Translate

18 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 42 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๖)
 เดินพลางชมพลางตามแนวป่า แลไปก็เห็นภูเขาสูงก็พากันเดินข้ามเขาไปทางทิศตะวันตก เป็นเนินลาดเสมอ โป๊ยก่ายจะแผลง​ฤทธิ์ก็ส่งหาบให้ซัวเจ๋งหาบ โป๊ยก่ายก็เอาคราดไล่ม้าให้วิ่ง เห้งเจียถามว่านั่นจะทำอะไรกัน โป๊ยก่ายว่าเวลาก็จวนจะค่ำ ตั้งแต่ขึ้นเขาเดินมาก็เกือบวันหนึ่งแล้ว ในท้องก็หิวโหยวุ่นวาย ข้าพเจ้าจะใคร่หาบ้านคนจะได้บิณฑบาตข้าวกินสักมื้อหนึ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นพี่จะไล่ม้านั้นให้ไปเร็ว ๆ ว่าแล้วเห้งเจียก็ชักตะบองออกเดินมาใกล้ม้าเอาตะบองแกว่งหมุนทีหนึ่ง ม้าก็วิ่งดุจลูกเกาทัณฑ์ ถามว่าม้าทำไมกลัวเห้งเจียไม่กลัวโป๊ยก่ายนั้นเป็นอย่างไร มีคำตอบว่า เห้งเจียแต่ก่อนเมื่ออยู่บนสวรรค์เคยเลี้ยงม้าปราบเสียออกเข็ดฝีมือ อาศัยเหตุนี้มาจนทุกวันนี้ม้าก็ต้องย่อมกลัววานรทุกตัวไป
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้ายอไม่หยุดไม่รู้แห่งที่จะทำประการใด ก็จับบังเหียนรั้งกดลงกับอานปล่อยวิ่งไปตามวิสัย ประมาณทางสักสองร้อยเส้นจึงค่อย ๆ เดิน เมื่อกำลังเดินมาได้ยินเสียงม้าฬ่อเสียงคนร้องกู่ข้างทางคะเนเสียงสักสามสี่สิบคน แลไปก็เห็นคนเดินออกมา มือถืออาวุธทุก ๆ คนออกสกัดหน้าพระถังซัมจั๋งแล้วถามว่าพระสงฆ์นั้นจะไปข้างไหน พระถังซัมจั๋งให้อกสั่นขวัญหาย นั่งไม่อยู่พลัดตกจากหลังม้าลงมา ลุกขึ้นยืนข้างทางร้องว่าท่านใต้อ๋องยกชีวิตให้ข้าพเจ้าเถิด
   ฝ่ายหัวหน้าโจรสองคนพูดว่า เราไม่ทุบไม่ตีมีสิ่งของอะไรก็เอามาให้เราเสียโดยดีแล้วก็ไม่ต้องทุบตี พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็รู้แน่ว่าพวกโจร จึงเดินมาพนมมือพูดว่า อาตมภาพมาจาก​เมืองใต้ถังฝ่ายทิศบูรพา มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้อาตมภาพไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม จากบ้านเมืองมาหลายปีแล้ว แม้มีโสหุ้ยเสบียงอาหารมาก็หมดสิ้นแล้ว อาตมภาพเป็นสงฆ์ไปถึงไหนก็บิณฑบาตเขาฉัน พอเลี้ยงชีวิตไปเท่านั้น ไม่มีเงินทองข้าวของสิ่งใดเลย ขอท่านได้กรุณาเถิด
   ฝ่ายนายโจรทั้งสองพูดว่า ข้าพเจ้าตั้งใจคอยดุจเสือมาสกัดทางอยู่ ปราถนาจะประสงค์ทรัพย์สมบัติเงินทอง จะให้เราผ่อนผันอย่างไรได้ หากว่าเงินทองข้าวของไม่มีจริงแล้ว เสื้อผ้าก็ควรถอดออกมาให้ และทิ้งม้าไว้ที่นี่แล้ว เราจึงจะปล่อยให้ไปได้ หาไม่ก็ไม่ฟังกัน พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อันเสื้อผ้านั้นขาด ๆ เสีย ๆ อาตมภาพบิณฑบาตเขามาพอพันกายท่านจะให้ถอดออกจากกายดังนี้ ก็เหมือนฆ่าอาตมภาพเสียเหมือนกัน จะเป็นบาปกรรมแก่ท่านต่อไปหาควรไม่ นายโจรได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็โกรธฉวยไม้พลองตรงมาจะตีพระถังซัมจั๋ง ๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่รู้จักการกลับกลอก เห็นการจวนตัวไม่รู้ที่จะแก้ไขอย่างไรได้ จึงพูดว่าท่านอย่าเพิ่งลงมือ อาตมภาพมีศิษย์มาด้วยข้างหลังมีเงินติดตัวมาสองสามตำลึง รอมาถึงอาตมภาพจะเอาให้ท่าน นายโจรพูดว่า สงฆ์ผู้นี้พูดกลับกลอกเอาเชือกมัดเสียจึงจะได้ พวกบริวารก็เอาเชือกมัดพระถังซัมจั๋งชักโยงขึ้นบนต้นไม้สูง
   ฝ่ายศิษย์ทั้งสามวิ่งตามหลังมา โป๊ยก่ายหัวเราะไม่หยุด แล้ว​พูดว่าพระอาจารย์ห้อใหญ่ไปตามสบายใจแล้ว ไม่รุ้ว่าจะไปถึงไหน โป๊ยก่ายเหลือบไปเห็นอาจารย์แขวนห้อยอยู่บนต้นไม้สูง จึงร้องบอกเห้งเจีย ซัวเจ๋ง ให้ดูว่าอาจารย์คอยอยู่โน่นแล้ว ใจคออาจสามารถขึ้นอยู่บนต้นไม้สูงผูกชิงช้าไกวเล่นตามสบายใจ เห้งเจียแลไปเห็นแล้วว่าเจ้าอย่าพูดให้เลอะเทอะ อาจารย์เราถูกแขวนอยู่แล้วมิใช่หรือ เจ้าสองคนค่อย ๆ เดิน พี่จะรีบไปก่อนหากจะมีเหตุอะไรดอกกระมัง เห้งเจียก็รีบขึ้นเนินเขาสูงแลไปก็เห็นพวกโจรตั้งอยู่เป็นหมู่ เห้งเจียดีใจพูดว่าดีแล้วลาภจะมาถึงแล้ว พูดดังนั้นแล้วก็แปลงตัวเป็นสามเณรน้อยอายุประมาณสิบหกขวบ บนบ่าสะพายห่อผ้าใหญ่เดินตรงมาที่อาจารย์ร้องเรียกว่าอาจารย์นั้นเป็นเหตุอะไร พระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงก็จำได้รู้ว่าเห้งเจีย จึงพูดว่าทำไมจึงไม่ช่วยแก้เราเล่า
ตอน หงอคงตัวปลอม (ช่วงที่1)
เห้งเจียถามว่านั่นเพราะเหตุอะไรจึงได้เป็นดังนี้ พระถังซัมจั๋งบอกว่าพวกเหล่านั้นสกัดทางเราไว้มิให้เราไป จะทวงเอาค่าเดินทางสิ่งของไม่มีจะให้เขา ๆ จึงมัดแขวนไว้อย่างนี้ คอยว่าเห้งเจียมาจะได้คิดดูมีอะไรจะได้ให้เขา เพราะเหตุดังนี้เราจะทำประการใดดี เห้งเจียถามว่าอาจารย์ได้พูดจารับรอง ผ่อนผันไว้แก่เขาอย่างไรบ้างเล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่าเขาเร่งรัดจะมาตีมาทุบ อาตมภาพก็ไม่รู้ที่จะแก้ตัวอย่างไร จึงได้อ้างว่าข้าวของมีอยู่ที่เห้งเจีย อย่าเพิ่งทุบตีให้คอยสานุศิษย์ก่อนพวกเหล่านี้จงหยุดให้ เป็นเวลาที่เข้าคับแค้นจงได้พูดดังนั้น เห้งเจียพูดว่าดีแล้วตามอาจารย์พูดอย่างนี้ก็สมควรถูกต้องแล้ว
​ ฝ่ายนายโจรแลบ่าวไพร่เห็นเห้งเจียพูดโต้ตอบกับอาจารย์ดังนั้นก็พากันกรูเข้าล้อม นายโจรเข้ามาใกล้พูดว่าสามเณรอาจารย์นั้นบอกว่า ข้าวของเงินทองอยู่ที่สามเณร ๆ จงรีบเอามาให้เราโดยเร็วเราจะยกชีวิตให้ แม้พูดขัดขวางสักครึ่งคำไม่พอใจเรา เราจะให้ชีวิตวินาศลงกับพื้นเดี๋ยวนี้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็วางถุงลงแล้วพูดว่า ท่านอยุติธรรมทั้งหลายไม่ต้องทวงถามไปทำไมกับข้าวของ ในห่อนี้มีทองคำไม่สู้มากหนักยี่สิบแท่ง เงินสักสามสี่สิบแท่งเงินที่ละเอียด ๆ ยังไม่ได้คิด จะต้องประสงค์แล้วจงเอาไปทั้งห่อเถิด ขอแต่อย่าตีอาจารย์ของอาตมภาพเลย คำโบราณท่านย่อมว่าเงินทองเป็นของปลายเหตุ มีกุศลแลบุญย่อมเป็นต้นเหตุ เงินทองเป็นของปลายพวกอาตมภาพก็เป็นพระเป็นสงฆ์ก็มีแต่เที่ยวบิณฑบาต ขอท่านได้แก้ปล่อยอาจารย์ออกมาก่อนแล้ว อาตมภาพจะนำของเหล่านี้มอบให้ท่านทั้งสิ้น ฝ่ายโจรเหล่านั้นเมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ดีใจ พูดว่าตาสงฆ์แกเหนียวแน่นสามเณรเล็กนี้ดีไม่ขี้เหนียว นายโจรทั้งสองจึงบอกให้พวกบริวารโจรเหล่านั้นแก้มัดพระถังซัมจั๋งลงมา แล้วก็ขึ้นม้าหนีไป เห้งเจียเอาแซ่หวดม้าเข้าสองสามทีม้าก็วิ่งไปทางเก่า เห้งเจียร้องว่าไปผิดทางแล้วเห้งเจียจะฉวยห่อวิ่งตามไป พวกโจรก็เข้าล้อมสะกัดไว้ถามว่าจะไปข้างไหนข้าวของเอาไว้ก่อนอย่าให้ถึงลงมือ เห้งเจียว่าของนั้นจะต้องปันเป็นสามส่วน นายโจรพูดว่าเจ้าเณรน้อยนี้กลับกลอกทำกลอุบายแต่พอให้อาจารย์หลุดเท่านั้น ของในนั้นมีมากน้อยเท่า​ใด ถ้ามีมากก็จะแบ่งปันให้ไปซื้อผลไม้กิน เห้งเจียว่าเอาข้าวของที่ไหนมามีเล่า พี่ทั้งสองหากเป็นนายโจรไปปล้นที่ไหนได้ข้าวของ ขอให้มาแบ่งให้แก่ข้าพเจ้าบ้างซิจึงจะชอบ นายโจรได้ฟังดังนั้นก็โกรธแล้วพูดว่าเจ้าเณรนี้ไม่รู้จักความตายเลย ข้าวของก็ไม่ยอมให้กลับจะมาขอแบ่งส่วนเอาที่ข้าจงดูไม้ตะพดลายนี้เถิด นายโจรก็ตีศรีษะเห้งเจียเจ็ดแปดที เห้งเจียก็มิได้แสดงความเจ็บปวดหน้าตาปรกติอยู่กลับหัวเราะเสียงดังสนั่น พูดว่าพี่ถ้าตีดังนี้ตีอีกพันทีก็ไม่รู้สึกว่าเจ็บอย่างไร นายโจรเห็นดังนั้นก็ตกใจพูดว่าเจ้าเณรน้อยคนนี้หัวมันช่างแข็งจริง เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าไม่แข็งถึงดังนั้นดอกพูดเล่นตามการดังนั้นเอง พวกโจรก็ไม่ฟังถ้อยคำกรูเข้ามาสามสี่คนตีเห้งเจีย เห้งเจียร้องห้ามว่าท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งโกรธก่อน รอข้าพเจ้าจะเอาออกมาให้ พูดแล้วเห้งเจียก็ชักออกจากหูเป็นเข็มปักอันหนึ่งแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนบวชเรียนเงินทองไม่มี ๆ แต่เข็มเล่มหนึ่งนี้ให้แก่ท่านเท่านั้น
   นายโจรก็นึกเสียใจว่าปล่อยพระสงฆ์ที่มีเข้าของไปเสียแล้ว จับสามเณรคนจนไว้เราไม่เข้าใจเย็บสอยจะเอาเข็มไปทำอะไรได้ เห้งเจียเห็นนายโจรพูดว่าไม่ต้องการก็จับแกว่งทีหนึ่ง ก็ใหญ่ขึ้นเท่าตะบองอันหนึ่งปักลงยังพื้นแล้ว ร้องบอกว่าท่านทั้งหลายมาถอนเอาไปได้แล้วข้าพเจ้าจะยกให้ นายโจรทั้งสองก็มาสั่นถอน คิดดูก็น่าสงสัย เปรียบประดุจตั๊กแตนจับเสาศิลา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็กระโดดมา​จับถอนเบา ๆ ก็ขึ้นแล้วเอาตะบองชี้พวกโจรว่า พวกเจ้าไม่รู้จักมาโดนเข้าเสียแล้ว นายโจรโกรธเอาพลองตีศรีษะเห้งเจียอีกห้าหกสิบที เห้งเจียก็หัวเราะพูดว่า พวกเจ้าตีข้าเมื่อยมือแล้ว ทีนี้จะต้องให้ข้าตีบ้าง ว่าแล้วเห้งเจียก็ออกท่าตะบองหวดไปทีหนึ่ง ถูกนายโจรล้มลงกับพื้นสิ้นใจตาย นายโจรอีกคนหนึ่งเห็นดังนั้น ก็ด่าว่าอ้ายโล้นนี้ไม่รู้จักธรรมเนียม ข้าวของก็ไม่ให้กลับมาฆ่าคนเสียดังนี้ เห้งเจียว่าจงเงียบยับยั้งก่อน คอยเราตีเสียให้ตายทุกคนให้สิ้นรากเหง้าจึงจะได้ ว่าแล้วเห้งเจียก็ยกตะบองหวดไปทีหนึ่งถูกนายโจรล้มลงตายอีกคนหนึ่ง พวกบริวารเหล่านั้นก็ตกใจพากันวิ่งหนีไปทั้งสิ้น
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกำลังม้าวิ่งกลับไป ก็มาพบโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ๆ ร้องว่าอาจารย์ทำไมเดินมาทางนี้เล่า ผิดทางเสียแล้ว พระถังซัมจั๋งชักม้าหยุดแล้วพูดว่า จงรีบไปบอกแก่เห้งเจียว่า อย่าให้ลงตะบองเลย จงเห็นแก่เพื่อนมนุษย์เถิดอย่าทำให้ถึงแก่ความตายเลย โป๊ยก่ายว่าอาจารย์จงหยุดพักก่อน ข้าพเจ้าจะไปบอกเธอเอง พูดแล้วโป๊ยก่ายก็รีบวิ่งไปใกล้จะถึง ร้องตะโกนว่าพี่เห้งเจีย พระอาจารย์สั่งว่าอย่าตีคนเลย เห้งเจียว่าใครได้ทันตีใครที่ไหนเล่า โป๊ยก่ายถามว่าพวกโจรไปข้างไหนหมดเล่าจึงไม่เห็นสักคนเดียว เห้งเจียบอกว่าพวกบริวารของมันหนีไปหมดแล้ว เหลือแต่นายมันสองคนยังนอนหลับอยู่ โป๊ยก่ายเดินเข้ามาใกล้แลดูเห็นคนนอนอยู่ น้ำเมือก​อะไรไหลออกมาเปรอะหัวดังนั้น เห้งเจียบอกว่าพี่พึ่งตีตายหัวสมองทะเล้นเยื่อออกมา
   โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็ตกใจวิ่งกลับไปบอกพระถังซัมจั๋งว่า พวกโจรกลับไปหมดแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่า มันไปทางไหน โป๊ยก่ายบอกว่าพี่เห้งเจียตีนอนตายอยู่สองคน พวกนั้นมันหนีไปหมดแล้ว แต่จะไปทางไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ร้อนใจ บ่นว่าน่าแค้นอ้ายลิงแท้ ๆ ใจคอช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ ตีเขาจนถึงแก่ความตาย พูดดังนั้นแล้วก็ชักม้ากลับมาพร้อมด้วยโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเดินมา ครั้นถึงที่ ๆ โจรตายนั้นแล้วแลเห็นโลหิตออกเลอะพื้นดิน คนตายก็นอนอยู่กับพื้น พระถังซัมจั๋งไม่พอใจจะแลดู จึงสั่งให้โป๊ยก่ายเอาไปฝังเสีย อาตมภาพจะสวดมนต์สักจบหนึ่ง
   โป๊ยก่ายว่าอาจารย์เห็นจะผิดดอกกระมัง ก็เห้งเจียตีคนตายจะให้ข้าพเจ้าเป็นสัปเหร่อจะได้อยู่หรือ เห้งเจียถูกอาจารย์ว่าใจคอไม่สู้จะสบาย ครั้นได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงตวาดโป๊ยก่ายว่าอ้ายชาติหมูยังไม่รีบเอาไปฝังหรือ ประเดี๋ยวจะล่อด้วยตะบองตายตามอ้ายโจรไปอีกศพเดี๋ยวนี้ โป๊ยก่ายตกใจกลัวรีบไปข้างเนินเขา เอาคราดสับดินลงขุดหลุมแล้ว แบกเอาศพทั้งสองใส่ลงไปเอาดินกลบแน่นแล้วเอาดินมูลขึ้นเสร็จแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงหยิบดินจุดธูปอธิษฐานว่า นายโจรจงฟังอาตมภาพจะขออธิษฐาน เหตุคิดถึงสานุศิษย์ของอาตมภาพ เพราะพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้ไปไซที​อาราธนาพระธรรม มาถึงที่นี่พบท่านหลายคน อาตมภาพอ้อนวอนว่ากล่าวแต่ถ้อยคำที่ดี ท่านก็มิได้เชื่อฟัง จึงมาปะเห้งเจียมือร้ายใจกล้า ตีด้วยตะบองถึงแก่ความตาย อาตมภาพสงสารคิดถึงซากศพนอนอยู่กลางดิน จึงให้โป็ยก่ายเอาไปฝังแล้ว แม้ว่าลงไปยังนรกฟ้องแก่พระยามัจจุราชต้องตามเหตุผล เห้งเจียแซ่ชึงอาตมภาพแซ่ตั๊นฆ่ามีตัวอยู่อย่าฟ้องอาตมภาพเลย
   โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า อาจารย์ต้องชี้แจงให้หมดจด คือเมื่อเวลาเธอตีนั้น ข้าพเจ้าและซัวเจ๋งไม่ได้อยู่ที่นั่น พระถังซัมจั๋งก็กล่าวตามคำโป๊ยก่ายว่า แม้ว่าฟ้องก็จงฟ้องแต่เห้งเจียคนเดียว ที่โป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งนั้นมิได้เกี่ยวข้อง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์ท่านเป็นผู้ใหญ่ช่างไม่มีจิตกตัญญูเลย เพราะว่าเพื่อด้วยอาจารย์ไปอาราธนาพระธรรม ได้ความทุกข์ทรมานนั้นเท่าไรแล้ว มาวันนี้ข้าพเจ้าพลั้งผิดตีโจรร้ายตายสองคน ท่านไปชี้สอนให้มันไปฟ้องข้าพเจ้ายังพระยามัจจุราช ข้าพเจ้าตีมันตายก็จริงแต่ท่านไปอาราธนาพระธรรม ถ้าข้าพเจ้าไม่เป็นสานุศิษย์ของท่านตามมาที่ไหนจะได้ตีคนตายเล่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะมีคำสั่งบ้าง ว่าแล้วก็ถือไม้ตะบองมายืนข้างหลุมผี กระทุ้งสามทีแล้วพูดว่าอ้ายโจรตายโหงเองจงฟังเราพูดเรายอมให้เองตีเราก่อนเจ็ดที แล้วก็ตีอีกเจ็ดทีแปดทีเราก็ไม่เจ็บไม่ช้ำ เจ้าทำให้เราได้ความเดือดร้อนเราจึงได้ตีเจ้าตาย ​ต่อให้เจ้าไปฟ้องที่ไหนเราก็ไม่กลัว เง็กเซียงฮ่องเต้ท่านรู้จักเรา เทพบุตรทั้งหลายก็เคยชอบกัน ดาวรอบท้องฟ้าก็เป็นเพื่อนแก่เรา เทพารักษ์และพระภูมิเจ้าที่ก็เกรงใจเรา เทพยดารักษาจักรวาลก็ชอบกันสนิท ทุก ๆ เขตภูมิเจ้านายศักดิ์สิทธิ์ทั้งพระยามัจจุราชก็เกรงใจทั้งสิ้นตามแต่เจ้าจะไปฟ้องเราเถิดเราไม่กลัวทั้งสิ้น
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจ จึงพูดว่าอาตมภาพกล่าวคำอธิษฐานดังนั้นก็ปราถนาจะให้เป็นคนดี ตัวทำไมจึงถือเอาเป็นจริงดังนั้นเล่า เห้งเจียพูดว่าอาจารย์ได้พูดไปแล้วก็ช่างเถิด เวลายังวันอยู่รีบไปหาที่อาศัยเถิด พระถังซัมจั๋งจิตก็ยังไม่หายโกรธ จึงขึ้นหลังม้าเห้งเจียยังขุ่นในใจอยู่ อาจารย์กับศิษย์ต่างดีแต่หน้าในใจก็ต่างติเตียนกัน เดินมาสักประเดี๋ยวแลไปข้างหน้า เห็นที่ข้างทางใหญ่เข้าไปในแนวป่านั้นมีหมู่บ้าน พระถังซัมจั๋งเอาแซ่ม้าชี้พูดว่าพวกเราเข้าไปพักที่หมู่บ้านนั้นเถิด แล้วก็พากันเดินเข้าไปถึงที่หน้าบ้าน พระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าเห็นตาเฒ่าคนหนึ่งเดินออกมา พระถังซัมจั๋งจึงทักถาม ตาเฒ่าจึงถามว่าพระสงฆ์ท่านมาแต่เมืองไหนจะไปข้างไหน พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพนี้อยู่เมืองใต้ถัง จะไปไซทีอาราธนาธรรม มาถึงนี่ก็จวนค่ำจะขออาศัยพักสักคืนหนึ่งรุ่งเช้าจะลาไป
   ตาเฒ่าพูดว่าหนทางตั้งแต่เมืองท่านมาถึงที่นี่มิใช่ใกล้ ทำไมท่านผู้เดียวจึงได้มาถึงที่นี่ได้ พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมภาพมีศิษย์​มาด้วยสามคนเป็นเพื่อน ตาเฒ่าถามว่าก็สานุศิษย์อยู่ที่ไหนเล่า พระถังซัมจั๋งเอามือชี้ว่าที่ยืนอยู่ข้างทางนั่นและ ตาเฒ่าก็แลไปเห็นทั้งสามคนหน้าตาหยาบคายไม่น่าดูทุก ๆ คน ตาเฒ่าหันกลับจะเข้าบ้าน พระถังซัมจั๋งยึดไว้แล้วพูดว่าท่านตาจงเมตตาขอให้อาศัยพักสักคืนหนึ่งเถิด ตาเฒ่าสั่นศรีษะโบกมือพูดว่าไม่ใช่อย่างคน จะเป็นยักษ์มารอะไรก็ไม่รู้ คนหนึ่งคล้ายเงือก คนหนึ่งคล้ายม้าปากยาว คนหนึ่งหน้าคล้ายกับรามสูร  เห้งเจียได้ฟังตาเฒ่าพูดดังนั้นก็ร้องด้วยเสียงอันดังว่า ที่คล้ายเงือกนั้นคือเหลนของข้าพเจ้า ที่หน้าเหมือนม้านั้นคือโหลนของข้าพเจ้าเอง ตาเฒ่าเห็นหน้าตาเห้งเจียดังนั้นใจคอไม่สบายจะถอยเข้าบ้าน พระถังซัมจั๋งจึงตามเข้าไปในบ้าน ข้างในบ้านมียายเฒ่าคนหนึ่งจูงเด็กอายุประมาณสักหกขวบ เดินมาถามว่าอะไรกันที่ไหน พระถังซัมจั๋งจึงเล่าให้ยายเฒ่าฟังทุกประการว่า อันสานุศิษย์ของอาตมภาพนั้น รูปร่างหยาบคายก็จริง แต่สมาทานถือตามพระพุทธบัญญัตทั้งสามคน ไม่เหมือนคนโหดร้ายทั้งหลายดอก จะกลัวเธอทำไม
   ตายายเฒ่าทั้งสองได้ฟังชี้แจงดังนั้น จึงค่อยหายความกลัวจึงบอกแก่พระถังซัมจั๋งให้เชิญเข้ามา พระถังซัมจั๋งจึงเดินออกไปสั่งศิษย์ทั้งสามว่า จงระมัดระวังกิริยาให้เรียบร้อย ศิษย์ทั้งสามก็จูงม้าพาหาบเข้าไปยังเรือนตาเฒ่า นั่งพักคอยฟังอาจารย์จะใช้สอย ฝ่ายยายเฒ่ามีจิตศรัทธาจึงจัดแจงยกน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยง เวลานั้นก็จวนจะโพล้เพล้ คนในบ้านก็จัดแจงตามตะกียงและโคมไฟสว่าง​ไสว พระถังซัมจั๋งถามตาเฒ่าว่าท่านแซ่อะไร อายุได้เท่าใดแล้ว ตาเฒ่าตอบว่าข้าพเจ้าแซ่เอี่ยวอายุได้เจ็ดสิบสี่ปีแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่ามีบุตรกี่คน ตาเฒ่าบอกว่ามีคนเดียวที่ยายแก่จูงมานั้นแลคือหลาน พระถังซัมจั๋งขอพบบุตรชาย ตาเฒ่าพูดว่าข้าพเจ้าก็แก่แล้วเลี้ยงลูกคนนี้แสนจะลำบากกับมันวันนี้พ่อมันไม่อยู่ พระถังซัมจั๋งถามว่าไปค้าขายที่ไหนหรือ
   ตาเฒ่าสั่นศรีษะพูดว่าคิดแล้วก็น่าสงสาร แม้ว่าชอบค้าขายก็เป็นบุญของข้าพเจ้า อันกิจการบ้านเรือนไม่เอาเป็นธุระทั้งสิ้น ตั้งใจทำแต่การอัปยศไม่มีความดี เที่ยวคบค้าคนพาลตีชิงวิ่งราวสกัดทางขวางหน้าฆ่าคนสารพัดจะเป็นแต่การอกุศลทั้งสิ้น เมื่อห้าวันหายไปไม่เห็นกลับมาจนวันนี้ พระถังซัมจั๋งไม่ซักถามต่อไปอีก นึกแต่ในใจว่าเห็นจะเป็นอ้ายโจรที่เห้งเจียตีตายนั้นดอกกระมัง แล้วพระถังซัมจั๋งพูดว่าพ่อแม่จิตใจเป็นกุศล เหตุไฉนบุตรจึงได้เป็นไปเช่นนั้น เห้งเจียว่าลูกอย่างนี้ไม่ใช่คนดีเลี้ยงไว้ทำไม ข้าพเจ้าจะช่วยจับตีเสียให้ตายจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ ตาเฒ่าว่าข้าพเจ้าก็อยากจะให้มันพ้นหูพ้นตาไปเสียขัดด้วยผู้คนก็ไม่มีจึงต้องนิ่งอยู่ ไว้มันเพื่อให้ช่วยกลบดินให้ข้าพเจ้าเมื่อภายหลัง ซัวเจ๋งโป๊ยก่ายได้ฟังตาเฒ่าว่าดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า พี่เห้งเจียอย่าพูดสนุกปากไป ขอหญ้าท่านตาสักมัดหนึ่ง หาที่ปูลาดนอนพักพรุ่งนี้จะได้ไป ตาเฒ่าได้ยินดังนั้นก็นำพาอาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนออกไปที่สวน ชี้ให้อาศัยอยู่ที่กระท่อมน้อยแล้ว​ตาเฒ่าก็กลับเข้าบ้าน พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็พักนอนอยู่ที่นั่น
   ฝ่ายพวกโจรนั้น ลูกตาเฒ่ากับพรรคพวกอยู่ในหมู่นั้นด้วย เมื่อเวลาเช้าเห้งเจียตีนายโจรตายเสียสองคน พวกบริวารเหล่านั้นก็พากันซุกซ่อนวิ่งหนีเอาตัวรอด พอเวลายามสามมารวมกันเป็นหมู่มาเคาะประตูเรียกตาเฒ่า ๆ กำลังนอนได้ยินก็เดินออกมาเปิดประตู ได้ยินพวกโจรบ่นว่าหิวข้าว ๆ ฝ่ายลูกชายตาเฒ่าก็ไปในบ้านเรียกลูกเมียตื่นขึ้นหุงข้าวต้มแกง ก็เลยไปหลังสวนหอบฟืนเข้ามาแล้ว ถามภรรยาว่าม้าขาวที่หลังสวนนั้นของใคร ภรรยาบอกว่าม้าของพระสงฆ์ที่ท่านมาจากเมืองใต้ถังจะไปอาราธนาพระธรรม เมื่อเย็นนี้ท่านมาขออาศัยพักนอน พ่อแม่เลี้ยงดูเธอแล้ว จึงชี้ให้อาศัยกระท่อมน้อยนอน
   ลูกตาเฒ่าได้ยินดังนั้นก็ดีใจออกไปนอกบ้านตบมือหัวเราะบอกแก่พวกกันว่า เหมาะแล้ว ๆ คนพยาบาทแก่พวกเราอยู่ในบ้านเรา พวกเหล่านั้นถามว่า คนพยาบาทใครที่ไหน ลูกตาเฒ่าบอกว่าพวกพระสงฆ์ที่ตีนายเราตายนั้นเป็นไรเล่า บัดนี้มาอาศัยนอนอยู่ที่ในสวนหลังบ้านเรากำลังนอนหลับ พวกโจรพากันพูดว่าดีแล้ว ๆ จับเอาตัวให้ได้แล้วสับฟันให้เนื้อป่นละเอียด จะได้แก้แค้นแทนให้นายเรา ลูกตาเฒ่าห้ามว่าอย่าเพิ่งรีบร้อน จงพากันออกไปลับมีดให้คมก่อน
   ฝ่ายตาเฒ่าแอบได้ยินพวกโจรคิดกันดังนั้น จึงค่อย ๆ เดินออกไปสวนปลุกพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามให้ตื่นขึ้นแล้ว บอกว่า​พวกโจรนั้นพาพวกมามากหลายคน รู้ว่าพวกท่านมาพักอยู่ที่นี่มันจะคิดฆ่าพวกท่าน ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าท่านมาจากเมืองไกล ไม่พอใจจะให้ฆ่าท่าน จงรีบเก็บเข้าของข้าพเจ้าจะส่งท่านให้ไปทางหลังสวน พระถังซัมจั๋งได้ฟังตาเฒ่าบอกดังนั้นก็ขอบคุณเป็นที่สุด ตาเฒ่าก็กลับมานอนต่อไป ฝ่ายพวกโจรครั้นลับหอกดาบแล้ว ก็พากันมากินข้าวเวลานั้นพอย่างเข้ายามสามแล้วก็พร้อมกันต่างถืออาวุธต่าง ๆ ตรงมายังหลังบ้านที่สวนแลไปไม่เห็นคน จึงจุดใต้คบค้นหารอบสวนก็ไม่เห็น เห็นประตูหลังบ้านเปิดทิ้งอยู่ จึงพูดกันว่าเห็นจะหนีไปทางนี้ ก็พากันโห่ร้องไล่ตามไปจนเวลาตะวันขึ้นก็ยังเร่งรีบไล่ตาม
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเมื่อออกจากประตูสวนก็รีบเดินมา ได้ยินเสียงโห่ร้องมาตามหลัง จึงหันมาแลดูเห็นเป็นหมู่ประมาณสักสามสิบคน ล้วนมีมือถืออาวุธวิ่งตามมาจึงพูดแก่ศิษย์ทั้งสามว่าเราจะทำอย่างไรดี เห้งเจียว่าจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าจะรับเป็นธุระป้องกันปราบปรามเอง พระถังซัมจั๋งจึงว่าเห้งเจียทำแต่พอให้เข็ดหลาบเกรงกลัวแล้วถอยไปเท่านั้น อย่าทำให้ถึงแก่ล้มตายเลย ครั้นพวกโจรไล่มาใกล้เข้าแล้ว เห้งเจียก็ชักตะบองหันหน้ามาสถัด ถามว่าท่านทั้งหลายจะพากันไปข้างไหน พวกโจรด่าว่าอ้ายพวกหัวโล้นมึงจงใช้ชีวิตของนายกู ด่าแล้วต่างคนก็เข้าล้อมเห้งเจีย ๆ ก็เอาตะบองฟาดซ้ายฟาดขวา พวกโจรก็ล้มราบลงไปทั้งสิ้น บ้าง​ก็ตายบ้างก็เจ็บบ้างก็ลุกวิ่งหนีไป พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้า เห็นเห้งเจียตีคนตายหลายคน ไม่อยากจะเห็นก็รีบขับม้าเดินไป โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็วิ่งติดตามไป เห้งเจียจึงถามพวกโจรที่ถูกเจ็บว่า คนไหนเป็นบุตรตาเฒ่า
   พวกโจรเจ็บครางร้องบอกว่าคนที่สวมเสื้อสีเหลืองนั่นแลบุตรตาเฒ่า เห้งเจียตรงมาฉวยมีดตัดเอาศรีษะหิ้วขึ้นเลือดกำลังสดไหลอยู่ เห้งเจียก็รีบเดินตามมาทันพระถังซัมจั๋ง ยกศรีษะขึ้นบอกพระอาจารย์ว่า ศรีษะนี้คือศรีษะของบุตรตาเฒ่าอ้ายคนอกตัญญูข้าพเจ้าตัดเอาศรีษะมา พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจสิ้นสติพลัดตกจากหลังม้า ครั้นได้สติจึงด่าว่าอ้ายชาติลิงมึงเหมือนฆ่าเราจงรีบเอาไปให้พ้น โป๊ยก่ายก็เอาศรีษะนั้นไปกลบดินเสีย ซัวเจ๋งจึงเข้าประคองอาจารย์ขึ้นม้า พระถังซัมจั๋งร่ายพระคาถายี่สิบจบ ก็จับรัดศรีษะเห้งเจียเจ็บปวดหมุนคว่ำลงกับพื้น เห้งเจียร้องว่าพระอาจารย์ ผิดพลั้งอย่างไรก็จงพูดจากันเถิด อย่าทำแก่ข้าพเจ้าดังนี้ พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ไม่มีเรื่องอะไรไม่ให้เจ้าตามเราไปอีกจงกลับเถิด เห้งเจียกำลังเจ็บอุตส่าห์พูดว่า ทำไมพระอาจารย์จึงไล่ให้ข้าพเจ้ากลับเล่า
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าอ้ายคนร้ายไม่ใช่คน ตั้งใจจะไปอาราธนาพระธรรม เมื่อวานนี้ฆ่านายโจรตายเสียสองคน เราก็ไม่พอใจว่าคนไม่มีเมตตาจิต จนถึงบ้านตาเฒ่าได้พึ่งเขาให้ข้าวให้น้ำและพักอาศัยนอน ทั้งเขายังได้เปิดประตูให้หนีพ้นภัย แม้ว่าลูกจะชั่วร้ายอย่างไรก็ไม่ควรจะไปตัดเอา​ศรีษะเขามาทำไมหาใช่เหตุไม่ เราได้สั่งสอนอยู่เสมอ ๆ จิตใจก็ไม่มีเมตตาสักเท่าเส้นผม เราจะเอาเจ้าไว้ทำไม เจ้าจงรีบไปเสียโดยเร็วอย่าให้ถึงแก่ร่ายคาถาอีก เห้งเจียจึงว่าอาจารย์อย่าร่ายคาถาเลยข้าพเจ้าจะไป ว่าแล้วก็เหาะขึ้นบนเวหา
(บทที่ ๕๗)
   ฝ่ายเห้งเจียลอยอยู่บนกลางอากาศ คิดจะกลับไปยังถ้ำเดิมของตัว ก็นึกอายแก่พวกลิงบริวาร แต่ตรึกตรองอยู่นานจะไปจะอยู่ก็แสนยาก จึงคิดขึ้นมาได้ว่าอย่ากระนั้นเลย เรากลับไปหาอาจารย์ดูอีกสักครั้งหนึ่งเห็นจะดี คิดดังนั้นแล้วก็ลดลงมายังพื้นเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าพระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่า ขอพระอาจารย์ยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าเถิด สืบต่อไปภายหน้าข้าพเจ้าจะไม่ทำอีกต่อไป พระถังซัมจั๋งไม่ได้ตอบว่ากะไร ชักม้าหยุดร่ายคาถา เห้งเจียเจ็บปวดก็ล้มลงกับพื้น พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมยังไม่ไปให้พ้น ยังจะกลับมาพันธ์ผูกอาตมาทำไม เห้งเจียร้องว่า อาจารย์อย่าร่ายคาถาเลย ข้าพเจ้าจะชี้แจงให้ท่านฟัง ข้าพเจ้าวิตกว่าไม่มีข้าพเจ้าไปด้วย อาจารย์ไปจะไม่ถึงไซที
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งโกรธมากขึ้น ด่าว่าอ้ายชาติลิงโหดร้ายฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่มีดี แม้ว่าเราจะไปถึงหรือไม่ถึงก็ไม่เกี่ยวอะไรแก่เจ้าจงรีบไปให้พ้น ถ้าขืนอยู่ช้าเราจะร่ายคาถาไม่หยุด เห้งเจียเห็นอาจารย์ไม่มีความอาลัยแล้ว ก็สุดที่จะคิดอ่านชี้แจงพูดจาต่อไป จึงเหาะขึ้นบนเวหาก็นึกขึ้นได้ว่าสงฆ์นี้ช่างไม่คิดถึง​คุณของเราเลย จำเราจะไปหาพระกวนอิมเล่าให้ท่านฟัง คิดดังนั้นแล้วก็เหาะตรงไปยังน่ำไฮ้ บัดเดี๋ยวใจก็ถึงน่ำไฮ้ เห้งเจียก็เข้าไปยังสำนัก ครั้นถึงประตูใหญ่มีบัดจากับเสี้ยนใช้นำพาไปหาพระโพธิสัตว์ เห้งเจียก็เดินตามเข้าไป เหลือบขึ้นไปเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่บนแท่น เห้งเจียก็ย่อตัวกราบนมัสการลงกับพื้นแล้ว ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นก็ให้บัดจาพยุงขึ้น พระโพธิสัตว์จึงถามว่า เห้งเจียมีความขัดข้องอย่างไรหรือ จงบอกมาให้เราแจ้ง อาตมภาพจะได้แก้ไขให้
   เห้งเจียร้องไห้พลางพูดพลางว่า ข้าพเจ้าตั้งใจได้รับแต่ความทุกข์ยาก พึ่งพระบารมีท่านปลดเปลื้องความทุกข์ร้อนให้ และให้ข้าพเจ้าตามรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซที เพื่ออาราธนาพระธรรม ข้าพเจ้าก็ตั้งใจหาได้คิดแก่ร่างกายแลพชีวิต ปลดเปลื้องมารร้ายให้แก่เธอก็เพราะความปราถนาจะใคร่ได้มรรคผลในเบื้องหน้า ลบล้างความผิดที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน พระถังซัมจั๋งเป็นคนอกตัญญูไม่รู้จักคุณของข้าพเจ้า มาหลงด้วยจิตอกุศลมิได้ตรึกตรองให้เห็นดำและขาว มาขับไล่ข้าพเจ้ามิให้ติดตามไปดังนี้ พระโพธิสัตว์ถามว่าการดำขาวนั้นเป็นอย่างไร จงแสดงซึ่งเหตุผลให้เราฟังดูจะเป็นประการใด เห้งเจียจึงยกเหตุที่ฆ่าพวกโจรและบุตรตาเฒ่านั้น ให้พระโพธิสัตว์ฟังทุกประการ
   ​พระโพธิสัตว์จึงพูดว่า พระถังซัมจั๋งถือมั่นในสันดานโดยความกุศลไม่มีความประมาท ไม่ทำสัตว์ที่มีชีวิตและวิญญาณให้ตกล่วงไป เห้งเจียถึงมีฤทธาอานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้ก็จริง อันลูกตาเฒ่าผิดก็จริงแต่ยังเป็นส่วนมนุษย์ หากจะตัดสินโดยความตรง ข้อผิดนั้นจะตกอยู่แก่เห้งเจีย เห้งเจียก็กราบลงร้องไห้ว่า แม้ข้าพเจ้ามีความผิดไม่ชอบธรรมก็จะต้องเอาคุณหักโทษ ไม่ถึงแก่เหตุที่จะไล่ข้าพเจ้า ขอพระบารมีได้กรุณา ท่านร่ายพระคาถาถอนมงคลบนศรีษะข้าพเจ้าออกคืนให้ท่าน ปล่อยข้าพเจ้ากลับไปยังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเถิด พระโพธิสัตว์หัวเราะแล้วพูดว่า อันห่วงมงคลนั้นของพระยูไลให้มา อาตมาไม่มีคาถาอะไรจะถอนได้ เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นข้าพเจ้าจะขอกราบลาไป พระโพธิสัตว์ถามว่าท่านจะไปข้างไหน เห้งเจียว่า จะไปไซทีหาพระยูไลให้ถอนมงคลนี้ออก พระโพธิสัตว์พูดว่าเห้งเจียจงรอก่อน อาตมภาพจะเล็งญาณดู สมาโทษให้อย่างไหนจะดี
   พระโพธิสัตว์จึงนั่งบัลลังก์บัว เข้าที่แผ่ใข่ญาณสำรวมสามคนเข้าแล้ว เอาปัญญาจักษุเล็งดูรอบ บัดเดี๋ยวก็ออกจากตนพูดว่า เห้งเจียบัดเดี๋ยวพระถังซัมจั๋งจะได้รับความคับแค้นถึงตัว ไม่ช้าก็จะต้องตามมาหาตัวเห้งเจียที่นี่ จงคอยอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ไว้อาตมภาพจะบอกแก่พระถังซัมจั๋ง ให้เห้งเจียไปไซทีด้วยจึงจะสำเร็จมรรคผล เห้งเจียได้ฟังพระโพธิสัตว์ดังนั้น จึงยกมือขึ้นนมัสการยืนคอยอยู่ข้างหลัง ​ฝ่ายพระถังซัมจั๋งตั้งแต่ไล่เห้งเจียไปแล้ว ก็ให้โป๊ยก่ายจูงม้าซัวเจ๋งหาบของรีบเดินไป เดินทางมาได้ห้าสิบโยชน์ พระถังซัมจั๋งยอม้าหยุดร้องบอกศิษย์ว่า ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ยามสามออกจากบ้านตาเฒ่า แลทั้งถูกเห้งเจียทำการไม่พอใจให้ลมเสีย เวลาก็จวนเพลท้องออกหิวและอยากน้ำ แลใครจะไปบิณฑบาตมาให้กินเล่า โป๊ยก่ายพูดว่า นิมนต์ท่านลงจากหลังม้าหยุดพักคอยข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตเอง พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายว่าดังนั้นก็ลงจากม้านั่งพักคอยอยู่ โป๊ยก่ายก็เหาะขึ้นกลางอากาศมองดูรอบทั้งแปดทิศแล้วก็ลงยังพื้นบอกแก่อาจารย์ว่า ไมมีที่จะบิณฑบาตเพราะบ้านเรือนไม่มี พระถังซัมจั๋งพูดว่า แม้ไม่มีข้าวกินหาแต่น้ำมากินแก้หายอยากก่อนเถิด โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะไปหาน้ำ ว่าแล้วก็ฉวยบาตรเหาะไป
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งคอยอยู่ข้างทางหลายชั่วโมงก็ไม่เห็นโป๊ยก่ายกลับมา พระถังซัมจั๋งเวลานั้นอยากน้ำ  น้ำลายแห้ง ทั้งหิวทั้งอยากน้ำทุรนทุรายไม่มีความสุข ซัวเจ๋งคอยโป๊ยก่ายไม่เห็นมา ก็เอาหาบวางลงแล้วพูดว่า พระอาจารย์คอยอยู่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปหาน้ำ พระถังซัมจั๋งนั่งร้องไห้พูดไม่ออก ซัวเจ๋งก็เหาะไป ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งอยู่แต่ผู้เดียวในทันใดนั้น ได้ยินเสียงตึงตังพระถังซัมจั๋งตกใจแลไปดูเห็นเห้งเจียคุกเข่าอยู่ข้างทางสองมือยกคนโทน้ำมาถวาย พูดว่าอาจารย์ไม่มีข้าพเจ้าจะได้น้ำมาจากไหน น้ำนี้เย็นใสดีนิมนต์อาจารย์ฉันแก้อยากก่อน แล้วข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตมาถวาย
   พระถังซัมจั๋ง​ได้ฟังดังนั้นพูดว่า แม้ว่าเราจะตายโดยความอยากน้ำก็ตามเถิด ซึ่งว่าน้ำของเจ้าเอามาเราไม่ต้องการ จงรีบไปเสียให้พ้น เห้งเจียพูดว่าไม่มีข้าพเจ้าไปไซทีจะไปไม่ได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าไปได้ไม่ได้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรแก่เจ้า อ้ายชาติลิงยังไม่ไปให้พ้นมากวนเราทำไม ฝ่ายเห้งเจียก็มีความโกรธชี้หน้าตวาดว่าตาขรัวแก่มีใจอาธรรม์ ทำหยาบช้าแก่เรามากแล้ว ก็ยกไม้ตะบองเหล็กหวดถูกกระดูกสันหลังพระถังซัมจั๋งทีหนึ่ง ก็ล้มคว่ำสลบอยู่กับที่ เห้งเจียก็เอาถุงย่ามที่ใส่ข้าวของไปหมดแล้ว ก็เหาะไปไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ฝ่ายโป๊ยก่ายเหาะไปข้างซอกเขามีเรือนอยู่หลังหนึ่ง เดิมเขาสูงบังอยู่แลไม่เห็น ครั้นเหาะมาข้างหน้าเขาก็แลเห็นบ้าน โป๊ยก่ายคิดในใจว่าเรารูปร่างอย่างนี้จะเข้าไปบิณฑบาตเห็นจะไม่ได้เข้า จำเราจะแปลงกายเสียเห็นจะดี คิดดังนั้นแล้วก็ลงยังพื้นร่ายคาถาแปลงเป็นรูปพระสงฆ์นิโรธรูปหนึ่งเดินเข้าไปยังประตูบ้าน ร้องเรียกว่าท่านเจ้าบ้านยังมีเข้าสุกเหลืออยู่บ้างหรือ คนเดินทางมามีความอดอยากอาตมภาพบิณฑบาตพอให้อาจารย์ฉันสักมื้อหนึ่ง
   ในบ้านนั้นผู้ชายออกไปนาเหลือแต่ผู้หญิงสองคน เห็นพระสงฆ์มาบิณฑบาตมีกิริยาป่วยไข้ดังนั้นก็เอาข้าวสุกออกมาถวายให้เต็มบาตร โป๊ยก่ายก็กลับแล้วแปลงรูปตามเดิม เดินมาตามทางเก่าพบซัวเจ๋ง จึงให้ซัวเจ๋งเอาผ้าห่อข้าวเอาบาตรไปตักน้ำได้แล้วก็พากันกลับมาหาอาจารย์ ครั้นมาถึงเห็นพระอาจารย์นอนฟุบอยู่กับดิน ม้าก็ยืนกระทืบเท้าอยู่ข้างทาง ถุง​ย่ามข้าวของก็สูญหายไปหมด โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ทุบอกพูดว่าไม่ต้องตรึกตรอง นี่คืออ้ายพวกโจรที่เห้งเจียตีมัน ๆ ยังเหลืออยู่จึงตามมาฆ่าอาจารย์เราดังนี้ มันเอาข้าวของไปหมด ซัวเจ๋งเอาม้ามาผูกแล้วก็เข้าประคองอาจารย์ร้องไห้ พระถังซัมจั๋งได้สติพลิกตัวฟื้นขึ้นเห็นในปากไอออกร้อน ๆ และที่หน้าอกยังร้อน โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ร้องเรียกพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งรู้สึกจึงบอกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่าอาตมภาพยังไม่ตายดอก โป๊ยก่ายก็เข้าประคองให้นั่ง พระถังซัมจั๋งจึงบ่นว่าอ้ายชาติลิงมันมาทำเราดังนี้
   ซัวเจ๋งโป๊ยก่ายถามว่าอ้ายชาติลิงที่ไหนมาทำแก่พระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งกินน้ำแล้ว พูดว่าสานุศิษย์ทั้งสองไปแล้ว เห้งเจียก็มารบกวนจะใคร่ขอร่วมไปไซทีด้วย อาตมภาพไม่รับรองเป็นอันขาด มันโกรธจึงเอาตะบองตีแล้วเก็บเอาถึงย่ามข้าวของไปหมด โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธด่าว่า อ้ายลิงมันสามารถทำแก่อาจารย์ได้ถึงเพียงนี้พูดดังนั้นแล้ว จึงสั่งให้ซัวเจ๋งอยู่เฝ้าอาจารย์ เราจะไปทวงตามเอาถุงย่ามและเข้าของ ซัวเจ๋งว่าพี่อย่าเพิ่งวุ่นวายเราคิดให้อาจารย์ไปพักที่บ้านนั้นก่อน จะได้หาน้ำร้อนน้ำชาให้เธอฉันแล้วจึงค่อยไป โป๊ยก่ายพยุงอาจารย์ขึ้นม้า แล้วก็พากันเดินมายังบ้านที่บิณฑบาตนั้น ครั้นถึงประตูบ้าน ในบ้านนั้นยังเหลือแต่ยายเฒ่าคนเดียว แลเห็นอาจารย์กับศิษย์พากันมา ก็หลบเข้าในบ้านบอกว่าไม่มีคนอยู่ เชิญไปที่อื่นเถิด
   พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นก็เกาะโป๊ยก่ายลงจากม้าแล้ว เดินมาข้างประตูปราศรัยพูดว่า ท่านยายได้กรุณาด้วยเถิด อาตมภาพมีศิษย์สามคนพร้อมใจกันจะไปไซที บัดนี้ศิษย์คนใหญ่มันคิดร้ายใจพาล อาตมภาพไล่มันให้กลับไปเสียก็ไม่รู้เลย ว่าเธอจะมาทำร้ายอาตมภาพ คือได้มาตีเอาทีหนึ่งแล้วก็ลักเอาถุงย่ามเข้าของไป อาตมภาพจะให้ไปตามเอาของจะพักอยู่กลางทางก็ไม่สมควร จึงได้มาจะขออาศัยที่บ้านท่านยายพอให้ไปทวงของมาได้แล้ว อาตมภาพก็จะลาไปไม่อยู่ช้า ยายเฒ่าพูดว่าเมื่อตะกี้ก็มีพระสงฆ์มาบิณฑบาตว่าอาจารย์อยู่เมืองใต้ถังจะไปไซที นี่ทำไมจึงมีมาอีกเล่า โป๊ยก่ายได้ฟังยายเฒ่าพูดดังนั้น อดไมได้ก็หัวเราะแล้วพูดว่าที่พระสงฆ์มาบิณฑบาตนั้นคือตัวข้าพเจ้าเอง เพราะรูปกายข้าพเจ้าหยาบคายวิตกกลัวจะไม่ให้เข้า จึงต้องแปลงตัวเป็นพระสงฆ์มาบิณฑบาต ท่านยายไม่เชื่อจงดูที่ห่อผ้าน้องข้าพเจ้า ใช่เข้าที่ท่านยายทำบุญไปหรือไม่ใช่ ยายเฒ่ามาพิเคราะห์ดูเข้าก็จำได้ว่าข้าวของตัวที่ทำบุญไป ยายเฒ่าจึงนิมนต์ให้เข้าพักในบ้าน
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็พากันเข้าไปพักในบ้าน ยายเฒ่าก็ยกน้ำร้อนน้ำชามาถวาย ซัวเจ๋งเอาน้ำร้อนปนกับเข้าสุกให้อาจารย์ฉันสองสามคำ พระถังซัมจั๋งถามว่าใครจะไปตามเอาข้าวของโป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะไปเอง พระถังซัมจั๋งว่าโป๊ยก่ายไปไม่ได้ เพราะไม่ชอบกันทั้งจะพูดจาก็หยาบคาย เห้งเจียเป็นคนดุร้ายจะเสียการ ให้​ซัวเจ๋งไปจึงจะได้ ซัวเจ๋งก็รับว่าจะไป พระถังซัมจั๋งจึงสั่งว่าถ้าไปถึงแล้ว แม้ว่าเธอยอมคืนถุงย่ามให้มาจงทำเคารพนบนอบขอบคุณ หากเธอไม่ให้ก็อย่าสู้รบโต้ตอบ จงรีบข้ามไปหาพระโพธิสัตว์กวนอิม เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้ท่านฟัง นิมนต์ท่านไปถามเธอชำระให้
   ซัวเจ๋งรับคำสั่งแล้วก็ร่ายคาถารีบเหาะตรงไปยังทิศบูรพา หมายเขาฮวยก๊วยซัว ซัวเจ๋งเหาะมาได้สามวันสามคืนก็มาถึงเชาฮวยก๊วยซัว ก็ลงยังยอดเขาเดินมายังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ซัวเจ๋งแอบเข้าไปใกล้พิศดูก็เห็นเห้งเจียนั่งอยู่บนแท่นศิลา สองมือกำลังคลี่แผ่นหนังสืออ่านว่าชุมพูทวีปเมืองใต้ถัง ข้าพเจ้าครองราชสมบัติเป็นเจ้าปกครองบ้านเมืองตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม มีเหตุด้วยวิญญาณจิตของข้าพเจ้าลงไปยังเมืองนรก ขอบใจท่านพระยามัจจุราชได้ส่งวิญญาณกลับคืนมายังมนุษย์โลก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงทำมหากุศลแผ่อุทิศไปให้แก่พวกที่ต้องทรมานทุกข์ในนรกนั้นให้พ้นจากโทษ เวลานั้นมีพระโพธิสัตว์กวนอิมเสด็จมาชี้แจงว่า ที่ประเทศไซทีมีพระไตรปิฎกธรรม มีอภินิหารกุศลอาจโปรดพวกที่ตกอยู่ในอบายภูมิให้พ้นโทษได้ ข้าพเจ้าจึงให้พระสงฆ์แซ่ตั๊นชื่อเหี้ยนจึง เป็นพระถังซัมจั๋งไปยังประเทศไซทีสืบหาพระไตรปิฎกธรรมอันวิเศษ จะได้อาราธนามายังเมืองใต้ถัง แม้ว่าข้ามไปไซทีทุก ๆ เมือง ขอให้เห็นแก่กาลกุศลดูตามหนังสือเดินทางฉบับนี้ จงปล่อยให้ไปโดยสะดวกเถิด เมืองใต้ถัง​พระเจ้าเจงกวนเสวยราชสมบัติได้สิบสามปีประทับตราเก้าดวง
   ตั้งแต่ออกจากเมืองไป ข้ามทุก ๆ เมืองมาตามทางได้สานุศิษย์สามคน ๆ ใหญ่ชื่อซึงหงอคงเห้งเจีย คนที่สองชื่อหงอเหนงแซ่ตือโป๊ยก่าย คนที่สามแซ่ซัวชื่อหงอเจ๋ง ซัวเจ๋งอ่านดังนี้ตั้งแต่ต้นจนปลาย ซัวเจ๋งแอบได้ยินก็รู้ว่าหนังสือเดินทางของอาจารย์ จึงเดินเข้าไปใกล้ร้องเรียกพี่เห้งเจียหนังสือเดินทางของอาจารย์พี่อ่านทำไม เห้งเจียก็เงยหน้าแลไปจำซัวเจ๋งไม่ได้ จึงร้องให้จับตัวพวกบริวารวานรก็เข้าล้อมจับซัวเจ๋งลากมาหาเห้งเจีย ๆ ตวาดว่าเจ้าอยู่ที่ไหน จึงบังอาจมาแอบดูในที่ของเรา ซัวเจ๋งเห็นว่าเห้งเจียแปรปรวนทำไม่รู้จักจึงเคารพพูดว่า อันส่วนพี่นั้นพระอาจารย์ท่านไม่พอใจมีความขุ่นเคืองไล่พี่เสียมิให้ติดตามไปด้วย เมื่อเวลานั้นน้องก็ยังมิได้ขอร้องต่ออาจารย์ ครั้นข้าพเจ้ากับโป๊ยก่ายไปหาข้าวหาน้ำอยู่ข้างนี้พี่มีกะใจมาหาอาจารย์อีก ท่านก็ถือมานะมั่นไม่ให้ไป พี่เอาตะบองตีอาจารย์ล้มคว่ำลงกับพื้นแล้ว ก็เอาถุงย่ามข้าวของมาเสีย บัดนี้ข้าพเจ้าช่วยอาจารย์ฟื้นแล้ว จึงมาตามกราบเท้าพี่ แม้ว่าพี่คิดถึงเมื่อครั้งได้ออกจากเขาได้พ้นทุกข์แล้วนั้น เอาถุงย่ามกลับไปหาอาจารย์แล้ว จะได้พร้อมกันไปไซที แม้ว่าพี่ไม่ไปก็ขอแต่ถุงย่ามให้ข้าพเจ้าเอาไป พี่อยู่ที่นี่รับซึ่งความสุข อย่างนี้ก็จะดีทั้งสองฝ่าย
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊ากใหญ่ พูดว่าซัวเจ๋งคิดดังนั้นไม่​ถูกใจเรา เราคิดว่าตีพระถังซัมจั๋งแลเอาถุงย่ามมา ไม่ใช่จะไม่คิดไปไซที เราก็มิใช่จะอยากอยู่ที่นี่ เราอ่านหนังสือเดินทางให้คล่องแล้วเราก็จะไปไซทีเอง อาราธนาพระไตรปิฎกธรรมส่งไปเมืองใต้ถังให้สำเร็จโดยลำพังของเราเอง ให้แพร่หลายในชมพูทวีปรู้ทั่วกัน จะได้ยกย่องเราเป็นพระมหาราชครู ชื่อเสียงเราจะได้ปรากฎต่อ ๆ ไปจะไม่ดีหรือ ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า พี่เห็นความดังนั้นไม่พอ การณ์เหตุเดิมมาก็หาได้กล่าวว่าซึ่งเห้งเจียไปอาราธนาพระธรรมไม่ พระพุทธเจ้าได้ไว้พระไตรปิฎกแก่พระโพธิสัตว์กวนอิม เสด็จมายังเมืองใต้ถังเที่ยวหาผู้ที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎก และพระโพธิสัตว์พูดว่าผู้ที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกนั้น คือชื่อกิมเสี้ยนโพธิสัตว์ เป็นสาวกของพระองค์ เพราะเธอขาดฟังธรรม พระยูไลปรับโทษให้ไปปฏิสนธิยังเมืองใต้ถังประเทศจีน บวชในพระพุทธศาสนาโดยทางปฏิบัติบำเพ็ญบารมีให้ใหญ่กว้าง เอาคุณถ่ายโทษกว่าจะบริบูรณ์ซึ่งมรรคผล เพราะฉะนั้นจึงมีมารยักษ์ร้าย พวกเราได้ปลดเปลื้องธุระมาทั้งสามคนเป็นผู้รักษาธรรม แม้ว่าไม่มีพระถังซัมจั๋งไปด้วยแล้ว พระยูไลองค์ใดจะยอมให้พระไตรปิฎกมาเล่า คิดดังนั้นจะมิเสียเวลาเปล่าหรือ
   เห้งเจียว่าน้องรู้หนึ่งไม่รู้สอง น้องพูดว่าน้องมีพระถังซัมจั๋งคุ้มไป เราก็มีพระถังซัมจั๋งจัดแจงไว้พร้อมแล้ว รอได้เวลาพรุ่งนี้เช้าเราก็จะไปไซที แม้ว่าไม่เชื่อเรา ๆ จะนิมนต์ออกมาให้ดู​พูดแล้วก็สั่งบริวารว่า จงไปนิมนต์พระถังซัมจั๋งมา พวกวานรก็เข้าไปในประตูพยุงพระถังซัมจั๋งเดินออกมา มีม้าขาวตัวหนึ่งกับโป๊ยก่ายหาบของ ซัวเจ๋งถือไม้เท้าเดินตามมา ซัวเจ๋งแลไปเห็นดังนั้นก็โกรธพูดว่า เราไม่ได้เปลี่ยนรูปเปลี่ยนนามอะไร ทำไมจึงมีซัวเจ๋งที่ไหนมาอีกคนหนึ่งดังนี้ ซัวเจ๋งก็ชักตะบองตรงมาตีซัวเจ๋งแปลงล้มลงตายทันที เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ร้องให้พวกบริวารล้อมจับ ซัวเจ๋งก็ตีฝ่าออกจากที่ล้อมได้แล้วก็รีบหนีออกจากทางเก่า เหาะขึ้นบนเวหาบ่นว่าอ้ายลิงมันถือดีดังนี้ เราจะเลยไปฟ้องพระโพธิสัตว์ให้ท่านทราบเรื่อง เห้งเจียเห็นซัวเจ๋งไปแล้วก็กลับเข้าถ้ำคัดเลือกลิงน้อยที่แปลงได้ ให้แปลงเป็นรูปซัวเจ๋งไว้อย่างเดิม แล้วก็สั่งให้ไปไซที
   ฝ่ายซัวเจ๋งออกจากเขาฮวยก๊วยซัวแล้ว ก็เหาะตัดตรงไปเขาโป๊ท่อซัว เหาะมาวันกับคืนหนึ่งก็ถึง ซัวเจ๋งก็ลงยังพื้นค่อยเดินมาใกล้สำนัก แลไปเห็นบัดจาเดินออกมาต้อนรับปราศรัยใต่ถามว่าท่านซัวเจ๋งทำไมไม่ไปตามรักษาพระถังซัมจั๋งไปไซที มาที่นี่มีธุระอะไรหรือ ซัวเจ๋งคำนับแล้วพูดว่า เหตุมีกิจธุระจะใคร่มาหาพระโพธิสัตว์ ขอท่านจงได้อนุเคราะห์นำข้าพเจ้าไปเฝ้าด้วยเถิด บัดจาก็รู้ว่าจะมาตามเห้งเจีย จึงเข้าไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์ ๆ จึงให้บัดจาพาซัวเจ๋งเข้ามา ฝ่ายเห้งเจียยืนเฝ้าพระโพธิสัตว์อยู่ข้างแท่น แลไปเห็นซัวเจ๋งเดินเข้ามาก็นึกเข้าใจแน่ว่าเห็นพระอาจารย์จะมีภัยร้ายแล้ว จึงให้ซัวเจ๋งมาตาม​พระโพธิสัตว์ดอกกระมัง ซัวเจ๋งครั้นเข้ามาถึง แลเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่บนแท่นก็ก้มหน้ากราบนมัการ แล้วเงยหน้าจะกราบเรียน แลไปเห็นเห้งเจียยืนอยู่ข้างนั้นก็หาทันจะได้พูดจาอะไรไม่ ฉวยพลองกระโดดมาตีเอาเห้งเจีย ๆ ก็มิได้ต่อสู้ ซัวเจ๋งว่ามึงมีความผิดต้องโทษอกุศลแล้ว มึงยังแอบมาจะหลอกพระโพธิสัตว์หรือ
   พระโพธิสัตว์จึงตวาดห้ามว่า ซัวเจ๋งอย่าวุ่นวาย มีธุระอะไรจงบอกมาให้อาตมภาพทราบด้วย ซัวเจ๋งก็นมัสการโดยกำลังโกรธ เล่าความตั้งแต่ต้นจนปลาย ให้พระโพธิสัตว์ฟังทุกประการ แล้วว่าข้าพเจ้าจะมากราบเรียนให้ทราบไม่รู้เลยว่าเหาะมาอยู่นี่ก่อน แลไม่ทราบว่าเอาอะไรมากราบเรียนแก้ตัวแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ฟังซัวเจ๋งพูดดังนั้น จึงพูดว่าซัวเจ๋งอย่าเอาโทษมาใส่เขา เห้งเจียมานี่ได้สี่วันแล้ว อาตมภาพก็ยังหาได้ปล่อยให้ไปไหนไม่ เหตุนี้จะเกิดขึ้นจากไหน ซัวเจ๋งพูดว่าที่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องก็มีเห้งเจียคนหนึ่ง ข้าพเจ้ามิได้เอาเท็จมากล่าว พระโพธิสัตว์ว่าถ้าจริงดังนั้นซัวเจ๋งจงไปกับเห้งเจียดูให้รู้ก่อน เมื่อไปถึงแล้วก็จะรู้ได้ เห้งเจียได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งดังนั้น จึงชวนซัวเจ๋งคำนับลาพระโพธิสัตว์พากันออกจากสำนักก็รีบเหาะตรงไป

ไม่มีความคิดเห็น: