
(บทที่ ๖๒)
เดินมาได้วันหนึ่งประมาณทางได้แปดร้อยโยชน์ อาจารย์กับศิษย์ก็มีความผาสุข เวลาจวนจะสิ้นฤดูฝนเข้าฤดูหนาว ครั้นมาอีกหน่อยหนึ่งแลไปข้างหน้าก็เห็นกำแพงขวางอยู่ข้างหน้า พระถังซัมจั๋งก็ชักม้าหยุดเรียกเห้งเจียถามว่าข้างหน้านั้นจะเป็นห้องหอตึกรามหรืออย่างไร ดูรายเรียงเป็นลำดับกันอยู่ดังนั้น เป็นสถานที่อันใด เห้งเจียพิจารณาดูแล้วก็บอกแก่อาจารย์ว่าเป็นบ้านเมืองที่มีกษัตริย์ปกครอง พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ให้ม้าเดิน บัดเดี๋ยวก็มาถึงประตูเมือง แลไปดูเห็นถนนหนทางเรียบร้อยมีผู้คนค้าขายเสื้อผ้าแพรพรรณต่าง ๆ เมื่อกำลังเดินมาก็เห็นพระสงฆ์สักยี่สิบรูป ที่ต้องจำขื่อคาโซ่ตรวนทุก ๆ องค์เที่ยวบิณฑบาตดูน่าอุจาดสังเวชแก่ตา พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ถอนใจใหญ่จึงเรียกเห้งเจียมาสั่งว่า จงไปถามดูว่ามีโทษอะไรจึงต้องพันธนาการจำจองเช่นนั้น
เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้ร้องถามว่าพระสงฆ์เหล่านี้มีโทษอย่างไร จึงได้จำโซ่ตรวนขื่อคาดังนี้ พระสงฆ์เหล่านั้นคุกเข่าลงพูดว่าอาตมภาพทั้งหลายนี้ต้องโทษโดยไม่มีเหตุ อาตมภาพทั้งหลายอยู่วัดกิมกวางยี่ เลี้ยวมุมกำแพงนั้นก็ถึง เห้งเจียก็พาพระสงฆ์พวกนั้นมาหาพระถังซัมจั๋ง ๆ จึงถามว่า ท่านทั้งหลายทำไมจึงต้องจำดังนี้ ขอท่านได้เล่าให้อาตมาฟังบ้าง พระสงฆ์เหล่านั้นพูดว่า พวกข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านมาแต่ไหน ซึ่งข้าพเจ้าต้องจำด้วยเหตุประการใด ข้าพเจ้าไม่อาจเล่าให้ท่านฟังได้ในเวลานี้ ขอให้ท่านไปที่วัดข้าพเจ้าเถิด จะได้เล่าให้ท่านทราบเรื่องความทรมานทุกข์ของพวกข้าพเจ้า
พระถังซัมจั๋งก็เดินตามพระสงฆ์เหล่านั้นไปถึงประตูวัด แลขึ้นไปดูบนประตูเห็นมีหนังสือตัวทองเจ็ดตัวคือ เซ๊กเกี๊ยนฮู่ก๊กกิมกวางยี่ แปลว่าพระราชทานทรงสร้างชื่อวัดทองสว่าง อาจารย์กับศิษย์ก็พากันเข้าไปพิจารณาดู เห็นต้นพฤกษาดอกใบร่วงโรยไม่มีใครเก็บ กุฎิวิหารก็ร่วงโรยรกเรี้ยวรุงรังไม่มีพระสงฆ์อยู่ พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็เสียใจ จนน้ำตาไหลโดยมีความสังเวชสลดใจ พวกพระสงฆ์ที่ต้องจำเหล่านั้นก็มาเปิดประตูโบสถ์ออก เชิญพระถังซัมจั๋งเข้าไป พระถังซัมจั๋งเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปแล้ว ก็ออกจากโบถเดินเข้าไปในกุฎี แลเห็นที่เสาใส่กุญแจเณรอยู่หกเจ็ดรูป พระถังซัมจั๋งไม่อยากจะเห็น เดินเลยเข้าไปในกุฎิใหญ่หมู่สงฆ์ในวัดก็พากันออกมาเคารพ แล้วถามว่าท่านทั้งหลายรูปร่างต่าง ๆ กัน ท่านมาจากเมืองใต้ถังหรือมิใช่
เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าพวกสงฆ์นี้ยามดียังไม่เห็นก็รู้ก่อน ทำไมท่านจึงรู้ได้ พระสงฆ์ทั้งหลายตอบว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่มีฤกษ์ยามอะไรดอก เพราะพวกข้าพเจ้าต้องโทษเปล่า ๆ ดังนี้ ไม่ทราบว่าจะทำประการใด ทุกวันก็พากันร้องฟ้าร้องดินไปดังนั้น หรือจะร้อนถึงเทวดาจึงบันดาลให้พวกข้าพเจ้าฝันไปทุกคนว่า พระถังซัมจั๋งอยู่เมืองใต้ถังมาถึงจึงจะช่วยชีวิตพวกข้าพเจ้าทั้งหลายได้ บังเอิญวันนี้ท่านมาถึงที่นี่ ข้าพเจ้าทั้งหลายก็นึกเดาเอาว่าเห็นจะเป็นท่านนี่เอง พระถังซัมจั๋งถามว่านี่เมืองอะไร ท่านทั้งหลายต้องรับโทษจองจำอย่างนี้ด้วยเหตุอะไร
พระสงฆ์เหล่านั้นบอกว่าเมืองนี้นามเมืองเรียกว่าเจ่จั๊ยก๊กเป็นเมืองใหญ่ มีเมืองขึ้นทั้งสี่ทิศ ๆ อาคเนย์ชื่อเมืองง้วยท่อก๊ก ทิศอุดรชื่อเมืองโกเชียงก๊ก ทิศบูรพาชื่อเมืองไซรเหลียงก๊ก ทิศปราจิณชื่อเมืองปุ๊นปัวก๊ก เมืองทั้งสี่ทุก ๆ ปี เอาเครื่องบรรณาการเข้ามาถวายมิได้ขาด บ้านเมืองปราศจากศึกสงครามย่อมอยู่เย็นเป็นสุข ไม่ต้องไปรบพุ่งชิงชัยเมืองเหล่านั้นก็มาอ่อนน้อมเอง ยกย่องให้เมืองนี้เป็นเอกราช พระถังซัมจั๋งถามว่าเป็นดังท่านเล่าดังนั้น เห็นขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนจะเป็นผู้ตั้งอยู่ในยุติธรรม เจ้าแผ่นดินก็จะถือศีลตั้งอยู่ในยุติธรรมหรือบ้านเมืองจึงได้อยู่เย็นเป็นสุข
พระสงฆ์เหล่านั้นพูดว่า เจ้าแผ่นดินก็ไม่อยู่ในทศพิธราชธรรม ขุนนางก็ไม่มีคนซื่อสัตย์สุจริตมีแต่ทุจริตอยุติธรรมทั้งนั้น ที่วัดกิมกวางนี้ตั้งแต่เดิมมาพระเจดีย์วิเศษมีเมฆอยู่บนยอด ดุจดังว่ามงคลปกล้อมอยู่เสมอ เวลากลางคืนแสงพุ่งออกไปไกล เวลากลางวันมีรัศมีสีต่าง ๆ ประชาชนทุก ๆ คนก็มีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะฉะนั้นจึงมีคำเรียกว่าเมืองสวรรค์ บังเอิญเมื่อสามปีก่อนเดือนเก้าขึ้นหนึ่งค่ำเวลาเที่ยงคืนก็มีฝนตกลงมาเป็นน้ำโลหิต พระเจดีย์นั้นก็เปื้อนเปรอะไปทั้งองค์ตั้งแต่นั้นก็มืดมัวไม่มีรัศมี ในสองปีก็ไม่มีหัวเมืองเอาบรรณาการมาถวายเจ้าเมืองคิดจะยกทัพไปตี ขุนนางทั้งหลายมีความสงสัยจึงทูลถามว่า พระเจดีย์วิเศษที่ในวัดกิมกวางนั้น พระสงฆ์ทีจะลักเอาของนั้นไป เพราะฉะนั้นบรรดาหัวเมืองที่เคยจึงมิได้นำเครื่องบรรณาการมาถวาย
พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังข้าราชการกราบทูลดังนั้นมิได้ทรงตรึกตรอง จึงสั่งให้ขุนนางจับเอาพระสงฆ์ไปเฆี่ยนตีทรมานทำโทษต่าง ๆ ที่จับพวกข้าพเจ้าไปทำโทษนั้นมีสองสามจำพวก จำพวกที่จับไปก่อนนั้นก็คงจะไม่พ้นความตาย ยังจับพวกข้าพเจ้าไปทำโทษให้จำโซ่ตรวนดังนี้อีก ขอท่านอาจารย์ได้ทราบ พวกข้าพเจ้าที่ไหนจะสามารถลักเอาของวิเศษในพระเจดีย์ไปได้ ขอท่านอาจารย์ได้แผ่เมตตาจิตช่วยข้าพเจ้าให้รอดชีวิตด้วยเถิด
พระถังซัมจั๋งได้ฟังพูดดังนั้นก็ถอนใจใหญ่แล้วพูดว่า การนี้ก็ยากที่จะแจ่มแจ้งได้ จึงถามเห้งเจียว่าเวลานี้เท่าไรกี่โมงแล้ว เห้งเจียบอกว่าประมาณสักสี่โมงแล้ว พระถังซัมจั๋งว่าอยากจะเข้าไปเฝ้าและจะได้ขอเปลี่ยนหนังสือเดินทางด้วย แต่ขัดที่ยังไม่รู้แน่ในเรื่องพระสงฆ์จะเท็จจริงประการใด เมื่อเวลาออกจากเมืองมาก็ได้ตั้งใจว่าถ้าพบปะศาลเจ้าก็จะจุดธูปบูชา ถ้าพบวัดก็จะนมัสการพระ ถ้าพบพระเจดีย์ก็จะกวาดลานพระเจดีย์ วันนี้มาถึงพบสงฆ์ต้องโทษนั้นก็เพราะเหตุเกิดที่พระเจดีย์ เห้งเจียจงไปจัดทำไม้กวาดให้สักอันหนึ่ง คอยอาตมาสรงน้ำแล้วจะขึ้นไปกวาด จะได้พิจารณาดูว่ามีเหตุประการใด แล้วจึงค่อยเข้าไปเฝ้าทูลขอโทษพระสงฆ์ที่ต้องโทษนั้น พระสงฆ์ที่ต้องทรมานทุกข์ได้ยินดังนั้น ก็รีบไปในครัวเอามีดมาส่งให้โป๊ยก่ายว่า ท่านช่วยงัดเอาตรวนที่เณรออก จะได้ใช้ไปทำครัวเครื่องแจมาถวาย
โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่าเอามีดพร้ามาทำไม เรามีคนหนึ่งเข้าใจงัดตรวนทีหนึ่ง เห้งเจียเข้าไปใกล้เอามือลูบสองสามทีตรวนก็หลุดออกทั้งสิ้น สามเณรนั้นก็เข้าไปในครัวต้มน้ำทำกับเข้าแจเสร็จแล้วก็ยกน้ำร้อนน้ำชามาถวาย เห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็กิน ครั้นเสร็จแล้วเวลาก็พลบค่ำสงฆ์เหล่านั้นก็เอาไม้กวาดมาวางไว้ สามเณรองค์หนึ่งถือโคมไฟมารับพระถังซัมจั๋งไปสรงน้ำ เวลานั้นดาวบนอากาศก็แจ่มแจ้งทั้งท้องฟ้า กลองระฆังก็ตีย่ำค่ำ พระถังซัมจั๋งสรงน้ำแล้วก็ผลัดผ้านุ่งห่มเอาจีวรอาศัยครองเข้าแล้ว มือก็ถือไม้กราดพูดแก่สงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นว่า ท่านจงไปพักหลับนอนเถิด อาตมาจะไปกวาดพระเจดีย์ เห้งเจียพูดว่าพระเจดีย์ต้องฝนเลือดเปรอะเปื้อนมานานแล้ว เห้งเจียก็ถือไม้กวาดนำหน้าไป พากันไปที่โบสถ์ใหญ่จุดธูปเทียนบูชาแล้วตั้งอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าแซ่ตั๊นชื่อเหี้ยนจึงได้รับสั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้ไปประเทศไซทีนมัสการพระพุทธเจ้าของอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้มาถึงเจ่จ๊ายก๊กวัดกิมกวางยี่ เห็นพระเจดีย์เปรอะเปื้อนและพระสงฆ์ในอารามก็ต้องโทษดังนี้ ข้าพเจ้าขอตั้งศรัทธากวาดพระเจดีย์ ขอพระรัตนไตรอันศักดิ์สิทธิ์จงบันดาลให้ข้าพเจ้าเข้าใจรู้แจ้ง ซึ่งพระสงฆ์ต้องโทษด้วยเหตุประการใด
พระถังซัมจั๋งตั้งสัตย์อธิษฐานแล้ว เห้งเจียก็ไปเปิดประตูพระเจดีย์เข้าไป พระถังซัมจั๋งก็ถือไม้กวาดตั้งแต่ชั้นหนึ่ง แล้วขึ้นไปกวาดชั้นสองต่อ ๆ ขึ้นไปจนกระทั่งชั้นที่เจ็ดเวลานั้นก็ได้ครึ่งคืน พระถังซัมจั๋งก็เมื่อยอ่อนกำลัง เห้งเจียว่าอาจารย์เมื่อยก็ให้ข้าพเจ้ากวาดแทนให้ พระถังซัมจั๋งถามว่านี่ประมาณสูงกี่ชั้น เห้งเจียตอบว่าสิบสามขั้น พระถังซัมจั๋งว่าถ้าดังนั้นก็ต้องกวาดให้แล้วจึงจะสมความอธิษฐานก็อุตส่าห์กวาดขึ้นไปได้ถึงชั้นสิบ ก็ให้เจ็บหลังกวาดต่อไปไม่ได้จึงเรียกเห้งเจียให้ช่วยกวาดต่อไป เห้งเจียก็จับไม้กวาดกำลังกวาดต่อขึ้นไปชั้นสิบเอ็ด ชั้นสิบสอง ได้ยินเสียงชั้นสุดยอดมีคนพูดกัน เห้งเจียเห็นชอบกลเวลานี้ก็ดึกกว่ายามแล้ว คนที่ไหนมาพูดกันอยู่บนนี้ ชะรอยจะเป็นปีศาจผีร้ายเป็นแน่ จำเราจะแอบขึ้นไปดูจึงจะรู้แน่ เอาไม้กวาดวางแล้ว ถกกางเกงขึ้นก็ค่อย ๆ ปีนขั้นไปบนยอดพระเจดีย์ แลดูชั้นที่สิบสามแลเข้าไปกลางพระเจดีย์ ก็เห็นปีศาจสองคนนั่งอยู่ มีถาดถ้วยชามของกินและสุราตั้งอยู่
คนทั้งสองต่างรินสุราส่งให้กันกิน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็เอาไม้กวาดทิ้งเสีย ชักตะบองเหล็กออกจากหูกระโดดไปสกัดประตู ร้องตวาดว่าอ้ายพวกผียักษ์ร้ายมึงดีแล้ว มึงสามารถลักของวิเศษในพระเจดีย์ไป คือเหตุนี้เพราะมึงเอง ปีศาจทั้งสองเห็นแลได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็ตกใจ จะเก็บของเหล่านั้นออกหนี เห้งเจียก็เข้ายืนสกัดกั้นไว้มิให้หนีไปได้ เห้งเจียว่าแม้เราจะตีให้ตายเดี๋ยวนี้ก็จะไม่มีใครเป็นพยาน จึงถือตะบองเดินรุกเข้าไปใกล้ ปีศาจก็แอบติดผนังจะหนีก็ไม่มีทางจะไปได้ จึงออกปากร้องขอชีวิตว่า มิใช่เหตุของข้าพเจ้าทั้งสอง ของวิเศษหายไปนั้นมีคนเอาไปมีที่อยู่ เห้งเจียก็รวบจับคนทั้งสองลงมาถึงชั้นที่สิบบอกอาจารย์ว่าข้าพเจ้าจับขโมยที่ลักของวิเศษในพระเจดีย์ได้ พระถังซัมจั๋งเวลานั้นกำลังง่วงนอนก็ตกใจตื่นทั้งกลัวทั้งดีใจ จึงถามว่าจับได้ที่ไหน
เห้งเจียก็จูงปิศาจมาคุกเข่าลงตรงหน้าพระถังซัมจั๋ง บอกว่ามันกำลังนั่งกินสุรากันอยู่บนชั้นยอดที่สิบสาม ข้าพเจ้าค่อยย่องเบา ๆ แอบขึ้นไปจับได้ พระอาจารย์จงถามปากคำมัน มันเป็นปีศาจที่ไหนลักของวิเศษนั้นไป บัดนี้ของนั้นอยู่ที่ไหน
ฝ่ายปีศาจกลัวตัวสั่นพูดว่า ขอท่านได้กรุณายกชีวิตให้ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะเอาความจริงแจ้งให้ท่านทราบ คือข้าพเจ้าทั้งสองนี้อยู่ที่เขาล้วนเจี๊ยซัว ที่บึงเพ็กปอท้ำ พระยานาคบ้วนเซี้ยเล่งอ๋อง ให้ข้าพเจ้าทั้งสองมาลาดตระเวนที่เจดีย์นี้ คนนั้นชื่อโบนปอ ข้าพเจ้าชื่อเชียวปอ โบนปอนั้นเป็นปลาขาว เชียวปอปลาดำ เหตุด้วยบ้วนเซี้ยนายข้าพเจ้ามีบุตรสาวคนหนึ่ง มีนามเรียกว่า บ้วนเซี้ยกงจู๊ นางกงจู๊นั้นรูปร่างสะสวย เล่งอ๋องหาได้บุตรเขยคนหนึ่งนามว่า เก๊าเท้าฮู่เบ๊มีฤทธาอานุภาพ เมื่อปีก่อนมากับเล่งอ๋องที่พระเจดีย์นี้ ทำฝนโลหิตตกลงพรมพระเจดีย์เปื้อนเปรอะไปทั้งสิ้นแล้วก็ลักเอาพระธาตุนั้นไป นางกงจู๊ไปบนสวรรค์ที่ตำหนักเล่งฮือเต้ย ลักเอายาเล่งกีเช้าไปปลูกที่บาดาลบึงของเธอ ทุกคืนวันก็จะมีรัศมีต่าง ๆ สว่างไสวออกมา เล่งอ๋องเธอได้ยินว่าคนชื่อเห้งเจียจะไปอาราธนาพระธรรมยังประเทศไซที มีฤทธิ์เชี่ยวชาญเหาะเหินเดินอากาศได้เที่ยวหาแต่คนผิด เพราะฉะนั้นเล่งอ๋องจึงให้พวกข้าพเจ้ามาลาดตระเวรที่ตำบลนี้ แม้ว่าพบปะเห้งเจียมาถึงนี่จะได้ระวังเตรียมตัวก่อน
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ ด่าว่าอ้ายเดรัจฉาน มันคิดดังนี้ไม่มีธรรมเนียม ปีศาจทั้งสองพูดว่าเมื่อวันก่อนเล่งอ๋องเชิญงู่ม่ออ๋องมากินเลี้ยง คบคิดกับงู่ม่ออ๋องกระทำการล้วนแต่ไม่ชอบธรรมอยู่เสมอ ๆ จะพรรณาไม่หมดเรื่อง ในทันใดนั้นโป๊ยกายกับสามเณรสองสามองค์หิ้วโคมไฟเดินขึ้นมา โป๊ยก่ายเรียกว่าอาจารย์กวาดแล้วทำไมไม่ลงไปนอน ท่านพูดอะไรกัน เห้งเจียว่าน้องมาดีแล้ว ของวิเศษในพระเจดีย์หายไปนั้น คืออ้ายบ้วนเซี้ยเล่งอ๋องเอาไป บัดนี้ให้ปิศาจทั้งสองนี้มาเที่ยวลาดตระเวนคอยระวังพวกเรา พี่พึ่งจับมันได้เดี๋ยวนี้เอง โป๊ยก่ายพูดว่าอ้ายปีศาจอย่างนี้ไว้มันทำไมอีกเล่า ว่าแล้วชักคราดออกจะตี เห้งเจียห้ามว่าน้องยังไม่รู้เรื่องตลอด จับตัวมันนำไปกราบทูลต่อพระเจ้าแผ่นดิน แลไว้ให้มันนำไปค้นหาของวิเศษ โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็เอาคราดเข้าเก็บไว้เสียแล้วจูงปีศาจนั้นลงมา สามเณรสองสามองค์ก็ดีใจ หิ้วโคมไฟนำหน้าพระถังซัมจั๋งลงมา สามเณรองค์หนึ่งกีวิ่งเข้าไปบอกแก่พระสงฆ์เหล่านั้นว่า ดีแล้วพวกเราจะได้พ้นฟ้าเขียวแล้ว คนที่ลักของวิเศษในพระเจดีย์ไปนั้นคือปีศาจ บัดนี้ท่านเห้งเจียจับมาได้แล้ว
เห้งเจียก็ให้เอาเชือกเหล็กมาร้อยกระดูกสันหลัง ใส่กุญแจไว้กับเสา สั่งให้พระนั่งยามคอยระวังไว้ข้าพเจ้าจะไปนอน พรุ่งนี้เข้าจะได้ชำระ พระสงฆ์ทั้งหลายก็เอาใจใส่พากันช่วยระวังอยู่มิได้ไว้ใจ อาจาริย์กับศิษย์ก็ไปนอน ครั้นรุ่งแสงพระอาทิตย์อุทัยแล้ว พระถังซำจั๋งพูดว่าเห้งเจียไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินด้วยกัน จะได้ขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง พระถังซัมจั๋งครองจีวรเสร็จแล้ว เห้งเจียก็ถือหนังสือเดินตามไป โป๊ยก่ายถามว่าทำไมจึงไม่เอาอ้ายสองคนนั้นไปด้วยเล่า เห้งเจียพูดว่าไว้เราทูลให้ทราบก่อนแล้วก็คงรับสั่งได้มาเอาตัวไปเอง
ครั้นพระถังซัมจั๋งเดินมาถึงประตูเมืองชั้นในก็ย่อตัวปราศรัยด้วยขุนนางขันธีว่า ขอท่านได้โปรดกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า อาตมภาพมาจากเมืองใต้ถัง มีรับสั่งให้ไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้มาถึงเมืองนี้จะขอเข้าเฝ้า และจะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง พวกขุนนางได้ฟังดังนั้นก็นำความเข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้พาตัวเข้าไปเฝ้า พวกขุนนางเห็นรูปร่างเห้งเจียก็พากันครั่นคร้ามหวาดหวั่นแทบทุกคน พระถังซัมจั๋งทำเคารพแล้วก็ให้เห้งเจียยืนแอบอยู่ข้างหนึ่ง มิได้แสดงความหวั่นหวาดพระถังซัมจั๋งทูลแล้วจึงรับสั่งให้ขึ้นมาที่ปราสาทกิมล่วนเต้ย พระถังซัมจั๋งจึงเอาหนังสือประคองถวายขึ้นไป แล้วจึงถอยหลังมานั่งที่อันสมควร พระเจ้าแผ่นดินทรงคลี่หนังสือออกทอดพระเนตรตลอดแล้ว ก็ทรงมีความยินดี จึงตรัสว่าเจ้าเมืองใต้ถังช่างเลือกพระสงฆ์อันประเสริฐมิได้คิดว่าทางใกล้ไกลแลกันดารลำบากอุตสาหะมาดังนี้ พระสงฆ์ของข้าพเจ้ามีแต่ตั้งใจคอยจะขโมยทรยศแก่ข้าพเจ้า
พระถังซัมจั๋ง ถวายพระพรถามว่าพระสงฆ์ของพระองค์ทำประการใดจึงตรัสว่าอกตัญญูทรยศต่อเจ้า พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสว่าเมืองข้าพเจ้าเป็นเมืองใหญ่กว่าเมืองที่อยู่ใกล้ชิด ทุกปีทั้งสี่ทิศเคยเอาเครื่องบรรณาการมาถวายมิได้ขาด เพราะในเมืองมีวัดกิมกวางยี่มีพระเจดีย์วิเศษมีรัศมีส่องสว่างไสวทุกวันทุกคืน เป็นสง่างามหาที่เปรียบมิได้ เหตุพระสงฆ์ในวัดลักเอาของวิเศษนั้นไปเสียทุก ๆ เมืองขึ้นก็มิได้นำเครื่องราชบรรณาการมาถวายเหมือนเช่นเคย ข้าพเจ้ามีความแค้นพระสงฆ์เหล่านี้เป็นที่สุด พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น จึงถวายพระพรว่า ที่พระองค์ทรงเข้าพระทัยดังนั้น เห็นจะไม่ตรงกับความเป็นจริง ด้วยเวลาวานนี้อาตมภาพเดินเข้ามาในประตูเมือง ก็เห็นพระสงฆ์ต้องจำโซ่ตรวน ถามเธอบอกว่าอยู่วัดกิมกวางยี่ ต้องโทษโดยไม่มีความผิด ครั้นอาตมภาพไปขออาศัยพักแล้วขึ้นไปกวาดพระเจดีย์ก็จับได้ปีศาจที่ลักของวิเศษไปนั้นทั้งสองคน
พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้นก็มิได้ทรงถามว่าขโมยนั้นอยู่ที่ไหน พระถังซัมจั๋งจึงทูลขึ้นว่า บัดนี้สานุศิษย์ของอาตมภาพ ยังใส่กุญแจไว้ที่วัดกิมกวางยี่ จึงพระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้ทหารไปคุมตัวปีศาจทั้งสองนั้นมา พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ถึงมีทหารไปก็จริง แต่ขอให้ศิษย์ของอาตมภาพไปด้วยจึงจะดี จึงพระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่า สานุศิษย์นั้นอยู่ไหน พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่าอยู่ข้างนั้น พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรเห็นรูปร่างเห้งเจียชอบกลก็ตกพระทัยตรัสว่า ท่านอาจารย์มีลักษณะงดงาม สานุศิษย์ทำไมรูปร่างจึงเป็นดังนี้เล่า เห้งเจียได้ยินดังนั้น ๆ ทูลขึ้นว่า แม้พระองค์จะประสงค์แต่รูปลักษณะอันงดงามดังนั้นหาชอบไม่ คำโบราณท่านย่อมว่า คนอย่าเลือกสวยงาม น้ำทะเลจะเอาอะไรตวงไม่ได้ แม้ว่ารักสวยงามทำไมจึงจะจับปีศาจร้ายได้เล่า
พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียทูลดังนั้น ก็ได้พระสติหายความหวาดหวั่นสะดุ้งกลัว ทรงมีความยินดีแล้วตรัสว่าท่านพูดเห็นจริง ข้าพเจ้าจะเลือกเอาคนมีวิชาการ ถ้ากระนั้นก็ขอให้ได้ของวิเศษเถิด จึงรับสั่งให้ขุนนางกับทหารรักษาองค์ ไปกับเห้งเจียยังวัดกิมกวางยี่ เอาตัวปีศาจทั้งสองนั้นมา พวกขุนนางก็จัดการตามรับสั่ง จึงให้คนหามเกี้ยวแปดคน เห้งเจียก็ขึ้นนั่งในเกี๊ยว คนทั้งแปดก็หามไป พวกทหารก็ตามแห่ล้อมไป มีคนนำหน้าห้ามผู้คนและไล่มิให้กีดขวางสี่คน มาบัดเดี๋ยวใจก็ถึงวัดกิมกวางยี่ โป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ยินคิดว่าขุนนางเจ้านายมาวัดจะจัดแจงออกมารับ แลไปเห็นเห้งเจียนั่งอยู่ในเกี้ยว โป๊ยก่ายหัวเราะพูดว่าพี่ได้สุขกายแล้ว เห้งเจียลงจากเกี้ยว ถามว่าเราได้สุขกายอย่างไร โป๊ยก่ายว่าพี่ได้นั่งเกี้ยวแปดคนหามและกั้นให้ด้วย และมีทหารแห่ห้อมล้อมหน้าหลัง ก็เป็นที่ขุนนางใหญ่ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงพูดว่าเปนสุขกาย
เห้งเจียพูดว่าจงรีบช่วยกันแก้ปีศาจนั้นลงโดยเร็ว นำพาเข้าไปถวาย พระเจ้าแผ่นดินท่านจะได้พิจารณา โป๊ยก่ายก็แก้คนหนึ่ง ซัวเจ๋งก็แก้คนหนึ่ง เห้งเจียขึ้นเกี้ยวพากลับเข้าพระราชวังใน โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็จูงปีศาจคนละคนตามเห้งเจียไป บัดเดี๋ยวก็ถึงพระราชวังตรงเข้าไปที่หน้าพระลาน พระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จมาพร้อมด้วยพระถังซัมจั๋งและขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย พิจารณาดูปีศาจทั้งสองคน คนหนึ่งแก้มขาวเกล็ดดำปากแหลมฟันคม คนหนึ่งหนังเลี่ยนท้องโตปากกว้างหนวดยาว แม้มีเท้าก็จริงแต่หากอาศัยแปลงตัวได้ พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรแล้ว จึงตรัสถามว่า มึงเป็นผู้ร้ายอยู่ที่ไหนมาลักเอาของวิเศษไปเมื่อไร พวกเจ้ามีมากน้อยเท่าใด ชื่อเสียงอย่างไร จงให้การไปแต่ตามจริง
ปิศาจทั้งสองได้ฟังรับสั่งถาม ก็คุกเข่าลงคำนับทูลว่า เมื่อสามปีก่อน เดือนเก้าขึ้นค่ำหนึ่งบ้วนเซี้ยเล่งอ๋องพระยานาค มีพวกพ้องบริวารมากอยู่ที่เขาล้วนเจี๊ยซัวในบึงเพ็กปอท้ำ ในเขตแขวงเมืองนี้ จากนี้ไปประมาณร้อยโยชน์ บ้วนเซี้ยเล่งอ๋องมีบุตรสาวคนหนึ่งรูปร่างงดงาม ยกให้เก๊าเท้าเป็นภรรยา เก๊าเท้าคนนี้มีฤทธิ์เดช รู้ว่าที่พระเจดีย์มีของวิเศษ จึงพร้อมกันมาที่พระเจดีย์ ทำอำนาจแผลงฤทธิ์ให้ฝนตกเป็นน้ำโลหิต แล้วลักเอาพระธาตุไปไว้ในบาดาล บัดนี้ยังอยู่มีรัศมีสว่างไสวหาที่เปรียบมิใด อันนางบุตรีสาวของบ้วนเซี้ยเล่งอ๋องนั้นขึ้นไปลักเอาหญ้าเล่งกี่วิเศษ ของแม่นางอ๋องโบ๊เนี่ยเนี้ยบนสวรรค์ลงไปไว้ในบาดาล ข้าพเจ้าทั้งสองไม่ใช่ผู้ร้าย เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าถูกจับก็ต้องบอกตามจริงดังนี้ ขอพระองค์ได้โปรด พระเจ้าแผ่นดินทรงถามว่า ทำไมชื่อของตัวไม่บอกมาเล่า ปีศาจจึงทูลว่า ข้าพเจ้าชื่อโบนปอท้ำ คนโน้นชื่อเชียวปอท้ำ
พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งให้ขุนนางพาตัวปีศาจทั้งสองไปจำไว้แล้ว ก็โปรดปล่อยพระสงฆ์วัดกิมกวางยี่ให้พ้นโทษไปทุก ๆ องค์ แลรับสั่งให้ขุนนางจัดเครื่องโต๊ะมาถวายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม ยังที่ตำหนักกีเลนเป็นที่ขอบคุณที่จับผู้ร้ายได้ พวกขุนนางก็จัดเครื่องโต๊ะทั้งสองคาวและแจ ตั้งเป็นลำดับตามรับสั่งแล้ว ครั้นเสร็จการเลี้ยง พระเจ้าแผ่นดินจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามขึ้นยังตำหนักกีเลนประทับแล้ว ทรงถามพระถังซัมจั๋งว่าชื่อไรแซ่ใด พระถังซัมจั๋งทูลว่า อาตมภาพเมื่อยังเป็นฆราวาส แซ่ตั๊นชื่อเหี้ยนจึง พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานเป็นแซ่ถัง ชื่อซัมจั๋ง พระเจ้าแผ่นดินทรงถามสานุศิษย์ทั้งสาม
พระถังซัมจั๋งทูลนามและแซ่ทุกๆ คน ครั้งพระองค์ได้ทรงทราบแล้ว จึงรับสั่งให้มโหรีมาสำรอง เลี้ยงโต๊ะคราวนี้ตั้งแต่เวลาสามโมงเช้าจนเวลาห้าโมงจึงเลิก พระเจ้าแผ่นดินจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งเข้าไปในตำหนักเกี๊ยมเจียงข้างในฉันน้ำร้อนน้ำชา ครั้นอาจารย์กับศิษย์เข้าไปนั่งพร้อมแล้ว พระเจ้าแผ่นดินจึงยกถ้วยน้ำชามาถวายพระถังซัมจั๋งแล้วตรัสว่า ข้าพเจ้าขอท่านผู้ใดได้ยกพลทหารไปปราบจับซึ่งปีศาจร้ายนั้น พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า ต้องให้เห้งเจียไปจึงจะได้ เห้งเจียก็คำนับรับว่าจะไป พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งถามว่า ท่านจะเอาพลทหารไปมากน้อยสักเท่าใด
โป๊ยก่ายได้ฟังอดไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า จะต้องเอาพลทหารไปทำไม เวลากินก็อิ่มหนำแล้ว ข้าพเจ้าจะไปช่วยพี่เห้งเจียอีกคนหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่า ท่านทั้งสองไม่เอาพลทหารไป เครื่องมือจะพอใจอย่างไร โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วทูลว่า ข้าพเจ้าพี่น้องมีอาวุธติดตัวสำหรับมือทุกคน ไม่ต้องการอะไร พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานนำสุรามาสองแก้วใหญ่ จะได้ส่งท่านทั้งสองไป เห้งเจียจึงให้เอาปีศาจมา เพื่อให้มันนำทางไป แล้วเห้งเจียก็ร่ายคาถา พาปีศาจเหาะขึ้นบนอากาศพร้อมด้วยโป๊ยก่ายหมายทิศตะวันออกเฉียงใต้
เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินแลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย เห็นเห้งเจียโป๊ยก่ายเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ทราบว่าศิษย์และอาจารย์เป็นพระสงฆ์อันวิเศษจริง ต่างก็ยกมือเคารพทุก ๆ คน พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ปุถุชน มีแต่นัยน์ตาเนื้อไม่มีจักษุแก้ว ไม่รู้จักหมายว่าสานุศิษย์ใหญ่ของท่าน มีฝิมือเสมอจับปิศาจเท่านั้น หารู้ว่าท่านเป็นผู้วิเศษเหาะเหินเดินอากาศได้ไม่ จึงเคารพยกย่องว่าพระถังซัมจั๋งเป็นพระสงฆ์อันประเสริฐ ขุนนางและราษฎรทั้งเมืองก็พากันรื่นเริงทุกทั่วหน้า
(บทที่ ๖๓)
ฝ่ายเห้งเจียโป๊ยก่ายพาปีศาจนั้นเหาะมาถึงเขาล้วนเจี๊ยซัวบึงเพ็กปอท้ำก็หยุด เห้งเจียชักไม้ตะบองออกเสกเป่า ก็กลายเป็นดาบเล่มหนึ่ง แล้วเอาปีศาจทั้งสองเชือดปากจมูกผลักลงในบึง แล้วร้องสั่งว่า มึงทั้งสองจงรีบไปโดยเร็วบอกแก่นายมึง อ้ายบ้วนเซี้ยเล่งอ๋องว่า เราคือซีเทียนใต้เซีย ซึงเห้งเจียมารอคอยอยู่ยังปากบึง ให้เล่งอ๋องเอาของวิเศษที่พระเจดีย์ วัดกิมกวางยี่มาส่งให้ทันเดี๋ยวนี้ ก็จะยกโทษานุโทษให้แก่คณาญาติทั้งปวงปีศาจทั้งสองได้รอดชีวิตแล้ว แต่หลังยังติดเหล็กร้อยอยู่ ก็พากันดำน้ำลงไป ครั้นถึงวังเล่งอ๋องปีศาจทั้งสอง ก็ตรงเข้าไปบอกใต้อ๋องว่าเหตุภัยใหญ่มาถึงแล้ว
เวลานั้นเล่งอ๋องกำลังเสพสุราอยู่กับบุตรเก๊าเท้าฮู่เบ๊ ได้ฟังสองปีศาจมาบอกดังนั้น จึงถามว่าเหตุภัยอะไรที่ไหน ปีศาจทั้งสองบอกว่า เมื่อคืนวานนี้ข้าพเจ้าทั้งสองไปลาดตระเวน พบพระถังซัมจั๋งกับเห้งเจียขึ้นมากวาดพระเจดีย์ จับข้าพเจ้าได้แล้วเอาเหล็กร้อยผูกข้าพเจ้าไว้ทั้งสอง พอรุ่งเช้าก็นำเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แล้วโป๊ยก่ายกับเห้งเจียพาข้าพเจ้ามาถึงปากบึง เอามีดดาบเชื่อดปากเชือดเหนียง แล้วผลักข้าพเจ้าลงน้ำสั่งให้มาบอกใต้อ๋องว่า เธอรอคอยอยู่ที่ปากบึง จะทวงเอาของวิเศษที่ยอดพระเจดีย์ ให้ใต้อ๋องรีบนำไปให้โดยเร็ว จึงจะยกโทษให้ เล่งอ๋องได้ยินออกชื่อซีเทียนใต้เซีย ก็ตกตะลึงใจหายกายสั่นระรัว จึงพูดแก่บุตรเขยว่า ถ้าผู้อื่นมาทวงค่อยยังชั่ว นี่ตัวเห้งเจียมาเองเห็นจะลำบาก บุตรเขยหัวเราะแล้วพูดว่า บิดาจงวางใจเถิด ข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กมาเคยฝึกหัดฝีมือมวยชำนิชำนาญ เคยผจญแก่คนเก่งชนะมาหลายคราวแล้ว จะกลัวมันทำไมให้มันดูถูกได้ รอข้าพเจ้าจะไปรบแก่มันดูสักพักหนึ่ง มันก็จะมุดหัวมาขึ้นแก่เรา
เก๊าเท้าฮู่เบ๊พูดดังนั้นแล้ว ก็เอาเกราะมาสวมใส่แต่งตัวเสร็จแล้ว มือถืออาวุธเรียกว่า ง้วยโต รูปดังเดือนครึ่งซีกแต่มีคม ออกจากวังเล่งอ๋องแทรกน้ำขึ้นมาแล้ว ก็ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังสองสามคำว่า อ้ายคนไหนชื่อซีเทียนใต้เซียอยู่ที่ไหน จงรีบเอาชีวิตมามอบให้เราโดยเร็ว เห้งเจียยกตะบองขยับแล้วพูดว่า ท่านซึงเห้งเจียอยู่นี่ เก๊าเท้าปีศาจพูดว่า เราได้ยินว่าตัวเจ้าไปเป็นธุระรักษาการไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ก็อันของวิเศษนั้นเป็นของในเมืองเจ๊จ๊ายเราเอามาก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรถึงเจ้า เจ้าจับเอาคนของเราไปเชือดปากตัดเหนียง ยังไม่หนำใจองอาจมาท้าทายทวงถามถึงของวิเศษอีกเล่า เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงด่าว่า อ้ายชาติเดรัจฉานหัวขโมย มึงช่างไม่รู้จักการ อันที่จริงเจ้าเมืองเจ๊จ๊ายก๊กนั้นไม่มีบุญคุณอะไรแก่เราก็จริงอยู่ แต่มึงไปลักเอาของวิเศษบนยอดพระเจดีย์ของเธอมา ทำให้ความร้ายนั้นตกอยู่กับพระสงฆ์ในวัดกิมกวางยี่ ได้ต้องโทษทรมานทุกข์ๆ รูปดังนี้ พระสงฆ์ทั้งหลายนั้นย่อมเกึ่ยวข้องอยู่ในการศาสนาเกี่ยวกับเรา ทำไมเราจะไม่ต้องเป็นธุระเจ็บร้อนเล่า เพราะฉะนั้นจำเป็นให้ต้องออกกำลังช่วยชำระให้ได้ความเท็จจริง
เก๊าเท้าปีศาจพูดว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะต้องต่อสู้กัน โบราณท่านย่อมว่า ฝีมือไม่ชำนาญก็วิตกในเวลาเดียว จะทำเจ้าให้ถึงแก่ชีวิต กลัวจะผิดว่าเจ้าจะไปอาราธนาพระธรรม เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็โกรธด่าว่าอ้ายขโมย มึงจะมีฤทธิ์เดชสักเพียงใด จึงมาโอ้อวดอหังการอย่างนี้ พูดแล้วก็ยกอาวุธเข้าประหารฟาดเหวี่ยงกันไปมาที่ข้างเขาล้วนเจี๊ยซัวเสียงอึกทึกหวั่นไหว รบกันได้ประมาณสักสามสิบเพลงยังไม่แพ้ไม่ชนะกัน โป๊ยก่ายเห็นปีศาจกำลังรบชุลมุนอยู่กับเห้งเจีย ก็ย่องเข้าไปยกคราดเหล็กจะสับปีศาจ ๆ ก็เอาง้วยโตค้ำคราดของโป๊ยก่ายไว้ โดยเหตุที่ปีศาจมีตารอบตัวอาจเห็นได้ เพราะมีศรีษะถึงเก้าศรีษะ ปีศาจเก๊าเท้ามัวรับหน้ารับหลังอยู่ดังนี้เจ็ดแปดครั้ง
เห้งเจียโป้ยก่ายก็ระดมรุกรบเข้ามา ปีศาจต้านทานไม่ไหวก็ขยับตัวเหาะหนีขึ้นบนอากาศ แปลงเป็นรูปเดิมคือหนอนเก้าศรีษะตัวหนึ่งรูปร่างน่าเกลียด โป๊ยก่ายเห็นจึงพูดแก่เห้งเจียว่า สัตว์อะไรอย่างนี้เกิดมาไม่เคยเห็น หรือจะเป็นเลือดเนื้ออย่างไรมาแต่ต้นเดิม เห้งเจียพูดว่าสัตว์อย่างนี้พี่ก็ไม่เคยเห็น เราช่วยกันตีมันเสียให้ตายจึงจะได้ เห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศ เอาตะบองเข้าตีศรีษะสัตว์นั้น ๆ ก็ตลบปีกโผ ลงยอดเขาพันอยู่ โผล่ศรีษะออกมาอีกศรีษะหนึ่ง อ้าปากดุจบ่อโลหิตยื่นมาคาบเอาโป๊ยก่ายแล้วลากลงไปในบึงดำลงไปในบาดาล แล้วกลับแปลงกายเป็นอย่างเดิม เอาโป๊ยก่ายโยนลงกับพื้น แล้วร้องว่าพวกเล็ก ๆ จงเอาอ้ายคนนี้ไปขังไว้แล้วจงคอยระวังให้จงดี พวกเหล่านั้นก็มาจับฉุดลากโป๊ยก่ายไปขังข้างหลังระเบียง ฝ่ายบ้วนเซี้ยเล่งอ๋อง เห็นดังนั้นก็ดีใจ พูดว่าลูกมีความชอบมาก ทำอย่างไรจึงจับมาได้ เล่งอ๋องจึงให้ยกสุราแลของกินมาเลี้ยงเป็นที่รื่นเริง
ฝ่ายเห้งเจียเห็นปีศาจจับเอาโป๊ยก่ายไปได้ ก็เป็นทุกข์พูดว่า ปีศาจมันมีฤทธิ์ร้ายแรงมากดังนี้ เราจะกลับไปบอกให้อาจารย์ทราบก็เห็นว่าเจ้าแผ่นดินจะดูถูกเราได้ ครั้นจะท้าชวนรบก็วิตกว่า เราคนเดียวทั้งในน้ำก็ไม่สู้ถนัด จำเราจะแปลงกายลงไปดูก่อนคิดดังนั้นแล้ว ก็ร่ายคาถาแปลงกายเป็นรูปปูน้อยจมน้ำลงไป ลงไปถึงหน้าหอที่เคยลงไปลักกิมเจงของงู่ม่ออ๋องนั้น เห้งเจียก็คลานตรงมาที่เล่งอ๋องกำลังพร้อมวงศ์ญาติรื่นเริงเลี้ยงสุรากัน เห้งเจียเห็นแล้วไม่อาจคลานเข้าไป ก็คลานเลยเข้าไปหลังระเบียงข้างทิศตะวันออก มีกุ้งปูสี่ห้าตัวกำลังสัพยอกกัน เห้งเจียจึงแอบฟังครู่หนึ่ง แล้วจึงถามพวกเหล่านั้นว่า ท่านฮู่เบ๊จับอ้ายปากยาวมาได้นั้น เห็นจะตายแล้วหรือ พวกนั้นบอกว่ายังไม่ตาย ยังผูกอยู่ที่ระเบียงข้างทิศตะวันตกนั้นมิใช่หรือ
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ค่อย ๆ คลานข้ามไปยังระเบียงทิศตะวันตกแลไปก็เห็นโป๊ยก่ายต้องมัดอยู่กับเสาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ เห้งเจียเหลียวซ้ายแลขวาก็คลานเข้าใกล้ร้องเรียกว่าโป๊ยก่าย แล้วเอาก้ามหนีบเชือกร้องว่าหนีเถิด โป๊ยก่ายมือหลุดออกแล้วบอกว่าเครื่องมือของข้าพเจ้ายังไม่ได้ ด้วยปีศาจมันเอาไปเก็บไว้บนตำหนักแล้ว เห้งเจียว่าเจ้าออกไปคอยอยู่ที่หน้าหอก่อน พี่จะไปค้นคราดได้แล้วจึงจะกลับออกไป โป๊ยก่ายก็ค่อยๆ ออกไป เห้งเจียก็ค่อยๆ คลานขึ้นบนตำหนัก แลไปก็เห็นพิงอยู่ริมฝา เห้งเจียก็ร่ายคาถากำบังกายแอบเข้าไปฉวยคราดได้แล้วก็ออกมายังที่หน้าหอ เอาคราดส่งให้โป๊ยก่าย ๆ ได้คราดแล้วก็พูดว่าพี่ไปคอยข้าพเจ้าอยู่ที่ปากบึงก่อน ข้าพเจ้าจะตีขนาบเข้าไป ถ้ามีชัยชนะก็จะจับพวกบริวารมันทั้งสิ้นแม้ว่าทานกำลังมันไม่ไหว ก็จะถอยกลับออกไปพี่คอยข้าพเจ้าอยู่ที่ปากบึง เห้งเจียก็แทรกน้ำกลับขึ้นมาก่อน
ฝ่ายโป๊ยก่ายสองมือจับคราดหันกลับเข้าไป ปากก็ร้องด้วยเสียงอันดังเอาคราดฟันซ้ายฟันขวาไล่บุกรุกเข้าไป พวกบริวารใหญ่น้อยเหล่านั้นเห็นดังนั้นก็ตกใจพากันวิ่งหนีขึ้นบนตำหนัก ร้องว่าไม่ได้การแล้วอ้ายปากยาวมันดึงเชือกขาดเดี๋ยวนี้กลับตีขนาบบุกเข้ามาในนี้แล้ว เวลานั้นเล่งอ๋องกับบุตรเขยและพวกบริวารทั้งหลายไม่ทันรู้ตัว ก็วิ่งหนีซ่อนเร้นเอาตัวรอด โป๊ยก่ายก็ไล่รุกขึ้นมาบนตำหนัก เอาคราดไล่สับซ้ายสับขวา ไม่ว่าประตูหน้าต่างสิ่งของอะไรสับแตกกระจายหักพังไปทั้งสิ้น ฝ่ายเก๊าเท้าปีศาจก็พาเมียไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังนั้นแล้วฉวยง้าวง้วยโตออกมาร้องตวาดว่า อ้ายชาติหมูป่ามึงทะลึ่งเข้ามาจะค้นหาอะไร ทำให้ในบ้านเราตกเนื้อตกใจดังนี้
โป๊ยก่ายด่าว่าอ้ายสัตว์ขโมยมึงทำไมจึงเอากูมามัดทำไม อันการธุระของกูมีเพราะมึงเชิญกูมาตีบ้านมึง มึงจงรีบเอาของวิเศษส่งมาให้เรา ๆ จะได้นำไปถวายเจ้าแผ่นดินเมืองเจ๊จ๊ายก๊ก มิดังนั้นชีวิตพวกมึงก็จะไม่พ้นฝีมือกู เก๊าเท้าปีศาจได้ฟังดังนั้นก็โกรธ กัดฟันตรงเข้ามาเอาง้าวฟันโป๊ยก่าย
ฝ่ายเล่งอ๋องกับพวกบริวารแลวงศ์ญาติก็พากันถืออาวุธเข้าช่วยระดมตีโป๊ยก่าย ๆ เห็นจะเสียการ ก็เอาคราดสับร่นไปทีหนึ่งแล้วก็ถอยหนี เล่งอ๋องพาพวกรุกไล่มาบัดเดี๋ยวก็ขึ้นหลังน้ำ โป๊ยก่ายวิ่งหนีขึ้นบกเล่งอ๋องก็ไล่รุกมา ฝ่ายเห้งเจียยืนคอยอยู่ข้างตลิ่งแลไปในน้ำเห็นไล่โป๊ยก่ายมา เห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศเอาตะบองเหล็กพุ่งลงไปถูกศรีษะเล่งอ๋องแตกกระจายโลหิตไหลแดงไปทั้งบึง เล่งอ๋องก็ตายศพลอยอยู่ในน้ำ พวกลูกหลานเล่งอ๋องเห็นดังนั้นก็ตกใจ กลับหนีเอาตัวรอด เก๊าเท้าก็เก็บเอาศพเล่งอ๋องกลับลงไปในบาดาล เห้งเจียโป๊ยก่ายก็มิได้ไล่ตามไป นั่งพักอยู่ปากบึงกำลังตรึกตรอง ได้ยินเสียงลมพัดหวิว ๆ มาเมฆหมอกกลับมาข้างทิศตะวันออก ข้ามมาข้างทิศอาคเนย์
เห้งเจียพิเคราะห์ดูโดยละเอียด ก็เห็นยี่หนึงจีนกุนพาพวกเทพารักษ์ทั้งหกอยู่ที่เขาป๋วยซัวไปเที่ยวเล่น ท่านทั้งหกนั้นขี่นกที่ตัวก็มีเครื่องอาวุธทุก ๆ คน ล้วนแต่ธนูหน้าไม้สินศรทุก ๆ คน เห้งเจียพูดกับโป๊ยก่ายว่า นั่นคือจีนกุนพี่น้องทั้งเจ็ดมาถึงนี่ดีแล้ว จำเราจะเชิญเธอให้ช่วยเราจึงจะชอบ ด้วยครั้งนี้เป็นการลำบาก แต่พี่กระดากแก่จีนกุน เพราะเมื่อครั้งก่อนเธอเคยกำจัดเราครั้งหนึ่งแล้ว โป๊ยก่ายจงไปเชิญเธอให้หยุด แม้เธอหยุดแล้วพี่จึงจะไปหา โป๊ยก่ายก็เหาะขึ้นบนยอดเขาร้องเรียกว่า ท่านจีนกุนหยุดสักหน่อยเถิด ซีเทียนใต้เซียอยากจะพบท่าน จีนกุนได้ยินดังนั้นก็หยุดพร้อมกัน โป๊ยก่ายก็มาคำนับ
จีนกุนถามว่าซีเทียนใต้เซียอยู่ที่ไหน โป๊ยก่ายบอกว่าอยู่ข้างชายเขา จีนกุนจึงเรียกน้องทั้งหกพากันเดินลงไปข้างชายเขา ก็มาพบกับเห้งเจีย จีนกุนจึงมาจับมือเห้งเจียพูดว่า ท่านตั้งแต่พ้นจากภัยเข้ารักษาธรรมตามทางสัมมาปฏิบัติ ต่อไปจะได้ขึ้นนั่งแท่นบัวรับซึ่งพระบรมสุข ข้าพเจ้ามีความยินดีด้วยท่านเป็นอันมาก เห้งเจียย่อตัวพูดว่า ก็ยังไม่กำหนดได้ยังไม่รู้ว่าเมื่อใดจะสำเร็จ บัดนี้ข้ามมาถึงเมืองเจ๊จ๊ายก๊ก ของวิเศษในพระเจดีย์หายไป ก็ได้ทราบว่าอ้ายปีศาจนี้ลักเอามา แต่ความร้ายตกอยู่แก่สงฆ์ในวัดกิมกวางยี่ต้องโทษทรมานทุกข์ ข้าพเจ้าจึงได้มาทวงเอาของวิเศษก็พอมาพบท่านมาทางนี้ ข้าพเจ้าปราถนามาให้ท่านหยุดช่วยข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านจะมีความกรุณาหรือไม่
จีนกุนหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าเวลานี้ก็ว่างธุระพาพวกพี่น้องไปเที่ยวไล่โคถึกในป่าพงกลับมา ท่านใต้เซียปราถนาจะให้ข้าพเจ้าช่วย ข้าพเจ้าที่ไหนจะขัดท่านได้เล่า แต่ยังไม่ทราบว่าปีศาจตำบลนี้มีปีศาจอะไร พี่น้องทั้งหกพูดว่าพี่เห็นจะลืมแล้วหรือ ที่นี่เขาล้วนเจี๊ยซัวบึงเพ็กปอท้ำใต้นั้นบ้วนเซียเล่งอ๋องทำวังอยู่ จีนกุนพูดว่าบ้วนเซี้ยเล่งอ๋องนั้นเห็นจะไม่กล้าทำร้าย ทำไมจึงไปลักเอาของวิเศษในพระเจดีย์มาได้
เห้งเจียพูดว่า เธอคบหากับบุตรเขยเก๊าเท้าฮู่เบ๊ไปทำแผลงฤทธิ์ให้ฝนโลหิตตกแล้วจึงลักเอาของวิเศษมา เมื่อตะกี้นี้ข้าพเจ้าตีเล่งอ๋องตาย พวกนั้นเก็บเอาศพลงไปบาดาลแล้ว ข้าพเจ้าทั้งสองกำลังคิดกัน ก็พอเห็นท่านเหาะมาทางนี้ จึงได้หาขอให้ท่านช่วยดังนี้ จีนกุนว่าท่านก็ทำร้ายเล่งอ๋องตายแล้ว ควรจะเร่งตีขนาบเข้าไปอย่าให้ทันตั้งตัวได้ ก็จะกำจัดได้หมดทั้งวังจะได้เสร็จการ โป๊ยก่ายพูดว่าดังนั้นก็จริง แต่ขัดเวลาก็จวนค่ำจะทำการไม่ถนัด จีนกุนพูดว่าไม่เปนไร ข้าพเจ้ามีสุราและของกินมาพร้อม ว่าแล้วก็นำมาเลี้ยงกันพลางสนทนากันพลาง รอเวลาสว่างแล้วจึงค่อยเข้าต่อสู้ จีนกุนก็ให้คนใช้จัดแจงสุราและแกล้มเอามาตั้งแล้วจีนกุนก็เชิญเห้งเจีย โป๊ยก่าย พร้อมด้วยพี่น้องรับประทาน เวลานั้นกำลังเดือนดาวสว่างไสวรินสุรากินเล่นตามสบาย สนทนากันอยู่จนสว่าง โป๊ยก่ายในคืนวันนั้น เสพสุราหลายถ้วยออกมึนเมา เห็นแสงตะวันขึ้นแล้วจึงพูดว่า คอยข้าพเจ้าจะลงน้ำไปท้าชวนรบแก่มัน พูดแล้วก็ถอดกางเกงขึ้นเอาผ้าผูกรัดแน่นดีแล้ว มือถือคราดกระโจนลงน้ำแซกไป พอมาถึงหอหนาโป๊ยก่ายก็ร้องอึกทึกขึ้น มือถือคราดตีขนาบซ้ายขวาเข้าไป
เวลานั้นลูกชายเล่งอ๋องกำลังไว้ทุกข์ หลานกับบุตรเขยเล่งอ๋องกำลังจัดตั้งแต่งศพเล่งอ๋องโป๊ยก่ายไล่ทะลึ่งขึ้นบนตำหนัก เอาคราดตรงเข้าสับบุตรเล่งอ๋องคว่ำล้มลงตายคาที่ โป๊ยก่ายแกว่งคราดไล่สับขนาบเข้าไป พวกนาคใหญ่น้อยเห็นดังนั้นก็ตกใจวิ่งหนีไปข้างใน เมียเล่งอ๋องวิ่งพลางร้องไห้พลางพูดว่าอ้ายปากยาวมันมาฆ่าลูกข้าพเจ้าตายอีกแล้ว เก๊าเท้าปีศาจก็จับง้าวง้วยโต พาหลานเล่งอ๋องไล่ตีขนาบออกมา โป๊ยก่ายค่อยถอยล่อพลางรบพลางจนขึ้นมาพ้นน้ำ
ฝ่ายเห้งเจียกับจีนกุนพี่น้องทั้งเจ็ดคนนั่งคอยอยู่ที่ฝั่ง เห็นปีศาจไล่โป๊ยก่ายมา ก็ตรูกันมาเอาอาวุธขว้างลงไปก็ฟาดฟันเอาหลานเล่งอ๋องตัวขาดออกไปเป็นท่อน ๆ เก๊าเท้าปีศาจเห็นท่าจะไม่เป็นการก็แปลงเป็นรูปเดิมตัวหนอนมีปีกโผบินขึ้นร่อนเร่ จีนกุนเห็นดังนั้นก็เอาศรยิงไปถูกปีก ปีศาจก็โผ กลับลงมาคาบเอาจีนกุนที่บั้นเอ็ว แล้วยื่นศรีษะออกมาอีกศรีษะหนึ่ง สุนัขของจีนกุนกระโดดเข้ากัดกระชากลงมาโลหิตปีศาจไหลออกโทรม เก๊าเท้าปีศาจถูกเจ็บก็สลัดหลุดแล้วโผ หนีไปทางทิศอุดร โป๊ยก่ายจะไล่ตามไป เห้งเจียยึดห้ามไว้บอกว่ามันจนอยู่แล้วอย่าไล่มันไปเลย มันถูกสุนัขกัดศรีษะมันคงถึงแก่ความตาย ไว้พี่จะแปลงตัวเหมือนปีศาจเก๊าเท้า เจ้าแหวกน้ำตามลงไปบาดาลหาก๋งจู๊หลอกมันเอาของวิเศษมาให้ได้ก่อน
จีนกุนว่าถ้าไม่กำจัดมันเสีย ให้มันมีพืชพรรณต่อไป ภายหลังจะทำร้ายแก่มนุษย์ทั้งหลาย โป๊ยก่ายก็ทำตามเห้งเจียสั่งแหวกน้ำลงไป เห้งเจียก็แปลงกายเป็นปีศาจเก๊าเท้า เดินหน้าโป๊ยก่าย เห้งเจียเดินมาใกล้วังบ้วนเซี้ยเล่งอ๋อง แลไปก็เห็นนางก๋งจู๊ ๆ ถามว่าทำไมจึงกระหืดกระหอบวิ่งมาดังนี้ เห้งเจียบอกว่าอ้ายโป๊ยก่ายมันมีชัยชนะเราไล่ตามมาแล้ว เจ้าจงหยิบเอาของวิเศษมาให้เราจะได้เก็บซ่อนไว้
ฝ่ายนางก๋งจู๊ก็หารู้ว่าเห้งเจียไม่จึงเข้าไปในห้อง หยิบเอากลักของวิเศษมาส่งให้เห้งเจียแล้วบอกว่า นี่คือของวิเศษของพระพุทธเจ้า แล้วนางส่งให้มาอีกกลักหนึ่งแล้วบอกว่านี่คือของวิเศษเล่งกี่เช้า เห้งเจียรับของวิเศษนั้นแล้วก็เก็บซ่อนไว้ในตัว ให้โป๊ยก่ายแปลงกลับเป็นรูปเดิม นางก๋งจู๊ตกใจจะเข้าแย่งของวิเศษคืน โป๊ยก่ายกระโดดเข้ามาเอาคราดสับถูกที่บ่ากระชากล้มลงกับพื้น ยังแต่เมียเล่งอ๋องก็วิ่งหนีเอาตัวรอด โป๊ยก่ายไล่ตามจะเอาคราดสับ เห้งเจียห้ามว่าอย่าเพิ่งตีให้ตายก่อน จับเอาไปทั้งเป็นให้เจ้าแผ่นดินดู จะได้เห็นความจริงของพวกเรา
โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็จับตัวนางเล่งอ๋องพาขึ้นมาพ้นน้ำ เห้งเจียก็ตามหลังมามือถือกลักของวิเศษทั้งสองกลักขึ้นบนบกมาคำนับยี่หนึงจีนกุนพูดว่า ข้าพเจ้าพี่น้องพึ่งบุญท่านมาช่วยเป็นกำลังจึงได้ของวิเศษคืนมา แลกำจัดพวกปีศาจได้ราบคาบแล้ว จีนกุนกับพี่น้องทั้งหกพูดว่าบัดนี้ก็สำเร็จการแล้ว พวกข้าพเจ้าจะขอลาท่านไปก่อนแล้ว จีนกุนพี่น้องทั้งเจ็ดก็คำนับลาเห้งเจียพากันเหาะไปที่เดิม
ฝ่ายเห้งเจียก็นำของวิเศษสองสิ่งเหาะกลับไป โป๊ยก่ายก็พานางเล่งอ๋องเหาะตามไป บัดเดี๋ยวก็ถึงเมืองเจ๊จ๊ายก๊ก ฝ่ายหมู่สงฆ์อยู่ที่วัดกิมกวางยี่ ก็พากันออกมานอกกำแพงเมืองคอยรับเห้งเจีย โป๊ยก่าย พอแลเห็นเห้งเจีย โป๊ยก่าย มาถึงก็พากันคำนับรับเข้าเมือง ฝ่ายเจ้าเมืองเจ๊จ๊ายก๊กได้ทรงทราบก็ลงจากปราสาท มาพร้อมกับพระถังซัมจั๋งและซัวเจ๋งออกมารับอยู่หน้าพระลานมีพระทัยยินดียิ่งนัก เห้งเจียโป๊ยก่ายเข้ามาคำนับแล้ว พระองค์จึงรับสั่งให้พวกเครื่องจัดแจงจะสนองคุณพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม พระถังซัมจั๋งพูดว่าให้เห้งเจียนำของวิเศษเข้าพระเจดีย์แล้วจึงค่อยเลี้ยงดูกันจะเป็นการดี พระเจ้าแผ่นดินถามนางเล่งอ๋องว่าพูดภาษามนุษย์ได้หรือไม่ โป๊ยก่ายทูลว่านี่แลภรรยาของเล่งอ๋องทำไมจะพูดไม่ได้
พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าแม้พูดได้ ก็จงแสดงเหตุผลต้นปลายที่ลักของวิเศษในพระเจดีย์ไปนั้นเป็นประการใด นางเล่งอ๋องทูลว่าซึ่งลักของวิเศษในพระเจดีย์ไปนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบเป็นความสัตย์จริง คืออ้ายคนสามีข้าพเจ้ามันคบคิดกันกับบุตรเขย มันพากันมาทำเป็นฝนโลหิตตกเห็นได้ช่องก็ลักเอาไปไว้ในบาดาล พระเจ้าแผ่นดินถามว่าก็ที่เรียกว่าหญ้าเล่งกี่เช้านั้นเป็นสิ่งอะไร นางเล่งอ๋องทูลว่าอันของวิเศษสิ่งนั้นบุตรสาวของข้าพเจ้าขึ้นไปบนสวรรค์ห้องต้ายลาเทียน ลักเอาหญ้าวิเศษเก้ายอดของนางท้าวเจ้าแม่อ๋องโบ๊เนี่ยเนี้ย ได้พระธาตุที่พระเจดีย์กับของวิเศษสองสิ่งอบรมกัน ร้อยพันหมื่นปีก็ไม่ทำลายได้รัศมีสีแสงก็เจริญรุ่งเรืองขึ้น หากจะเอาหญ้านั้นกวาดลงกับพื้นทีหนึ่งรัศมีก็ฟุ้งขึ้นสายสว่างบัดนี้ของท่านก็คืนแล้ว สามีและบุตรสาวเขยก็ตายหมดแล้ว ขอท่านได้โปรดยกชีวิตข้าพเจ้าไว้เถิด
เห้งเจียพูดว่า การทั้งนี้มิใช่จะผิดทุกคนเมื่อไร แต่โทษของเจ้านั้นเราจะยกชีวิตไว้ให้ แต่จะให้เจ้ารักษาของวิเศษในพระเจดีย์ให้คงนานไปจะรับได้หรือไม่ นางเล่งอ๋องได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงพูดว่าแม้ท่านยกโทษให้ไว้ชีวิตแล้ว ก็ตามแต่ท่านจะใช้ เห้งเจียจึงได้เอาลวดเหล็กมาร้อยกะดูกสันหลังนางเล่งอ๋องแล้ว บอกให้ซัวเจ๋งเชิญพระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปยังวัด จะได้ทอดพระเนตรเห็นพวกเราเอาของวิเศษกลับเข้าบรรจุในพระเจดีย์
เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินก็รับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดราชรถ ก็พร้อมด้วยพระถังซัมจั๋งแลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงพากันไปยังวัดกิมกวางยี่ ฝ่ายเห้งเจียก็นำพระบรมสารีริกธาตุวิเศษขึ้นบรรจุ ในชั้นที่สิบสามยอดพระเจดีย์เสร็จแล้ว เห้งเจียก็ร่ายคาถาเรียกพระภูมิเจ้าที่และเทพารักษ์ที่รักษาในวัดนั้นมาพร้อมกันแล้ว จึงสั่งว่าท่านจงผลัดกันส่งสิ่งของกินให้นางเล่งอ๋องสามวันครั้งหนึ่ง แม้ว่าผิดเวลาจะปรับโทษถึงชีวิต พระภูมิเจ้าที่รับเทพารักษ์ทั้งหลายรับคำสั่งแล้ว ก็กลับไปยังสถานที่อยู่แห่งตน ๆ
เห้งเจียจึงเอาเล่งกี่เช้าหญ้าวิเศษ กวาดพระเจดีย์ทุก ๆ ชั้นแล้วปักใส่คณโฑวางอยู่ริมข้างพระบรมสารีริกธาตุ เพื่ออาศัยความอบรมให้คงทนอยู่สิ้นกาลนาน ครั้นเมื่อเห้งเจียบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว รัศมีสีแสงก็สว่างช่วงโชติออกปรากฎแก่มหาชน ครั้นบรรจุแล้วเห้งเจียก็ลงจากพระเจดีย์ เจ้าแผ่นดินจึงมาทำเคารพขอบคุณว่าหากท่านโพธิสัตว์ทั้งหลายมิได้มาถึงนี่ ที่ไหนเลยจะรู้แจ้งเหตุผลได้ดังนี้ เห้งเจียจึงพูดว่า ซึ่งชื่อวัดกิมกวางยี่นั้นไม่ดี เพราะเลื่อนลอยไม่คงทนยั่งยืน ข้าพเจ้าอุตสาหะจนสำเร็จ ขอได้เปลี่ยนนามวัดเรียกว่าวัดฮกเล่งยี่ ของวิเศษนั้นจะได้มั่นคงอยู่นาน ส่วนพระองค์ก็จะได้ทรงพระเจริญยิ่งอยู่นาน พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงยินดี จึงโปรดให้เปลี่ยนนามวัดเรียกว่า วัดฮกเล่งยี่ต่อมา ครั้นเสร็จแล้วก็พร้อมกันกลับยังพระราชวัง เสวยโต๊ะเลี้ยงดูกันเป็นที่รื่นเริง แล้วรับสั่งให้เจ้าพนักงานอาลักษณ์แต่งหนังสือเดินทาง มอบให้พระถังซัมจั๋งและให้นำเงินและของดีมาขอบคุณ ให้พระถังซัมจั๋งกับพวกศิษย์ เพื่อจะได้เป็นกำลังเดินทาง พระถังซัมจั๋งก็ไม่รับ มอบคืนกลับเข้าคลังไปตามเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น