
(บทที่ ๗๗)
ฝ่ายปีศาจใต้อ๋องทั้งสาม รบกับเห้งเจียพี่น้องทั้งสามอยู่ที่นอกกำแพงเมืองข้างทิศตะวันออกที่กลางหว่างเขาอยู่หลายชั่วโมง จนเวลาจวนเย็นก็บังเกิดหมอกกลุ้มสักประเดี๋ยวก็มืดค่ำ โป๊ยก่ายรอรบไม่อยู่ก็ถอดคราดออกหนี ปีศาจที่หนึ่งไล่ตามอ้าปากคาบจับตัวได้พาเข้าไปในเมือง เรียกพวกบริวารเอาเชือกมามัดโป๊ยก่ายไว้ที่ใต้ถุนปราสาทกิมล่วนเต้ย แล้วก็เหาะกลับออกมาช่วย ซัวเจ๋งเห็นท่าจะเสียทีก็แกว่งตะบองถอยหลังหนี ปีศาจที่สองสยาย งวงจับซัวเจ๋งเข้าไปไว้ในเมืองมัดผูกไว้ที่เดียวกับโป๊ยก่ายแล้ว ก็กลับออกมาอยู่บนอากาศ ร้องว่าจับตัวเห้งเจียให้ได้
เห้งเจียเห็นปีศาจจับน้องไปทั้งสองคนแล้ว แต่ลำพังผู้เดียวเห็นว่าจะต่อสู้มิได้ ก็ตีลังกาหกขะเมนหนีไป ปีศาจที่สามเห็นเห้งเจียหนีไปแล้ว ปีศาจก็กลับเป็นรูปเดิมคลี่ปีกออกโผบิน ในข้อนี้เห้งเจียตีลังกาทีหนึ่งสิบหมื่นแปดพันโยชน์ แต่ปีศาจกระพือปีกทีหนึ่งก็ไปไกลกว่าเห้งเจีย ครั้นปีศาจไล่มาทันก็เอาเท้าเฉี่ยวเห้งเจียเข้าอยู่ในอุ้มเท้าจะดิ้นรนก็ไม่ไหว ปีศาจก็บินกลับมาเมือง ครั้นถึงก็ปล่อยลงกับพื้น ให้ปีศาจเอาเชือกมามัดผูกไว้ที่เดียวกันกับโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ปีศาจก็ผลักพระถังซัมจั๋งลงจากแท่น ตัวก็ขึ้นนั่งบนแท่นแสงไฟสว่าง พระถังซัมจั๋งแลเห็นสานุศิษย์ถูกมัดอยู่กับพื้น จึงหันหน้ามาหาเห้งเจียร้องไห้แล้วพูดว่า เมื่อเวลาพบปะภัยร้ายทุกครั้ง เห้งเจียอยู่ข้างนอกได้ช่วยแก้ไข วันนี้เห้งเจียมาต้องผูกมัดเสียดังนี้ ทำอย่างไรอาตมาจะพ้นอันตรายเล่า โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเห็นอาจารย์ร้องไห้และเสียใจดังนั้น ก็พากันร้องไห้เสียงโฮ ๆ ทั้งสองคน แต่เห้งเจียหาร้องไห้ไม่กลับหัวเราะแล้วพูดว่า อาจารย์จงวางใจเถิด พี่น้องอย่าร้องไห้ไปทำไม ตามแต่มันจะทำอย่างไรก็ชั่งมัน เป็นอันขาดมิให้มันทำร้ายได้
อาจารย์กับศิษย์กำลังพูดกันอยู่ ก็ได้ยินปีศาจใหญ่พูดสรรเสริญปีศาจที่สามว่า น้องเรามีสติปัญญาคิดอุบายสำเร็จได้ เป็นอย่างยิ่งหาที่เปรียบมิได้ เวลานี้ก็จับพระถังซัมจั๋งได้แล้ว จึงสั่งปีศาจบริวารให้ตั้งเตาต้มน้ำร้อนขึ้นไว้แล้วเอาลังถึงเหล็กมาจะได้จับอาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนใส่เข้าไปในลังถึง แล้วเอาขึ้นตั้งบนกะทะนึ่งให้สุก พวกเราพี่น้องจะกินเล่นให้สบายใจ แล้วแจกให้พวกเจ้ากินกันคนละก้อนอายุจะได้ยืนยาว ปีศาจบริวารได้ฟังนายสั่งดังนั้น ก็วุ่นวายจัดแจงสักประเดี๋ยวก็แล้วเสร็จ ใต้อ๋องก็สั่งให้จับอาจารย์กับศิษย์ลำดับลงไป โป๊ยก่ายอยู่ชั้นล่าง ซังเจ๋งอยู่ชั้นถัดขึ้นมา แล้วหามเห้งเจียใส่ลงชั้นที่สาม แต่มิใช่เห้งเจียจริงเป็นรูปที่เห้งเจียปลอมถอนขนแปลงแทนไว้ ส่วนเห้งเจียจริงนั้น เหาะขึ้นคอยดูอยู่บนอากาศแล้ว พวกปีศาจหามพระถังซัมจั๋งใส่ลงไว้ชั้นบนที่สุด แล้วพวกปีศาจก็เอาไฟใส่ติดฟืนขึ้น
เห้งเจียอยู่บนอากาศ คิดว่าโป๊ยก่ายซัวเจ๋งทนได้สองเดือดอาจารย์ทนได้เดือดเดียว ก็จะสุกไม่มีชิ้น แม้เราไม่เอาธรรมอันวิเศษล้อมเสีย ประเดี่ยวก็จะสิ้นชีวิต คิดแล้วเห้งเจียก็ร่ายพระคาถาเรียกพระยาเล่งอ๋องมาในทันใดนั้น พระยาเล่งอ๋องถามว่าท่านใต้เซียมีกิจร้อนอะไรหรือ เห้งเจียตอบว่า ไม่มีกิจธุระร้อนรนจะกล้ากวนท่านหรือ ด้วยบัดนี้พวกปีศาจยักษ์มันจับอาจารย์ข้าพเจ้าใส่ลังถึงติดไฟนึ่ง ขอท่านช่วยอย่าให้มันนึ่งได้ พระยาเล่งอ๋องได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น ก็แปลงเป็นสายลมเป่าลงไปที่กะทะ และเป่าล้อมรอบในกะทะ ไอร้อนก็ไม่มีถึงคนทั้งสาม จึงรอดชีวิตอยู่ได้ทั้งสามคน
เวลานั้นก็เข้ายามสาม ปีศาจที่หนึ่งร้องบอกปีศาจทั้งหลายว่า วันนี้เราคิดอุบายก็เหน็ดเหนื่อย จับได้อาจารย์และศิษย์สามคนมามัดใส่ในลังถึงจะหลบหนีต่อไปไม่ได้แล้ว พวกเจ้าสิบคนเอาใจใส่ระไวระวังช่วยกันดูแลผลัดเปลี่ยนใส่ไฟ เราจะพากันไปพักหลับสักงีบหนึ่ง ถ้าถึงเวลาจวนแจ้งเนื้อนั้นสุก จึงให้เอาน้ำส้ม น้ำมะนาว เกลือ กระเทียม มาสำรองไว้เราตื่นขึ้นท้องเปล่าจะได้กินให้ชูกำลัง พวกปีศาจบริวารก็กระทำตามนายสั่งทุก ๆ คน ปีศาจใต้อ๋องทั้งสามก็พากันไปนอน
ฝ่ายเห้งเจียอยู่บนเมฆแลเห็นปีศาจเข้านอนแล้ว ก็ลดลงยังพื้นไม่ได้ยินเสียงในลังถึงเห็นเงียบอยู่ เห้งเจียคิดว่าจะตายเสียแล้วดอกกระมัง จึงแปลงกายเป็นแมลงวันบินมาจับที่ข้างลังถึงฟังดู ก็ได้ยินเสียงโป๊ยก่ายพูดว่า อึดอัดจริงๆ ไม่รู้ว่ามันจะนึ่งอบไอหรือนึ่งปิดไอก็ไม่รู้ ซัวเจ๋งร้องถามว่า ซึ่งอบไอเปิดไอนั้นอย่างไรไม่เข้าใจ โป๊ยก่ายบอกว่านึ่งอบไอนั้นปิดฝาข้างบน เปิดไอนั้นนึ่งไม่ปิดฝา พระถังซัมจั๋งอยู่ข้างบนร้องบอกว่าไม่ปิดฝาดอก โป๊ยก่ายว่าดีแล้วคืนวันนี้คงยังไม่ตาย เห้งเจียได้ยินคนสามคนพูดกันอยู่ในนั้นก็รู้แน่ว่ายังไม่ตาย จึงเอื้อมไปหยิบฝาลังถึงมาค่อย ๆ ปิดลง พระถังซัมจั๋งตกใจร้องบอกว่าฝาปิดเสียแล้ว โป๊ยก่ายว่าเสร็จมันจะต้องตายในคืนวันนี้เอง ซัวเจ๋งกับพระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็พากันร้องไห้สะอึกสะอื้น โป๊ยก่ายว่าอย่าร้องไปเลย ใส่ไฟคราวนี้ก็จะเปลี่ยนใหม่ ซัวเจ๋งถามว่าทำไมพี่จึงรู้เล่า
โป๊ยก่ายบอกว่า เมื่อแรกใส่เราเข้าในนี้เราก็นึกดีใจ ด้วยว่าเรามีโรคเหน็บชา ไอนั้นก็ร้อนพลุ่งขึ้นเดี๋ยวนี้กลับมีไอเย็นพลุ่งขึ้น พวกปีศาจเติมฟืนใส่ไฟเข้าก็กลับให้มีไอเย็นเกิดขึ้น อาจารย์กับซัวเจ๋งไม่เป็นไร เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูด นึกหัวเราะในใจว่า อ้ายกินรำมันกลับเห็นไปอย่างนั้นได้ เย็นกลับว่าไม่ดี ร้อนจะล้างชีวิตกลับว่าดีทำไมมันจึงกลับเห็นไปอย่างนั้นเล่า ประเดี๋ยวลมก็จะสิ้นต้องรีบแก้ออกเสียจึงจะได้ ถ้าเราจะเข้าแก้ก็จำจะกลับเป็นรูปเดิม แลจะต้องทำลายพวกสิบคนนั้นเสีย ก็จะอึกทึกวุ่นวายขึ้นรู้ถึงปีศาจใต้อ๋องก็จะมิเสียการไปหรือ อย่าเลยเราจำจะต้องทำให้อ้ายพวกสิบคนนี้มันนอนหลับเสียแล้วจึงจะดี คิดแล้วก็คลำจับเอาตัวหาวนอนออกมาสิบตัวขว้างไปเข้าหน้าพวกที่เฝ้าไฟทั้งสิบคนคนละตัว หนอนหาวนอนก็แทรกเข้าไปในรูจมูก พวกนั้นก็พากันนอนหลับไม่รู้สึก
เห้งเจียจึงกลับเป็นรูปเดิมเข้าแอบลังถึงเรียกพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียเรียก จึงร้องว่าเห้งเจียช่วยอาตมาด้วย ซัวเจ๋งว่าพี่พูดอยู่ข้างนอกหรือ เห้งเจียว่าไม่ได้อยู่ข้างนอก พี่ติดอยู่ด้วยกันในลังถึงนี้เอง โป๊ยก่ายว่าจะทำอย่างไรก็ทำไป ไว้พวกเราให้ทนทุกข์อึดอัดอยู่อย่างนี้หรือ เห้งเจียหัวเราะแล้วบอกว่าอย่าอื้ออึงไปเราจะช่วยแก้ให้ออกได้ เห้งเจียก็เปิดลังถึงรับอาจารย์ออกแก้มัด แล้วก็เรียกรูปปลอมกลับเป็นขนเข้าตัว แล้วชั้นสามชั้นสี่เอาโป๊ยก่ายซัวเจ๋งออกแก้มัด โป๊ยก่ายออกได้จะวิ่งหนี เห้งเจียบอกว่าอย่าวุ่นไป เห้งเจียก็เรียกคาถาคืนปล่อยพระยาเล่งอ๋องกลับไป จึงค้นหาข้าวของได้มารวบรวมไว้พร้อมแล้ว จึงให้พระอาจารย์ขึ้นม้า โป้ยก่ายซัวเจ๋งเดินตามหลังเห้งเจียออกหน้านำทางไป ลัดออกประตูข้างทิศตะวันออก ก็ได้ยินเสียงพวกประตูนั่งยามตีเกราะมีคนเฝ้ากวดขันแข็งแรง ทำอย่างไรจึงจะออกไปได้ ก็พากันหันกลับเดินออกมาทางประตูหลัง ก็มีพวกปีศาจนั่งยามตามไฟเฝ้าอยู่โดยกวดขัน
เห้งเจียคร่ำครวญอยู่อย่างนั้น แล้วตรึกตรองโดยลำพังในใจตนว่า ซึ่งการทั้งนี้ความผิดก็เพราะพระยูไลเจ้า ท่านนั่งอยู่ที่เมืองประเทศไซทีนั้นไม่มีการอะไรแล้ว หากจะให้พระไตรปิฎกเป็นกุศลแพร่หลายทั่วไปนั้น ควรจะส่งขึ้นมาถึงประเทศจีนเมืองใต้ถัง ทำไมกุศลจะไม่แพร่หลายไปหรือ แต่ยังให้มาไม่ได้ แกล้งให้พวกเราไปอาราธนาให้ได้ความลำบากต้องข้ามห้วยข้ามเขาดังนี้ บัดนี้มาถึงที่นี้ก็มาทิ้งชีวิตเสียดังนี้ อย่ากระนั้นเลยเราจะต้องไปหาพระยูไลเจ้า กราบทูลถามให้ท่านรู้ซึ่งเหตุการณ์นั้น หากยอมให้พระไตรปิฎกแก่เรานำไปเมืองใต้ถังปกแผ่ซึ่งผลบุญนั้นให้ทั่วไป เพื่อให้บุคคลมีศรัทธายิ่งขึ้น ส่วนพวกเราขอให้สำเร็จซึ่งความปราถนา แม้พระองค์ไม่โปรดให้แก่เรา ก็จะทูลให้พระองค์ถอนมงคลบนศรีษะเราออกเสีย เราจะได้กลับไปยังถ้ำเดิมของเรา
คิดแล้วก็เหาะไปเมืองไซที ชั่วโมงเดียวก็แลเห็นเขาเล่งซัว บัดเดี๋ยวก็มาถึงจึงลดลงยังพื้นเดินเข้าไปข้างชายเขา เงยหน้าขึ้นก็พบปะเจ้ากิมกังทั้งสี่ขวางหน้าไว้ ถามว่าจะไปข้างไหน เห้งเจียย่อตัวคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้ามีกิจธุระจะขอเข้าไปเฝ้าพระยูไล เจ้ากิมกังตวาดว่าอ้ายลิงช่างอยาบคาย เมื่อครั้งก่อนถูกงู่ม่ออ๋องเราพากันไปช่วย วันนี้มาพบหน้าก็ไม่เคารพนบนอบ มีธุระก็ต้องกราบทูลก่อนมีรับสั่งให้เข้าไปจึงเข้าไปเฝ้า ที่นี่ไม่เหมือนประตูน่ำทีหมึงบนสวรรค์ ให้ตัวเข้าออกเดินตามสบายได้ เห้งเจียเป็นเวลากำลังเศร้าหมองทุกข์โทมนัส ก็มาปะซึ่งความขัดข้องเข้าดังนั้น มีความแค้นร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังดุจฟ้าผ่า ไม่หยุดเสียงจนได้ยินถึงพระพุทธเจ้า โปรดให้พระอรหันต์ออกมานำเห้งเจียเฃ้าไปเฝ้า เห้งเจียเดินตามพระอรหันต์เข้าไป แลเห็นพระพุทธองค์ก็ลดลงถวายนมัสการกราบลงยังพื้นแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น
สมเด็จพระเซกเกียมองนิฮุดโจ๊ จึงตรัสถามว่าหงอคงมีกิจธุระอะไรหรือ เห้งเจียจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าก็ได้อาศัยปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ตั้งแต่เข้าทางสัมมาทิฐิมา รักษาอาจารย์ถังซัมจั๋งมาตามทางได้รับความยากความลำบากทนทุกข์เวทนาไม่มีที่สุดอันจะพรรณาได้ บัดนี้มาถึงเขาไซท่อซัวเมืองไซท่อก๊ก มีปีศาจยักษ์ร้ายจับเอาพระอาจารย์ไปกินเสียทั้งเป็นแล้ว แต่กระดูกก็มิได้เห็น โป๊ยก่ายซัวเจ๋งยังต้องมัดทรมานอยู่ที่นั่น ไม่ช้านักก็จะสิ้นชีวิต เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้มากราบทูล เพื่อพระองค์ทรงทราบ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดถอนมงคลบนศรีษะข้าพเจ้าออกเสียเถิด ข้าพเจ้าขอถวายคืนและขอทูลลากลับไปอยู่ยังถ้ำเดิมของข้าพเจ้า เพราะไม่สำเร็จซึ่งความมุ่งหมายแล้ว เห้งเจียทูลพลางร้องไห้พลาง สมเด็จพระพุทธเจ้าเห็นดังนั้นก็แย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า เห้งเจียได้ความเศร้าโศกเพราะปีศาจมันมีฤทธาอานุภาพมาก สู้มันไม่ได้หรือจึงมีความโทมนัส น้อยใจถึงเพียงนี้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็เอามือทุบศรีษะและอกของตน ร้องไห้แล้วทูลว่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยจะยอมแพ้ผู้ใด วันนี้มาถูกมือปีศาจร้ายก็เป็นที่เสียใจมาก
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่า เห้งเจียจงระงับดับความโทมนัสเสียเถิด ปีศาจนั้นตถาคตรู้จักจำได้ เห้งเจียได้ฟังพระตรัสดังนั้นจึงทูลถามว่า ข้าพเจ้าได้ยินเขาเล่าลือกันว่า ปีศาจนั้นเกี่ยวข้องเป็นพระญาติวงศ์ของพระองค์หรือ พระยูไลตรัสว่าเจ้าพูดเลอะเทอะ ปีศาจมารร้ายจะมาเปนญาติวงศ์อะไรแก่ตถาคตเล่า เห้งเจียทูลถามว่ามิใช่ญาติวงศ์ของพระองค์แล้ว เหตุใดพระองค์จึงตรัสว่าจำได้เล่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตเล็งญาณด้วยทิพยจักษุจึงเห็นได้ ปีศาจที่หนึ่งที่สองที่สามนั้นมีเจ้าของ ตรัสแล้วก็ชี้พระหัตถ์ตรงพระกัสสปะกับพระอานนท์ให้ไปยังเขางอมี่ซัว กับที่เขาเง่าท้ายซัวเชิญพระโพธิสัตว์บุนซู้พระเพ้าเฮี้ยนทั้งสองนั้นให้มานี่ พระกัสสปะ พระอานนท์รับสั่งแล้วก็ออกจากอารามใหญ่แยกกันไป พระพุทธองค์จึงตรัสว่าพระโพธิสัตว์บุนซู้ พระเพ้าเฮี้ยนนั้นเป็นเจ้าของ แต่ปีศาจที่สามมีความเกี่ยวข้องแก่ตถาคตอยู่บ้าง เห้งเจียทูลถามว่ามีความขัดข้องอย่างไรขอได้โปรดให้ข้าพเจ้าทราบด้วย
สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เมื่อครั้งคราวเดิมเมื่อจะมีฟ้าดิน และมีกำเนิดเกิดสัตว์ทั้งหลาย และมีพวกบินพวกเหาะสองสัตว์ สัตว์เหาะก็คือราชสีห์เป็นใหญ่ สัตว์บินก็คือหงส์เป็นพระยาสัตว์ในพวกมีปีก พระยาหงส์ร่วมรักกันจึงได้เกิดเป็นนกยุงและอินทรีสองอย่างร้ายกาจกินมนุษย์ ประมาณคนยืนเต็มในระยะที่สี่สิบห้าโยชน์ ฉกทีเดียวกลืนเข้าไปในท้องหมดไม่เหลือ เมื่อเวลาตะถาคตได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ นกอินทรีได้กลืนตะถาคตเข้าไปในท้อง แต่ตถาคตทะลุขึ้นทางหลังจับขี่กลับไปยังเขาเล่งซัวจะใคร่ลงโทษ พระพุทธเจ้าทั้งหลายขอร้องว่าฆ่าพระยานกยุงก็ดุจฆ่าพระพุทธมารดา เพราะฉะนั้นจึงให้อยู่ที่เขาเล่งซัวนี้ จึงให้นามว่าฮุดโบ๊จงเชี้ยใต้เม่งอ๋องโพ่ซัว อันพระยาอินทรีนั้น คือแม่เดียวกับพระยาหงส์ เพราะฉะนั้นตถาคตจึงมีความเกี่ยวข้องอยู่บ้าง
เห้งเจียหัวเราะแล้วทูลว่า พระองค์ตรัสดังนั้นหากคิดดูพระองค์ก็เป็นหลานของสัตว์ปีศาจที่สามนั้น พระพุทธเจ้าตรัสวา ปีศาจยักษ์นั้นต้องตถาคตไปเองจึงจะจับได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็กราบลงกับพื้นนิมนต์พระองค์เสด็จ พระพุทธเจ้าก็เสด็จลงจากแท่น พร้อมด้วยพระอรหันต์ และสาวกทั้งหลายออกจากพระอาราม ก็แลเห็นพระอานนท์ กับพระกัสสปะพาพระโพธิสัตว์บุนซู้ พระเพ้าเฮี้ยนทั้งสองมาถึงนมัสการพระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า สัตว์ของโพธิสัตว์นั้นหนีลงไปเมื่อเวลาใด พระบุนซู้กราบทูลว่าลงไปได้เจ็ดวันแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในเขาเจ็ดวันในมนุษย์โลกก็หลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าจะฆ่ามนุษย์เสียสักเท่าใดแล้ว จึงรีบตามตถาคตไปรับมาเสียเถิด พระโพธิสัตว์ทั้งสามก็ตามพระองค์มาในทางอากาศ บัดเดี๋ยวก็ถึงกำแพงเมือง เห้งเจียเอามือชี้ว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบที่มีอากาศดำพุ่งขึ้นนั้น คือเมืองไซท่อก๊ก พระพุทธเจ้าจึงให้เห้งเจียไปก่อนท้าให้ปีศาจออกมารบ แต่อย่าเอาชนะให้ทำแพ้หนีมา ตถาคตจะจับเอง
เห้งเจียได้ฟังพระตรัสสั่งดังนั้น ก็รีบเหาะเข้าไปยังปราสาทกิมหลวนเต้ย ร้องด่าว่าอ้ายเดรัจฉานมึงจงรีบออกมารบกันกับกู พวกปีศาจเฝ้าประตูได้ยินก็เข้าไปบอกปีศาจใต้อ๋อง ปีศาจทั้งสามก็จับอาวุธรีบออกมา แลเห็นเห้งเจียก็มิได้ถามว่ากระไร ตรงเข้าฟันแทงเห้งเจีย ๆ ก็แกว่งตะบองเข้าต่อสู้ได้เจ็ดแปดเพลง เห้งเจียก็แกล้งทำถอยหนีไปอยู่บนอากาศ เข้าไปแอบบังเงาพระพุทธเจ้า ๆ ทั้งหลายกับพระอรหันต์โอบล้อมปีศาจทั้งสามอยู่ท่ามกลาง ปีศาจที่หนึ่งแลเห็นก็ตกใจร้องบอกน้องทั้งสองว่าเห็นจะเสียทีแล้ว ปีศาจที่สามพูดว่าพี่อย่าวิตก เราพร้อมกันเข้าเอาอาวุธแทงพระยูไลเสียแล้วไปชิงเอาวัดลุ่ยอิมยี่ก็จะตกอยู่ในมือเรา ปีศาจที่หนึ่งมิได้ว่าดีชั่วประการใดพากันเอาอาวุธเข้าแทงถูกพระโพธิสัตว์บุนซู้ ๆ ร่ายพระคาถาตวาดร้องเรียกว่าอ้ายเดรัจฉานยังไม่กลับใจจะคอยเมื่อไรอีกเล่า ปีศาจที่หนึ่งที่สองก็ตกประหม่าครั่นคร้ามไม่อาจทำวุ่นวาย โยนทิ้งเครื่องมือหมุนกลับ
ทีหนึ่งก็กลายเป็นรูปเดิม คือเป็นราชสีห์เขียวตัวหนึ่ง ช้างเผือกตัวหนึ่ง พระบุนซู้ พระเพ้าเฮี้ยก็เอาดอกบัวติดบนหลังปีศาจก็ขึ้นนั่งองค์ละตัว ปีศาจทั้งสองก็ระงับจิตสงบลง ฝ่ายปีศาจที่สามยังไม่ยอมทิ้งอาวุธ ขยายปีกบินขึ้นสูงจะโฉบเฉี่ยวเห้งเจีย ๆ แอบอยู่ในเงาของพระพุทธเจ้า ปีศาจไม่อาจเข้ามาใกล้พระพุทธเจ้า ๆ สำรวมจิตบันดาลที่พระเมาลีเป็นก้อนเนื้อสดก้อนหนึ่งปีศาจเห็นก็โฉบเฉี่ยวตะครุบก้อนเนื้อ พระพุทธเจ้าเอาพระหัตถ์จับเอ็นที่หัวปีกกระชากออกจนบินมิได้ ก็ร่อนลอยอยู่กลางอากาศจะไปไกลก็มิได้ก็กลายกลับเป็นรูปเดิมคือนกอินทรี จึงอ้าปากพูดว่าพระยูไลทำไมจึงใช้อภินิหารมาคุมขังข้าพเจ้าไว้ดังนี้เล่า พระยูไลตรัสว่า เจ้าอยู่ที่นี่จะกระทำกรรมเวรมากขึ้น จงรีบตามพระตถาคตไปจะได้ผลประโยชน์
ปีศาจพูดว่าพระยูไลปฏิบัติรักษาศีลเป็นเครื่องกระยาบวช ข้าพเจ้าอยู่ในที่ตำบลนี้กินเนื้อถึกไม่รู้ว่าเท่าใด พระยูไลจะพาไปให้ข้าพเจ้าอดตายจะมิเป็นเวรกรรมหรือ พระยูไลตรัสว่าทั้งสี่ทวีปย่อมนับถือตถาคตทั้งสิ้น แม้ว่าประพฤติความดีโดยชอบธรรมแล้ว ตถาคตจะให้คนทั้งหลายนั้นเอามากินก่อนให้พอปาก ฝ่ายปิศาจอินทรีจะใคร่ให้พ้นโทษไป ก็ไม่รู้แห่งที่จะทำประการใด ก็ต้องน้อมนมัสการตามพระยูไล เห้งเจียออกมานมัสการพูดว่าบัดนี้พระองค์ก็กำจัดปราบปีศาจร้ายได้สิ้นแล้ว ยังแต่อาจารย์นั้นหายไป ฝ่ายปีศาจเมื่อได้เห็นเห้งเจียก็กัดฟันพูดว่า อ้ายลิงมึงไปเที่ยวหาคนร้ายมาข่มเหงเรานี้ เราได้กินอาจารย์ของเอ็งเมื่อไร บัดนี้ยังอยู่ที่ตำหนักในหอเล็กลั่นกุญแจไว้ในตู้เหล็กไม่เชื่อเอ็งจงไปดู เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็รีบกราบลาพระยูไล พระยูไลก็กลับไปยังเดิม
ฝ่ายเห้งเจียลดลงยังพื้นแล้วเดินเข้าไปในประตูเมือง เห็นพวกบริวารปีศาจดุจงูไม่มีศรีษะเดินไปไหนก็ไมได้ เพราะพระยูไลจับเอานายไปแล้วต่างก็หาที่หลบหลีกเอาตัวรอด เห้งเจียก็เข้าไปแก้โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งออก เที่ยวรวบรวมเก็บของและม้ามาได้แล้ว เห้งเจียบอกว่าอาจารย์ยังไม่ตายปีศาจยังมิได้กิน เจ้าทั้งสองจงตามพี่เข้าไปแก้อาจารย์ออก พูดแล้วก็พากันไปที่หอนั้น ตีกุญแจออกเห็นมีตู้เหล็กตั้งอยู่ได้ยินเสียงพระอาจารย์ร้องไห้อยู่ข้างใน ซัวเจ๋งเอาตะบองกระทุ้งตู้เปิดออกร้องเรียกว่าอาจารย์ พระถังซัมจั๋งเห็นก็ร้องไห้โฮใหญ่เห้งเจียจึงเล่าให้อาจารย์ฟังทุกประการ
พระถังซัมจั๋งก็ขอบคุณไม่รู้สิ้น อาจารย์กับศิษย์ก็พักหาอาหารกินอิ่ม แล้วก็พากันออกจากเมืองหมายปราจิณทิศเข้าทางใหญ่เดินไปตามระยะทาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น