมาดูก็เห็นเป็นชะมดตัวหนึ่ง เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็หัวเราะแลไปที่ในถาดเห็นมียาวิเศษอยู่สองก้อน
ที่ก้นถาด มีอักษรจารึกอยู่สี่ตัว คือ ลีนฮือจื๊อเจ่ เห้งเจียเห็นดังนั้นแล้วก็พูดว่า บังเอิญสบเหมาะ จึงหันหน้ามาคำนับ
พระกวนอิมแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าคิดอุบายได้อย่างหนึ่ง จะใช้ซ้อนกลแต่ไม่ทราบว่าท่านจะยอมหรือไม่
พระกวนอิมจึงถามว่า อุบายของท่านประการใดจงชี้แจงให้เราฟัง เมื่อเห็นสมควรจะทำก็จะได้ทำ
เห้งเจียจึงว่า หนังสือในถาด ลีนฮือจื๊อเจ่นั้น คือชื่อของเต๊าหยินตายนั้นเอง ขอให้ท่านแปลง
กายให้เหมือนเต๊าหยิน ข้าพเจ้าจะแปลงเป็นยาหนึ่งเม็ดวางอยู่ในถาด ท่านจงยกเข้าไปช่วยการแซยิดของปิศาจหมี
ถ้าอ้ายยักษ์กินยานั้นเข้าไปในท้อง ข้าพเจ้าก็จะทำถนัด แม้มันไม่ยอมให้ผ้ากาสาวพัสตร์ ข้าพเจ้าจะรวบรัดเอาไส้มัน
ออกมาให้หมด ท่านจะเห็นชอบด้วยหรือไม่
พระกวนอิมได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น จึงหัวเราะแล้วพูดว่าได้การแล้ว พระกวนอิมจึงสำรวมจิตนึก
น้อมกระทำภาวนาแปลงกายเป็นเต๊าหยินกระทำกิริยาอาการให้เหมือนดุจคนเดียวนั้น
เห้งเจียเห็นพระกวนอิมแปลงรูปเป็นลีนฮือจี๊อเจ่ จึงชมว่าช่างเหมือนจริง ๆ แล้วบอกว่าข้าพเจ้า
จะแปลงบ้าง พูดแล้วก็สำรวมจิตร่ายพระคาถาตัวเห้งเจียก็กลายเป็นยาเม็ดกลมกลิ้งอยู่ในถาด พระกวนอิมก็ถือถาด
เดินมายังถ้ำ ครั้นถึงก็พิจารณดูท่าทางที่ปากถ้ำแลต้นผลไม้ร่มรื่นเป็นน่าอยู่ อาจให้เกิดความผาสุขสบายใจได้ ควร
เป็นที่อาศัยปฏิบัติ อาจให้เกิดมรรคผลได้อยู่ ว่าเราจะต้องแก้ไขช่วยชีวิตปีศาจไว้บ้างจะได้ไม่ถึงแก่ความตาย
และไม่ขาดเมตาจิตแห่งเรา
เมื่อพระกวนอิมคิดดังนั้นแล้ว ก็เดินเข้าไปยังประตูถ้ำ เห็นหมู่ปีศาจยักษ์น้อย ๆ พูดกันว่า ท่าน
ฤๅษีลีนฮือจื๊อเจ่มาแล้ว บ้างก็รีบเข้าไปบอกเฮกหันใต้อ๋องว่าบัดนี้ท่านลีนฮือจื๊อเจ่มาแล้ว
เฮกหันได้ฟังดังนั้นก็เดินออกมารับ เชิญท่านลีนฮือจื๊อเจ่เข้าไปนั่งที่อันสมควรแล้ว ยักษ์หมีจึงพูดว่า
ขอบใจท่านได้เอ็นดูแก่ข้าพเจ้าเอาของมาช่วย พระเดชพระคุณของท่าน อยู่แก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก
พระกวนอิมจึงพูดว่า ข้าพเจ้าได้ยาวิเศษหนึ่งเม็ดมาคำนับท่าน พูดแล้วก็ยกถาดยานั้นมาส่งให้แก่
เฮกหันแล้ว ก็อวยพรว่าขออายุท่านจงเจริญยืนนานชั่วฟ้าแลดินเถิด
ปิศาจยักษได้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดีเป็นอันมาก มิได้มีความรังเกียจกินแหนงเลย จึงหยิบยาใส่
ปากกลืนลงไปในท้องในทันใดนั้น
เห้งเจียเมื่อเข้าไปอยู่ในท้องเฮกหันได้แล้ว ก็กลับกลายจากเม็ดยาเป็นรูปเดิม เอามือจับใส้เฮกหัน
หมุนบิดไปมา จนเฮกหันได้ความทุกข์เวทนาเจ็บปวดถึงสาหัส ร้องไห้ลีนฮือจื๊อเจ่ช่วยว่าข้าพเจ้าจะถึงแก่ชีวิตอันตราย
แน่แล้ว ขอท่านได้กรุณาแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ร้องพลางดิ้นพลางอยู่กลางพื้นถ้ำ
ฝ่ายพระกวนอิมเห็นดังนั้น ก็คลายมนต์กลับเป็นรูปเดิมร้องตวาดว่า เจ้าจงรีบเอาผ้ากาสาวพัสตร์
ออกมาให้เรา ๆ จึงจะยกโทษให้
เฮกหันครั้นเห็นลีนฮือจื๊อเจ่ กลับเป็นพระกวนอิมไปดังนั้น ก็รู้ว่าตนต้องอุบายของเห้งเจียแล้ว ทั้ง
เจ็บทั้งกลัวเหลือกำลังสิ้นทิฐิมานะลง จึงร้องสั่งบริวารให้ไปเอาผ้ากาสาวพัสตร์มาโดยเร็ว
ปีศาจน้อยได้ฟังนายสั่งดังนั้น ก็ไปเอาผ้ากาสาวพัสตร์ออกมาถวายพระกวนอิม ๆ ก็รับ
ผ้านั้นไว้แล้วก็บอกเห้งเจียออกมา
เห้งเจียก็บันดาลเป็นลมอากาศออกมาจากท้องเฮกหัน เดินมาหยิบผ้ากาสาวพัสตร์
ถือไว้
ฝ่ายพระกวนอิมเห็นปีศาจยักษยังฟุบหน้าอยู่คิดวิตกไปว่า ถ้าปีศาจยักษยังจะมีโทสะอยู่ก็จะทำ
การจลาจลต่อไป อย่าเลยจะต้องเอามงคลครอบศรีษะะไว้เสียเถิด คิดดังนั้นแล้ว ก็เอามงคลที่พระให้ไว้สวมศรีษะ
เฮกหันลงทันที
ฝ่ายเฮกหันเมื่อมงคลต้องศรีษะก็ทะลึ่งลุกขึ้น ฉวยทวนจะแทงพระกวนอิม ๆ กับเห้งเจียกระทำ
ปาฏิหารย์ขึ้นลอยอยู่บนอากาศแล้ว
พระกวนอิมก็ร่ายพระมนต์ ออกชื่อเฮกหันยักษ์หมีผู้เดียว เฮกหันก็ปวดเศียร
เวียนเกล้าราวกับศรีษะจะแตกลงกลิ้งอยู่กับพื้นดิน ทวนก็หลุดจากมือร้องขอโทษอ้อนวอนไปต่าง ๆ
พระกวนอิมจึงกล่าวว่า อ้ายสัตว์เดรัจฉานเจ้าจะยอมกลัวเราหรือไม่
เฮกหันจึงว่าข้าพเจ้ายอมกลัวท่านแล้ว ขอรับประทานชีวิตไว้สักครั้งหนึ่งเถิด
เห้งเจียเห็น
ดังนั้นก็อยากจะใคร่ตีด้วยกระบองสักทีหนึ่ง แต่พระกวนอิมว่าอย่าทำให้ถึงตายเลย อาตมาจะเอาไปไว้ใช้
เห้งเจียถามว่า จะเอาไปไว้ใช้ที่ไหน พระกวนอิมบอกว่าที่หลังเขาน่ำไฮ้นั้นยังไม่มีคนเฝ้า จะ
พาไปไว้ให้เฝ้าที่ตำบลนั้น เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า นี่แลจริงแท้ว่ามีความกรุณาไม่บกพร่อง
ฝ่ายปีศาจเฮกหันครั้นฟื้นขึ้นแล้ว ก็พนมมือร้องว่า ข้าพเจ้าจะรักษาธรรมสัมมาปฏิบัติตลอดชีวิต
พระกวนอิมได้ฟังดังนั้นจึงลอยลงมายังพื้นดิน แล้วจึงเดินมาลูบศรีษะเฮกหันสอนให้ถือศีล แล้วบอกว่าท่านจงถือทวน
ตามเราไป
ฝ่ายปิศาจหมีตั้งแต่นั้นจิตใจก็ปราศจากความชั่วร้ายเปน็ปรกติ ถือทวนคอยตามพระกวนอิมไป
เขาน่ำไฮ้ พระกวนอิมจึงสั่งเห้งเจียว่าท่านจงเอาผ้ากาสาวพัสตร์ไปให้พระถังซัมจั๋ง และตัวเจ้าจงอุตสาหะคุมรักษาเธอ
ไปให้ดี ถ้าทีหลังอย่าเอาผ้ากาสาวพัสตร์นั้นออกอวดแก่ผู้ใดอีกต่อไป
เห้งเจียได้ฟังพระกวนอิมสั่งดังนั้น ก็คำนับลาลอยลงยังพื้นดินเอาไฟเผาถ้ำนั้นเสียสิ้นแล้วก็เหาะ
กลับไปยังวัดกวนอิมเซียนอี้ พระกวนอิมก็หาเฮกหันไปยังเขาน่ำไฮ้ ที่อยู่ของพระกวนอิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น