Translate

19 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 43 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
​(บทที่ ๕๘)
 เมื่อเหาะมาตามทางเห้งเจียคิดจะไปให้ถึงก่อน แต่ซัวเจ๋งห้ามไว้โดยซัวเจ๋งมีความสงสัยเห้งเจียว่าจะทำอุบายประการใดก็ไม่รู้ เห้งเจียซัวเจ๋งพากันเหาะมาไม่ช้าก็ถึงเขาฮวยก๊วยซัว ลงยังพื้นเดินเข้าไปที่ประตูถ้ำ​แลไปเห็นเห้งเจียนั่งอยู่บนแท่นศิลา ทำกิริยาลุกนุ่งห่มไม่ผิดเห้งเจีย เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก ก็ผละจากซัวเจ๋งโดดเข้าไปร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายนี่มึงเป็นปีศาจร้ายที่ไหน จึงอาจสามารถแปลงเป็นรูปเราดังนี้
   ฝ่ายเห้งเจียนั้นก็มิได้โต้ตอบประการใด จับตะบองโดดลงมาจากแท่น ตรงเข้ารบกับเห้งเจีย เห้งเจียทั้งสองรบกันไม่รู้ว่าใครจริงใครปลอม แล้วก็เหาะขึ้นรบกันบนอากาศ ฝ่ายซัวเจ๋งก็เหาะตามขึ้นไปแต่ไม่รู้ว่าจะช่วยข้างไหนได้ เพราะไม่ทราบว่าคนไหนปลอมคนไหนจริง จึงกลับลงมายังพื้นตีขนาบเข้าไปในถ้ำ พวกลิงเหล่านั้นก็พากันตกใจกลัว จึงหนีกระจัดกระจายไปทั้งสิ้น ซัวเจ๋งเข้าไปค้นหาถุงย่ามก็มิได้พบเห็น จึงเหาะกลับขึ้นไปคิดจะเข้าช่วยรบก็ไม่รู้ว่าคนไหนจะจริงและปลอม เห้งเจียร้องส่งซัวเจ๋งว่า เจ้าช่วยไม่ได้ก็ให้รีบกลับไปบอกแก่พระอาจารย์ว่า ที่นี่มีเหตุขึ้นดังนี้ พี่จะรบล่อมันไปเขาน่ำไฮ้ ให้พระโพธิสัตว์ชำระให้เห็นเท็จและจริง เมื่อเห้งเจียร้องสั่งซัวเจ๋งดังนั้น เห้งเจียปลอมก็ร้องสั่งเหมือนดังนั้นซุ่มเสียงก็ไม่ฝิดกัน ซัวเจ๋งก็เหาะกลับไปหาพระอาจารย์
   ฝ่ายเห้งเจียทั้งสองรบกันพลางถอยพลางจนมาถึงเขาน่ำไฮ้ พวกเทวดาเทพารักษ์ก็ตกใจตื่น จึงพากันเข้าไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์ว่า มีเห้งเจียทั้งสองรบกันมาถึงที่นี่แล้ว ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น ก็พร้อมด้วยฮุยไง้เสี้ยนใช้ท่งจื๊อ​กับนางเล่งหนึงลงจากบัลลังก์ เดินออกไปจากสำนักตวาดว่าอ้ายพวกสัตว์มึงจะไปข้างไหน เห้งเจียทั้งสองก็ยั้งมือพูดว่าขอพระโพธิสัตว์ได้ทราบ อ้ายนี่รูปร่างกิริยาเหมือนตัวข้าพเจ้ารบกันตั้งแต่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องจนมาถึงที่นี่ยังไม่แพ้ชนะกัน ซัวเจ๋งเข้าช่วยไม่ได้ข้าพเจ้าให้กลับไปหาอาจารย์ ข้าพเจ้าจึงรบล่อมาถึงนี่ขอพึ่งพระโพธิสัตว์โปรดเล็งญาณจักษุพิจารณาดู ให้เห็นเหตุเท็จและจริงชั่วดีด้วยเถิด เห้งเจียปลอมมันก็พูดอย่างเห้งเจียจริงเหมือนกัน
   พระโพธิสัตว์กับเทพยดาทั้งหลาย พิจารณาดูเป็นนานก็มิได้รู้ว่าข้างไหนเท็จข้างไหนจริง พระโพธิสัตว์จึงบอกว่าเจ้าทั้งสองจงละมืออยู่ก่อน เห้งเจียทั้งสองก็ต่างคนต่างถอยออกห่างกัน ทั้งสองข้างต่างพูดว่าข้าพเจ้าจริงข้างนั้นปลอม พระโพธิสัตว์จึงเรียกบัดจากับเสียนใช้ท่งจื๊อมากระซิบสั่งว่า เจ้าทั้งสองจงไปคุมอยู่คนละข้างอาตมาจะร่ายคาถาบีบขมับหัว แม้ว่าคนไหนจริงก็ปวดศรีษะคนไหนปลอมก็ไม่ปวด บัดจากับเสียนใช้ท่งจื๊อได้ฟังพระโพธิสัตว์สั่งดังนั้น ต่างก็แยกกันไปคุมคนละคน พระโพธิสัตว์ก็ร่ายคาถาเห้งเจียทั้งสองก็เจ็บปวดพร้อมกันหมุนคว่ำลงกับพื้น เอามือประคองศรีษะร้องว่าเจ็บปวดทนไม่ได้แล้ว ขอท่านได้งดเถิดอย่าภาวนาเลย พระโพธิสัตว์ก็หยุดภาวนาเห้งเจียทั้งสองหายปวดพร้อมกันก็เข้ารบกันอีกต่อไป พระโพธิสัตว์ก็สิ้นปัญญาไม่รู้ที่จะคิดประการใดจึงร้องเรียกหงอคงคำหนึ่ง เห้งเจียทั้งสองก็ขานรับ พระโพธิสัตว์บอกว่าเห้งเจียเคยขึ้นไปทำจลาจลบน​ดาวดึงส์วิมานสวรรค์ เทวดาอินทร์พรหมก็รู้จักจำได้ทุกคน จงขึ้นไปให้เทวดาอินทร์พรหมพิจารณาเถิดจะได้ชำระตัดสินให้
   เห้งเจียทั้งสองได้ฟังดังนั้น ต่างคนก็คำนับลาไปออกจากน่ำไฮ้รบกันพลางถอยกันพลางต่อสู้กันไป จนขึ้นถึงประตูสวรรค์น่ำทีหมึง พวกเทวดาใหญ่น้อยทั้งหลายที่เฝ้าประตูสวรรค์ แลเห็นดังนั้นก็พากันถืออาวุธออกสกัดกั้นมิให้เข้าไป แล้วร้องถามว่า จะมาทำอะไรกันที่บนนี้ มิใช่ที่สนามรบพุ่งกัน เห้งเจียจึงพูดว่าข้าพเจ้ารักษาพระถังซัมจั๋งไปไซทีถึงกลางทาง ข้าพเจ้าตีโจรตายเธอเกลียดข้าพเจ้าไล่ข้าพเจ้ามิให้ตามเธอไปไซที ไม่รู้ว่าอ้ายปีศาจอะไรแปลงตัวเหมือนข้าพเจ้า ไปตีพระถังซัมจั๋งสลบแล้วก็ลักเอาถุงย่ามที่ใส่สิ่งของไปเสีย แลไปชิงเอาที่ถ้ำอยู่ของข้าพเจ้าครอบครองตั้งตัวเป็นใหญ่ ข้าพเจ้าต่อสู้รบกันตั้งแต่ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องไล่กันมาจนถึงน่ำไฮ้ซัว พระโพธิสัตว์ก็พิจารณาไม่ออกไม่รู้ว่าข้างไหนเป็นเห้งเจียปลอม ข้าพเจ้าจึงได้ขึ้นมาขอให้หมู่เทพยดาใหญ่น้อยทั้งหลายช่วยกัน พิเคราะห์ดูว่าใครจะเท็จและจริง เห้งเจียปลอมก็พูดดังนั้นเหมือนกัน
   ฝ่ายหมู่เทพยดาใหญ่น้อยทั้งหลายก็พากันพิจารณาดู ก็มิได้รู้ว่าใครเท็จใครจริง เห้งเจียทั้งสองร้องว่าท่านทั้งหลายไม่เข้าใจได้ก็หลีกทางให้ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ พวกเทวดาจะกั้นกางไว้ก็ไม่ฟัง จึงเปิดปล่อยให้เข้าประตู เห้งเจียทั้งสองรบกันพลางถอยพลางเลยเข้าประตูสวรรค์ รบกันมาจนถึงหน้าปราสาทเหลงเซียวเต้ย ​หมู่เทวดาผู้ใหญ่เห็นดังนั้น ก็เข้าไปกราบทูลว่าบัดนี้มีเห้งเจียทั้งสองรบต่อสู้กันมา เทวดาจะกั้นกางไว้ก็ไม่อยู่ ร้องว่าจะเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลยังไม่สิ้นความก็ได้ยินเสียงอึกกะทึกเข้ามา เง็กเซียงฮ่องเต้แลไปเห็น พระองค์ก็เสด็จลงจากบัลลังก์ตรัสถามว่า เจ้าทั้งสองมีเหตุอย่างไรจึงได้ล่วงขึ้นมาทำวุ่นวายดังนี้ เห้งเจียทูลว่าขอพระเป็นเจ้าได้โปรด ข้าพเจ้าได้สมาทานถือตามพระพุทธบัญญัติแล้ว ก็ไม่อาจล่วงเกินหมิ่นประมาท เหตุด้วยปีศาจนี้มันแปลงปลอมข้าพเจ้ากระทำการทุจริต
   เห้งเจียก็เล่าความจริงทุกประการให้เง็กเซียงฮ่องเต้ฟัง ขอพระองค์ได้โปรด เห้งเจียปลอมมันก็เล่าให้เง็กเซียงฮ่องเต้ฟังบ้างดุจเดียวกัน เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้น จึงมีรับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องเอากระจกวิเศษที่จับปีศาจออกมาส่องดู แม้ว่าจริงอย่างไรก็จะรู้ได้หากว่าเท็จก็สูญหายไป
   ถักทะลีทีอ๋องก็เอากระจกนั้นมาส่องดู เง็กเซียงฮ่องเต้ก็พร้อมกับเทพยดาทั้งหลายพิเคราะห์ดูในบานกระจก ก็แลเห็นเห้งเจียทั้งสองยืนอยู่ในกระจก รูปร่างกิริยานุ่งห่มไม่ผิดกัน เง็กเซียงฮ่องเต้ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าใครเท็จใครจริง จึงขับไล่ให้ออกจากสวรรค์ทั้งสองคน เห้งเจียทั้งสองต่างก็หัวเราะแล้วพูดว่า เราพากันไปหาอาจารย์จึงจะรู้ได้แน่ พูดกันดังนั้นแล้วก็เข้ารบกันต่อไปอีก ซัวเจ๋งตั้งแต่กลับมาหาอาจารย์ จึงเล่าให้อาจารย์ฟังทุกประการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เมื่อแรกคิดว่าเห้งเจียตี​อาตมภาพ ไม่รู้เลยว่าปีศาจแปลงเป็นเห้งเจียมาทำร้ายดังนี้ ซัวเจ๋งพูดว่าปีศาจนั้นมันแปลงเป็นอาจารย์และมากับโป๊ยก่ายคนหนึ่ง และแปลงเป็นข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าเอาพลองตีตายกลายเป็นปิศาจลิง แต่ที่มันแปลงเป็นเห้งเจียนั้น ยากที่จะรู้ได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ พูดกันไปมาประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงบนอากาศอึกกะทึกก้องโกลาหลลงมา จึงพากันออกมาดู ก็เห็นเห้งเจียสองคนรบกันมา
   โป๊ยก่ายแลเห็นก็อดไม่ได้ ตะโกนร้องว่าพี่เห้งเจียอย่าละถอยมันข้าพเจ้ามาแล้ว เห้งเจียทั้งสองก็ร้องเรียกว่าน้องจงมาช่วยพี่ด้วย ซัวเจ๋งบอกแก่อาจารย์ว่า ข้าพเจ้ากับพี่โป๊ยก่ายไปกันออกมาคนละคนแล้วอาจารย์ร่ายคาถา ถ้าคนไหนปวดศรีษะคนนั้นเป็นจริงได้
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าคิดดังนี้ดี ซัวเจ๋งก็มาจับเห้งเจียคนหนึ่ง บอกโป๊ยก่ายให้จับเห้งเจียคนหนึ่ง ต่างคนต่างจับกันคนละคน ลากมายังหน้าบ้านยายเฒ่า พระถังซัมจั๋งก็ร่ายคาถา เห้งเจียทั้งสองก็พร้อมกัน ร้องปวดศรีษะพร้อมกันทั้งสองคนว่าปวดเต็มทีแล้ว อย่าภาวนาเลยหยุดเถิด พระถังซัมจั๋งก็หยุดไม่ภาวนา ก็มิได้รู้ว่าคนไหนจะจริงคนไหนจะเท็จ เห้งเจียทั้งสองก็เข้ารบกันอีกต่อไป เห้งเจียจึงร้องเรียกโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งสั่งว่าน้องทั้งสองจงรักษาอาจารย์ไว้ พี่จะรบแก่มันไปหาพระยาเงียมฬ่ออ๋องมัจจุราช ให้พระยาเงียมฬ่ออ๋องมัจจุราชพิจารณาเพื่อเห็นจริงแล้วจะกลับ เห้งเจียมันก็สั่งดังนั้นเหมือนกันแล้วก็เข้าชุลมุนฟัดเหวี่ยงกันไป มาบัดเดี๋ยวก็ไม่เห็น
   ​โป๊ยก่ายถามซัวเจ๋งว่า เมื่อน้องไปยังถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเห็นโป๊ยก่ายปลอมหามของอยู่ ทำไมจึงไม่ชิงเอามาเสียเล่า ซัวเจ๋งพูดว่าเมื่อเวลานั้นเห็นซัวเจ๋งปลอมข้าพเจ้าก็โจมตีซัวเจ๋งปลอมนั้นตาย พวกมันเห็นดังนั้นก็เข้าล้อมจับข้าพเจ้า ๆ ก็ตีซ้ายป่ายขวา หนีรอดชีวิตมาได้ แล้วภายหลังเห้งเจียทั้งสองกำลังรบกันอยู่กลางอากาศ ข้าพเจ้าได้กลับเข้าไปในถ้ำ เห็นมีชะวากในถ้ำมีน้ำไหล ก็หารู้ว่าประตูนั้นเข้าทางใดไม่ จึงได้กลับออกมา โป๊ยก่ายพูดว่าไม่เข้าใจ เมื่อครั้งก่อนพี่ได้ไปเชิญเห้งเจีย พี่ได้เข้าไปในถ้ำนั้น เห็นพี่เห้งเจียเข้าไปผลัดเครื่องนุ่งห่ม เธอดำน้ำเข้าไปที่ชะวากน้ำไหลนั้น ชะรอยจะเป็นประตูในอยู่ตรงนั้นเอง พระถังซัมจั๋งว่าโป๊ยก่ายไปค้นดูในเวลาเมื่อมันไม่อยู่ดังนี้ จะได้ถุงย่ามของเราดอกกระมัง ครั้นได้มาเราจะได้พากันไป แม้เห้งเจียจะมาเราก็ไม่ต้องการ โป๊ยก่ายได้ฟังอาจารย์พูดดังนั้น ก็พูดว่าข้าพเจ้าจะไปเอง พูดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศ หมายตรงไปยังเขาฮวยก๊วยซัว
   ฝ่ายเห้งเจียทั้งสองรบล่อกันมาจนถึงประตูเมืองนรก พวกหมู่ผีทั้งหลายได้ยินเสียงกึกก้องหวั่นไหวก็ตกใจ พากันหนีซุกซ่อนเอาตัวรอด ที่ใจกล้าก็วิ่งเข้าไปบอกพระยาเงียมฬ่ออ๋องว่า ขอใต้อ๋องให้ทราบ บัดนี้มีเห้งเจียรบกันกึกก้องโกลาหล ใกล้ประตูเข้ามาแล้ว เวลานั้นพระยามัจจุราชกำลังประชุมพร้อมกันทั้งสิบองค์ยัง​ตำหนักซุมลอเต้ย ได้ยินพวกผีมาบอกดังนั้นก็ตกใจ จึงให้เกณฑ์ทหารมาพร้อมกันยังตำหนักซุมลอเต้ยคอยระวังอยู่ แลให้ไปกราบเรียนพระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง นิมนต์มาพร้อมกันยังตำหนักซุมลอเต้ย ประเดี๋ยวก็เห็นเห้งเจียทั้งสองรบกันชุลมุล เข้ามาถึงหน้าตำหนักซุมลอเต้ย พวกทหารก็ออกมาสกัดกั้นไว้ ถามว่าท่านมีเหตุอย่างไรจึงได้รบกันวุ่นวายเข้ามาถึงนี่เล่า
   เห้งเจียจึงเล่าความตั้งแต่ต้นจนปลายให้ฟังแล้ว จึงพูดว่าบัดนี้ข้าพเจ้าจะมาขอให้ท่านเงียมฬ่ออ๋องเอาบัญชีสารบบออกมาตรวจดู เพื่อจะได้รู้ว่าอ้ายเห้งเจียปลอมคนนี้มันเกิดมาแต่ไหน จะได้จับเอาวิญญาณและขับไล่มันไปเสียให้พ้น อย่าให้มันมาทำวุ่นวายขึ้นอย่างนี้อีกต่อไป เห้งเจียปลอมมันก็พูดอย่างเดียวกัน เงียมฬ่ออ๋องได้ฟังดังนั้น จึงให้สมุห์บัญชีค้นสารบบตรวจดูจนตลอด ก็ไม่เห็นมีเห้งเจียปลอม เอาสารบบพวกสัตว์มีขนมาตรวจดูร้อยสามสิบแห่ง ที่แห่งวานรนั้น เมื่อครั้งเห้งเจียได้สำเร็จภาคย์ลงมาแผ่อำนาจ เอาสารบบมาลบชื่อวานรเสียหมดแล้ว ตั้งแต่นั้นมาชื่อลิงก็ไม่มีจนเท้าทุกวันนี้
   ครั้นตรวจดูแล้วพระยาเงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบองค์บอกแก่เห้งเจียว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ตรวจดูแล้วในสารบบทั้งหลายไม่มีชื่อ แม้ว่าจะให้เห็นจริงก็เชิญท่านกลับขึ้นไปยังมนุษย์โลกนั้นเถิด เวลานั้นพระโพธิสัตว์เตจองอ๋องพูดว่าจงยั้งก่อน อาตมภาพจะให้ (ที่เทีย) ฟังดูก็จะรู้ว่าใครจะเท็จแลจริง อันที่เทียนั้นคือ​สัตว์คล้ายสิงห์โต นอนอยู่ข้างหน้าโต๊ะเตจองอ๋อง หากนอน กกอยู่กับดินแล้วก็ฟังรู้ได้ตลอดซึ่งการร้ายและดี เวลานั้นพระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง จึงมีคำสั่งให้สัตว์ที่เทียนั้นนอนฟัง สัตว์นั้นก็นอนราบลงกับพื้น บัดเดี๋ยวก็เงยศรีษะขึ้นบอกแก่พระโพธิสัตว์เตจองอ๋องว่า อันปีศาจเห้งเจียปลอมนี้ก็จริง แต่ไม่ควรจะพูดออกในเวลานี้ แลมีกำลังจะช่วยจับก็ไม่ได้ พระโพธิสัตว์เตจองอ๋องถามว่าเหตุใดจึงจะช่วยไม่ได้และทำไมจึงไม่ควรจะพูดออก ทีเทียพูดว่าแม้พูดออกในเวลานี้ก็จะเกิดจลาจลวุ่นวายที่ตำหนักซุมลอเต้ยนี้ก็มิได้เปนสุข และกำลังฤทธิ์อานุภาพนั้นก็เสมอกับเห้งเจีย ในนรกนี้จะมีใครฝีมือสักเท่าใดจึงจะช่วยจับได้
   พระโพธิสัตว์เตจองอ๋อง ถามว่าถ้าดังนั้นจะทำประการใดดี ทีเทียบอกว่าอภินิหารแห่งพระพุทธ พระธรรมไม่มีผู้ใดเสมอ เตจองอ๋องได้ฟังดังนั้นก็นึกขึ้นได้ จึงบอกแก่เห้งเจียว่าท่านทั้งสองรูปร่างเหมือนกันฤทธาอานุภาพเสมอกัน แม้จะให้เท็จแลจริงแล้ว จงรีบไปไซทีหาพระยูไลที่วัดลุ่ยอิมยี่เถิดจึงจะได้รู้แน่ เห้งเจียทั้งสองพร้อมกันพูดว่าเห็นจริงแล้ว ข้าพเจ้าจะขอลาไป เห้งเจียทั้งสองก็รบกันขับเขี้ยวไปมา แล้วพูดว่าเราทั้งสองจงไปไซทีหาพระยูไลชำระให้เห็นจริง พูดแล้วก็เข้าบุกบั่นรบกันต่อไป
   ฝ่ายพระยาเงียมฬ่ออ๋องก็ส่งพระโพธิสัตว์ไปยังที่ เงียมฬ่ออ๋องทั้งหลายก็กลับไปยังที่ เห้งเจียทั้งสองรบกันพลางเหาะพลางมาจนถึงเขาเล่งจื้อซัว เสียงอึกกะทึกกึกก้องโกลาหลหวั่นไหวในพื้นพสุธา​เวลานั้นหมู่เทพยดาอินทร์พรหมและหมู่สาวกทั้งหลาย กำลังแวดล้อมเฝ้าพระยูไลเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ในพระอารามใหญ่ พระยูไลก็เคลื่อนลงจากบัลลังก์แก้ว ตรัสแก่อินทร์พรหมและเทพบุตรสาวกทั้งหลายว่า บรรดาที่มาสดับธรรมเทศนาจงสำรวมจิตอันหนึ่งคอยดู สองจิตรบกันมาแล้ว ในหมู่ประชุมก็ตั้งตาคอยแลดู จึงเห็นเห้งเจียทั้งสองต่อสู้กันมา ร้องฟ้าร้องดินอึกกะทึกมาถึงหน้าอารามลุ่ยอิมยี่ หมู่เทพบุตรกับเจ้ากิมกังทั้งหลายก็ออกสะกัดกั้นไว้ .แล้วถามว่านี่จะรบกันไปข้างไหน
   เห้งเจียพูดว่าปีศาจมันแปลงทำเหมือนรูปข้าพเจ้า ๆ จะมาหาพระยูไล ขอให้ท่านพิจารณาดูให้รู้แน่ว่าเท็จและจริงประการใด หมู่เทพยดาอินทร์พรหมทั้งหลายกั้นกางไว้ไม่อยู่ ก็เลยล่วงเข้ามาถึงที่หน้าพระ ต่างคุกเข่าลงนมัสการแล้ว จึงเล่าแต่ต้นจนปลายให้พระยูไลฟัง พูดว่าข้าพเจ้าไปถึงชั้นฟ้าและลงไปยังเมืองนรกก็ไม่มีใครสามารถจะพิจารณารู้ได้ จึงได้มาเฝ้าพระองค์เจ้า ขอพระบารมีได้โปรดทรงพิจารณาให้เห็นเท็จแลจริง ข้าพเจ้าจะได้กลับไปรักษาพระถังซัมจั๋งพามานมัสการพระพุทธองค์ อาราธนาพระไตรปิฎกธรรมกลับไปเมืองใต้ถัง กระทำให้แพร่หลายแก่มหาชนในประเทศทิศบูรพา
   พระยูไลเจ้าเมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ทรงทราบในพระญาณว่าเท็จจริงประการใดแล้ว พระองค์จะทรงแสดงให้แจ้งทันใดนั้น บังเอิญแลไปเห็นเมฆสีเขียวลอยลิ่วมา ครั้นถึงแลเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมลงจากเมฆเข้ามาเคารพพระยูไลเจ้าแล้ว พระยูไลเจ้า​ถามว่า กวนอิมรู้บ้างหรือว่าเห้งเจียทั้งสองนี้ใครจริงใครเท็จ พระกวนอิมทูลว่าเดิมได้มาที่สำนักข้าพเจ้า ๆ พิจารณาไม่ออก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอให้พระองค์โปรดให้เห็นเท็จและจริง พระยูไลได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสว่ากวนอิม ถึงจะมีอภินิหารใหญ่กว้างก็จริง จะพึงรู้ได้แต่การโลก หารู้หมดซึ่งสัตว์เกิดนั้นไม่ และหารู้มูลรากของสัตว์ได้ไม่ พระกวนอิมจึงเคารพขอให้พระองค์โปรดทรงแสดง พระจึงตรัสว่า อันในโลกนี้มีภูมิห้า คือฟ้าหนึ่ง ดินหนึ่ง เจ้าหนึ่ง มนุษย์หนึ่ง ผีเปรตหนึ่ง แลมีปูมห้า เลี่ยนหนึ่ง เกล็ดหนึ่ง ขนหนึ่ง ปีกหนึ่ง ปุ่มหนึ่ง
   ที่เห้งเจียทั้งสองนั้นไม่เกี่ยวอยู่ในภูมิห้านี้ มีนามเรียกว่ามูลวานร ลิงที่หนึ่งนั้นนามเรียกว่าเจี๊ยเก๊า แปลงกายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง และรู้ฟ้าดินและเหตุร้ายดี ลิงที่สองนั้นนามเรียกว่าเบ๊เก๊า เข้าในทางอากาศฟ้าดินรู้การของมนุษย์ได้หนีตายทำให้อายุยืนได้นานปี ลิงที่สามนั้นนามเรียกว่าอวนเก๊า จับพระอาทิตย์พระจันทร์รวบพันธ์ภูเขาเข้าได้เป็นหนึ่ง เล่นฟ้าเล่นดินทดเข้าออกทำได้ดังนึก ลิงที่สี่นั้นนามเรียกว่ามิเก๊าหูฟังได้ทุกอย่าง เข้าใจตรวจกิจพิจารณาการรู้ข้างหน้าข้างหลังรู้แจ้งซึ่งการทั้งปวง ลิงทั้งสี่นี้ไม่ร่วมอยู่ในภูมิห้าปูมห้าไม่เข้าหมู่สองจำพวกนี้
   ตถาคตพิจารณาดู หงอคงปลอมนั้นคือลิงมิเก๊า ๆ แม้จะยืนอยู่ในที่เดียว ๆ การไกลพันโยชน์ก็อาจเข้าใจได้ มนุษย์พูดจาว่ากระไรก็รู้ได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นรูปร่างน้ำเสียงจึงอย่างเดียวกันแก่เห้งเจีย
   ​มิเก๊าได้ยินพระตรัสดังนั้น ถูกต้องมูลเหตุของตัวอกใจก็ให้ไหวหวาด จะรีบเหาะหนีเอาตัวรอด พระยูไลตรัสสั่งให้หมู่เทพบุตรล้อมไว้ เห้งเจียจะตรงเข้าตี พระยูไลก็ทรงห้ามว่าเห้งเจียอย่าทำเขาเลย ตถาคตจะจับให้ ลิงมิเก๊าจิตใจให้สะดุ้งกลัวคิดว่าจะหนีไปไม่พ้น ก็ไหวกายแปลงเป็นแมลงผึ้งรีบบินหนีไป จึงพระยูไลเอาบาตรขว้างไปครอบไว้ แมลงผึ้งก็เข้าอยู่ในบาตร พระองค์ก็ทรงเรียกบาตรนั้นกลับคืนมา ทรงตรัสแก่เทพบุตรทั้งหลายว่า ลิงมิเก๊าอยู่ในบาตรตถาคตแล้ว จึงหมู่เทพยดาทั้งหลายได้พากันมาดู ก็ได้เห็นลิงมิเก๊านอนคุดอยู่ในบาตร เห้งเจียอดไม่ได้เอาตะบองกระทุ้งศรีษะทีหนึ่ง ลิงมิเก๊าก็ถึงแก่ความตาย เพราะฉะนั้นพืชพันธุ์ลิงมิเก๊าจึงได้สาปสูญตั้งแต่นั้นมา
   พระยูไลเห็นดังนั้น ก็ไม่เป็นที่พอพระทัย ทรงตรัสว่าทำไมเห้งเจียจึงทำดังนี้เล่า เห้งเจียกราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระกรุณาแก่สัตว์ชั่วร้ายอย่างนี้เลย มันตีอาจารย์ข้าพเจ้าแล้วและเอาเข้าของมาเสียด้วย โทษมันก็ควรถึงแก่ความตายอยู่แล้ว พระยูไลจึงสั่งให้เห้งเจียรีบไปรักษาพระถังซัมจั๋งเถิด เห้งเจียคุกเข่าเคารพทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบพระอาจารย์ไม่ยอมให้ข้าพเจ้าไปร่วม ข้าพเจ้ากลับไปจะเสียเวลาเปล่า ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาเสกถอนมงคลบนศรีษะข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าจะได้ทูลลาพระองค์ไปอยู่ยังที่เดิม พระยูไลได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสแก่เห้งเจียว่าเห้งเจียอย่าคิดวุ่นวายไป ตถาคตจะให้พระกวนอิมไปส่งถังซัมจั๋ง​เธอก็ต้องให้ไปอยู่เอง เห้งเจียจงอุตส่าห์รักษาพระถังซัมจั๋งให้ตลอด เมื่อเวลาสำเร็จแล้วจะได้ขึ้นนั่งบนแท่นบัว
   พระโพธิสัตว์นั่งอยู่ข้างนั้นได้ยินพระองค์ตรัสแก่เห้งเจียดังนั้น ก็กระทำเคารพลาพาเห้งเจียออกจากพระอาราม เหาะขึ้นกลางเวหาแล้วก็ตรงไป ครั้นถึงบ้านยายเฒ่าที่พระถังซัมจั๋งอาศัยอยู่ก็ลงยังพื้น ฝ่ายคนในบ้านกับซัวเจ๋ง แลเห็นก็บอกแก่อาจารย์ออกมานิมนต์พระโพธิสัตว์ ๆ พูดว่า เมื่อวันก่อนที่ตีถังซัมจั๋งนั้น คือลิงมิเก๊า ต่อไปหาพระยูไลบอกให้จึงได้รู้แจ้ง บัดนี้เห้งเจียก็ตีตายแล้ว ส่วนเห้งเจียนั้นต้องให้ตามรักษาไปตามเดิม เมื่อเวลาเดินทางไปพบผีปิศาจยักษร้ายสัตว์ร้าย เธอจะได้ช่วยป้องกันไปกว่าจะถึงเขาเล่งจิ๋วซัว จะได้อาราธนาพระธรรมอย่าให้โกรธขึ้งเคืองแค้นเธอจะเสียการอันใหญ่ในเบื้องหน้า
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังพระกวนอิมสั่งสอน ก็เคารพรับคำสั่ง เวลานั้นพระถังซัมจั๋งกำลังขอบคุณพระโพธิสัตว์ ก็ได้ยินเสียงลมกระพือมา คนทั้งหลายแลไปเห็นโป๊ยก่ายเหาะมาบนอากาศ หลังสะพายถุงย่ามมาถึงก็ลงยังพื้น โป๊ยก่ายแลไปเห็นพระโพธิสัตว์ก็คุกเข่าลงเคารพนมัสการแล้ว จึงพูดว่าข้าพเจ้าไปถึงเขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเห็นพระถังซัมจั๋งปลอม โป๊ยก่ายปลอม ข้าพเจ้าตีตายทั้งสองคน แต่อันที่จริงมันเป็นลิงปีศาจ ข้าพเจ้าเอาถุงย่ามมาตรวจก็ไม่หายอะไรสักสิ่งเดียว ได้แล้วก็กลับมา แต่ยังไม่ทราบว่าเห้งเจียทั้งสองนั้นจะตกไปถึงไหน พระโพธิสัตว์จึงเล่าความให้โป๊ยก่ายฟังทุกประการ ​โป๊ยก่ายก็มีความยินดีหาที่สุดมิได้ อาจารย์แลศิษย์ก็พากันเคารพพระโพธิสัตว์ก็เหาะกลับไป อาจารย์กับศิษย์ก็ร่วมจิตกันตามเดิมจึงลายายเฒ่าเจ้าของบ้าน จัดแจงพร้อมแล้วก็พากันออกเดินเข้าทางใหญ่หมายทิศปราจิณ

ไม่มีความคิดเห็น: