หน้าเว็บ

20 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 45 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๖๐)
 เห้งเจียว่าที่นี่งู่ม่ออ๋องเห็นจะทิ้งไฟไว้ สมมุติว่าเขาฮ้วยเอี้ยมซัวดอกกระมัง เจ้าเขาพูดว่าไม่ใช่ๆ ท่านใต้เซียหากยอมยกโทษให้แก่ข้าพเจ้า ๆ จะบอกตามตรง เห้งเจียว่าท่านมีโทษอะไรที่ไหนจงพูดเถิดอย่าวิตกเลย เจ้าเขาจึงพูดว่าอันไฟนี้เหตุเดิมนั้นท่านใต้เซียทิ้งเอง เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็โกรธว่าทำไมจึงพูดเลอะเทอะดังนั้น เราหรือจะเป็นคนทิ้งไฟ
   เจ้าเขาว่าท่านเห็นจะจำข้าพเจ้าไม่ได้เสียแล้ว ที่ตำบลนี้เดิมไม่มีเขา เหตุเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้น ท่านทำจลาจลรบแก่เทพบุตรทั้งหลายบนสวรรค์ เวลานั้นท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุนเอาตัวท่านไปใส่ในเบ้าโป๊ยก่วยหลอม เวลาเปิดฝาท่านกระโดดขึ้นเหยียบปากเบ้า เตาล้มทลายอิฐเตาก็ตกลงสองสามก้อน ไฟติดลงมาจึงเกิดเป็นภูเขาไฟอยู่บัดนี้ ข้าพเจ้าอยู่บนชั้นดุสิตเป็นผู้รักษาเตา ท้ายเสียงเล่ากุนปรับโทษว่าข้าพเจ้าไม่ดูแล จึงปรับโทษให้ข้าพเจ้าลงมาเป็นเจ้าเขาฮ้วยเอี้ยมซัว เห้งเจียว่าเดิมตัวก็เป็นพวกเต้าสือแล้วมาเปลี่ยนแปลง​เป็นเจ้าเขา เห้งเจียเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างจึงพูดว่า ตัวพูดว่าตัวจะไปหางู่ม่ออ๋องทำไมหรือ เจ้าเขาพูดว่า งู่ม่ออ๋องนั้นคือสามีของนางล่อซั่ว งู่ม่ออ๋องบัดนี้ก็ทิ้งนางไม่ได้ไปมานานแล้ว บัดนี้ไปอยู่ที่เขาเจ๊กลุ่ยซัวถ้ำม่อหุ้นต๋อง เดิมมีบ้านส่วยเห้าอ๋อง ครั้นเห้าอ๋องตายแล้ว ยังมีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อเง็กมิ่นก๋งจู๊ยังไม่มีสามี ทรัพย์สมบัติเข้าของเงินทองมั่งคั่งไม่มีผู้ชายดูแล นางได้ยินว่างู่ม่ออ๋องมีฤทธาอานุภาพ ก็ยอมยกมรดกให้งู่ม่ออ๋องตัวนางก็ยอมเป็นภรรยา งู่ม่ออ๋องก็ทิ้งนางล่อซั่วเสียนานแล้วมิได้ไปมาหาสู่กัน แม้ใต้เซียไปหางู่ม่ออ๋องเชิญเธอมาพูดขอยืมจึงจะได้พัดมาดับไฟแล้วส่งอาจารย์ข้ามพ้นไป ทั้งได้ดับไฟร้ายสัตว์ทั้งหลายจะได้รอดชีวิต ทั้งตัวข้าพเจ้าก็จะได้พ้นโทษกลับไปสวรรค์ตามเดิม
   เห้งเจียจึงถามว่า เขาเจ๊กลุ่ยซัวนั้นอยู่ที่ไหนทางนั้นประมาณไกลสักเท่าใด เจ้าเขาตอบว่าไปตรงทิศอาคเนย์ทางไกลประมาณสามพันโยชน์ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงสั่งให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งอยู่รักษาอาจารย์ และสั่งเจ้าเขาให้อยู่เป็นเพื่อนด้วย สั่งแล้วเห้งเจียก็เหาะไปทางทิศอาคเนย์ เหาะไปประมาณครึ่งชั่วโมง แลไปข้างหน้าเห็นมีภูเขาสูง เห้งเจียก็เหาะลงที่ยอดภูเขาสูง พิจารณาดูเขาแล้วก็เดินลงไป​หาทาง พิเคราะห์ดูเงียบสงัดไม่มีวี่แววอะไร แลไปที่ใต้ต้นสน เห็นมีหญิงสาวสวยมายืนอยู่ที่ใต้ต้นสน มือถือธูปหอมเดินตรงมา เห้งเจียก็เข้าแอบซ่อนในซอกศิลาคอยพิจารณาดู หญิงนั้นก็เดินใกล้เข้ามา เห้งเจียจึงย่อตัวปราศรัยถามว่าแม่นางจะไปข้างไหน หญิงนั้นเหลียวไปเห็นเห้งเจียก็ตกใจ ด้วยหน้าเห้งเจียผิดมนุษย์ ร่างกายนางสั่นรัวไปทั้งตัว แล้วแข็งใจถามว่านี่แกอยู่ที่ไหน จึงสามารถมาอยู่ที่นี่ประสงค์จะมาหาใคร
   เห้งเจียแกล้งหลอกว่า ข้าพเจ้ามาจากเขาจุ๊ยหุ้นซัว ยังไม่เคยมาถึงที่ตำบลนี้ไม่รู้จักทางปราถนาจะใคร่ถามแม่นางว่า ที่นี่ใช่เขาเจ๊กลุ่ยซัวหรือมิใช่ หญิงนั้นตอบว่าที่นี่แลเขาเจ๊กลุ่ยซัวถูกแล้ว เห้งเจียถามต่อไปอีกว่า ถ้ำม่อหุ้นต๋องอยู่ข้างไหน หญิงนั้นจึงถามว่า จะไปหาถ้ำม่อหุ้นต๋องนั้นทำไม เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าคืออยู่ที่เขาจุ๊ยหุ้นซัวถ้ำปอเจียวต๋อง นางล่อซั่วก๋งจู๊ใช้ให้มาเชิญงู่ม่ออ๋อง หญิงนั้นเมื่อได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น ให้บังเกิดโทสะจนใบหูออกแดง ก็ออกปากด่าว่าอีชาติข้ายังไม่รู้สึก งู่ม่ออ๋องตั้งแต่มาอยู่บ้านของเราสองปีมาแล้วก็ไม่เห็นฝากอะไรมาให้สักสิ่งหนึ่ง เอาไว้ใช้สอยเองตามสบายใจ ยังจะกลับมาเชิญเอาไปทำไม เห้งเจียก็นึกรู้ว่าคือนางเง็กมิ่นก่งจู๊ ก็ชักตะบองเหล็กออกร้องตวาดว่า อีชาติชั่วมึงเอามรดกเงินทองมาฬ่องู่ม่ออ๋องไว้ คือเอาเงินไป​ซื้อผัวเขามาไว้ไม่มีความอาย ยังจะว่าเขาไม่อายอีกเล่า หญิงนั้นตกใจวิ่งหนีหกล้มคลุกคลานไป เห้งเจียก็ไล่ติดตามมา หญิงนั้นก็หนีข้ามดงมาถึงถ้ำม่อหุ้นต๋อง ถึงประตูก็กระโดดไปในถ้ำได้แล้วก็ปิดประตูแน่น เห้งเจียเห็นเช่นนั้นก็เอาตะบองซ่อนเสียแล้ว เดินพิจารณาดูรอบคอบ
   ฝ่ายนางนั้นวิ่งหนีมาเหงื่อโทรมตัวหอบแทบจะหายใจไม่ทัน นางก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือ ที่งู่ม่ออ๋องกำลังนั่งดูหนังสืออยู่ในห้องนั้น นางเข้าไปถึงก็ล้มเข้าในอกงู่ม่ออ๋องกลิ้งเกลือกร้องไห้ งู่ม่ออ๋องก็หัวเราะพูดว่า เจ้ามีทุกข์โทมนัอย่างไรก็จงบอกมาให้พี่รู้ หญิงนั้นก็โลดเต้นทุ่มทิ้งกายปากก็ด่าว่าอ้ายมารระยำทำแก่กู งู่ม่ออ๋องหัวเราะแล้วถามว่าทำไมเจ้าจึงด่าพี่ดังนี้ นางพูดว่าเพราะเราไม่มีพ่อแม่และพี่น้องที่พึ่ง จึงได้ไปหาตัวมารักษาป้องกันซึ่งชีวิตเรา ชาวชนเขาลือว่าตัวเป็นคนเก่งนี่เหมือนคนขี้ขลาดไม่สู้ใคร
   งู่ม่ออ๋องเข้าประคองนางแล้วถามว่า พี่มีความผิดที่ข้อไหนจงแสดงให้เข้าใจบ้างพี่จะทำขวัญให้ นางจึงบอกว่าเมื่อตะกี้นี้ข้าเที่ยวเดินเก็บดอกไม้ที่ดงไม้สน มีคนหนึ่งหน้าขนรุงรังดุจรามสูรเดินมาคำนับทำให้ข้าพเจ้าตกใจ ก็ค่อยสะกดใจถามว่ามาจากไหน เธอบอกว่านางล่อซั่วก๋งจู๊ให้เธอมาเชิญงู่ม่ออ๋อง ข้าพเจ้าว่าประชดเธอสองคำ เธอด่าว่าหยาบช้ากับเรา แล้วเอาตะบองไล่ตีเรา หากว่าเราวิ่งหนีทัน หาไม่ชีวิตเราก็คงเป็นอันตราย ​งู่ม่ออ๋องได้ฟังดังนั้น ก็ปลอบโยนเอาใจนางเห็นนางค่อยคลายความอาดูรแล้ว งู่ม่ออ๋องจึงพูดว่า เจ้าอย่ามีความสงสัยพี่ไม่หลอกลวง ซึ่งที่ถ้ำปอเจียวต๋องนั้นเป็นที่สุขสำราญระงับเงียบไม่วุ่นวาย เมียพี่อยู่ที่นั่นก็รักษาตัวบวชเรียนแต่เล็ก จนสำเร็จเป็นนางเซียนนึ้ง ที่นั้นมัทยัธเรียบร้อยในนั้นชั้นแต่เด็กชายน้อยก็ไม่มี ที่ไหนจะมีคนรูปร่างน่ากลัวดุจรามสูรนี้ให้มาเชิญ เราเห็นผิดประหลาดนัก พี่คิคดูเห็นจะเป็นปีศาจยักษ์ร้ายที่ไหนมาปลอมหลอกกระมัง บางทีจะคิดแอบแฝงมาไต่ถามอะไรเราบ้างดอกกระมังเป็นแน่ พี่จะออกไปดู
   งู่ม่ออ๋องก็ออกจากห้องหนังสือเอาเครื่องเกราะสวมใส่ตัวแล้ว มือก็ถือพลองเหล็กเดินออกไปร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ใครที่ไหนจึงไม่มีความยำเกรงเราบ้างเลย เห้งเจียแลไปเห็นผิดรูปร่างแต่ก่อน ด้วยนานนักกว่าห้าร้อยปีมาแล้ว เห้งเจียก็เข้ามาคำนับร้องขอรับด้วยเสียงอันดัง แล้วพูดว่าพี่เห็นจะจำน้องไม่ได้เสียแล้ว งู่ม่ออ๋องคำนับตอบแล้วถามว่า ซีเทียนใต้เซียมิใช่หรือ เห้งเจียรับว่าใช่นานแล้วมิได้มาคำนับ พึ่งมาถึงที่นี่ ถามหญิงคนหนึ่งจึงได้พบพี่มีความสมบุญยิ่งขึ้นกว่าเก่า งู่ม่ออ๋องตวาดว่าเจ้าอย่าพูดดีไป ข้าได้ยินว่าไปทำจลาจนรบพุ่งชิงชัยอยู่บนสวรรค์ ถูกพระยูไลจับเอาเขาเง้าเห้งซัวทับไว้ ก็ได้รอดพ้นภัยไปตามรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซทีอาราธนาพระธรรม ไปถึงถ้ำฮ้วยหุ้นต๋องจับเอาอั้งฮั้ยยี้บุตรเราไปฆ่าดังนั้น ความร้อนอันนี้ก็อยู่กับ​ตัวเจ้าทำไมเจ้ากลับมาหาเราทำไม เห้งเจียเคารพแล้วพูดว่า พี่อย่าเพิ่งเคืองข้าพเจ้าก่อน เวลาบุตรของพี่จับอาจารย์ข้าพเจ้าไว้จะใคร่กินเนื้อ ข้าพเจ้าใกล้เธอไม่ได้ จึงได้ไปพึ่งพระกวนอิมชักนำให้บุตรท่านกลับใจ ไปถือตามสัมมาทิฐิได้เป็นเสี้ยนใช้ท่งจื๊อ หากจะคิดดูความงามเจริญของพี่ยิ่งขึ้นทั้งความสุขก็บริบูรณ์ อย่างนี้จะมาถือโทษโกรธขึ้งข้าพเจ้าด้วยเหตุไร
   งู่ม่ออ๋องด่าว่าอ้ายลิงปากดีทำแก่บุตรเราแล้วมึงจะมาพูดแก้ให้กลายกลับเป็นดีไปได้หรือ ยังมิหนำซ้ำมาไล่ตีเมียกูจนกระทั่งประตูบ้านนี่เป็นอย่างไร เห้งเจียหัวเราะพูดว่า เพราะด้วยข้าพเจ้าจะกราบเท้าหาพี่ จึงได้กราบเท้าหญิงนั้นถามข่าวคราว ข้าพเจ้าก็หาได้ทราบว่าพี่สะใภ้ไม่ เพราะด้วยเธอด่าข้าพเจ้า จึงได้เกิดโทโสกระทำให้พี่สะใภ้ขัดใจ ข้อนั้นขอพี่ยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าเถิด งู่ม่ออ๋องพูดว่าถ้าดังนั้น เราเห็นแก่ที่ได้ผูกสมัครรักใคร่กันมาแต่เดิม เรายกโทษให้จงกลับไปเถิด เห้งเจียพูดว่า ซึ่งพี่ยกโทษให้ดังนี้ขอบพระคุณเป็นที่สุด แต่ยังมีธุระอีกอย่างหนึ่งขอพี่ได้กรุณาช่วยด้วยสักครั้งหนึ่ง งู่ม่ออ๋องว่าอ้ายลิงยกโทษให้แล้วยังไม่รู้สึกยังพัวพันแก่เราอีกจะให้ช่วยอะไรที่ไหนอีกเล่า
   เห้งเจียเคารพแล้วพูดว่า อันความจริงข้าพเจ้าไม่กล้าหลอนหลอกพี่ดอก เหตุข้าพเจ้ารักษาพระอาจารย์บัดนี้มาติดเขาฮ้วยเอี้ยมซัวไปไม่ได้ ได้ข่าวว่าพี่ล่อซั่วมีพัดวิเศษเล่มหนึ่งอาจดับไฟนั้นได้ อยากจะใคร่ขอยืมไปทำธุระเสร็จแล้วก็จะนำมากราบท้าวคืนให้ ข้าพเจ้า​ได้ไปถึงแล้วเธอไม่ยอมให้มา เพราะเหตุนี้จึงต้องมากราบท้าวพี่ขอพี่ได้โปรดช่วยไปขอยืมพัดนั้นดับไฟแล้วจะคืนให้ งู่ม่ออ๋องได้ฟังดังนั้นในใจดุจไฟลุกขึ้นทันที จึงด่าว่าเจ้าพูดแก้ตัวว่าไม่ผิดก็เจ้าไปหาเมียเรา ๆ ไม่ยอมให้เจ้าจึงมาไล่เมียน้อยของเราดังนี้ คำโบราณท่านย่อมว่าพี่น้องของเพื่อนไม่กล้าดูถูก เมียของเพื่อนจนเมียน้อยก็ไม่ควรกำจัด นี่เจ้ามาทำอย่างนี้ไม่เสียธรรมเนียมดอกหรือ งู่ม่ออ๋องว่าเจ้าจงมากินพลองเสียสักทีก่อน เห้งเจียว่าอันความรบพุ่งต่อตีนั้นข้าพเจ้าไม่ต้องกลัว อันความจริงของข้าพเจ้าอยากแต่จะได้พัดวิเศษเท่านั้น ขอพี่ได้โปรดให้เถิด
   งู่ม่ออ๋องพูดว่าเจ้าจงลองดูสักสามเพลงก่อน แม้ว่าชนะเรา ๆ จะไปขอยืมพัดนั้นมาให้ แม้ว่าสู้เราไม่ได้เราตีตายก็เหมือนเราได้แก้แค้นที่เจ้าทำแก่ลูกเรา งู่ม่ออ๋องพูดดังนั้นแล้วก็จับพลองตีลงที่ศรีษะเห้งเจีย ๆ ก็ยกตะบองขึ้นรับ ทั้งสองก็ออกกำลังต่อสู้กันไปมาได้ประมาณร้อยเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน โดยเวลานั้นยากที่จะถอยจะสู้ พอได้ยินเสียงร้องเรียกบนยอดเขาว่าท่านงู่ม่ออ๋อง นายข้าพเจ้าให้มาเชิญท่านไปให้ทันเวลาเข้าโต๊ะ งู่ม่ออ๋องได้ยินดังนั้นก็ยกพลองรับตะบองเห้งเจียไว้ แล้วพูดว่าอ้ายลิงมึงหยุดก่อนคอยเราจะไปกินเลี้ยงสักประเดี๋ยวแล้วจะกลับมารบแก่เจ้าอีกใหม่ พูดดังนั้นแล้วก็ชักพลองกลับเข้าถ้ำพูดแก่เมียว่า อ้ายหน้าขนรามสูรนั้นคือผู้ชายชื่อหงอคงถูกเราเอาพลองตีหนีไปแล้ว มันไม่กล้ากลับมาอีกจงวางใจ​เถิดอย่ากลัวมันเลย เราจะไปบ้านเพื่อนกินโต๊ะแล้วจะกลับมา งู่ม่ออ๋องก็เอาหมวกสวมใส่เสร็จแล้ว ก็ออกจากประตูขึ้นขี่หลังสัตว์กิมเจง แล้วก็สั่งคนใช้ให้ระวังประตู งู่ม่ออ๋องก็เหาะไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เห้งเจียอยู่บนยอดเขาก็นึกในใจว่า งู่ม่ออ๋องจะมีเพื่อนอยู่ที่ไหนจะไปทางใดเราจะต้องตามไปดู
   คิดแล้วเห้งเจียก็แปลงกายเป็นสายลมติดตามไปพร้อมกัน บัดเดี๋ยวก็ถึงภูเขาหนึ่งงู่ม่ออ๋องก็หายไปไม่เห็น เห้งเจียก็กลายกลับเป็นรูปเดิมเข้าไปในเขาเที่ยวค้นหา อันภูเขานั้นหน้าหนึ่งมีบึงใหญ่น้ำลึก ข้างบึงมีเสาศิลาข้างบนมีอักขระใหญ่หกตัวคือเขาล่วนเจี๊ยซัวบึงเพ๊งปอท้ำ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็นึกใจใจว่า งู่ม่ออ๋องเห็นจะลงน้ำไปเป็นแน่ ถ้าอยู่ในถ้ำคงจะเป็นนาคหรือเต่าตะพาบน้ำจำเราจะลงไปดูให้รู้แน่ คิดดังนั้นแล้วก็ร่ายคาถาแปลงกายเป็นเปี้ยวตัวหนึ่งกระโจนลงในน้ำจมลงไปก้นบึง แลไปก็เห็นสำนักสูงตระหง่านมีหอเรียงราย เห้งเจียก็คลานเข้าไปใกล้ประตู พิจารณาดูเห็นมีพวกมโหรีพิณพาทย์ขับร้อง ที่บนหอนั้นงู่ม่ออ๋องนั่งอยู่กลาง สองข้างมีพวกนาคสามสี่นาค ข้างหน้ามีนาคใหญ่นั่งอยู่สองข้างนั่งเรียงรายกันเป็นลำดับ คือนาคลูก นาคหลาน นาคยาย นาคเมีย เห้งเจียก็คลานเข้าไปในประตู นาคใหญ่เห็นก็ร้องให้จับตัวเปี้ยวนั้นมา เปี้ยวแปลงก็พูดเป็นภาษามนุษย์ร้องว่าขอชีวิตเถิด นาคใหญ่ถามว่าตัวอยู่ที่ไหนจึงสามารถมาถึงนี่ เจ้าจงรีบบอกมาโดยเร็วจึงจะยกโทษให้หาไม่จะฆ่าเสีย
   ​เห้งเจียจึงตอบว่าขอท่านจงได้กรุณาข้าพเจ้าเป็นสัตว์เล็กน้อย เดินขวางๆ รีๆ มาไม่รู้จักขนบธรรมเนียม จึงได้ล่วงเกินเข้ามาผิดพลั้งดังนี้ขอท่านได้โปรดเถิด ในที่ประชุมได้ฟังเปี้ยวพูดดังนั้นก็มีความสงสารจึงพร้อมกันพูดว่า ขอท่านได้ยกโทษปล่อยเปี้ยวน้อยไปเถิด เพราะมันไม่รู้ผิดแลชอบ นาคใหญ่ได้ฟังท่านทั้งหลายขอดังนั้น ก็สั่งให้ปล่อยเปี้ยวนั้นออกไปนอกประตู เห้งเจียเห็นเขาปล่อยแล้วก็ค่อย ๆ คลานออกมาจากประตูแลไปเห็นสัตว์กิมเจงของ งู่ม่ออ๋องผูกไว้ข้างนั้น ก็คิดอุบายขึ้นได้ทันที จึงแปลงกายกลับมาอย่างเดิม เข้าแก้เอาสัตว์กิมเจงนั้นจูงออกมาแล้ว เห้งเจียก็กระโดดขึ้นหลังจับบังเหียนชักให้ขึ้นพ้นน้ำแล้วเห้งเจียก็แปลงกายเป็นงู่ม่ออ๋อง ขับกิมเจงเหาะขึ้นบนอากาศตรงมายังเขาจุ๊ยหุ้นซัวถ้ำปอเจียวต๋อง เห้งเจีย่ขี่กิมเจงเข้าใกล้ประตูถ้ำร้องเรียกให้เปิดประตูรับ พวกนางสาวใช้ก็เปิดประตูรับ แลเห็นเห้งเจียแปลงคิดว่างู่ม่ออ๋องนายของตัว ก็วิ่งเข้าไปบอกนางว่า บัดนี้ใต้อ๋องกลับมาแล้วอยู่นอกประตู นางล่อซั่วได้ฟังสาวใช้บอกดังนั้น ก็รีบใส่เสื้อแต่งตัวเดินออกมารับ เห้งเจียก็ลงจากกิมเจงให้คนดูเฝ้าไว้แล้ว ฝ่ายนางล่อซั่วก็หารู้ไม่สำคัญว่างู่ม่ออ๋องสามี จึงจับมือพากันเดินเข้าถ้ำ ครั้นถึงข้างในก็นั่งบนเก้าอี้ให้สาวใช้ยกน้ำร้อนน้ำชามารับประทาน ในถ้ำนั้นทุกคนเห็นนายของตัวมาก็พากันยินดี ครั้นกินน้ำร้อนน้ำชาสบายแล้วก็พูดจาปราศรัยว่านานแล้วมิใด้มานางเป็นสุขสบายอยู่ดอกหรือ นางล่อซั่ว​ตอบว่าใต้อ๋องมีบุญมากแลมีใจเอื้อเฟื้อที่มีใหม่ ทิ้งขว้างข้าพเจ้าเสียไม่เหลียวแลแต่วันนี้เหตุไฉนจึงมาได้
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าที่ไหนจะอาจทิ้งขว้าง เพราะนางเง็กมิ่นก๋งจู๊ได้ฝากแก่ข้าพเจ้า และมีธุระกิจการมากเพื่อนฝูงไปมาเยี่ยมเยือนไม่มีเวลาว่าง เพราะฉะนั้นช้าวันจึงมิได้มา ครั้นบัดนี้จัดธุระเสร็จแล้วจึงได้มาได้ เห้งเจียถามว่าได้ยินว่าหงอคงรักษาพระถังซำจั๋งจะไปไซที มาใกล้เขาฮ้วยเอี้ยมซัววิตกกลัวจะมาขอยืมพัดไป เราจึงรีบมาด้วยแค้นมันทำให้ลูกเราจากไป ถ้าหากมันมาที่นี่จงให้คนไปบอกเรา ๆ จะจับตัวมันฟันเสียสักหมื่นท่อนแก้ความเจ็บใจของเราทั้งสอง นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้บอกว่า คำโบราณท่านย่อมว่า ชายไม่มีเมียทรัพย์ไม่มีเจ้าของ หญิงไม่มีผัวกายตัวไม่มีเจ้าของ ชีวิตข้าพเจ้าเกือบจะวอดวาย ถูกอ้ายเห้งเจียมันมาทำร้ายเอา เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ทำเป็นโกรธด่าว่าอ้ายชาติลิงมันหนีไปเสียแล้วหรือ นางล่อซั่วบอกว่ามันยังไม่ทันจะข้ามไป วานนี้มาที่นี่เรียกข้าพเจ้าว่าพี่สะใภ้ มันพูดว่าใต้อ๋องกับมันเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้นได้ผูกสมัครเป็นมิตรสหายแก่มัน
   เห้งเจียพูดว่าจริง นางล่อซั่วว่าข้าพเจ้าจะด่าว่ามันก็ไม่โต้ตอบ ข้าพเจ้าเอาพัดโบกมันทีหนึ่งไม่รู้ว่ามันปลิวไปถึงไหน แล้วกลับมาไม่รู้ว่ามันไปได้ยาวิเศษที่ไหนมาคุ้มห้ามลม มาร้องท้าถึงหน้าประตู​อีก ข้าพเจ้าก็เอาพัดโบกอีกมันก็ไม่หวั่นไหว ข้าพเจ้าเอาเกี่ยมฟันมันจึงได้เกิดรบกัน ข้าพเจ้าทานกำลังมันมิได้หนีเข้าถ้ำไม่รู้ว่ามันทำอย่างไรจึงเข้ามาอยู่ในท้องข้าพเจ้าได้ ทำให้ข้าพเจ้าได้ความเจ็บปวดสาหัส ข้าพเจ้าเรียกมันอา ๆ สองคำขอร้องเอาพัดส่งให้มันไปมันจึงได้ไป
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็ทำเป็นโกรธเอามือทุบอกร้องว่ากรรม ๆ น่าเสียดายพัด ทำไมเจ้าจึงเอาของวิเศษให้มันไปเล่า จะทำร้อนใจให้เราแล้ว นางล่อซั่วหัวเราะแล้วพูดว่าใต้อ๋องอย่าเพิ่งโกรธก่อน พัดที่ข้าพเจ้าให้ไปนั้น คือพัดปลอมเอาให้มันไป เห้งเจียถามว่าก็พัดจริงนั้นอยู่ที่ไหนเล่า นางล่อซั่วพูดว่าท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าเก็บรักษาไว้ดีแล้ว นางจึงเรียกสาวใช้ให้ยกกับข้าวและสุรามาตั้งบนโต๊ะ แล้วนางรินสุรายกสองมือส่งให้เห้งเจียพูดว่าใต้อ๋อง ได้ขันหมากใหญ่เลี้ยงโต๊ะรื่นเริง ได้ที่ใหม่ขออย่าลืมซึ่งได้ผูกพันธ์กันแต่เก่าก่อน ขอได้ดื่มสุราของข้าพเจ้าสักอึกหนึ่งเถิด
   เห้งเจียไม่อาจรับก็หัวเราะ ถือถ้วยอยู่กับมือแล้วพูดว่านางกินก่อน เพราะเราไปจัดแจงนอกบ้านได้ทิ้งห่างมานานแล้ว ได้พึ่งเจ้าอยู่คุ้มครองบ้านเรือนเคหาจึงได้ปรกติ ขออาศัยเวลานี้คำนับคุณของเจ้าจงดื่มก่อน นางรับแล้วกลับส่งยื่นคืนไปว่า คำโบราณย่อมว่า เมียนั้นคือความเสมอเรียบ ผัวนั้นเป็นบิดาเลี้ยงร่างกาย ใต้อ๋องจะมาขอบคุณข้าพเจ้าทำไมต่างก็ส่งไปมาปราศรัยกัน แล้วก็พากันเข้านั่งโต๊ะเห้งเจียไม่กล้ากินเนื้อสัตว์ กินแต่ผลไม้นั่งสนทนากัน​ไปมา นางล่อซั่วรู้สึกเมาก็เกิดความกำหนัดเข้านั่งชิดเห้งเจียแอบอิงกระทำการยียวนยั่วหยอกจับมือลูบคลำพูดจาเล้าโลมเคล้าคลึง เห้งเจียก็ผ่อนตามใจต่างก็อิงแอบแนบกายกัน เห้งเจียเห็นท่านางเมาสุรามากแล้ว จึงแคะไค้ไต่ถามว่า เจ้าเอาพัดนั้นเก็บไว้ที่ไหนจงเก็บไว้ให้ดี วิตกด้วยเห้งเจียมันแปลงเปลี่ยนได้หลายประการจะมาหลอกลวงเอาไปได้ นางล่อซั่วหัวเราะแล้วสำรอกพัดออกมาจากปาก ดูสักเท่าใบมะม่วงอ่อน หยิบส่งให้เห้งเจียว่านี่มิใช่หรือพัดของวิเศษ เห้งเจียรับมากับมือแต่ไม่เชื่อ นึกในใจว่าของเท่านี้จะพัดอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะดับไฟได้กลัวจะเป็นของปลอม นางล่อซั่วเห็นเห้งเจียพิเคราะห์ดูของนั้นเป็นช้านานนางก็อดไม่ได้ เอาแก้มมาพิงที่หน้าเห้งเจียเรียกว่า พี่ ๆ เอาของนั้นเก็บเสียมากินสุราเถิด จะนั่งคิดตรึกตรองไปทำไมให้เสียเวลาเล่า
   เห้งเจียพูดว่าของเล็ก ๆ เท่านี้ทำไมจึงดับไฟได้เป็นแปดร้อยโยชน์ นางล่อซั่วเมาสุรามากสติก็ฟั่นเฟือนจึงไขวิชาออกให้เห้งเจียฟังว่า ใต้อ๋องข้าพเจ้าห่างท่านได้สองปีเศษ เห็นใต้อ๋องไปอยู่กับนางเง็กมิ่นก๋งจู๊ทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ห่างกัน จึงได้ฟั่นเฟือนของวิเศษอยู่กับบ้านจึงได้ลืมไปหมดดังนี้ คือของวิเศษนั้น ต้องเอานิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายจับก้านแล้ว ก็ร่ายอาคมว่า ไซ้ฮือคากิ๊มฮีเป่าไปก็ยาวออกกว่าสองศอก พัดก็เปลี่ยนแปลงไปได้ต่าง ๆ จะกลัวทำไมกับไฟแปดร้อยโยชน์โบกทีเดียวก็จะดับไปทั้งหมด ​เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็จำอาคมนั้นไว้จงเอาพัดนั้นอมไว้ในปากแล้ว เอามือเกาที่คางร่างกายกลับเป็นรูปเดิม ร้องเรียกอีนางล่อซั่วมึงจำกูได้หรือไม่ มึงทำกลมายียวนชวนสังวาสโดยความกำหนัดในการเสน่หาไม่มียางอายเท่าเส้นผม ใครจะชมเชยมึงได้เล่า นางล่อซั่วแลเห็นเห้งเจียก็เสียใจสิ้นสติล้มลงกับฟื้นมีความอายอย่างที่สุด ร้องว่าฆ่าเราแล้ว ๆ เห้งเจียก็เดินออกจากถ้ำเหาะขึ้นบนเวหา
ในเมื่อเหาะมานั้น ก็คายของวิเศษออกจากปากทำวิธีเอาหัวแม่มือซ้ายจับที่ก้านพัดร่ายอาคมว่าไซ้ฮือคากิ๊มฮี เป่าไปพัดก็ยาวออกหกศอก เห้งเจียพิจารณาดูโดยละเอียดเห็นว่าพัดเล่มปลอมกับพัดเล่มนี้ผิดกันมาก เล่มนี้ดูมีรัศมีเปล่งออกมาต่าง ๆ เห้งเจียได้แต่ทำให้ยาวใหญ่ อันจะทำให้เล็กนั้นหาได้ถามไม่ แล้วก็แบกพัดใส่บ่าลดลงยังพื้นดินเดินกลับมาทางเก่า ฝ่ายงู่ม่ออ๋องครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้ว ก็ลากลับออกมานอกประตูไม่เห็นสัตว์กิมเจง นาคใหญ่จึงให้ตรวจค้นว่าใครลักเอากิมเจงของใต้อ๋องไป พวกคนใช้คุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า เมื่อเวลาเลี้ยงโต๊ะพวกข้าพเจ้าคอยรับใช้พร้อมกันไม่มีผู้ใดจะได้ออกมาข้างนอก เห็นแต่เปี้ยวตัวหนึ่งคลานเข้ามา หรือเปี้ยวตัวนั้นจะเป็นคนแปลงมาลักสัตว์กิมเจงไปดอกกระมัง งู่ม่ออ๋องได้ฟังดังนั้นก็นึกขึ้นได้จึงพูดว่า ท่านทั้งหลายไม่ต้องร้อนใจข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว เมื่อกลางวันมีอ้ายลิงหงอคงมันรักษาพระ​ถังซัมจั๋งไปไซที บัดนี้มาติดอยู่ที่เขาฮ้วยเอี้ยมซัว มันมาขอยืมพัดของเราจะเอาไปดับไฟ เราไม่ให้มันจึงได้เกิดรบพุ่งกันยังหาแพ้ชนะกันไม่ เพื่อนก็ให้คนไปเชิญเรา ๆ จึงได้พูดผลัดแก่มันว่า มากินโต๊ะแล้วจะกลับไปรบแก่มันใหม่
   อ้ายลิงตัวนี้มันมีสติปัญญาสามารถนัก แปลงกายได้หลายประการ มันจึงตามมาลักเอากิมเจงไปฉะนี้ คงจะย้อนไปหาภรรยาเราเพื่อจะหลอกลวงเอาพัดเป็นแน่ พวกนาคได้ฟังดังนั้นพากันหวาดเสียวสะดุ้งกลัวตัวสั่นสะท้านไปทุกคนแล้ว ถามงู่ม่ออ๋องว่าที่ทำวุ่นวายบนสวรรค์คนนั้นหรือมิใช่ งู่ม่ออ๋องว่าคนนั้นแหละ จึงพูดแก่พวกนาคว่า ข้าพเจ้าจะขอลาไปก่อนว่าแล้วก็ออกจากประตูแทรกน้ำขึ้นมา แล้วเหาะขึ้นบนเวหาตรงไปเขาจุ๊ยหุ้นซัวถ้ำปอเจียวต๋อง ครั้นถึงก็เข้าไปในถ้ำ ได้ยินนางล่อซั่วกำลังร้องไห้ตีอกชกศรีษะคร่ำครวญอยู่ งู่ม่ออ๋องจึงร้องให้เปิดประตูแลไปเห็นสัตว์กิมเจงผูกอยู่ข้างประตู งู่ม่ออ๋องร้องถามด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายซึงหงอคงมันไปทางไหน
   พวกสาวใช้เห็นงู่ม่ออ๋อง ต่างคนก็คุกเข่าลงคำนับว่าท่านใต้อ๋องมาแล้ว นางล่อซั่วเห็นงู่ม่ออ๋องมา ก็วิ่งเขามาเอาศรีษะกระแทกกับอกงู่ม่ออ๋องร้องไห้ว่า อ้ายแก่ทำไมมาทำแก่เราดังนี้ ทำไมไม่ระไวระวังกิมเจงไว้ ให้อ้างลิงมันลักมาขี่แปลงปลอมเป็นท่านมาหลอกลวงเราฉะนี้ งู่ม่ออ๋องได้ฟังภรรยาบอกดังนั้น มีความแค้นหาที่สุดมิได้ จึงถามว่ามันไปข้างทิศไหน นางล่อซั่วว่าอ้ายลิงมันหลอกข้าพเจ้าได้แล้ว มันจะไปข้างทิศไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ ​งู่ม่ออ๋องปลอบภรรยาว่าเจ้าอย่าเสียใจ พี่จะไปตามจับมันคืนเอาของวิเศษของเรามา แล้วจะถลกหนังสับฟันมันเสียสักหมื่นท่อน ลากเอาตับปอดออกมาแก้แค้นให้จงได้ แล้วสั่งให้เอาเครื่องแต่งตัวมาให้ คนใช้ว่าเครื่องอาวุธของท่านมิได้อยู่ที่นี่ งู่ม่ออ๋องว่าให้เกี่ยมของนางมาให้ยืมก่อน สาวใช้ก็เข้าไปเอาเกี่ยมสองอันออกมาส่งให้งู่ม่ออ๋อง ๆ แต่งตัวแล้ว มือถือเกี่ยมก็ออกจากประตูเหาะหมายเขาฮ้วยเอี้ยมซัว ก็พอมาทันเห้งเจียเข้า
(บทที่ ๖๑)
   งู่ม่ออ๋องมีความวิตกในใจว่า อ้ายลิงมันได้วิธีทำพัดให้ใหญ่ได้ แม้เราจะเข้าไปทวงถามมัน มันคงไม่ให้เราเป็นแน่ บางทีมันจะเอาพัดโบกเราจะปลิวไปถึงแปดหมื่นสี่พันโยชน์ ก็จะไม่สมคิด เราได้ยินว่าสานุศิษย์ที่สองของพระถังซัมจั๋งชื่อโป๊ยก่าย เราก็ได้พบเห็นรู้จักแล้ว จำเราจะแปลงเป็นโป๊ยก่ายหลอกมันเอาพัดจึงจะได้ คิดดังนั้นแล้วก็ร่ายคาถาแปลงกายเหมือนโป๊ยก่าย รีบเดินลัดตัดหน้าเห้งเจียมาก่อนย้อนกลับมารับเห้งเจีย ทำเป็นร้องเรียกว่าพี่เห้งเจียข้าพเจ้ามาแล้ว อาจารย์เห็นพี่มาช้าจึงให้ข้าพเจ้ามาตาม โดยเกรงว่างู่ม่ออ๋องจะขัดขวางไม่ให้พัด จึงให้ข้าพเจ้ารีบมาช่วย เห้งเจียหัวเราะว่าไม่ต้องเปลืองใจเป็นทุกข์พี่ได้มาแล้ว งู่ม่ออ๋องถามว่าทำอย่างไรจึงได้มา เห้งเจียว่างู่ม่ออ๋องรบแก่เราร้อยกว่าเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน มีผู้มาเชิญไปกินโต๊ะเธอผละจากเราไปกินเลี้ยงที่เขาล้วนเจียซัวบึงเพ๊กปอท้ำ พี่สะกดรอยตามไปลักเอากิมเจง​ขี่กลับมาที่ถ้ำปอเจียวต๋องหลอกนางล่อซั่วจึงได้พัดมา งู่ม่ออ๋องว่าพี่ต้องแบกพัดลำบากทำไม ส่งมาข้าจะแบกไปเอง เห้งเจียมิได้รู้ในกลอุบาย จึงส่งพัดใช้แก่งู่ม่ออ๋องไป งู่ม่ออ๋องรู้วิธีทำให้พัดเล็กลงได้ ก็ร่ายอาคมให้พัดเล็กลงเท่าใบมะม่วงอ่อน งู่ม่ออ๋องก็แปลงกายกลับเป็นรูปเดิม แล้วชี้หน้าว่าอ้ายลิงมึงจำกูได้หรือไม่
   เห้งเจียรู้ว่างู่ม่ออ๋องก็มีความเสียใจ คิดว่าเราไม่ดีเอง คิดแค้นใจตัว แล้วร้องตวาดคำหนึ่งทะลึ่งโลดดุจฟ้าลั่น ถือตะบองเข้าตีงู่ม่ออ๋อง ๆ ก็จับพัดเข้าโบกไปทีหนึ่ง เห้งเจียก็ไม่หวั่นไหวงู่ม่ออ๋องเห็นดังนั้น ก็เอาพัดใส่ปากสองมือถือเกี่ยมแกว่งกวัดเข้ารบกับเห้งเจียกลางอากาศ ต่างบุกบั่นคลุกคลีกันพักหนึ่ง มิได้ลดละแก่กัน
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง นั่งอยู่กลางทางคอยถ้าเห้งเจีย ความร้อนก็มากขึ้นอกใจก็แห้งเหี่ยวอยากน้ำเป็นกำลัง จึงถามเจ้าเขาว่าฝีมือกำลังงู่ม่ออ๋องเป็นประการใด เจ้าเขาตอบว่า งู่ม่ออ๋องนั้นมีฤทธาอานุภาพมากนัก กับเห้งเจียก็พอสู้กันได้ พระถังซัมจั๋งว่าหนทางนั้น เห้งเจียเคยไปมาในสองพันเส้นบัดเดี๋ยวก็กลับมา นี่เป็นอย่างไรไปวันหนึ่งแล้วก็ยังไม่เห็นกลับ เห็นจะไปต่อสู้อยู่แก่งู่ม่ออ๋องเป็นแน่ จึงเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาถามว่า ใครจะไปรับพี่เจ้าสักคนหนึ่ง ถ้าไปพบกำลังรบกันจะได้เข้าช่วยกัน ถ้าได้พัดแล้วก็ให้กลับจะได้รีบข้ามเขาไป โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะไปรับเอง แต่ทางจะไปเขา​เจ๊กลุ่ยซัวไม่เคยไป เจ้าเขาบอกว่าข้าพเจ้ารู้จักทาง ให้ซัวเจ๋งอยู่เป็นเพื่อนพระอาจารย์ เรากับท่านไปด้วยกัน พระถังซัมจั๋งมีความยินดี โป๊ยก่ายก็จัดแจงแต่งกายแข็งแรงแล้ว เอาคราดขึ้นบ่าพร้อมด้วยเจ้าเขาเหาะหมายตรงไปยังทิศอาคเนย์
   เมื่อกำลังเหาะมานั้น ได้ยินเสียงกึกก้องโกลาหลสะท้านหวั่นไหว โป๊ยก่ายก็หยุดรอดู เจ้าเขาพูดว่าท่านโป๊ยก่ายยังรออะไรอยู่อีกเล่าจึงไม่รีบเข้าช่วยเห้งเจียรบกับงู่ม่ออ๋อง โป๊ยก่ายได้ฟังเจ้าเขาเตือนดังนั้น ก็ชักคราดออกตรงเข้าไปร้องเรียกว่าพี่เห้งเจียข้าพเจ้ามาแล้ว เห้งเจ๊ยเห็นโป๊ยก่ายมาจึงด่าว่าอ้ายกินรำมึงทำให้เราเสียการ โป๊ยก่ายถามว่าข้าพเจ้าทำอะไรให้ท่านเสียการ เห้งเจียบอกว่าอ้ายงู่ม่ออ๋องมันทำอุบาย เราไปหานางล่อซั่วหลอกลวงเอาพัดมาได้แล้ว มันตามมาทันแปลงตัวเหมือนเจ้าหลอกเอาพัดคืนไปได้ เราจึงได้รบกับมันอยู่ที่นี่ โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จับคราดเหล็กตรงเข้ามาด่าว่าอ้ายควายกูจะลอกหนังมึงออก มึงทำไมจึงบังอาจสามารถแปลงเหมือนปู่ หลอกพี่กูดังนี้ให้พี่น้องขัดใจกัน โป๊ยก่ายว่ากระนั้นแล้ว ก็ถือคราดตรงเข้าสับงู่ม่ออ๋อง
   ฝ่ายงู่ม่ออ๋องรบแก่เห้งเจียมาวันหนึ่งแล้ว กำลังก็อ่อนลงมาก เห็นโป๊ยก่ายเหวี่ยงคราดมาโดยแรง ก็ยกเกี่ยมขึ้นรับทานกำลังโป๊ยก่ายไม่อยู่ก็ถอยหนี เจ้าเขาก็เรียกพวกทหารมาล้อมหน้าหลังสะกัดกั้นงู่ม่ออ๋องไว้ ร้องว่างู่ม่ออ๋องจงหยุดก่อน ด้วยพระถังซัมจั๋งจะ​ไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกเทพาอารักษ์เจ้านายที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งอินทร์พรหมทุกช่องชั้นฟ้าก็ช่วยพิทักษ์รักษา ท่านจงรีบเอาพัดปอเจียวนั้นดับไฟข้ามส่งเธอไปเถิด ถ้ามิฉะนั้นทราบถึงเง็กเซียงฮ่องเต้ โทษท่านก็จะถึงที่ตาย
   งู่ม่ออ๋องได้ฟังเทพารักษ์พูดดังนั้น จึงตอบว่า ท่านไม่รู้ว่าผิดชอบประการใด ข้อหนึ่งมันชิงลูกเราไป ข้อสองมันประมาทเมียน้อยเรา ข้อสามมันหลอกลวงเมียหลวงเรา มีความผิดดังนี้ เราจึงต้องติดตามมาเอาพัดคืน พูดยังไม่ทันขาดคำลงโป๊ยก่ายก็มาร้องด่าว่า อ้ายควายมึงรีบส่งพัดนั้นมาโดยเร็วเราจะยกชีวิตไว้ให้ งู่ม่ออ๋องก็หันกลับมารับสู้รบอีก โป๊ยก่ายเห้งเจียก็เข้ารุมรบระดมตี คนทั้งสามสู้รบกันเป็นตะลุมบอน ต่างฟาดพันกันโดยกำลัง งู่ม่ออ๋องสู้พลางถอยพลางรบกันอยู่คืนหนึ่งจนรุ่งสว่าง แลไปข้างหน้านั้นคือ เจ้าเขาเจ๊กลุ่ยซัวถ้ำม่อหุ้นต๋องคนทั้งสามยิ่งออกกำลังเข้มแข็งฟัดเหวี่ยงกันไปมา เจ้าเขาก็ให้พวกผีเข้าระดมช่วยรบเสียงสะท้านหวั่นไหว นางเง็กมิ่นก๋งจู๊ได้ยินดังนั้นก็ตกใจจึงร้องเรียกพวกบริวารใหญ่น้อยให้ถืออาวุธพร้อมกัน ออกไปช่วยงู่ม่ออ๋อง งู่ม่ออ๋องมีความยินดีด้วยเห็นพวกบริวารมาพร้อมกันช่วยรบ โป๊ยก่ายรับไม่หยุดก็ชักคราดถอยหนีเห้งเจียก็ล่าเหาะขึ้นบนเวหา พวกผีทหารเจ้าเขาก็พากันหลบหนีไปหมดสิ้น งู่ม่ออ๋องมีชัยชนะก็พาพวกบริวารกลับเข้าถ้ำปิดประตูแน่นมิได้ออกมา
   ฝ่ายเห้งเจียจึงพูดแก่โป๊ยก่ายแลเจ้าเขาว่า มันมีกำลังเข้มแข็งนักรบกันวันกับคืนหนึ่งแล้วมันยังไม่สิ้นกำลัง แลยังมีบริวารมาช่วยอีก บัดนี้มันก็เข้าถ้ำปิดประตูแน่นเสียอย่างนี้เราจะทำประการใด โป๊ยก่ายว่าถ้ายังนี้ก็ยากที่จะได้พัดวิเศษ ทำประการใดจะให้พระอาจารย์ข้ามเขาไปได้เล่า เรากลับไปทางเก่าเถิดหรือ เจ้าเขาได้ฟังโป๊ยก่ายว่าดังนั้นจึงพูดว่า เห้งเจียอย่าเป็นทุกข์โป๊ยก่ายอย่ามีความท้อถอย ท่านพูดว่าจะกลับไป ก็ดุจดังเข้าอุปสมบทแต่มิได้ปฏิบัติธรรมอันวิเศษ อาจารย์ท่านทั้งสองก็นั่งอยู่กลางทางตั้งตาคอยท่านทั้งสองกว่าจะสำเร็จการ เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็มีความแค้นพูดว่าท่านพูดนั้นถูกต้อง จึงพูดว่าเราพี่น้องจงตั้งใจขับเขี้ยวเอาพัดวิเศษนั้นให้จงได้ โป๊ยก่ายพูดว่าพี่พูดนั้นถูกแล้ว เราช่วยกันให้สำเร็จการ เห้งเจียโป๊ยก่ายเจ้าเขากับทหารผีก็พากันมาเข้าล้อมถ้ำม่อหุ้นต๋อง เห้งเจียโป๊ยก่ายตีประตูปากถ้ำหักพังหลายป่นละเอียดไปทั้งสิ้น พวกปีศาจที่เฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปบอกงู่ม่ออ๋องว่า เห้งเจียพาพักพวกมาตีประตูหักพังไปหมดสิ้นแล้ว
   ฝ่ายงู่ม่ออ๋องกำลังเล่าความให้เง็กมิ่นก๋งจู๊ฟังพอได้ยินคนมาบอกว่าเห้งเจียมาหักพังประตูดังนั้น ก็ยิ่งเกิดโทสะกัดฟันรีบสวมเกราะถือพลองออกมาด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉาน มึงเป็นผู้ใหญ่มาทำดังนี้สมควรหรือ โป๊ยก่ายร้องด่าว่าอ้ายเขาลอกหนัง มึงเป็นคนอย่างไรจึงได้พูดว่าเล็กว่าใหญ่ มึงอย่าหนีจงดูคราดของปู่ งู่ม่ออ๋อง​ร้องตวาดว่าอ้ายกินรำ มึงจงเรียกอ้ายลิงมาสู้กับกูจึงจะพอมือ เห้งเจียว่ามึงไม่รู้จักดีและชั่ว เมื่อวานนี้กูกับมึงว่าเป็นพี่น้องวันนี้กูจะเป็นผู้พยาบาทแก่มึง มึงจงระวังให้ดีมึงจะต้องกินตะบอง งู่ม่ออ๋องก็เอาพลองเข้ารับรบกัน ต่อสู้กันได้ประมาณร้อยเพลง โป๊ยก่ายเอาคราดกระโจมเข้าไปสับไม่รอรั้ง งู่ม่ออ๋องรับไม่หยุด ก็ล่าถอยหนีจะเข้าถ้ำมาโดนเจ้าเขาเอาพวกทหารผีเข้าล้อมสกัดไว้ ร้องตวาดว่างู่ม่ออ๋องจะหนีไปข้างไหน งู่ม่ออ๋องจะเข้าถ้ำก็ไม่ได้แลไปเห็นเห้งเจียโป๊ยก่ายไล่รุกเข้ามา งู่ม่ออ๋องไม่มีทางจะไป ก็ถอยเกราะถอดหมวกทิ้งไว้ แปลงเป็นนกเป็ดน้ำโผบินขึ้นบนอากาศหนีไป
   เห้งเจียเห็นแล้วก็หัวเราะบอกโป๊ยก่ายว่า งู่ม่ออ๋องหนีไปแล้ว โป๊ยก่ายและเจ้าเขาก็มิได้รู้พากันเหลียวซ้ายแลขวาเที่ยวค้นหา เห้งเจียชี้มือว่าที่บินบนอากาศนั่นแหละ โป๊ยก่ายว่านั่นนกเป็ดน้ำมิใช่หรือ เห้งเจียบอกว่านั่นคืองู่ม่ออ๋องมันแปลงตัว เจ้ากับเจ้าเขาจงตีขนาบเข้าไปในถ้ำจับพวกปีศาจในถ้ำฆ่าเสียให้หมด รื้อพังถ้ำเสียอย่าให้มันมีที่อาศัยได้ ตัวข้าจะตามไปต่อสู้จับมันให้จงได้ โป๊ยก่ายกับเจ้าเขาก็กระทำตามคำสั่งเห้งเจียตีรุกเข้าไปในถ้ำหักพังทำลายเสียสิ้น ฝ่ายเห้งเจียก็ร่ายคาถาแปลงเป็นนกเหยี่ยวใหญ่ โผ ร่อนมาในอากาศโฉบตัวนกเป็ดน้ำจิกเอาลูกตา งู่ม่ออ๋องก็ห่อปีกแปลงเป็นนกตะกรุมกลับมาจะจิกนกเหยี่ยว เห้งเจียก็แปลงเป็นนกหงส์ดำไล่จิกนกตะกรุม
   งู่ม่ออ๋องก็แปลงเป็นนกยางแล้วก็บินไปทางทิศอาคเนย์ ​เห้งเจียขยับปีกสลัดขนแปลงเป็นนกพระยาหงส์ งู่ม่ออ๋องเห็นดังนั้นก็หลบลงข้างภูเขาแปลงเป็นสัตว์สี่เท้า คืออีเก้ง ทำกิริยาเดินกินหญ้าอยู่ที่ชายเขา เห้งเจียเห็นก็โผตามลงมาแปลงเป็นเสือกระดิกหางจะใคร่กระโดดเข้าจับอีเก้งกิน งู่ม่ออ๋องตกใจก็แปลงเป็นเสือโคร่งกระโดดมาจะกัดเสือผอม เห้งเจียเห็นดังนั้นก็แปลงเป็นสางโถมมาตะครุบเสือโคร่ง งู่ม่ออ๋องก็กลายเป็นหมีคนแยกเขี้ยวจะเข้าทำร้ายสาง เห้งเจียก็กลายเป็นช้างจะเข้าจับหมีคน งู่ม่ออ๋องเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วก็แปลงกายไปตามเดิม เป็นกระบือใหญ่ศรีษะเท่าภูเขาตาดุจแสงฟ้าแลบสองเขาดุจพระเจดีย์ ฟันดุจคมมีดตัวยาวกว่าพันวา สูงได้แปดร้อยวา ร้องบอกแก่เห้งเจียว่าอ้ายสัตว์ลิงมึงจะทำอะไรกู เห้งเจียก็กลับกลายเป็นรูปเดิมชักตะบองออกกระทุ้ง กับพื้นทีหนึ่ง ร้องว่าให้สูงตัวก็สูงขึ้นหมื่นวาศรีษะใหญ่เท่าภูเขาท้ายซัว สองนัยน์ตาดุจดวงพระอาทิตย์ ปากดุจบ่อโลหิตฟันดุจบานประตู มือถือตะบองเหล็กหมายตีตรงศรีษะงู่ม่ออ๋อง ๆ ก็เอาเขาขวิดรบกันสะท้านหวั่นไหวก้องโกลาหล
   ทั้งสองแผลงอิทธิฤทธิ์อานุภาพต่อสู้กันอยู่กลางภูเขาใหญ่ หมู่เทวาอารักษ์ที่ท่องเที่ยวอยู่ในอากาศ แลเจ้ากิมเอียดที้หลักเตงหลักกะแลหมู่เจ้าที่รักษาธรรมทั้งหลายก็มาระดมช่วยล้อมงู่ม่ออ๋องไว้ งู่ม่ออ๋องก็ทำเฉยไม่หวาดหวั่นครั่นคร้าม เห้งเจียมารับหน้ากับหมู่เจ้าทั้งหลายก็พร้อมกันระดมตีงู่ม่ออ๋อง ๆ จวนตัวก็หมุนคว้างอยู่กับดิน แล้วกลับเป็นรูปเดิมหนีเข้าถ้ำปอเจียวต๋อง เห้งเจียก็พาหมู่เจ้าเทพารักษ์ไล่​ตามมา ฝ่ายงู่ม่ออ๋องหนีเข้าถ้ำได้ก็ปิดประตูแน่นไม่ออกมาสู้รบต่อ่ไป
 ฝ่ายหมู่เทพารักษ์ ก็พากันเข้าล้อมเข้าจุ๊ยหุ้นซัวไว้แน่นหนาไม่มีทางจะออกได้ ครั้นจะตีประตูเข้าไปก็พอได้ยินเสียงโป๊ยก่ายกับเจ้าเขากระหืดกระหอบวิ่งตามกันมา ทั้งหมู่ทหารมีก็กรูกันมาด้วย เห้งเจียถามว่าที่ถ้ำม่อหุ้นต๋องนั้นเป็นอย่างไรบ้าง โป๊ยก่ายหัวเราะพูดว่า เมียของอ้ายงู่ม่ออ๋องข้าพเจ้าสับด้วยคราดตายแล้ว แก้เสื้อออกดูก็เห็นเป็นปิศาจเสือปลา ปีศาจน้อย ๆ เหล่านั้นข้าพเจ้าฆ่าตายหมดแล้ว ถ้ำนั้นข้าพเจ้าเอาไฟเผาไหม้หมดแล้ว เจ้าเขาว่ามันมีที่อาศัยอยู่อีกแห่งหนึ่ง ที่นี่เขาใหญ่ชื่อถ้ำปอเจียวต๋องมิใช่หรือ เห้งเจียบอกว่าใช่ในนี้คือนางล่อซั่วอยู่ โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าทำไมไม่เร่งตีเข้าไปตามเอาพัดเล่าไว้ช้าการจะมีปัญญาต่อไป โป๊ยก่ายออกท่าโดยเข้มแข็ง เอาคราดสับกระชากประตูหักพังลงทั้งสิ้น พวกผู้หญิงที่เฝ้าประตูเห็นดังนั้นตกใจ พากันวิ่งเข้าไปบอกงู่ม่ออ๋องว่าบัดนี้ใครไม่รู้จักมันมาพังประตูลงหมดแล้ว
   งู่ม่ออ๋องเวลานั้นกำลังเล่าความที่เอาพัดคืนมาได้ และได้รบรอต่อสู้กันให้นางล่อซั่วฟัง ก็พอได้ยินคนเข้ามาบอกก็มีความโกรธเป็นอันมาก งู่ม่ออ๋องคายพัดวิเศษออกจากปากส่งให้นางล่อซั่ว ๆ รับเอาพัดมาแล้วก็ร้องไห้ จึงพูดว่าจงเอาพัดนี้ให้ซึงเห้งเจียไปเถิดมันจะได้ยกทัพกลับไป งู่ม่ออ๋องพูดว่าเป็นของเล็กน้อยก็จริง แต่ความแค้นเคืองนั้นลึกซึ้งนัก เจ้าจงนั่งก่อนพี่จะใคร่ออกต่อสู้แก่มันอีกสักพัก​หนึ่ง พูดดังนั้นแล้วก็เอาเกราะสวมใส่ตัวแล้วก็ถืออาวุธเกี่ยม กระโดดออกไปจากประตู ก็ปะโป๊ยก่ายกำลังสับพังประตู งู่ม่ออ๋องเอาเกี่ยมแทงโป๊ยก่าย ๆ เอาคราดรับขยับถอยออกมานอกประตู เห้งเจียก็มาทันเข้าเอาตะบองตีงู่ม่ออ๋องถูกเจ็บปวดก็บันดาลเป็นสายลมพยุห์ หนีออกจากถ้ำปอเจียวต๋องขึ้นอยู่บนยอดเขาจุ๊ยหุ้นซัว หมู่เจ้าและเทพารักษ์ก็เข้าช่วยกันล้อมงู่ม่ออ๋องไว้ พวกผีก็ระดมตีเข้าไปพร้อมกันทั้งซ้ายและขวา งู่ม่ออ๋องก็แข็งใจรบมิได้คิดแก่ชีวิต ต่อสู้กันไปมาประมาณห้าสิบเพลง ทานไม่ไหวก็ล่าหนีไปข้างทิศอุดรก็มาปะท่านกิมกางหงษ์ท้ายซัวซึ่งมีฤทธาอานุภาพกว้างใหญ่มาสกัดน่าร้องตวาดว่า งู่ม่ออ๋องจะหนีไปข้างไหน เรารับคำสั่งพระยูไลเจ้ามาล้อมจับตัวเจ้า
   กำลังพูดอยู่เห้งเจีย โป๊ยก่ายและหมู่เทพยดาก็ไล่ตามมา งู่ม่ออ๋องตกใจกลัวก็กลับหันหนีไปทางทิศอาคเนย์ ก็มาประเจ้ากิมกังโบ้เหลียงเส้งจี่สะกัดหน้าไว้ ตวาดว่าเรารับคำสั่งพระยูไลมาคอยจับตัวเจ้า งู่ม่ออ๋องก็หันกลับหนีไปทางทิศตะวันออก ก็ปะเจ้ากิมกังกุนโล้ซัวบุ๊นตั้วลัดสกัดหน้าคอยจับ งู่ม่ออ๋องก็หวาดหวั่นกลับหนีไปทางทิศตะวันตก ก็ปะเจ้ากิมกังปุ๊ดไหวย้งจู๊สกัดหน้าร้องตวาดว่างู่ม่ออ๋องจะหนีไปข้างไหน เรารับคำสั่งพระยูไลมาคอยจับเจ้าอยู่ที่นี่ งู่ม่ออ๋องเห็นทั้งสี่ทิศมีทหารพระยูไลมาคอยสะกัดจับอยู่ จะเข้าที่อับจนชีวิตจะไม่รอดแล้ว ก็พอเห็นเห้งเจียพาพวกใส่ติดตามมางู่ม่ออ๋องทำเมฆลอยขึ้นจะหนีไปบนอากาศ บนอากาศมีถักทะลีทีอ๋อง ​โลเฉียกับทหารเทพบุตรทั้งหลายสกัดไว้ ร้องเรียกว่ามาเร็ว ๆ พวกเราได้รับคำสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้มากำจัดเจ้า
   งู่ม่ออ๋องเห็นดังนั้นก็สั่นหัวแปลงเป็นกระบือขาวใหญ่ตรงเข้าไปจะขวิดถักทะลีทีอ๋อง ๆ ก็เอาดาบจะฟัน ข้างหลังเห้งเจียก็มาทัน โลเฉียร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ท่านเห้งเจียเครื่องมือมีอยู่กับตัวทำไมจึงจับไม่ได้ เมื่อวานนี้พระยูไลมีฎีกามาให้เง็กเซียงฮ่องเต้ว่าพระถังซัมจั๋งติดขัดที่เขาฮ้วยเอี้ยมซัว เห้งเจียคนเดียวกำจัดงู่ม่ออ๋องไม่ได้จึงให้ข้าพเจ้าพ่อลูกมาช่วยเห้งเจีย ๆ ว่างู่ม่ออ๋องมันมีฤทธิ์มากนักจะทำอย่างไรดีจึงจะปราบได้ โลเฉียหัวเราะแล้วพูดว่าเห้งเจียอย่ามีความสงสัย เราจะจับปีศาจงู่ม่ออ๋องให้ดู พูดดังนั้นแล้วโลเฉียก็แปลงกายเป็นสามเศียรหกกรกระโดดขึ้นบนหลังงู่ม่ออ๋อง เอาเกี่ยมวิเศษออกมาฟันคองู่ม่ออ๋องลงไปทีหนึ่งคอก็ขาดกระเด็นไป ศรีษะงู่ม่ออ๋องก็ออกมาอิกศรีษะหนึ่งปากก็พ่นควันคำออกมา นัยน์ตาก็แดงดุจแสงพระอาทิตย์ โลเฉียเห็นดังนั้นก็เอาเกี่ยมฟันลงไปอีกทีหนึ่ง คอก็ขาดศรีษะตกลง ศรีษะก็ออกมาทันทีอีกศรีษะหนึ่งอีก โลเฉียฟันซ้ำสิบทีศรีษะก็ออกมาทันทีทั้งสิบทีเหมือนกัน จึงเอาจักรไฟวิเศษแขวนที่เขางู่ม่ออ๋อง ไฟก็ลุกติดเขางู่ม่ออ๋องดิ้นรนกลิ้งเกลือกร้องด้วยเสียงอันดัง จะใคร่แปลงตัวหนี ถักทะลีทีอ๋องก็เอาจักรวิเศษส่องจับไว้จะแปลงก็มิได้ งู่ม่ออ๋องก็สิ้นฤทธิ์จึงร้องขอว่าอย่าล้างชีวิตข้าพเจ้าเสียเลย ข้าพเจ้า​ขอยอมตัวปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า โลเฉียว่าแม้รักชีวิตก็รีบเอาพัดมาโดยเร็ว
   งู่ม่ออ๋องว่าพัดนั้นอยู่ที่เขา ภรรยาข้าพเจ้าเขารักษาไว้ โลเฉียเห็นพูดดังนั้นก็เอาเชือกวิเศษออกร้อยจะมูกแล้วก็จูงมา เห้งเจียเจ้ากิมกังทั้งสี่ แลหมู่เทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลายเจ้าเขาแลโป๊ยก่ายทหารผีก็พร้อมกันไปที่ถ้ำปอเจียวต๋อง งู่ม่ออ๋องร้องบอกภรรยาให้เอาพัดมาถ่ายชีวิตร นางล่อซัวได้ยินสามีร้องเรียกดังนั้น ก็ถอดเครื่องแต่งตัวทองแหวนทิ้งเสียทั้งสิ้น ผลัดเครื่องนุ่งห่มเป็นชี มือถือพัดออกมาจากประตูคุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า ขอท่านได้กรุณายกชีวิตผัวเมียไว้ด้วยเถิด ข้าพเจ้าเอาพัดมาถวายให้อาซึงเห้งเจ้ย ขอให้อาสำเร็จกิจนั้นเถิด เห้งเจียก็เข้าไปรับพัดวิเศษจากนางล่อซั่วมาแล้วก็พร้อมกันกับหมู่เทพยดาอารักษ์ เหาะกลับมายังสำนักที่พระถังซัมจั๋งคอยอยู่
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับซัวเจ๋งนั่งชะแง้คอยดูอยู่ช้านานยังไม่เห็นกลับมา ก็มีความทุกข์ร้อนไม่สบายใจ แลไปก็เห็นเมฆเป็นรัศมีลอยมาเต็มทั้งฟ้าจวนจะถึง พระถังซัมจั๋งว่าตาย ๆ อีก นั่นกองทัพที่ไหนยกมา ซัวเจ๋งแลไปก็จำได้จึงพูดแก่พระอาจารย์ว่า นั่นคือท้าวกิมกังทั้งสี่กับเจ้าเอี๊ยดที้หลักเตงหลักกะ เจ้ารักษาธรรมทั้งหลาย และเทพยดาอารักษ์ทั้งหลาย กับที่จูงงู่ม่ออ๋องมานั้นคือโลเฉียท้ายจื๊อที่ถือกระจกนั้น คือถักทะลีทีอ๋อง พี่เห้งเจียแบกพัดวิเศษมากับเจ้าเขา​นั่นโป๊ยก่าย พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงครองจีวรออกมาคอยรับกับซัวเจ๋ง ครั้นท่านเหล่านั้นมาถึงพร้อมกัน พระถังซัมจั๋งก็ย่อตัวลงขอบคุณพูดว่า อาตมภาพบุญน้อยไม่ควรให้ท่านทั้งหลายได้ความลำบากลงมาถึงนี่
   เจ้ากิมกังทั้งสี่บอกแก่พระถังซัมจั๋งว่า ข้าพเจ้ามีความยินดีด้วยท่าน ขอให้สำเร็จซึ่งมรรคและผลเถิด พระยูไลเจ้ามีรับสั่งให้พวกข้าพเจ้ามาช่วยท่าน ๆ จงอย่าได้เกียจคร้าน พระถังซัมจั๋งย่อตัวคำนับรับคำ เห้งเจียก็เอาพัดวิเศษเดินเข้าไปใกล้เขายกพัดขึ้นโบกโดยเต็มกำลังทีหนึ่ง ไฟนั้นก็ค่อย ๆ ราบสงบลงไป เห้งเจียดีใจก็โบกซ้ำอีกสองที ก็ได้ยินเสียงลมพัดอู้ฝนก็ตกลงมาเต็มท้องฟ้า เวลานั้นพระถังซัมจั๋งก็หายความเร่าร้อนจิตใจก็ผ่องใสสบายเป็นความสุขเย็น อาจารย์กับศิษย์ก็พากันคำนับขอบคุณ เจ้ากิมกังกับเทพยดาทั้งหลายก็พากันกลับไปยังสถานทิพย์วิมานแห่งตน ๆ หมู่ลักเตงลักกะก็คอยตามรักษาพยาบาลพระถังซัมจั๋ง ถักทะลทีอ๋อง โลเฉียก็จูงงู่ม่ออ๋องไปกราบทูล เจ้าเขาก็นำนางล่อซั่วมาอยู่ข้างนั้น
   เห้งเจียพูดว่านางล่อซั่วทำไมยังไม่ไปจะมาอยู่ที่นี่ทำไม นางล่อซั่วคุกเข่าลงพูดว่า เดิมท่านได้พูดว่า ยืมพัดไปดับไฟแล้วก็จะคืนให้ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่ทันคิดไม่ให้พัดแก่ท่าน จึงได้เกิดจลาจลให้ท่านได้ความลำบาก ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติบวชมาก็พูดภาษา​มนุษย์ได้แล้ว แต่ยังมิได้สำเร็จมรรคผล ขอท่านใต้เซียได้คืนพัดให้ข้าพเจ้าบวชเรียนต่อไป เจ้าเขาจึงพูดแก่เห้งเจียว่า อันหญิงนี้เข้าใจในการใช้พัดไฟ ขอท่านคืนพัดให้เสียเถิดจะได้เอาไว้ดับไฟช่วยสัตว์ทั้งหลายในตำบลนี้ เปนสุขต่อไป เห้งเจียพูดว่าเราได้ถามชาวบ้านเหล่านี้บอกว่าโบกสามทีไฟก็ดับ ทำนาได้ข้าวปีหนึ่งก็ทำอย่างไรจึงดับไฟไม่สิ้นได้
   นางล่อซั่วพูดว่าแม้ว่าอยากดับให้สิ้นรากเหง้าไฟนั้น ต้องพัดโบกซ้ำๆ สี่สิบเก้าทีก็จะดับไฟได้ไม่มีไฟต่อไป เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็เอาพัดโบกไปสี่สิบเก้าทีฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ อาจารย์กับศิษย์ก็หลบไปในที่ไม่มีฝน เหตุว่าที่ใดไม่มีไฟฝนก็ไม่ตกไปที่นั้น อาจารย์กับศิษย์ก็พักอยู่คืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งเห้งเจียก็เอาพัดคืนให้นางล่อซั่ว ๆ ก็เสกให้พัดเล็กลงเอาใส่ปากอมแล้ว ก็คำนับลาไปหาที่สำนักบวชเรียนตามเพศนักบวช ฝ่ายพระถังซัมจั๋งก็ตั้งหน้าหมายตรงไปทิศปราจิณเดินข้ามเขาฮ้วยเอี้ยมซัวมาได้แล้วก็เป็นที่เย็นใจ

19 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 44 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๙)
 เมื่อกำลังเดินมาดูวันคืนก็เร่งรีบในฤดูเดือนเก้าเดือนสิบพากันต้องแดดแผดร้อน พระถังซัมจั๋งถามว่าฤดูนี้ ทำไมจึงร้อนมากขึ้นดังนี้ โป๊ยก่ายพูดว่าได้ยินเขาว่าหนทางทิศปราจิณนี้มีเมืองหนึ่งเรียกว่า ก๊ะรีก๊ก เป็นที่ตะวันตกและเรียกว่าสิ้นทางฟ้า แม้เวลาจวนเย็นเจ้าแผ่นดินให้คนขึ้นกำแพงเมืองตีกลองเป่าเขากระบือเพราะดวงตะวันเป็นธาตุไฟ ตกลงในทะเลเปรียบเหมือนไปจุ่มน้ำเสียงเดือดดัง แม้ไม่ตีกลองเป่าเขากระบือกลบเสียงไว้ เสียงดังสะท้านเด็กทารกก็ตกใจตาย ที่ตำบลนี้มีอายอบร้อนดังนี้ เห็นจะถึงเมืองตะวันตกนั้นดอกกระมัง
   เห้งเจียฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นอดไม่ได้ หัวเราะแล้วก็พูดว่าอ้ายหมูอย่าพูดเลอะเทอะไปไม่มีหลักฐาน อันจะคิดดูว่าเมืองก๊ะรีก๊กใกล้ดังนี้ทีเดียวหรือ หากจะประมาณดูเสมออายุอาจารย์เท่านี้แก่แล้วหนุ่ม ๆ แล้วแก่อย่างนี้สักสามหนก็เห็นจะยังไม่ถึง โป๊ยก่ายพูดว่าพี่ว่าไม่ใช่เมืองตะวันตกก็เมืองอะไรเล่า ซัวเจ๋งพูดว่าคิดดูก็จะเป็นอากาศแปรปรวนวิปริตดอกกระมัง จึงได้ฝนกลายเป็นร้อนอย่างนี้ไปได้ คนทั้งสามพูดโต้ตอบกันไปมาแลไปเห็นหมู่บ้านมีตึกมุงกระเบื้องแดงห้องหอก็ก่อด้วยอิฐแดง ประตูหน้าต่างนอกในล้วนทาด้วยสีแดงทั้งสิ้น
   ​พระถังซัมจั๋งลงจากม้าเรียกเห้งเจียให้เข้าไปที่หมู่บ้านนั้น ถามข่าวชาวบ้านดูว่าอันไอร้อนนั้นด้วยเหตุประการใด เห้งเจียก็เอาตะบองซ่อนในเสื้อ แล้วเดินเข้าไปยังประตูบ้าน เห็นตาเฒ่าเดินออกมาคนหนึ่งเงยหน้าเห็นเห้งเจียก็ตกใจ เอาไม้สักเท้าชี้ว่านี่เจ้ามาแต่ไหน เป็นคนอะไรมายืนอยู่หน้าประตูบ้านเรามีธุระอะไรหรือ เห้งเจียคำนับแล้วพูดว่าท่านตาอย่าตกใจกลัวข้าพเจ้าเลย ไม่ใช่ยักษ์มารอะไรหรอก ข้าพเจ้ามาจากประเทศจีนเมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระแผ่นดินให้ไปอาราธนาพระไตรปิฎกเมืองไซทีอาจารย์กับศิษย์สี่คนด้วยกัน บัดนี้ข้ามมาถึงนี่ กระทบไออากาศร้อนผิดปรกติไม่รู้ถึงเหตุผลอันนั้น อยากจะทราบว่าตำบลนี้เรียกว่าตำบลอะไร จึงได้มาเพื่อจะถามความให้สิ้นสงสัย แลเพื่อให้เข้าใจชัดแน่
   ตาเฒ่าได้ฟังดังนั้นค่อยวางใจออกหัวเราะได้ จึงพูดว่าท่านอย่าถือข้าพเจ้าเลยคนแก่หูตาไม่เห็นไม่รู้จักว่าต่ำสูง ที่ท่านว่ามาด้วยกันหลายคนนั้นอยู่ที่ไหน ขอเชิญมาพักที่ในบ้านข้าพเจ้าก่อนเถิด เห้งเจียจึงเอามือกวักร้องเรียกให้เข้ามา พระถังซัมจั๋งแลเห็นก็พร้อมกันเข้ามากับโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ครั้นถึงพระถังซัมจั๋งก็ย่อตัวปราศรัยแก่ตาเฒ่า ตาเฒ่าแลเห็นพระถังซัมจั๋งรูปร่างงดงาม แต่โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งนั้นรูปร่างหน้าตาไม่น่าดู ตาเฒ่าก็นิมนต์เข้านั่งพักข้างใน สั่งคนใช้ยกน้ำร้อนน้ำชาออกมาถวาย พระถังซัมจั๋งจึงถามตาเฒ่าว่าท่านตาตำบลนี้เหตุใดฤดูฝน ทำไมจึงแปรเป็นฤดูร้อนมากอย่างนี้เล่า ตาเฒ่าจึงบอกว่าตำบลนี้เรียกว่า เขาฮ้วยเอี้ยมซัวคือเขตเขาไฟ ร้อนตลอดอยู่อย่างนี้เป็นนิจทั้งสิบสองเดือน พระถังซำจั๋งถามว่าเขาฮ้วยเอี้ยมซัวนี้อยู่ข้างไหน จะขวางทางที่จะไปไซทีนั้นหรือเปล่า
   ตาเฒ่าบอกว่าหนทางจะไปไซทีนั้นไปไม่ได้ ตั้งแต่นี้ไปไกลประมาณหกสิบโยชน์ ตรงทิศไซทีนี้ไปมีแปดร้อยโยชน์รอบภูเขานั้นล้วนแต่ไฟลุกประจำอยู่อย่างนั้นเสมอ หญ้าสักเส้นหนึ่งก็ไม่ขึ้นมาได้หากว่าจะข้ามเขานี้ไป ตัวเป็นทองแดงหรือเหล็กก็จะต้องละลายไหม้เป็นจุณไปทั้งสิ้น พระถังซัมจั๋งได้ฟังตาเฒ่าบอกดังนั้นตกใจไม่อาจถามต่อไป ได้ยินเสียงคนร้องขายขนมอยู่นอกรั้ว แต่ใส่เกวียนเหล็กเข็นมา
   เห้งเจียก็ถอนเอาขนหางออกเส้นหนึ่ง เสกเป็นเบี้ยทองแดงแล้วเดินออกไปซื้อขนม ชายหนุ่มนั้นหยิบขนมส่งให้เห้งเจีย เห้งเจียเอาเบี้ยทองแดงส่งให้เจ้าขนมแล้วรับขนมใส่มือ ขนมนั้นกำลังมีไอร้อน เห้งเจียรู้สึกดุจถ่านไฟกำลังลุก ร้องว่าร้อนนัก ๆ แลร้อนดังนี้เห็นจะกินไม่ได้ เจ้าของขนมยืนหัวเราะแล้วพูดว่า กลัวความร้อนจะมาทำไมที่นี่  ที่นี่ร้อนทั่วไปทุกแห่ง เห้งเจียจึงพูดว่าตัวเป็นลูกผู้ชายไม่รู้จักเหตุ คำโบราณท่านย่อมว่าฤดูไม่หนาวไม่ร้อนข้าวกล้าก็ไม่เกิด ตัวพูดว่าร้อนตลอดสิบสองเดือนดังนี้ แม้ว่าอยากได้ข้าวทำขนมจะได้​เข้ามาทำที่ไหนเล่า บุรุษผู้นั้นจึงพูดว่าตำบลนี้แม้ว่าอยากได้ข้าวก็ต้องเคารพขอพัดเทวดา
   เห้งเจียถามว่าพัดเทวดานั้นเป็นอย่างไร บุรุษผู้นั้นตอบว่า อันพัดนั้นเป็นเหล็กรูปคล้ายแก่ใบกล้วย แม้ขอมาได้โบกทีหนึ่งไฟก็ดับ โบกสองทีก็เกิดลม โบกสามทีก็เกิดฝน พวกข้าพเจ้าก็ลงกล้าทันเวลาได้ผลก็เก็บไว้ เพราะฉะนั้นจึงได้ผลเมล็ดข้าวไว้เลี้ยงชีวิตทุกวันนี้ ถ้าไม่มีพัดนั้นหญ้าสักเส้นหนึ่งก็ไม่มี เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็กลับเข้ามาในบ้าน เอาขนมถวายพระอาจารย์แล้วพูดว่า พระอาจารย์จงวางใจเถิด ฉันขนมนี้แล้วข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านฟัง พระถังซัมจั๋งรับเอาขนมนั้นไว้แล้ว เห้งเจียจึงหันไปถามตาเฒ่าเจ้าของบ้านว่า ท่านตารู้ว่าเทวดาพัดเหล็กนั้นอยู่ที่ไหน ตาเฒ่าถามว่าท่านจะถามทำไมหรือ เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าได้ยินคนขายขนมพูดว่า เทวดานั้นมีพัดอยากจะใคร่ขอมาพัดให้เขาไฟนั้นดับจะได้ข้ามไป และอยากจะให้ชนทั้งหลายทำไร่ไถนาได้ผลข้าวกล้าไว้เลี้ยงชีวิตต่อไป ตาเฒ่าว่าอันความนั้นก็จริงดังท่านพูด วิตกแต่ท่านจะไม่มีของกำนันไปหาท่านเทวดาที่ไหนจะให้พัดมาเล่า
   พระถังซัมจั๋งถามว่าเทวดานั้นจะต้องประสงค์สิ่งใดหรือ ตาเฒ่าบอกว่าพวกชาวบ้านตำบลนี้สิบปีไปขอครั้งหนึ่ง ต้องมีธูปเทียน ดอกไม้ เหล้า หมู เป็ด ไก่ แพะ แล้วอาบน้ำชำระตัวให้สะอาด ตั้งใจไปถึงที่ถ้ำเทวดา ขอร้องอ้อนวอนจึงจะได้มา   ​เห้งเจียถามว่าเขานั้นอยู่ที่ไหน ตำบลนั้นชื่ออะไร ประมาณทางไกลจากนี่สักเท่าได ข้าพเจ้าจะได้ไปขอยืมพัด ตาเฒ่าบอกว่าเขานั้นอยู่ตะวันตกเฉียงใต้ เขานั้นนามเรียกว่า เขาจุ้ยหุ้นซัว ในนั้นมีถ้ำเรียกว่าถ้ำ (ปอเจียวต๋อง) จากนี้ไปประมาณไกลพันห้าร้อยโยชน์
เห้งเจียได้ฟังดังนั้น พูดว่าไม่สู้ไกลนักดอกข้าพเจ้าจะไปหา พูดแล้ววับเดียวก็หายไป ตาเฒ่าเห็นดังนั้นก็ตกใจ แล้วพูดว่าท่านเป็นผู้สำเร็จเชี่ยวชาญเหาะเหินเดินอากาศได้ดังนี้ ไม่บอกให้ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบบ้างเลย ในบ้านตาเฒ่าไม่ว่าเด็กและผู้ใหญ่ ต่างมีความเลื่อมใสศรัทธาพระถังซัมจั๋งยิ่งขึ้น ฝ่ายเห้งเจียเหาะไปบัดเดี๋ยวก็มาถึงเขาจุ๊ยหุ้นซัว ก็ลงไปยังยอดเขา จะใคร่ค้นหาปากถ้ำเดินมาบังเอิญได้ยินเสียงคนตัดฟืนในป่า เห้งเจียก็เดินเข้าไปใกล้คำนับแล้วถามว่า ท่านที่ตัดฟืนอยู่นั้นข้าพเจ้าขอถามสักคำหนึ่งเถิด คนตัดฟืนหันมาคำนับตอบถามว่า ท่านจะไปข้างไหนหรือ เห้งเจียถามว่านี่เรียกเขาจุ๊ยหุ้นซัวใช่หรือไม่ คนตัดฟืนบอกว่านี่และ เห้งเจียถามว่าที่เทวดาพัดเหล็ก ถ้ำปอเจียวต๋องนั้นอยู่ที่ไหน คนตัดฟืนหัวเราะพูดว่า ถ้ำปอเจียวต๋องนั้นมีแต่พัดเหล็กเทวดาไม่มี มีแต่พัดเหล็กก๋งจู๊ และชื่อล่อซั่วหนึงเป็นเมียของงู่ม่ออ๋อง

   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นตกตะลึงใจหาย นึกว่ามาพบคนพยาบาทกันเข้าแล้ว เมื่อก่อนนั้นที่เขาเก๊ยเอี้ยงซัว เราก็กำจัดอั้งฮั้ยยี้ คือ​ลูกของนางล่อซั่วนี้ แลเมื่อก่อนนั้นพบกับอามันที่ถ้ำพั้วยี่ต๋อง อามันก็ยังไม่ให้น้ำ จะคิดแก้แค้นแทนหลานของมัน บัดนี้มาพบแม่มันที่ไหนจะยืมพัดได้ แต่ได้มาถึงที่นี่แล้ว ไม่รู้ที่จะทำประการใด ก็ผละจากคนตัดฟืน เดินตรงไปยังถ้ำปอเจียวต๋อง แลเห็นบานประตูปิดแน่น พิจารณาดูรอบคอบเห็นที่รื่นเริงสง่างาม เห้งเจียตรงเข้าเคาะประตูร้องเรียกว่า พี่งู่ม่ออ๋องเปิดประตูรับด้วย มีคนมาถอดกลอนประตูเปิดออก แลเข้าไปเห็นหญิงคนหนึ่งเดินออกมา มือหนึ่งถือกะเช้า มือหนึ่งถือไม้ตะขอ ดูรูปร่างเศร้าหมองรุงรังไม่ตกแต่งร่างกายแต่ดูกิริยาเป็นคนใจบุญ เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้ยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า แม่หนูช่วยโปรดบอกนางก๋งจู๊ทราบด้วย ว่าข้าพเจ้ามาจากเมืองใต้ถังจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม บัดนี้เดินทางมาก็ติดขัดที่เขาฮ้วยเอี้ยมซัวไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะขอยืมพัดไปพัด เมื่อสมประสงค์แล้ว จะเอากลับมาคืนให้
   จึงนางนั้นถามว่า ท่านชื่อเรียงเสียงใดจงบอกมาให้แจ้ง ข้าพเจ้าจะนำความไปบอกให้ เห้งเจียบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อซึงหงอคง นางนั้นได้ฟังก็กลับเข้าไปบอกแก่นางล่อซั่วว่า ขอแม่นางจงได้ทราบ บัดนี้มีหงอคงอยู่ประเทศจีนจะขอยืมพัดดับไฟ จะได้ข้ามไปให้พ้นเขาฮ้วยเอี้ยมซัวแล้วจะเอากลับคืนให้ ฝ่ายนางล่อซั่วได้ยินขึ้นชื่อว่า หงอคงดุจไฟลุกเอาน้ำมันรด​เติม ให้เกิดความโกรธแค้นขึ้นมาทันที จึงด่าว่าอ้ายสัตว์ลิง วันนี้มึงมาถึงที่นี่นางจึงให้คนเอาเครื่องแต่งตัวมา นางสวมเกราะแล้วมือก็ถืออาวุธเกี่ยมทั้งสองมือเดินออกมา ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายหงอคงมึงอยู่ที่ไหน เห้งเจียแลเห็นก็ย่อตัวคำนับแล้วพูดว่า พี่สะไภ้ข้าพเจ้ามาคอยนานแล้ว นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้นก็ตวาดว่าใครเป็นพี่สะใภ้มึงที่ไหน ใครให้มึงมาคอยทำไม
   เห้งเจียตอบว่า พี่งู่ม่ออ๋องผูกไมตรีเป็นพี่ข้าพเจ้า ก็พี่เป็นภรรยาเธอไม่ใช่พี่สะใภ้จะให้เรียกอะไรเล่า นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้น จึงพูดว่าอ้ายลิง แม้ว่ามึงคิดเป็นฉันญาติ มึงก็ไม่คิดทำให้ลูกเราตกอยู่ในหลุมบ่อดังนั้น เห้งเจียทำเป็นไม่รู้ ถามว่าลูกของพี่คือใครที่ไหน นางล่อซั่วพูดว่าลูกเราอั้งฮั้ยยี้ถูกเจ้าคิดกลอุบายทำวงศ์ญาติของเราย่อยยับ เราจะตามตัวแก้แค้นให้ลูกเราก็ยังไม่พบตัว วันนี้เจ้าเอาชีวิตมาส่งถึงประตูบ้าน ใครจะละชีวิตเจ้าให้รอดไปได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊าก ๆ พักหนึ่งแล้วพูดว่า พี่ทำไมจึงไม่ตรองดูเหตุการณ์เดิมนั้นมันเป็นประการใด มาหลงแค้นเคืองข้าพเจ้า คือบุตรของพี่จับเอาอาจารย์ของข้าพเจ้าไปจะต้มแกง พระโพธิสัตว์มาเอาตัวอั้งฮั้ยยี้ไป ช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าออกได้ บัดนี้อั้งฮั้ยยี้ไปอยู่กับพระโพธิสัตว์เป็นเสี้ยนใช้ท่งจื๊อรักษาตามทางชอบธรรม อายุยืนเสมอดินฟ้าเป็นประเสริฐยิ่ง ไม่ขอบคุณข้าพเจ้ายังกลับมาแค้นเคืองฉะนี้เห็นถูกต้องแล้วหรือ
   ​นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้น พูดว่ามึงอ้ายชาติลิงฝีปากดี ลูกของเราถึงไม่ถึงแก่ชีวิตแต่ทำอย่างไรจึงจะได้มาหาเราได้เห็นหน้ากันแม่ลูก เห้งเจียหัวเราะพักใหญ่ แล้วพูดว่าพี่อยากจะใคร่พบหรือ จะยากอะไรนักหนา พี่จงขอยืมพัดให้ข้าพเจ้าพัดดับไฟที่เขาฮ้วยเอี้ยมซัวส่งอาจารย์ข้าพเจ้าข้ามพ้นไปแล้ว ข้าพเจ้าจะข้ามไปน่ำไฮ้ขอแก่พระโพธิสัตว์เชิญอั้งฮั้ยยี้มาหาพี่อย่างนี้แม่ลูกจะได้พบปะกัน แล้วพี่จึงดูอั้งฮั้ยยี้จะซูบผอมบุบสลายอย่างไรบ้าง แม้ว่าอั้งฮั้ยยี้บุบสลายอย่างไรแล้ว เมื่อเวลานั้นพี่จึงค่อยแค้นเคืองข้าพเจ้าจึงจะถูก หากว่าบริบูรณ์ยิ่งกว่าเก่าพี่ก็ต้องคิดถึงคุณข้าพเจ้าให้จงมากเถิด นางล่อซั่วจึงพูดว่า อ้ายลิงสอพลอทำกระดิกลิ้น มึงจงยื่นหัวมาให้เราฟันด้วยเกี่ยมสักสองสามที แม้ว่าทนได้เราจึงจะให้ยืมพัด แม้ว่าทนไมได้เจ้าก็ต้องไปหาพระยามัจจุราชเถิด
   เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็พนมมือ เดินมาใกล้นางล่อซั่วหัวเราะพูดว่า พี่ไม่ต้องพูดมากข้าพเจ้าจะยื่นศรีษะให้ท่าน ตามแต่พี่จะฟันมากน้อยสักเท่าใดก็ตามใจเถิด แล้วจะต้องให้ข้าพเจ้าขอยืมพัดไปทำธุระบ้างก็แล้วกัน นางล่อซั่วสองมือจับเกี่ยมตรงเข้ามาฟันเห้งเจียสักสิบทีเห้งเจียก็ยืนเฉยไม่เห็นมีบาดแผล และเจ็บป่วยประการใด นางล่อซั่วเห็นดังนั้นก็ตกใจขยับตัวจะหนี เห้งเจียเห็นดังนั้นถามว่าพี่จะไปไหน ต้องให้เรายืมพัดก่อน นางล่อซั่วพูดว่าของวิเศษของเราใครจะให้เจ้าไปง่าย ๆ ดังนั้น เห้งเจียพูดว่าถ้าไม่ยอมให้ก็จงลองกินตะบองของอาดูสักทีหนึ่งก่อน เห้งเจียมือหนึ่งยึดนางล่อซั่วมือหนึ่งชักตะบองออกจากหู นางล่อซั่วก็สลัดมือหลุดพ้น สองมือถือเกี่ยมตรงเข้ามาฟันฟาดเห้งเจีย เห้งเจียก็แกว่งตะบองเข้าประจัญบานรบกัน ต่างออกกำลังโดยเข้มแข็งรบกันอยู่บนยอดเขาจุ๊ยหุ้นซัวจนเวลาบ่ายไม่แพ้ชนะกัน ฝ่ายนางล่อซั่วเห็นตะบองหนักมากจะทานไม่ไหว จึงชักพัดวิเศษออกพัดโบกไปทีหนึ่งก็บันดาลเกิดลมพัดหอบเอาเห้งเจียปลิวไปตามลม ยั้งตัวก็ไม่ได้ไม่อยู่ ฝ่ายนางล่อซั่วมีชัยชนะแล้วก็กลับเข้าถ้ำ
• • • • • • • • •
จบเล่ม ๒ ไซอิ๋ว
เล่ม ๓ ยังพิมพ์ต่อไป น่าต้น ไซอิ๋ว เล่ม ๓
   ​ฝ่ายเห้งเจียนั้นถูกม้วนลมหอบไปลิ่ว ๆ จะตกลงดินก็ไม่ตกลงได้ เปรียบดุจพายุพัดใบไม้ปลิวลอย และดุจกระแสน้ำอันเชี่ยวไหลส่งดอกไม้ที่ล่องลอยในกลางมหาสมุทร ปลิวไปคืนหนึ่งจนสว่างจึงมาตกที่ยอดเขา เห้งเจียสองมือยึดเอาก้อนศิลาใหญ่ไว้ หยุดอยู่ครู่หนึ่งพอหายหอบจึงพิเคราะห์ดูโดยละเอียดก็รู้ได้ว่า ถึงเขาพระสุเมรุแล้ว เห้งเจียก็ถอนใจใหญ่ว่า อีนางคนนี้มันร้ายแรงจริงเหลือเกิน มันทำอย่างไรจึงได้ส่งเรามาถึงนี่ เราจำได้เมื่อครั้งก่อนเคยมาที่นี่หาพระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดไปช่วยปราบปีศาจ อึ้งฮอง ช่วยอาจารย์เรา ที่เขาฮองกุ้ยซัวนั้นมาทางทิศอาคเนย์ ทางประมาณสามพันโยชน์ บัดนี้มาถึงนี่ไม่รู้ว่าระยะทางสักเท่าไร จำเราจะต้องลงไปถามดูจึงจะรู้แน่จะได้กลับไปทางเก่าได้ เวลาเมื่อกำลังไตร่ตรองอยู่นั้น พอได้ยินเสียงระฆังดังสนั่น เห้งเจียก็รีบเดินลงมาจากยอดเขาตรงมายังสำนักใหญ่ ที่ประตูมีเต้าหยินคนหนึ่ง แลเห็นเห้งเจียเดินเข้ามา ก็รีบเดินเข้าไปบอกว่า บัดนี้มีคนที่มาหาครั้งก่อนมาอีกแล้ว เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นก็รีบเดินออกมารับเข้าไปข้างใน แล้วถามว่านี่ท่านไปอาราธนาพระธรรมมาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าที่ไหนจะได้กลับเร็วดังนั้น เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์พูดว่า ก็ยังไปไม่ถึงวัดลุ่ยอิมยี่ ใต้เซียกลับมานี่ทำไมเล่า
   เห้งเจียบอกว่า เมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้ามาพึ่งท่านช่วยปราบปีศาจอึ้งฮอง ครั้นพ้นจากนั้นเดินไป อันความทรมานลำบากนั้นเหลือที่จะพรรณาได้ บัดนี้มาถึงเขาฮ้วยเอี้ยมซัวก็ไม่ข้ามไปได้ ครั้นได้ยินว่ามีพัดเทวดาจึงจะดับไฟเขานั้นได้ ข้าพเจ้าจึงได้สืบหาอันที่จริงพัดนั้นของเมียงู่ม่ออ๋องซึ่งเป็นมารดาของอั้งฮั้ยยี้ เธอโกรธว่าข้าพเจ้าจับบุตรเธอมาให้พระกวนอิมเป็นสานุศิษย์ไม่ได้เห็นหน้าลูก เธอแค้นเคืองผูกพยาบาทข้าพเจ้าไม่ยอมให้ยืมพัดไป จึงได้เกิดรบพุ่งกันขึ้น เธอเอาพัดโบกทีหนึ่งเกิดเป็นลมพัดปลิวมาถึงนี่ข้าพเจ้าจำได้ จึงเข้ามานมัการถามหนทางที่จะกลับไป ตั้งแต่นี่ถึงเขาฮ้วยเอี้ยมซัวประมาณทางใกล้ไกลสักเท่าใดไม่ทราบ พระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า หญิงนั้นนามเรียกว่า ล่อซั่วเรียกพัดเหล็กก๋งจู๊ อันพัดนั้นเริ่มมีฟ้าดิน ประกอบอากาศธาตุบังเกิดมีพัดอันนี้ เพราะฉะนั้นจึงดับไฟได้ หากว่าโบกถูกคนทีหนึ่งก็ปลิวไปแปดหมื่นสี่พันโยชน์จึงจะหยุด ที่นี่จะไปตำบลเขาฮ้วยเอี้ยมซัวนั้นทางประมาณห้าหมื่นโยชน์ นี่หากเห้งเจียมีฤทธาอานุภาพเรียกเมฆหยุดได้ หาไม่ก็ยังจะไปไกลกว่านี้อีก เห้งเจียบ่นว่าร้ายแรงเหลือเกิน ไม่ทราบว่าอาจารย์ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรจึงจะข้ามเขาไปได้
   เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์พูดว่า เห้งเจียจงวางใจเถิด หากได้มาถึงนี่​แล้ว ก็เป็นนิสัยของพระถังซัมจั๋งและจะให้เห้งเจียสำเร็จความคิด เมื่อครั้งก่อนพระยูไลเจ้าได้สั่งไว้และให้ของวิเศษไว้สองสิ่ง คือไม้เท้ามังกรและยาระงับลม ไม้เท้าก็เอาไปกำจ้ดปีศาจอึ้งฮองเสียแล้ว ยังแต่เม็ดยาวิเศษยังมิได้ใช้ วันนี้จะให้เห้งเจียเอาไปคุ้มห้ามซึ่งลมร้ายมิให้ทำอันตรายแก่เห้งเจียได้ เมื่อได้พัดนั้นมาแล้วเห้งเจียก็จะสำเร็จซึ่งความคิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็นมัสการขอบคุณ เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์จึงล้วงเอาเม็ดยาออกมาจากมือเสื้อ ส่งให้เห้งเจียแขวนที่คอเสื้อแล้วเอาเข็มเย็บติดแน่น แล้วเล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์จึงนำเห้งเจียออกจากสำนักชี้มือสั่งว่าจงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนี้ คือที่นางล่อซั่วอยู่
   เห้งเจียคำนับลาพระโพธิสัตว์แล้ว ก็เหาะมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บัดเดี๋ยวก็ถึงเขาจุ๊ยหุ้นซัว เห้งเจียก็ลงยังหน้าถ้ำเข้าไปเอาไม้ตะบองเคาะกระทุ้งบานประตูเรียกว่าเปิดประตู ๆ เห้งเจียจะมาเอาพัดไปใช้ หญิงเฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปบอกนางล่อซั่วว่า เห้งเจียมาอีกแล้ว นางล่อซั่วได้ฟังดังนั้นก็ให้นึกครั่นคร้ามพูดว่า อ้ายลิงตัวนี้มันจะมีความดีเป็นแน่ อันพัดวิเศษของเราแม้ว่าโบกไปทีหนึ่งถูกคนก็ปลิวไปถึงแปดหมื่นสี่พันโยชน์ ทำไมจึงกลับมาได้เร็วนักดังนี้ ครั้งนี้เราจะต้องโบกสักสองสามทีอย่าให้มันกลับมาได้ คิดดังนั้นแล้วก็จัดแจงแต่งตัวผูกรัดแน่นหนามั่นคงแล้ว สองมือก็ถือเกี่ยมเดินออกมา ร้องเรียกว่าอ้ายเห้งเจียมึงไม่กลัวเราหรือจึงได้กล้ากลับมาอีกฉะนี้
   ​เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พี่สะใภ้พี่อย่าเหนียวแน่นไปทำไม จงขอให้น้องยืมไปส่งอาจารย์ข้ามพ้นไป แล้วก็จะกลับเอามาคืนให้ ข้าพเจ้ากับพี่ก็มีความสัตย์ต่อกัน ซึ่งเป็นสุจริตกุนจื๊อแล้วหากยืมสิ่งของใด ๆ ไป ก็จะต้องเอาคืนกลับส่งให้แก่เจ้าของ นางล่อซั่วด่าว่าอ้ายลิง ซึงหงอคง มึงพูดผิดธรรมเนียม ความเจ็บอายยังไม่แก้แค้นได้ จะมาเอาของให้ขอยืมมีอย่างที่ไหน มึงอย่าหนีมึงจงมากินเกี่ยมของแม่สักทีก่อน เห้งเจียก็ยกตะบองเหล็กขึ้นรับรบกัน ไปประมาณหกเจ็ดเพลง นางล่อซั่วก็อ่อนกำลังลง จึงชักพัดวิเศษออกโบกไปสองที เห้งเจียก็ยืนเฉยอยู่ เอาตะบองเก็บแล้วก็ยืนหัวเราะก๊าก ๆ พูดว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน พัดอยู่กับมือตัว ๆ จะพัดอย่างไรก็พัดไป หากเราไหวติงสักนิดเดียวก็มิใช่คนเก่งนักเลงแท้ นางล่อซั่วก็เอาพัดโบกไปอีกสองที เห้งเจียก็ไม่ไหวติงนางล่อซั่วเห็นดังนั้นก็ตกใจถอยหนีเข้าถ้ำใส่กลอนปิดประตูเงียบไม่ออกมาอีก
   เห้งเจียเห็นนางล่อซั่ว หายเงียบอยู่ในถ้ำไม่กล้าออกมาอีก ก็แผลงฤทธิ์แกะเม็ดยาที่คอเสื้อมาใส่ปากอม แล้วก็แปลงกายเป็นแมลงหวี่บินตามเข้าไปในถ้ำ เห็นนางล่อซั่วกำลังหอบร้องว่าอยากน้ำให้เอาน้ำชามา พวกหญิงคนใช้ก็ยกน้ำชามาปั้นหนึ่ง รินใส่ชามใหญ่เต็มชาม กากชาละเอียดลอยเป็นชิ้นๆ อยู่ เห้งเจียแลเห็นดังนั้น ก็โผลงปนกับกากชาในน้ำชา หญิงคนใช้ส่งชามน้ำชาให้นางล่อซั่ว ๆ ไม่ทันจะพิจารณากำลังอยากก็ดื่มกลืนเข้าไปในท้อง ​เห้งเจียตามน้ำชาเข้าไปในท้องได้แล้ว ก็แปลงกลับเป็นรูปเดิมร้องเรียกเสียงดังว่าพี่สะใภ้ให้พัดแก่ข้าพเจ้าโดยง่ายเถิด จะได้ไม่เป็นอันตราย นางล่อซั่วตกใจถามคนใช้ว่า พวกเจ้าปิดประตูนอกหรือเปล่า พวกคนทั้งหลายบอกว่าปิดแล้ว นางล่อซั่วพูดว่าประตูก็ปิดแล้ว เหตุใดเห้งเจียมันจึงเรียกดังนี้ พวกคนใช้บอกว่าได้ยินเสียงอยู่ในท้องแม่
   นางล่อซั่วเรียกว่าเห้งเจียเจ้าทำกลอุบายซ่อนอยู่ที่ไหน เห้งเจียว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักทำกลอะไร เราแผลงฤทธิ์เข้ามานั่งอยู่ในท้องพี่นี้เอง ข้าพเจ้าเห็นใส้พุงทั้งสิ้นแล้ว ข้าพเจ้าเห็นพี่อยากน้ำก็เข้ามาแก้อยากให้พี่ เห้งเจียก็แกล้งทำหน่วงหนักลงไปทีหนึ่ง นางล่อซั่วก็เจ็บที่ท้องน้อยเหลือจะทนได้ ก็ทรุดนั่งลงกับพื้นร้องว่าเจ็บปวดเหลือที่จะทนแล้ว เห้งเจียว่าพี่อย่าวุ่นวาย ข้าพเจ้าจะแสบหัวใจให้ เห้งเจียก็เอามือกระทุ้งขึ้นทีหนึ่ง นางล่อซั่วก็เจ็บในหัวใจแลจะขาดใจ ล้มคว่ำลงกับพื้นร้องว่าตายแล้ว จึงพูดว่าอาเห้งเจียขอชีวิตให้พี่เถิด เห้งเจียก็ยั้งมือถามว่า จำข้าพเจ้าได้แล้วหรือ ข้าพเจ้าเห็นแก่หน้าพี่งู่ม่ออ๋อง จะยกชีวิตให้จงรีบเอาพัดมาให้เราขอยืม นางล่อซั่วบอกว่าจงออกมาเอาไปเถิด เห้งเจียว่าจงเอาพัดมาให้เราเห็นก่อนเราจึงจะออกไป นางก็เรียกคนใช้ให้เอาพัดมาถือยืนอยู่ข้างหน้า เห้งเจียก็เลื่อนขึ้นที่คอหอย พูดว่าเรายกชีวิตให้จงอ้าปากให้กว้างเราจะออกไป นางก็อ้าปากแล้ว เห้งเจียก็แปลงเป็นแมงหวี่บิน​ลอดออกมาโผจับที่พัดนางก็ไม่รู้ อ้าปากสองสามทีแล้วร้องเรียกว่าทำไมไม่ออกเล่า
   เห้งเจียก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม มือก็จับเอาพัดแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าอยู่นี่มิใช่หรือ แล้วเห้งเจียพูดว่าขอบใจให้เราขอยืมพัดก็ออกเดิน พวกเหล่านั้นก็เปิดประตูส่งให้ไป เห้งเจียออกจากถ้ำแล้วก็เหาะกลับไปหาอาจารย์ บัดเดี๋ยวก็กลับมาถึงตำบลบ้านอั้งเจียนจึง ลงยังพื้นเดินเข้าไปในบ้านเคารพอาจารย์แล้ว จึงเล่าความตั้งแต่ต้นจนปลายให้อาจารย์ฟังทุกประการ แล้วก็หยิบพัดส่งให้ตาเฒ่าเจ้าของบ้านดู ถามตาเฒ่าว่าพัดเล่มนี้ไม่ใช่หรือ ตาเฒ่าบอกว่าใช่เล่มนี้แหละ พระถังซัมจั๋งมีความยินดี อาจารย์กับศิษย์ก็พร้อมกันลาตาเฒ่าออกจากบ้าน พากันมาได้ประมาณสี่สิบโยชน์ไอร้อนขึ้นผ่าว ๆ ซัวเจ๋งร้องว่าฝ่าเท้าออกร้อน โป๊ยก่ายว่าม้าเดินเร็วกว่าทุกวันเพราะด้วยแผ่นดินร้อนม้าจึงไม่ปรกติ เห้งเจียพูดว่าอาจารย์ลงจากม้าก่อน ข้าพเจ้าจะเอาพัดโบกไฟได้หยุดคอยมีลมฝนตกลงแล้ว แลให้แผ่นดินเย็นจึงค่อย ๆ ข้ามเขาไป 
   เห้งเจียก็เดินตรงเข้าไปเอาพัดโบกที่มีไฟไปทีหนึ่งที่บนเขาไฟก็ลุกโชติขึ้น พัดอีกทีหนึ่งไฟก็ยิ่งลุกมากขึ้นพัดอีกทีหนึ่งไฟก็ลุกสูงขึ้นสักพันศอก ค่อยลุกค่อยแรงบินปลิวมาติดตัวเห้งเจีย ๆ ก็ถอยวิ่งหนีกลับ ไฟก็ติดไหม้ขนเห้งเจีย ๆ ก็รีบวิ่งร้องเรียกอาจารย์ได้ถอยหนีกลับไปก่อน พระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็พากันวิ่งถอยกลับไปทางเก่า ประมาณ​ยี่สิบโยชน์ก็พากันหยุดพัก พระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียว่าทำไมจึงเป็นอย่างนี้ เห้งเจียก็โยนทิ้งพัดลงกับพื้นพูดว่าไม่แน่นอน ถูกอีปีศาจมันหลอกให้แล้ว โป๊ยก่ายถามว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร
   เห้งเจียพูดว่าเราเอาพัดโบกไปทีหนึ่งไฟก็ลุกแรงขึ้น สองทีก็ยิ่งลุกแรงขึ้นสามทีก็ลุกลามมีเปลวบินสูงขึ้นเป็นพันศอก นี่หากวิ่งหนีทันจึงไหม้บ้างแต่เล็กน้อย ถ้าหนีไม่ทันก็ต้องตายเป็นแน่ ซัวเจ๋งว่าไฟลุกรุนแรงไม่มีทางจะไปไซทีดังนี้จะคิดอย่างไรดี โป๊ยก่ายพูดว่าดูทางไหนไม่มีไฟก็ไปทางนั้นจะต้องเป็นทุกข์อะไร พระถังซัมจั๋งถามว่าทางไหนไม่มีไฟ โป๊ยก่ายบอกว่าทิศตะวันออก ทิศอุดร ทิศอาคเนย์ไม่มีไฟ พระถังซัมจั๋งถามว่าทิศไหนมีพระไตรปิฎกธรรม โป๊ยก่ายพูดว่าทิศไซทีมีพระธรรม พระถังซัมจั๋งพูดว่าเราจะต้องไปทิศตะวันตกที่มีพระธรรมจึงจะสำเร็จ ซัวเจ๋งพูดว่ามีธรรมมีไฟไม่มีธรรมไม่มีไฟอย่างนี้ก็ยากที่จะไปจะกลับ
   อาจารย์กับศิษย์กำลังตรึกตรองกันอยู่ ก็พอได้ยินเสียงร้องเรียกว่าท่านเห้งเจียไม่ต้องเป็นทุกข์ เชิญมารับประทานเข้าแจก่อนแล้วจึงค่อยคิดไป อาจารย์กับศิษย์ก็หันไปแลดู เห็นคนแก่คนหนึ่งแต่งตัวงดงาม มือถือไม้เท้าหัวมังกรเท้าสอดรองเท้าเหล็ก บนหลังสะพายปลาตัวหนึ่งมือถือถาดทองแดงหนึ่งถาด ในถาดใส่เข้าแจแลกับเดินเข้ามาทางทิศตะวันตก มาถึงก็ย่อตัวคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าคือเจ้าเขาฮ้วยเอี้ยมซัวนี้ เห็นท่านรักษาพระถังซัมจั๋งมาทางนี้ จึงได้เอาเข้าแจมาถวายสักเวลาหนึ่ง
   ​เห้งเจียพูดว่าอันการกินนั้นทีหลัง อันไฟลุกอย่างนี้สักเมื่อไรจะดับ จะได้พาอาจารย์เราพ้นไปได้ เจ้าเขาตอบว่าจะต้องขอยืมพัดนางล่อซั่วจึงจะดับได้ เห้งเจียเดินไปหยิบพัดมาส่งให้เจ้าเขาดู บอกว่านี่มิใช่หรือที่ไฟลุกพัดเข้าก็ยิ่งลุกใหญ่ไป เจ้าเขาพิจารณาดูพัดแล้วก็หัวเราะพูดว่าท่านถูกหลอกเสียแล้ว เห้งเจียถามว่าทำอย่างไรจึงจะได้ของจริง เจ้าเขาสองมือกอดอกย่อตัวยิ้ม ๆ แล้วจึงพูดว่า แม้ว่าได้กำลังใหญ่ก็จะสำเร็จการ กำลังใหญ่นั้นคืองู่ม่ออ๋อง

[เล่ม 2] ตอนที่ 43 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๘)
 เมื่อเหาะมาตามทางเห้งเจียคิดจะไปให้ถึงก่อน แต่ซัวเจ๋งห้ามไว้โดยซัวเจ๋งมีความสงสัยเห้งเจียว่าจะทำอุบายประการใดก็ไม่รู้ เห้งเจียซัวเจ๋งพากันเหาะมาไม่ช้าก็ถึงเขาฮวยก๊วยซัว ลงยังพื้นเดินเข้าไปที่ประตูถ้ำ​แลไปเห็นเห้งเจียนั่งอยู่บนแท่นศิลา ทำกิริยาลุกนุ่งห่มไม่ผิดเห้งเจีย เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก ก็ผละจากซัวเจ๋งโดดเข้าไปร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายนี่มึงเป็นปีศาจร้ายที่ไหน จึงอาจสามารถแปลงเป็นรูปเราดังนี้
   ฝ่ายเห้งเจียนั้นก็มิได้โต้ตอบประการใด จับตะบองโดดลงมาจากแท่น ตรงเข้ารบกับเห้งเจีย เห้งเจียทั้งสองรบกันไม่รู้ว่าใครจริงใครปลอม แล้วก็เหาะขึ้นรบกันบนอากาศ ฝ่ายซัวเจ๋งก็เหาะตามขึ้นไปแต่ไม่รู้ว่าจะช่วยข้างไหนได้ เพราะไม่ทราบว่าคนไหนปลอมคนไหนจริง จึงกลับลงมายังพื้นตีขนาบเข้าไปในถ้ำ พวกลิงเหล่านั้นก็พากันตกใจกลัว จึงหนีกระจัดกระจายไปทั้งสิ้น ซัวเจ๋งเข้าไปค้นหาถุงย่ามก็มิได้พบเห็น จึงเหาะกลับขึ้นไปคิดจะเข้าช่วยรบก็ไม่รู้ว่าคนไหนจะจริงและปลอม เห้งเจียร้องส่งซัวเจ๋งว่า เจ้าช่วยไม่ได้ก็ให้รีบกลับไปบอกแก่พระอาจารย์ว่า ที่นี่มีเหตุขึ้นดังนี้ พี่จะรบล่อมันไปเขาน่ำไฮ้ ให้พระโพธิสัตว์ชำระให้เห็นเท็จและจริง เมื่อเห้งเจียร้องสั่งซัวเจ๋งดังนั้น เห้งเจียปลอมก็ร้องสั่งเหมือนดังนั้นซุ่มเสียงก็ไม่ฝิดกัน ซัวเจ๋งก็เหาะกลับไปหาพระอาจารย์
   ฝ่ายเห้งเจียทั้งสองรบกันพลางถอยพลางจนมาถึงเขาน่ำไฮ้ พวกเทวดาเทพารักษ์ก็ตกใจตื่น จึงพากันเข้าไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์ว่า มีเห้งเจียทั้งสองรบกันมาถึงที่นี่แล้ว ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น ก็พร้อมด้วยฮุยไง้เสี้ยนใช้ท่งจื๊อ​กับนางเล่งหนึงลงจากบัลลังก์ เดินออกไปจากสำนักตวาดว่าอ้ายพวกสัตว์มึงจะไปข้างไหน เห้งเจียทั้งสองก็ยั้งมือพูดว่าขอพระโพธิสัตว์ได้ทราบ อ้ายนี่รูปร่างกิริยาเหมือนตัวข้าพเจ้ารบกันตั้งแต่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องจนมาถึงที่นี่ยังไม่แพ้ชนะกัน ซัวเจ๋งเข้าช่วยไม่ได้ข้าพเจ้าให้กลับไปหาอาจารย์ ข้าพเจ้าจึงรบล่อมาถึงนี่ขอพึ่งพระโพธิสัตว์โปรดเล็งญาณจักษุพิจารณาดู ให้เห็นเหตุเท็จและจริงชั่วดีด้วยเถิด เห้งเจียปลอมมันก็พูดอย่างเห้งเจียจริงเหมือนกัน
ตอน หงอคงตัวปลอม (ช่วงที่2)
   พระโพธิสัตว์กับเทพยดาทั้งหลาย พิจารณาดูเป็นนานก็มิได้รู้ว่าข้างไหนเท็จข้างไหนจริง พระโพธิสัตว์จึงบอกว่าเจ้าทั้งสองจงละมืออยู่ก่อน เห้งเจียทั้งสองก็ต่างคนต่างถอยออกห่างกัน ทั้งสองข้างต่างพูดว่าข้าพเจ้าจริงข้างนั้นปลอม พระโพธิสัตว์จึงเรียกบัดจากับเสียนใช้ท่งจื๊อมากระซิบสั่งว่า เจ้าทั้งสองจงไปคุมอยู่คนละข้างอาตมาจะร่ายคาถาบีบขมับหัว แม้ว่าคนไหนจริงก็ปวดศรีษะคนไหนปลอมก็ไม่ปวด บัดจากับเสียนใช้ท่งจื๊อได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งดังนั้น ต่างก็แยกกันไปคุมคนละคน พระโพธิสัตว์ก็ร่ายคาถาเห้งเจียทั้งสองก็เจ็บปวดพร้อมกันหมุนคว่ำลงกับพื้น เอามือประคองศรีษะร้องว่าเจ็บปวดทนไม่ได้แล้ว ขอท่านได้งดเถิดอย่าภาวนาเลย พระโพธิสัตว์ก็หยุดภาวนาเห้งเจียทั้งสองหายปวดพร้อมกันก็เข้ารบกันอีกต่อไป พระโพธิสัตว์ก็สิ้นปัญญาไม่รู้ที่จะคิดประการใดจึงร้องเรียกหงอคงคำหนึ่ง เห้งเจียทั้งสองก็ขานรับ พระโพธิสัตว์บอกว่าเห้งเจียเคยขึ้นไปทำจลาจลบน​ดาวดึงส์วิมานสวรรค์ เทวดาอินทร์พรหมก็รู้จักจำได้ทุกคน จงขึ้นไปให้เทวดาอินทร์พรหมพิจารณาเถิดจะได้ชำระตัดสินให้
   เห้งเจียทั้งสองได้ฟังดังนั้น ต่างคนก็คำนับลาไปออกจากน่ำไฮ้รบกันพลางถอยกันพลางต่อสู้กันไป จนขึ้นถึงประตูสวรรค์น่ำทีหมึง พวกเทวดาใหญ่น้อยทั้งหลายที่เฝ้าประตูสวรรค์ แลเห็นดังนั้นก็พากันถืออาวุธออกสกัดกั้นมิให้เข้าไป แล้วร้องถามว่า จะมาทำอะไรกันที่บนนี้ มิใช่ที่สนามรบพุ่งกัน เห้งเจียจึงพูดว่าข้าพเจ้ารักษาพระถังซัมจั๋งไปไซทีถึงกลางทาง ข้าพเจ้าตีโจรตายเธอเกลียดข้าพเจ้าไล่ข้าพเจ้ามิให้ตามเธอไปไซที ไม่รู้ว่าอ้ายปีศาจอะไรแปลงตัวเหมือนข้าพเจ้า ไปตีพระถังซัมจั๋งสลบแล้วก็ลักเอาถุงย่ามที่ใส่สิ่งของไปเสีย แลไปชิงเอาที่ถ้ำอยู่ของข้าพเจ้าครอบครองตั้งตัวเป็นใหญ่ ข้าพเจ้าต่อสู้รบกันตั้งแต่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องไล่กันมาจนถึงน่ำไฮ้ซัว พระโพธิสัตว์ก็พิจารณาไม่ออกไม่รู้ว่าข้างไหนเป็นเห้งเจียปลอม ข้าพเจ้าจึงได้ขึ้นมาขอให้หมู่เทพยดาใหญ่น้อยทั้งหลายช่วยกัน พิเคราะห์ดูว่าใครจะเท็จและจริง เห้งเจียปลอมก็พูดดังนั้นเหมือนกัน
   ฝ่ายหมู่เทพยดาใหญ่น้อยทั้งหลายก็พากันพิจารณาดู ก็มิได้รู้ว่าใครเท็จใครจริง เห้งเจียทั้งสองร้องว่าท่านทั้งหลายไม่เข้าใจได้ก็หลีกทางให้ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ พวกเทวดาจะกั้นกางไว้ก็ไม่ฟัง จึงเปิดปล่อยให้เข้าประตู เห้งเจียทั้งสองรบกันพลางถอยพลางเลยเข้าประตูสวรรค์ รบกันมาจนถึงหน้าปราสาทเหลงเซียวเต้ย ​หมู่เทวดาผู้ใหญ่เห็นดังนั้น ก็เข้าไปกราบทูลว่าบัดนี้มีเห้งเจียทั้งสองรบต่อสู้กันมา เทวดาจะกั้นกางไว้ก็ไม่อยู่ ร้องว่าจะเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลยังไม่สิ้นความก็ได้ยินเสียงอึกกะทึกเข้ามา เง็กเซียงฮ่องเต้แลไปเห็น พระองค์ก็เสด็จลงจากบัลลังก์ตรัสถามว่า เจ้าทั้งสองมีเหตุอย่างไรจึงได้ล่วงขึ้นมาทำวุ่นวายดังนี้ เห้งเจียทูลว่าขอพระเป็นเจ้าได้โปรด ข้าพเจ้าได้สมาทานถือตามพระพุทธบัญญัติแล้ว ก็ไม่อาจล่วงเกินหมิ่นประมาท เหตุด้วยปีศาจนี้มันแปลงปลอมข้าพเจ้ากระทำการทุจริต
   เห้งเจียก็เล่าความจริงทุกประการให้เง็กเซียงฮ่องเต้ฟัง ขอพระองค์ได้โปรด เห้งเจียปลอมมันก็เล่าให้เง็กเซียงฮ่องเต้ฟังบ้างดุจเดียวกัน เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้น จึงมีรับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องเอากระจกวิเศษที่จับปีศาจออกมาส่องดู แม้ว่าจริงอย่างไรก็จะรู้ได้หากว่าเท็จก็สูญหายไป
   ถักทะลีทีอ๋องก็เอากระจกนั้นมาส่องดู เง็กเซียงฮ่องเต้ก็พร้อมกับเทพยดาทั้งหลายพิเคราะห์ดูในบานกระจก ก็แลเห็นเห้งเจียทั้งสองยืนอยู่ในกระจก รูปร่างกิริยานุ่งห่มไม่ผิดกัน เง็กเซียงฮ่องเต้ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าใครเท็จใครจริง จึงขับไล่ให้ออกจากสวรรค์ทั้งสองคน เห้งเจียทั้งสองต่างก็หัวเราะแล้วพูดว่า เราพากันไปหาอาจารย์จึงจะรู้ได้แน่ พูดกันดังนั้นแล้วก็เข้ารบกันต่อไปอีก ซัวเจ๋งตั้งแต่กลับมาหาอาจารย์ จึงเล่าให้อาจารย์ฟังทุกประการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เมื่อแรกคิดว่าเห้งเจียตี​อาตมภาพ ไม่รู้เลยว่าปีศาจแปลงเป็นเห้งเจียมาทำร้ายดังนี้ ซัวเจ๋งพูดว่าปีศาจนั้นมันแปลงเป็นอาจารย์และมากับโป๊ยก่ายคนหนึ่ง และแปลงเป็นข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าเอาพลองตีตายกลายเป็นปิศาจลิง แต่ที่มันแปลงเป็นเห้งเจียนั้น ยากที่จะรู้ได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ พูดกันไปมาประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงบนอากาศอึกกะทึกก้องโกลาหลลงมา จึงพากันออกมาดู ก็เห็นเห้งเจียสองคนรบกันมา
   โป๊ยก่ายแลเห็นก็อดไม่ได้ ตะโกนร้องว่าพี่เห้งเจียอย่าละถอยมันข้าพเจ้ามาแล้ว เห้งเจียทั้งสองก็ร้องเรียกว่าน้องจงมาช่วยพี่ด้วย ซัวเจ๋งบอกแก่อาจารย์ว่า ข้าพเจ้ากับพี่โป๊ยก่ายไปกันออกมาคนละคนแล้วอาจารย์ร่ายคาถา ถ้าคนไหนปวดศรีษะคนนั้นเป็นจริงได้
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าคิดดังนี้ดี ซัวเจ๋งก็มาจับเห้งเจียคนหนึ่ง บอกโป๊ยก่ายให้จับเห้งเจียคนหนึ่ง ต่างคนต่างจับกันคนละคน ลากมายังหน้าบ้านยายเฒ่า พระถังซัมจั๋งก็ร่ายคาถา เห้งเจียทั้งสองก็พร้อมกัน ร้องปวดศรีษะพร้อมกันทั้งสองคนว่าปวดเต็มทีแล้ว อย่าภาวนาเลยหยุดเถิด พระถังซัมจั๋งก็หยุดไม่ภาวนา ก็มิได้รู้ว่าคนไหนจะจริงคนไหนจะเท็จ เห้งเจียทั้งสองก็เข้ารบกันอีกต่อไป เห้งเจียจึงร้องเรียกโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งสั่งว่าน้องทั้งสองจงรักษาอาจารย์ไว้ พี่จะรบแก่มันไปหาพระยาเงียมฬ่ออ๋องมัจจุราช ให้พระยาเงียมฬ่ออ๋องมัจจุราชพิจารณาเพื่อเห็นจริงแล้วจะกลับ เห้งเจียมันก็สั่งดังนั้นเหมือนกันแล้วก็เข้าชุลมุนฟัดเหวี่ยงกันไป มาบัดเดี๋ยวก็ไม่เห็น
   ​โป๊ยก่ายถามซัวเจ๋งว่า เมื่อน้องไปยังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเห็นโป๊ยก่ายปลอมหามของอยู่ ทำไมจึงไม่ชิงเอามาเสียเล่า ซัวเจ๋งพูดว่าเมื่อเวลานั้นเห็นซัวเจ๋งปลอมข้าพเจ้าก็โจมตีซัวเจ๋งปลอมนั้นตาย พวกมันเห็นดังนั้นก็เข้าล้อมจับข้าพเจ้า ๆ ก็ตีซ้ายป่ายขวา หนีรอดชีวิตมาได้ แล้วภายหลังเห้งเจียทั้งสองกำลังรบกันอยู่กลางอากาศ ข้าพเจ้าได้กลับเข้าไปในถ้ำ เห็นมีชะวากในถ้ำมีน้ำไหล ก็หารู้ว่าประตูนั้นเข้าทางใดไม่ จึงได้กลับออกมา โป๊ยก่ายพูดว่าไม่เข้าใจ เมื่อครั้งก่อนพี่ได้ไปเชิญเห้งเจีย พี่ได้เข้าไปในถ้ำนั้น เห็นพี่เห้งเจียเข้าไปผลัดเครื่องนุ่งห่ม เธอดำน้ำเข้าไปที่ชะวากน้ำไหลนั้น ชะรอยจะเป็นประตูในอยู่ตรงนั้นเอง พระถังซัมจั๋งว่าโป๊ยก่ายไปค้นดูในเวลาเมื่อมันไม่อยู่ดังนี้ จะได้ถุงย่ามของเราดอกกระมัง ครั้นได้มาเราจะได้พากันไป แม้เห้งเจียจะมาเราก็ไม่ต้องการ โป๊ยก่ายได้ฟังอาจารย์พูดดังนั้น ก็พูดว่าข้าพเจ้าจะไปเอง พูดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศ หมายตรงไปยังเขาฮวยก๊วยซัว
   ฝ่ายเห้งเจียทั้งสองรบล่อกันมาจนถึงประตูเมืองนรก พวกหมู่ผีทั้งหลายได้ยินเสียงกึกก้องหวั่นไหวก็ตกใจ พากันหนีซุกซ่อนเอาตัวรอด ที่ใจกล้าก็วิ่งเข้าไปบอกพระยาเงียมฬ่ออ๋องว่า ขอใต้อ๋องให้ทราบ บัดนี้มีเห้งเจียรบกันกึกก้องโกลาหล ใกล้ประตูเข้ามาแล้ว เวลานั้นพระยามัจจุราชกำลังประชุมพร้อมกันทั้งสิบองค์ยัง​ตำหนักซุมลอเต้ย ได้ยินพวกผีมาบอกดังนั้นก็ตกใจ จึงให้เกณฑ์ทหารมาพร้อมกันยังตำหนักซุมลอเต้ยคอยระวังอยู่ แลให้ไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง นิมนต์มาพร้อมกันยังตำหนักซุมลอเต้ย ประเดี๋ยวก็เห็นเห้งเจียทั้งสองรบกันชุลมุล เข้ามาถึงหน้าตำหนักซุมลอเต้ย พวกทหารก็ออกมาสกัดกั้นไว้ ถามว่าท่านมีเหตุอย่างไรจึงได้รบกันวุ่นวายเข้ามาถึงนี่เล่า
   เห้งเจียจึงเล่าความตั้งแต่ต้นจนปลายให้ฟังแล้ว จึงพูดว่าบัดนี้ข้าพเจ้าจะมาขอให้ท่านเงียมฬ่ออ๋องเอาบัญชีสารบบออกมาตรวจดู เพื่อจะได้รู้ว่าอ้ายเห้งเจียปลอมคนนี้มันเกิดมาแต่ไหน จะได้จับเอาวิญญาณและขับไล่มันไปเสียให้พ้น อย่าให้มันมาทำวุ่นวายขึ้นอย่างนี้อีกต่อไป เห้งเจียปลอมมันก็พูดอย่างเดียวกัน เงียมฬ่ออ๋องได้ฟังดังนั้น จึงให้สมุห์บัญชีค้นสารบบตรวจดูจนตลอด ก็ไม่เห็นมีเห้งเจียปลอม เอาสารบบพวกสัตว์มีขนมาตรวจดูร้อยสามสิบแห่ง ที่แห่งวานรนั้น เมื่อครั้งเห้งเจียได้สำเร็จภาคย์ลงมาแผ่อำนาจ เอาสารบบมาลบชื่อวานรเสียหมดแล้ว ตั้งแต่นั้นมาชื่อลิงก็ไม่มีจนเท้าทุกวันนี้
   ครั้นตรวจดูแล้วพระยาเงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบองค์บอกแก่เห้งเจียว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ตรวจดูแล้วในสารบบทั้งหลายไม่มีชื่อ แม้ว่าจะให้เห็นจริงก็เชิญท่านกลับขึ้นไปยังมนุษย์โลกนั้นเถิด เวลานั้นพระโพธิสัตว์เตจองอ๋องพูดว่าจงยั้งก่อน อาตมภาพจะให้ (ที่เทีย) ฟังดูก็จะรู้ว่าใครจะเท็จแลจริง อันที่เทียนั้นคือ​สัตว์คล้ายสิงห์โต นอนอยู่ข้างหน้าโต๊ะเตจองอ๋อง หากนอน กกอยู่กับดินแล้วก็ฟังรู้ได้ตลอดซึ่งการร้ายและดี เวลานั้นพระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง จึงมีคำสั่งให้สัตว์ที่เทียนั้นนอนฟัง สัตว์นั้นก็นอนราบลงกับพื้น บัดเดี๋ยวก็เงยศรีษะขึ้นบอกแก่พระโพธิสัตว์เตจองอ๋องว่า อันปีศาจเห้งเจียปลอมนี้ก็จริง แต่ไม่ควรจะพูดออกในเวลานี้ แลมีกำลังจะช่วยจับก็ไม่ได้ พระโพธิสัตว์เตจองอ๋องถามว่าเหตุใดจึงจะช่วยไม่ได้และทำไมจึงไม่ควรจะพูดออก ทีเทียพูดว่าแม้พูดออกในเวลานี้ก็จะเกิดจลาจลวุ่นวายที่ตำหนักซุมลอเต้ยนี้ก็มิได้เปนสุข และกำลังฤทธิ์อานุภาพนั้นก็เสมอกับเห้งเจีย ในนรกนี้จะมีใครฝีมือสักเท่าใดจึงจะช่วยจับได้
   พระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง ถามว่าถ้าดังนั้นจะทำประการใดดี ทีเทียบอกว่าอภินิหารแห่งพระพุทธ พระธรรมไม่มีผู้ใดเสมอ เตจองอ๋องได้ฟังดังนั้นก็นึกขึ้นได้ จึงบอกแก่เห้งเจียว่าท่านทั้งสองรูปร่างเหมือนกันฤทธาอานุภาพเสมอกัน แม้จะให้เท็จแลจริงแล้ว จงรีบไปไซทีหาพระยูไลที่วัดลุ่ยอิมยี่เถิดจึงจะได้รู้แน่ เห้งเจียทั้งสองพร้อมกันพูดว่าเห็นจริงแล้ว ข้าพเจ้าจะขอลาไป เห้งเจียทั้งสองก็รบกันขับเขี้ยวไปมา แล้วพูดว่าเราทั้งสองจงไปไซทีหาพระยูไลชำระให้เห็นจริง พูดแล้วก็เข้าบุกบั่นรบกันต่อไป
   ฝ่ายพระยาเงียมฬ่ออ๋องก็ส่งพระโพธิสัตว์ไปยังที่ เงียมฬ่ออ๋องทั้งหลายก็กลับไปยังที่ เห้งเจียทั้งสองรบกันพลางเหาะพลางมาจนถึงเขาเล่งจื้อซัว เสียงอึกกะทึกกึกก้องโกลาหลหวั่นไหวในพื้นพสุธา​เวลานั้นหมู่เทพยดาอินทร์พรหมและหมู่สาวกทั้งหลาย กำลังแวดล้อมเฝ้าพระยูไลเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ในพระอารามใหญ่ พระยูไลก็เคลื่อนลงจากบัลลังก์แก้ว ตรัสแก่อินทร์พรหมและเทพบุตรสาวกทั้งหลายว่า บรรดาที่มาสดับธรรมเทศนาจงสำรวมจิตอันหนึ่งคอยดู สองจิตรบกันมาแล้ว ในหมู่ประชุมก็ตั้งตาคอยแลดู จึงเห็นเห้งเจียทั้งสองต่อสู้กันมา ร้องฟ้าร้องดินอึกกะทึกมาถึงหน้าอารามลุ่ยอิมยี่ หมู่เทพบุตรกับเจ้ากิมกังทั้งหลายก็ออกสะกัดกั้นไว้ .แล้วถามว่านี่จะรบกันไปข้างไหน
   เห้งเจียพูดว่าปีศาจมันแปลงทำเหมือนรูปข้าพเจ้า ๆ จะมาหาพระยูไล ขอให้ท่านพิจารณาดูให้รู้แน่ว่าเท็จและจริงประการใด หมู่เทพยดาอินทร์พรหมทั้งหลายกั้นกางไว้ไม่อยู่ ก็เลยล่วงเข้ามาถึงที่หน้าพระ ต่างคุกเข่าลงนมัสการแล้ว จึงเล่าแต่ต้นจนปลายให้พระยูไลฟัง พูดว่าข้าพเจ้าไปถึงชั้นฟ้าและลงไปยังเมืองนรกก็ไม่มีใครสามารถจะพิจารณารู้ได้ จึงได้มาเฝ้าพระองค์เจ้า ขอพระบารมีได้โปรดทรงพิจารณาให้เห็นเท็จแลจริง ข้าพเจ้าจะได้กลับไปรักษาพระถังซัมจั๋งพามานมัสการพระพุทธองค์ อาราธนาพระไตรปิฎกธรรมกลับไปเมืองใต้ถัง กระทำให้แพร่หลายแก่มหาชนในประเทศทิศบูรพา
   พระยูไลเจ้าเมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ทรงทราบในพระญาณว่าเท็จจริงประการใดแล้ว พระองค์จะทรงแสดงให้แจ้งทันใดนั้น บังเอิญแลไปเห็นเมฆสีเขียวลอยลิ่วมา ครั้นถึงแลเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมลงจากเมฆเข้ามาเคารพพระยูไลเจ้าแล้ว พระยูไลเจ้า​ถามว่า กวนอิมรู้บ้างหรือว่าเห้งเจียทั้งสองนี้ใครจริงใครเท็จ พระกวนอิมทูลว่าเดิมได้มาที่สำนักข้าพเจ้า ๆ พิจารณาไม่ออก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอให้พระองค์โปรดให้เห็นเท็จและจริง พระยูไลได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสว่ากวนอิม ถึงจะมีอภินิหารใหญ่กว้างก็จริง จะพึงรู้ได้แต่การโลก หารู้หมดซึ่งสัตว์เกิดนั้นไม่ และหารู้มูลรากของสัตว์ได้ไม่ พระกวนอิมจึงเคารพขอให้พระองค์โปรดทรงแสดง พระจึงตรัสว่า อันในโลกนี้มีภูมิห้า คือฟ้าหนึ่ง ดินหนึ่ง เจ้าหนึ่ง มนุษย์หนึ่ง ผีเปรตหนึ่ง แลมีปูมห้า เลี่ยนหนึ่ง เกล็ดหนึ่ง ขนหนึ่ง ปีกหนึ่ง ปุ่มหนึ่ง
   ที่เห้งเจียทั้งสองนั้นไม่เกี่ยวอยู่ในภูมิห้านี้ มีนามเรียกว่ามูลวานร ลิงที่หนึ่งนั้นนามเรียกว่าเจี๊ยเก๊า แปลงกายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง และรู้ฟ้าดินและเหตุร้ายดี ลิงที่สองนั้นนามเรียกว่าเบ๊เก๊า เข้าในทางอากาศฟ้าดินรู้การของมนุษย์ได้หนีตายทำให้อายุยืนได้นานปี ลิงที่สามนั้นนามเรียกว่าอวนเก๊า จับพระอาทิตย์พระจันทร์รวบพันธ์ภูเขาเข้าได้เป็นหนึ่ง เล่นฟ้าเล่นดินทดเข้าออกทำได้ดังนึก ลิงที่สี่นั้นนามเรียกว่ามิเก๊าหูฟังได้ทุกอย่าง เข้าใจตรวจกิจพิจารณาการรู้ข้างหน้าข้างหลังรู้แจ้งซึ่งการทั้งปวง ลิงทั้งสี่นี้ไม่ร่วมอยู่ในภูมิห้าปูมห้าไม่เข้าหมู่สองจำพวกนี้
   ตถาคตพิจารณาดู หงอคงปลอมนั้นคือลิงมิเก๊า ๆ แม้จะยืนอยู่ในที่เดียว ๆ การไกลพันโยชน์ก็อาจเข้าใจได้ มนุษย์พูดจาว่ากระไรก็รู้ได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นรูปร่างน้ำเสียงจึงอย่างเดียวกันแก่เห้งเจีย
   ​มิเก๊าได้ยินพระตรัสดังนั้น ถูกต้องมูลเหตุของตัวอกใจก็ให้ไหวหวาด จะรีบเหาะหนีเอาตัวรอด พระยูไลตรัสสั่งให้หมู่เทพบุตรล้อมไว้ เห้งเจียจะตรงเข้าตี พระยูไลก็ทรงห้ามว่าเห้งเจียอย่าทำเขาเลย ตถาคตจะจับให้ ลิงมิเก๊าจิตใจให้สะดุ้งกลัวคิดว่าจะหนีไปไม่พ้น ก็ไหวกายแปลงเป็นแมลงผึ้งรีบบินหนีไป จึงพระยูไลเอาบาตรขว้างไปครอบไว้ แมลงผึ้งก็เข้าอยู่ในบาตร พระองค์ก็ทรงเรียกบาตรนั้นกลับคืนมา ทรงตรัสแก่เทพบุตรทั้งหลายว่า ลิงมิเก๊าอยู่ในบาตรตถาคตแล้ว จึงหมู่เทพยดาทั้งหลายได้พากันมาดู ก็ได้เห็นลิงมิเก๊านอนคุดอยู่ในบาตร เห้งเจียอดไม่ได้เอาตะบองกระทุ้งศรีษะทีหนึ่ง ลิงมิเก๊าก็ถึงแก่ความตาย เพราะฉะนั้นพืชพันธุ์ลิงมิเก๊าจึงได้สาปสูญตั้งแต่นั้นมา
   พระยูไลเห็นดังนั้น ก็ไม่เป็นที่พอพระทัย ทรงตรัสว่าทำไมเห้งเจียจึงทำดังนี้เล่า เห้งเจียกราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระกรุณาแก่สัตว์ชั่วร้ายอย่างนี้เลย มันตีอาจารย์ข้าพเจ้าแล้วและเอาเข้าของมาเสียด้วย โทษมันก็ควรถึงแก่ความตายอยู่แล้ว พระยูไลจึงสั่งให้เห้งเจียรีบไปรักษาพระถังซัมจั๋งเถิด เห้งเจียคุกเข่าเคารพทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบพระอาจารย์ไม่ยอมให้ข้าพเจ้าไปร่วม ข้าพเจ้ากลับไปจะเสียเวลาเปล่า ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาเสกถอนมงคลบนศรีษะข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าจะได้ทูลลาพระองค์ไปอยู่ยังที่เดิม พระยูไลได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสแก่เห้งเจียว่าเห้งเจียอย่าคิดวุ่นวายไป ตถาคตจะให้พระกวนอิมไปส่งถังซัมจั๋ง​เธอก็ต้องให้ไปอยู่เอง เห้งเจียจงอุตส่าห์รักษาพระถังซัมจั๋งให้ตลอด เมื่อเวลาสำเร็จแล้วจะได้ขึ้นนั่งบนแท่นบัว
   พระโพธิสัตว์นั่งอยู่ข้างนั้นได้ยินพระองค์ตรัสแก่เห้งเจียดังนั้น ก็กระทำเคารพลาพาเห้งเจียออกจากพระอาราม เหาะขึ้นกลางเวหาแล้วก็ตรงไป ครั้นถึงบ้านยายเฒ่าที่พระถังซัมจั๋งอาศัยอยู่ก็ลงยังพื้น ฝ่ายคนในบ้านกับซัวเจ๋ง แลเห็นก็บอกแก่อาจารย์ออกมานิมนต์พระโพธิสัตว์ ๆ พูดว่า เมื่อวันก่อนที่ตีถังซัมจั๋งนั้น คือลิงมิเก๊า ต่อไปหาพระยูไลบอกให้จึงได้รู้แจ้ง บัดนี้เห้งเจียก็ตีตายแล้ว ส่วนเห้งเจียนั้นต้องให้ตามรักษาไปตามเดิม เมื่อเวลาเดินทางไปพบผีปิศาจยักษร้ายสัตว์ร้าย เธอจะได้ช่วยป้องกันไปกว่าจะถึงเขาเล่งจิ๋วซัว จะได้อาราธนาพระธรรมอย่าให้โกรธขึ้งเคืองแค้นเธอจะเสียการอันใหญ่ในเบื้องหน้า
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังพระกวนอิมสั่งสอน ก็เคารพรับคำสั่ง เวลานั้นพระถังซัมจั๋งกำลังขอบคุณพระโพธิสัตว์ ก็ได้ยินเสียงลมกระพือมา คนทั้งหลายแลไปเห็นโป๊ยก่ายเหาะมาบนอากาศ หลังสะพายถุงย่ามมาถึงก็ลงยังพื้น โป๊ยก่ายแลไปเห็นพระโพธิสัตว์ก็คุกเข่าลงเคารพนมัสการแล้ว จึงพูดว่าข้าพเจ้าไปถึงเขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเห็นพระถังซัมจั๋งปลอม โป๊ยก่ายปลอม ข้าพเจ้าตีตายทั้งสองคน แต่อันที่จริงมันเป็นลิงปีศาจ ข้าพเจ้าเอาถุงย่ามมาตรวจก็ไม่หายอะไรสักสิ่งเดียว ได้แล้วก็กลับมา แต่ยังไม่ทราบว่าเห้งเจียทั้งสองนั้นจะตกไปถึงไหน พระโพธิสัตว์จึงเล่าความให้โป๊ยก่ายฟังทุกประการ ​โป๊ยก่ายก็มีความยินดีหาที่สุดมิได้ อาจารย์แลศิษย์ก็พากันเคารพพระโพธิสัตว์ก็เหาะกลับไป อาจารย์กับศิษย์ก็ร่วมจิตกันตามเดิมจึงลายายเฒ่าเจ้าของบ้าน จัดแจงพร้อมแล้วก็พากันออกเดินเข้าทางใหญ่หมายทิศปราจิณ

18 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 42 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๖)
 เดินพลางชมพลางตามแนวป่า แลไปก็เห็นภูเขาสูงก็พากันเดินข้ามเขาไปทางทิศตะวันตก เป็นเนินลาดเสมอ โป๊ยก่ายจะแผลง​ฤทธิ์ก็ส่งหาบให้ซัวเจ๋งหาบ โป๊ยก่ายก็เอาคราดไล่ม้าให้วิ่ง เห้งเจียถามว่านั่นจะทำอะไรกัน โป๊ยก่ายว่าเวลาก็จวนจะค่ำ ตั้งแต่ขึ้นเขาเดินมาก็เกือบวันหนึ่งแล้ว ในท้องก็หิวโหยวุ่นวาย ข้าพเจ้าจะใคร่หาบ้านคนจะได้บิณฑบาตข้าวกินสักมื้อหนึ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นพี่จะไล่ม้านั้นให้ไปเร็ว ๆ ว่าแล้วเห้งเจียก็ชักตะบองออกเดินมาใกล้ม้าเอาตะบองแกว่งหมุนทีหนึ่ง ม้าก็วิ่งดุจลูกเกาทัณฑ์ ถามว่าม้าทำไมกลัวเห้งเจียไม่กลัวโป๊ยก่ายนั้นเป็นอย่างไร มีคำตอบว่า เห้งเจียแต่ก่อนเมื่ออยู่บนสวรรค์เคยเลี้ยงม้าปราบเสียออกเข็ดฝีมือ อาศัยเหตุนี้มาจนทุกวันนี้ม้าก็ต้องย่อมกลัววานรทุกตัวไป
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้ายอไม่หยุดไม่รู้แห่งที่จะทำประการใด ก็จับบังเหียนรั้งกดลงกับอานปล่อยวิ่งไปตามวิสัย ประมาณทางสักสองร้อยเส้นจึงค่อย ๆ เดิน เมื่อกำลังเดินมาได้ยินเสียงม้าฬ่อเสียงคนร้องกู่ข้างทางคะเนเสียงสักสามสี่สิบคน แลไปก็เห็นคนเดินออกมา มือถืออาวุธทุก ๆ คนออกสกัดหน้าพระถังซัมจั๋งแล้วถามว่าพระสงฆ์นั้นจะไปข้างไหน พระถังซัมจั๋งให้อกสั่นขวัญหาย นั่งไม่อยู่พลัดตกจากหลังม้าลงมา ลุกขึ้นยืนข้างทางร้องว่าท่านใต้อ๋องยกชีวิตให้ข้าพเจ้าเถิด
   ฝ่ายหัวหน้าโจรสองคนพูดว่า เราไม่ทุบไม่ตีมีสิ่งของอะไรก็เอามาให้เราเสียโดยดีแล้วก็ไม่ต้องทุบตี พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็รู้แน่ว่าพวกโจร จึงเดินมาพนมมือพูดว่า อาตมภาพมาจาก​เมืองใต้ถังฝ่ายทิศบูรพา มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้อาตมภาพไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม จากบ้านเมืองมาหลายปีแล้ว แม้มีโสหุ้ยเสบียงอาหารมาก็หมดสิ้นแล้ว อาตมภาพเป็นสงฆ์ไปถึงไหนก็บิณฑบาตเขาฉัน พอเลี้ยงชีวิตไปเท่านั้น ไม่มีเงินทองข้าวของสิ่งใดเลย ขอท่านได้กรุณาเถิด
   ฝ่ายนายโจรทั้งสองพูดว่า ข้าพเจ้าตั้งใจคอยดุจเสือมาสกัดทางอยู่ ปราถนาจะประสงค์ทรัพย์สมบัติเงินทอง จะให้เราผ่อนผันอย่างไรได้ หากว่าเงินทองข้าวของไม่มีจริงแล้ว เสื้อผ้าก็ควรถอดออกมาให้ และทิ้งม้าไว้ที่นี่แล้ว เราจึงจะปล่อยให้ไปได้ หาไม่ก็ไม่ฟังกัน พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อันเสื้อผ้านั้นขาด ๆ เสีย ๆ อาตมภาพบิณฑบาตเขามาพอพันกายท่านจะให้ถอดออกจากกายดังนี้ ก็เหมือนฆ่าอาตมภาพเสียเหมือนกัน จะเป็นบาปกรรมแก่ท่านต่อไปหาควรไม่ นายโจรได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็โกรธฉวยไม้พลองตรงมาจะตีพระถังซัมจั๋ง ๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่รู้จักการกลับกลอก เห็นการจวนตัวไม่รู้ที่จะแก้ไขอย่างไรได้ จึงพูดว่าท่านอย่าเพิ่งลงมือ อาตมภาพมีศิษย์มาด้วยข้างหลังมีเงินติดตัวมาสองสามตำลึง รอมาถึงอาตมภาพจะเอาให้ท่าน นายโจรพูดว่า สงฆ์ผู้นี้พูดกลับกลอกเอาเชือกมัดเสียจึงจะได้ พวกบริวารก็เอาเชือกมัดพระถังซัมจั๋งชักโยงขึ้นบนต้นไม้สูง
   ฝ่ายศิษย์ทั้งสามวิ่งตามหลังมา โป๊ยก่ายหัวเราะไม่หยุด แล้ว​พูดว่าพระอาจารย์ห้อใหญ่ไปตามสบายใจแล้ว ไม่รุ้ว่าจะไปถึงไหน โป๊ยก่ายเหลือบไปเห็นอาจารย์แขวนห้อยอยู่บนต้นไม้สูง จึงร้องบอกเห้งเจีย ซัวเจ๋ง ให้ดูว่าอาจารย์คอยอยู่โน่นแล้ว ใจคออาจสามารถขึ้นอยู่บนต้นไม้สูงผูกชิงช้าไกวเล่นตามสบายใจ เห้งเจียแลไปเห็นแล้วว่าเจ้าอย่าพูดให้เลอะเทอะ อาจารย์เราถูกแขวนอยู่แล้วมิใช่หรือ เจ้าสองคนค่อย ๆ เดิน พี่จะรีบไปก่อนหากจะมีเหตุอะไรดอกกระมัง เห้งเจียก็รีบขึ้นเนินเขาสูงแลไปก็เห็นพวกโจรตั้งอยู่เป็นหมู่ เห้งเจียดีใจพูดว่าดีแล้วลาภจะมาถึงแล้ว พูดดังนั้นแล้วก็แปลงตัวเป็นสามเณรน้อยอายุประมาณสิบหกขวบ บนบ่าสะพายห่อผ้าใหญ่เดินตรงมาที่อาจารย์ร้องเรียกว่าอาจารย์นั้นเป็นเหตุอะไร พระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงก็จำได้รู้ว่าเห้งเจีย จึงพูดว่าทำไมจึงไม่ช่วยแก้เราเล่า
ตอน หงอคงตัวปลอม (ช่วงที่1)
เห้งเจียถามว่านั่นเพราะเหตุอะไรจึงได้เป็นดังนี้ พระถังซัมจั๋งบอกว่าพวกเหล่านั้นสกัดทางเราไว้มิให้เราไป จะทวงเอาค่าเดินทางสิ่งของไม่มีจะให้เขา ๆ จึงมัดแขวนไว้อย่างนี้ คอยว่าเห้งเจียมาจะได้คิดดูมีอะไรจะได้ให้เขา เพราะเหตุดังนี้เราจะทำประการใดดี เห้งเจียถามว่าอาจารย์ได้พูดจารับรอง ผ่อนผันไว้แก่เขาอย่างไรบ้างเล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่าเขาเร่งรัดจะมาตีมาทุบ อาตมภาพก็ไม่รู้ที่จะแก้ตัวอย่างไร จึงได้อ้างว่าข้าวของมีอยู่ที่เห้งเจีย อย่าเพิ่งทุบตีให้คอยสานุศิษย์ก่อนพวกเหล่านี้จงหยุดให้ เป็นเวลาที่เข้าคับแค้นจงได้พูดดังนั้น เห้งเจียพูดว่าดีแล้วตามอาจารย์พูดอย่างนี้ก็สมควรถูกต้องแล้ว
​ ฝ่ายนายโจรแลบ่าวไพร่เห็นเห้งเจียพูดโต้ตอบกับอาจารย์ดังนั้นก็พากันกรูเข้าล้อม นายโจรเข้ามาใกล้พูดว่าสามเณรอาจารย์นั้นบอกว่า ข้าวของเงินทองอยู่ที่สามเณร ๆ จงรีบเอามาให้เราโดยเร็วเราจะยกชีวิตให้ แม้พูดขัดขวางสักครึ่งคำไม่พอใจเรา เราจะให้ชีวิตวินาศลงกับพื้นเดี๋ยวนี้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็วางถุงลงแล้วพูดว่า ท่านอยุติธรรมทั้งหลายไม่ต้องทวงถามไปทำไมกับข้าวของ ในห่อนี้มีทองคำไม่สู้มากหนักยี่สิบแท่ง เงินสักสามสี่สิบแท่งเงินที่ละเอียด ๆ ยังไม่ได้คิด จะต้องประสงค์แล้วจงเอาไปทั้งห่อเถิด ขอแต่อย่าตีอาจารย์ของอาตมภาพเลย คำโบราณท่านย่อมว่าเงินทองเป็นของปลายเหตุ มีกุศลแลบุญย่อมเป็นต้นเหตุ เงินทองเป็นของปลายพวกอาตมภาพก็เป็นพระเป็นสงฆ์ก็มีแต่เที่ยวบิณฑบาต ขอท่านได้แก้ปล่อยอาจารย์ออกมาก่อนแล้ว อาตมภาพจะนำของเหล่านี้มอบให้ท่านทั้งสิ้น ฝ่ายโจรเหล่านั้นเมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ดีใจ พูดว่าตาสงฆ์แกเหนียวแน่นสามเณรเล็กนี้ดีไม่ขี้เหนียว นายโจรทั้งสองจึงบอกให้พวกบริวารโจรเหล่านั้นแก้มัดพระถังซัมจั๋งลงมา แล้วก็ขึ้นม้าหนีไป เห้งเจียเอาแซ่หวดม้าเข้าสองสามทีม้าก็วิ่งไปทางเก่า เห้งเจียร้องว่าไปผิดทางแล้วเห้งเจียจะฉวยห่อวิ่งตามไป พวกโจรก็เข้าล้อมสะกัดไว้ถามว่าจะไปข้างไหนข้าวของเอาไว้ก่อนอย่าให้ถึงลงมือ เห้งเจียว่าของนั้นจะต้องปันเป็นสามส่วน นายโจรพูดว่าเจ้าเณรน้อยนี้กลับกลอกทำกลอุบายแต่พอให้อาจารย์หลุดเท่านั้น ของในนั้นมีมากน้อยเท่า​ใด ถ้ามีมากก็จะแบ่งปันให้ไปซื้อผลไม้กิน เห้งเจียว่าเอาข้าวของที่ไหนมามีเล่า พี่ทั้งสองหากเป็นนายโจรไปปล้นที่ไหนได้ข้าวของ ขอให้มาแบ่งให้แก่ข้าพเจ้าบ้างซิจึงจะชอบ นายโจรได้ฟังดังนั้นก็โกรธแล้วพูดว่าเจ้าเณรนี้ไม่รู้จักความตายเลย ข้าวของก็ไม่ยอมให้กลับจะมาขอแบ่งส่วนเอาที่ข้าจงดูไม้ตะพดลายนี้เถิด นายโจรก็ตีศรีษะเห้งเจียเจ็ดแปดที เห้งเจียก็มิได้แสดงความเจ็บปวดหน้าตาปรกติอยู่กลับหัวเราะเสียงดังสนั่น พูดว่าพี่ถ้าตีดังนี้ตีอีกพันทีก็ไม่รู้สึกว่าเจ็บอย่างไร นายโจรเห็นดังนั้นก็ตกใจพูดว่าเจ้าเณรน้อยคนนี้หัวมันช่างแข็งจริง เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าไม่แข็งถึงดังนั้นดอกพูดเล่นตามการดังนั้นเอง พวกโจรก็ไม่ฟังถ้อยคำกรูเข้ามาสามสี่คนตีเห้งเจีย เห้งเจียร้องห้ามว่าท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งโกรธก่อน รอข้าพเจ้าจะเอาออกมาให้ พูดแล้วเห้งเจียก็ชักออกจากหูเป็นเข็มปักอันหนึ่งแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนบวชเรียนเงินทองไม่มี ๆ แต่เข็มเล่มหนึ่งนี้ให้แก่ท่านเท่านั้น
   นายโจรก็นึกเสียใจว่าปล่อยพระสงฆ์ที่มีเข้าของไปเสียแล้ว จับสามเณรคนจนไว้เราไม่เข้าใจเย็บสอยจะเอาเข็มไปทำอะไรได้ เห้งเจียเห็นนายโจรพูดว่าไม่ต้องการก็จับแกว่งทีหนึ่ง ก็ใหญ่ขึ้นเท่าตะบองอันหนึ่งปักลงยังพื้นแล้ว ร้องบอกว่าท่านทั้งหลายมาถอนเอาไปได้แล้วข้าพเจ้าจะยกให้ นายโจรทั้งสองก็มาสั่นถอน คิดดูก็น่าสงสัย เปรียบประดุจตั๊กแตนจับเสาศิลา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็กระโดดมา​จับถอนเบา ๆ ก็ขึ้นแล้วเอาตะบองชี้พวกโจรว่า พวกเจ้าไม่รู้จักมาโดนเข้าเสียแล้ว นายโจรโกรธเอาพลองตีศรีษะเห้งเจียอีกห้าหกสิบที เห้งเจียก็หัวเราะพูดว่า พวกเจ้าตีข้าเมื่อยมือแล้ว ทีนี้จะต้องให้ข้าตีบ้าง ว่าแล้วเห้งเจียก็ออกท่าตะบองหวดไปทีหนึ่ง ถูกนายโจรล้มลงกับพื้นสิ้นใจตาย นายโจรอีกคนหนึ่งเห็นดังนั้น ก็ด่าว่าอ้ายโล้นนี้ไม่รู้จักธรรมเนียม ข้าวของก็ไม่ให้กลับมาฆ่าคนเสียดังนี้ เห้งเจียว่าจงเงียบยับยั้งก่อน คอยเราตีเสียให้ตายทุกคนให้สิ้นรากเหง้าจึงจะได้ ว่าแล้วเห้งเจียก็ยกตะบองหวดไปทีหนึ่งถูกนายโจรล้มลงตายอีกคนหนึ่ง พวกบริวารเหล่านั้นก็ตกใจพากันวิ่งหนีไปทั้งสิ้น
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกำลังม้าวิ่งกลับไป ก็มาพบโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ๆ ร้องว่าอาจารย์ทำไมเดินมาทางนี้เล่า ผิดทางเสียแล้ว พระถังซัมจั๋งชักม้าหยุดแล้วพูดว่า จงรีบไปบอกแก่เห้งเจียว่า อย่าให้ลงตะบองเลย จงเห็นแก่เพื่อนมนุษย์เถิดอย่าทำให้ถึงแก่ความตายเลย โป๊ยก่ายว่าอาจารย์จงหยุดพักก่อน ข้าพเจ้าจะไปบอกเธอเอง พูดแล้วโป๊ยก่ายก็รีบวิ่งไปใกล้จะถึง ร้องตะโกนว่าพี่เห้งเจีย พระอาจารย์สั่งว่าอย่าตีคนเลย เห้งเจียว่าใครได้ทันตีใครที่ไหนเล่า โป๊ยก่ายถามว่าพวกโจรไปข้างไหนหมดเล่าจึงไม่เห็นสักคนเดียว เห้งเจียบอกว่าพวกบริวารของมันหนีไปหมดแล้ว เหลือแต่นายมันสองคนยังนอนหลับอยู่ โป๊ยก่ายเดินเข้ามาใกล้แลดูเห็นคนนอนอยู่ น้ำเมือก​อะไรไหลออกมาเปรอะหัวดังนั้น เห้งเจียบอกว่าพี่พึ่งตีตายหัวสมองทะเล้นเยื่อออกมา
   โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็ตกใจวิ่งกลับไปบอกพระถังซัมจั๋งว่า พวกโจรกลับไปหมดแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่า มันไปทางไหน โป๊ยก่ายบอกว่าพี่เห้งเจียตีนอนตายอยู่สองคน พวกนั้นมันหนีไปหมดแล้ว แต่จะไปทางไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ร้อนใจ บ่นว่าน่าแค้นอ้ายลิงแท้ ๆ ใจคอช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ ตีเขาจนถึงแก่ความตาย พูดดังนั้นแล้วก็ชักม้ากลับมาพร้อมด้วยโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเดินมา ครั้นถึงที่ ๆ โจรตายนั้นแล้วแลเห็นโลหิตออกเลอะพื้นดิน คนตายก็นอนอยู่กับพื้น พระถังซัมจั๋งไม่พอใจจะแลดู จึงสั่งให้โป๊ยก่ายเอาไปฝังเสีย อาตมภาพจะสวดมนต์สักจบหนึ่ง
   โป๊ยก่ายว่าอาจารย์เห็นจะผิดดอกกระมัง ก็เห้งเจียตีคนตายจะให้ข้าพเจ้าเป็นสัปเหร่อจะได้อยู่หรือ เห้งเจียถูกอาจารย์ว่าใจคอไม่สู้จะสบาย ครั้นได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงตวาดโป๊ยก่ายว่าอ้ายชาติหมูยังไม่รีบเอาไปฝังหรือ ประเดี๋ยวจะล่อด้วยตะบองตายตามอ้ายโจรไปอีกศพเดี๋ยวนี้ โป๊ยก่ายตกใจกลัวรีบไปข้างเนินเขา เอาคราดสับดินลงขุดหลุมแล้ว แบกเอาศพทั้งสองใส่ลงไปเอาดินกลบแน่นแล้วเอาดินมูลขึ้นเสร็จแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงหยิบดินจุดธูปอธิษฐานว่า นายโจรจงฟังอาตมภาพจะขออธิษฐาน เหตุคิดถึงสานุศิษย์ของอาตมภาพ เพราะพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้ไปไซที​อาราธนาพระธรรม มาถึงที่นี่พบท่านหลายคน อาตมภาพอ้อนวอนว่ากล่าวแต่ถ้อยคำที่ดี ท่านก็มิได้เชื่อฟัง จึงมาปะเห้งเจียมือร้ายใจกล้า ตีด้วยตะบองถึงแก่ความตาย อาตมภาพสงสารคิดถึงซากศพนอนอยู่กลางดิน จึงให้โป็ยก่ายเอาไปฝังแล้ว แม้ว่าลงไปยังนรกฟ้องแก่พระยามัจจุราชต้องตามเหตุผล เห้งเจียแซ่ชึงอาตมภาพแซ่ตั๊นฆ่ามีตัวอยู่อย่าฟ้องอาตมภาพเลย
   โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า อาจารย์ต้องชี้แจงให้หมดจด คือเมื่อเวลาเธอตีนั้น ข้าพเจ้าและซัวเจ๋งไม่ได้อยู่ที่นั่น พระถังซัมจั๋งก็กล่าวตามคำโป๊ยก่ายว่า แม้ว่าฟ้องก็จงฟ้องแต่เห้งเจียคนเดียว ที่โป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งนั้นมิได้เกี่ยวข้อง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์ท่านเป็นผู้ใหญ่ช่างไม่มีจิตกตัญญูเลย เพราะว่าเพื่อด้วยอาจารย์ไปอาราธนาพระธรรม ได้ความทุกข์ทรมานนั้นเท่าไรแล้ว มาวันนี้ข้าพเจ้าพลั้งผิดตีโจรร้ายตายสองคน ท่านไปชี้สอนให้มันไปฟ้องข้าพเจ้ายังพระยามัจจุราช ข้าพเจ้าตีมันตายก็จริงแต่ท่านไปอาราธนาพระธรรม ถ้าข้าพเจ้าไม่เป็นสานุศิษย์ของท่านตามมาที่ไหนจะได้ตีคนตายเล่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะมีคำสั่งบ้าง ว่าแล้วก็ถือไม้ตะบองมายืนข้างหลุมผี กระทุ้งสามทีแล้วพูดว่าอ้ายโจรตายโหงเองจงฟังเราพูดเรายอมให้เองตีเราก่อนเจ็ดที แล้วก็ตีอีกเจ็ดทีแปดทีเราก็ไม่เจ็บไม่ช้ำ เจ้าทำให้เราได้ความเดือดร้อนเราจึงได้ตีเจ้าตาย ​ต่อให้เจ้าไปฟ้องที่ไหนเราก็ไม่กลัว เง็กเซียงฮ่องเต้ท่านรู้จักเรา เทพบุตรทั้งหลายก็เคยชอบกัน ดาวรอบท้องฟ้าก็เป็นเพื่อนแก่เรา เทพารักษ์และพระภูมิเจ้าที่ก็เกรงใจเรา เทพยดารักษาจักรวาลก็ชอบกันสนิท ทุก ๆ เขตภูมิเจ้านายศักดิ์สิทธิ์ทั้งพระยามัจจุราชก็เกรงใจทั้งสิ้นตามแต่เจ้าจะไปฟ้องเราเถิดเราไม่กลัวทั้งสิ้น
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจ จึงพูดว่าอาตมภาพกล่าวคำอธิษฐานดังนั้นก็ปราถนาจะให้เป็นคนดี ตัวทำไมจึงถือเอาเป็นจริงดังนั้นเล่า เห้งเจียพูดว่าอาจารย์ได้พูดไปแล้วก็ช่างเถิด เวลายังวันอยู่รีบไปหาที่อาศัยเถิด พระถังซัมจั๋งจิตก็ยังไม่หายโกรธ จึงขึ้นหลังม้าเห้งเจียยังขุ่นในใจอยู่ อาจารย์กับศิษย์ต่างดีแต่หน้าในใจก็ต่างติเตียนกัน เดินมาสักประเดี๋ยวแลไปข้างหน้า เห็นที่ข้างทางใหญ่เข้าไปในแนวป่านั้นมีหมู่บ้าน พระถังซัมจั๋งเอาแซ่ม้าชี้พูดว่าพวกเราเข้าไปพักที่หมู่บ้านนั้นเถิด แล้วก็พากันเดินเข้าไปถึงที่หน้าบ้าน พระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าเห็นตาเฒ่าคนหนึ่งเดินออกมา พระถังซัมจั๋งจึงทักถาม ตาเฒ่าจึงถามว่าพระสงฆ์ท่านมาแต่เมืองไหนจะไปข้างไหน พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพนี้อยู่เมืองใต้ถัง จะไปไซทีอาราธนาธรรม มาถึงนี่ก็จวนค่ำจะขออาศัยพักสักคืนหนึ่งรุ่งเช้าจะลาไป
   ตาเฒ่าพูดว่าหนทางตั้งแต่เมืองท่านมาถึงที่นี่มิใช่ใกล้ ทำไมท่านผู้เดียวจึงได้มาถึงที่นี่ได้ พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมภาพมีศิษย์​มาด้วยสามคนเป็นเพื่อน ตาเฒ่าถามว่าก็สานุศิษย์อยู่ที่ไหนเล่า พระถังซัมจั๋งเอามือชี้ว่าที่ยืนอยู่ข้างทางนั่นและ ตาเฒ่าก็แลไปเห็นทั้งสามคนหน้าตาหยาบคายไม่น่าดูทุก ๆ คน ตาเฒ่าหันกลับจะเข้าบ้าน พระถังซัมจั๋งยึดไว้แล้วพูดว่าท่านตาจงเมตตาขอให้อาศัยพักสักคืนหนึ่งเถิด ตาเฒ่าสั่นศรีษะโบกมือพูดว่าไม่ใช่อย่างคน จะเป็นยักษ์มารอะไรก็ไม่รู้ คนหนึ่งคล้ายเงือก คนหนึ่งคล้ายม้าปากยาว คนหนึ่งหน้าคล้ายกับรามสูร  เห้งเจียได้ฟังตาเฒ่าพูดดังนั้นก็ร้องด้วยเสียงอันดังว่า ที่คล้ายเงือกนั้นคือเหลนของข้าพเจ้า ที่หน้าเหมือนม้านั้นคือโหลนของข้าพเจ้าเอง ตาเฒ่าเห็นหน้าตาเห้งเจียดังนั้นใจคอไม่สบายจะถอยเข้าบ้าน พระถังซัมจั๋งจึงตามเข้าไปในบ้าน ข้างในบ้านมียายเฒ่าคนหนึ่งจูงเด็กอายุประมาณสักหกขวบ เดินมาถามว่าอะไรกันที่ไหน พระถังซัมจั๋งจึงเล่าให้ยายเฒ่าฟังทุกประการว่า อันสานุศิษย์ของอาตมภาพนั้น รูปร่างหยาบคายก็จริง แต่สมาทานถือตามพระพุทธบัญญัตทั้งสามคน ไม่เหมือนคนโหดร้ายทั้งหลายดอก จะกลัวเธอทำไม
   ตายายเฒ่าทั้งสองได้ฟังชี้แจงดังนั้น จึงค่อยหายความกลัวจึงบอกแก่พระถังซัมจั๋งให้เชิญเข้ามา พระถังซัมจั๋งจึงเดินออกไปสั่งศิษย์ทั้งสามว่า จงระมัดระวังกิริยาให้เรียบร้อย ศิษย์ทั้งสามก็จูงม้าพาหาบเข้าไปยังเรือนตาเฒ่า นั่งพักคอยฟังอาจารย์จะใช้สอย ฝ่ายยายเฒ่ามีจิตศรัทธาจึงจัดแจงยกน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยง เวลานั้นก็จวนจะโพล้เพล้ คนในบ้านก็จัดแจงตามตะกียงและโคมไฟสว่าง​ไสว พระถังซัมจั๋งถามตาเฒ่าว่าท่านแซ่อะไร อายุได้เท่าใดแล้ว ตาเฒ่าตอบว่าข้าพเจ้าแซ่เอี่ยวอายุได้เจ็ดสิบสี่ปีแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่ามีบุตรกี่คน ตาเฒ่าบอกว่ามีคนเดียวที่ยายแก่จูงมานั้นแลคือหลาน พระถังซัมจั๋งขอพบบุตรชาย ตาเฒ่าพูดว่าข้าพเจ้าก็แก่แล้วเลี้ยงลูกคนนี้แสนจะลำบากกับมันวันนี้พ่อมันไม่อยู่ พระถังซัมจั๋งถามว่าไปค้าขายที่ไหนหรือ
   ตาเฒ่าสั่นศรีษะพูดว่าคิดแล้วก็น่าสงสาร แม้ว่าชอบค้าขายก็เป็นบุญของข้าพเจ้า อันกิจการบ้านเรือนไม่เอาเป็นธุระทั้งสิ้น ตั้งใจทำแต่การอัปยศไม่มีความดี เที่ยวคบค้าคนพาลตีชิงวิ่งราวสกัดทางขวางหน้าฆ่าคนสารพัดจะเป็นแต่การอกุศลทั้งสิ้น เมื่อห้าวันหายไปไม่เห็นกลับมาจนวันนี้ พระถังซัมจั๋งไม่ซักถามต่อไปอีก นึกแต่ในใจว่าเห็นจะเป็นอ้ายโจรที่เห้งเจียตีตายนั้นดอกกระมัง แล้วพระถังซัมจั๋งพูดว่าพ่อแม่จิตใจเป็นกุศล เหตุไฉนบุตรจึงได้เป็นไปเช่นนั้น เห้งเจียว่าลูกอย่างนี้ไม่ใช่คนดีเลี้ยงไว้ทำไม ข้าพเจ้าจะช่วยจับตีเสียให้ตายจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ ตาเฒ่าว่าข้าพเจ้าก็อยากจะให้มันพ้นหูพ้นตาไปเสียขัดด้วยผู้คนก็ไม่มีจึงต้องนิ่งอยู่ ไว้มันเพื่อให้ช่วยกลบดินให้ข้าพเจ้าเมื่อภายหลัง ซัวเจ๋งโป๊ยก่ายได้ฟังตาเฒ่าว่าดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า พี่เห้งเจียอย่าพูดสนุกปากไป ขอหญ้าท่านตาสักมัดหนึ่ง หาที่ปูลาดนอนพักพรุ่งนี้จะได้ไป ตาเฒ่าได้ยินดังนั้นก็นำพาอาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนออกไปที่สวน ชี้ให้อาศัยอยู่ที่กระท่อมน้อยแล้ว​ตาเฒ่าก็กลับเข้าบ้าน พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็พักนอนอยู่ที่นั่น
   ฝ่ายพวกโจรนั้น ลูกตาเฒ่ากับพรรคพวกอยู่ในหมู่นั้นด้วย เมื่อเวลาเช้าเห้งเจียตีนายโจรตายเสียสองคน พวกบริวารเหล่านั้นก็พากันซุกซ่อนวิ่งหนีเอาตัวรอด พอเวลายามสามมารวมกันเป็นหมู่มาเคาะประตูเรียกตาเฒ่า ๆ กำลังนอนได้ยินก็เดินออกมาเปิดประตู ได้ยินพวกโจรบ่นว่าหิวข้าว ๆ ฝ่ายลูกชายตาเฒ่าก็ไปในบ้านเรียกลูกเมียตื่นขึ้นหุงข้าวต้มแกง ก็เลยไปหลังสวนหอบฟืนเข้ามาแล้ว ถามภรรยาว่าม้าขาวที่หลังสวนนั้นของใคร ภรรยาบอกว่าม้าของพระสงฆ์ที่ท่านมาจากเมืองใต้ถังจะไปอาราธนาพระธรรม เมื่อเย็นนี้ท่านมาขออาศัยพักนอน พ่อแม่เลี้ยงดูเธอแล้ว จึงชี้ให้อาศัยกระท่อมน้อยนอน
   ลูกตาเฒ่าได้ยินดังนั้นก็ดีใจออกไปนอกบ้านตบมือหัวเราะบอกแก่พวกกันว่า เหมาะแล้ว ๆ คนพยาบาทแก่พวกเราอยู่ในบ้านเรา พวกเหล่านั้นถามว่า คนพยาบาทใครที่ไหน ลูกตาเฒ่าบอกว่าพวกพระสงฆ์ที่ตีนายเราตายนั้นเป็นไรเล่า บัดนี้มาอาศัยนอนอยู่ที่ในสวนหลังบ้านเรากำลังนอนหลับ พวกโจรพากันพูดว่าดีแล้ว ๆ จับเอาตัวให้ได้แล้วสับฟันให้เนื้อป่นละเอียด จะได้แก้แค้นแทนให้นายเรา ลูกตาเฒ่าห้ามว่าอย่าเพิ่งรีบร้อน จงพากันออกไปลับมีดให้คมก่อน
   ฝ่ายตาเฒ่าแอบได้ยินพวกโจรคิดกันดังนั้น จึงค่อย ๆ เดินออกไปสวนปลุกพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามให้ตื่นขึ้นแล้ว บอกว่า​พวกโจรนั้นพาพวกมามากหลายคน รู้ว่าพวกท่านมาพักอยู่ที่นี่มันจะคิดฆ่าพวกท่าน ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าท่านมาจากเมืองไกล ไม่พอใจจะให้ฆ่าท่าน จงรีบเก็บเข้าของข้าพเจ้าจะส่งท่านให้ไปทางหลังสวน พระถังซัมจั๋งได้ฟังตาเฒ่าบอกดังนั้นก็ขอบคุณเป็นที่สุด ตาเฒ่าก็กลับมานอนต่อไป ฝ่ายพวกโจรครั้นลับหอกดาบแล้ว ก็พากันมากินข้าวเวลานั้นพอย่างเข้ายามสามแล้วก็พร้อมกันต่างถืออาวุธต่าง ๆ ตรงมายังหลังบ้านที่สวนแลไปไม่เห็นคน จึงจุดใต้คบค้นหารอบสวนก็ไม่เห็น เห็นประตูหลังบ้านเปิดทิ้งอยู่ จึงพูดกันว่าเห็นจะหนีไปทางนี้ ก็พากันโห่ร้องไล่ตามไปจนเวลาตะวันขึ้นก็ยังเร่งรีบไล่ตาม
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเมื่อออกจากประตูสวนก็รีบเดินมา ได้ยินเสียงโห่ร้องมาตามหลัง จึงหันมาแลดูเห็นเป็นหมู่ประมาณสักสามสิบคน ล้วนมีมือถืออาวุธวิ่งตามมาจึงพูดแก่ศิษย์ทั้งสามว่าเราจะทำอย่างไรดี เห้งเจียว่าจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าจะรับเป็นธุระป้องกันปราบปรามเอง พระถังซัมจั๋งจึงว่าเห้งเจียทำแต่พอให้เข็ดหลาบเกรงกลัวแล้วถอยไปเท่านั้น อย่าทำให้ถึงแก่ล้มตายเลย ครั้นพวกโจรไล่มาใกล้เข้าแล้ว เห้งเจียก็ชักตะบองหันหน้ามาสถัด ถามว่าท่านทั้งหลายจะพากันไปข้างไหน พวกโจรด่าว่าอ้ายพวกหัวโล้นมึงจงใช้ชีวิตของนายกู ด่าแล้วต่างคนก็เข้าล้อมเห้งเจีย ๆ ก็เอาตะบองฟาดซ้ายฟาดขวา พวกโจรก็ล้มราบลงไปทั้งสิ้น บ้าง​ก็ตายบ้างก็เจ็บบ้างก็ลุกวิ่งหนีไป พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้า เห็นเห้งเจียตีคนตายหลายคน ไม่อยากจะเห็นก็รีบขับม้าเดินไป โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็วิ่งติดตามไป เห้งเจียจึงถามพวกโจรที่ถูกเจ็บว่า คนไหนเป็นบุตรตาเฒ่า
   พวกโจรเจ็บครางร้องบอกว่าคนที่สวมเสื้อสีเหลืองนั่นแลบุตรตาเฒ่า เห้งเจียตรงมาฉวยมีดตัดเอาศรีษะหิ้วขึ้นเลือดกำลังสดไหลอยู่ เห้งเจียก็รีบเดินตามมาทันพระถังซัมจั๋ง ยกศรีษะขึ้นบอกพระอาจารย์ว่า ศรีษะนี้คือศรีษะของบุตรตาเฒ่าอ้ายคนอกตัญญูข้าพเจ้าตัดเอาศรีษะมา พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจสิ้นสติพลัดตกจากหลังม้า ครั้นได้สติจึงด่าว่าอ้ายชาติลิงมึงเหมือนฆ่าเราจงรีบเอาไปให้พ้น โป๊ยก่ายก็เอาศรีษะนั้นไปกลบดินเสีย ซัวเจ๋งจึงเข้าประคองอาจารย์ขึ้นม้า พระถังซัมจั๋งร่ายพระคาถายี่สิบจบ ก็จับรัดศรีษะเห้งเจียเจ็บปวดหมุนคว่ำลงกับพื้น เห้งเจียร้องว่าพระอาจารย์ ผิดพลั้งอย่างไรก็จงพูดจากันเถิด อย่าทำแก่ข้าพเจ้าดังนี้ พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ไม่มีเรื่องอะไรไม่ให้เจ้าตามเราไปอีกจงกลับเถิด เห้งเจียกำลังเจ็บอุตส่าห์พูดว่า ทำไมพระอาจารย์จึงไล่ให้ข้าพเจ้ากลับเล่า
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าอ้ายคนร้ายไม่ใช่คน ตั้งใจจะไปอาราธนาพระธรรม เมื่อวานนี้ฆ่านายโจรตายเสียสองคน เราก็ไม่พอใจว่าคนไม่มีเมตตาจิต จนถึงบ้านตาเฒ่าได้พึ่งเขาให้ข้าวให้น้ำและพักอาศัยนอน ทั้งเขายังได้เปิดประตูให้หนีพ้นภัย แม้ว่าลูกจะชั่วร้ายอย่างไรก็ไม่ควรจะไปตัดเอา​ศรีษะเขามาทำไมหาใช่เหตุไม่ เราได้สั่งสอนอยู่เสมอ ๆ จิตใจก็ไม่มีเมตตาสักเท่าเส้นผม เราจะเอาเจ้าไว้ทำไม เจ้าจงรีบไปเสียโดยเร็วอย่าให้ถึงแก่ร่ายคาถาอีก เห้งเจียจึงว่าอาจารย์อย่าร่ายคาถาเลยข้าพเจ้าจะไป ว่าแล้วก็เหาะขึ้นบนเวหา
(บทที่ ๕๗)
   ฝ่ายเห้งเจียลอยอยู่บนกลางอากาศ คิดจะกลับไปยังถ้ำเดิมของตัว ก็นึกอายแก่พวกลิงบริวาร แต่ตรึกตรองอยู่นานจะไปจะอยู่ก็แสนยาก จึงคิดขึ้นมาได้ว่าอย่ากระนั้นเลย เรากลับไปหาอาจารย์ดูอีกสักครั้งหนึ่งเห็นจะดี คิดดังนั้นแล้วก็ลดลงมายังพื้นเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าพระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่า ขอพระอาจารย์ยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าเถิด สืบต่อไปภายหน้าข้าพเจ้าจะไม่ทำอีกต่อไป พระถังซัมจั๋งไม่ได้ตอบว่ากะไร ชักม้าหยุดร่ายคาถา เห้งเจียเจ็บปวดก็ล้มลงกับพื้น พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมยังไม่ไปให้พ้น ยังจะกลับมาพันธ์ผูกอาตมาทำไม เห้งเจียร้องว่า อาจารย์อย่าร่ายคาถาเลย ข้าพเจ้าจะชี้แจงให้ท่านฟัง ข้าพเจ้าวิตกว่าไม่มีข้าพเจ้าไปด้วย อาจารย์ไปจะไม่ถึงไซที
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งโกรธมากขึ้น ด่าว่าอ้ายชาติลิงโหดร้ายฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่มีดี แม้ว่าเราจะไปถึงหรือไม่ถึงก็ไม่เกี่ยวอะไรแก่เจ้าจงรีบไปให้พ้น ถ้าขืนอยู่ช้าเราจะร่ายคาถาไม่หยุด เห้งเจียเห็นอาจารย์ไม่มีความอาลัยแล้ว ก็สุดที่จะคิดอ่านชี้แจงพูดจาต่อไป จึงเหาะขึ้นบนเวหาก็นึกขึ้นได้ว่าสงฆ์นี้ช่างไม่คิดถึง​คุณของเราเลย จำเราจะไปหาพระกวนอิมเล่าให้ท่านฟัง คิดดังนั้นแล้วก็เหาะตรงไปยังน่ำไฮ้ บัดเดี๋ยวใจก็ถึงน่ำไฮ้ เห้งเจียก็เข้าไปยังสำนัก ครั้นถึงประตูใหญ่มีบัดจากับเสี้ยนใช้นำพาไปหาพระโพธิสัตว์ เห้งเจียก็เดินตามเข้าไป เหลือบขึ้นไปเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่บนแท่น เห้งเจียก็ย่อตัวกราบนมัสการลงกับพื้นแล้ว ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นก็ให้บัดจาพยุงขึ้น พระโพธิสัตว์จึงถามว่า เห้งเจียมีความขัดข้องอย่างไรหรือ จงบอกมาให้เราแจ้ง อาตมภาพจะได้แก้ไขให้
   เห้งเจียร้องไห้พลางพูดพลางว่า ข้าพเจ้าตั้งใจได้รับแต่ความทุกข์ยาก พึ่งพระบารมีท่านปลดเปลื้องความทุกข์ร้อนให้ และให้ข้าพเจ้าตามรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซที เพื่ออาราธนาพระธรรม ข้าพเจ้าก็ตั้งใจหาได้คิดแก่ร่างกายแลพชีวิต ปลดเปลื้องมารร้ายให้แก่เธอก็เพราะความปราถนาจะใคร่ได้มรรคผลในเบื้องหน้า ลบล้างความผิดที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน พระถังซัมจั๋งเป็นคนอกตัญญูไม่รู้จักคุณของข้าพเจ้า มาหลงด้วยจิตอกุศลมิได้ตรึกตรองให้เห็นดำและขาว มาขับไล่ข้าพเจ้ามิให้ติดตามไปดังนี้ พระโพธิสัตว์ถามว่าการดำขาวนั้นเป็นอย่างไร จงแสดงซึ่งเหตุผลให้เราฟังดูจะเป็นประการใด เห้งเจียจึงยกเหตุที่ฆ่าพวกโจรและบุตรตาเฒ่านั้น ให้พระโพธิสัตว์ฟังทุกประการ
   ​พระโพธิสัตว์จึงพูดว่า พระถังซัมจั๋งถือมั่นในสันดานโดยความกุศลไม่มีความประมาท ไม่ทำสัตว์ที่มีชีวิตและวิญญาณให้ตกล่วงไป เห้งเจียถึงมีฤทธาอานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้ก็จริง อันลูกตาเฒ่าผิดก็จริงแต่ยังเป็นส่วนมนุษย์ หากจะตัดสินโดยความตรง ข้อผิดนั้นจะตกอยู่แก่เห้งเจีย เห้งเจียก็กราบลงร้องไห้ว่า แม้ข้าพเจ้ามีความผิดไม่ชอบธรรมก็จะต้องเอาคุณหักโทษ ไม่ถึงแก่เหตุที่จะไล่ข้าพเจ้า ขอพระบารมีได้กรุณา ท่านร่ายพระคาถาถอนมงคลบนศรีษะข้าพเจ้าออกคืนให้ท่าน ปล่อยข้าพเจ้ากลับไปยังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเถิด พระโพธิสัตว์หัวเราะแล้วพูดว่า อันห่วงมงคลนั้นของพระยูไลให้มา อาตมาไม่มีคาถาอะไรจะถอนได้ เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นข้าพเจ้าจะขอกราบลาไป พระโพธิสัตว์ถามว่าท่านจะไปข้างไหน เห้งเจียว่า จะไปไซทีหาพระยูไลให้ถอนมงคลนี้ออก พระโพธิสัตว์พูดว่าเห้งเจียจงรอก่อน อาตมภาพจะเล็งญาณดู สมาโทษให้อย่างไหนจะดี
   พระโพธิสัตว์จึงนั่งบัลลังก์บัว เข้าที่แผ่ใข่ญาณสำรวมสามคนเข้าแล้ว เอาปัญญาจักษุเล็งดูรอบ บัดเดี๋ยวก็ออกจากตนพูดว่า เห้งเจียบัดเดี๋ยวพระถังซัมจั๋งจะได้รับความคับแค้นถึงตัว ไม่ช้าก็จะต้องตามมาหาตัวเห้งเจียที่นี่ จงคอยอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ไว้อาตมภาพจะบอกแก่พระถังซัมจั๋ง ให้เห้งเจียไปไซทีด้วยจึงจะสำเร็จมรรคผล เห้งเจียได้ฟังพระโพธิสัตว์ดังนั้น จึงยกมือขึ้นนมัสการยืนคอยอยู่ข้างหลัง ​ฝ่ายพระถังซัมจั๋งตั้งแต่ไล่เห้งเจียไปแล้ว ก็ให้โป๊ยก่ายจูงม้าซัวเจ๋งหาบของรีบเดินไป เดินทางมาได้ห้าสิบโยชน์ พระถังซัมจั๋งยอม้าหยุดร้องบอกศิษย์ว่า ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ยามสามออกจากบ้านตาเฒ่า แลทั้งถูกเห้งเจียทำการไม่พอใจให้ลมเสีย เวลาก็จวนเพลท้องออกหิวและอยากน้ำ แลใครจะไปบิณฑบาตมาให้กินเล่า โป๊ยก่ายพูดว่า นิมนต์ท่านลงจากหลังม้าหยุดพักคอยข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตเอง พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายว่าดังนั้นก็ลงจากม้านั่งพักคอยอยู่ โป๊ยก่ายก็เหาะขึ้นกลางอากาศมองดูรอบทั้งแปดทิศแล้วก็ลงยังพื้นบอกแก่อาจารย์ว่า ไมมีที่จะบิณฑบาตเพราะบ้านเรือนไม่มี พระถังซัมจั๋งพูดว่า แม้ไม่มีข้าวกินหาแต่น้ำมากินแก้หายอยากก่อนเถิด โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะไปหาน้ำ ว่าแล้วก็ฉวยบาตรเหาะไป
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งคอยอยู่ข้างทางหลายชั่วโมงก็ไม่เห็นโป๊ยก่ายกลับมา พระถังซัมจั๋งเวลานั้นอยากน้ำ  น้ำลายแห้ง ทั้งหิวทั้งอยากน้ำทุรนทุรายไม่มีความสุข ซัวเจ๋งคอยโป๊ยก่ายไม่เห็นมา ก็เอาหาบวางลงแล้วพูดว่า พระอาจารย์คอยอยู่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปหาน้ำ พระถังซัมจั๋งนั่งร้องไห้พูดไม่ออก ซัวเจ๋งก็เหาะไป ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งอยู่แต่ผู้เดียวในทันใดนั้น ได้ยินเสียงตึงตังพระถังซัมจั๋งตกใจแลไปดูเห็นเห้งเจียคุกเข่าอยู่ข้างทางสองมือยกคนโทน้ำมาถวาย พูดว่าอาจารย์ไม่มีข้าพเจ้าจะได้น้ำมาจากไหน น้ำนี้เย็นใสดีนิมนต์อาจารย์ฉันแก้อยากก่อน แล้วข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตมาถวาย
   พระถังซัมจั๋ง​ได้ฟังดังนั้นพูดว่า แม้ว่าเราจะตายโดยความอยากน้ำก็ตามเถิด ซึ่งว่าน้ำของเจ้าเอามาเราไม่ต้องการ จงรีบไปเสียให้พ้น เห้งเจียพูดว่าไม่มีข้าพเจ้าไปไซทีจะไปไม่ได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าไปได้ไม่ได้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรแก่เจ้า อ้ายชาติลิงยังไม่ไปให้พ้นมากวนเราทำไม ฝ่ายเห้งเจียก็มีความโกรธชี้หน้าตวาดว่าตาขรัวแก่มีใจอาธรรม์ ทำหยาบช้าแก่เรามากแล้ว ก็ยกไม้ตะบองเหล็กหวดถูกกระดูกสันหลังพระถังซัมจั๋งทีหนึ่ง ก็ล้มคว่ำสลบอยู่กับที่ เห้งเจียก็เอาถุงย่ามที่ใส่ข้าวของไปหมดแล้ว ก็เหาะไปไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ฝ่ายโป๊ยก่ายเหาะไปข้างซอกเขามีเรือนอยู่หลังหนึ่ง เดิมเขาสูงบังอยู่แลไม่เห็น ครั้นเหาะมาข้างหน้าเขาก็แลเห็นบ้าน โป๊ยก่ายคิดในใจว่าเรารูปร่างอย่างนี้จะเข้าไปบิณฑบาตเห็นจะไม่ได้เข้า จำเราจะแปลงกายเสียเห็นจะดี คิดดังนั้นแล้วก็ลงยังพื้นร่ายคาถาแปลงเป็นรูปพระสงฆ์นิโรธรูปหนึ่งเดินเข้าไปยังประตูบ้าน ร้องเรียกว่าท่านเจ้าบ้านยังมีเข้าสุกเหลืออยู่บ้างหรือ คนเดินทางมามีความอดอยากอาตมภาพบิณฑบาตพอให้อาจารย์ฉันสักมื้อหนึ่ง
   ในบ้านนั้นผู้ชายออกไปนาเหลือแต่ผู้หญิงสองคน เห็นพระสงฆ์มาบิณฑบาตมีกิริยาป่วยไข้ดังนั้นก็เอาข้าวสุกออกมาถวายให้เต็มบาตร โป๊ยก่ายก็กลับแล้วแปลงรูปตามเดิม เดินมาตามทางเก่าพบซัวเจ๋ง จึงให้ซัวเจ๋งเอาผ้าห่อข้าวเอาบาตรไปตักน้ำได้แล้วก็พากันกลับมาหาอาจารย์ ครั้นมาถึงเห็นพระอาจารย์นอนฟุบอยู่กับดิน ม้าก็ยืนกระทืบเท้าอยู่ข้างทาง ถุง​ย่ามข้าวของก็สูญหายไปหมด โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ทุบอกพูดว่าไม่ต้องตรึกตรอง นี่คืออ้ายพวกโจรที่เห้งเจียตีมัน ๆ ยังเหลืออยู่จึงตามมาฆ่าอาจารย์เราดังนี้ มันเอาข้าวของไปหมด ซัวเจ๋งเอาม้ามาผูกแล้วก็เข้าประคองอาจารย์ร้องไห้ พระถังซัมจั๋งได้สติพลิกตัวฟื้นขึ้นเห็นในปากไอออกร้อน ๆ และที่หน้าอกยังร้อน โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ร้องเรียกพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งรู้สึกจึงบอกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่าอาตมภาพยังไม่ตายดอก โป๊ยก่ายก็เข้าประคองให้นั่ง พระถังซัมจั๋งจึงบ่นว่าอ้ายชาติลิงมันมาทำเราดังนี้
   ซัวเจ๋งโป๊ยก่ายถามว่าอ้ายชาติลิงที่ไหนมาทำแก่พระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งกินน้ำแล้ว พูดว่าสานุศิษย์ทั้งสองไปแล้ว เห้งเจียก็มารบกวนจะใคร่ขอร่วมไปไซทีด้วย อาตมภาพไม่รับรองเป็นอันขาด มันโกรธจึงเอาตะบองตีแล้วเก็บเอาถึงย่ามข้าวของไปหมด โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธด่าว่า อ้ายลิงมันสามารถทำแก่อาจารย์ได้ถึงเพียงนี้พูดดังนั้นแล้ว จึงสั่งให้ซัวเจ๋งอยู่เฝ้าอาจารย์ เราจะไปทวงตามเอาถุงย่ามและเข้าของ ซัวเจ๋งว่าพี่อย่าเพิ่งวุ่นวายเราคิดให้อาจารย์ไปพักที่บ้านนั้นก่อน จะได้หาน้ำร้อนน้ำชาให้เธอฉันแล้วจึงค่อยไป โป๊ยก่ายพยุงอาจารย์ขึ้นม้า แล้วก็พากันเดินมายังบ้านที่บิณฑบาตนั้น ครั้นถึงประตูบ้าน ในบ้านนั้นยังเหลือแต่ยายเฒ่าคนเดียว แลเห็นอาจารย์กับศิษย์พากันมา ก็หลบเข้าในบ้านบอกว่าไม่มีคนอยู่ เชิญไปที่อื่นเถิด
   พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นก็เกาะโป๊ยก่ายลงจากม้าแล้ว เดินมาข้างประตูปราศรัยพูดว่า ท่านยายได้กรุณาด้วยเถิด อาตมภาพมีศิษย์สามคนพร้อมใจกันจะไปไซที บัดนี้ศิษย์คนใหญ่มันคิดร้ายใจพาล อาตมภาพไล่มันให้กลับไปเสียก็ไม่รู้เลย ว่าเธอจะมาทำร้ายอาตมภาพ คือได้มาตีเอาทีหนึ่งแล้วก็ลักเอาถุงย่ามเข้าของไป อาตมภาพจะให้ไปตามเอาของจะพักอยู่กลางทางก็ไม่สมควร จึงได้มาจะขออาศัยที่บ้านท่านยายพอให้ไปทวงของมาได้แล้ว อาตมภาพก็จะลาไปไม่อยู่ช้า ยายเฒ่าพูดว่าเมื่อตะกี้ก็มีพระสงฆ์มาบิณฑบาตว่าอาจารย์อยู่เมืองใต้ถังจะไปไซที นี่ทำไมจึงมีมาอีกเล่า โป๊ยก่ายได้ฟังยายเฒ่าพูดดังนั้น อดไมได้ก็หัวเราะแล้วพูดว่าที่พระสงฆ์มาบิณฑบาตนั้นคือตัวข้าพเจ้าเอง เพราะรูปกายข้าพเจ้าหยาบคายวิตกกลัวจะไม่ให้เข้า จึงต้องแปลงตัวเป็นพระสงฆ์มาบิณฑบาต ท่านยายไม่เชื่อจงดูที่ห่อผ้าน้องข้าพเจ้า ใช่เข้าที่ท่านยายทำบุญไปหรือไม่ใช่ ยายเฒ่ามาพิเคราะห์ดูเข้าก็จำได้ว่าข้าวของตัวที่ทำบุญไป ยายเฒ่าจึงนิมนต์ให้เข้าพักในบ้าน
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็พากันเข้าไปพักในบ้าน ยายเฒ่าก็ยกน้ำร้อนน้ำชามาถวาย ซัวเจ๋งเอาน้ำร้อนปนกับเข้าสุกให้อาจารย์ฉันสองสามคำ พระถังซัมจั๋งถามว่าใครจะไปตามเอาข้าวของโป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะไปเอง พระถังซัมจั๋งว่าโป๊ยก่ายไปไม่ได้ เพราะไม่ชอบกันทั้งจะพูดจาก็หยาบคาย เห้งเจียเป็นคนดุร้ายจะเสียการ ให้​ซัวเจ๋งไปจึงจะได้ ซัวเจ๋งก็รับว่าจะไป พระถังซัมจั๋งจึงสั่งว่าถ้าไปถึงแล้ว แม้ว่าเธอยอมคืนถุงย่ามให้มาจงทำเคารพนบนอบขอบคุณ หากเธอไม่ให้ก็อย่าสู้รบโต้ตอบ จงรีบข้ามไปหาพระโพธิสัตว์กวนอิม เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้ท่านฟัง นิมนต์ท่านไปถามเธอชำระให้
   ซัวเจ๋งรับคำสั่งแล้วก็ร่ายคาถารีบเหาะตรงไปยังทิศบูรพา หมายเขาฮวยก๊วยซัว ซัวเจ๋งเหาะมาได้สามวันสามคืนก็มาถึงเชาฮวยก๊วยซัว ก็ลงยังยอดเขาเดินมายังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ซัวเจ๋งแอบเข้าไปใกล้พิศดูก็เห็นเห้งเจียนั่งอยู่บนแท่นศิลา สองมือกำลังคลี่แผ่นหนังสืออ่านว่าชุมพูทวีปเมืองใต้ถัง ข้าพเจ้าครองราชสมบัติเป็นเจ้าปกครองบ้านเมืองตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม มีเหตุด้วยวิญญาณจิตของข้าพเจ้าลงไปยังเมืองนรก ขอบใจท่านพระยามัจจุราชได้ส่งวิญญาณกลับคืนมายังมนุษย์โลก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงทำมหากุศลแผ่อุทิศไปให้แก่พวกที่ต้องทรมานทุกข์ในนรกนั้นให้พ้นจากโทษ เวลานั้นมีพระโพธิสัตว์กวนอิมเสด็จมาชี้แจงว่า ที่ประเทศไซทีมีพระไตรปิฎกธรรม มีอภินิหารกุศลอาจโปรดพวกที่ตกอยู่ในอบายภูมิให้พ้นโทษได้ ข้าพเจ้าจึงให้พระสงฆ์แซ่ตั๊นชื่อเหี้ยนจึง เป็นพระถังซัมจั๋งไปยังประเทศไซทีสืบหาพระไตรปิฎกธรรมอันวิเศษ จะได้อาราธนามายังเมืองใต้ถัง แม้ว่าข้ามไปไซทีทุก ๆ เมือง ขอให้เห็นแก่กาลกุศลดูตามหนังสือเดินทางฉบับนี้ จงปล่อยให้ไปโดยสะดวกเถิด เมืองใต้ถัง​พระเจ้าเจงกวนเสวยราชสมบัติได้สิบสามปีประทับตราเก้าดวง
   ตั้งแต่ออกจากเมืองไป ข้ามทุก ๆ เมืองมาตามทางได้สานุศิษย์สามคน ๆ ใหญ่ชื่อซึงหงอคงเห้งเจีย คนที่สองชื่อหงอเหนงแซ่ตือโป๊ยก่าย คนที่สามแซ่ซัวชื่อหงอเจ๋ง ซัวเจ๋งอ่านดังนี้ตั้งแต่ต้นจนปลาย ซัวเจ๋งแอบได้ยินก็รู้ว่าหนังสือเดินทางของอาจารย์ จึงเดินเข้าไปใกล้ร้องเรียกพี่เห้งเจียหนังสือเดินทางของอาจารย์พี่อ่านทำไม เห้งเจียก็เงยหน้าแลไปจำซัวเจ๋งไม่ได้ จึงร้องให้จับตัวพวกบริวารวานรก็เข้าล้อมจับซัวเจ๋งลากมาหาเห้งเจีย ๆ ตวาดว่าเจ้าอยู่ที่ไหน จึงบังอาจมาแอบดูในที่ของเรา ซัวเจ๋งเห็นว่าเห้งเจียแปรปรวนทำไม่รู้จักจึงเคารพพูดว่า อันส่วนพี่นั้นพระอาจารย์ท่านไม่พอใจมีความขุ่นเคืองไล่พี่เสียมิให้ติดตามไปด้วย เมื่อเวลานั้นน้องก็ยังมิได้ขอร้องต่ออาจารย์ ครั้นข้าพเจ้ากับโป๊ยก่ายไปหาข้าวหาน้ำอยู่ข้างนี้พี่มีกะใจมาหาอาจารย์อีก ท่านก็ถือมานะมั่นไม่ให้ไป พี่เอาตะบองตีอาจารย์ล้มคว่ำลงกับพื้นแล้ว ก็เอาถุงย่ามข้าวของมาเสีย บัดนี้ข้าพเจ้าช่วยอาจารย์ฟื้นแล้ว จึงมาตามกราบเท้าพี่ แม้ว่าพี่คิดถึงเมื่อครั้งได้ออกจากเขาได้พ้นทุกข์แล้วนั้น เอาถุงย่ามกลับไปหาอาจารย์แล้ว จะได้พร้อมกันไปไซที แม้ว่าพี่ไม่ไปก็ขอแต่ถุงย่ามให้ข้าพเจ้าเอาไป พี่อยู่ที่นี่รับซึ่งความสุข อย่างนี้ก็จะดีทั้งสองฝ่าย
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊ากใหญ่ พูดว่าซัวเจ๋งคิดดังนั้นไม่​ถูกใจเรา เราคิดว่าตีพระถังซัมจั๋งแลเอาถุงย่ามมา ไม่ใช่จะไม่คิดไปไซที เราก็มิใช่จะอยากอยู่ที่นี่ เราอ่านหนังสือเดินทางให้คล่องแล้วเราก็จะไปไซทีเอง อาราธนาพระไตรปิฎกธรรมส่งไปเมืองใต้ถังให้สำเร็จโดยลำพังของเราเอง ให้แพร่หลายในชมพูทวีปรู้ทั่วกัน จะได้ยกย่องเราเป็นพระมหาราชครู ชื่อเสียงเราจะได้ปรากฎต่อ ๆ ไปจะไม่ดีหรือ ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า พี่เห็นความดังนั้นไม่พอ การณ์เหตุเดิมมาก็หาได้กล่าวว่าซึ่งเห้งเจียไปอาราธนาพระธรรมไม่ พระพุทธเจ้าได้ไว้พระไตรปิฎกแก่พระโพธิสัตว์กวนอิม เสด็จมายังเมืองใต้ถังเที่ยวหาผู้ที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎก และพระโพธิสัตว์พูดว่าผู้ที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกนั้น คือชื่อกิมเสี้ยนโพธิสัตว์ เป็นสาวกของพระองค์ เพราะเธอขาดฟังธรรม พระยูไลปรับโทษให้ไปปฏิสนธิยังเมืองใต้ถังประเทศจีน บวชในพระพุทธศาสนาโดยทางปฏิบัติบำเพ็ญบารมีให้ใหญ่กว้าง เอาคุณถ่ายโทษกว่าจะบริบูรณ์ซึ่งมรรคผล เพราะฉะนั้นจึงมีมารยักษ์ร้าย พวกเราได้ปลดเปลื้องธุระมาทั้งสามคนเป็นผู้รักษาธรรม แม้ว่าไม่มีพระถังซัมจั๋งไปด้วยแล้ว พระยูไลองค์ใดจะยอมให้พระไตรปิฎกมาเล่า คิดดังนั้นจะมิเสียเวลาเปล่าหรือ
   เห้งเจียว่าน้องรู้หนึ่งไม่รู้สอง น้องพูดว่าน้องมีพระถังซัมจั๋งคุ้มไป เราก็มีพระถังซัมจั๋งจัดแจงไว้พร้อมแล้ว รอได้เวลาพรุ่งนี้เช้าเราก็จะไปไซที แม้ว่าไม่เชื่อเรา ๆ จะนิมนต์ออกมาให้ดู​พูดแล้วก็สั่งบริวารว่า จงไปนิมนต์พระถังซัมจั๋งมา พวกวานรก็เข้าไปในประตูพยุงพระถังซัมจั๋งเดินออกมา มีม้าขาวตัวหนึ่งกับโป๊ยก่ายหาบของ ซัวเจ๋งถือไม้เท้าเดินตามมา ซัวเจ๋งแลไปเห็นดังนั้นก็โกรธพูดว่า เราไม่ได้เปลี่ยนรูปเปลี่ยนนามอะไร ทำไมจึงมีซัวเจ๋งที่ไหนมาอีกคนหนึ่งดังนี้ ซัวเจ๋งก็ชักตะบองตรงมาตีซัวเจ๋งแปลงล้มลงตายทันที เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องให้พวกบริวารล้อมจับ ซัวเจ๋งก็ตีฝ่าออกจากที่ล้อมได้แล้วก็รีบหนีออกจากทางเก่า เหาะขึ้นบนเวหาบ่นว่าอ้ายลิงมันถือดีดังนี้ เราจะเลยไปฟ้องพระโพธิสัตว์ให้ท่านทราบเรื่อง เห้งเจียเห็นซัวเจ๋งไปแล้วก็กลับเข้าถ้ำคัดเลือกลิงน้อยที่แปลงได้ ให้แปลงเป็นรูปซัวเจ๋งไว้อย่างเดิม แล้วก็สั่งให้ไปไซที
   ฝ่ายซัวเจ๋งออกจากเขาฮวยก๊วยซัวแล้ว ก็เหาะตัดตรงไปเขาโป๊ท่อซัว เหาะมาวันกับคืนหนึ่งก็ถึง ซัวเจ๋งก็ลงยังพื้นค่อยเดินมาใกล้สำนัก แลไปเห็นบัดจาเดินออกมาต้อนรับปราศรัยใต่ถามว่าท่านซัวเจ๋งทำไมไม่ไปตามรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซที มาที่นี่มีธุระอะไรหรือ ซัวเจ๋งคำนับแล้วพูดว่า เหตุมีกิจธุระจะใคร่มาหาพระโพธิสัตว์ ขอท่านจงได้อนุเคราะห์นำข้าพเจ้าไปเฝ้าด้วยเถิด บัดจาก็รู้ว่าจะมาตามเห้งเจีย จึงเข้าไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์ ๆ จึงให้บัดจาพาซัวเจ๋งเข้ามา ฝ่ายเห้งเจียยืนเฝ้าพระโพธิสัตว์อยู่ข้างแท่น แลไปเห็นซัวเจ๋งเดินเข้ามาก็นึกเข้าใจแน่ว่าเห็นพระอาจารย์จะมีภัยร้ายแล้ว จึงให้ซัวเจ๋งมาตาม​พระโพธิสัตว์ดอกกระมัง ซัวเจ๋งครั้นเข้ามาถึง แลเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่บนแท่นก็ก้มหน้ากราบนมัการ แล้วเงยหน้าจะกราบเรียน แลไปเห็นเห้งเจียยืนอยู่ข้างนั้นก็หาทันจะได้พูดจาอะไรไม่ ฉวยพลองกระโดดมาตีเอาเห้งเจีย ๆ ก็มิได้ต่อสู้ ซัวเจ๋งว่ามึงมีความผิดต้องโทษอกุศลแล้ว มึงยังแอบมาจะหลอกพระโพธิสัตว์หรือ
   พระโพธิสัตว์จึงตวาดห้ามว่า ซัวเจ๋งอย่าวุ่นวาย มีธุระอะไรจงบอกมาให้อาตมภาพทราบด้วย ซัวเจ๋งก็นมัสการโดยกำลังโกรธ เล่าความตั้งแต่ต้นจนปลาย ให้พระโพธิสัตว์ฟังทุกประการ แล้วว่าข้าพเจ้าจะมากราบเรียนให้ทราบไม่รู้เลยว่าเหาะมาอยู่นี่ก่อน แลไม่ทราบว่าเอาอะไรมากราบเรียนแก้ตัวแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ฟังซัวเจ๋งพูดดังนั้น จึงพูดว่าซัวเจ๋งอย่าเอาโทษมาใส่เขา เห้งเจียมานี่ได้สี่วันแล้ว อาตมภาพก็ยังหาได้ปล่อยให้ไปไหนไม่ เหตุนี้จะเกิดขึ้นจากไหน ซัวเจ๋งพูดว่าที่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องก็มีเห้งเจียคนหนึ่ง ข้าพเจ้ามิได้เอาเท็จมากล่าว พระโพธิสัตว์ว่าถ้าจริงดังนั้นซัวเจ๋งจงไปกับเห้งเจียดูให้รู้ก่อน เมื่อไปถึงแล้วก็จะรู้ได้ เห้งเจียได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งดังนั้น จึงชวนซัวเจ๋งคำนับลาพระโพธิสัตว์พากันออกจากสำนักก็รีบเหาะตรงไป