
(บทที่ ๖๔)
ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง จึงลาพระเจ้าแผ่นดิน ๆ ก็จัดเสบียงข้าวตากข้าวตูให้เป็นเสบียงตามทาง แล้วพระเจ้าแผ่นดินกับขุนนางและชาวเมืองกับพระสงฆ์ในวัดนั้น ก็พร้อมกันตามส่งจนออกนอกพระนคร ส่วนพระสงฆ์ทั้งหลายนั้นตามส่งจนกระทั่งในป่า บางองค์ก็อยากจะไปปฏิบัติ และตามไปเล่าเรียนไม่คิดจะกลับ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงถอนขนใส่ปากเสกพ่นออกไปเป็นเสือโคร่งกว่าสามสิบตัว กระโจนมาสกัดหน้าพระสงฆ์เหล่านั้นไว้ ส่วนพระสงฆ์ทั้งหลายตกใจกลัว ก็พากันวิ่งหนีมิได้อาจตามไป เห้งเจียก็รีบจูงม้าเดินเข้าทางป่าใหญ่มาบัดเดี๋ยวก็ห่างไกล พระสงฆ์เหล่านั้นก็พากันร้องไห้กลับวัด เห้งเจียเห็นพ้นมาแล้วก็เรียกขนกลับเข้าตัว อาจารย์กับศิษย์ก็พากันเดินตัดทางไป เวลานั้นฤดูหนาวก็เปลี่ยนเป็นฤดูร้อน แลไปข้างหน้าเห็นมีภูเขายาวยืด แต่บนนั้นมีหนทางเดิน พระถังซัมจั๋งหยุดพิจารณาดู บนเขานั้นล้วนแต่หนามไม้พุ่มรกปกคลุมเถาวัลย์พันรุงรัง แม้จะมีช่องทางเดินก็ล้วนแต่หนามทั้งสิ้น
เห็นดังนั้นแล้วก็เรียกสานุศิษย์ถามว่า หนทางอย่างนื้เราจะไปอย่างไรได้ โป๊ยก่ายพูดว่า อาจารย์ไม่ต้องเป็นทุกข์ รอข้าพเจ้าเอาคราดเหล็กสับฟาดให้ราบลงแล้ว อย่าว่าแต่จะขี่ม้าจะหามเกี้ยวไปด้วยก็ได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าโป๊ยก่ายมีกำลังมากก็จริง แต่ไม่รู้ว่าจะไปทางนั้นใกล้ไกลสักเท่าใด
เห้งเจียว่า ไว้ธุระข้าพเจ้าจะตรวจดูก่อน เห้งเจียก็เหาะขึ้นกลางอากาศพิจารณาดู เห็นเป็นหนามรกปกคลุมยืดยาวแลสุดตาก็ไม่สิ้นระยะ เห้งเจียก็กลับลงมาบอกพระอาจารย์ว่า หนทางนี้ไกลเหลือคะเนสักพันโยชน์ได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ พูดว่าถ้าดังนั้นทำฉันใดเล่าจึงจะไปได้ โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า แม้อยากจะไปก็ต้องตามข้าพเจ้าไป โป๊ยก่ายแปลงกายสูงขึ้นยี่สิบวาแล้วจับคราดแกว่งทีหนึ่งร้องให้แปลงคราดก็ยาวออกอีกสามสิบวา โป๊ยก่ายก็เดินมาต้นทางสับซ้ายฟาดขวาพักหนึ่งเถาวัลย์พุ่มหนามก็ราบเป็นจุณไปทั้งสิ้นหนทางเตียนโล่ง จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งให้เดินตามมา ซัวเจ๋งก็หาบเดินตามเห้งเจ้ยก็เอาตะบองคอยเขี่ยแหวกทางไป โป๊ยก่ายคอยฟาดคอยสับ
เดินมาวันหนึ่งมิได้หยุดมือ ประมาณทางได้ร้อยสิบโยชน์เวลาจวนค่ำ แลไปข้างหน้าเห็นมีช่องเป็นลานเปล่า มีหลักศิลาตั้งอยู่ เดินเข้าไปใกล้เห็นมีอักษรใหญ่สามตัวว่า (กิมกี่เนี้ย) คือเข้าภูเขาหนามรก ข้างล่างมีอักษรเล็ก สิบสี่ตัวคำต้นว่า กินกิพ่องพันโป๊ยแป๊ะลี้ แปลว่าหนามรกปกคลุมแปดร้อยโยชน์ คำสองว่าโก๋ไล้อู๋โล่โบ๊หนั่งเกี้ย แปลว่าแต่เดิมมีหนทางไม่มีคนเดิน
โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าจะเติมต่ออีกสองคำว่า หมอกกินโป๊ยก่ายเน่งกายผั่ว เต๊กเถ่าไซฮึงโล่จิ๋นเพ้ง แปลว่าบัดนี้โป๊ยก่ายเปิดทางได้ทะลุถึงไซทีทางก็เรียบ พระถังซัมจั๋งยินดีลงจากม้าพูดว่าสานุศิษย์เหน็ดเหนื่อยมาก จงหยุดพักที่แห่งนี้สักคืนหนึ่ง พอรุ่งแจ้งเราจึงค่อยออกเดินจะไม่ดีหรือ โป๊ยก่ายพูดว่า อาจารย์อย่าหยุดเลย เวลานี้ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ควรจะไปได้ ข้าพเจ้าจะเปิดช่องให้เดินได้ตามสบาย พระถังซัมจั๋งก็ตามใจโป๊ยก่ายจับคราดขึ้นหน้าค่อยฟาดค่อยแหวกไปก็พากันเดินไปมิได้หยุด
มาได้อีกวันกับคืนหนึ่ง เวลานั้นก็จวนค่ำแลไปข้างหน้าเถาวัลย์ก็รกเรี้ยวหนามรุงรัง แลได้ยินเสียงลมพัด ไม้ไผ่สนถูเป็นเพลงฟังเพราะดี แลเห็นที่ว่างตอนหนึ่ง ที่นั้นมีศาลเจ้าศาลหนึ่ง ที่หน้าศาลมีพฤกษาต่าง ๆ กิ่งก้านสาขาปกคลุมร่มรื่นเย็นดี พระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้านั่งพักสักประเดี๋ยว เห้งเจียจึงพูดว่าที่ตรงนี้นั่งนานนักไม่ได้ พิเคราะห์ดูวิธีร้ายมากกว่าดี พูดพอจะหยุดคำลง ก็ได้ยินสายลมในศาลนั้นพัดฉิวมา แลไปที่ศาลเห็นตาเฒ่าคนหนึ่งมือถือไม้เท้าเดินออกมาจากศาล มีคนเดินตามหลังตาเฒ่ามาอีกคนหนึ่งหน้าเขียวมีเขี้ยวออกจากปาก ผมเผ้ารุงรังบนศรีษะทูนถาดขนมเดินตามตาเฒ่าออกมา ตาเฒ่านั้น เข้ามาใกล้ก็คุกเข่าลงคำนับพูดว่า ข้าพเจ้าคือภูมิเจ้าที่อยู่บนเขานี้ ทราบว่าท่านใต้เซียมาถึงนี่ ไม่มีอะไรจะคำนับท่าน มีแต่ขนมถาดหนึ่งมาเคารพท่าน ให้ท่านอาจารย์กับท่านทั้งสามกินสักอิ่มหนึ่งพอแก้หิว หนทางนี้ไกลถึงแปดร้อยโยชน์ ไม่มีผู้คนเชิญท่านรับประทานเถิดแก้หิว
โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็มีความยินดีจะเข้าไปหยิบกิน เห้งเจียพิเคราะห์ดูโดยละเอียดก็รู้แน่ จึงร้องตวาดโป๊ยก่ายว่าให้หยุดก่อน เห้งเจียยกตะบองขึ้นถามตาเฒ่าว่าเรามิใช่คนพาล ตัวเป็นพระภูมิเจ้าที่ไฉนมาทำหลอกลวงเราดังนี้ เห้งเจียเงื้อตะบองจะตี ตาเฒ่าเห็นดังนั้น ก็กลายเป็นสายลมพายุหอบเอาพระถังซัมจั๋งไป สานุศิษย์ทั้งสามก็พากันตกใจไม่รู้ว่าอาจารย์หายไปทางไหนก็พากันเที่ยวแยกค้นหา
ฝ่ายตาเฒ่ากับปีศาจนั้นก็ช่วยกันพยุงพระถังซัมจั๋งเหาะไป ครั้นถึงกุฎิศิลาก็ลอยลงยังพื้น ค่อย ๆ วางพระถังซัมจั๋งลงแล้ว จับมือพระถังซัมจั๋งพูดว่า ข้าพเจ้ามิใช่คนร้ายกาจอะไรดอกท่านอย่าวิตก ข้าพเจ้าคือจับโป๊ยกงอยู่บนเขานี้ เห็นเดือนสว่างลมพัดดี จึงเชิญท่านอาจารย์มาสวดสาธยาย พอแก้ความรำคาญเท่านั้น พระถังซัมจั๋งแลดูเดือนเห็นแจ่มแจ้งไสวสว่าง และได้ยินเสียงคนพูดว่า วันนี้ท่านจับโป๊ยกงไปเชิญท่านอาจารย์มาหรือ พระถังซัมจั๋งแลไปก็เห็นตาเฒ่าสามคน รูปร่างนุ่งห่มแปลก ๆ กัน เฒ่าทั้งสามเดินมาคำนับพระถังซัมจั๋ง ๆ ก็ทำเคารพตอบแล้วพูดว่าอาตมาไม่มีบุญอภินิหารอะไร ลำบากแก่ท่านทั้งหลายต้องมาคำนับ
เฒ่าจับโป๊ยกงพูดว่าข้าพเจ้าทราบว่าท่านอาจารย์ ลุซึ่งมรรคผลเป็นผู้วิเศษ ข้าพเจ้าก็ตั้งใจคอยอยู่นานแล้ว วันนี้มาประสบพบกับท่านก็เป็นบุญอันใหญ่ หากท่านไม่ปิดบังธรรมอันวิเศษขอท่านได้สาธยายให้สำราญเถิด พระถังซัมจั๋งย่อตัวลงปรายศรัยถามว่านามของท่านที่หนึ่งนั้นชื่อใด จับโป๊ยกงตอบว่า ท่านที่หนึ่งชื่อว่าโกเต๊กกง ที่สองลินกงจื๊อ ที่สามชื่อว่าฮุดหุ้นโซ้ ข้าพเจ้าชื่อกิ๊นเจี๊ยด พระถังซัมจั๋งถามอีกว่าท่านทั้งสี่อายุสักเท่าใดแล้ว
โกเต็กกงตอบว่า ข้าพเจ้าอายุได้พันเศษแล้ว ตั้งแต่เล็กมาก็ชอบรักษาปฏิบัติตามทางบวชเรียนมิใช่คนธรรมดา ลินกงจื๊อบอกข้าพเจ้าอายุก็ได้พันปีแล้ว ข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กมาก็ชอบทางบวชเรียนทางระงับสุขตามฝ่ายเซียนไม่เหมือนธรรมดา ฮุดหุ้นโซ้ก็บอกว่า ข้าพเจ้าอายุก็ถึงพันปีเศษแล้ว ชอบแต่ทางความระงับปฏิบัติตามอย่างเซียนไม่ชอบอยู่ปนด้วยหมู่คณะที่วุ่นวาย กิ๊นเจียดจับโป๊ยกงหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าอายุก็พันเศษชอบรักษาตามฝ่ายเซียนระงับสุขเป็นที่อยู่แห่งใจ
พระถังซัมจั๋งได้ฟังเฒ่าทั้งสี่พูดดังนั้นก็สรรเสริญว่าท่านทั้งสี่อายุก็สูงและได้รักษาความบริสุทธิ์ดังนี้ก็เป็นความดีอยู่แล้ว
เฒ่าเซียนทั้งสี่จึงถามพระถังซัมจั๋งว่าท่านอาจารย์อายุได้เท่าใดแล้ว พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมาอายุพึ่งได้สี่สิบเท่านั้น ได้พึ่งท่านอาจารย์วัดกิมซัวยี่สั่งสอนตามพระพุทธศาสนาได้อุตสาห์เล่าเรียน มาบัดนี้ได้รับ ๆ สั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปไซที จึงได้มาพบท่านทั้งสี่มีความเอ็นดูอาตมามาก ๆ เซียนเฒ่าทั้งสี่จึงมีความสรรเสริญว่า ท่านอาจารย์เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์แท้ตั้งแต่เล็กบวชเรียนรู้พระธรรมลึกซึ้ง ท่านเป็นพระสงฆ์วิเศษกว่าพระสงฆ์ทั้งหลาย พวกข้าพเจ้าได้รับท่านมาถึงนี่ ขอท่านได้แนะนำวิปัสนาธรรมคำหนึ่งสองคำ พวกข้าพเจ้าจะได้เข้าใจบ้างจะได้ไม่เสียทีที่เกิดมา พระถังซัมจั๋งได้ฟังเฒ่าทั้งสี่พูดดังนั้นก็มีความยินดีตอบว่าอันวิปัสนาธรรมนั้น คือความเห็นวิเศษเกิดขึ้นในดวงจิต คือปัญญาจักษุเดิมก็เพ่งบริกรรมดูรูปนามว่าเป็นของไม่เที่ยงเป็นกองทุกข์มิใช่ตัวตนคนสัตว์ จนแจ่มใสจิตอันสัปปะยุทธด้วยสังขารุเบกขาญาณ ก็บังเกิดขึ้นกระทำให้กิเลสเครื่องเศร้าหมองเสื่อมถอยออกไปจากจิต เป็นตะทังคะปะหานและวิกขัมภนะปะหานได้ เพียงโหกิยะวิปัสนาปัญญา
ต่อไปจิตที่สัปปะยุทธด้วยสังขารุเบกขาญาณนั้น ลงสู่ภวังค์จึงมโนทวาราวิถี ซึ่งเป็นกิริยาเกิดขึ้นแล่นไป อีกเจ็ดขณะ ๆ ที่ต้นเป็นอุปจาร ขณะที่สองเป็นอนุโลม ขณะที่สามเป็นโคตรภูญาณ ขณะที่สี่ที่ห้าเป็นวาระแห่งมรรค ขณะที่หกที่เจ็ดเป็นวาระแห่งผล นี่แลเรียกว่าหนทางวิสุทธิมรรคตามในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ผู้ใดเจริญภาวนากระทำให้พระวิปัสนาญาณบังเกิดได้ ตั้งแต่เบื้องต้นคือสัมมะสะนะญาณ จนที่สุดมรรคจิตมรรคญาณ ก็ได้บรรลุมรรคผลตามกุศลภาวนาแห่งตนอย่างสูงอย่างกลางอย่างต่ำ ความตรัสรู้ไม่ขาดไม่เหลือรอบคอบก็ปลดเปลื้องเสียซึ่งกิเลสและธุลีลามก คงแต่ธรรมอันปราศจากเครื่องปรุง เซียนเฒ่าทั้งสี่คอยเงี่ยหูตั้งใจสดับความยินดีเป็นที่ยิ่ง ทุกคนก็พากันพนมมือเคารพสรรเสริญว่าท่านอาจารย์ มีความรู้สำเร็จได้ทางวิปัสนาลุถึงรากเหง้าแห่งธรรมหาที่เปรียบมิได้
เซียนเฒ่าฮุดหุ้นโซ้พูดว่า สมาธิที่ระงับธรรมที่อาศัย ถึงที่ไม่เกิดไม่ดับเป็นมรรคผล แต่หนทางของพวกข้าพเจ้าไม่เป็นเช่นนั้น พระถังซัมจั๋งพูดว่า แม้ทางไม่อย่างเดียวกันก็จริง แต่รวมภาคย์นั้นลงอันหนึ่ง เป็นอย่างไรจึงไม่เหมือนกันเล่า เฒ่าเซียนฮุดหุ้นโซ้พูดว่า พวกข้าพเจ้าเกิดมารูปภาคย์มั่นคงความประสงค์นั้น กับท่านอาจารย์ไม่เหมือนกันเรียกว่าคนละทาง เพราะต้องอากาศธาตุนิยมแห่งฟ้าดินเป็นกำลัง ร่างกายอาศัยความอบรมด้วยน้ำฝนเจือจุนแอบอิงด้วยลมน้ำค้างใบหนึ่งก็ไม่ร่วง พันกิ่งก็มั่นคง ซึ่งคำกล่าวเหล่านี้เป็นความจริง อันท่านอาจารย์คือมั่นในภาษามคธเป็นที่แน่ใจ ยังกลับไปไซทีหาพระปริยัติธรรมเป็นพยานแน่อย่างนี้ ก็ป่วยการเสียเวลา ไม่ทราบว่าจะค้นหาอะไร ที่ว่าผ่าควักเอาหัวใจราชสีห์ศิลา ลืมไม่รู้สึกว่าสมาธิ หลงปราถนามรรคผลซึ่งคำเหล่านี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายอยู่ในเขานี้ ความสนทนาด้วยเถาวัลย์พุ่มรกอย่างนี้ เป็นที่คนกุนจื้อ อยู่สำราญอย่างนี้ จะต้องหาใครมาแนะนำสั่งสอน ต้องพิจารณาดูโดยละเอียดก็จะได้เห็นความสุขในปัจจุบันนี้จะมิดีหรือ ต่อไปเมื่อหน้าก็จะได้พบพระศรีอาริยเมตไตรย์ลงมาตรัสจะมิดีหรือ
พระถังซัมจั๋งได้ฟังเฒ่าเซียนฮุดหุ้นโซ้พูดดังนั้น ก็คุกเข่าเคารพขอบใจเซียนเฒ่าโป๊ยกงก็ลงจากที่พยุงพระถังซัมจั๋งขึ้น เฒ่าเซียนลินฮือจื้อก็พูดว่า ท่านฮุดหุ้นโซ้อธิบายคำนั้นชัดเจนนัก ขอท่านอาจารย์อย่าถือผิด นิมนต์ลุกขึ้นเถิด เห็นเดือนสว่างจะทำคำศัพท์กลอนมิได้คิดว่าจะสาธยายซึ่งข้อปฏิบัติบวชเรียน เฒ่าเซียนฮุดหุ้นโซ้ชี้มือไปข้างปรกศิลาแล้วพูดว่า หากจะเล่นคำต่อกลอนกัน ก็ต้องไปที่ปรกศิลานั้น ฉันน้ำชาท่านเห็นควรหรือ พระถังซัมจั๋งเฒ่าเซียนทั้งสี่ก็พากันไปที่ปรกศิลา ต่างนั่งที่ตามสมควรแล้ว เห็นปีศาจหน้าเขียวนั้นยกน้ำชามาตั้งเรียงบนโต๊ะแล้ว เฒ่าเซียนทั้งสี่ก็นิมนต์พระถังซัมจั๋งฉัน พระถังซัมจั๋งสงสัยไม่อาจฉัน เฒ่าเซียนก็ยกถ้วยขึ้นกินก่อน พระถังซัมจั๋งจึงได้ฉัน ครั้นเสร็จแล้วพระถังซัมจั๋งพิเคราะห์ดูบนปรก ที่ประตูมีหนังสือสามตัวว่า (ปั๊กเซียนจัม) คือปรกฤาษีไม้ แลไปข้างในมีที่บูชาสว่างไสวดุจพระจันทร์ส่องแสงมีกลิ่นหอมระรื่น รอบนอกในมีชัยภูมิสำราญสอาดบริสุทธิ์
พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็นึกยินดีอดไม่ได้ กล่าวเป็นกลอนขึ้นคำหนึ่งว่า (เสียนซิมจ่อง้วยดังฮ่วนลั้ง) แปลว่า จิตสมาธิดุจพระจันทร์อยู่ที่ว่างกลับสว่าง เฒ่าเซียนจับโป๊ยกงต่อว่า (ซีเฮ้งยู่เทียนเชงกันซิน ) แปลว่า โคลงขึ้นดุจฟ้าใสกลับใหม่ โตเต๊กกงต่อว่า (ฮ้อกู่มั่นไจ๊เทียมกิมซิ้ว) แปลว่าคำดีดุจร้อยปักโหมดตาด ลินกงจื๊อต่อว่า (กายบุ๋นปุกเตี๋ยมสุยซี้เตียน) แปลว่า หนังสือทุกแต้มดังมณีรัตน์ พระถังซัมจั๋งฟังเฒ่าเซียนต่อกล่าวดังนั้นจึงพูดว่า อาตมาพลั้งปากพูดขึ้นคำหนึ่ง ทำให้ท่านทั้งหลายพลอยลำบากไปด้วย อาตมาได้ฟังคำกลอนของท่านทั้งหลายใสสอาดเป็นครูได้ทุก ๆ คำ
จับโป๊ยกงพูดว่า ท่านอาจารย์ออกคำเดียวไม่ต่อ พวกข้าพเจ้าต้องอุตส่าห์ต่อกลอนให้ประกอบกัน พระถังซัมจั๋งพูดว่า คำของท่านทั้งหลายไม่ตกหล่นไพเราะเพราะดีทุก ๆ คำ ข้าพเจ้ามีความระลึกไว้เป็นอย่างยิ่ง แต่เวลานี้ดึกดื่นไม่ทราบว่าสานุศิษย์จะอยู่แห่งใด อาตมาขอลาไปตามสานุศิษย์ก่อน ขอท่านทั้งสี่โปรดชี้ทางให้อาตมาด้วยเถิด เฒ่าเซียนทั้งสี่หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์อย่าเป็นทุกข์ พวกข้าพเจ้าพันปีจึงได้พบ เวลานี้แสงเดือนก็สว่างดุจกลางวัน นิมนต์ท่านอาจารย์นั่งพักสนทนาก่อน รอสว่างแล้วพวกข้าพเจ้าจะส่งไปให้ถึงที่ได้พบกันกับศิษย์ทั้งสาม
เวลาเมื่อพูดกันอยู่นั้น แลเห็นนางสาวสองคนถือโคมไฟนำหน้า ข้างหลังมีนางเซียนสาวน้อยเดินตามมาตรงเข้ามาในปรก นางเซียนน้อยเดินเข้ามาใกล้ เฒ่าเซียนทั้งสี่ก็ปราศรัยถามว่า นางเซียนหนึงไปไหนมาหรือ นางเซียนน้อยตอบว่า ข้าพเจ้าได้ทราบว่ามีแขกดีมาถึงนี่ จะใคร่มาถามดูและอยากจะพบด้วย เฒ่าเซียนจับโป๊ยกง ชี้พระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่านี่แลแขกดีจะต้องไปหาที่ไหน พระถังซัมจั๋งสำรวมกิริยาหาได้พูดจาว่ากล่าวประการใดไม่ นางเซียนก็เรียกให้ยกน้ำชามา
นางสาวใช้ก็เอาป้านรินน้ำชาใส่ถ้วย รสชาฟุ้งขึ้นกลิ่นหอมระรื่น นางเซียนหนึงก็ยกมาถวายพระถังซัมจั๋งหนึ่งถ้วย ยังสี่ถ้วยก็ยกมาให้เฒ่าเซียนคนละถ้วย นางเซียนก็นั่งสนทนาปราสัยพูดว่า เวลานี้เดือนกำลังสว่างท้องฟ้ากำลังเย็นใสดี ขอท่านตาสั่งสอนข้าพเจ้าสักคำสองคำพอเป็นคติสุภาษิตแก้รำคาญ
เฒ่าเซียนฮุดหุ้นโซ้พูดว่า พวกข้าพเจ้าถ้อยคำยังแพร่งพราย ท่านอาจารย์นั้นเรียนรู้มากสมควรจะแสดงชี้แจงให้ได้ เฒ่าทั้งสี่จึงอธิบายคำกลอนและสาธยายในทางธรรม ข้อวัตรปฏิบัติขอพระถังซัมจั๋งให้นางเซียนหนึงฟังทุกประการ นางเซียนหนึงครั้นได้ฟังข้อความของพระถังซัมจั๋งก็มีความเลื่อมใสศรัทธาชื่นชมยินดียิ่งนัก จึงพูดแก่เฒ่าทั้งสี่ว่า ข้าพเจ้ามิได้มาต่อกลอนบ้าง แม้ถึงดังนั้นก็จะมิให้เสียคำ จะขอต่อสักกลอนหนึ่งว่าแล้ว นางจึงกล่าวเป็นกลอนว่า ชื่องามนามเพราะเหมาะใจชน เอมโอฐโอชาหลงลืมตน เฒ่าทั้งสี่สรรเสริญว่ากลอนนางเซียนหนึงพูดว่า ข้าพเจ้ายังเกรงอยู่ด้วยได้ยินท่านอาจารย์กลอนนั้นเพราะนัก อยากให้ท่านต่อสักกลอนหนึ่งจะได้หรือไม่ พระถังซัมจั๋งนั่งนิ่งมิได้โต้ตอบประการใด
ฝ่ายนางเซียนยิ่งพิศไปมาก็มีความยินดีรักใคร่ จึงขยับเข้านั่งใกล้พระถังซัมจั๋ง แล้วพูดอ้อนวอนกระซิบกระทราบว่า เวลานี้เดือนกำลังสว่างต่อกลอนเล่นให้สนุกจะคอยเมื่อไรเล่า คนเราเกิดมาจะให้สดใสได้เท่าใด จับโป๊ยกงพูดว่า นางเซียนหนึงมีความอ่อนน้อม ท่านอาจารย์ควรจะรับรองแล้ว หากจะไม่เอ็นดูคือไม่รู้จักท่วงที โกเต็กกงพูดว่าท่านอาจารย์ชื่อเสียงปรากฎ เห็นจะไม่เป็นไปได้เช่นนั้น หากเป็นการจริงว่านางเซียนมีจิตรักใคร่เช่นนั้น ก็ให้ท่านฮุดหุ้นโซ้กับจับโป๊ยกงเป็นเถ้าแก่ ข้าพเจ้ากลับลินกงจื๊อเป็นฝ่ายหญิงจะได้แต่งการวิวาหะมิดีหรือ
พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เผือดผุดลุกจากที่เดินมาร้องเสียงดังว่า พวกท่านนี้เป็นพวกเดียวกันแก่มารร้าย เอาเหตุอย่างนี้มาชักชวนเราเป็นการอันไม่สมควร เมื่อแรกแสดงการโต้ตอบทางมรรคทางผลก็ควรแก่การแล้ว บัดนี้เอาหญิงรูปงามมาล่อลวงจะฆ่าเราดังนี้จะเห็นสมควรแล้วหรือ เฒ่าเซียนทั้งสี่คนเห็นพระถังซัมจั๋งไม่พอใจมีความขัดเคืองดังนั้นก็ไม่อาจพูดต่อไป ฝ่ายอ้ายปีศาจหน้าเขียวได้ฟังดังนั้น ก็ขยับเขี้ยวเคี้ยวกรามทะลึ่งตึงตังพูดดุจเสียงฟ้าลั่นว่า สงฆ์องค์นี้ทำไมไม่รู้ดีร้ายหนักเบา อันความดีของหญิงนี้ไม่ต้องพูดก็รู้ได้ว่าคนดีละเอียดละออ แต่เพียงวิชาทำกลอนเท่านั้นก็รู้ได้ว่าเป็นคนฉลาดแล้ว เขาจะยอมตัวให้เหตุไรจึงไม่มีความปราศรัยเล่าอย่าทำให้ล่วงเกินการไป คำของท่านโกเต็กกงนั้นก็ควรแล้ว หรือไม่พอใจข้าพเจ้าจะช่วยเป็นธุระแต่งให้
พระถังซัมจั๋งได้ยินอ้ายหน้าเขียวพูดดังนั้น ตกใจหน้าซีดลงทันทีก็นั่งนิ่งอยู่ ปีศาจหน้าเขียวพูดว่าพวกข้าพเจ้าเอาตัวมาจะไม่ให้เป็นเพศสงฆ์ต่อไปอีก หากว่าไม่รับแต่งในการนี้จะมิเสียชาติที่เกิดมาหรือ พระถังซัมจั๋งนิ่งตรึกตรองอยู่ ไม่รู้ว่าสานุศิษย์ทั้งสามจะไปเที่ยวตามหาแห่งใด คิดขึ้นมาแล้วก็กลั้นน้ำตาไว้มิได้ไหลออกมาโทรมหน้า นางเซียนหนึงเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วแอบเข้านั่งใกล้เล้าโลม ชักผ้าเช็ดหน้าส่งให้พระถังซัมจั๋ง แล้วพูดว่าท่านแห่งที่รักอย่าโทมนัสเสียใจเลย จงเอาผ้าเช็ดน้ำตาเสียเถิด พระถังซัมจั๋งตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วลุกจะหนีออกจากปรก พวกเหล่านั้นก็ช่วยกันสกัดกั้นไว้จนเวลารุ่งแจ้ง ก็พอได้ยินเสียงร้องเรียกว่าพระอาจารย์สนทนาอยู่ในนั้นหรือ อันที่จริงเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งหาบคอนจูงม้าไปเที่ยวค้นหาทั้งคืน มิได้หยุดพักหลับนอนเลย เดินตลอดออกมาจากที่ทางพุ่มหนามรก ประมาณได้แปดร้อยโยชน์ เมื่อได้ยินเสียงอาจารย์ตวาดก็จำได้จึงพร้อมกันโห่ขึ้น พระถังซัมจั๋งก็ออกประตูร้องเรียกว่าเห้งเจียอาตมาอยู่นี่ จงมาช่วยเราโดยเร็ว
ฝ่ายพวกปีศาจนางไม้หญิงชายเหล่านั้นก็ตกใจ ก็อันตรธานสูญหายไปทั้งสิ้น เห้งเจียมาถึงก่อนโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็ตามกันมาถึงถามว่าทำไมพระอาจารย์จึงมาถึงที่ตรงนี้ได้ พระถังซัมจั๋งก็เล่าความตามที่เป็นมาตั้งแต่ต้นจนปลายให้สานุศิษย์ฟังทุกประการ เห้งเจียถามว่าพระอาจารย์สนทนาแก่พวกเหล่านั้น ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามมันหรือไม่ พระถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมาได้ถามนามชื่อของตาเฒ่านั้นบอกว่าชื่อจับโป๊ยกง คนที่สองชื่อว่าโกเต็กกง คนที่สามชื่อว่าลินกงจื๊อ คนที่สี่ชื่อฮุดหุ้นโซ้ นางผู้หญิงนั้นชื่อว่าเซียนหนึง โป๊ยก่ายถามว่า พวกเหล่านี้มันอยู่ที่ไหน บัดนี้มันไปข้างไหน พระถังซัมจั๋งบอกว่า มันจะไปข้างไหนก็หารู้มันได้ไม่ แต่ที่นั่งพูดกันนั้นก็จะไม่ไกลนัก สานุศิษย์ทั้งสามก็เที่ยวเดินตรวจดูเห็นมีปรกศิลาอยู่ ข้างบนจารึกอักษรใหญ่สามตัวว่า หมอกเซียนอัน
พระถังซัมจั๋งบอกว่าที่ปรกนั้นแล เห้งเจียจึงพิจารณาดูโดยละเอียด ก็เห็นมีต้นพฤกษาใหญ่ไม้ไผ่แก่ก่อหนึ่ง ข้างหลังนั้นมีต้นเขี้ยมอยู่ต้นหนึ่ง แลต้นตะเคียนสาระภีสองต้นๆ อบเชยสองต้น เห้งเจียพิจารณาดูเห็นแน่ใจแล้วก็หัวเราะ ถามว่าพี่น้องเห็นพวกปีศาจหรือยัง โป๊ยก่ายบอกว่ายังไม่เห็นที่ไหน เห้งเจียว่าน้องยังไม่รู้ คือหมู่ไม้ใหญ่เหล่านี้เองเป็นปิศาจ โป๊ยก่ายถามว่าทำไมพี่จึงรู้ได้ว่า ต้นไม้ใหญ่เหล่านี้เป็นปีศาจเล่า เห้งเจียตอบว่าจับโป๊ยกงนั้นคือไม้สน โกเต็กกงนั้นคือต้นเป็ก ลินกงจื๊อนั้นคือต้นไกร ฮุดหุ้นโซ้นั้นคือต้นไผ่ อ้ายปีศาจหน้าเขียวนั้นคือต้นไม้เขี้ยม นางเซียนหนึงนั้นคือต้นไม้ตะเคียน สาวใช้ทั้งสองนั้นต้นสาระภีแลอบเชย
โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็มิได้รอรั้งสองมือจับคราดตรงเข้าสับฟันต้นอบเชยต้นสาระภีกระชากโค่นล้มลงแล้ว ก็เอาคราดสับฟันจนป่นละเอียดทั้งต้นตะเคียนแลต้นอื่น ๆ ก็กระชากล้มลงหมดทั้งนั้นทุก ๆ ต้น ที่รากไม้เหล่านั้นมีโลหิตไหลออกอาบไปทั้งนั้น พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงร้องห้ามว่า โป๊ยก่ายอย่าทำร้ายมันเลย แม้มันเป็นปีศาจก็จริง แต่มันมิได้ทำร้ายเราช่างมันเถิด เราพากันรีบหาทางไปดีกว่า เห้งเจียว่าพระอาจารย์จะปราณีมันไม่ได้ ไว้นานไปมันมีกำลังกว้างใหญ่ขึ้น มันจะทำร้ายคนหาน้อยไม่ โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับฟันกระชากล้มลงทั้งสิ้น ขุดรากขุดเหง่าเสียทุก ๆ ต้นแล้ว นิมนต์อาจารย์ขึ้นม้าตั้งหน้าหมายทิศปราจิณแล้วก็ออกเดินไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น