หน้าเว็บ

13 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 1 ไซอิ๋ว นวนิยาย

👉หน้าต่อไป 📖   
     คำนำ (เล่ม ๑)
      เรื่องไซอิ๋วนี้ เป็นเรื่องที่แตกออกจากพงษ์ศาวดารซุยถังใน
แผ่นดินของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้กระษัตริย์ที่สองในวงษ์ถัง นักปราชญ์ฝ่ายจีนได้เรียบเรียงไว้ ผู้แปล ๆ ตามต้นฉบับเดิมในภาษาจีน นายเล็กเจ้าของโรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร เห็นว่าเปนเรื่องน่าอ่านน่าฟัง จึงจ้างนายดินแปลออกจากภาษาจีนเปนภาษาไทยแล้ว แต่ถ้อยคำยังไม่ชัดเจน จึงมาว่าจ้างนายวรรณเอดิเตอร์ดุละวิภาค พจนกิจ ให้เรียบเรียงอีกชั้นหนึ่ง ข้อความคงตามเดิม แก้แต่ถ้อยคำขัดเขินแลไม่ชัดให้ชัดขึ้นเท่านั้น
      ในเรื่องไซอิ๋วนี้ มีคำแลความเปนสุภาสิตบ่อย ๆ ทั้งเนื้อ
เรื่อง ก็น่าอ่านน่าฟัง สนุกมากยืดยาวไม่ต่ำกว่าร้อยชุด เจ้าของจึงได้จ้างช่างแกะ ๆ รูปภาพตามเรื่องพิมพ์ไว้ ให้ท่านผู้อ่านเห็นรูปของคนบูราณด้วยตามชุดแลเรื่องนั้นๆ ในเล่มหนึ่งนี้มีความยี่สิบสองชุด ในชุดที่หนึ่งมีคำอธิบายพระนามพระพุทธเจ้า แลมีรูปพระพุทธเจ้าดังต่อไปนี้
แจ้งความ (เล่ม ๑)
      แจ้งความหนังสือไซอิ๋วที่ข้าพเจ้าพิมพ์ขึ้นใหม่ในคราวนี้ 
ข้าพเจ้าพิมพ์ขึ้นไม่สู้มากนักเพราะประสงค์จะให้แล้วเร็ว ด้วยได้ทราบว่าหนังสือเรื่องนี้มีผู้ประสงค์จะต้องการอ่านฟังมากด้วยกัน บัดนี้เกรงว่าจะพิมพ์ขึ้นน้อยเกินไปสักหน่อย เมื่อจำหน่ายหมดแล้วจึงจะพิมพ์เพิ่มเติมขึ้นอีก เพราะฉนั้นท่านผู้หนึ่งผู้ใดจะต้องการหนังสือเรื่องนี้อ่านเร็วๆ ก็ขอให้รีบมาซื้อไปเสีย แล้วข้าพเจ้าจะได้พิมพ์เล่ม ๒ ต่อไป เพราะกว่าที่ข้าพเจ้าจะได้จัดพิมพ์เพิ่มเติมขึ้นอีก ในครั้งหลังต่อไปให้แล้วบริบูรณ์ได้ ก็ยังจะเปนเวลาที่ต้องคอยนานอยู่
      หรือถ้าท่านผู้ใดจะประสงค์ให้ทำปกงาม ๆ สำหรับจัดขึ้น
ตู้ ห้องสมุดให้โอ่โถง หรือจะพิมพ์แบบฟอมต่างๆ แลใบเสร็จก็ได้ ข้าพเจ้าจะรับทำให้ท่านได้ตามความประสงค์ทุกอย่าง โดยคิดราคาก็ไม่สู้แพงนักแต่พอสมควรเท่านั้น
      โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร ตำบลถนนราชบพิธ กรุงเทพ ฯ วันที่ ๑ ธันวาคม ร.ศ. ๑๒๕ นายเล็ก
คำนำ (เล่ม ๒)
เนื้อความตามลำดับเรื่องในไซอิ๋วเล่ม ๒ นี้ ดำเนินวจนะเบื้องต้นตั้งแต่โป๊ยก่ายหลงกลพระโพธิสัตว์ โดยเหตุโป๊ยก่ายเปนผู้หนาแลหนักอยู่ในเรื่องกามคุณตามนิไสยของโป๊ยก่าย
      ที่สุดความในเล่ม ๒ นี้ไปหมดเพียงเห้งเจียรบแก่นางล่อ
ซัว ซึ่งเปนภรรยาของงู่ม่ออ๋อง ตามนิทานในท้องเรื่องของเล่ม ๒ นี้มีรูปภาพ ๒๔ รูป ประจำตามชุด เพื่อให้ท่านผู้อ่านผู้ฟัง เมื่อทราบเรื่องแล้วจะได้เห็นรูปด้วย แต่ลักษณแลกิริยาของรูปภาพ คงแสดงให้ผู้เห็นถือเอาความได้ว่า ผู้เรียงความเรื่องไซอิ๋วไว้แต่โบราณนั้นเปนจีนแท้ เพราะฉะนั้น ที่สุดแต่ชั้นพระนามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แลพระอะระหันต์ หรือพระโพธิสัตว์ แลชฎิณดาวบศนักพรตนักบุญจึงมีสำเนียงเปนภาษาจีนไปทั้งสิ้น ที่สุดจนชั้นวัดวาอารามแม่น้ำภูเขาก็พลอยหมุนความมีกิริยาแลชื่อเสียงเปนภาษาจีนไปทั้งสิ้นด้วย จึงกระทำให้ผู้เรียงภาษาไทยในชั้นนี้ รู้ศึกได้ในความจริงแลความเท็จทุกประการ แต่จะอย่างไรก็ดี คงเกี่ยวหนักในเรื่องพระพุทธสาสนา เพราะฉะนั้นถ้าเข้าที่ยากแลขัดข้องในที่สำคัญด้วยประการใดๆ คราวไร เทพยดามารพรหมหรือใครๆ ที่มีอำนาจแลบุญฤทธิ์ ก็ต้องช่วยเปนธุระให้สำเร็จาตลอดไปได้ทุกๆ ครั้ง โดยอำนาจที่พระถังซัมจั๋งแลเห้งเจียกระทำการเพื่อประโยชน์จะแผ่พระพุทธสาสนาในทิศตวันออก พาให้ท่านผู้มีปัญญาเกิดศรัทธาเลื่อมไสยสูงขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
คำนำ (เล่ม ๓)
      ไซอิ๋วเล่มสามนี้ ตั้งแต่เห้งเจียถูกลมพัดวิเศษของนางล่อ
ซั่ว ปลิวไปจนถึงเขาพระสุเมรุ จนที่สุดพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ไปถึงเมืองโซจ๊อก ในระหว่างทางที่ไปนั้น ได้พบปะปิศาจแลไภยร้ายหลายตำบล เปนความยากลำบากเหลือเกิดกว่าจะตลอดลุล่วงไปได้ อาไศรย์เห้งเจียเปนผู้เชี่ยวชาญ แลมีฤทธาอานุภาพอภินิหารที่ได้สร้างสมอบรมมามากแล้ว จึงได้ปราบพวกปิศาจอสรุกายได้ด้วยตนเองบ้าง อาไศรย์พระโพธิสัตว์บางองค์มาช่วยบ้าง แลผู้วิเศษช่วยบ้าง บางแห่งต้องพระสีอริยะเมตไตรยเสด็จมาช่วยบ้าง ในระหว่างเล่มสามนี้ได้รับไภยร้ายแลปราบยักษ์มารรวมกว่ายี่สิบครั้ง นับว่าเปนเรื่องน่าพิศวงมากอยู่
      แต่จะอย่างไรก็ดี เปนการเกี่ยวด้วยเรื่องพระพุทธสาศนา
ซึ่งเปนมูลเหตุที่จะให้พระถังซัมจั๋งกับเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง นำพระไตรยปิฎกธรรมมาประดิษฐานในมหาประเทศทิศตวันออก เพื่อเปนการแพร่หลายแก่มหาชนที่มีอินทรีย์อุปนิไสยจะได้บำเพ็ญกุศลธรรมตามพระพุทธโอวาท เพื่อเปนปัจจัยแก่พระนฤพาน
      เพราะเหตุนี้ เทพยดาอารักษ์แลเง็กเซียงฮ่องเต้ คือ (พระ
อิศวร) แลพรหมจึงต้องเปนธุระช่วยอุดหนุนแก่เห้งเจียในบางแห่งที่ร้ายแรงเหลือเกิน จวนเจียนๆ จะเปนอันตรายแก่พระถังซัมจั๋งแลสานุศิษย์ทั้งสามคน แต่ก็สำเร็จตลอดไปได้ทุกแห่งทุกตำบล จนถึงเมืองโซจ็อก เมื่ออ่านไปยังไม่สิ้นเรื่องก็ดูไม่น่าจะตลอดลุล่วงไปได้ แต่ในเล่มสามนี้ก็ยังหาถึงไซทีที่พระพุทธเจ้าอยู่ไม่ ขอท่านผู้อ่านผู้ฟังโปรดอะไภยแก่ผู้จัดการพิมพ์เรื่องไซอิ๋ว โดยเหตุที่มีการจำเปนเกิดขึ้นในระหว่างพิมพ์ แลติดขัดด้วยการทำรูปภาพจึงได้เนิ่นช้าไป ต่อไปในเล่มสี่จะไม่ช้าเช่นเล่มสามนี้ คงจะได้อ่านได้ฟังโดยเร็วให้ทันแก่ความมุ่งหมาย เพราะการแปลจากภาษาจีนแลการเรียงก็แล้วเสร็จแล้ว ยังแต่การพิมพ์เท่านั้น ก็ได้ลงมือพิมพ์อยู่แล้ว
      แม้จะเปนเรื่องไม่น่าเชื่อหรือไม่จริงอยู่โดยมากก็จริงอยู่
แต่ เป็นเรื่องแอบจริงปรากฎในพงษาวดารสุยถัง แลทั้งคำภีร์พระปริยัติธรรมแลวัดวาอารามที่สำคัญก็ยังปรากฎอยู่ในเมืองจีนจนทุกวันนี้ แต่เรื่องรามเกียรติไม่เกี่ยวแก่พุทธสาศนา ก็ยังมีผู้นิยมยินดีชอบอ่านด้วยกันมากมิใช่หรือ ก็เปนเรื่องไม่จริงนักเหมือนกัน แต่รามเกียรติเปนพระราชนิพนธ์ฝีพระโอฐของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลยทรงพระราชนิพนธ์ไว้สำหรับการมโหรศพ สมโภชในราชพิทธีตามไสมยกาลเปนที่เฉลิมพระเกียรติยศสำหรับบ้านเมืองในการสมโภชแลการฉลองรื่นเริงต่างๆ แต่ไซอิ๋วเปนเรื่องตรงๆ ดื้อๆ ไปตามสำนวนนักปราชญ์เดิมที่แต่งไว้ แม้ถึงดังนั้นก็ยังคงเปนเรื่องที่น่าจะอ่านจะฟังอยู่นั้นและ เพราะเหตุที่มีคำกลางซึ่งเปนสุภาสิตกล่าวอยู่บ่อยๆ ผู้เข้าใจเลือกหาประโยชน์อ่านจะไม่เปล่าจากประโยชน์ในการอ่านแลฟังเลย
คำนำ (เล่ม ๔)
      ในไซอิ๋วเล่ม ๔ นี้ ผู้แต่งก็ไม่ทราบว่าจะยังมีเนื้อความอยู่
มากน้อยเท่าใด จึงกระทำให้เปนเล่มเล็กไปดังนี้ เพราะเข้าใจว่ายังจะมีเนื้อความอยู่มาก จึงได้กะประมาณว่า เล่มหนึ่งเปน ๖๐ ยก ก็พอรูปสมุดเหมาะดี ครั้นผู้แปลส่งร่างแปลมาให้น้อยนักก็หมดเรื่อง จะผ่อนให้เล่มโตเสมอกันทั้ง ๔ เล่มก็ไม่ได้เสียแล้ว จึงจะเปนต้องทำเล่ม ๔ เล็กเท่านี้
      แต่จะอย่างไรก็ดี ควรท่านที่ซื้อเล่ม ๑-๒-๓ ไปอ่านแล้ว
ควรต้องซื้อเล่ม ๔ ไปอ่านต่อไปอีก เพื่อได้ทราบความตลอดจนจบสิ้นเรื่อง โดยเหตุว่าเมื่อขาไปไซทีดูลำบากยากเย็นเหลือเกิน ครั้นเวลาขากลับดูเปนการรวดเร็วโดยกำลังอานิสงค์ของพระธรรม ซึ่งเปนของจริงชอบแท้ แต่กระนั้นก็ยังแสดงให้เห็นว่าผลกรรมอันชั่วร้ายย่อมติดตามบันดานให้ผลปรากฎเช่นเมื่อขากลับเหาะมาบนอากาศ ก็ยังให้ตกลงมารับความยากต้องข้ามน้ำโดยการอาไศรยเต่าใหญ่ ครั้นเต่าถามถึงธุระของเต่าที่สั่งพระถังซัมจั๋งไปว่าให้ถามพระพุทธเจ้าดูสักเมื่อไรเต่าจึงจะพ้นทุกข์สิ้นเวรกรรมได้ พระถังซัมจั๋งเอาไปลืมเสียมิได้ทูลถามพระพุทธเจ้า เมื่อเต่าถามก็ไม่มีอะไรจะตอบนิ่งอั้นอยู่ เต่าโกรธจึงได้จมน้ำลงไปเสีย จนพระคัมภีร์เปียกแทบจะเสียการที่ทำมาเปนอันมากแล้ว แลมามีเหตุขึ้นดังนั้น ก็เพื่อจะแสดงโทษให้เห็นว่ายังไม่สิ้นโทษของพระถังซัมจั๋งก่อนต้องเปนเก้าๆ แป็ดสิบเบ็ดครั้ง จึงจะหมดโทษที่ทำผิดไว้
      ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านผู้แต่งเดิมก็มีความเชื่อผลเชื่อกรรม
มั่นคง เหมือนกัน แต่ขออย่าให้ท่านในทุกวันนี้ เห็นวิประหลาดผิดแผกไปแก่คนโบราณเลย เนื้อเรื่องก็เพียงฟังเล่นเท่านั้น แต่ใจความแลข้อสำคัญควรจะไส่ใจให้มาก เพราะความจริงใครทำบาปทำกรรมทำชั่วลงไว้แล้ว จำจะต้องรับผลของบุญแลบาปเช่นแก่พระถังซัมจั๋งตั้งแต่ลงสู่ครรภ์มาก็ได้รับความยากตลอดมา เพราะเปนอะคาระวะตาประมาทธรรมนิดหนึ่งเท่านั้น ยังเปนได้มากมายถึงเพียงนี้ จึงไม่ควรเราท่านทั้งหลายอย่ามีความประมาทเลย
คำว่า (ฮุดโจ๊ไลย) แปล (ฮุด) ว่าพุทโธ (โจ๊) ว่าเจ้า (ยู่ไลย) ว่ามาชอบ อธิบายว่า พระองค์มาชอบทุกชาติทุกภพ ได้แก่สร้างพระบารมีสามสิบประการมา คือพระบารมี ๑๐ พระอุปะปาระมี ๑๐ พระปะระมัดถะปาระมี ๑๐ จนถึงปัจฉิมะภะวิก ตั้งจิตรในสติปัฏฐาน ๔ เจริญโพชฌงค์ ๗ ภาวนาให้มรรคเกิดขึ้น ถึงความตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยเหตุนี้นักปราชญ์จีนจึงได้ออกพระนามว่า (ฮุดโจ๊ไลย) แปลว่าผู้มาชอบด้วยประการฉะนี้ แต่พระองค์ออกพระนามของพระองค์เองนั้น
พระถังซัมจั๋ง คือพระโพธิสัตว์ แปลว่าเป็นผู้อยู่ในที่จะได้ตรัสรู้ เดิมคือกิมเสี้ยนโพธิสัตว์ เวลาสดับธรรม ถีนะมิทธะครอบงำง่วงเหงา พระเห็นดังนั้นจึงให้จุติลงมาสร้างบารมีในประเทศจีนเป็นบุตรตั๊นกองหยีจอหงวน มารดาชื่อนางอุนเกี๋ยว เอาลอยน้ำไปแต่เล็ก ท่านเจ้าวัดกิมซัวยี่เก็บมาเลี้ยงไว้จนเติบใหญ่พระพุทธศาสนาช่ำชองกว่าพระสงฆ์ทั้งปวง พระอาจารย์ให้อุปสมบท จึงมิได้ตกไปเป็นมิจฉาทิซิ ครั้นไปอาราธนาพระไตรปิฎกกลับมาแล้ว จึงได้กลับขึ้นไปเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ตามเดิม
พระโพธิสัตว์กวนอิม มีบุญญาบารมีมาก ควรตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ แต่ยังไม่พอแก่ความอธิฐานเดิม ท่านจึงได้เที่ยวไปทุก ๆ อาณาเขต เห็นควรจะช่วยก็โปรดให้เห็นหนทางมรรคและผล แปลงมาเป็นกิริยาภาคต่าง ๆ ชักนำให้สัตว์พีนทุกข์ แม้ในทุกวันนี้ใครจิตบริสุทธิ์หรือเศร้าหมองต้องทุกข์ภัยอันใด ยกมือขึ้นนมัสการระลึกถึงพระนามของท่านว่า (นะโมกวนอิมโพธิสัตว์) ขอจงมาช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด สามคำหรือเจ็ดคำหรือมากๆ ท่านก็มาช่วยให้เห็นปรากฎได้ เพราะท่านมีบุญญาภิสังขารมากมาย
พระโอเซ้า ท่านสำเร็จมรรคผลเปนพระอระหันต์ อาไศรยอยู่บนภูเขา ภูท่อซัว ทำสำนักนิ์บนต้นไม้ใหญ่ สัตว์เดระฉานทั้งหลายย่อมหาผลไม้มาถวายอยู่เสมอเนืองนิตย์มิได้ขาด เมื่อพระถังซัมจั๋งไปอารธนาพระไตรยปิฎกถึงที่เขาตำบลนี้ พระโอเซ้าจึงให้คาถาธรรมซิมเกงแก่พระถังซัมจั๋งไปเพื่อกันตัว ตั้งแต่นมาพระถังซัมจั๋งจึงค่อยคลายวิตกหวั่นหวาด เพราะได้พระคาถาวิเศษภาวนาอยู่เสมอ ๆ
พระอิศวร คือเง็กเซียงฮ่องเต้ ผู้เปนใหญ่ในดาวดึงษ์พิภพเพราะท่านมีกุศลกรรมแลอิทธิฤทธิ์บุญญาธิการมาก แก่กล้า จึงได้มาเปนเจ้าแห่งเทพยดาทั้งปวง เสวยซึ่งทิพย์กามารมย์ เช่นคำที่พระตรัสแก่เห้งเจียว่า ตำแหน่งที่พระอิศวร นี้ใช่จะได้าย ๆ ต่อมีความบริสุทธิ์ในทานแลศีลมากถึงพันห้าร้อยห้าสิบกัลป์ ๆ หนึ่ง เปนหมื่นเก้าพันหกร้อยปี จึงจะ ได้มารับบรมศุขเปนเจ้าอยู่ในชั้นดาวดึงษ์ เห้งเจียเปนเดระฉานชาติต่ำช้า จะชิงที่เง็กเซียงฮ่องเต้ได้หรือ
นางท้าวเทวะราช คืออ๋องโป๊เนี่ยเนี้ย ท่านประกอบด้วยทานศีลอันบริสุทธิ์ แลได้รักษากุศลกรรมบท ๑๐ บริสุทธิ์ จึงได้มาเปนนางฟ้าที่หนึ่งรับซึ่งความศุขอยู่ในชั้นดาวดึงษ์ มีนางเทพธิดาเปนบริวานห้อมล้อม ก็โดยกุศลสุจริต ที่ได้สะสมมาแต่ในชาติก่อน จึงได้มาเปนเทพอัปษรสาวสวรรค์องโป๊เนี่ยเนี้ย ใหญ่งกว่าอัปษรกัลญาทั้งปวงในชั้นดาว ดึงษ์พิภพ
    ท้ายเสียงเล่ากุน ท่านอยู่ในวิมานดุสิตสำนักลีนเทียน ท่านได้สำเร็จในการประกอบยาทิพย์ มีฤทธาอานุภาพใหญ่ กว้าง เทพยดาทั้งหลายต้องมาเคารพทั้งสิ้น คือเปนเซียนใหญ่อยู่ในชั้นดุสิต รักษาอารมณ์ทางพรหมวิหาร คือฌานสมาบัติ
เห้งเจีย เดิมอยู่เขาฮวยก๊วยซัว แขวงเมืองเง่าล่ายก๊ก กำเนิดเกิดออกจากฟองศิลา ๆ นั้นถึงกำหนดก็ลั่นแตก ออกมาเปนลิงเผือก ครั้นออกมาได้อายอากาศเข้าก็เปนกายสิทธิ์ ครั้นไปเที่ยวศึกษาหาอาจาริย์เรียนวิชา ไปพบสุโพธิ์ สอนธรรมอันวิเศษให้ ก็งมีฤทธิ์เดชเชี่ยวชาญมากขึ้น ขึ้นไปกระทำการร้ายในวิมานดาวดึงษ์ พระพุทธเจ้าบันดานเขาห้า ยอดครอบไว้ ภายหลังพระถังซัมจั๋งแก้ออก จึงได้อาศาตามเปนศิษย์ไปไซที อาราธนาพระไตรยปิฎก กลับมาถึงเมืองใต้ถัง แล้วก็ได้สำเร็จมรรคผล
โป๊ยก่าย เกิดเปนเทพบุตรอยู่นดาวดึงส์ เปนขุนนางนายทหารของเง็กเซียงฮ่องเต้ เปนผู้บังคับการทหารเรือ ในแม่น้ำทงทีฮ้อ เง็กเซียงฮ่องเต้ให้เปนแม่ทัพเรียกว่า ที่องง่วนโซ่ย มาเวลาหนึ่งนางอ๋องโป๊เนี่ยเนี้ยเลี้ยงโต๊ะก็ไปประชุม ด้วย เสพสุราเมาเข้าไปแล้วก็ไปหยอกนางฟ้าที่ประตูพระราชวังของเง็กเซียงฮ่องเต้ เทพบุตรที่รักษาประตู นำความมา กราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ เง็กเซียงฮ่องเต้โปรดให้ชำระได้ความจริง ทรงติว่าอุลามก จึงสาปลงมาเมืองมนุษย์ โป๊ยก่าย จุติจากเทวะโลก ปฏิสนธิในท้องแม่สุกรอาไศรยอยู่เขาฮุ้นจั่นซัว ภายหลังตามพระถังซัมจั๋งไปไซทีอาราธนา พระธรรม กลับมาถึงเมืองใต้ถังแล้วได้สำเร็จมรรคผล
ซัวเจ๋ง เดิมอยู่บนสวรรค์ เปนเทพบุตร เปนขุนนางข้างที่ของเง็กเซียงฮ่องเต้ สำหรับพระองค์เสด็จราชรถพนัก งานคอยแหวกพระวิสูตร มาเวลาหนึ่งเง็กเซียงฮ่องเต้ประชุมอินทร์พรหมแลเทพบุตรเลี้ยงเครื่องทิพย์ เวลานั้นซัวเจ๋ง เปิดพระวิสูตรหาทันพิจารณาไม่ ชายพระวิสูตรสะบัดไปถูกคุนโทน้ำแก้วมณีเศษตกแตก เง็กเซียงฮ่องเต้กริ้วทรงปรับ โทษสาปให้ลงมาเกิดเปนเงือกอยู่ในลำแม่ลิ้วซัวฮ้อ ต่อภายหลังได้ตามพระถังซัมจั๋งไปไซทีอาราธนาพระธรรม กลับ มาถึงเมืองใต้ถังได้สำเร็จมรรคผล
๑ น่าต้น ไซอิ๋ว เล่ม ๑
​เดิมจะมีเรื่องไซอิ๋วนี้ ตั้งแต่ครั้งพงษาวดารเรื่องซุยถัง มีความว่า พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ คือพระนามเดิมชื่อหลีซิบิ๋น ได้เป็นกระษัตริย์สืบวงศ์ถัง เสวยราชสมบัติในเมืองถังเป็นสุขแล้ว
 ครั้นอยู่มาในราตรีวันหนึ่ง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ พระองค์เสด็จเข้าที่พระบรรทมหลับสนิท ทรงพระสุบินนิมิตรฝันไปว่า มีพระยานาคราชตนหนึ่ง มาอ้อนวอนขอให้พระ องค์ช่วยชีวิตไว้ โดยเหตุว่า พระยานาคนั้น เป็นพนักงานให้น้ำฝน พระยานาคได้กระทำให้ฝนตกลงมาในมนุษย์ โลกมากเกินกว่ากำหนดไป เง็กเซียนฮ่องเต้คือ พระอิศวร ทรงพระพิโรธกริ้วพระยานาค มีรับสั่งให้งุยเต็งซึ่งเป็น ขุนนางของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เป็นเพชรฆาตผู้ฆ่าพระยานาคซึ่งเป็นผู้มีความผิด พระยานาครู้ว่างุยเต็งเป็นขุนนาง ในพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จึงได้มาเข้าฝันขอให้พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ช่วยว่ากล่าวงุยเต็งขอชีวิตรไว้
   ครั้นพระองค์ทรงฟื้นจากที่พระบรรทมแล้ว จึงรับสั่งให้หางุยเต็งเข้ามาเฝ้า ทรงชวนงุยเต็งเล่นหมากรุก โดยมีพระราช ประสงค์จะมิให้งุยเต็งไปฆ่าพระยานาคได้ตามกำหนด ​ครั้นงุยเต็งเล่นหมากรุกอยู่ด้วยพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มากหลายกระดานเข้า หาวนอนก็เคลิ้มสติหลับไปหน่อย หนึ่งจึงร้องขึ้นว่า (ซัว) แปลเป็นภาษาไทยว่า (ฆ่า) แล้วก็ได้สติสะดุ้งตื่นเลยเล่นหมากรุกแก่พระเจ้าถังไทจงฮ่อง เต้ต่อไป
   ส่วนพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เมื่อพระองค์ได้ทรงฟังงุยเต็งร้องขึ้นว่า (ซัว) แล้วก็เล่นหมากรุกต่อไปฉะนั้น จึงรับสั่งถามงุยเต็งว่าเมื่อตะกี้ท่านว่ากระไร งุยเต็งจึงกราบทูลว่า มีรับสั่งเง็กเซียนฮ่องเต้ ให้ข้าพระพุทธเจ้าประหารชีวิต เล่งอ๋องคือพระยานาค ซึ่งมีความผิดได้ให้น้ำฝนเกินกว่ากำหนดที่เง็กเซียนฮ่องเต้กำหนดไป พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ทรงทราบดังนั้น ก็ทรงเสียพระทัยที่มิได้ทรงทราบว่า งุยเต็งจะไปประหารชีวิตรพระยานาคได้ด้วยวิญญาณ ทรงเข้า พระไทยว่างุยเต็งจะไปฆ่า พระยานาคพร้อมด้วยร่างกายแลวิญญาณ จึงได้ทรงชวนงุยเต็งให้มาเล่นหมากรุก อยู่เสียกับพระองค์ งุยเต็งผู้นี้
   ถ้าเวลากลางวันก็รับราชการอยู่ในเมืองมนุษย์ ครั้นเวลาราตรีกลางคืนก็ไปรับราช การฆ่าสัตว์อยู่ในเมืองนะรก ตามน่าที่ของตนที่เป็นเพชรฆาตในเมืองนรก ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าถังไทจงฮ่อง เต้พระองค์ประชวรพระโรคลมสลบแน่นิ่งไปช้านาน ครั้นเจ้าพนักงานแพทย์พยาบาลพระองค์ทรงฟื้นคืนมีพระ สติขึ้นได้แล้ว ก็ทรงพระราชดำริแต่ในการพระราช​กุศล อันเปนเหตุที่จะให้เปนอุปนิไสยปัจจัยแก่พระองค์ไปใน ปรโลกเบื้องน่าต่อไป จึงมีรับสั่งให้ราชบุรุษไปอาราทนาพระทังซำจังเข้ามาเฝ้าในพระราชวัง
 ทรงพระปรารภรับสั่ง แก่พระทังซำจัง เพื่อให้ไปเรียนพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปฝ่ายทิศตะวันตก ซึ่งเป็นประเทศต่อเมืองแก่มัชฌิมะ ประเทศ อันเปนประเทศที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิด คือประเทศฮินดูในทุกวันนี้ อันคนโบราณทั้งหลายเรียกว่า ชมภูทวีปมาแต่ก่อน จึงพระทังซำจังได้รับอาสาไปเรียนพระพุทธสาศนา ในชมภูทวีป คือทิศตวันตกที่เกาะลังกาสิงหฬใน กาละทุกวันนี้ แลไปได้ศิษย์วิเศษผู้หนึ่งชื่อ (เกาซือเทียน) คือ (หงอคง) ภาษาไทยว่าหณุมารจีน ต่อไปนี้จะได้กล่าวตามเรื่องประวัติของเกาซือเทียนคือหงอคง ซึ่งเปนลิงเผือก ท่านผู้อ่านผู้ฟังจะได้ ทราบเรื่องเบื้องต้นอันเปนประวัติของหงอคงหณุมารจีน ดังจะได้กล่าวต่อไปนี้โดยพิสดาร
• • • • • • • • • ​ประวัติของหงอคง
เดิมฟ้าแลดินชลในอากาศวิถีมีดาวเดือนตะวัน พระจันทรพระอาทิตย์แลมีธาตุเครื่องคุมต่าง ๆ คือดินน้ำลมไฟและ ภูเขากรวดทรายศิลาแม่น้ำลำธารห้วยหนองต้นไม้ ใบหญ้าลัดาวัลและมีจักรวาลแลทวีปน้อยใหญ่ คือ ทวีปบูรพาทาง ทิศตวันออก แลทวีปปราจิณทิศตะวันตก แลทวีปอุดรทิศเหนือ และทวีปทักษิณทิศใต้ แต่ในเรื่องไซอิ๋วนี้ ได้กล่าว แต่ฝ่ายทิศบูรพาข้างตะวันออกก่อนว่า ริมฝั่งชายทะเลตวันออกมีเมือง อยู่เมืองหนึ่งชื่อว่า เมือง (เง่าล่ายก๊ก) ในทะเลมีเกาะมีภูเขาสูงชื่อว่า (ฮวยก๊วยซัว) ภูเขานี้เป็นต้นเหตุของนา
 ๆ ทวีป และเป็นที่ อาศัย ของพระยานาคราชทั้งหลาย บนยอดเขามีก้อนศิลาเรียกว่า (เจียเซียน) แปลเป็นภาษาไทยว่า ศิลาเทวดา สูงประมาณสามวาสองศอกห้าองคุลี วัดอ้อมรอบโตประมาณสามวา ที่บนยอดศิลามีช่องเล็ก ๆ อยู่เก้าช่อง ได้รับเอา แสงพระอาทิตย์พระจันทรแลอากาศธาตุฤดูต่าง ๆ ก็เกิดเปนกายสิทธิ์ปรากฎขึ้นเป็นวานรคือลิงหิน มีมือแลเท้าศรีษะอัน บริบูรณ์ ก็สำแดงกิริยาไหวกระดิก นั่งยืนเดินกระโดดโลดโผนได้ต่าง ๆ มีนัยตาเป็นแสงสว่างช่วงดังดวงพระทิณกร ส่อง แสงนัยตาขึ้นไปถึงดาวดึงส์พิภพเทวโลก ได้กระทำให้เทพยดาทั้งหลายมีความพิศวงตื่นตกใจ อาศัยเหตุที่กล่าวมา นี้ จึงเง็กเซียงฮ่องเต้คือ
พระสยมภูวญาณ ได้แก่พระอิศวร มีรับสั่งให้เชยหลีงั้นเทพบุตร และซุ่นฮองฮี้เทพบุตรสององค์นี้ ลงไปตรวจดูที่เขาฮวยก๊วยซัวนั้นว่า จะมีเหตุประการใดเทพยเจ้าทั้งสองพระองค์จึงได้เหาะลงมา ยังเขาฮวยก๊วยซัวเที่ยวตรวจดูทั่วทุกสถานแล้ว ก็เหาะกลับนำประพฤติเหตุอันนั้น กราบทูลเง็กเซียน ฮ่องเต้ว่า ที่มีแสงสว่างดังสีทองคำนั้น คืออยู่ข้างทิศบูรพาฝ่ายตวันออกเมืองเง่าล่ายก๊ก ที่ภูเขา ฮวยก๊วยซัวมีก้อนศิลาเกิดเป็นฟองคือ (ไข่) ถูกแสงพระอาทิตย์และอากาศธาตุฤดูต่าง ๆ เข้า อบรม ก็บันดาลให้เกิดเป็นลิงเผือกหินขึ้น พึ่งจะมีกิริยาหัดนั่งยืนเดินและกระโดดโลดเต้น มี จักษุแดงดังแสงพระอาทิตย์เมื่ออุทัย เพราะฉะนั้นจึงมีแสงสว่างส่องขึ้น
มายังดาวดึงส์พิภพนี้ ขอพระองค์ได้ทรงทราบ เง็กเซียงฮ่องเต้เมื่อได้ทรงสดับเหตุ ตามที่เทพยดาทั้งสองมากราบทูลดังนั้น จึงมีเทวบัญชาตรัสแก่เทพยดาทั้งหลายว่า ธรรมดาในใต้หล้าย่อมบังเกิดสัตว์ที่เป็นกายสิทธิ์ฤทธิ์เดชขึ้นได้ดังนี้ ก็เพราะอาศัยความร้อนแลความเย็นอบรมกัน จึงบังเกิดธาตุต่าง ๆ เพราะลมอากาศได้กระทำให้เป็นขึ้นเป็นเหตุเดิม ย่อมเป็นวิไสยแห่งโลกย์คือหมู่สัตว์แลสังขาร สำหรับฟ้าและดินอยู่อย่างนั้น ไม่เป็นความปลาดอัศจรรย์
อะไรนัก เง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสเท่านั้นแล้วก็เสด็จเข้าทิพย์สถานแห่งพระองค์ ครั้นต่อมาลิงหินเผือกตัวนั้น มีอาการกิริยานั่งยืนเดินโลดเต้นและเที่ยวหาอาหารผลไม้กินได้ และมี กำลังพลังเรี่ยวแรงเป็นอันมาก ผิดกว่าปรกติธรรมดาลิงทั้งหลาย จึงฝูงสัตว์ทั้งหลายก็มามั่วสุมประชุมกันอยู่ด้วยพระยา วานรเผือก คล้ายๆ แก่พวกพลบริวาร พระยาลิงย่อมมีความศุขสำราญตามวิสัยธรรมดาของสัตว์ในถ้ำภูผาแลเนิน เขาใหญ่ มีความสุขสบายมาช้านาน
 อยู่มาวันหนึ่งเปนฤดูคิมหันต์อากาศร้อนวิปริตมาก พวกวานรแลฝูงค่างชะนีทั้งหลาย พากันมาอาศัย อยู่ที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ทั้งพระยาลิงเผือกก็มาสะโมสรประชุมพร้อมกันในที่นั้น จึงพวกวานรทั้งหลายก็ พากันลงเล่นน้ำในลำธาร จึงได้เห็นกระแสน้ำนั้นไหลเชี่ยว ฝูงลิงและค่างทั้งหลายจึงได้พูดกันว่า ควรพวกเราจะไปดูให้ถึงต้นทางที่น้ำไหลมานี้ว่า น้ำนี้ได้ไหลออกมาจากสถานที่อันใด จึงพวก วานรทั้งหลายกับพระยาลิงเผือกได้เดินเลียบลำธาร มาจนถึงที่
ต้นแห่งกระแสน้ำนั้น จึงได้รู้ว่าน้ำนั้น ได้ไหลออกมาจากภูผา ลิงทั้งหลายจึงได้พูดว่าน้ำนี้ใสสอาดบริสุทธิ์นัก แต่ผู้ใดจะสามารถดำเข้าไป ดูให้รู้แน่ว่าในถ้ำนั้นเป็นประการใด ที่น้ำไหลออกมานั้นจะมีสิ่งอันใดอยู่ภายใน เมื่อใครสามารถ เข้าไปตรวจดูให้รู้เหตุผลได้แน่นอนแล้ว พวกเราจะยกผู้นั้นให้เปนใหญ่ คือเปนเจ้านายแห่งพวกเรา ทั้งหลาย ​เมื่อพระยาวานรเผือกได้ฟังพวกลิงทั้งหลายพูดดังนั้น ก็กระโดดลงไปยืนอยู่ตรงน่าวานรทั้งหลายแล้วร้องประกาศ
ว่า เราเองเป็นผู้สามารถจะดำน้ำเข้าไปตรวจดูให้รู้เหตุการณ์ในนั้น ครั้นว่าดังนั้นแล้ว พระยาวานรก็ดำน้ำเข้าไปในถ้ำนั้น ผุดขึ้นข้างในช่องศิลา เห็นสะพานเหล็กตั้งคร่อมทางน้ำไหลอยู่ ในใต้สะพานมีช่องน้ำไหลซอนไปในช่องศิลา เมื่อเห็นดังนั้นแล้วก็ถอยออกมายืนดูอยู่ข้างบน เห็นที่ริมสองข้างสะพานมีช่องเป็นชั้นเป็นลำดับดุจ ดังว่าบ้านเรือนที่มีคนอยู่อาศัย พระยาลิงเผือกจึงขึ้นบนสะพานเหล็ก จึงได้แลเห็นป้ายศิลาจารึกอักษร ๑๐ ตัว หรือคำ ว่า “ฮวย ก๊วย
 ซัว ยก ตี้ จุ๊ย เลียม ต๋อง ๆ” แปลเปนภาษาไทยได้ความว่า ภูเขามาลาผลชัยภูมิถ้ำน้ำคั่นปราสาท ถ้ำฟ้า เมื่อพระยาลิงเผือกได้เห็นดังนั้นแล้ว ก็มีความยินดีเปนอันมาก กลับโผลงในน้ำดำผุดออกมาจากช่องผา ขึ้นมา ตบมือร้องด้วยเสียงอันดังว่า ในช่องภูผานั้นเป็นที่ประหลาดงดงามอย่างยิ่งที่สุด ราวกับเทพยดามานิรมิตและสร้างไว้ พวกวานรทั้งหลายจึงถามว่า ในถ้ำนั้นเป็นประการใด ขอท่านได้ชี้แจงให้พวกข้าพเจ้าทราบด้วยบ้าง พระยาลิงเผือก
จึงเล่าว่า เราได้เข้าไปในถ้ำเห็นมีสะพานเหล็กริมข้างสะพานดูดุจเทพยดานิรมิตไว้ เห็นงดงามแก่ตาหาที่เปรียบมิได้ ​พวกลิงทั้งหลายพากันถามว่า ท่านเข้าไปอย่างไร ขอให้ช่วยแนะนำในท่าทางที่จะเข้าไป จึงพระยาวานรได้ตอบว่า กระแสน้ำที่ไหลออกมานี้ ได้ไหลออกมาจากใต้สะพานเหล็กใหญ่ ที่ริมสองข้างทางสะพานนั้น มีสิ่งของประหลาด ต่าง ๆ คือต้นไม้ที่มีผลและดอกดกไสว และมีห้องศิลาเป็นลำดับเรียบร้อยเรียงรายกันไป ในห้องทั้งหลาย
เหล่านั้น มีเครื่องภาชนะใช้สอยต่าง ๆ สำหรับห้อง ควรที่พวกเราทั้งหลายจะเข้าไปอาศัยอยู่ในสถานถ้ำอันนี้ จะมีความสุข สำราญปราศจากภัยอันตรายต่างๆ และพ้นจากอากาศอันร้อนได้ ฝ่ายพวกวานรทั้งหลาย เมื่อได้ฟังพระยาลิงเผือกบอกเล่าชี้แจงดังนั้น ก็มีความยินดี จึงพูดแก่พระ ยาลิงเผือกว่า พวกข้าพเจ้าทั้งหลายมีความยินดีในถ้อยคำของท่าน ขอท่านได้นำพวกข้าพเจ้าเข้าไปอยู่เถิด เมื่อพระยาวานรได้ฟังลิงทั้งหลายกล่าวคำวิงวอนดังนั้น
 ก็หลับตากระโดดลงในน้ำดำเข้าไปผุดขึ้น ข้างในถ้ำ พวกลิงทั้งหลายก็กระทำตามโดดลงในน้ำดำเข้าไปในถ้ำทุกตัว ครั้นผุดขึ้นข้างในก็ได้เห็นสิ่งของในถ้ำมีอยู่เป็นอันมาก ก็พากันแย่งชิงกันไปมาตามวิสัยแห่งสัตว์เดรัจ ฉาน แต่พระยาวานรมิได้ประพฤติเช่นแก่ฝูงลิงทั้งหลาย จึงขึ้นบนแท่นศิลาแล้วร้องประกาศว่า ท่านทั้งหลายได้พูดสัญญา ไว้ว่า ถ้าใครดำน้ำเข้ามาได้ในถ้ำแลรู้เหตุการณ์​แล้ว ควรออกไปบอกเล่าให้พวกท่านทั้งหลายรู้เหตุการณ์
ได้ไม่ อันตราย ท่านทั้งหลายจะยอมอยู่ในอำนาจ ยกให้เราเป็นเจ้านายแห่งท่าน บัดนี้เราก็ได้ทำการตลอดมาแล้วตามท่านพูด สัญญา แลยังได้พาพวกท่านเข้ามาเห็นในถ้ำ อันเป็นสถานที่ประเสริฐเป็นบรมสุขสำราญนิราศภัยแล้วฉะนี้ ท่านทั้งหลาย จะว่าประการใดต่อไปเราจะขอฟังฝ่ายพวกวานรทั้งหลายก็พร้อมกันยกมือขึ้นประนมเหนือเศียรเกล้า แล้วก็กล่าวถ้อย คำปฏิญาณตนว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายขอยกท่านให้เป็น (เชยส่วยใต้อ๋อง) แปลว่าพระยา
ผู้เป็นใหญ่พันปี ตั้งแต่นั้นมาพระยาเชยส่วยใต้อ๋องก็เปลี่ยนนามเดิมให้บริวารทั้งหลายเรียกชื่อใหม่ว่า (มุ้ยเกาอ๋อง) แปลภาษาไทยว่าพระยาวานรโสภา อาศัยเหตุนี้ ในตอนนี้ จึงมีคำโคลงแปดบทเทียบเปนพยาน คำที่หนึ่งมีว่า ซัม เอี๋ยมเกาตัย ซั้นดุนเซง แปลว่า อากาศเกื้อกูลกระทำให้เกิดสัตว์ต่าง ๆ คำสองมีว่า เซียมเจียะเปา ฮ้ามยักง้วยเจ๋ง แปลว่า ศิลาเทวดาครอบคลุมรับแสงพระ
อาทิตย์พระจันทร์ จึงกระทำให้พระยาลิงเผือกขาวบริสุทธิ์มีกำลังมาก คำที่ สามมีว่าเจียวหมึงห่วยเก๊าส่วนใต้เต๋า แปลว่าอาไศรยไข่เปนรูปเกิดลิงหินเป็นต้นเหตุแห่งมรรคผล คำที่สี่มีว่า เก๊ทามี แส่พ่วยตันเซ้ง แปลว่าสมมุติชื่อแซ่นั้นเพื่อสำเร็จแล้ว คำที่ห้ามีว่า หลายกวยปุดเซ็ก ยินโป้เสียง แปลว่าพิจารณา ข้างในไม่รู้ เพราะไม่มีรูปและลักษณะ คำที่หกมีว่า ​งั่วฮะเมงจายจวกฮู่เฮ้ง แปลว่าประกอบภายนอกรู้แจ้งทำเป็นรูป คำที่เจ็ดมีว่า เละต๋ายนั่งนั้งกายเซอกือ
 แปลว่าต่อมาทุก ๆ คนต้องอาศัยลิงตัวนี้ คำที่แปดมีว่า แชอวงแชเซี้ย ตั้วตุ๊งฮ้วน แปลว่าเป็นเจ้าพระยาอยู่ที่นั้น สิ้นคำโคลงเทียบแปดบทเท่านี้ ตั้งแต่พระยามุ้ยเกาอ๋อง ควบคุมลิงบริวารทั้งหลายอยู่ในถ้ำนั้น ก็ได้จัดสรรกันขึ้นเป็นมูลนาย ให้ บังคับบัญชากันเป็นผู้ใหญ่ผู้น้อยดุจในตำแหน่งแห่งราชการบ้านเมืองฝ่ายมนุษย์ ที่ปกครองบ้านเมืองอยู่เหนือราษฎร ที่เป็นไพร่พลเมืองฉะนั้น ครั้นเวลาเช้าก็พากันไปบนเขา เที่ยวแสวงหาผลไม้เป็นอาหาร เวลาค่ำก็
กลับมาอยู่ในคูหา ซึ่งภาษาจีนเรียกว่า (จุ๊ยเลียมต๋อง) มิได้ปะปนด้วยสัตว์ทั้งหลายอย่างอื่น เป็นสุขสำราญอยู่ด้วยฝูงลิงค่างบริวาร ทั้งหลายในพวกของตน พระยามุ้ยเกาอ๋องเป็นสุขสบายมาได้ประมาณสองร้อยปีเศษ อยู่มาวันหนึ่ง พระยามุ้ยเกาอ๋องคำนึงคิดถึงเบื้องหน้าอนาคตกาลต่อไป ให้เกิดความวิตกมากขึ้น มีสีหน้าอันสลดเศร้าหมองไม่ผ่องใสเป็นปรกติเหมือนแต่ก่อนมา บรรดาลิงบริวารทั้งหลาย เมื่อได้เห็นเจ้านายของ ตนมีอาการวิปริตเศร้า
หมองดังนั้น จึงพร้อมกันถามว่า ใต้อ๋องทำไมจึงมีความเศร้าหมองดังนี้เล่า เป็นน่าประหลาดใจ นัก ขอท่านได้ชี้แจงให้พวกข้าพเจ้าทราบศุขแลทุกข์ด้วย ​พระยามุ้ยเกาอ๋องจึงตอบว่า พวกเรามาอยู่ในถ้ำนี้ก็มีความผาสุขสบายอยู่แล้วจริง แต่เราหาก วิตกถึงการข้างหน้าต่อไป โดยเหตุเรามีความเห็นว่า สรรพสิ่งทั้งปวงในโลก ย่อมปราศจากความยั่งยืน ไม่มีความ เที่ยงแท้ถาวร เพราะฉนั้นเราจึงมีความเศร้าหมองไม่มีความสบายใจด้วยเหตุนี้ พวกวานร
ทั้งหลายจึงถามว่า ใต้อ๋องแลข้าพเจ้าทั้งหลายซึ่งอาศัยอยู่ในสถานที่อันเป็นชัยภูมิที่ดี อย่างนี้แล้ว ดุจว่าเทพยดามานิรมิตให้ เปรียบประดุจว่าถ้ำแก้วคูหา อันเป็นลับแลในมหาทวีปใหญ่ ไม่มีศัตรูหมู่ใด จะมาข่มเหงย่ำยี หรือเดือดร้อนด้วยอากาศธาตุ ฤดูจะวิบัติด้วยประการใด ๆ ย่อมเป็นที่ถาวรวัฒนามาช้านาน มาแล้ว ท่านยังเห็นการต่อไปว่าจะเป็นประการใด พระยามุ้ยเกาอ๋องจึงตอบว่า ข้อที่ท่านทั้งหลายกล่าวนั้นก็เป็นความจริงอยู่แล้ว แต่เราพิจารณา
 เห็นด้วยปัญญาว่า อันเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างอื่นที่จะพึงมีมาถึงเรา ๆ ก็สามารถว่าจะหลีกเลี่ยงรักษาตัวเอาตัวรอดได้ ทุกประการ แต่ความแก่ชะราโดยอายุสังขารมีวัยอันเจริญมากเข้า ย่อมมีธรรมดาจะทรุดโทรมสิ้นกำลังลงทุกเวลา อีกประการหนึ่งธรรมดาสัตว์ที่มีลมหายใจเข้าออกและเสพอาหาร ย่อมมีความไข้เจ็บ อีกประการหนึ่งสัตว์ทั้งหลายที่มี ชีวิต ความเป็นย่อมมีความตาย แตกดับแห่งร่างกายและชีวิต อินทรีย์ทั่วกัน มิได้มีผู้ใดจะข้ามเว้นไปได้
โดย เหตุแห่งมัจจุราชมีอำนาจไม่มีผู้จะ​ต่อต้านได้ มิวันใดก็วันหนึ่ง (เงียมฬ่ออ๋อง) คือพระยามัจจุราชคงจะมีโอกาศ ให้เสนาของมัจจุราชมานำเอาชีวิตไปสักวันหนึ่ง เมื่อเป็นดังเราวิตกแล้ว ก็เหมือนเราเกิดมาเสียเปล่า ๆ มิได้คิดหา ช่องทางที่จะหลีกหนีความตายให้พ้นได้ เราจึงได้มีความวิตกอยู่ในใจเราฉะนี้ ท่านทั้งหลายจงทราบเถิด ฝ่ายพวกบริวารทั้งหลาย เมื่อได้ฟังพระยามุ้ยเกาอ๋องชี้แจงดังนั้น ก็พากันเห็นจริงเกิดความสังเวช สลด จิต คิดถึงความแก่
ความไข้ความตายเป็นอารมณ์ด้วยกันแทบทั่วทุกตัวลิง ในทันใดนั้น มีวานรตัวหนึ่งยืนขึ้นแล้ว ก็กล่าวตามความเห็นว่า ซึ่งใต้อ๋องมีความวิตกโดยได้ดำริ เห็นเหตุการ ตามความจริงของโลกนั้น ก็เป็นจริงอย่างที่ ใต้อ๋องกล่าว แต่ข้าพเจ้ายังมีความเห็นว่า หนทางที่จะหลีกหนีมัจจุราช คือ (เงียมฬ่ออ๋อง) นั้น ก็คงจะมีเป็นเที่ยงแท้ เปรียบว่ามีของร้อนแล้วคงมีของเย็นแก้ เมื่อมีธรรมอันให้เกิดมาแล้วคงมีธรรมอันไม่ตายเป็นคู่กัน แต่กุศลธรรมมีอยู่ สาม
ภูมิคือ กามาวะจะระกุศลภูมิหนึ่ง รูปาวะจะระกุศลภูมิหนึ่ง อรูปาวะจะระกุศลภูมิหนึ่ง ในสามภูมินี้ไม่พ้นพระยา มัจุราช แต่มรรคผลซึ่งเป็นพระโลกุตรกุศล เป็นปัญญาแจ้งพระนิพพานมีอยู่ พ้นจากมัจจุราชได้ คือพระรัตน ไตรย์แก้วสามประการ ที่ฝ่ายจีนเรียกว่า (ซำโปกง) คือพระพุทธเจ้าหนึ่ง พระธรรมเจ้าหนึ่ง พระสงฆ์เจ้าหนึ่ง ​เมื่อผู้ใดถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ สามวัตถุนี้เป็นสรณะแล้ว กระทำให้แจ้งด้วยอริยมรรคปัญญา ตาญาณ ก็พ้นจาก
ความเกิดแก่เจ็บตายได้ พระยามุ้ยเกาอ๋องจึงถามว่า อันจะศึกษากุศลธรรมสูงยิ่งกว่าสามภูมิที่ท่านว่านั้น จะไปศึกษากับ ผู้ใด ผู้ที่จะแนะนำเป็นครูอาจารย์นั้น จะอยู่ประเทศและสถานทิศใด วานรตัวนั้นจึงทูลพระยามุ้ยเกาอ๋องว่า อันจะ ศึกษาในกุศลธรรมส่วนพระโลกุตรนั้น ต้องไปในชมพูทวีปคือทิศตะวันตก ที่เรียกตามบาลีว่ามัชฌิมประเทศ อันเป็น ประเทศท่ามกลางที่มาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระปัจเจกะพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวกพุทธเจ้า และ
เป็นที่ต้นเดิม ของพระธรรม ที่ให้เกิดพระอรหันต์ อันมีนามปรากฎว่า (พระรัตนไตรย์) แก้วสามประการ ที่ฝ่ายจีนเรียกว่า (ซำโปกง) ฉะนั้น เมื่อพระยามุ้ยเกาอ๋องได้ฟังวานรบริวารชี้แจงให้ฟังดังนั้น ก็เกิดความปีติโสมนัสมีสีหน้าอันผ่อง ใส จึงแจ้งความแก่วานรบริวารทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงอยู่ปกป้องครองกันให้จงดี วันพรุ่งนี้เราจะลาท่านทั้งหลาย ไปเที่ยวสืบเสาะหาผู้วิเศษ ซึ่งเป็นผู้สำเร็จ สามารถจะให้เรารู้แลเรียนธรรมที่ไม่ตายได้ ถ้าเราได้พบปะแล้ว
ก็จะอุต สาหะเล่าเรียนศึกษาและปฏิบัติให้สำเร็จจงได้ เมื่อสำเร็จเสร็จสมดังความมุ่งหมายแล้ว จะได้หลีกหนีพ้นจากมัจจุราช ได้ จึงจะได้กลับมาอยู่ด้วยท่านทั้งหลายต่อไปในสถานที่นี้ ท่านทั้งหลายจงอยู่เป็นสุขทุกตนเถิด ​ฝ่ายพวกวานรบริวารทั้งหลายก็มีความยินดีชื่นชมโสมนัส ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าพระยามุ้ยเกาอ๋อง จึงให้ฝูงลิงบริวารทั้งหลายช่วยกันหักไม้มัดทำเป็นแพ พอทานตัวอยู่แล้ว ก็ค้ำให้แพเลื่อนออกพ้นห่างจากตลิ่ง แพไม้ ก็ลอยไปตาม
กระแสน้ำในมหาสมุทร ออกห่างมาถึงที่ลึกในทะเล ก็บังเกิดคลื่นลมระดมพัดส่งแพนั้นไปข้างทิศตวันตก เฉียงใต้ แล้วพัดส่งไปข้างทิศเหนือ อันเป็นเขตแห่งชมพูทวีป โดยอาศัยเหตุที่วาสนาของมุ้ยเกาอ๋องจะได้พบท่าน ผู้วิเศษ แลจะได้เรียนความรู้เป็นผู้สำเร็จ จึงบังเอิญให้เกิดลมฝ่ายตะวันออกพัดส่งแพไปตะวันตก อันเป็นฝั่งฝ่าย ชมพูทวีป เมื่อแพไม้เข้าถึงฝั่งแล้ว มุ้ยเกาอ๋องก็ขึ้นจากแพ จึงได้เห็นมนุษย์ทั้งหลายชายแลหญิงประกอบการบาป
 หยาบช้า กระทำการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตัวเป็นให้จำตาย มุ้ยเกาอ๋องเดินเข้าไปใกล้ก็ตรงเข้าจับโน่นจับนี่ ตามวิสัย ธรรมดาของวานร ฝ่ายมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อได้เห็นวานรเผือกผิดประหลาด ก็พากันวิ่งหนีทิ้งสิ่งของโดยความกลัว จึงพระยามุ้ยเกาอ๋องตรงโถมเข้าจับตัวไว้ได้คนหนึ่ง ก็เปลื้องถอดเอาเสื้อแลกางเกงของมนุษย์มาสวมใส่ตัวแล้ว ก็เดินตัดเข้าไปในเมืองเที่ยวเดินดูตามตลาดสังเกตกิริยาธรรมเนียมของมนุษย์ คอยจดจำสำเนียงและภาษาคำพูด ตั้งใจ
จะไปเรียนพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหายาอายุวัฒนกินเพื่อไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายให้จงได้ พระ ยามุ้ยเกาอ๋อง​เห็นว่า มนุษย์แลพสัตว์ทั้งหลาย ประกอบไปด้วย ราคะ โทสะ โมหะ โลภ โกรธ หลง หาได้คิด ถึงชีวิตและร่างกายของตนที่หาได้ด้วยยากไม่ ในเรื่องนี้มีคำโคลงสุภาษิต ของท่านผู้รู้กล่าวไว้แปดบท บทที่หนึ่งว่า แจ่เมี้ยตอกหลีกีซิฮิว แปลว่าชิงเสื้อแย่งผลไม้มีเวลาหยุด บทที่สองว่า จำกี้ตีมินปุ๊ตจืออือ แปลว่าเช้าตื่นค่ำนอนจิตไม่ปรกติ
 บทที่สามว่า เชี้ยเตยิกลือล้อซือจุ๊นเบ๊ แปลว่าตัวขี่ลา อูฐ และมามุ่งม้าแก้ว บทที่สี่ว่า กัวคือจั่ยเสียงบ๋งอ๋องเฮ้า แปลว่าเป็นขุนนางจตุสดมภ์ หมายมุ่งเจ้าชีวิต บทที่ห้าว่า จี๋เล่าอีชิดต่ามลาวเล็ก แปลว่าล้วนกังวลการกินนุ่งห่มมัวให้ลำบาก บทที่หกว่า หอเปกเงียมกุนจิ๋วซิ้วเกา แปลว่าไม่กลัวมัจุราชมาจับคลำ บทที่เจ็ดว่า กิ๋จิ๋วมิซุนยิ้มบู๋กุ่ย แปลว่า มั่วสุมมั่งมีให้บุตรหลาน บทที่แปดว่า กันโบ๊เจ๊กก๊ายชั่งห้วยเท้า แปลว่าไม่มีสักคนคิดกลับใจ ครั้นคิดดัง
นั้นแล้วมุ้ยเกาอ๋องก็เที่ยวหาศาสนา ก็ไม่มีผู้ใดจะเล่าบอกได้เหลือนิสัยที่จะพบเห็นได้ จึงคิดว่าตั้งแต่เราเที่ยว เสาะหาธรรมวิเศษ ก็นับได้แปดปีแล้วยังหาได้พบปะธรรมวิเศษไม่ ครั้นมาถึงฝั่งทะเลตะวันตกมุ้ยเกาอ๋องคิดว่ากลาง ทะเลคงจะมีผู้สำเร็จและเทพารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ จำเราจะทำแพเหมือนเมื่อแรกมา คิดดังนั้นแล้วก็หาไม้ทำแพเหมือน เมื่อแรกมา ลงในแพแล้วก็ค้ำแพให้ห่างจากตลิ่งลอยลิ่วไปในพระมหาสมุทรไปทางทิศตะวันตก ครั้นมาใกล้ฝั่ง
 เข้าก็นึกว่าเห็นจะเป็นเขตทวีป​ที่ผู้วิเศษอยู่เป็นแน่ คิดดังนั้นแล้วจึงค้ำแพให้เทียบเข้ากับตลิ่ง ขึ้นบนบกเดินเที่ยวสืบ เสาะมาหลายเวลา วันหนึ่งเดินเที่ยวมาเห็นภูเขาหนึ่งสูงตระหง่านงาม มีต้นพฤกษาลัดาวัลผลิดอกออกช่อดกไสว มุ้ยเกา อ๋องเห็นแล้วก็มีความยินดีเป็นอันมาก จึงเดินตรงขึ้นไปบนเขาพิจารณาดูรอบแล้ว ได้ยินสำเนียง มนุษย์พูดกันจึงรีบเดินเข้าไปใกล้ ค่อยเงี่ยหูฟังจึงรู้แน่ว่าเสียงคนร้องเพลง มุ้ยเกาอ๋องได้ยินถนัดแน่ ใจดังนั้นแล้วก็มีความยินดี
 จึงนึกว่าชะรอยจะเป็นผู้วิเศษสำเร็จอยู่ในที่นี้ หรือเทพยดาสิงสถิตย์อยู่ใน ที่นี้เป็นมั่นคง คิดแล้วก็รีบเดินเข้าไปในที่นั้น มองดูก็เห็นแต่คนตัดฟืนคนเดียวเงื้อขวานจะฟันฟืนแต่ปากร้องเพลง มุ้ยเกาอ๋องจึงเดิน เข้าใกล้คนผู้นั้นแล้วจึงถามว่า ท่านเป็นเทวดาหรือเป็นผู้วิเศษข้าพเจ้าขอคำนับถามท่าน ฝ่ายคนตัดฟืนได้ฟังดังนั้นก็เหลียวหน้ามาดู เห็นแล้วก็โยนขวานทิ้งไว้ แล้วตอบว่าท่านเรียก ข้าพเจ้าว่าผู้วิเศษนั้นไม่สมควร ข้าพเจ้าเป็นคนโง่เง่านุ่งห่มไม่
บริบูรณ์ ทำไมท่านมายกย่องข้าพเจ้าว่าเป็นเทวดาหรือ ผู้วิเศษเล่าเกินไป มุ้ยเกาอ๋องจึงตอบว่า ท่านไม่ใช่เทวดาและผู้วิเศษแล้ว เหตุใดจึงกล่าวถ้อยคำอันสูงแลลึกลับผิด กว่าเสียงมนุษย์เช่นนั้นเล่า ​ผู้ตัดฟืนจึงย้อนถามว่า ข้าพเจ้าพูดคำใดเป็นคำสูงแลเสียงเทวดาขอให้ท่านชี้แจง มุ้ยเกาอ๋องตอบว่าท่านร้องเพลง คำที่ว่าปะกันมีความเจริญนั้น แม้มิใช่เทวดาก็คงเป็นผู้วิเศษ อันมีจิตระงับจึงได้กล่าวเป็นปัญหาอันสำคัญ เทวดาหรือผู้วิเศษย่อมกล่าวถ้อยคำ
อย่างที่ท่านกล่าว คนตัดฟืนจึงตอบมุ้ยเกาอ๋องว่า ข้าพเจ้าไม่กล่าวเท็จให้ท่านเชื่อ คำที่ข้าพเจ้ากล่าวนั้นเป็นถ้อย คำของผู้วิเศษ ท่านสอนให้ข้าพเจ้าว่า เมื่อเวลาจิตใจเศร้าหมองไม่สบายก็ให้ร้องแก้รำคาญ ด้วยท่านผู้วิเศษนั้นอยู่ ใกล้แก่ที่บ้านข้าพเจ้าอยู่ เมื่อตะกี้ข้าพเจ้ามีความมัวหมองในดวงจิตรจึงได้ร้องเพลงพอให้แก้รำคาญเท่านั้น บังเอิญ ท่านแอบมาฟัง มุ้ยเกาอ๋องถามต่อไปว่า ผู้วิเศษอยู่ใกล้บ้านท่านเหตุใด ท่านไม่เรียนความรู้และ
ปฏิบัติให้เป็น ผู้สำเร็จไม่แก่ไม่ตายเล่า คนตัดฟืนตอบว่า วาสนาข้าพเจ้าเป็นคนอาภัพ เกิดมาแต่ยังเล็ก บิดาถึงแก่กรรม มารดาก็เป็น หม้ายมีแต่ข้าพเจ้าผู้เดียวเที่ยวตัดฟืนขายได้เงินพอซื้ออาหารเลี้ยงมารดา เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเวลาที่จะเล่าเรียนทาง ปฏิบัติอะไรได้ มุ้ยเกาอ๋องจึงตอบว่าถึงคำที่ท่านพูดข้อนั้น ก็ไม่จัดว่าท่านเป็นผู้กตัญญูต่อบิดามารดาควรเรียกว่าเป็น (กุนจื้อ) แม้ในปัจจุบันนี้​
จะมิได้ปฏิบัติก็คงมีนิสัยไปภายหน้า ขอท่านได้อนุเคราะห์ชี้ที่อยู่ของท่านผู้วิเศษให้แก่ ข้าพเจ้า ๆ จะได้ไปนมัสการท่าน เพื่อจะได้ถามข้อวัตรปฏิบัติบ้าง คนตัดฟืนจึงพูดว่าท่านผู้สำเร็จนั้นอยู่ไม่สู้ไกลนัก เรียกตามภาษาจีนว่า (กุดเล่งท้ายซิด) คือเขา ฮองชุนซัว ข้างในนั้นมีถ้ำเรียกว่า ถ้าซำแซต๋อง ในถ้ำนั้นมีพระอาจารย์ใหญ่ มีนามว่าโผเถโจ๊ซืออาจารย์ มี ศิษย์ประมาณสามสี่สิบคน ท่านจงเดินไปทางทิศพายัพไกลประมาณแปดโยชน์ ที่ตรงนั้นเป็นที่อยู่ของ
โผเถโจ๊ซือ มุ้ยเกาอ๋องจับมือคนตัดฟืนแล้วอ้อนวอนว่า ท่านสงเคราะห์ช่วยพาข้าพเจ้าไปสักหน่อยเถิด ถ้า ข้าพเจ้าได้พบท่านอาจารย์แล้วจะมิได้ลืมพระคุณของท่านเลย คนตัดฟืนจึงพูดแก่มุ้ยเกาอ๋องว่า ทำไมท่านจึงไม่เข้าใจเลย ข้าพเจ้าได้บอกแก่ท่านแล้วมิใช่หรือ ว่า ข้าพเจ้าต้องเป็นห่วงหาเลี้ยงมารดาด้วยการตัดฟืนขาย ถ้าข้าพเจ้าไปกับท่านแล้ว ก็จะป่วยการเสียเวลาตัดฟืนของ ข้าพเจ้าไป จะได้ใครหาเลี้ยงมารดาข้าพเจ้าเล่า มุ้ยเกาอ๋องจึงตอบว่า
ซึ่งท่านพูดดังนี้ข้าพเจ้าไม่อาจจะข่มขืนน้ำใจท่านได้แล้ว มุ้ยเกาอ๋องก็ลาคนตัด ฟืนออกจากป่าแล้วเดินขึ้นบนเนินเขาข้ามโขดศิลาไปประมาณได้แปดโยชน์ ก็เห็นชัยภูมิเขาถ้ำหนึ่ง เหมือนถ้อยคำ ของคนตัดฟืนบอก จึงหยุดพิจารณาดูเห็นประตูถ้ำปิดอยู่เงียบสงัดไม่ได้ยินเสียงผู้คน แล้วแลขึ้นไปดูเห็นบนแง่ ​ศิลามีป้ายหินตั้งอยู่ มีอักษรจารึกไว้สิบคำคือ (เล่งท้ายฮองซุนซัว จ้อง้วยซำแซต๋อง) แปลภาษาไทยว่า กายสิทธิ์ มณฑปเขาองคุลีวงจันทร์ ตรีดาราถ้ำ
 มุ้ยเกาอ๋องดูอักษรนั้นแล้ว ก็มีความยินดีเปนอันมาก แลดูบานประตูก็ยังปิดอยู่ ไม่กล้าจะเข้าเคาะประตูได้ แต่รีรอเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ช้านาน จึงแลเห็นต้นไม้ที่ปากถ้ำมีผลดกออกระย้า มุ้ยเกา อ๋องจึงกระโดดขึ้นบนต้นไม้เก็บผลไม้กิน สักประเดี๋ยวได้ยินเหมือนประตูเปิด มุ้ยเกาอ๋องแลเห็นคนหนุ่มน้อยเดินออก มาจากถ้ำ ร้องถามด้วยเสียงอันดังว่า ใครมาอึกกระทึกข้างนอกนี้ มุ้ยเกาอ๋องก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ แล้วเดินเข้าไปใกล้คำนับแล้ว จึง
บอกแก่ชายหนุ่มน้อย ว่า ข้าพเจ้าจะมาเป็นสานุศิษย์เล่าเรียนวิชาไม่ใช่มารบกวนอะไร ขอท่านได้นำข้าพเจ้าไปนมัสการท่านอาจารย์ สักหน่อยเถิด หนุ่มน้อยได้ยินมุ้ยเกาอ๋องพูดวิงวอนดังนั้น จึงหัวเราะแล้วทำเป็นพูดว่า ท่านเป็นผู้มาหาเพื่อ จะเรียนธรรมของพระศาสนาจริงแลหรือ มุ้ยเกาอ๋องตอบว่า ข้าพเจ้าอุตสาหะมาทั้งนี้โดยความตั้งใจจะมาเล่าเรียนศึกษาให้รู้จริง ๆ มิได้คิดแก่ความเหนื่อยยากเลย หนุ่มน้อยจึงตอบว่า เมื่อตะกี้ท่านอาจารย์พึ่งลง
จากธรรมาสน์ เมื่อขึ้นบนธรรมาสน์ก็ยังหาได้แสดง ธรรมไม่ ท่านอาจารย์ให้เรา​ออกมาเปิดประตู ท่านได้พูดว่าข้างนอกมีคนจะมาเรียนศาสนาให้เราออกมารับ เรามาคิด ดู ชะรอยจะเป็นตัวท่านนี้เอง มุ้ยเกาอ๋องจึงตอบว่า ข้าพเจ้ามาแต่ผู้เดียวหาได้มีผู้ใดมาด้วยไม่ นักสิทธิ์หนุ่มน้อยจึงให้มุ้ยเกา อ๋องเดินตามเข้าไปในประตูถ้ำ แล้วหนุ่มน้อยหันหน้ามาบอกว่า ท่านต้องสำรวมระวังกิริยาให้เรียบร้อยเถิด ว่าแล้ว ก็เดินนำหน้าไป มุ้ยเกาอ๋องก็สำรวม
กิริยาเรียบร้อย แล้วก็เดินตามนักสิทธิ์หนุ่มน้อยเข้าไปในถ้ำ แลได้พิจารณาดู ไปตามทางเดินด้วย เห็นเป็นช่องชั้นมีดังเครื่องประดับเป็นระย้าห้อยย้อยสง่างาม ดุจดังว่าปราสาทราชมณเฑียร งดงามสุดที่จะพรรณาได้ และเป็นที่สงัดเงียบสมควรจะเป็นที่อยู่ของผู้ระงับอารมณ์ได้ มุ้ยเกาอ๋องเดินพลางชมพลางก็ เกิดปีติโสมนัสมีความยินดีบันเทิงจิต พอมาถึงข้างแท่นเอียวท้ายกี่แลดูบนแท่นเห็นโผเถโจ๊ซืออาจารย์ใหญ่ นั่งอยู่ กลางแท่นมีกิริยาอันสงบ
ระงับสมควรเป็นผู้วิเศษ สองข้างนักสิทธิ์ทั้งหลายก็ยืนอยู่เป็นลำดับประมาณสามสิบคน มุ้ย เกาอ๋องแลเห็นแล้วก็เข้าไปคุกเข่าลงคำนับกราบลงตรงหน้าพระอาจารย์ แล้วกล่าววาจาว่าข้าแต่พระอาจารย์ เจ้าขา สานุศิษย์ตั้งใจมานมัสการ ขณะนั้นพระอาจารย์จึงถามว่า เจ้าเป็นเดรัจฉานหรือเป็นมนุษย์ เดิมอาศัยอยู่แห่งหนตำบลใด ชื่อแลแซ่อย่างไรจงบอกให้เรารู้ก่อน ​มุ้ยเกาอ๋องจึงยกมือขึ้นประนมแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าอยู่ข้างทิศบูรพาทวีปตะวันออก
เขตเมือง เง่าล่ายก๊ก เขาฮวยก๊วยซัวจุ๊ยเลี่ยมต๋อง เป็นที่รกรากเดิมของข้าพเจ้า พระอาจารย์จึงทำเป็นขู่ตวาดและใช้ให้ศิษย์ขับไล่ออกไปเสีย โดยเหตุว่าเป็นผู้กลับกลอกกล่าวมุสาจะบวช เรียนอะไรได้ มุ้ยเกาอ๋องได้ฟังดังนั้น มีความเสียใจเป็นอันมาก จึงวิงวอนว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ซื่อตรงสุจริตหาได้กล่าวเท็จ ต่อท่านไม่ ขอพระอาจารย์ได้โปรดเมตาแก่ข้าพเจ้าเถิด พระอาจารย์โผเถโจ๊ซือ จึงว่าตัวเป็นคนซื่อตรงจริงแล้วเหตุใดจึงว่าตัวอยู่ทิศบูรพา ทางทิศบูรพา
วิถี ที่จะไปมามีมหาสมุทรกว้างใหญ่ลึกเหลือประมาณ เหตุใดตัวเจ้าจึงมาถึงชมพูทวีปได้ มุ้ยเกาอ๋องกราบลงแล้วก็ชี้แจงว่า ข้าพเจ้าได้เอาไม้ไผ่มัดทำแพลอยมาตามน้ำในมหาสมุทรใหญ่ ลมได้พัดพาข้ามทะเลมาถึงฝั่งขึ้นเขาลงห้วยเที่ยวสืบเสาะหาศาสนามาช้านานประมาณได้สิบปีแล้ว จึงได้บรรลุถึงสำนักแห่งพระอาจารย์ ขอท่านได้ทราบถึงความยากของข้าพเจ้าแลมีความกรุณา แก่ข้าพเจ้าเถิด พระอาจาริย์โผเถโจ๊ซือ ถามว่าตัวชื่อใดแซ่ใดจงบอก
เราไปแต่ความจริง มุ้ยเกาอ๋องจึงตอบว่าข้าพเจ้าหามีแซ่แลชื่อเหมือนคนทั้งหลายไม่ ถ้าจะมีผู้ด่าว่าข้าพเจ้า ๆ ก็ไม่ร้อน ใจ หรือใครจะทุบตีข้าพเจ้าก็​ไม่มีความโกรธโดยมีความอดกลั้นได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าเกิดมาจึง ไม่มีแซ่ พระอาจารย์จึงถามอีกว่า บิดามารดาของเจ้ามีแซ่แลชื่ออย่างไรเจ้ารู้หรือไม่ มุ้ยเกาอ๋องจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เกิดมาโดยมิได้มีบิดาแลมารดา พระอาจาริย์โผเถโจ๊ซือจึงถามว่า ถ้าเกิดมาไม่มีบิดามารดาแล้วเช่นนั้น ชะรอยตัวเจ้าจะมิเกิด
 จากต้นไม้ใบหญ้าหรือ มุ้ยเกาอ๋องตอบว่า ข้าพเจ้ามิได้เกิดจากต้นพฤกษา ข้าพเจ้าเกิดจากก้อนศิลา ครั้นข้าพเจ้าเติบใหญ่จำได้ว่า เดิมบน ยอดเขาฮวยก๊วยซัวมีศิลาก้อนหนึ่ง ครั้นศิลานั้นต้องแสงอาทิตย์และน้ำฝนก็แตกออก ข้าพเจ้าก็เกิดมาจากก้อนศิลานั้น เป็นต้นเดิมของข้าพเจ้า เมื่อพระอาจารย์โผเถโจ๊ซือได้ฟังมุ้ยเกาอ๋องชี้แจงดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าดังนั้นตัวเจ้าก็เกิดเพราะดินฟ้าอากาศประกอบกัน เป็นแน่ แล้วจึงพูดแก่มุ้ยเกาอ๋องว่า เจ้าจงลุกขึ้นเดินไป
มาให้เราดูลักษณะกิริยาว่าจะเป็นประการใด มุ้ยเกาอ๋องคำนับแล้วก็ลุกขึ้นเดินสองรอบให้พระอาจารย์ดูลักษณะ พระอาจารย์ก็วิเคราะห์ดูแล้ว จึงพูดว่า ลักษณะเจ้าหยาบช้านักไม่งาม ดูดุจกิริยาแห่งวานรที่กินผลพฤกษาเป็นอาหารฉะนั้น เราจะตั้งแซ่ให้เรียกว่า (ซึง) มุ้ยเกาอ๋องมีความยินดีกราบลงสามครั้งว่าควรแล้ว ​ตั้งแต่นั้นมามุ้ยเกาอ๋องจึงถือเอาซึงว่าเป็นแซ่ของตนต่อมา ตามคำพระอาจาริย์ประทานให้ จึงคำนับพระอาจารย์แล้ววิงวอนว่า ได้โปรด
เมตาให้แซ่แล้วแต่ชื่อยังหามีไม่ ขอพระ อาจารย์เจ้าได้โปรดให้ชื่อด้วย จะได้ใช้เรียกหาเพื่อสำเหนียกรู้ชื่อแห่งตน โผเถโจ๊ซืออาจาริย์จึงพูดว่า มีหนังสือของเราสิบสองตัวเป็นกำหนดไฉยาในทางปฏิบัติ คือตัวก๊อง ต๋ายตี๊ฮุยจินยู้เซ้งฮั่ยตินหงออีกั๋ว สิบสองอักขระนี้ อักขระหงอคงนั้นสมแก่ตัวเจ้าเราจะตั้งชื่อเจ้าว่า (หงอคง) ตั้งแต่นั้น มาพระอาจารย์แลเพื่อนสานุศิษย์เหล่านั้น ก็พากันเรียกว่าหงอคงทั้งสิ้น
  เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ  ต้นฉบับไทยว่า มีสิบคำ แต่ปรากฏเพียงเก้าคำ คือ "ฮวยก๊วยซัวยกตี้จุ๊ยเลียมต๋องต๋อง" วิกิซอร์ซตรวจดูแล้วพบว่า ตกคำท้ายไปหนึ่งคำ วลีเต็มตามสำเนียงกลาง คือ "ฮัวกั่วชันฝูตี้ฉุ่ยเหลียนต้งต้งเทียน"
(花果山福地、水帘洞洞天  Huā Guǒ Shān Fú Dì, Shuǐ Lián Dòng Dòng Tiān)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น