Translate

22 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 48 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
รูปภาพ ; อึ้งไบ๋ใต้อ๋องนี้เป็นสานุศิษย์ของพระศรีอาริยเมตไตรย์ ลักเอาถุงย่ามของพระศรีอาริยะหนีมา ตั้งตัวเป็นใต้อ๋องยังสำนักที่วัดเซี้ยวลุ่ยอิมยี่ ได้กระทำอันตรายแก่พระถังซัมจั๋งแลพวกศิษย์ได้ความเดือดร้อนแสนสาหัส เห้งเจียได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ ภายหลังพระสีอาริยะมาตามจับเอาตัวไปยังสวรรค์ตามเดิม
(บทที่ ๖๕)
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม เวลานั้นก็ออกจากหนามรกแล้ว ฤดูนั้นเป็นฤดูร้อนกำลังเดินแลไปข้างหน้า เห็นภูเขาสูงยอดเทียมเมฆ จิตใจให้สะดุ้งหวาดเสียว เห้งเจียแบกตะบองออกหน้านำทางขึ้นเขา พอข้ามเขาเดินลงได้ถึงเขามีที่ลาด ก็แลเห็นรัศมีสว่างมีเมฆหมอกปกคลุม เห็นมีห้องหอสูงลิ่ว และได้ยินเสียงระฆังดังหง่าง ๆ พระถังซัมจั๋งบอกให้พวกสานุศิษย์ดูว่าจะเป็นที่แห่งใดแน่ เห้งเจียชะเง้อไปดูโดยละเอียดแล้ว บอกแก่พระอาจารย์ว่าที่นั้นเป็นที่พระอารามใหญ่ แลมีรัศมีงดงามยิ่งนัก แต่เหตุใดมีสีเมฆร้ายเข้าไปปกคลุมอยู่ แต่พิเคราะห์ดูเหมือนจะเป็นวัดลุ่ยอิมยี่ แต่หนทางนั้นผิดไป หากพวกเราไปถึงอย่าทำมักง่ายเข้าไป วิตกจะถูกมือร้ายจะทำเอา พระถังซัมจั๋งว่า ที่นี่เป็นวัดลุ่ยอิ่มยี่ ก็คือที่เขาเล่งซัว เห้งเจียจะจำผิดไปดอกกระมัง
   เห้งเจียพูดว่ามิใช่เขาเล่งซัว เขาเล่งซัวข้าพเจ้าเคยไปสองหนแล้ว มิใช่ที่ตรงนี้ ซัวเจ๋งพูดว่าไม่ใช่เราก็ต้องไปทางนั้น เมื่อถึงเขาแล้วเราก็​คงจะรู้ได้แน่ เห้งเจียว่าน้องพูดถูก พระถังซัมจั๋งก็รีบขับม้ามาถึงหน้าวัดแลเข้าไปก็เห็นนามวัดว่าลุ่ยอิมยี่สามตัวอักษร พระถังซัมจั๋งก็ลงจากหลังม้า ปากก็ด่าบ่นว่าเห้งเจียอ้ายชาติลิง ก็นี่วัดลุ่ยอิมยี่แน่แล้ว ยังจะพูดโยนยาวหลอกเราต่อไปอีกเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อาจารย์อย่าเพิ่งวุ่นวายท่านจงดูบนประตูมีหนังสือสี่ตัวท่านมาหลงว่าสามตัว กลับมาโกรธข้าพเจ้า พระถังซัมจั๋งเหลียวไปดูเห็นอักษรสี่ตัวว่าวัดเซี้ยวลุ่ยอิมยี่ พระถังซัมจั๋งว่าหากเซี้ยวลุ่ยอิมยี่ก็จริง แต่คงจะมีพระพุทธเจ้าเข้าอยู่ในนั้น ในคัมภีร์มีกล่าวว่ามีพระสามพันองค์คงจะอยู่ทิศหนึ่ง พระโพธิสัตว์กวนอิมน่ำไฮ้ พระโพ้เฮี้ยนอยู่เขางอมี่ซัว พระบุญซั่วอยู่เขาท้ายเง้าซั่วนี่ไม่รู้ว่าพระองค์ใดอยู่ในวัดนี้ โบราณท่านย่อมว่ามีพระพุทธก็คงมีพระธรรม ทิศไหนจะไม่มีของวิเศษบ้างเล่า จำเราจะต้องเข้าไปดู
   เห้งเจียห้ามว่าไม่ควรจะเข้าไป พิเคราะห์อาการจะร้ายมากกว่าดี หากเกิดเหตุขึ้นอย่าโทษข้าพเจ้า พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมาตั้งใจจะนมัการพระจะโกรธเห้งเจียทำไม จึงเรียกโป๊ยก่ายเอาผ้ากาสาวพัสตร์มาครองแล้ว สำรวมกิริยาเดินเข้าไปยังโบสถ์ใหญ่ ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกว่าถังซัมจั๋งอุตสาห์มาจากเมืองไกล นมัสการพระพุทธเจ้าของเรา ทำไมยังมีจิตเกียจคร้านอยู่เล่า พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นก็เข้าไปทำเคารพนมัสการ โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็คุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น เห้งเจียเก็บเข้าของและจูงม้าเข้าไป​ทีหลัง วางของกับม้าอยู่ข้างนอก เห้งเจียก็เข้าไปในประตูแลไปก็เห็นพระพุทธเจ้านั่งอยู่ท่ามกลาง ข้างรอบนั้นมีพระอรหันต์และเทพยดาเทพารักษ์ อุบาสก อุบาสิกากับทั้งท้าวจตุโลกบาลแวดล้อมเรียงรายเป็นดำดับ เครื่องบูชาธูปเทียนดอกไม้หอมระรื่น
   พระถังซัมจั๋งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ทำเคารพนบนอบโดยความเรียบร้อย ยังแต่เห้งเจียยืนดูอยู่ยังไม่ลด ก็ได้ยินเสียงพูดว่าเห้งเจียเข้ามาเฝ้าพระองค์ทำไมจึงไม่ทำนมัสการเล่า เห้งเจียพิจารณาดูโดยละเอียดก็รู้ได้ว่าปีศาจแปลงปลอมบันดาลให้เหมือนพระพุทธเจ้า จึงชักตะบองออกชี้ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายพวกปีศาจมารร้าย มึงช่างใจโตอาจสามารถแปลงปลอมเป็นพระพุทธเจ้า ให้เป็นที่เสื่อมเสียเกียรติยศของพระองค์ สองมือถือตะบองตรงเข้าไปจะตีปีศาจ ก็พอได้ยินเสียงบนอากาศดังฉิ่งฉ่างตกลงมาเป็นฉาบคู่หนึ่ง ตรงเข้ารวบหัวรวบหางจับเห้งเจียติดอยู่ในฉาบนั้นออกมิได้ โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง เห็นดังนั้นต่างก็จับเครื่องมือ
   พวกอรหันต์เทวดาเหล่านั้นช่วยกันเข้าล้อมจับโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ๆ เสียถ้าถูกพวกเหล่านั้นจับมัดได้ทั้งสองคน ทั้งพระถังซัมจั๋งมันก็ยึดไว้ เอาเชือกมัดสอดทั้งสามคนผูกติดไว้กับเสา อันความจริงที่แปลงเป็นพระพุทธเจ้านั้นก็ปีศาจใต้อ๋อง พวกสาวกบริวารเหล่านั้นคือปีศาจบริวารทั้งสิ้น ครั้นแล้วปีศาจใต้อ๋องก็กลับเป็นรูปเดิม สำนักกลายเป็นที่อยู่ของปีศาจทั้งสิ้น
   เห้งเจียติดอยู่ในฉาบ ก็เอาขึ้นไว้บนหอสูง กำหนดสามวันสามคืนก็จะแปรเป็น​น้ำหนอง ยังอีกสามคนนั้นเราจึงค่อยต้มกินเมื่อภายหลัง พวกปีศาจก็มาเปลื้องเอาผ้ากาษาวะภัตรของพระถังซัมจั๋งออกเก็บยัดใส่หาบแล้ว ก็เอาไปเก็บซ่อนไว้ในห้องลับ ฝ่ายเห้งเจียติดอยู่ในฉาบมืดมัวแลไม่เห็นฟ้าดิน อบร้อนเสโทไหลซึมทราบไปทั้งตัว ดิ้นรนกระทุ้งซ้ายกระแทกขวาก็ไม่ออกได้ เอาตะบองเหล็กตีก็ไม่ออกได้ จึงคิดว่าจำเราจะยืดตัวให้หลุดอออกจากฉาบ จึงร่ายคาถาตัวก็ยืดสูงขึ้นสักพันวา ฉาบก็ยืดตามตัวขึ้นไปเหมือนกัน เห้งเจียเห็นดังนั้น จึงเอาตะบองเหล็กร่ายคาถาเป่าให้เป็นสะหว่านแหลมไชลงสักพันหนก็ไม่ทะลุได้ เห้งเจียก็สิ้นความคิด จึงร่ายคาถาเรียกเทพยดาเจ้าเอี๊ยดที้ และหมู่เทพาอารักษ์ลักเต็งลักกะกับหมู่เจ้าที่รักษาธรรมก็มาพร้อมกันที่ฉาบนั้น ถามว่าท่านใต้เซียเรียกพวกข้าพเจ้ามามีธุระอะไรหรือ พวกข้าพเจ้าคอยระวังรักษาอาจารย์อยู่แล้ว เห้งเจียบอกว่าอาจารย์ไม่เชื่อฟังเราห้ามถึงจะตายก็โทษใครไม่ได้ แต่พวกท่านต้องคิดอ่านเอาเราออกแล้วจึงค่อยหาอุบายแก้ไข อยู่ในฉาบนี้อบร้อนไม่เห็นแสงสว่างอย่างนี้จะเป็นอันตรายแก่ชีวิตเป็นแน่
   หมู่เทพยดาอารักษ์ ลักเต็งลักกะช่วยกันง้างฉาบก็มิได้ไหวสะเทือน หมู่เทพาอารักษ์ทั้งหลายจึงพูดแก่เห้งเจียว่า ฉาบนี้ไม่ทราบว่าจะเป็นของวิเศษอย่างไร พวกข้าพเจ้าช่วยกันคัดก็ไม่ออก สุดกำลังที่จะช่วยท่านได้ เจ้าเอี๊ยดที้จึงให้ลักเต็งคอยรักษาพระถังซัมจั๋ง ​ให้ลักกะคอยอยู่รักษาฉาบ หมู่เจ้าคอยล้อมลาดตระเวน ตัวเจ้าเอี๊ยดที้เหาะขึ้นไปยังประตูสวรรค์น่ำทีหมึง ครั้นถึงก็ตรงเข้าไปยังปราสาทเหลงเซียวเต้ย เห็นเง็กเซียงฮ่องเต้ประทับอยู่บนเทวะบัลลังก์ทำคำนับแล้วก็กราบทูลว่า ข้าพเจ้าเอี๊ยดที้ขอกราบทูลพระองค์ได้ทรงทราบ ด้วยบัดนี้ซีเทียนใต้เซียรักษาพระถังซัมจั๋งไปอาราธนาพระธรรมยังประเทศไซที ข้ามมาถึงตำบลเขาเซี้ยวลุ่ยอิมยี่ ถูกมารปีศาจร้ายจับไว้ทั้งศิษย์และอาจารย์ ซีเทียนใต้เซียอยู่ในฉาบวิเศษออกมิได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมากราบทูลให้พระองค์ทรงทราบจะโปรดปรานประการใด
   เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งให้เทพยดาดาวยี่สิบแปดดวงรีบยกลงไปช่วยพระถังซัมจั๋งโดยเร็ว หมู่ดาวยี่สิบแปดดวงได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็พร้อมกันถวายบังคมลา พร้อมกับเจ้าเอี๊ยดที้ออกจากเหลงเซียวเต้ย ตรงประตูน่ำทีหมึง เหาะลงมายังวัดเซี้ยวลุ่ยอิมยี่เมื่อเวลามาถึงวัดได้สองยามเศษ พวกปีศาจทั้งหลายพากันนอนหลับไปทั้งสิ้น หมู่ดาวทั้งหลายก็มาพร้อมกันที่ฉาบนั้น บอกว่าใต้เซีย บัดนี้เง็กเซียงฮ่องเต้ ให้พวกข้าพเจ้าดาวยี่สิบแปดดวงมาช่วยท่าน เห้งเจียว่า พวกท่านจงรีบลงมือกระทำการทุบฉาบนี้ให้แตกละเอียดข้าพเจ้าจึงจะออกได้ หมู่ดาวบอกว่า ข้าพเจ้าไม่อาจทุบเพราะฉาบนั้นเป็นสิ่งของประกอบหากทุบมันก็จะดังขึ้น ถ้าดังขึ้นแล้วพวกปีศาจมันตกใจตื่นก็จะลำบาก ท่านจงคอยรอพวกข้าพเจ้าจะ​เจาะไชให้ทะลุ ถ้ามีรูลมเข้าได้ท่านจึงจะออกได้ เห้งเจียว่าดีแล้ว ข้าพเจ้าจะคอย หมู่ดาวทั้งหลายก็ออกแรงช่วยกันเจาะและไชก็ไม่สามารถจะให้ทะลุได้
   เห้งเจียอยู่ในฉาบก็ค่อยหันซ้ายหันขวาดูแสงสว่างก็มิได้เข้าไปได้ จึงดาวกังกิมเล้งพูดว่าใต้เซีย ข้าพเจ้าคิดดูว่าของสิ่งนี้ เป็นยู่อี่วิเศษอาจเปลี่ยนแปลงได้ ท่านอยู่ข้างในคอยคลำดูตามรอยปะกับ ข้าพเจ้าจะเอาเขาแยงเข้าไป ถ้าถึงข้างในท่านจึงแปลงตัวตามออกมา เห้งเจียว่าดีแล้ว ๆ ดาวกังกิมเล้งจึงแปลงตัวเป็นเขาแหลม แล้วก็ไชตามรอยปะกับเข้าไปทะลุตลอดในจึงร้องให้ใหญ่เท่าปากชามปากไปล่ รอยปะกับก็เคลื่อนตามเขา เห้งเจียอยู่ข้างในคลำไปคลำมาถูกปลายเขาร้องว่าเห็นจะไม่เป็นการไม่มีอะไรอาศัยจะออกอย่างไรได้ เห้งเจียจึงเอาตะบองแปลงเป็นหมุดแหลมเจาะยอดเขาพอเป็นรูนิดหนึ่ง ตัวเห้งเจียก็แปลงเท่าเมล็ดพรรณผักกาดก็เข้านั่งในรูนั้นแล้ว ก็ร้องให้ชักเขาออกเถิด กังกิมก็ชักเขาหลุดออกมา เห้งเจียก็กระโดดออกจากรูเขา กลายกลับเป็นรูปเดิมชักตะบอกตีฉาบทีหนึ่ง เสียงดังดุจเขาทองแดงทะลาย ฉาบก็ป่นละเอียดตั้งพันชิ้น เจ้าเอี๊ยดที้กับดาวทั้งหลายก็สะดุ้งใจทุกคน
   พวกปีศาจกำลังนอนหลับก็พากันตกใจตื่นทุกตน ใต้อ๋องปีศาจผุดลุกขึ้นเอาเสื้อสรวมตัวแล้ว วิ่งไปที่กองประชุมพล ต่างก็ถือเครื่องศาสตราอาวุธเวลานั้นก็พอสว่างแจ้ง พากันกรูเข้าล้อมหอ เห็นเห้งเจียกับหมู่เทพยดาเทพารักษ์ กำลังห้อมล้อมอยู่ข้างฉาบนั้น ปีศาจเห็นดังนั้น ก็ตกใจยิ่งนักจึงให้พวกปีศาจบริวารปิดประตูชั้นนอกชั้นในแน่น​มิให้เข้าออกได้ เห้งเจียก็พาพวกเทวดาเหาะขึ้นอยู่บนอากาศ พวกปีศาจเก็บรวบรวมฉาบแตกนั้นแล้ว ก็เรียงรายยังประตู ปีศาจใต้อ๋องแต่งตัวเสร็จแล้ว มือถือแผ่นเหล็กเดินออกมาจากที่ ตะโกนร้องเรียกว่า เฮ้ยอ้ายเห้งเจีย ถ้ามึงเป็นลูกผู้ชายจริงจะหนีไปห่างไกลทำไม จงลงมาลองฝีมือกันสักพักหนึ่งจะได้เห็นว่าใครดีแลชั่ว
   เห้งเจียก็พาหมู่เทพยดาลงมายังพื้น ถือตะบองตรงมาชี้หน้าว่า มึงเป็นชาติปีศาจมารร้ายอะไรที่ไหน อาจสามารถแปลงปลอมเป็นพระพุทธเจ้า และจัดทำเป็นวัดวาอารามดังนี้ ด้วยมีประสงค์อย่างไร ปีศาจใต้อ๋องตอบว่า อ้ายลูกลิงยังไม่รู้นามของเรา เพราะฉะนั้นจึงอาจสามารถมาทำโอหังดังนี้ ตำบลนี้เรียกเซี้ยวไซที เรารักษาปฏิบัติจนสำเร็จ ฟ้าจึงบันดาลมีห้องหออันวิเศษให้เรา นามของเราคืออึ้งไบ๋เล่าฮุด ชนทั้งหลายไม่รู้จึงเรียกว่า อึ้งไบ๋ใต้อ๋อง เราได้ทราบข่าวมานานแล้วว่า เจ้าจะมาทางนี้เพื่อจะไปไซที มีฝีมือปรากฎเชี่ยวชาญ เพราะฉะนั้นจึงบันดาให้เป็นวัดวาอารามลวงให้อาจารย์เจ้าเข้ามา เพื่อจะใคร่ลองฝีมือแก่เจ้า หากว่าเจ้าชนะเรา เราจะป้องกันรักษาไปให้ตลอดสำเร็จซึ่งมรรคผล หากไม่ชนะเรา เราจะจับพวกเจ้าตีเสียให้ตายเราจะไปหาพระพุทธเจ้า อาราธนาธรรมกลับไปเมืองใต้ถังเพื่อสำเร็จมรรคผล
   เห้งเจียได้ฟังจึงหัวเราะ แล้วพูดว่าอ้ายปีศาจมึงอย่าพูดอวดตัว แม้มึงอยากจะลองฝีมือก็จงมารบกันเถิด ว่าแล้วต่างคนก็เข้ารบกัน​ได้ประมาณห้าสิบเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน พวกปีศาจก็พากันโห่ร้องตีม้าฬ่อตีกลองออกอึกทึกกึกก้องโกลาหล พวกเจ้าเอี๊ยดที้กับเทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลายก็ยกอาวุธขึ้นโห่ร้อง เข้าล้อมปีศาจใต้อ๋องตกอยู่ในท่ามกลาง แต่ปีศาจก็มิได้สะดุ้งหวาดหวั่น มือหนึ่งถือป้ายคอยรอรบ มือหนึ่งก็ล้วงเอาถุงผ้าขาวออกมาถุงหนึ่ง ขว้างขึ้นบนอากาศ ถุงนั้นก็ช้อนตักเอาพวกเทพยดาและเห้งเจียเข้าอยู่ในถุงทั้งสิ้น ปีศาจก็เรียกถุงกลับคืนไปยังที่ ให้พวกปีศาจเอาเชือกปอมาแล้ว จับลากออกมามัดคนละคน หิ้วเอาไปทิ้งไว้ที่ดินเสร็จแล้วปีศาจใต้อ๋องก็จัดโต๊ะมาเลี้ยงกันเป็นที่สำราญรื่นเริงจนเวลาพลบค่ำก็พากันไปหลับนอน
   ฝ่ายเห้งเจียต้องมัดนอนกลิ้งอยู่กับดินพอเวลาดึกครึ่งคืนก็ใช้วิชาซ่อนตัว ให้ตัวเล็กลงแล้วก็ลอดออกจากเชือกมัด เดินเข้าไปใกล้พระถังซัมจั๋ง เรียกพระอาจารย์คำหนึ่ง พระถังซัมจั๋งจำเสียงได้ว่าเห้งเจีย จึงร้องเรียกสานุศิษย์ว่าให้ช่วยเราด้วย ต่อไปเราไม่กล้าขัดขวางแล้ว เห้งเจียจึงแก้พระอาจารย์ออกก่อนแล้วแก้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งออก แล้วจึงแก้หมู่เทพยดาและดาวเอี๊ยดที้กับลักเตงลักกะออกทั้งสิ้น ก็จูงม้ามาให้พระอาจารย์ขี่ให้รีบไปโดยเร็ว พอออกจากประตูก็พอนึกขึ้นได้ว่า หาบใส่ข้าวของนั้นไม่รู้ว่ามันเอาไปซ่อนไว้ที่ไหน ก็กลับเข้าไปค้นหา กังกิมเล้งพูดว่า ช่วยอาจารย์ออกได้แล้วก็ควรจะรีบไป จะห่วงข้าวของทำไม เห้งเจียบอกว่าของสำคัญไม่เอา​ไปไม่ได้ คือบาตรและของวิเศษ ม้า กาสาวะพัสตร์และหนังสือเดินทางอยู่ในห่อ เป็นของสำหรับตัวในทางพระสงฆ์จะทิ้งไปมิได้ โป๊ยก่ายพูดว่า พี่กลับไปหาข้าพเจ้าจะออกไปคอยที่ต้นทาง
   ฝ่ายพวกเทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลายก็คอยป้องกันรักษาพระถังซัมจั๋ง บันดาลฤทธานุภาพเป็นลมพายุหอบส่งข้ามพ้นที่นั้น เดินลงไปเนินชายเขา ก็พากันพักหยุดรอคอยเห้งเจียอยู่ เวลานั้นก็เข้ายามสามเห้งเจียย่องกลับเข้าไปข้างใน เห็นประตูปิดทุกประตู เห้งเจียก็แปลงเป็นค้างคาวลูกหนูบินลอดเข้าไปตามช่องกระเบื้องแลขึ้นไปก็เห็นที่ชั้นสูงมีแสงสว่าง เห้งเจียก็เดินเข้าไปใกล้พิจารณา ก็เห็นห่อของมีแสงเป็นรัศมีออก เห้งเจียเห็นแล้วก็ดีใจแปลงกลับเป็นรูปเดิมเอาของใส่บ่ารีบเดินออกมา บังเอิญหลุดตกลงข้างหนึ่งกระทบพื้นเสียงดัง ปีศาจใต้อ๋องนอนอยู่ชั้นสูง ก็ตกใจลุกขึ้นเรียกพวกบริวารให้จุดไฟมาส่องดูว่าจะเป็นเสียงอะไรที่ไหน พวกปีศาจเหล่านั้นก็จุดไฟเที่ยวค้นหา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็วิตกจะเอาห่อของไปมิได้ จึงลอดออกทางหน้าต่างหนีไป
   ฝ่ายปีศาจใต้อ๋องให้ค้นหาก็มิได้เห็นสิ่งใด จึงรู้ว่าพระถังซัมจั๋งหนีไป เวลานั้นก็จวนสว่างปีศาจเรียกบริวารให้รีบไปตามพระถังซัมจั๋ง ครั้นมาทันเข้าก็เห็นหมู่เทพยดาเทพารักษ์อยู่เป็นกลุ่มหยุดพักที่ชายเขา ปีศาจร้องตวาดว่าจะหนีไปข้างไหน ดาวกั๊กบอกเการ้องสั่งว่าพวกเราจงเตรียมอาวุธให้พร้อมมือ โป๊ยก่ายซัวเจ๋ง​ก็จับเครื่องมือคอยท่าอยู่ พร้อมกันตรงเข้าประจัญบานแก่ปีศาจ
   ฝ่ายปีศาจอึ้งไบ๋ใต้อ๋อง แลเห็นดังนั้นก็ทำเป็นหัวเราะ เรียกพวกบริวารให้เข้ารบรุกบุกบั่น รบกันเป็นตลุมบอนยังหาแพ้ชนะกันไม่ ได้ยินเสียงเห้งเจียร้องว่าข้าพเจ้ามาแล้ว เวลานั้นหมู่ดาวแลเทพบุตรเจ้าเอี๊ยดที้ เจ้าแก่ลั้มลักเตงลักกะชุลมุลอยู่ในที่รบ อึ้งไบ๋ถือป้ายเหล็กตีเข้ามา ฝ่ายเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งทั้งสามคน กระโจนเข้าตีสกัดอึ้งไบ๋ ๆ เอาป้ายเข้ารับ ต่างมีฝีมือเข้มแข็งด้วยกันทั้งสองฝ่าย รบกันจนมืดฟ้ามัวฝนตั้งแต่เวลาเช้าจนค่ำ ปีศาจอึ้งไบ๋เห็นเวลาค่ำแล้ว ก็ถอดถุงออกจากเอว เห้งเจียแลเห็นร้องว่าไม่ได้การ ก็กระทำปาฏิหารย์เหาะขึ้นแอบอยู่บนกลีบเมฆ แต่หมู่เทพบุตรทั้งหลายเหล่านั้นก็มิได้รู้เหตุการณ์ ปีศาจก็เอาถุงขว้างขึ้นไป ก็รวบช้อนเอาพวกของเห้งเจียเข้าไว้ทั้งสิ้น อึ้งไบ๋ได้ทีแล้วก็พาบริวารกลับวัด ครั้นถึงแล้วก็ให้เอาเชือกมามัดไว้ตามเดิม เอาพระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งขึ้นแขวนไว้ หมู่เทพยดาให้เอาเข้าห้องมืดลั่นกุญแจขังไว้
   ฝ่ายเห้งเจียเมื่อหนีพ้นไปแล้ว เห็นปีศาจยกกลับไปก็นึกรู้ว่าพวกเราเห็นจะต้องปีศาจจับไปแล้ว จึงลงมายังข้างเขาทิศตะวันออก นั่งคิดแค้นพวกปีศาจและร้องไห้ คิดถึงอาจารย์ว่าท่านสร้างกรรมเวรมาอย่างไร จึงได้เป็นเหตุการณ์ได้รับแต่ความยากมิได้หยุดเลย สุดที่จะพรรณา เห้งเจียนั่งคร่ำครวญอยู่แต่ผู้เดียวประมาณครู่หนึ่ง จิตระงับนึกขึ้นได้เอาใจ​ถามใจตัวเองว่า อ้ายปีศาจนี้มันมีถุงนั้น รู้ว่าเป็นของวิเศษอะไรจึงใส่ของได้มากดังนั้น ครั้นเราจะไปขอพลบนสวรรค์ เง็กเซียงฮ่องเต้ก็จะกริ้วเอา นึกขึ้นได้ว่าท่านจินบู๊ตึงซัว ตั๊นมอเทียนจุน เราไปเชิญท่านมาช่วยอาจารย์สักครั้งหนึ่งเห็นจะดี
รูปภาพ ; พระศรีอาริยเมตไตรย์นี้ อยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตท่านเป็นพระโพธิสัตว์มีบุญญาบารมีได้สะสมไว้มาก ไปภายภาคหน้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในโลกนี้ เมื่อสานุศิษย์ของท่านลักเอาย่ามวิเศษหนีลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต มาตั้งตัวเป็นอึ้งไบ๋ใต้อ๋องที่เซี้ยวลุ่ยอิมยี่ ท่านก็เสด็จตามลงมาจับได้ตัวแล้วก็เสด็จกลับไปยังดุสิตตามเดิม
รูปภาพ ; จินบู๊ตึงซัวนี้บางทีเรียกว่าจินบู้โจ๊ซือ เดิมเมื่อบู๊ตึงซัวยังเด็กอยู่ในมนุษย์โลกนี้มีศรัทธาแลรักษาศีลปฏิบัติตามธรรม ครั้นฌานแก่กล้าก็ได้สำเร็จภาคขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เง็กเซียงฮ่องเต้ตั้งให้เป็นจินบู๊เทพยดาองค์ใหญ่ รักษาตำหนักพนักงานที่สาม
(บทที่ ๖๖)
 เห้งเจียเมื่อสิ้นคิดดังนั้น จึงเหาะไปหาบู๊ตึงซัวจะได้มาแก้พระถังซัมจั๋ง เห้งเจียลอยมากลางอากาศได้วันหนึ่ง แลไปก็เห็นภูเขาที่สำนัก อันท่านบู๊ตึงซัวนี้ เดิมเจ้าเมืองเจงลักก๊กกับนางเสียมเส่งฮองเฮ้า นิมิตฝันเห็นพระอาทิตย์สว่าง ตั้งแต่นั้นก็มีครรภ์ได้สิบสี่เดือน ปีมะโรงเดือนห้าขึ้นหนึ่งค่ำ เวลาเที่ยงกลางวันก็คลอดในพระราชวัง เมื่อยังเยาว์ก็ทรงกำลังพลังมากเข้มแข็ง ครั้นเติบใหญ่จิตภาคศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากเป็นเจ้า ชอบทางปฏิบัติบวชเรียนทางวิปัสนาญาณชาญกล้าอยู่ที่เขานี้ ต่อภายหลังก็สำเร็จมรรคผล เง็กเซียงฮ่องเต้ประทานนามให้ชื่อว่าจินบู๊ คอยกำจัดปีศาจอสูรยักษ์มารร้ายอยู่ทุก ๆ กัปล์ไป
   เห้งเจียลอยพิศดูภูมิสำนักเซียน ก็มาถึงประตูสวรรค์ที่สามตำหนักทั้ยฮั้วเกง แลไปก็เห็นมีรัศมีสีแสง มีเทพยดาออกมารับถามว่าที่มานี้คือใคร เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าคือซีเทียนใต้เซีย อยากจะมาหาท่านพระผู้เป็นเจ้า โดยมีกิจธุระอันสำคัญ หมู่เทพยดาก็เข้าไปบอกแก่ท่านโจ๊ซือแล้ว ท่านก็ออกมาเชิญเข้าไปข้างใน เห้งเจียกระทำความเคารพแล้ว พูดว่าข้าพเจ้ามีกิจธุระร้อนจึงได้มาหาท่านโจ๊ซือ ท่านบู๊ตึงซัวถามว่ามีธุระร้อน​อย่างไร เห้งเจียจึงยกเรื่องอึ้งไบ๋ปีศาจขึ้นเล่าให้ท่านฟังทุกประการ ทั้งบอกว่าข้าพเจ้าก็สิ้นปัญญา จึงได้มากราบเท้าท่านโจ๊ซือได้โปรดช่วยสักครั้งหนึ่งเถิด
   จินบู๊โจ๊ซือได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้าได้รับอำนาจตำแหน่งจินบู๊ ได้กำจัดพวกปีศาจยักษ์ร้ายทั้งหลาย เพราะมีรับสั่งของเง๊กเซียงฮ่องเต้ ต่อภายหลังรับตำแหน่งเง้าลุ้ยสินเจี่ยงคอยกำจัดหมู่สัตว์ร้ายนาคร้ายทั้งหลาย ฝ่ายทิศบูรพาและอุดร เพราะได้รับอำนาจของท่านง่วนซุ้ยทีจุน บัดนี้รับที่บู๊ตึงซัวที่ชมพูทวีปและอุดรทวีปทั้งสองนี้  ผี ปีศาจมารยักษ์ร้ายก็สงบเงียบแล้ว เวลานี้ท่านใต้เซียมาเชิญข้าพเจ้า ขัดด้วยเง็กเซียงฮ่องเต้มิได้รับสั่ง ไม่อาจลุอำนาจได้ ข้าพเจ้าเห็นแก่ใต้เซียแต่จะไม่เป็นที่พอใจของท่านผู้อื่น ข้าพเจ้าตรองเห็นว่าทางไซที หากจะมีมารร้ายก็ไม่สู้จะรุนแรงนัก ข้าพเจ้าจะให้นายทหารทั้งสอง คือกูเจียงกุน จั๋วเจียงกุน กับหมู่นาคทั้งห้า ไปช่วยเป็นกำลังใต้เซีย กำจัดพวกปีศาจเหล่านั้นคงจะเสร็จธุระ ก็จะช่วยอาจารย์ของท่านให้พ้นภัยไปได้
   เห้งเจียได้ฟังโจ๊ซือพูดดังนั้น กราบเคารพขอบคุณแล้ว ก็มาพร้อมด้วยกูเจียง จั๋วเจียงสองนายทหารกับหมู่นาคทั้งหลาย กับหมู่พลทหารที่แข็งแรงยกลงไปยังวัดเซี้ยวลุ่ยอิมยี่ ครั้นถึงก็ตรงมายังประตูวัดร้องท้ารบ ปีศาจอึ้งไบ๋ประชุมบริวารพูดว่า เห้งเจียสองวันแล้วไม่เห็นมา ไม่รู้ว่าจะไปหาพลทหารที่ไหน พูดยังไม่ทันจะขาด​คำลงพวกปีศาจก็เข้ามาบอกว่า เห้งเจียไปพาพวกเต่างูนาคที่ไหนมาท้ารบอยู่ที่หน้าประตู อึ้งไบ๋ใต้อ๋องได้ฟังดังนั้น ก็แต่งตัวสวมเกราะถือป้ายเหล็กพาพวกบริวารออกมาจากประตูร้องถามว่า เฮ้ยพวกเทพาอารักษ์รักษาถนนอาจสามารถมาที่เราทำไม
   เง้าเล้งนาคทั้งห้ากับกูจั๋วสองทหารร้องตวาดว่าอ้ายมารร้าย มึงอย่าดูถูกเราคือเป็นทหารอยู่ที่เขาบู๊ตึงซัวตำหนักทั้ยฮั้วเกง ท่านฮุ่นหงวนก๋าจู๊ตั้วหม้อทีจุน เพราะท่านใต้เซียไปหาท่านจึงใช้ให้พวกเรามาจับเจ้า มึงจงเร่งส่งพระถังซัมจั๋งโดยเร็ว แลหมู่ดาวเทพยดาทั้งหลายจะยกชีวิตให้เจ้า มิดังนั้นตัวของเจ้าก็จะต้องละเอียดเป็นละอองผง สำนักก็จะเป็นเถ้าไฟไปทั้งสิ้น อึ้งไบ๋ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ร้องด่าว่าอ้ายพวกสัตว์มึงจะมีฤทธานุภาพสักเพียงใดจึงได้มาพูดอ้างอวดดังนี้ ถ้าดีจริงแล้วจงมาลองป้ายดูสักที พูดดังนั้นแล้วอึ้งไบ๋ก็กระโจนตี เง้าเล้งนาคทั้งห้าก็บันดาลทำให้มืดฟ้ามัวฝน กูเจียงกุน จั๋วเจียงกุนทหารทั้งสองก็บันดาลทำเป็นดินทรายซัดสาด ต่างก็ถืออาวุธหอกดาบเข้าระดมรบ เห้งเจียก็ถือตะบองเข้าตีขนาบหลัง ประมาณได้ครึ่งชั่วโมง
   ฝ่ายปีศาจอึ้งไบ๋ก็แก้ถุงออกจากเอวถืออยู่กับมือ เห้งเจียแลเห็นก็ร้องบอกว่าพวกเราคอยระวังให้ดี พวกนั้นก็มิได้รู้ว่าเหตุอะไรต่างก็ละมือรอรบอยู่ อึ้งไบ๋ก็จับถุงขว้างไปเห้งเจียก็ปาฏิหารย์ขึ้นไปอยู่บนเมฆเสียได้ ถุงนั้นก็รวบเอาเง้าเล้งและกูเจียงกุน จั๋วเจียงกุน นายไพร่เข้าในถุงทั้งสิ้น อึ้งไบ๋ปีศาจมีชัยชนะแล้วก็พาบริวารกลับ​เข้าวัด จึงเอาเชือกมามัดไว้ทุกคนแล้วให้เอาไปวางไว้ในหลุมดิน ฝ่ายเห้งเจียเมื่อเห็นปีศาจกลับไปแล้ว ก็ลงยังยอดเขานั่งพักสิ้นปัญญาสิ้นสติเผลอตัวก็หลับตาดุจนอนหลับ ได้ยินเสียงแว่วที่หูมีคนมาร้องเรียกว่า ใต้เซียอย่านอนหลับจงรีบไปช่วยชีวิตอาจารย์สักประเดี๋ยวก็จะได้รอด เห้งเจียลืมตาผุดลุกขึ้นเห็นเจ้าประจำวันคือเช่ากง เห้งเจียตวาดว่า ตัวเจ้าเมื่อแรกไปอยู่ที่ไหนจึงไม่มาชี้แจง ไว้วันนี้จึงมากระทำให้เราตกใจ
   เจ้าเช่ากงตกใจก็คำนับพูดว่า ข้าพเจ้ารับคำสั่งพระโพธิสัตว์คอยรักษาพระอยู่ข้างเคียงทุกเวลาไม่อาจห่างได้จึงมิได้มาหาใต้เซีย ข้าพเจ้าเห็นใต้เซียเงียบไปสองวันไม่ได้ข่าวคราว มาวันนี้พวกปีศาจจับพวกเง้าเล้งและกูเจียงกุน จั๋วเจียงกุนมาก็รู้ได้ว่าใต้เซียไปหามา เพราะฉะนั้นข้าพเจ้ามาเที่ยวค้นหาใต้เซีย ขอใต้เซียอย่าเห็นแก่ความยากลำบากเหน็ดเหนือยเลย จงรีบไปหามาช่วยอาจารย์เถิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้พูดแก่เจ้าเช่ากงว่า ข้าพเจ้าจะไปสวรรค์ก็มีความละอาย จะไปหาพระโพธิสัตว์ก็เป็นที่ยำเกรง จะไปหาพระยูไลก็เป็นที่รำคาญ ที่ปีศาจพึ่งจับไปนั้นคือคนของท่านจินบู๊โจ๊ซือให้มาช่วย บัดนี้เราก็สิ้นแห่งที่จะไปหาใครได้อีก
   เจ้าเช่ากงพูดว่าท่านใต้เซียอย่าเป็นทุกข์ ข้าพเจ้านึกได้มีอยู่แห่งหนึ่งเข้มแข็ง หากไปเชิญมาคงจะกำจัดได้เป็นแน่ คือที่ตำบลเขาบู๊ตึงซัวชมพูทวีปมีพวกทหารที่เข้มแข็งนั้น อยู่ในชมพูทวีปเหมือนกัน แต่ที่ตำบลเขากันท่ายซัวเมืองปินเซี้ย มีพระอาจารย์ก๊กซือโพธิสัตว์มี​อภินิหารฤทธาอานุภาพมาก เธอมีสานุศิษย์คนหนึ่งนามเรียกว่าเจียงทั้ยจื้อ แลมีเจ้าทั้งสี่เมื่อก่อนเคยกำจัดปราบนางจุ๊ยโบ๊เนี่ยเนี้ย หากท่านใต้เซียไปเชิญแม้เธอยอมมาก็จะจับปีศาจได้ อาจารย์ก็จะรอดพ้นจากที่ทุกข์ได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงพูดว่าถ้าดังนั้นเจ้าเช่ากงจงกลับไปรักษาอาจารย์ไว้ ข้าพเจ้าจะไปเชิญว่าแล้วเห้งเจียก็เหาะไปยังเขากันท่ายซัว เหาะข้ามแม่น้ำมาถึงเมืองปินเซี้ยก๊กไปยังวัดต้ายเซี้ยเสียนยี่ เดินเข้าในประตูชั้นนอก พิจารณาดูโบสถ์รามกุฎิวิหารงามสอาดมีพระเจดีย์ระยับระย้า เห้งเจียเดินพลางแลดูพลางเข้าประตูชั้นที่สอง
   ฝ่ายท่านก๊กซือโพธิสัตว์ล่วงรู้ก่อน จึงให้เจียงทั้ยจื๊อออกไปรับยังประตูต่างก็คำนับกันแล้ว เห้งเจียก็เข้าไปกระทำความเคารพท่านก๊กซือโพธิสัตว์แล้วพูดว่า บัดนี้ข้าพเจ้าไม่มีที่พึ่งที่อาศัยแล้ว จึงได้มาเชิญพระโพธิสัตว์ไปแผ่อำนาจอะภินิหาร ให้เจ้าเจียงกุนที่ปราบนางเนี่ยเนี้ยนั้นไปช่วยอาจารย์ข้าพเจ้าให้พ้นภัยสักครั้งหนึ่ง พอได้ไปอาราธนาพระธรรม ณ ประเทศไซที ไปประดิษฐาน ณ ประเทศทิศตะวันออกเพื่อสุขประโยชน์แก่ประชุมชนสิ้นกาลนาน
   ฝ่ายท่านก๊กซือโพธิสัตว์เมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงตอบว่า ซึ่งธุระของเห้งเจียมาในเวลาวันนี้ ก็นับว่าเป็นทางในการบำรุงพระพุทธศาสนาย่อมเป็นนิสัยอันใหญ่ยิ่ง ควรอาตมภาพจะไปเองแต่ขัดด้วยฤดูนี้น้ำฝนจะท่วมใหญ่พึ่งจะเกิดน้ำใหม่ ๆ ท่านใต้เซียมาเชิญไปไกลมาก วิตกอยู่ข้างหลังจะเกิดขึ้นจะเป็นภัยใหญ่จะมีผู้ใดคุ้มได้ อาตมาจะ​ให้ศิษย์ไปช่วยปราบปีศาจให้สำเร็จการ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็กระทำเคารพแล้ว พร้อมด้วยเจียงไท้จื๊อกับเจ้าเจียงกุนทั้งสี่ เหาะมายังวัดเซี้ยวลุ่ยอิมยี่ ครั้นถึงไท้จื๊อถือทวนเจ้าเจียงกุนทั้งสี่ถือพลองเหล็กสมทบกันกับเห้งเจีย มายังประตูร้องท้าปีศาจอึ้งไบ๋ให้ออกรบ พวกปีศาจบริวารวิ่งเข้าไปบอกนาย ปีศาจอึ้งไบ๋ก็พาพวกออกมานอกประตูโห่ร้องกึกก้อง แล้วร้องด่าเห้งเจียว่า อ้ายชาติลิงมึงไปพาใครมาอีกเล่า
   อึ้งไบ๋พูดยังไม่ทันขาดคำ เจียงไท้จื๊อก็ขยิบตาให้เจ้าเจียงกุนทั้งสี่ร้องด่าว่า อ้ายปีศาจมารร้ายมึงไม่รู้จักหรือ เราคือสานุศิษย์ของท่านก๊กซือโพธิสัตว์อยู่วัดเสียนเซ่งเซียนยี่ ให้พวกเรายกมาจับเจ้าไม่รู้ดอกหรือ
   อึ้งไบ๋ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า เจ้าทารกเล็ก ๆ จะมาอวดฤทธิ์แก่ใคร อยู่รักษาน้ำร้ายที่ลำแม่น้ำฮ่วยฮ้อนั้นก็ดีแล้ว ทำไมจึงไปฟังอ้ายเห้งเจียข้ามน้ำข้ามทะเลเอาชีวิตมาทิ้งเสีย เจียงไท้จื๊อได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธ ยกทวนแทงไปตรงหน้าปีศาจ เจ้าเจียงกุนทั้งสี่ก็เข้าระดมฟันฟาด เห้งเจียตรงเข้าไปเอาตะบองเหล็กตีอึ้งไบ๋ก็มิได้หวั่นหวาด แกว่งป้ายเข้ารบรับสัปปยุทธชุลมุลเป็นตะลุมบอนยังไม่แพ้ชนะกัน อึ้งไบ๋ก็ถอดถุงออกจากเอ็ว เห้งเจียเห็นแล้วก็ร้องบอกว่า พวกเราระวังให้ดี ไท้จื๊อกับเจียงกุนทั้งสี่ก็ไม่รู้ว่าจะระวังอะไร
   ฝ่ายปีศาจเอาถุงแกว่งแล้วก็ขว้างไป ถุงนั้นก็รวบเอาเจียงกุน​ทั้งสี่กับไท้จื๊อเข้าอยู่ในนั้นทั้งสิ้น เห้งเจียคอยระวังอยู่เหาะหนีไปได้ ฝ่ายอึ้งไบ๋มีชัยชนะแล้วก็พาบริวารกลับเข้าวัด แล้วเอาเชือกมัดทุกคนไปใส่หลุมดินปิดไว้ ฝ่ายเห้งเจียก็ลดลงยังชายเขายืนร้องไห้อยู่แต่ผู้เดียว โดยความโทมนัสน้อยใจ แลไปข้างตะวันออกเฉียงใต้ เห็นม้วนเมฆมีสีแสงตกลงที่ยอดเขา มีดอกไม้โปรยลงมาเป็นห่าฝน มีเสียงร้องเรียกว่าซึงหงอคง รู้จักเราหรือไม่ เห้งเจียแลไปก็เห็นคือพระศรีอาริยเมตไตรย์โจ๊ซือ เห้งเจียเห็นแน่แล้ว ก็เข้ามาทำความเคารพคุกเข่าลงกับพื้นถามว่า พระผู้เป็นเจ้าจะไปแห่งใด ข้าพเจ้าไม่ทันหลีกขอได้โปรดอนุญาตให้อภัยแก่ข้าพเจ้าเถิด พระศรีอาริยเมตไตรย์จึงตรัสว่า อาตมาตั้งใจมาที่วัดเซี้ยวลุ่ยอิมยี่ ประสงค์ด้วยปีศาจร้าย เห้งเจียว่าขอพระเป็นเจ้าได้โปรดปีศาจร้ายนั้นอยู่ที่ไหน มันมีถุงนั้นคือของวิเศษอันใด ขอพระองค์ได้โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบด้วย
   พระศรีอาริยเมตไตรย์จึงตรัสว่า ปีศาจนั้นคือเป็นพนักงานตีระฆังของอาตมภาพ คืออึ้งไบ๋ท่งจื๊อ เมื่อวันเดือนห้าขึ้นสามค่ำ อาตมภาพไปที่ประชุมหงวนสุยทีจุน ให้เฝ้าตำหนักมันลักเอาถุงวิเศษนั้นหนีมาแปลงทำเป็นพระพุทธเจ้า อันถุงนั้นคือไถ้ล้อมฟ้า อีกชื่อหนึ่งเรียกว่าพืชมนุษย์ไถ้ ที่ป้ายมันถือนั้นคือไม้เคาะระฆัง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อ่อนี่คือสานุศิษย์ของท่านหนีมา ทำเป็นบ้าหลังว่าเป็นพระพุทธเจ้า แล้วทำร้ายข้าพเจ้าได้ความเดือดร้อน โทษนี้​ก็ไม่พ้นผู้เลี้ยงดู เพราะปล่อยให้เที่ยวกระทำความเดือดร้อนให้แก่คนทั้งหลาย
   พระศรีอารีย์ตรัสว่า คือไม่ดูแลจึงให้คนมีคำพูดได้ อาจารย์กับศิษย์พวกท่าน ยังไม่สิ้นเคราะห์ร้าย เพราะฉะนั้นจึงบังเอิญให้ของร้ายลงมาเป็นพระเจ้า บัดนี้อาตมภาพจะมาช่วยจับเอาไปเสียให้พ้น เห้งเจียพูดว่าปีศาจมันมีฤทธาอานุภาพกว้างใหญ่ พระผู้เป็นเจ้าไม่มีเครื่องมือสิ่งไรมา จะเอาอันใดต่อสู้แก่มันจึงจะจับมันได้ พระศรีอารีย์จึงตรัสว่า อาตมภาพจะอยู่ที่ชายเขานี้แปลงกายเป็นคนปลูกแตง ให้เห้งเจียไปล่อชวนรบ ให้มันไล่ตามมา จงทำเป็นแพ้อย่าเอาชนะ แม้มันไล่มาจนถึงไร่แตงแล้วมันคงจะกินแตง อาตมภาพก็จะเอาแตงผลนั้นให้มัน ถ้ามันกินเข้าไปในท้องแล้ว เห้งเจียจะทำอย่างไรแก่มันก็ตามแต่ใจ เมื่ออาตมภาพได้ของวิเศษคืนแล้ว จึงค่อยผ่อนผันให้แก่มัน
   เห้งเจียได้ฟังพระศรีอารีย์ตรัสดังนั้น จึงพูดว่าพระผู้เป็นเจ้าคิดอุบายอย่างนี้ดีชอบแล้ว ถ้าหากมันไม่ตามมาจะทำประการใด พระศรีอาริยเมตไตรย์หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านจงส่งมือมานี้ เห้งเจียก็ส่งมือซ้ายมาให้พระศรีอารีย์ ๆ เอานิ้วชี้มือขวาอมเข้าไปในปาก เอาน้ำลายกายสิทธิ์ออกเขียนในฝ่ามือเห้งเจีย เป็นอักขระตัวหนึ่งคือตัว (คุ้ม) แล้วสั่งเห้งเจียว่าให้เอาตบบนศรีษะ เมื่อเข้ารบกับมันก็จะไล่ตามมาเอง เห้งเจียครั้นได้ฟังพระศรีอารีย์แนะนำสั่งสอน​ให้ดังนั้นแล้ว สองมือก็แกว่งตะบองวิ่งไปยังประตูวัด ร้องท้าให้ปีศาจออกมารบว่า ปีศาจอึ้งไบ๋พ่อของเองมาอีกแล้ว เองจงเร่งออกมารบให้แพ้และชนะกันเถิด
   ฝ่ายปีศาจอึ้งไบ๋เมื่อได้ยินเห้งเจียมาร้องท้าทายดังนั้น ก็จัดแจงแต่งตัวมือถือป้ายเดินออกมานอกประตูวัดร้องถามว่าซึงหงอคงสิ้นความฝ่าฝืนแล้วหรือ เห้งเจียด่าว่าอ้ายมารร้าย เหตุใดกูจะได้สิ้นความฝ่าฝืน ปีศาจอึ้งไบ๋พูดว่า เราเห็นเจ้ามาแต่คนเดียว ชะรอยจะไม่มีใครมาด้วยได้แล้ว จึงได้อุตสาหะมาต่อสู้แต่ผู้เดียวดังนี้ หากเราจับได้เจ้าจะได้ใครมาแก้ไขให้เจ้าเล่า เห้งเจียด่าว่าอ้ายมารร้ายมึงอย่ากำเริบ มึงยังไม่รู้จักความตายว่าจะมาถึงตัวมึงเข้าเมื่อไร เองอย่าพูดให้มากไป จงมาลองตะบองของเราดูสักทีหนึ่งว่าจะมีรสชาติเป็นประการใด ว่าแล้วก็ต่างคนเข้าต่อสู้กัน เห้งเจียก็เอามือที่เขียนอักขระตัว (คุ้ม) ตบบนศรีษะทีหนึ่ง แล้วก็เข้ารบรุกบุกบั่น อึ้งไบ๋ถูกจังงังคุ้มกันก็มิได้คิดจะถอยหนี ถุงวิเศษก็มิได้นึกจะขว้าง มัวแต่ตั้งใจไล่บุกรุกเห้งเจียมาจนถึงชายเขา เห้งเจียเห็นไร่แตงก็หายตัวมุดเข้าไปในไร่แตง แปลงกายเป็นผลแตงโมสุกผลหนึ่ง ปีศาจไล่มาก็ยั้งตัวค้นหามิได้เห็นเห้งเจีย จึงไปค้นหาในกระท่อมน้อย ถามว่านี่แตงของใครปลูก
   พระศรีอารีย์อยู่ในกระท่อมแปลงเป็นตาแก่คนหนึ่ง เดินออกมาบอกว่าแตงของข้าพเจ้าปลูกเอง อึ้งไบ๋จึงพูดว่า ขอให้สักผลหนึ่ง​กินแก้อยากน้ำจะได้หรือไม่ ตาแก่แปลงก็ไปเก็บเอาผลแตงที่เห้งเจียแปลงนั้นมาส่งให้ ปีศาจก็รับผลแตงนั้นมาอ้าปากกลืนลงไปในท้อง เห้งเจียเมื่อลงไปในท้องได้แล้ว ก็กระทำอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ คือถีบและบิด หยิกทึ้งกระทำให้สาหัส
   ฝ่ายปิศาจอึ้งไบ๋ได้ความเจ็บปวดสาหัสสุดสิ้นสติกำลังที่จะทนทาน ก็ล้มกลิ้งอยู่ที่ไร่แตง ดิ้นรนจนแผ่นดินราบไปราวกับหน้ากลอง ปากก็ร้องว่าท่านผู้ใดจงมาช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด จึงพระศรีอาริยเมตไตรย์ก็กลายกลับเป็นรูปเดิม หัวเราะแล้วพูดว่าอ้ายสัตว์ตะบาปมึงจำได้ว่าเราคือใคร อึ้งไบ๋เงยหน้าขึ้นดูเห็นแล้วก็จำได้ จึงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า พระผู้เป็นเจ้าได้โปรดยกโทษไว้ชีวิตให้ข้าพเจ้าเถิด ภายหลังไม่อาจกระทำต่อไปอีกแล้ว พระศรีอารีย์จึงแก้เอาไถ้วิเศษกับป้ายนั้นออกแล้ว จึงเรียกเห้งเจียให้ออกมา แล้วว่าจงเห็นแก่อาตมภาพเถิด
   ฝ่ายเห้งเจียมีความแค้นมากก็แกล้งกระทำอาระวาดกระทุ้งกระแทก ปีศาจเจ็บปวดเหลือที่จะทนได้ก็กลิ้งเกลือกไปมา พระศรีอารีย์มีความเมตตาจึงร้องขอโทษเห้งเจียว่า อย่าทำให้มันได้ความลำบากเลย ด้วยมันสารภาพรับผิดแล้ว เห้งเจียจึงว่าถ้าดังนั้นก็ให้มันอ้าปากออกเถิด ข้าพเจ้าจะได้ออกไป ปีศาจจึงอ้าปากออกเห้งเจียก็กระโดดออกมาจากปากกลายกลับเป็นรูปเดิมเงื้อตะบองจะตีปีศาจ พระศรีอารีย์ก็เรียกปีศาจเข้าถุงเสียก่อนแล้วเอามาผูกไว้กับบั้นเอ็ว มือก็ถือป้ายด่าว่า​อ้ายสัตว์เดรัจฉานยังฉาบนั้นเอาไปไว้ที่ไหน ปีศาจอยู่ในไถ้ร้องบอกว่าฉาบนั้นเห้งเจียทุบเสียแตกหมดแล้ว พระศรีอารีย์ว่าฉาบแตกแล้วก็เอาทองมาคืนให้อาตมภาพ ปีศาจบอกว่าทองนั้นเก็บไว้บนหอสูง พระศรีอารีย์จึงเรียกเห้งเจียว่าจงมาไปกับเรา เห้งเจียก็ตามพระศรีอารีย์ไปยังวัดเห็นประตูปิดแน่น พระผู้เป็นเจ้าก็เอานิ้วมือชี้ทีหนึ่งประตูก็เปิดจึงเดินเข้าไป พวกปีศาจทั้งหลายก็รู้ว่านายของตัวต้องถูกจับก็ขยับจะหนี เห้งเจียเอาตะบองตีตายเสียทั้งสิ้น
   ฝ่ายพระศรีอาริย์ครั้นเก็บได้ฉาบแตกแล้ว ก็เป่าทีหนึ่งฉาบแตกก็รวมเข้าติดกันเปนฉาบดีไปตามเดิม แล้วเสด็จปาฏิหารย์กลับไปยังสถานที่เดิม เห้งเจียก็เข้าไปแก้พระอาจารย์และหมู่เทพบุตรลักเตงลักกะแลหมู่ดาวทั้งหลาย กับกูจั๋วเจียงกุนเง้าเหลงทั้งห้า กับเจียงไท่จื๊อกับเจียงกุนทั้งสี่และโป๊ยก่ายซัวเจ๋งออกแล้ว ก็พากันออกมาข้างหอหน้า พระถังซังจั๋งก็หันหน้านมัสการไปยังอากาศคำนับขอบคุณท่านที่ได้มาช่วย เห้งเจียก็คำนับส่งเทพบุตรและเทพารักษ์และดาวทั้งหลายก็คำนับลากลับไปยังสถานที่เดิม
   ฝ่ายอาจารย์กับศิษย์พักอยู่ครึ่งวันแล้วก็พากันออกเดิน เห้งเจียก็เอาไฟเผาห้องหอเหล่านั้นเสียทั้งสิ้น ตั้งหน้าหมายปราจิณทิศ

ไม่มีความคิดเห็น: