
![]() |
รูปภาพ ; ตาเฒ่าลี้ตึ้งแกนี้ คือดาวไท๊เป๊กกิมแช แปลงรูปเป็นตาเฒ่ามาบอกข่าวให้พระถังซัมจั๋งรู้ว่าบนเขาไซท่อซัวมีปีศาจร้าย แล้วก็เหาะไปมิได้อยู่ช่วยเหลืออะไร |
(บทที่ ๗๔)
พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็พากันออกเดิน เวลานั้นก็สุดฤดูร้อนแล้ว ย่างเข้าฤดูฝนอากาศย่อมมีเมฆเย็นระรื่น พระถังซัมจั๋งกำลังขับม้าเดินมาแลไปก็เห็นภูเขายอดเยี่ยมเทียมเมฆ ก็รีบขับม้าเดินขึ้นบนภูเขา เดินมาประมาณครู่ใหญ่แลไปก็เห็นตาเฒ่าหนวดขาวผมขาวมือถือไม้ท้าว ยืนข้างเนินเขาแต่ไกล ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ท่านที่ข้ามเขาไปทิศปราจิณนั้นจงหยุดก่อน บนเขานั้นมีปีศาจยักษ์มันกินคนเสียมากแล้ว อย่าเพิ่งไปก่อน พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นก็ตกใจ พลัดตกจากหลังม้าล้มกลิ้งอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้น เห้งเจียวิ่งเข้ามาพยุงให้ลุกขึ้น แล้วพูดว่าพระอาจารย์อย่าวิตกข้าพเจ้าอยู่นี่ พระถังซัมจั๋งลุกขึ้นบอกว่า ได้ยินตาเฒ่าร้องบอกว่าที่บนเขานั้นมียักษ์ร้าย ให้ใครไปถามดูให้รู้แน่ว่าเป็นยักษ์อะไร เห้งเจียว่าพระอาจารย์นั่งรออยู่ก่อน ไว้ข้าพเจ้าจะไปถามดูจึงจะรู้เรื่อง พระถังซัมจั๋งว่าเห้งเจียรูปร่างดุร้าย ทั้งกิริยาวาจาก็หยาบคายเราวิตกเกรงเธอจะไม่บอกความจริง
เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าข้าพเจ้าจะแปลงตัวให้สุภาพเรียบร้อยอย่าวิตกเลย ว่าเล้วก็แปลงกายเป็นสามเณรน้อยรูปหนึ่ง ท่วงทีกิริยาเรียบร้อยหมดจดเดินไปหาตาเฒ่า ครั้นถึงก็ย่อตัวปราศรัยว่าท่านตาอาตมภาพคำนับ ตาเฒ่าแลไปเห็นสามเณรน้อย ก็คำนับตอบเอามือลูบศรีษะแล้วหัวเราะ ถามว่าพ่อสามเณรอยู่ถึงไหนจึงได้มาจนถึงที่นี่ เห้งเจียบอกว่าพวกอาตมภาพอยู่เมืองใต้ถังมีรับสั่งพระเจ้าแผ่นดินให้ไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เมื่อตะกี้ได้ยินท่านตาร้องบอกว่ามีปีศาจยักษ์ อาจารย์อาตมภาพตกใจกลัวจึงให้มาถามดูให้รู้แน่ว่าปีศาจยักษ์อะไรจึงอาจสามารถมากั้นสกัดทางอยู่ดังนั้น ขอท่านตาได้โปรดกรุณาชี้แจงให้อาตมภาพทราบด้วยเถิด ข้าพเจ้าจะได้คิดให้มันหลีกเลี่ยงไปให้พ้น
ตาเฒ่าหัวเราะแล้วพูดว่ารูปร่างเล็ก ๆ ดังนี้ไม่รู้จักดีชั่ว ปีศาจยักษ์มันมีฤทธาอานุภาพใหญ่หลวงนัก ทำไมจึงพูดว่าจะคิดให้มันหลีกเลี่ยงไปอย่างไรได้ เห้งเจียถามว่า มันมีฤทธาอานุภาพเชี่ยวชาญอย่างไรขอให้ทราบ ตาเฒ่าบอกว่าปีศาจนั้นมีหนังสือไปถึงเขาเล่งซัว ห้าร้อยพระอรหันต์ก็ต้องมาหาเธอ แลจดหมายลายมือขึ้นไปบนสวรรค์หมู่เทพยดาก็ต้องลงมาหาเธอ พระยานาคเล่งอ๋องทั้ง ๔ ทิศในทะเลก็เป็นมิตรสหายกัน ถ้ำเซียนฤาษีทั้งหลายก็เคยมาประชุมกับเธอ พระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบก็เป็นพี่น้องอย่างสนิทที่รัก พระภูมิเจ้าที่ก็เป็นอย่างที่ชอบพออันสนิท เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะก๊าก ๆ พูดแก่ตาเฒ่าว่าอย่างนั้นท่านตาไม่ต้องพูด ปีศาจนั้นยังเกิดทีหลังข้าพเจ้า เรื่องว่าเพื่อนฝูงแล้ว ก็ไม่เห็นจะอัศจรรย์อะไรนักหนา หากว่าปีศาจยักษ์รู้ว่าสามเณรรูปนี้มาแล้วมันก็จะต้องยกหนีไป จะไม่อาจอยู่ได้
ตาเฒ่าได้ฟังสามเณรน้อยพูดดังนั้นก็ร้องว่าอะมิโธพุทธ สามเณรองค์นี้พูดจาล้นไป วิตกว่ารูปกายนั้นจะไม่มีเวลาสูงได้อีกแล้ว เห้งเจียถามว่าท่านตาเห็นว่ารูปกายอาตมภาพได้เท่าใดหรือจึงได้ว่าดังนี้ ตาเฒ่าถามว่า ปีนี้อายุสามเณรได้เท่าใดแล้ว เห้งเจียว่าท่านตาประมาณดูว่าจะสักเท่าใดลองคะเนดูหรือจะสักกี่ขวบ ตาเฒ่าพูดว่าประมาณสักเจ็ดแปดขวบเท่านั้น เห้งเจียว่าเจ็ดแปดขวบสักพันหนก็ยังไม่เท่า เห้งเจียถามว่าปีศาจยักษ์นั้น มันมีพวกพ้องมากน้อยสักเท่าใด โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบแน่จะได้คิดกำจัดเสียก่อน ตาเฒ่าเห็นเธอพูดโอ้อวดเกินตัวก็มิได้โต้ตอบประการใด
เห้งเจียก็หันกลับมาหาพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งถามว่าไปถามได้ความมาประการใดหรือ เห้งเจียว่าการนั้นไม่รุกร้นอะไร จะเอาความกลัวของชาวบ้านนี้มาใส่ใจทำไมไม่ต้องการ มีข้าพเจ้าอยู่แล้วไม่ต้องกลัวอะไรเลย พระถังซัมจั๋งถามว่าเห้งเจียได้ถามเธอหรือเปล่าว่าเขานี้ชื่ออะไรและปีศาจยักษ์มีสักเท่าใด หนทางใหญ่ที่จะถึงวัดลุ่ยอิมยี่ไปทางไหน โป๊ยก่ายว่าพี่เห้งเจียแกพูดดูไม่มีต้นไม่มีปลาย ไปถามสองคำก็วิ่งกลับมาดังนี้ ข้าพเจ้าจะไปถามดูให้รู้แน่ พระถังซัมจั๋งว่าดีแล้วจงรีบไปเถิด โป๊ยก่ายตระเตรียมตัวดีแล้ว ก็เดินไปหาตาเฒ่าร้องเรียกว่า ท่านตาขอรับข้าพเจ้านมัสการ ตาเฒ่าถามว่าเจ้าอยู่ที่ไหนมา โป๊ยก่ายบอกว่าเป็นสานุศิษย์ที่สองของพระอาจารย์ถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าชื่อตือโป๊ยก่ายที่มาเมื่อกี้นี้พี่ของข้าพเจ้าเอง พระอาจารย์วิตกเกรงว่าเธอจะพูดจามุทะลุทำให้เป็นที่ไม่พอใจท่านตา จะถามไม่ได้เค้าเงื่อน เพราะฉะนั้นจึงให้ข้าพเจ้ามากราบเท้าถามท่านตาว่า ที่ตำบลนี้เรียกชื่อว่าอย่างไร เขาอะไร ถ้ำอะไร และปีศาจยักษ์มีนามอย่างไร มีพวกพ้องบริวารมากน้อยเท่าใด ทางไหนเป็นทางใหญ่ที่จะไปไซทีนั้น ขอท่านตาให้กรุณาโปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบด้วย
ตาเฒ่าถามว่า ตัวเป็นคนสุจริตจริงหรือมาแกล้งหลอกลวงดอกกระมัง โป๊ยก่ายว่าตั้งแต่เกิดมาข้าพเจ้าไม่เคยหลอกลวงใครสักคำเดียวก็ไม่มี ตาเฒ่าจึงยั้งสักกะเท้าพูดว่า เขานี้เรียกว่า (ไซท่อซัว) ที่กลางหว่างเขาเรียกว่าถ้ำ (ไซท่อต๋อง) ในถ้ำนั้นมีพระยายักษ์สามคน โป๊ยก่ายได้ฟังร้องว่า (อนิจจา) ยักษ์สามคนเท่านี้ท่านตาวุ่นวายใจไปได้ ข้าพเจ้าสามคนพี่น้องคนละคนก็พอฆ่ายักษ์ได้ อาจารย์ข้าพเจ้าก็จะข้ามพ้นไปได้จะยากอะไรนักหนา ตาเฒ่าหัวเราะแล้วพูดว่า นี่ยังไม่รู้ว่าตื้นลึกหนาบาง ปีศาจยักษ์ทั้งสามนั้น มีฤทธาอานุภาพใหญ่หลวงนัก มีบริวารข้างทิศเหนือ ข้างหน้า ข้างหลัง คอยลาดตระเวนระวังระไวทำการต่าง ๆ ที่มีชื่อสี่หมื่นแปดพันคน ยังที่นอกนั้นไม่นับได้ มันคอยสกัดจับมนุษย์ในตำบลนี้กิน โป๊ยก่ายได้ฟังตาเฒ่าพูดดังนั้น ตัวสั่นสะท้านวิ่งกลับมาบอกพระอาจารย์ไม่ต้องพูดแล้ว ใครก็จงรักษาชีวิตของใครเถิด
เห้งเจียด่าว่าอ้ายหมู เจ้าพูดอะไรอย่างนั้นฟังไม่ได้ โป๊ยก่ายบอกว่าตาเฒ่าแกบอกว่า เขานี้คือเขาไซท่อซัว ถ้ำไซท่อต๋อง ในถ้ำนั้นมียักษ์สามตน บริวารปีศาจมีชื่อแปดหมื่นสี่พัน ไม่มีชื่อนับไม่ถ้วน มันคอยสกัดจับมนุษย์อยู่ในตำบลนี้ พวกเราหากเดินพบปะพวกมัน ก็สำหรับเป็นเหยื่อมันทั้งสิ้น อย่านึกเลยว่าจะข้ามไปได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นขนหัวพอง เรียกเห้งเจียมาถามว่าการเป็นดังนี้เราจะคิดอ่านประการใดดี เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พระอาจารย์จงวางใจเถิด นิมนต์ท่านตั้งใจไปเถิด ข้าพเจ้าคงจะแก้ไขไปให้ได้ พระถังซัมจั๋งไม่รู้แห่งที่จะทำประการใด ก็ขึ้นม้าพากันเดินไป
ในเวลาที่เดินไปนั้นแลไม่เห็นตาเฒ่า ซัวเจ๋งว่าเห็นจะเป็นปีศาจมาทำเขียนเสือให้วัวกลัวดอกกระมัง เห้งเจียว่าเราต้องไปดูก่อน จึงขึ้นบนโขดเขาสูงแลไปรอบไม่เห็นอะไร แลไปกลางอากาศเห็นเมฆมีสีวับแวม เห้งเจียก็เหาะตามไปดู เห็นท่านไท๊เป๊กกิมแช เห้งเจียก็ร้องเรียกชื่อเดิมว่า ลี้ตึ้งแกมาบอกก็ดีแล้วทำไมไม่บอกโดยตรง แกล้งแปลงเป็นรูปตาเฒ่ามาหลอกลวงกันเล่า ไท๊เป๊กกิมแชก็ตกใจคำนับว่า ข้าพเจ้าบอกช้าไปอย่าถือโทษเลย อันปีศาจยักษ์นั้นมีฤทธาอานุภาพใหญ่หลวงนัก ถ้าท่านใต้เซี้ยคิดอ่านให้ดีก็พอจะข้ามไปได้ หากว่าใจเกียจคร้านละเลยจะไปก็ยากแท้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หันกลับลดลงยังพื้นกลับมาหาพระอาจารย์ บอกว่าตาเฒ่าเมื่อตะกี้นี้ นั้นคือท่านไท๊เป๊กกิมแชมาบอกข่าวให้รู้เหตุ
พระถังซัมจั๋งพูดว่าเห้งเจียจงรีบตามไปถามดูว่า มีทางอื่นที่จะลัดไปได้บ้างหรือไม่ พวกเราจะได้พากันหลีกไป เห้งเจียพูดว่าจะไปทางอื่นนั้นไม่ได้ หนทางนี้ข้ามไปถึงแปดร้อยโยชน์รอบสี่ทิศหนทางอื่นไม่รู้ว่ามากน้อยเท่าใดจะไปอย่างใดได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็โทมนัสร้องไห้ว่าสานุศิษย์มีความลำบากขัดข้องดังนั้นจะทำอย่างไรจึงจะไปนมัสการพระพุทธเจ้าได้เล่า เห้งเจียพูดว่าจะร้องไปให้ป่วยการทำไม แม้เธอจะมาบอกดังนั้นก็ยังจะเอาเป็นแน่ไม่ได้ ขอแต่ให้พวกเราตั้งใจให้มั่นคงเถิด อาจารย์ลงพักก่อนให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งอยู่เฝ้าอาจารย์ ข้าพเจ้าจะขึ้นไปบนยอดเขาฟังดูเหตุการณ์ จะร้ายดีเป็นประการใด ว่าแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นไปกลางอากาศ พิเคราะห์ดูเขานั้นก็เห็นเงียบสงัดไม่มีคน เห้งเจียก็ค่อยสอดดูก็ได้ยินเสียงทางเขาเอะอะอึกกะทึกตีเสียงสัญญา
เห้งเจียหันไปแลดูก็เห็นปีศาจน้อยตนหนึ่งแบกธงคันหนึ่งมียี่ห้อตัวหนังสือ ที่เอวแขวนระฆัง ๆ หนึ่ง มือก็ตีไม้เกราะเดินมาแต่ข้างทิศอุดรข้ามมาข้างทิศอาคเนย์ เห้งเจียพิเคราะห์ดูโดยละเอียดเห็นปีศาจรูปร่างสูงกว่าหกศอก เห้งเจียหัวเราะนึกว่าอ้ายคนนี้เห็นจะเป็นคนเดินส่งหนังสือ เราไปฟังมันดูก็จะรู้ได้ คิดแล้วก็ร่ายคาถาแปลงเป็นแมลงวัน โผบินจับอยู่บนยอดหมวกปีศาจนั้น ปีศาจก็เดินขึ้นทางใหญ่มือเคาะเกราะสั่นระฆังเดินไป ปากบ่นร้องว่าข้าพเจ้าเป็นคนลาดตระเวนตรวจตรา ท่านทั้งหลายจงระวังระไวให้ดี ด้วยเห้งเจียมันเข้าใจแปลงเป็นแมลงวัน เห้งเจียได้ยินก็ตกใจ คิดว่าทำไมมันจึงรู้ว่าแปลงเป็นแมลงวันและทำไมจึงรู้ว่าเราชื่อเห้งเจีย ด้วยแต่ก่อนเราก็ไม่เคยพบปะแก่มันหรือนายมันจะสั่งเสียกันไว้อย่างไรดอกกระมัง มันจึงเที่ยวร้องประกาศดังนี้
เห้งเจียชักตะบองออกจะตีแล้วยั้งนึกได้ว่าโป๊ยก่ายได้ถามไทเป๊กกิมแชว่าปีศาจนายมันสามคน บริวารมันมีถึงแปดหมื่นสี่พัน เราอย่าเพิ่งทำมันก่อนเลย แต่ไม่รู้ว่านายมันสามคนนั้นจะมีฝีไม้ลายมืออย่างไร อย่ากระนั้นเลยจำเราจะถามมันดูให้รู้เหตุแล้วจึงจะลงมือ คิดแล้วก็โผบินออกจากหมวกปีศาจขึ้นจับบนต้นไม้ ให้ปีศาจเดินพ้นไปสักสิบก้าว เห้งเจียก็แปลงเป็นปีศาจน้อยให้เหมือนกัน มือก็ถือเกราะถือระฆังสั่นมา บ่าก็แบกธงยี่ห้อเหมือนปีศาจอย่างเดียวกัน ปากก็ร้องประกาศเหมือนแก่ปีศาจ เดินตามปีศาจมาร้องเรียกว่าพี่เดินมาข้างหน้านั้นหยุดก่อน ปีศาจน้อยหันหน้ากลับมาถามว่าแกมาจากไหน เห้งเจียพูดว่าอะไรคนพวกเดียวกันก็ไม่รู้จักกันด้วย
ปีศาจว่าพวกข้าพเจ้าไม่มีแก เห้งเจียถามว่าทำไมพวกแกจึงไม่มีข้าพเจ้าเล่า เห้งเจียว่าดูให้ดีหรือจำหน้าได้หรือไม่ได้ ปีศาจว่าเราจำหน้าไม่ได้ เห้งเจียบอกว่าเราคือพวกจุดไฟ ปีศาจสั่นศรีษะะบอกว่าพวกข้าพเจ้าก็พวกจุดไฟ แต่ไม่มีคนอย่างนี้และธรรมเนียมของใต้อ๋องนั้นเข้มงวด พวกจุดไฟก็ทำธุระแต่การจุดไฟ พวกลาดตระเวนก็รักษาตามพวกลาดตระเวน ใช้ให้จุดไฟแล้วกลับใช้ให้ลาดตระเวนนั้นยังไม่เคยเห็น เห้งเจียว่าตัวไม่รู้เหตุ ข้าพเจ้าจุดไฟดีใต้อ๋องจึงให้ข้าพเจ้ามาตรวจที่นี่ ปีศาจน้อยกลับถามว่าดังนั้นหรือ พวกข้าพเจ้าสิบชื่อเป็นกองลาดตระเวนสิบหมู่รวมสี่ร้อยคนมีชื่อทุก ๆ คน และใต้อ๋องให้ป้ายสัญญาพวกข้าพเจ้าทุก ๆ คน ก็ป้ายสัญญาของตัวอยู่ที่ไหนเล่า เห้งเจียนิ่งมิได้ตอบ ก็พูดเสียงดังขึ้นว่าทำไมเราจะไม่มี เพราะป้ายของเราพึ่งรับใหม่ ก็ป้ายของตัวอยู่ที่ไหนเอาออกมาดูทีหรือ
ปีศาจก็แหวกเสื้อขึ้นชักออกมาเป็นป้ายทองคำอันหนึ่ง ส่งให้เห้งเจียดู เห้งเจียดูเห็นข้างป้ายมีหนังสือสี่ตัวว่า (ฮุยติ๋นจูมอ) แปลว่าอำนาจปกมารทั้งหลาย ข้างหน้าป้ายมีสามตัวว่า (เซี้ยวจั๊นฮอง) แปลว่ากองสอดแนม เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความยินดี แต่ในใจว่าไม่ต้องตรึกตรอง พวกนี้เป็นพวกลาดตระเวนแน่แล้ว จึงมีอักษรตัวฮองดังนี้ จึงส่งป้ายคืนให้แก่ปีศาจแล้วพูดว่า เราจะเอาป้ายของเราออกให้ดู เห้งเจียเอามืองล้วงถอนขนปลายหางเส้นหนึ่ง เสกให้เป็นป้ายทองคำอันหนึ่งเหมือนของปีศาจ มีอักษรสามตัวว่า (จ๊งจั๊นฮอง) แปลว่าบังคับพวกลาดตระเวนเอาป้ายส่งให้ปีศาจดู ปีศาจเห็นอักษรสามตัวว่า จ๊งจั๊นฮอง ก็ตกใจถามว่าของเรามีอักษรสามตัวว่าเซี้ยวจั๊นฮอง ของท่านทำไมมีจ๊งจั๊นฮอง
เห้งเจียตอบว่าตัวยังไม่เข้าใจ ใต้อ๋องเห็นว่าเรามีความชอบจุดไฟตามไฟดี จึงตั้งให้เป็นนายลาดตระเวน จึงใส่อักษรจ๊งจั๊นฮองให้เราบังคับพวกลาดตระเวรสี่สิบคน ปีศาจได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับ ว่าท่านผู้ใหญ่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านรับที่ตั้งมาใหม่ ที่ข้าพเจ้าพูดผิดพลั้งไปบ้างนั้น ขออภัยเสียเถิด เห้งเจียรับคำนับแล้วหัวเราะพูดว่า ซึ่งท่านผิดพลั้งนั้นเราไม่ถือจะต้องประสงค์อย่างหนึ่ง แต่จะต้องประสงค์เก็บเงินคนละห้าตำลึงเท่านั้น ปีศาจพูดว่า ท่านอย่ารีบร้อนเก็บนักขอทุเลาก่อน รอข้าพเจ้าข้ามไปข้างมุมเขาทิศอาคเนย์ประชุมพี่น้องพร้อมกันแล้ว จึงจะนำมากราบเท้าท่าน เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นเราจะไปด้วย แล้วปีศาจก็ออกเดินหน้าเห้งเจียก็เดินตามหลัง เดินมาประเดี๋ยวก็ถึง เห้งเจียก็ขึ้นนั่งที่บนโขดสูง ร้องเรียกว่าพวกลาดตระเวนจงมาพร้อมกัน
พวกเหล่านั้นก็พากันมาพร้อมยืนคำนับอยู่ข้างล่าง บอกว่าพวกข้าพเจ้ามาพร้อมแล้ว เห้งเจียถามว่า พวกเจ้ารู้หรือเปล่าว่าใต้อ๋องตั้งเราให้ออกมาตรวจ พวกปีศาจบอกว่าพวกข้าพเจ้ายังไม่ทราบ เห้งเจียว่าใต้อ๋องอยากกินเนื้อพระถังซัมจั๋ง แต่วิตกด้วยเห้งเจียมีฤทธิ์เดชมาก บางทีจะแปลงกายเป็นพวกลาดตระเวนมาที่นี่ สืบดูหนทางที่จะหนีไป จึงได้ตั้งให้เราเป็นที่จ๊งจั๋นฮอง บังคับตรวจตราดูแลในที่แห่งนี้ ในพวกเจ้าทั้งหลายมีใครได้เก๊บ้าง พวกปีศาจพร้อมกันพูดว่าพวกข้าพเจ้าไม่มีใครเก๊จริงทั้งนั้น เห้งเจียว่าแม้ว่าไม่ปลอมแล้วทุกคนคงจะรู้ว่าใต้อ๋องนั้นมีฤทธาอานุภาพอย่างไร พวกปีศาจบอกว่าข้าพเจ้าเข้าใจ เห้งเจียพูดว่าเจ้ารู้อย่างไรให้ว่าไปข้าจะได้รู้ว่าเจ้าจริงหรือเก๊ ถ้าพูดถูกก็เป็นจริง ถ้าพูดไม่ถูกก็เป็นเก๊เราจะจับตัวไปให้ใต้อ๋องชำระ
พวกปีศาจเห็นเห้งเจียพูดจาห้าวหาญก็คิดว่าจริงจึงได้บอกความตามจริงทุก ๆ คนว่า ข้าพเจ้าทราบว่า ใต้อ๋องมีฤทธิ์เดชปากหนึ่งอ้าจะกินเทพบุตรได้สิบหมื่น เห้งเจียได้ฟังปีศาจว่าดังนั้นจึงตวาดว่าเจ้าเหล่านี้เห็นจะเก๊ดอกกระมัง ปีศาจน้อยตกใจบอกว่า ข้าพเจ้าจริงมิใช่เก๊ เห้งเจียพูดว่า เจ้าเป็นคนไม่เก๊ทำไมจึงพูดเลอะเทอะดังนั้น ใต้อ๋องตัวใหญ่สักเท่าใดจึงจะอ้าปากกลืนคนได้ถึงสิบหมื่น ปีศาจพูดว่าท่านยังไม่ทราบเหตุเดิม ใต้อ๋องนั้นเปลี่ยนแปลงกายได้ อยากให้เท่าฟ้าก็ได้อยากให้เท่าเมล็ดพรรณผักกาดก็ได้ เหตุด้วยครั้งก่อนนางท้าวเทวราชเจ้าแม่อ๋องโป๊เนี่ยเนี้ย เลี้ยงโต๊ะชมพู่ทิพย์เป็นคราวประชุมใหญ่เชิญเทพบุตรและเทพาอารักษ์ทั้งหลาย มิได้มีหนังสือมาเชิญใต้อ๋อง ๆ จึงได้ขึ้นไปชิงชัยบนสวรรค์ เง็กเซียงฮ่องเต้ให้พลทหารเทพบุตรคุมพลสิบหมื่นลงมากำจัดใต้อ๋อง ๆ ก็แปลงตัวโตใหญ่ปากเท่าประตูเมืองจะกินพลเทพบุตรทั้งสิบหมื่น เทพบุตรไม่อาจต่อสู้ปิดประตูน่ำทีหมึง เพราะฉะนั้นปากจึงอมและกลืนพลได้สิบหมื่นคน
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ คิดในใจว่าอย่างนี้เราก็ทำได้ จึงถามอีกต่อไปว่าก็ยังใต้อ๋องที่สองนั้นมีฤทธาอานุภาพอย่างไรเล่า ปีศาจคนหนึ่งพูดว่าใต้อ๋องที่สองนั้น ตัวสูงสามวาคิ้วเรียวยาวตลอด ตานั้นดุจนกหงส์รูปงาม จมูกและฟันดุจมังกรและหงษ์ไปสู้รบแก่ผู้ใด ก็เอาจมูกยื่นออกไปม้วนถึงร่างกายจะเป็นเหล็กหรือทองแดงก็ต้องขวัญหาย เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะ แต่ไม่วิตกอะไรจึงถามต่อไปว่า ก็ใต้อ๋องที่สามนั้นมีฝีมืออย่างไร ปีศาจจึงบอกว่า ใต้อ๋องที่สามนั้นมิใช่มนุษย์นามเรียกว่า (หุ้นเที้ยบ้วนลี้พั้ง) แปลว่าพญาครุฑหมื่นโยชน์ทางเมฆ แม้จะไปไหนกระพือปีกหวั่นไหวทั้งมหาสมุทร มีของวิเศษติดตัวสิ่งหนึ่งเรียกว่า (อิมเอี๋ยงยี่ขี่เพ้ง) คือขวดประกอบฟ้าดินส่องไอถ้าจับคนใส่ในขวดสั่กชั่วโมงก็ละลายเป็นน้ำโลหิตไป
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ออกคร้ามใจอยู่คิดในใจว่า อันปีศาจนั้นไม่สู้กระไรจะต้องระวังแต่ขวด เห้งเจียจึงพูดว่าที่ตรงฤทธาอานุภาพของใต้อ๋องนั้น พวกเจ้าพูดก็ถูกต้องกันแก่ที่เรารู้มาแล้ว แต่ใต้อ๋องคนไหนเล่าจะอยากกินเนื้อถังซัมจั๋ง ปีศาจพูดว่าท่านยังไม่เข้าใจ เห้งเจียตวาดว่าเราจะไม่รู้ดังเจ้าหรือ เรากลัวพวกเจ้าจะไม่รู้ละเอียดเช่นเรา จึงให้เรามาตรวจถามพวกเจ้าดูให้แน่ ปีศาจน้อยบอกว่าที่หนึ่งกับที่สองนั้นอยู่ที่เขาไซท่อซัว ถ้ำไซท่อต๋องนั้นมานานแล้ว แต่ใต้อ๋องมิได้อยู่รวมกัน อยู่ห่างนี้ไปทางตะวันตกสี่ร้อยโยชน์ ที่ตรงนั้นมีเมืองชื่อว่าเมือง (ไซท่อก๊ก)
เมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้น กินคนหมดทั้งเมืองไม่ว่าเจ้าและขุนนางหรือราษฎรชายหญิงเด็กผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นบัดนี้จึงได้ชิงเอาบ้านเมืองเป็นที่อยู่ของเธอมาจนทุกวันนี้ ไม่ทราบว่าเธอสืบรู้มาจากไหนว่าเมืองใต้ถังมีรับสั่งให้พระถังซัมจั๋งไปไซทีอาราธนาพระธรรม แลว่าถังซัมจั๋งนั้นได้บวชบริสุทธิ์มาสิบชาติแล้ว ถ้าผู้ใดได้กินเนื้อเธอก้อนหนึ่งก็จะมีอายุยืนนาน แต่วิตกด้วยพระถังซัมจั๋งนั้นมีสานุศิษย์อยู่คนหนึ่งชื่อซึงเห้งเจีย มีฤทธิ์เดชเชี่ยวชาญมาก ใต้อ๋องที่สามเกรงว่าเธอผู้เดียวจะทำการไม่สำเร็จจึงมาผูกสมัครกับใต้อ๋องคนที่หนึ่งที่สอง รวมกันจะคอยสกัดจับพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียได้ฟังปีศาจเล่าให้ฟังทุกประการแล้ว จึงพูดว่าเจ้าทั้งหลายที่พูดมานี้ก็ไม่ผิดรู้จริงอยู่แล้ว เราไม่ต้องถามต่อไปอีกแล้ว แต่จะต้องประสงค์เงินเท่านั้น ที่เจ้ามาแรกนั้นต้องตามเราไปหาใต้อ๋อง บอกให้เธอทราบเรื่องที่เราได้มาตรวจแล้ว ปีศาจที่ลาดตระเวนมาก่อนนั้น ก็ตามหลังเห้งเจียไป
ครั้นพากันเดินมาประมาณสักยี่สิบเส้น เห้งเจียก็ชักตะบองออกตีปีศาจนั้นล้มลงเนื้อน่วมดุจถุงใส่แป้ง เห้งเจียก็ชักเอาป้ายหนังสือเหน็บหลังไว้เอาธงแบกใส่บ่ามือก็จับระฆังเคาะเกราะ ร่ายคาถาแปลงกายเป็นรูปปีศาจน้อยลาดตระเวร เดินกลับมาหาประตูถ้ำสืบดูร้ายดีของปีศาจใต้อ๋องทั้งสามนั้นว่าจะเป็นประการใด กำลังเดินมาก็ได้ยินเสียงคนโห่ม้าร้อง เห้งเจียแลไปดูที่หน้าถ้ำไซท่อต๋อง มีพวกบริวารประมาณหมื่นเศษต่างถืออาวุธ หอกดาบ แหลนหลาวทุก ๆ คน เห้งเจียยืนตรึกตรองว่า เราจะเข้าไปอ้ายปีศาจใหญ่ใต้อ๋องมันจะถามเหตุการณ์ลาดตระเวน เราก็จะโต้ตอบตามการ บางทีจะพูดผิดไปรู้ถึงเรา ๆ ก็จะวิ่งหนีออกไป พวกที่เฝ้าประตูนั้นถ้ามันจับตัวไว้จะทำอย่างไรจึงจะหนีไปได้ ก็จะต้องถูกจับตัวไปให้ใต้อ๋อง จ่าเราจะต้องกำจัดพวกที่อยู่หน้าประตูเสียก่อน ทั้งปิศาจใต้อ๋องมันก็ยังมิได้เคยรู้จัก รู้แต่ชื่อเท่านั้น เราลองพูดกระทบดูสักคำหนึ่งจะเป็นประการใด
เห้งเจียคิดดังนั้นแล้ว มือสั่นระฆังเคาะเกราะเดินไปยังประตูถ้ำ ครั้นถึงพวกปีศาจกองหน้าถามว่าท่านลาดตระเวรมาแล้วหรือ เห้งเจียไม่พูดว่ากระไร เดินเลยเข้าไปถึงประตูชั้นที่สองพวกเฝ้าประตูก็ยึดไว้ถามว่าท่านลาดตระเวนมาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้ามาแล้ว ถามว่าไปลาดตระเวนคราวนี้ พบปะตัวเห้งเจียบ้างหรือเปล่า เห้งเจียตอบว่า เราได้ไปพบเธอกำลังถูสีอยู่ พวกนั้นถามว่า รูปร่างเป็นอย่างไรถูสีอะไร เห้งเจียตอบว่า รูปร่างดุจพระยายมราชยืนขึ้นสูงประมาณยี่สิบวากว่า มือถือตะบองเหล็กโตประมาณสี่กำ กำลังยืนถูตะบองอยู่ที่ริมห้วยน้ำ ปากพูดว่าตั้งแต่เอามาก็ยังมิได้เอาออกแผลงฤทธิ์ลองฝีมือเลย ในครั้งนี้ปิศาจสิบหมื่นมันจะต้องตายแทนเราก่อน ถ้าเราฆ่าอ้ายปีศาจใต้อ๋องทั้งสามแล้ว เราจึงจะเส้นให้แก่พวกปีศาจน้อยเหล่านั้น เธอจะฆ่าพวกตัวก่อนทั้งนั้น
พวกปีศาจน้อยได้ฟังดังนั้นทุก ๆ คนจิตใจได้หวั่นหวาด เห้งเจียจึงพูดต่อไปว่า ท่านทั้งหลายจงเข้าใจเถิดว่า อันเนื้อหนังถังซัมจั๋งนั้นไม่มีกี่ชิ้น หากจะแจกไม่ถึงเรา พวกเราหากจะพอใจไปตายแทนหรือ สู้เราพากันแยกย้ายซ่อนเร้นไปเสียดีกว่า พวกพลปีศาจเหล่านั้นพูดว่าพี่พูดดังนี้ถูกต้อง เราทั้งหลายควรจะรักชีวิตของเรา โดยเหตุว่าพวกเราทั้งหลายรับคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งตั้งอยู่ในยุติธรรม ถึงจะตายก็ไม่อาจทิ้งไปได้ นี่มันเป็นพวกสัตว์เนื้อเสือร้าย เราไม่ควรจะเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่า ๆ พูดแล้วก็ต่างคนแยกย้ายกันไปหมดทั้งสิ้น
(บทที่ ๗๕)
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็มีความยินดี จึงเดินเข้าไปในถ้ำถึงประตูชั้นที่สาม แลขึ้นไปเห็นปีศาจทั้งสามนั่งอยู่ข้างบน พิเคราะห์ดูกิริยาหน้าตาดุร้าย ที่เป็นนายหมวดนายกองยืนเรียงรายสองข้างเป็นลำดับ เห้งเจียก็มิได้สะดุ้งหวาดหวั่นจึงเดินเข้าไปถึงเอาเกราะระฆังธงวางลงแล้ว คำนับร้องเรียกว่าใต้อ๋อง ฝ่ายปีศาจทั้งสามถามว่าเจ้าจั๊นฮอง ไปลาดตระเวนกลับมาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้ากลับมาแล้ว ปีศาจถามว่า เจ้าไปลาดตระเวนฟังข่าวซึงเห้งเจียนั้นได้ข่าวอยู่ที่ไหน มาหรือยังเป็นประการใดบ้าง เห้งเจียว่าใต้อ๋องอยู่ข้างบนข้าพเจ้าไม่กล้าบอก ปีศาจถามว่าเหตุใดไม่กล้าบอก เห้งเจียบอกว่าใต้อ๋องมีคำสั่งให้ข้าพเจ้าไปลาดตระเวน ข้าพเจ้าไปเห็นคนหนึ่งยืนถูขัดตะบองอยู่ข้างห้วย รูปร่างดุจพระยายมราช ยืนสูงสักยี่สิบวากว่า นั่งบนก้อนศิลาใหญ่ขัดถูเครื่องมือปากก็พูดแก่เครื่องมือว่า ตั้งแต่มาก็ยังมิได้เอาออกแผลงฤทธิ์แสดงอานุภาพให้ปรากฎเลย เธอจะมาตีใต้อ๋อง ข้าพเจ้ารู้แน่ว่าเห้งเจีย จึงรีบกลับมาบอกใต้อ๋องให้ทราบเสียก่อน เพื่อจะได้คิดอ่านต่อสู้ประการใด
ฝ่ายปีศาจใต้อ๋องเมื่อได้ฟังดังนั้น เหงื่อไหลโทรมกาย แล้วพูดว่าเราพี่น้องอย่าได้ไปถูกต้องพระถังซัมจั๋งเลยจะเกิดเหตุใหญ่ ด้วยเธอมีสานุศิษย์ซึ่งมีฤทธาอานุภาพใหญ่หลวง มันคอยระวังเสียก่อนแล้ว มันกลับเตรียมอาวุธจะมาทำร้ายเราก่อน พวกเราจะคิดอย่างไร ควรเราจะให้พวกปีศาจน้อยปิดประตูเสียทุก ๆ ประตู คอยระวังและให้พวกปีศาจน้อยเข้าอยู่ในประตูให้หมด ปล่อยให้พระถังซัมจั๋งเธอข้ามไปเสียเถิด
พวกนายหมวดนายกองที่รู้เหตุบอกแก่ปีศาจใต้อ๋องว่า พวกปีศาจน้อยเหล่านั้นพากันหลบหนีไปหมดแล้ว ปีศาจใต้อ๋องถามว่าทำไมจึงพากันแตกไปหมดเล่า หรือได้ฟังลมว่าไม่ดีดอกกระมัง จงรีบปิดประตูเสียโดยเร็วเถิด พวกปีศาจเหล่านั้นต่างก็วุ่นวายกันรีบปิดประตูในนอกทุก ๆ ประตู เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจว่า มันปิดประตูเสียทุกๆ ประตูดังนี้ บางทีมันจะถามความลับเรา ถ้าเราพูดไม่ตลอดก็จะมิต้องหนีหรือ จำเราจะหลอกให้มันตกใจอีกสักที ให้มันเปิดประตูไว้ คิดแล้วจึงพูดว่าใต้อ๋องเห้งเจียนั้นมันได้พูดว่าร้ายแรงนัก
ใต้อ๋องถามว่ามันพูดว่ากระไร เห้งเจียบอกว่ามันพูดว่า มันจะจับใต้อ๋องลอกหนังเสีย แล้วจับใต้อ๋องที่สองสับให้กระดูกละเอียด จับใต้อ๋องที่สามชักเอาเอ็นออก แม้ว่าเราปิดประตูอยู่ในนี้ไม่ออกไป เห้งเจียมันเข้าใจเปลี่ยนแปลงกายได้ บางทีมันจะแปลงเป็นแมลงวันบินลอดเข้ามาในถ้ำนี้ จับพวกเราหมดเพราะปิดประตูขังไว้ให้มัน ใต้อ๋องจะควรคิดประการใดดีเล่า ปีศาจใต้อ๋องจึงพูดว่าไมเป็นไร แล้วสั่งว่าพวกเราจงระวังให้กวดขัน ในถ้ำของเรานี้หลายปีมาแล้วมิได้มีแมลงวันหัวเขียว ถ้ามีแมลงวันหัวเขียวเข้ามาแล้ว ก็คงจะเป็นเห้งเจียเป็นแน่ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็นึกหัวเราะอยู่ในใจ จึงยืนแอบมาข้างหนึ่งถอนเอาขนหางออกเส้นหนึ่ง เป่าแปลงเป็นแมลงวันทองตัวหนึ่ง บินมาจับที่หน้าปีศาจใต้อ๋อง ๆ ตกใจร้องว่า พวกพี่น้องเห็นจะไม่เป็นการพอพูดก็เข้ามาแล้ว
พวกปีศาจใหญ่น้อยก็พากันตกใจวุ่นวาย ต่างเอาแส้และไม้กวาดตั้งใจคอยตี และปัดแมลงวัน เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะก๊ากใหญ่ ร่างกายก็กลายเป็นรูปเดิม ปีศาจใต้อ๋องที่สามเห็นดังนั้นก็มาจับตัวเห้งเจียไว้ พูดว่าพี่ใต้อ๋องพวกเราถูกมันหลอกให้แล้ว ที่มาบอกข่าวนี้ไม่ใช่พวกจั๊นฮองลาดตระเวน นี่คือซึงเห้งเจียมันไปพบพวกลาดตระเวนมันตีตายเสียแล้วแปลงกายมาหลอกลวงเรา จึงเรียกพวกปีศาจให้เอาเชือกมามัด จึงจับเห้งเจียพลิกหงาย ขึงมือและเท้าออกสี่แยกแล้ว จึงเปิดเสื้อขึ้นดูก็เป็นวานร ปีศาจที่หนึ่งจึงพิเคราะห์ดูก็พูดว่าจริงแล้วคือเห้งเจียเป็นแน่ จึงสั่งพวกพนักงานให้จัดโต๊ะสุรา มาให้ใต้อ๋องทั้งสามกินเป็นที่สำราญรื่นเริง จับอ้ายเห้งเจียได้แล้ว ถังซัมจั๋งก็เหมือนอยู่ในกำมือไม่ต้องวิตกแต่อย่างใด
ปีศาจใต้อ๋องที่สามพูดว่า อย่าเพิ่งกินสุราก่อน ด้วยอ้ายเห้งเจียนี้มันเข้าใจบังตัวได้จะหนีไปเสีย จึงเรียกปีศาจน้อยสามสิบหกคนให้เข้าไปหามเอาขวดวิเศษออกมา จะได้ใส่อ้ายเห้งเจีย (เหตุใดขวดเท่านั้น จึงต้องยกถึงสามสิบหกคน เพราะขวดนั้นประกอบไอธาตุฟ้าดิน และในนั้น มีของวิเศษทั้งเจ็ดและธาตุโป๊ยก่วยทั้งแปดและประกอบยี่สิบสี่ไออากาศ จึงต้องสามสิบหกคนยก) พวกปิศาจเข้าไปหามขวดออกมาวางไว้กับพื้น ใต้อ๋องที่สามเดินมาเปิดฝาขวดออกแล้วแก้มัดเห้งเจีย ถอดเสื้อกางเกงออกแล้วก็จับยัดใส่ในขวด ร่ายเวทเป่าลงทีหนึ่ง เห้งเจียก็เข้าอยู่ในขวด จึงเอาฝาปิดดีแล้ว มานั่งเสพสุราพูดว่า อ้ายลิงมึงเข้าอยู่ในขวดแล้ว มึงอย่านึกเลย ว่าจะไปไซทีนั้นพวกบริวารปีศาจใหญ่น้อยเหล่านั้นก็พากันรื่นเริงหัวเราะ พูดสรรเสริญใต้อ๋องที่สาม
ฝ่ายเห้งเจียเข้าอยู่ในขวด ถูกขวดวิเศษรัดตัวเล็กลง เห้งเจียก็แอบเข้าอยู่ข้างขวดประเดี๋ยวก็มีไอเย็นออกชื่นใจนึกขึ้นได้ก็หัวเราะว่า อ้ายพวกปีศาจมันพากันลือเสียเวลาเปล่า ๆ ไม่เห็นจริง คือว่าขวดนี้ใส่คนเข้าไปสามชั่วโมงก็แปรเป็นน้ำโลหิต ก็นี่ออกไอเย็นๆ ดังนี้จะอยู่ในนี้สักเจ็ดแปดปีก็ได้ไม่เห็นจะเป็นอะไร เมื่อเห้งเจียพูดขึ้นดังนั้นก็บังเกิดไฟขึ้นทันที แต่เห้งเจียมีธรรมอันวิเศษอยู่ในตัว จึงร่ายคาถาสะกดไฟใจก็ไม่หวั่นหวาด อยู่ได้ครึ่งชั่วโมง รอบขวดมีงูออกมาสี่สิบตัวไล่กัดเห้งเจีย ๆ ก็เอามือคว้าจับดึงขาดเป็นสองท่อน รวมเป็นแปดสิบท่อน ยังมีมังกรไฟสามตัวออกมาพันเห้งเจีย ๆ นึกเสียใจแล้วพูดว่าอย่างอื่นพอทนได้ มังกรไฟสามตัวนี้ยากที่จะแก้ได้ จึงกลับสู้อีกพักหนึ่งไฟก็ร้อนจับใจ
เห้งเจียนึกขึ้นได้ว่า เราทำตัวเราให้สูงขึ้นไปให้ฝาขวดเปิดออก คิดแล้วก็ร่ายคาถาทำตัวให้สูงขึ้นสักสองสามวา แต่ขวดนั้นก็ยืดตามขึ้นไป เห้งเจียกลับทำตัวให้เล็กลงขวดก็เล็กลงตาม เห้งเจียสิ้นปัญญาไม่รู้ที่จะแก้ไขอย่างไรได้ ตัวก็เจ็บปวดไปทั้งตัวไฟก็เผาอ่อนลงทุกที ทุรนทุรายในใจอดอยู่ไม่ได้น้ำตาก็ไหลร่วงคร่ำครวญถึงพระอาจารย์ และท่านพระโพธิสัตว์ได้ชักนำสั่งสอนให้รักษาความชอบธรรมเพื่อให้พ้นโพยภัยอันตราย อาจารย์กับข้าพเจ้าได้ทนยากทรมานเผ็ดร้อนตั้งพันตั้งหมื่นครั้ง ก็เพราะจะตั้งใจให้สำเร็จซึ่งมรรคผล ไม่รู้เลยมาวันนี้เข้าอยู่ในขวดนี้จะเอาชีวิตมาทิ้งเสีย แล้วนึกดูว่าเดิมคงจะได้ทำไว้ จึงมาวันนี้จะต้องอันตรายอย่างนี้
เวลาที่เห้งเจียคร่ำครวญอยู่นั้น ก็พอนึกขึ้นได้ว่า เมื่อที่เขาจั๋วบั๊วซัวนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิมได้ให้ขนช่วยชีวิตเราสามเส้น ทำไมเราไม่เอาออกมาช่วยชีวิตเล่า เห้งเจียจึงเอามือคลำที่ท้ายทอย ขนนั้นแข็งดุจเข็ม เห้งเจียก็ถอนออกมาสามเส้น ๆ หนึ่งแปลงเป็นหมุดแหลม เส้นหนึ่งแปลงเป็นสายด้วย เส้นหนึ่งแปลงเป็นด้ามไม้ไผ่ ทำเป็นสว่านเจาะขวดนั้นทะลุและเห็นแสงสว่างมีไออากาศเข้ามาในขวด เห้งเจียก็เรียกขนกลับเข้าตัว จึงแปลงตัวเล็กเท่าแมลงหวี่ บินลอดออกมาตามรูที่เจาะนั้น ก็ยังไม่หนึไปกลับบินขึ้นจับอยู่บนศรีษะปีศาจใต้อ๋อง
เวลานั้นปีศาจกำลังเสพสุราอยู่ นึกขึ้นได้จึงถามน้องคนที่สามว่า ป่านนี้เห้งเจียจะไม่แปรเป็นน้ำเลือดไปแล้วหรือ ใต้อ๋องที่สามพูดว่ามันจะทนอยู่ได้จนป่านนี้ทีเดียวหรือใต้อ๋องที่สามก็หามขวดมา พวกปีศาจสามสิบหกคนก็พากันไปหามขวดนั้นมา ขวดนั้นก็เบาไปมาก จึงร้องบอกปีศาจใต้อ๋องว่าขวดทำไมจึงเบาไปดังนี้เล่า ใต้อ๋องจึงตวาดว่าพูดเลอะเทอะมีปีศาจผู้หนึ่งยกขวดมาคนเดียว แล้วพูดว่าใต้อ๋องจงดูขวดทำไมจึงได้เบาไปอย่างนี้ ปีศาจใต้อ๋องเปิดฝาตรวจดูเห็นขวดทะลุเป็นรูที่ก้นขวด เห้งเจียอยู่บนศรีษะปีศาจอดมิได้พูดออกมาว่า เราเจาะทะลุออกมาเองพวกปีศาจพูดว่ามันหนีไปแล้ว ปีศาจใต้อ๋องก็สั่งให้พวกปีศาจรีบปิดประตู
เห้งเจียร่ายพระเวทเรียกเอาเสื้อกางเกงมาแล้ว ก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม หนีออกจากประตูถ้ำ เหาะขึ้นไปทาอาจารย์ครั้นถึงก็เดินเข้ามานมัสการพูดว่าพระอาจารย์ข้าพเจ้ามาแล้ว พระถังซัมจั๋งว่าเห้งเจียไปนานนักอาตมาคอยเป็นทุกข์อยู่ ที่ในเขานั้นร้ายดีอย่างไรบ้าง เห้งเจียก็เล่าเรื่องที่เข้าไปทนทุกข์อยู่ในขวดนั้นให้พระอาจารย์ฟัง จนกลับมาหาพระอาจารย์ได้ เปรียบเหมือนได้เกิดใหม่อีกชาติหนึ่ง พระถังซัมจั๋งได้ฟังก็มีใจขอบคุณเห้งเจียเป็นอันมาก แล้วถามว่าเห้งเจียได้ต่อสู้แก่ปีศาจยักษ์หรือเปล่า พวกเราจะทำอย่างไรจึงจะข้ามเขาไปได้ เห้งเจียบอกว่าใต้อ๋องนั้น มันมีสามคนปีศาจบริวารมีกว่าแสน ข้าพเจ้าคนเดียวไม่กล้าจะต่อสู้แก่มัน คราวนี้ข้าพเจ้าจะให้โป๊ยก่ายไปด้วยอีกคนหนึ่งจะได้ช่วยกัน
โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงแต่งตัวให้มั่นคง เห้งเจียกับโป๊ยก่ายก็พากันเหาะไป บัดเดี๋ยวก็มาถึงประตู แลไปเห็นประตูถ้ำปิดแน่น หน้าประตูเงียบสงัดไม่เห็นมีคนรักษา เห้งเจียถือตะบองเดินเข้าไปใกล้ประตู ร้องด่าว่าอ้ายพวกมารร้ายไม่มีเงาหัวเองจงเร่งเปิดประตูออกมาต่อสู้แก่เรา เมื่อปีศาจใต้อ๋องได้ฟังเห้งเจียมาร้องด่าท้าทายดังนั้น อกใจให้หวั่นหวาดครั่นคร้ามด้วยเหตุเขาเล่าลือกันมาช้านานแล้วว่า อ้ายลิงตัวนี้มันดุร้ายห้าวหาญนัก ก็สมจริงดังคำเล่าลือ มันแปลงเป็นพวกลาดตระเวนเข้ามาเราก็มิได้รู้เท่า ครั้นใต้อ๋องที่สามรู้จับตัวใส่ขวดไว้ มันก็เจาะขวดทะลุหนีออกมาได้ แล้วยังกลับมาท้าชวนรบ ผู้ใดจะสามารถออกไปสู้รบได้บ้าง
เมื่อปีศาจใต้อ๋องถามขึ้นดังนั้น ก็มิได้มีผู้ใดจะตอบว่ากระไร ปีศาจใต้อ๋องก็มีความโกรธยิ่งนัก จึงพูดว่าเราอยู่หนทางไซทีนี้ วันนี้อ้ายเห้งเจียมันมายืนท้าทำหมิ่นประมาทดังนี้ ถ้าไม่ออกไปรบต่อสู้แก่มันเราก็จะเสียชื่อเสียง จำจะต้องออกไปสู้รบแก่มัน ถ้าได้ชัยชนะเนื้อถังซัมจั๋งก็จักเป็นเหยื่อของเรา ถ้าเราสู้มันมิได้ เราก็หนีเข้าถ้ำปิดประตูนิ่งเสีย ปล่อยให้มันข้ามเขาไป คิดเห็นดังนั้นแล้วก็จัดแจงแต่งตัวใส่เกราะถืออาวุธเปิดประตูออกมาร้องถามว่า อ้ายคนใดมาร้องท้าทายว่ากระไร เห้งเจียตอบว่าเราเอง ชื่อว่าซึงหงอคงซีเทียนใต้เซี้ย
ปีศาจใต้อ๋องถามว่า อ้ายชาติลิงหัวใจใหญ่ เรามิได้ไปเกี่ยวข้องอะไรถึงเจ้า เหตุใดเจ้าจึงมาร้องเรียกร้องหาท้าทายดังนี้เล่า เห้งเจียตอบว่าเจ้าไม่เกี่ยวถึงข้าก็ดีแล้ว แต่เจ้าเป็นสมัครพรรคพวกสัตว์เนื้อเสือร้าย คิดจะกินเนื้ออาจารย์เรา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมาทำอิทธิฤทธิ์ ปีศาจใต้อ๋องพูดว่า แม้ว่าเจ้าเป็นคนเก่งเชี่ยวชาญจริงแล้ว จงมาต่อสู้กันตัวต่อตัวอย่าให้ต้องพวกพลทหารได้ความยากเลย ไว้ชื่อเสียงให้ปรากฎไปภายหน้า เห้งเจียได้ฟังดังนั้น จึงเรียกโป๊ยก่ายมาสั่งว่า ให้มาคอยดูอยู่ที่นี้ว่าปีศาจมันจะทำประการใดแก่พี่ โป๊ยก่ายก็มายืนอยู่ใกล้เห้งเจีย ปีศาจใต้อ๋องจึงพูดว่า เจ้าก้มศรีษะมาให้เราฟันก่อนสักสามที ถ้าไม่เป็นอันตรายแล้ว เราจะปล่อยให้เจ้าไป หากคุ้มศรีษะของเจ้ามิได้แล้ว จงส่งถังซัมจั๋งมาให้เรา พอเป็นกับข้าวมื้อหนึ่ง
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วด่าว่าอ้ายเดรัจฉาน ในถ้ำของเจ้ามีหมึกปากกา กระดาษ หรือไม่ ถ้ามีก็ให้เอามาเขียนหนังสือสัญญาให้เป็นที่เชื่อฟังกันได้ว่าไม่พลิกแพลงกลับกลอก เราจะยอมให้เจ้าทำตามคำขอร้องแลพูดสัญญา ปีศาจได้ฟังดังนั้นจึงจัดแจงแต่งกายมั่นคงแข็งแรงแล้วสองมือก็จับง้าวหมายตรงกระหม่อมเห้งเจีย ฟันลงไปโดยเต็มกำลัง ก็ไม่เห็นเห้งเจียมีบาดแผลหรือหวาดหวั่นประการใด จิตใจให้ครั่นคร้าม เห้งเจียพูดว่าเจ้ามิได้รู้กำเนิดของข้าว่าเป็นมาประการใด คือเหล็กกับทองแดงนั้นเป็นสมองของข้า ๆ เคยอยู่เบ้าของท้ายเสียงเล่ากุน ซึ่งเทพยดาประกอบหล่อทำจนสำเร็จ
ปีศาจว่าเองอย่าเพิ่งพูดตีฝีปากไปก่อนมาให้เราฟันอีกสักทีหนึ่ง ศรีษะเจ้าก็จะแยกออกเป็นสองซีก เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายมารทำไมไม่มีตา มึงดูศรีษะกูเห็นเป็นประการใด เราจะให้เองลองฟันดูอีกสักทีหนึ่ง ศรีษะเราจะเป็นซีกออกไปหรือไม่ ว่าแล้วก็ยื่นศรีษะมาให้ปีศาจฟัน ปีศาจก็เงื้อมง้าวฟันลงไปเต็มแรง เสียงดังครืนศรีษะเห้งเจียก็แยกออกไปเป็นสองซีก เห้งเจียก็แปลงเป็นสองรูป ปีศาจเห็นดังนั้นก็ตกใจ มือจ้บง้าวคอยระวังอยู่ แล้วพูดว่าได้ยินว่าเจ้ามีวิชาแยกกายได้ ทำไมจึงเอามาทำต่อหน้าเราดังนี้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายมารร้ายทำไมกับการแยกกาย ไม่ยากอะไร หากจะฟันสักหมื่นทีก็จะออกสักหมื่นกาย
ปีศาจใต้อ๋องพูดว่า เจ้าเข้าได้แต่แยกกายมาก ไม่เข้าใจรวมกายเป็นคนเดียว หากเจ้ารวมได้เราจะให้ตีเราด้วยตะบองสักทีหนึ่ง เห้งเจียพูดว่าเจ้าลั่นปากออกมาแล้ว เจ้าอย่าทิ้งถ้อยคำเสีย เห้งเจียก็สำรวมจิตภาวนาหมุนกาย กายก็รวมเข้าเป็นรูปเดียวอย่างเดิม ชักตะบองออกเดินตรงมาจะตีปีศาจ ปีศาจยกง้าวขึ้นรับรบกันโดยสามารถอยู่ที่หน้าถ้ำแล้วเหาะขึ้นรบกันบนอากาศได้ยี่สิบเพลงยังไม่แพ้ไม่ชนะกัน
ฝ่ายโป๊ยก่ายยืนอยู่ข้างล่าง เห็นคนทั้งสองสู้รบกันโดยความเข้มแข็ง อดไม่ได้ก็ถือตราดเหล็กเหาะขึ้นไปเข้าช่วยเห้งเจียระดมรบ ปีศาจใต้อ๋องทานกำลังไม่ไหว ก็หนีทิ้งมีดหันกลับลงมายังพื้น เห้งเจียร้องตวาดว่าให้ไล่ตามไป โป๊ยก่ายเห็นได้ทีก็ไล่กระชั้นมา ปีศาจเห็นโป๊ยก่ายไล่กระชั้นมาก็หลบเข้าข้างชายเขา แปลงรูปอ้าปากดังประตูเมืองตรงเข้ามาจะอมโป๊ยก่ายกลืน โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หันกลับวิ่งหนีเข้าไปซ่อนอยู่ในพุ่มรก ตัวสั่นนั่งคอยแอบฟังอยู่ ฝ่ายเห้งเจียวิ่งตามหลังมาถึง ก็เอาตะบองเข้าต่อสู้ ปีศาจก็อ้าปากอมกลืนเห้งเจียเข้าไปในท้อง โป๊ยก่ายซุ่มอยู่ในรกเห็นดังนั้นก็ตกใจ บ่นว่าอ้ายเป๊กเบ๊อุนไม่รู้จักหลบหลีก ทำไมจึงไม่หนีมันเล่า กลับไปสู้กับมันให้มันกลืนเข้าไปในท้องเสีย วันนี้ยังเป็นคนพรุ่งนี้จะเป็นอะไรก็ไม่รู้
ฝ่ายปีศาจมีชัยชนะแล้วก็กลับไป โป๊ยก่ายจึงมุดออกมาจากรก เดินกลับไปทางเก่า พระถังซัมจั๋งกับซัวเจ๋งนั่งอยู่ที่ชายเขาคอยแลดู ก็เห็นโป๊ยก่ายวิ่งกระหืดกระหอบมา พระถังซัมจั๋งก็ตกใจจึงถามว่าโป๊ยก่ายเป็นอะไรดังนั้น ทำไมไม่เห็นเห้งเจียกลับมา โป๊ยก่ายก็ร้องไห้เสียงโฮ ๆ บอกว่าพี่เห้งเจียนั้นปีศาจมันกลืนเข้าไปในท้องมันเสียแล้ว พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็ล้มลงกับพื้นแน่นิ่งไป บัดเดี๋ยวก็กลับฟื้นขึ้นมาลุกขึ้นกระทืบเท้าทุบอกบ่นคร่ำครวญว่า เราเห็นสานุศิษย์เชี่ยวชาญปราบยักษ์มารที่ร้ายกาจตลอดมา เหตุใดวันนี้จึงมาถึงแก่ความตายเสียด้วยมือมารดังนี้เล่า ฝ่ายโป๊ยก่ายเมื่ออาจารย์โศกาอาดูรดังนั้นก็มิได้ประคับประคองปลอบโยน จึงเรียกซัวเจ๋งมาบอกว่าให้เอาข้าวของมาแบ่งปันกันสองคน
ซัวเจ๋งถามว่าพี่จะแบ่งปันข้าวของทำไม โป๊ยก่ายว่าเราแบ่งปันกันแล้วก็จะได้ต่างคนต่างไปตามอำเภอใจ เจ้ากลับไปลำแม่น้ำลิ่วซัวฮ้อคอยจับคนไปอย่างเดิม เราจะกลับไปบ้านเกาเล้าจึง เพื่อจะได้อยู่กับเมียเรา เอาม้าขายเสียแล้วเอาเงินไปซื้อเครื่องที่ส่งการตายให้อาจารย์ไป พระถังซัมจั๋งได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็ให้เจ็บช้ำในใจ จึงร้องว่าฟ้าดินขึ้นค่ำหนึ่งแล้วก็ร้องไห้
ฝ่ายปีศาจยักษ์ครั้นกลืนเห้งเจียเข้าไปในท้อง แล้วก็คิดว่าได้การกลับมาถึงถ้ำบอกกับพวกพ้องว่าเราจับมาได้คนหนึ่งแล้ว ใต้อ๋องที่สองถามว่าพี่จับได้ใครคนหนึ่ง ใต้อ๋องคนใหญ่จึงบอกว่า พี่จับได้อ้ายซึงเห้งเจีย ใต้อ๋องที่สองถามว่าพี่จับได้เอาไว้ที่ไหน ใต้อ๋องใหญ่บอกว่าเรากลืนมันเข้าไว้ในท้อง ใต้อ๋องที่สามได้ฟังดังนั้นก็ตกใจว่า ข้าพเจ้าหาทันจะบอกพี่ไม่ เห้งเจียนั้นกินไม่ได้ เห้งเจียอยู่ในท้องร้องบอกว่ากินได้แล้ว แก้หิวได้ไม่ต้องหิวอีก พวกปีศาจน้อยอยู่ข้างนั้น ได้ยินเห้งเจียพูดอยู่ในท้องใต้อ๋องใหญ่ดังนั้นก็พากันตกใจ บอกว่าใต้อ๋องเห็นจะไม่ดีเสียแล้ว เห้งเจียเข้าไปอยู่ในท้องยังพูดได้อยู่ฉะนี้ ใต้อ๋องพูดว่าไม่ต้องกลัว เรากินเข้าไปแล้วถึงมันจะวิเศษอย่างไรก็ไม่กลัว มันจะทำอะไรได้ พวกเจ้ารีบไปต้มน้ำเกลือมาเราจะได้กินเข้าไปสำรอกมันออกมา แล้วจะได้เอาปิ้งแกล้มสุรากิน
พวกปีศาจน้อยก็ไปต้มน้ำเกลือมาวางไว้กะถางหนึ่ง ปีศาจใต้อ๋องก็ยกกะถางน้ำเกลือขึ้นดื่มหมดกะถาง เห้งเจียก็เลื่อนขึ้นมาอยู่ที่คอหอยปีศาจใต้อ๋องคลื่นใส้ก็อาเจียนออกมาจนหน้ามืดตามัว รากเขียวรากเหลืองเอาน้ำดีออกมาขมคอ เห้งเจียก็มิได้ออก ปีศาจอ่อนใจเหนื่อยหอบสิ้นกำลังจึงเรียกว่าซึงเห้งเจียทำไมจึงไม่ออกมาเล่า เห้งเจียร้องบอกออกมาว่าดีแล้ว ๆ เราไม่ออกไปละ ปีศาจถามว่าทำไมจึงไม่ออกมาเล่า เห้งเจียว่าอ้ายมารทำไมมึงจึงไม่รู้เวลากาล เราเป็นศิษย์พระ เป็นคนอนาถา เวลาฤดูนี้เป็นฤดูฝนเราไส่เสื้อกั๊กตัวเดียวเครื่องนุ่งห่มไม่บริบูรณ์ เข้าอยู่ในท้องนี้อุ่นดีลมก็พัดไม่ถูกตัว เราจะอยู่ให้พ้นฤดูหนาวแล้วจึงจะออกไป
พวกปีศาจน้อยได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น ก็พูดแก่ใต้อ๋องว่าเห้งเจียมันจะอยู่ในท้องจนสิ้นฤดูหนาวเห็นจะไม่ได้การเสียแล้ว ปีศาจใต้อ๋องพูดว่ามันอยากอยู่ให้มันอยู่ไปเราจะเข้าฌานไม่กินอาหารทั้งฤดู ทำให้มันอดตายอยู่ในท้อง เห้งเจียจึงพูดว่าอ้ายลูกกู มึงไม่รู้เหตุตลอดตั้งแต่เราตามรักษาพระอาจารย์มา แม้จะข้ามห้วยฌานเขายากแค้นกันดารอย่างไร เราก็มีหม้อข้าวและเสบียงอาหารติดตัวอยู่ด้วยเสมอ ในท้องเองมีเครื่องในสารพัด ตับ ไต ใส้ ปอดเราจะต้มกินให้สบาย แม้สักห้าเดือนก็ไม่หมดเสบียงในท้องเอง ปีศาจใต้อ๋องที่สองได้ยินเห้งเจียบอกดังนั้นก็ตกใจพูดว่าพี่ เห้งเจียมันจะไม่ออกแล้ว ปีศาจใต้อ๋องที่สามพูดว่าพี่ เห้งเจียมันจะกินเครื่องในมันจะตั้งเตาไฟต้มที่ไหน
เห้งเจียร้องบอกออกมาว่า เราจะตั้งเตาที่สะโพกคือที่เชิงกรานก้นนั่ง ปีศาจที่สามได้ยินก็ตกใจพูดว่าเห็นจะไม่ได้การ หากตั้งเตาที่ตรงนั้น ควันจะพลุ่งขึ้นมาทางจมูกและปากจะหายใจไม่ทันก็จะไอจามจะมิตายหรือ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าไม่เป็นไร เรามีตะบองเหล็กจะกระทุ้งกระหม่อมให้ทะลุขึ้นไปเป็นปล่องเพื่อควันไฟจะได้ออกทางนั้น ปีศาจใต้อ๋องที่สามได้ฟังดังนั้น จิตใจก็ไม่สบายแต่ปากพูดว่าไม่เป็นไร จึงร้องว่าพี่น้องเราอย่าวิตกจึงเอาเหล้ายามาให้เรากินลงไปสักสองสามชาม ฆ่าอ้ายลูกลิงให้ตายอยู่ในนั้น เห้งเจียได้ยินก็นึกหัวเราะอยู่แต่ในใจ จึงพูดว่าเหล้ายาอย่างใดที่จะมิได้กินก็เห็นจะไม่มี พวกปีศาจน้อยก็ยกเหล้ายามาวางไว้สองขวดแล้วรินเต็มชามหนึ่งส่งให้ปีศาจใต้อ๋อง ๆ ก็รับมา เห้งเจียอยู่ในคอได้กลิ่นสุราหอมฉุย จึงคิดว่าอย่าให้ใต้อ๋องมันกินเลย จึงเอาศรีษะแปลงเป็นหลอดรอที่คอหอย พอไต้อ๋องยกชามดื่มเข้าไป พอตกถึงคอเห้งเจียก็รับเอาไปเสียสิ้น
ปีศาจใต้อ๋องดื่มซ้ำเข้าไปถึงเจ็ดชามแปดชามเห้งเจียก็รับกินเสียหมด ปีศาจใต้อ๋องประลาดใจก็ทิ้งชามลงพูดว่า สุรานี้เราเคยกินไปสองชามท้องก็ร้อน นี่กินเป็นเจ็ดแปดชามแต่หน้าก็ไม่แดง เห้งเจียเมื่อกินสุราเข้าไปมากก็มึนเมาฉุนเฉียวด้วยฤทธิ์สุรา เอาตะบองขวางเข้าแล้วก็โดดจับหัวใจปีศาจทำชิงช้าโหนเล่น และเต้นรำตามสบายโลดโผนไปมา ปีศาจใต้อ๋องรู้สึกเจ็บปวดเหลือที่จะทนได้ก็ล้มคว่ำลงกับพื้น อ่านต่อ_ ..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น