Translate

29 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 56 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๗๘)
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามคนออกจากเมืองแล้ว เดินไปได้สองเดือนกว่า เวลานั้นเข้าฤดูหนาวแลไปข้างหน้าก็เห็นป้อมและกำแพงเมือง พระถังซัมจั๋งถามว่าที่ตรงนั้นคือเมืองอะไร เห้งเจียว่าเดินไปให้ถึงจึงจะรู้แน่ ก็พากันเดินมาประเดี๋ยวจึงถึงประตูเมือง พระถังซัมจั๋งจึงลงจากม้าพากันเข้าไปในเมือง แลไปข้างกำแพงเห็นนายทหารแก่คนหนึ่ง นอนหลับอยู่เห้งเจียเดินเข้าไปไกล้จับตัวสั่นร้องเรียกว่าท่านทหาร ทหารตกใจตื่นแลเห็นเห้งเจ้ย ก็ตาลีตาลานลุกขึ้นคุกเข่าเรียกว่าท่านผู้ใหญ่ เห้งเจียถามว่าทำไมจึงเรียกว่าท่านผู้ใหญ่เล่า ทหารแก่คนนั้นพูดว่าท่านเป็นท่านเป็นรามสูรย์ทำไมจะไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้ใหญ่เล่า เห้งเจียว่าอย่าพูดเลอะเทอะไป เราคนอยู่เมืองใต้ถังจะไปไซทีอาราธนาธรรม ข้ามมาถึงที่นี่ไม่รู้จักชื่อเมืองจะใคร่ถามดูสักคำหนึ่งเท่านั้น ทหารได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงยืนขึ้นบอกว่า เมืองนี้นามเรียกว่า ปี๊เปียก๊ก เดี๋ยวนี้เปลี่ยนนามเรียกว่า เซี้ยวจื๊อก๊ก เห้งเจี้ยถามว่าในเมืองนี้มีเจ้าหรือเปล่าเล่า นายทหารบอกว่ามี เห้งเจียก็หันหน้าไปบอกแก่พระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความสงสัย จึงพูดว่าทำไมเรียกว่า ปี๊เปียก๊ก และเรียกว่า เซี้ยวจื๊อก๊กดังนั้นเล่า
รูปภาพ ; เจ้าเมืองปี๊เปียก๊กนี้ ครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์อยู่ในเมืองปี๊เปียก๊ก มาวันหนึ่งถูกเล่ห์กลอุบายของปีศาจตาเฒ่าเชียงก๊ก พานางเสือปลาปีศาจแปลงเป็นหญิงสาวมาถวาย พระองค์ทรงรับไว้เป็นที่พอพระราชหฤทัยจนมัวเมาไม่มีเวลาว่างเว้น ก็บังเกิดพระโรคประชวนมีพระอาการให้ซูบผอมอ่อนเปลี้ยลง จนที่สุดสิ้นพระกำลัง เมื่อเห้งเจียมาถึงทราบเหตุอันนี้แล้ว เห้งเจียจึงได้กำจัดปีศาจทั้งสองเสียได้ พระองค์จึงได้บรนเทาพระโรค
   โป๊ยก่ายพูดว่าคิดดูเห็นเจ้าเมือง​ปี๊เปียก๊กจะสิ้นพระชนม์ ตั้งขึ้นใหม่จึงได้เปลี่ยนนามเรียกว่าเซี้ยวจื๊อก๊ก พระถังซัมจั๋งว่าเห็นจะไม่เป็นเช่นนั้น พวกเราเข้าไปในเมืองคงจะได้รู้เหตุแน่ พูดแล้วก็พากันเดินไปถึงถนนใหญ่ ประตูเมืองชั้นสาม พิเคราะห์ดูสองข้างถนนมีตึกขายของล้วนแต่แพรสีต่างๆ และขายเครื่องนุ่งห่มของใช้ต่างๆ สารพัดจะมีผู้คนแต่งตัวสะอาดงามหมดจดเรียบร้อย มีตึกสูงสะอาด ผู้คนไปมาซื้อขายแออัด ฝ่ายอาจารย์กับศิษย์ทั้งสาม เดินพลางดูพลางมาตามทางครู่หนึ่ง ก็มาถึงอีกถนนหนึ่งแลเห็นทุก ๆ บ้าน ขนกรงท่านมาตั้งคาไว้หน้าบ้านแล้วเอาผ้าสีคลุมไว้ พระถังซัมจั๋งถามว่า ที่ตำบลนี้เหตุใดจึงเอากรงห่านตั้งไว้หน้าบ้านทุก ๆ บ้านดังนี้
   โป๊ยก่ายได้ยินก็แลดูทั้งสองข้างทางก็เห็นมีจริงดังนั้น โป๊ยก่ายก็หัวเราะแล้วพูดว่า ชะรอยวันนี้เป็นวันดีจึงแต่งบ้านทำการวิวาหะดอกกระมัง เห้งเจียพูดว่าเลอะเทอะไปได้ ถ้าจะแต่งขันหมากจริงก็จะทำแต่บ้านเดียว เหตุใดจะทำตลอดไปดังนี้เล่า ในนั้นคงจะมีเหตุเป็นแน่ เราควรจะไปดูให้รู้แน่สักหน่อย ว่าแล้วเห้งเจียก็ร่ายพระคาถาแปลงกายาเป็นแมลงผึ้งบินไปที่ตรงนั้น มุดเข้าไปพิเคราะห์ดูเห็นเด็กนั่งอยู่ในกรงนั้น เลยไปอีกบ้านหนึ่งก็เห็นมีเด็กนั่งอยู่ในกรงเหมือนกัน เลยไปดูอีกแปดเก้าบ้านก็มีเหมือนกันทุก ๆ บ้าน แต่เป็นผู้ชายทั้งนั้นเด็กบางคนอยู่ในกรงร้องไห้ก็มี เห้งเจียเห็นแล้วก็กลับออกมากลายเป็นรูปเดิมบอกแก่พระอาจารย์ว่า ที่ในกรงนั้นมีเด็กผู้ชายนั่งอยู่ในกรงทุก ๆ ​กรง ใหญ่เสมอเจ็ดขวบที่เล็กก็คะเนสักห้าขวบไม่ทราบว่าเหตุอะไรดังนั้น
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็ยิ่งมีความสงสัยเดินเลยเลี้ยวไปอีกถนนหนึ่ง ก็แลเห็นมีหอเป็นที่สำหรับรับแขกเมืองต่างประเทศ พระถังซัมจั๋งพูดแก่ศิษย์ว่า เราพากันเข้าไปที่หอนั้นเถิดจะได้ใต่ถามให้รู้เรื่อง ทั้งเป็นเวลาค่ำเราจะได้อาศัยพักนอนสักคืนหนึ่ง จึงพร้อมกันเข้าไป ฝ่ายคนเฝ้าประตูก็เข้าไปบอกแก่ขุนนางรับแขก ๆ ก็ออกมาเชิญให้เข้าไปนั่งที่สมควร แล้วจึงถามว่าท่านทั้งสี่คนอยู่เมืองไหนจะไปข้างไหนจึงได้มาถึงที่นี่ พระถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพเป็นชาวเมืองใต้ถัง คือมีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จะไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก พึ่งมาถึงเมืองอันประเสริฐนี้จะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง และจะขอพักในที่นี้สักคืนหนึ่งด้วย ขุนนางพนักงานได้ฟังดังนั้น จึงให้คนใช้จัดหาน้ำร้อนน้ำชามาถวาย และจัดห้องให้อาจารย์กับศิษย์พัก
   พระถังซัมจั๋งถามว่าวันนี้จะควรเข้าไปเฝ้าได้หรือไม่ ขุนนางรับแขกเมืองบอกว่าเวลานี้เย็นแล้ว รอเวลาเช้าจึงค่อยเข้าไปเฝ้าพักเสียให้สบายสักคืนหนึ่งก่อน พระถังซัมจั๋งว่าขอบใจเป็นที่สุดจึงถามต่อไปว่า อาตมภาพยังมีความสงสัยไม่แน่แก่ใจอยู่อย่างหนึ่งขอท่านได้โปรดชี้แจงให้ทราบ คือที่เมืองนี้เหตุใดชาวบ้านเหล่านั้นเลี้ยงเด็กทารกให้อยู่ในกรงนั้น จะต้องประสงค์อะไรกัน ขุนนางนั้นตอบ​ว่าไม่มีตะวันสองดวงก็อย่างเดียวกัน เลี้ยงเด็กทารกด้วยกำลังของบิดาโลหิตของมารดา มีครรภ์สิบเดือนถึงกำหนดก็คลอดออกมาแล้วให้นมกิน สามปีเป็นกำหนดรูปกายนั้นก็ค่อยเติบใหญ่ขึ้นจะไม่รู้การทีเดียวหรือ
   พระถังซัมจั๋งว่าท่านพูดนั้นกับเมืองข้าพเจ้าก็ไม่ผิดกัน เพราะอาตมภาพเดินมาตามถนนสองข้างทางชาวบ้านทุก ๆ บ้านเอากรงห่านไปใส่เด็กไว้ที่บ้านทุกๆ บ้านดังนี้ เพราะฉะนั้นอาตมภาพมิได้แจ้งซึ่งเหตุผลจึงขอถามว่าความจริงนั้นเป็นประการใด ขุนนางนั้นก็กระซิบพูดเบา ๆ ว่า ท่านเป็นพระเป็นสงฆ์จะไปธุระถึงเขาทำไมชั่งเขาเถิด นิมนต์พักให้สบายพรุ่งนี้จะได้ไป พระถังซัมจั๋งยึดขุนนางนั้นไว้จึงอ้อนวอนถามว่า เหตุการณ์เป็นประการใดได้โปรดบอกให้อาตมภาพทราบสักหน่อยเถิด ขุนนางนั้นยกมือขึ้นห้ามแล้วสั่นหน้าพูดว่าท่านจงระงับปากไว้อย่าพูดไป พระถังซัมจั๋งก็ไม่ปล่อยขุนนางคนนั้นอ้อนวอนจะให้บอกความจริงให้จงได้ ขุนนางผู้นั้นก็ไม่รู้แห่งที่จะขัดได้จึงเดินเข้าไปข้างฝากระซิบบอกว่า ที่ท่านถามว่าเด็กอยู่ในกรงห่านนั้น คือพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้มิได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม พระอาจารย์จะถามเอาไปทำไม
   พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมมิได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบสักหน่อย อาตมภาพจึงจะได้วางใจได้ ขุนนางพวกนั้นจึงบอกว่า เมืองเดิมนามเรียกว่าปี๊เปียก๊ก มาบัดนี้มีเหตุขึ้นราษฎรจึงเรียกว่า เซี้ยวจื๊อก๊ก คือเมื่อสามปีก่อนมีตาเฒ่าผู้หนึ่งแต่งตัวเป็นเพศฤาษี พาผู้หญิงสาว​มาคนหนึ่งรูปร่างสะสวยดุจนางฟ้า หาผู้หญิงใดในเมืองนี้เสมอมิได้อายุประมาณสิบหกปี พาเข้าไปถวายพระเจ้าแผ่นดินมีพระไทยโปรดปราณจึงให้นามว่า มุ้ยเหาคือพระสนมเอก พระเจ้าแผ่นดินทรงรักใคร่ลุ่มหลงในการสังวาส จึงบังเกิดโรคอ่อนเปลี้ยซูบผอมเสวยพระกระยาหารทดถอยน้อยลงไปทุกที จะไม่ทรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ พวกขุนนางฝ่ายแพทย์หลวงตรวจดู ก็เห็นว่าไม่มียาที่จะแก้พระโรคของพระเจ้าแผ่นดินได้ ส่วนตาเฒ่าที่นำนารีมาถวายนั้น ได้รับที่ตั้งตำแหน่งพ่อตา เธอมียาวิเศษอยู่ตามเกาะกลางทะเล เที่ยวไปเก็บเครื่องยามาพร้อมแล้ว ยังขาดแต่ตับทารก จะต้องเอาตับทารกพันร้อยสิบเอ็ดตับ ต้มทำน้ำกระสายกินแล้วอายุจะยืนถึงพันปีไม่แก่ ที่ทารกเลี้ยงไว้ในกรงห่านนั้น เพราะไปเลือกคัดเอามาขังเลี้ยงไว้ที่หน้าบ้านทุก ๆ บ้าน พ่อแม่ของเด็กกลัวอำนาจพระเจ้าแผ่นดินจึงไม่อาจร้องไห้ ก็พากันเล่าลือว่าเมืองเซี้ยวจื๊อก๊กดังนี้ จะไม่เรียกว่าไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมหรือ
   พรุ่งนี้เช้าท่านเข้าไปเปลี่ยนหนังสืออย่าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นเป็นอันขาด พูดดังนั้นแล้วก็เดินหลีกไป พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นแล้วก็ให้เสียวในใจมือและเท้าก็ให้อ่อนไปทั้งสิ้น คิดแล้วก็กลั้นน้ำตาไว้มิได้ไหลซึมทราบอาบหน้าร้องว่าเจ้ามืด ๆ ไม่มียุติธรรม เสพสังวาสจนโรคบังเกิดและให้ฆ่าทารกถึงแก่ชีวิตมากมายดังนี้เล่า โป๊ยก่ายเดินเข้ามาใกล้ถามว่า พระอาจารย์มีเหตุอะไรไปเอาโลงใส่ผีของผู้อื่นมาร้องไห้ร่ำไป ธุระอะไรของเราบ้านเมืองของเขา ๆ จะทำกันประการ​ใดมิใช่การของเราเลย จงถอดเสื้อนอนเสียให้สบาย อย่าไปเอาแบบคนโบราณเที่ยวทุกข์เที่ยวร้อนมิใช่เหตุผลของเรา
   พระถังซัมจั๋งเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า อาตมภาพอุปสมบทบวชเป็นภิกษุสงฆ์ ที่หนึ่งความผ่อนผันเป็นต้น ทำไมเจ้าแผ่นดินนี้ จึงได้มืดมัวดังนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ากินตับคนอายุยืนนานเลย การอันนี้เป็นอยุติธรรมแท้ จะมิให้เราเจ็บร้อนอย่างไรได้ ซัวเจ๋งว่าอาจารย์อย่าทุกข์ร้อนไปนักเลย พรุ่งนี้เข้าไปเปลี่ยนหนังสือเดินทางแล้ว ดูพระเจ้าแผ่นดินนั้นจะเป็นประการใด แลดูตาเฒ่านั้นจะมีกิริยาอย่างไร บางทีจะเป็นปีศาจยักษ์มันจะอยากกินตับมนุษย์ จึงได้คิดการดังนี้ก็ยังรู้ไม่ได้ เห้งเจียว่าซัวเจ๋งคิดดังนั้นถูกต้อง พรุ่งนี้พี่จะตามพระอาจารย์เข้าไปเฝ้าพิเคราะห์ดูพ่อตาพระเจ้าแผ่นดินจะมีกิริยาอย่างไร หากเป็นมนุษย์แล้วก็จะถือไสยศาสตร์ไม่รู้จักสัมมาทิฐิ เอายานั้นเป็นอารมณ์ ข้าพเจ้าจะชี้แจงชักนำให้เห็นทางชอบสัมมาปฏิปทา แม้ว่าเป็นปีศาจยักษ์ร้ายข้าพเจ้าจะจับตัวไว้ ให้พระเจ้าแผ่นดินเห็นประจักษ์แก่จักษุ จะได้ตัดเหตุที่จะฆ่าทารกนั้น
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ย่อตัวหันหน้ามาหาเห้งเจียพูดว่า ชอบแล้ว แต่วิตกว่าพระเจ้าแผ่นดินยังหลงไหลมืดมัวอยู่ จะถามเหตุนี้ไม่ได้ง่ายเธอจะไม่ไตร่ตรองให้เห็นจริงและเท็จ ก็จะมาลงโทษเอาพวกเรา จะทำประการใดจึงจะแก้ได้ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้ามีธรรมวิเศษสามารถจะแก้ได้ คือจะยักย้ายเด็กในกรงนั้นออกไปเสียนอกเมือง พรุ่งนี้ก็จะไม่มีเด็ก​จะเอาตับเด็กมิได้ เวลานั้นเราทูลแก้ไขพระเจ้าแผ่นดินคงจะคิดแก่ตาเฒ่าหาการอื่นทดแทน เรามีโอกาศจะได้ทูลขึ้นไปก็จะไม่มีความผิดถึงเราได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็มีความยินดียิ่งนัก ถามว่าท่านจะทำอย่างไรจึงจะเอาเด็กนั้นไปได้ หากเด็กนั้นรอดได้เห้งเจียมีกุศลเป็นอันมากจงรีบคิดจัดแจงทำเถิด อย่ารอช้าไปจะเสียการ เห้งเจียสำรวมภาคแล้วก็สั่งโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งว่าจงอยู่นี่เฝ้ารักษาพระอาจารย์พี่จะออกฝีมือเจ้าจงคอยดู แม้ว่ามีลมเย็นไหวมา เด็กทารกในกรงนั้นจะออกจากกำแพงเมือง
   พระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งทั้งสามนั่งบริกรรมภาวนาช่วยเป็นกำลัง พูดสั่งแล้วเห้งเจียก็ออกจากประตูเหาะขึ้นกลางอากาศ ร่ายพระคาถาอักขระ โอม เรียกพระภูมิเจ้าที่เจ้าทางพระเสื้อเมือง พระทรงเมืองเทพารักษ์ทั้งหลาย เจ้าเหล่านั้นก็มาในทันทีเดี๋ยวนั้นคำนับเห้งเจียแล้ว ถามว่าท่านใต้เซียมีกิจธุระร้อนอะไรหรือจึงได้เรียกพวกข้าพเจ้า เห้งเจียพูดว่าบัดนี้เดินมาถึงเมืองปี๊เปียก๊กรู้ว่าเจ้าแผ่นดินเมามืดหลง เป็นมิจฉาทิฐิ เชื่อฟังปีศาจยักษ์จะใคร่เอาตับเด็กเป็นกระสายยาอายุวัฒนะปราถนาจะให้อายุยืนนาน อาจารย์ข้าพเจ้ามีจิตเมตตาไม่อยากจะให้ฆ่าเด็ก คิดจะช่วยให้รอดพ้นจากความตาย เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเชิญท่านทั้งหลายมาแผลงฤทธิ์อานุภาพ ยกเอากรงท่านที่ใส่เด็กออกไปเสียนอกเมือง เอาไปซ่อนไว้ตามป่าและเขาสักวันหนึ่ง สองวัน เอาผลไม้เลี้ยงอย่าให้อดอยากหิวโหยเป็นอันขาดและอย่าให้เด็กนั้นตกเนื้อตกใจได้ รอข้าพเจ้าทำการกำจัดมิจฉาทิฐิ​ได้เรียบร้อยแล้ว แลชักนำเจ้าแผ่นดินให้มีสติปราศจากความหลงแล้ว เวลาข้าพเจ้าจะไป จึงเอากลับมาคืนให้ข้าพเจ้า
   ผ่ายเจ้าทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้น ต่างก็สำแดงฤทธิ์เดชลดเมฆลงบันดาลให้เกิดลมหมอกกลุ้มทั่วทั้งในกำแพงเมือง พอเวลาสามยามหมู่เจ้าทั้งหลายก็ยกกรงเด็กนั้นไปทั้งสิ้น แยกย้ายกันไปเก็บซ่อนไว้ แล้วเห้งเจียก็ลดลงยังพื้นเดินเข้าประตูยังได้ยินอาจารย์กับโป๊ยก่ายซัวเจ๋งภาวนาอยู่ เห้งเจียก็เดินเข้าไปเรียกว่าอาจารย์ข้าพเจ้ามาแล้ว ๆ บอกว่าเมื่อลมพัดนั้นข้าพเจ้าเก็บเด็กไปหมดแล้ว เมื่อเวลาเราจะไปจึงค่อยเอาเด็กคืนกลับมาส่งยังเดิม พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงพากันไปพักนอน ครั้นรุ่งแจ้งพระถังซัมจั๋งตื่นจัดแจงเสร็จแล้ว ก็เรียกเห้งเจียว่าเราพากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินแต่เช้าจะได้ขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง เห้งเจียก็พร้อมด้วยพระอาจารย์เข้าไปในพระราชวัง แล้วเห้งเจียจึงพูดแก่พระอาจารย์ว่าไว้ข้าพเจ้าเข้าไปดูพ่อตาพระเจ้าแผ่นดินก่อนจะซื่อตรงหรือคดโกงประการใด
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าวิตกกลัวเห้งเจียจะไม่อ่อนน้อมคำนับพระเจ้าแผ่นดิน ๆ จะจับผิดเอา เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าไม่ไปดังนั้นจะแปลงตัวตามรักษาพระอาจารย์เข้าไป พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก้มีความยินดีจึงเดินเข้าไปในพระราชวัง เห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงหวี่บินไปตามพระอาจารย์ ขุนนางพนักงานรับแขกเมือง ก็เดินมากะซิบสั่งว่าท่านอาจารย์เข้าไปเฝ้า แล้วอย่ายกเรื่องพวกนั้นพูดขึ้นเลยเป็นอันขาด พระถังซัมจั๋งพยักหน้ารับคำแล้วจึงเดินเข้าไป ครั้นถึงประตู​พระราชวัง ก็เดินมาหาขุนนางขันทีปราศรัยว่า อาตมภาพอยู่เมืองใต้ถังมีรับสั่งพระเจ้าแผ่นดินให้ไปไซที เพื่ออาราธนาพระไตรปิฎก บัดนี้มาถึงเมืองจะขอเข้าเฝ้าเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ขอท่านได้โปรดทูลให้ทรงทราบ
รูปภาพ ; ปีศาจตนนี้เดิมกำเนิดเป็นกวาง เป็นสัตว์พาหนะสำหรับท่านเซียนน่ำก๊กแชกุนขับขี่ มันหลบหนีท่านลงมา ไปสำนักนิอยู่ที่ถ้ำเช่งฮวยจึง เป็นสมัครพรรคพวกกับนางเสือปลา เลี้ยงนางเสือปลาเป็นบุตรสาว แปลงกายเป็นมนุษย์รูปร่างสะอาดสำอางตา พาไปถวายเจ้าเมืองปี๊เปียก๊กคอยคิดร้ายฆ่าคนในเมืองปี๊เปียก๊ก ครั้นเวลาที่พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์มาถึงได้รู้เหตุ เห้งเจียจึงกำจัดตาเฒ่าเชียงก๊กกับนางเสือปลาเสีย ฝ่ายตาเฒ่าเชียงก๊กก็กลายเป็นกวางไป ท่านน่ำก๊กแชกุนขอเอากวางไปเลี้ยงไว้อย่างเดิม
31.国丈一看,认出是当年的齐天大圣到了,
抽身就跑。悟空举棒就打,
那国丈急用蟠龙杖来迎。一来一往,
打了二十多个回合,不分胜负。
   ขุนนางขันทีได้ฟังดังนั้น ก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน ๆ ได้ทรงทราบดังนั้นก็มีพระทัยใสโสมนัสยินดี ตรัสว่าพระสงฆ์มาจากเมืองไกล คงจะมีวิชาความรู้เชี่ยวชาญ จึงรับสั่งให้ขันทีนำเข้าไปเฝ้า พระถังซัมจั๋งสำรวมกิริยายืนอยู่ชั้นล่าง พระเจ้าแผ่นดินนิมนต์ให้ขึ้นข้างบน ทรงพระอนุญาตให้นั่งในที่อันสมควรแล้ว พระถังซัมจั๋งพิจารณาดูพระเจ้าแผ่นดิน เห็นพระรูปและพระฉวีซีดเศร้าหมองโรยราซูบผอม กำลังอ่อนเปลี้ยไม่แข็งแรงพระสุระสำเนียงก็แผ้วเบา ตรัสออกมาก็ไม่เป็นปรกติพระถังซัมจั๋งพิจารณากระทั่งแล้ว จึงถวายหนังสือขึ้นไป พระเจ้าแผ่นดินรับหนังสือมาคลี่ออกทอดพระเนตร จึงหยิบตราประทับแล้ว ส่งคืนมาให้พระถังซัมจั๋ง ๆ รับมาเก็บไว้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินจะใคร่ทรงทราบเหตุที่จะไปรับพระธรรมนั้น
   มีขุนนางเข้ามาทูลว่า ท่านเชียงก๊กพ่อตาจะเข้ามาเฝ้า พระเจ้าแผ่นดินทรงพระอุตส่าห์ลงจากพระแท่น เกาะบ่าขันทีคอยรับท่านเชียงก๊กพ่อตา พระถังซัมจั๋งประหม่ายืนแอบอยู่ข้างหนึ่ง เห็นตาเฒ่าเดินฉุยฉายแต่งกายเป็นเพศฤาษีไม่คำนับพระเจ้าแผ่นดิน ๆ ทรงย่อพระองค์แล้ว ตรัสถามว่าวันนี้สบายอยู่หรือเชิญขึ้นนั่งข้างบน พระถังซัมจั๋งเดินมาก้าวหนึ่งลดตัวปราศรัยคำนับถามทัก ตาเฒ่าก๊กเชียงนั่งอยู่ข้างบนทำเมินหน้า​เฉยไม่ตอบไม่ทักว่ากระไร หันหน้าไปหาพระเจ้าแผ่นดินถามว่า พระสงฆ์นี้มาแต่ไหน พระเจ้าแผ่นดินตรัสบอกว่ามาแต่ประเทศจีนเมืองใต้ถัง พระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้ไปไซทีอาราธนาพระธรรม เธอมาขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ก๊กเชียงหัวเราะแล้วพูดว่า ไซทีนั้นหนทางมืดมัวจะมีดีอะไร พระถังซัมจั๋งพูดว่าแต่เดิมมาจนท้าวบัดนี้ไซทีนั้นเป็นที่ไชยภูมิสุขสำราญหาที่เปรียบมิได้เหตุใดจะไม่ดีเล่า
   พระเจ้าแผ่นดินทรงถามว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่าพระสงฆ์เป็นสานุศิษย์ของพระพุทธเจ้า ไม่ทราบว่าพระสงฆ์นั้นจะมีที่ไม่ตายหรือเปล่า ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้านั้นอายุจะได้ยืนยาวหรือเปล่า พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็พนมมือทูลตอบว่า แม้ว่าเป็นสมณะละธุระปัจจัยเสียให้สิ้นมูล สันดานผ่องใสไม่มีกิเลสตัณหามานะทิฐิแล้ว ก็ไม่เกิดไม่ตาย (อันที่จริงนั้นระงับสุขสำราญที่ไม่ระงับนั้น แล้วแจ่มแจ้งรู้จักมูลจิตด้วยตนเอง จิตก็บริสุทธิ์แน่แน่น ความจริงนั้นก็มิได้ขาดและเหลือจะเห็นซึ่งรูปนามที่เกิดมีมาแล้วนั้น ว่าไม่เที่ยงเป็นกองทุกข์ใช่ตัวตน ย่อมมีธรรมดาแตกดับไปทั้งสิ้น) การที่ไปอาศัยยาประกอบทำให้อายุยืนเป็นอารมณ์นั้น เป็นความเท็จไม่จริง หากว่าสภาวะธรรมย่อมละทิ้งเสียสิ้นแล้ว ทุก ๆ สิ่งรูปสีก็ว่างเปล่า สำรวมจิตกระทำให้น้อยซึ่งความกำหนัดในกามารมณ์ อายุก็อาจยืนยาวอยู่เอง
ตาเฒ่าก๊กเชียงได้ฟังพระถังซัมฟังพูดดังนั้น ก็หัวเราะเอามือชี้พระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่า พระสงฆ์ผู้นี้กล่าวคำสับปลับ พูดว่าในความ​ระงับสุขนั้น ต้องอาศัยสันดานนั้นกับที่แห่งใด จะนั่งสมาธิให้แห้งเปล่า สรรพธรรมจะต้องประกอบเลี้ยงเขาย่อมกล่าวว่า นั่งนักไฟจะแตกเผาเอาก็จะกลับเป็นไฟร้าย ยังไม่รู้ความปฏิบัติของเรา ด้วยปฏิบัติฝ่ายเซียนนั้น กระดูกแข็งมั่นคง บรรลุมรรคนั้นจิตภาคก็ศักสิทธิ์ ประกอบยาช่วยมนุษย์แผ่มรรคธรรม ยกความสั่งสอนของท้ายเสียงเล่ากุนน้ำมนต์และยันต์ไว้สำหรับกำจัดซึ่งปีศาจร้ายในมนุษย์ แปรฟ้าดินและอากาศ เก็บเอากำลังตะวัน เดือน สำรวมธาตุละเอียดหยาบเป็นยาประสิทธิคุณได้สำเร็จแล้ว ขึ้นขี่นกการะเวกแล้วให้บินร่อนเล่นสำราญใจเป็นสุขอันใหญ่ ไม่เหมือนของท่านพุทธศาสนา ให้ระงับดับอารมณ์ เข้านิพพานทิ้งร่างกายเน่านั้นก็ยังไม่ประหลาดสะอาดได้ ในไตรศาสนา คือไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์ อิสีศาสตร์ ตั้งแต่เริ่มมีศาสนา ๆ ฤาษีเป็นดีที่สุด สูงยิ่งกว่าศาสนาอื่น ๆ
   ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังก๊กเชียงชี้แจงแสดงให้ฟังดังนั้น ก็มีความเชื่อเลื่อมสัยที่สุด บรรดาขุนนางใหญ่น้อยก็พากันสรรเสริญพร้อมกันว่า ควรยกฤาษีศาสตร์ว่าเป็นสูงสุดไม่มีศาสนาใดเสมอ พระถังซัมจั๋งเห็นขุนนางพากันสรรเสริญก๊กเชียงทุก ๆ คนดังนั้น ก็มีความอดสูที่สุด พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขุนนางพนักงานจัดเครื่องแจถวาย ด้วยพระสงฆ์เธอมาแต่เมืองไกล พวกขุนนางจัดเครื่องแจมาถวายตามรับสั่ง พระถังซัมจั๋งก็ขอบพระคุณลาออกไป พอลงจากบันไดปราสาทจะเดินออกไป เห้งเจียบินมาจับที่หูร้องเรียกว่าอาจารย์คำหนึ่ง แล้ว​บอกว่าอ้ายเฒ่าก๊กเชียงมันเป็นพวกปีศาจจริงแล้ว พระอาจารย์ออกไปฉันจังหัน ข้าพเจ้าจะอยู่ในนี้เพื่อจะได้ฟังความร้ายดีประการใด
   พูดแล้วเห้งเจียก็บินกลับขึ้นไปยังปราสาทกิมล่วนเต้ย จับอยู่ที่บานลับแล แลไปเห็นขุนนางนางทหารล้อมวัง เข้ามากราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ เมื่อคืนนี้เวลาสามยามเศษเกิดมีลมหนาวพัดมาโดยแรงหอบเอากรงที่ขังเด็กนั้นไปทั้งหมดสิ้นสูญหายไปไม่ได้เค้าเงื่อนว่าไปข้างไหน พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังดังนั้น ตกพระทัยมีพระอาการธุรนธุรายแล้วตรัสว่า หากเป็นเช่นนี้ฟ้ามิทับข้าพเจ้าแล้วหรือ ก๊กเชียงเห็นพระเจ้าแผ่นดินเสียพระทัยดังนั้นจึงทูลว่า ขอพระองค์อย่าทรงพระวิตก พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสถามว่า ข้าพเจ้าเจ็บป่วยอยู่อย่างนี้ หมอหลวงก็สิ้นสติปัญญาความรู้แล้ว ท่านก๊กเชียงประกอบยาทิพย์โอสถเวลาพรุ่งนี้เที่ยง จะลงมือฆ่าทารกเอาตับเป็นกระสายยา ก็มาเกิดเหตุขึ้นดังนี้ จะไม่ใช่ฟ้าฆ่าเราก็จะเป็นอะไรอีกเล่า ก๊กเชียงทูลว่าลมหอบเอาทารกไปนั้น จะกระทำให้พระชนม์มายุของพระองค์ยืนยาวยิ่งกว่านั้นไปอีก 
   พระเจ้าแผ่นดินตรัสถามว่า ลมหอบเอาเด็กไปหมดสิ้นดังนี้ ทำไมท่านว่าจะกลับส่งให้อายุยืนต่อขึ้นไปได้อีกเล่า เฒ่าก๊กเชียงทูลว่า ข้าพเจ้าพึ่งเข้ามาเฝ้าแลเห็นกระสายยาอันพิเศษสิ่งหนึ่ง ที่ตับเด็กเป็นกระสายยานั้น พระชนม์ของพระองค์จะยืนได้พันปี ถ้าเอาสิ่งนั้นมาทำกระสายยาเสวยแล้ว พระชนม์มายุของพระองค์จะยืนอยู่ถึงหมื่นปี พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังก๊กเชียงทูลดังนั้นก็ยังไม่เข้าพระทัยแน่ว่าอะไร จึงตรัสถาม​ก๊กเชียงว่าสิ่งอะไรถึงจะอายุยืนหมื่นปี ก๊กเชียงจึงทูลว่าที่เจ้าเมืองใต้ถังมีรับสั่งให้พระถังซัมจั๋งไปไซทีนั้น พระสงฆ์องค์นั้นรักษาพรหมจรรย์มาสิบชาติแล้ว และทั้งบวชเรียนมาแต่เล็ก มิได้เสพอสัทธรรมร่างกายบริสุทธิ์ประเสริฐยิ่ง ถ้าได้หัวใจเธอมา ผสมยาของข้าพเจ้าแล้ว อายุของพระองค์จะยืนตั้งหมื่นปี
   พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังก๊กเชียงกราบทูลดังนั้น มีพระทัยเชื่อลุ่มหลง จึงตรัสถามว่าเหตุใดท่านจึงไม่บอกแต่แรกก่อนเล่า แม้ว่าจริงดังนั้นเราจะได้ยึดไว้ไม่ปล่อยให้ไป เฒ่าก๊กเชียงทูลว่า แม้ถึงดังนั้นก็ไม่ยาก เมื่อพระองค์รับสั่งให้หาข้าวแจเลี้ยงกินแล้วจึงจะไปได้ เวลานี้มีรับสั่งให้ปิดประตูเมืองทุก ๆ ประตู จัดทหารออกไปล้อมรอบที่หอรับแขกนั้น จับเอาตัวพระสงฆ์นั้นเข้ามา จึงขอร้องโดยความเย็นก่อน แม้ว่ายอมโดยดีแล้ว ก็ผ่าห้องควักเอาหัวใจออกมา เอาซากอาศพนั้นไปฝังเสียให้ดี แล้วปลูกศาลไว้เซ่นไหว้เธอ หากว่าเธอไม่ยอมให้โดยดีก็จับมัดแล้วเอามีดแหวะควักหัวใจก็ไม่ยากอะไร พระเจ้าแผ่นดินได้ฟังดังนั้น ก็เชื่อถือกระทำตามจึงรับสั่งให้ปิดประตูเมืองทุก ๆ ประตู แล้วสั่งให้พวกตำรวจไปล้อมหอกิมเต๊ง
   ฝ่ายเห้งเจียคอยแอบฟัง ครั้นให้ยินดังนั้นก็โผบินออกมายังที่กิมเตง ครั้นถึงก็แปลงกายกลับเป็นรูปเดิมเข้าไปหาพระอาจารย์บอกว่าภัยจะมีมาถึงแล้ว เวลานั้นพระถังซัมจั๋งกำลังนั่งฉันข้าวอยู่ได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น ทั้งโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็พากันตกใจเหงื่อโทรมไปทั้งกาย โป๊ยก่ายถามว่าภัยอะไรที่ไหน เห้งเจียบอกว่า เมื่ออาจารย์​กลับออกมาจากเฝ้าแล้ว มีขุนนางนายทหารล้อมวังเข้าไปกราบทูลว่าเกิดเหตุลมพัดหอบเอาเด็กที่ในกรงไปหมด เจ้าแผ่นดินมีความเดือดร้อนเสียพระทัย เฒ่าก๊กเชียงกราบทูลว่า ฟ้าส่งให้อายุพระเจ้าแผ่นดินยืนนาน จะเอาหัวใจของอาจารย์เป็นกระสายยาว่าดีกว่าตับเด็กนั้น พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงเชื่อ จึงให้ทหารมาล้อมที่หอนี้ จะเอาตัวเข้าไปขอเอาหัวใจ
   โป๊ยก่ายได้ฟังก็หัวเราะแล้วพูดว่า สมคิดจริงดีแล้วสมแก่ที่อาจารย์มีใจเมตาแก่เด็ก ให้คิดอ่านช่วยเด็กทารกนั้นให้รอด บัดนี้เหตุนั้นเป็นมูลให้ภัยร้ายนี้ถึงตัว พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นมีกายอันสั่นดุจลูกนก แล้วจับมือเห้งเจียถามว่าการเป็นเช่นนี้แล้วจะคิดอย่างไรดี เห้งเจียพูดว่า แม้อยากจะให้ดีแล้ว ใหญ่ต้องเป็นเล็ก ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นจึงถามเห้งเจียว่า ใหญ่เป็นเล็กนั้นอย่างไร ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ เห้งเจียบอกว่าแม้จะให้รอดชีวิตแล้วอาจารย์ต้องเป็นศิษย์ ศิษย์ต้องเป็นอาจารย์ จึงปราศจากภัยร้ายนั้นได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าแม้ช่วยชีวิตได้อาตมภาพก็ยอม เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นอย่าได้ช้าโป๊ยก่ายรีบไปเอาดินเหนียวมาสักก้อนหนึ่ง
   โป๊ยก่ายก็เอาคราดไปขุดดินมาก้อนหนึ่ง จึงเอาน้ำปัสสาวะขยำปนมาส่งให้เห้งเจีย ๆ รับมามีกลิ่นปัสสาวะก็ไม่รู้ที่จะว่าประการใด จึงอุตส่าห์ปั้นเป็นแผ่นแบนแล้ว เอาเข้ากดกับหน้าของตัวเองแล้ว เอามาใส่ที่หน้าพระถังซัมจั๋ง สั่งว่าอย่าไหวอย่าพูดจาจงนิ่งอยู่ดังนั้น สั่งแล้วเห้งเจียก็ร่ายคาถามหาประสิทธิ์เป่าไปทีหนึ่ง พระถังซัมจั๋งก็แปลงเป็นเห้งเจีย แล้วถอดเสื้อหมวกผ้าให้​เห้งเจียนุ่งห่ม เอาเสื้อผ้าของเห้งเจียมานุ่งห่ม เห้งเจียครั้นเอาเสื้อผ้าของอาจารย์มานุ่งห่มแล้ว ก็ร่ายคาถาแปลงเหมือนอาจารย์เสร็จแล้ว ก็ได้ยินเสียงกลองแลม้าล่อออกสนั่น พวกทหารแลตำรวจต่างถืออาวุธทุก ๆ คน พากันเข้ามาล้อมหอกิมเต๊ง ประมาณสามพันคน ขุนนางมหาดเล็กคนหนึ่งเดินเข้ามาในหอ ถามว่าคนไหนพระถังซัมจั๋งซึ่งมาแต่เมืองใต้ถัง ขุนนางเจ้าพนักงานรับแขก คุกเข่าลงชี้ว่าที่นั่งอยู่ข้างในนั้น ขุนนางมหาดเล็กก็เดินเข้าไปพูดว่า บัดนี้มีรับสั่งให้มานิมนต์เข้าไปเฝ้า พระถังซัมจั๋งแปลงก็เดินออกมาจากประตูห้องปราศรัยถามว่าพระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งประการใด ขุนนางมหาดเล็กก็ตรงมาจับมือเห้งเจียที่แปลงเปนพระถังซัมจั๋งจูงเอาไป แล้วพูดว่าท่านจงไปกับข้าพเจ้าเข้าเฝ้า จะโปรดปราณมีธุระประสงค์อะไรดอกกระมัง
(บทที่ ๗๙)
 ฝ่ายพวกขุนนางมหาดเล็กและขันที ครั้นได้ตัวพระถังซัมจั๋งแล้วก็ห้อมล้อมพาตัวมายังพระราชวังใน ครั้นถึงหน้าพระที่นั่งขุนนางทั้งหลายก็พากันคำนับ แต่พระถังซัมจั๋งแปลงยืนนิ่งอยู่ไม่คำนับ ร้องถามไปว่าเจ้าแผ่นดิน ปี๊เปียก๊กจะหาตัวอาตมภาพมาว่าอะไรหรือ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่าข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคมาช้านานแล้วไม่หาย บัดนี้ท่านก๊กเชียงประกอบยาวิเศษได้ เครื่องยาทั้งหลายก็พร้อมแล้ว ยังขาดแต่สิ่งเดียว เพราะฉะนั้นจึงนิมนต์ท่านเข้ามา จะใคร่ขอกระสายยาแก่ท่านสักสิ่งหนึ่ง แม้โรคหายปรกติแล้ว ข้าพเจ้าจะปลูกศาลบูชาท่านทุก ๆ ปีไว้​เป็นที่นับถือหลักฐานของบ้านเมืองต่อไป เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า อาตมภาพก็เป็นสมณะตัวเปล่ามาถึงนี่ไม่มีอะไร มหาบพิตรโปรดถามก๊กเชียงดูว่าจะต้องประสงค์สิ่งใด
   พระเจ้าแผ่นดินตอบว่าจะต้องประสงค์หัวใจท่านเท่านั้น สิ่งอื่นก็มีพร้อมแล้ว พระถังซัมจั๋งปลอมถวายพระพรว่า อาตมภาพก็ไม่ปิดบัง ซึ่งพระองค์มีพระราชประสงค์หัวใจนั้นจะเอารูปสีอย่างไหน ก๊กเชียงนั่งอยู่ที่นั้นจึงบอกแก่พระถังซัมจั๋งปลอมว่า จะต้องการหัวใจดำของท่านผสมยาเป็นกระสาย เห้งเจียจึงตอบว่า ถ้ากระนั้นก็ได้เอามีดมาแหวะเอาเดี๋ยวนี้ อาตมภาพจะแหวะให้ ถ้ามีหัวใจดำก็จะถวายตามพระราชประสงค์ ส่วนพระเจ้าแผ่นดินเมื่อได้ทรงฟังดังนั้นก็ดีพระทัย จึงรับสั่งให้ขันธีเอามีดมาให้พระถังซัมจั๋งปลอม เห้งเจียรับมีดมาแล้ว ก็แหวกเสื้อออกจนแลเห็นท้อง มือขวาก็เอามีดแทงเข้าที่ท้องดังเสียงผลัวะกระชากแหวะออก แลเห็นในท้องมีหัวใจไหลออกมาเป็นดวงใหญ่อยู่กับพื้น
   พวกขุนนางทั้งหลายแลเห็นดังนั้น ต่างคนมีความหวาดเสียวสะดุ้งจิตไปทุกคน ก๊กเชียงแลเห็นดังนั้นก็ตกตะลึง พูดว่าพระสงฆ์รูปนี้ทำไมจึงมีหัวใจมากอย่างนี้ พระถังซัมจั๋งปลอมทำเป็นเอามือค้นหา กำลังโลหิตแดง ๆ ดังนั้น เห็นมีแต่หัวใจแดงหัวใจขาวหัวใจเหลือง หัวใจตระหนี่เหนียวแน่น หัวใจลาภยศหัวใจอิจฉา หัวใจเล่ห์กล หัวใจอยากชนะ หัวใจอยากให้สูง หัวใจหมิ่นประมาทหัวใจเหี้ยมโหด หัวใจดุร้ายหัวใจกลัวเกรง หัวใจมักน้อยหัวใจมิจฉาทิฐิ หัวใจส้อนเร้นมืดมัวหัวใจไม่ยุติธรรม ​เว้นแต่หัวใจดำนั้นไม่มี ส่วนพระเจ้าแผ่นดินเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ตกประหม่าพระองค์สั่นสะทกสะท้าน ตรัสด้วยพระสุรเสียงอันดังว่าเก็บเอาไปเถิด ๆ เห้งเจียก็เรียกหัวใจกลับเข้าในกายตามปรกติเดิมแล้วก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม ร้องบอกแก่พระเจ้าแผ่นดินว่าพระองค์ชั่งไม่มีพระเนตรเลย พวกข้าพเจ้าอยู่ในทางสัมมาปฏิบัติล้วนแต่กุศลจึงไม่มีหัวใจดำ อันหัวใจดำนั้นมีแต่ก๊กเชียง จงเอาออกมาทำกระสายยาเถิดจึงจะดี แม้ท่านไม่เชื่อ ข้าพเจ้าจะช่วยควักออกให้ประเดี๋ยวนี้
   ฝ่ายก๊กเชียงพิเคราะห์ดูเห็นรูปเห้งเจียแปลก มิใช่รูปเดิมก็จำได้ว่าซึงหงอคง มีความกลัวก็เหาะหนีขึ้นแทรกกอยู่ในกลีบเมฆ เห้งเจียก็เหาะขึ้นตามไปร้องตวาดว่ามึงจะหนีไปไหน กลับมากินตะบองสักทีก่อน ฝ่ายปีศาจก๊กเชียงเห็นจะหนีไม่พ้น จึงหันหน้ากลับมาต่อสู้เอาไม้เท้าตีแลป้องกัน รบกันด้วยกำลังแข็งแรงได้ยี่สิบเพลง ทานกำลังเห้งเจียไม่อยู่ก็บันดาลเป็นสายรุ้ง พุ่งเข้าไปยังตำหนักนางมุ้ยเฮ้าในพระราชวัง ก็หอบนางออกจากตำหนักหนีไป เห้งเจียก็ลดลงยังปราสาทกิมล่วนเต้ยถามขุนนางทั้งปวงว่า ท่านทั้งหลายเห็นความดีของก๊กเชียงหรือไม่ ขุนนางทั้งหลายก็พากันเคารพเห้งเจียทั้งสิ้น
เห้งเจียถามว่า พระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปข้างไหน พวกนนางบอกว่าพระองค์เห็นกำลังรบกัน ตกพระทัยกลัวไม่ทราบว่าจะไปแอบซ่อนอยู่ที่ไหน เห้งเจียบอกว่าพวกท่านจงรีบไปเที่ยวค้นหา จะไปอยู่ที่ตำหนัก​นางมุ้ยเฮ้าดอกกระมัง พวกขุนนางทั้งหลายก็พากันไปเที่ยวค้นหาแรกก็ไปหาที่ตำหนักนางมุ้ยเฮ้า ก้ไม่เห็นทั้งพระเจ้าแผ่นดินและนางมุ้ยเฮ้า
 พวกนางสนมกำนันในก็พากันกราบไหว้เห้งเจียทุกๆ คน เห้งเจียก็เชิญให้ลุกขึ้น แล้วบอกว่าอย่าช้าให้ช่วยกันรีบเที่ยวค้นหาพระเจ้าแผ่นดิน
   ในขณะนั้น ก็เห็นพวกขันธีสามสี่คนพยุงพระเจ้าแผ่นดินออกมาจากห้องพระตำหนักใน พวกขุนนางทั้งหลายแลเห็นก็พากันคุกเข่าลงคำนับกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบการทั้งนี้หากได้พึ่งพระสงฆ์ผู้วิเศษจึงได้แจ้งว่าก๊กเชียงนั้นคือปีศาจยักษ์ร้าย และทั้งนางมั้ยเฮ้าก็มิได้เห็น พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังขุนนางกราบทูลดังนั้นแล้ว จึงเชิญให้เห้งเจียออกไปข้างหน้า ยังบัลลังก์แก้วทรงคำนับขอบคุณเห้งเจียแล้วถามว่า เมื่อแรกเข้ามาเห็นรูปร่างงดงาม บัดนี้ทำไมจึงเป็นรูปดังนี้เล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วจึงทูลว่า เมื่อแรกเข้ามาเปลี่ยนหนังสือนั้น แลคืออาจารย์ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง คือพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ ตัวข้าพเจ้าคือซึ่งหงอคงสานุศิษย์ใหญ่ ยังอีกสองคนคือตือโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง บัดนี้ยังพักอยู่หอกิมเต๊ง เพราะทราบว่าพระองค์หลงเชื่อฟังคำปีศาจมารร้าย จะใคร่เอาหัวใจของอาจารย์ข้าพเจ้าทำน้ำกระสายยา ข้าพเจ้าจึงต้องแปลงเป็นรูปอาจารย์เข้ามากำจัดปีศาจ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น  รับสั่งให้ขุนนางออกไปนิมนต์พระอาจารย์กับสานุศิษย์เข้ามายังพระราชวัง
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่ที่หอกิมเต๊ง ได้ยินเห้งเจียรบกับปีศาจอยู่​ในอากาศ จิตใจหวั่นหวาดไม่อยู่กับตัว พอเห็นขุนนางมานิมนต์ก็ยิ่งไม่มีความสบาย โป๊ยก่ายหัวเราะพูดว่าครั้งนี้นิมนต์เข้าไปไม่ใช่จะเอาหัวใจดอก พระอาจารย์อย่าตกใจเลยเห็นพี่เห้งเจียจะมีชัยชนะปีศาจแล้ว จะนิมนต์เข้าไปขอบคุณเป็นแน่ พระถังซัมจั๋งว่าหากมีชัยชนะจะนิมนต์เข้าไปขอบคุณก็เอาเถอะ แต่หน้ากากยังใส่อยู่อย่างนี้จะไปเฝ้าอย่างไรได้ โป๊ยก่ายพูดว่าข้อนั้นไม่เป็นไร เข้าไปถึงแล้วพี่เห้งเจียอยู่ที่นั่นมีวิธีแก้ไขได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไร ก็ต้องจำใจจำไปเดินเกาะบ่าโป๊ยก่ายซัวเจ๋งออกจากห้อง พวกขุนนางแลเห็นก็ตกใจถามว่าอาจารย์ทำไมรูปร่างจึงแปรเป็นดังนี้ไปเล่า ท่านทั้งสองรูปร่างก็น่ากลัว
   ซัวเจ๋งพูดว่า ท่านอย่าวิตกรูปร่างไม่สวยไม่งามก็ตามกุศลตกแต่งกำเนิดมาอย่างนั้น พวกขุนนางก็พาศิษย์กับอาจารย์เดินมา ครั้นถึงหน้าพระลานในพระราชวัง เห้งเจียแลเห็นก็ลงมารับพระอาจารย์ เอามือถอดหน้ากากออกแล้ว ร่ายคาถาเป่าไปทีหนึ่ง รูปพระถังซัมจั๋งก็กลายกลับเป็นรูปเดิม
   พระเจ้าแผ่นดินเสด็จลงจากพระแท่น มานิมนต์ขึ้นนั่งที่อันสมควรแล้ว เห้งเจียจึงทูลถามพระเจ้าแผ่นดินว่า พระองค์ได้ทรงทราบหรือไม่ว่าปีศาจนั้นมันอยู่ที่ไหน ถ้าทราบแล้วข้าพเจ้าจะได้ไปกำจัดเสียจะได้สิ้นภัยร้ายต่อภายหลัง พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังเห้งเจียถาม ก็​ให้คิดอดสูในพระทัย ตอบว่าเมื่อสามปีก่อนข้าพเจ้าได้ถามเธอบอกว่า จากเมืองไปไม่ไกลอยู่ข้างทิศอาคเนย์ ไปประมาณเจ็ดสิบโยชน์ก็ถึง ที่นั้นมีเนินแห่งเรียกว่าเนิน ลิ้วกีพา ตำบลเชงฮวยจึง เฒ่าก๊กเชียงไม่มีบุตรชาย จึงพาบุตรเมียน้อยรุ่นสาวคนหนึ่งอายุสิบหกปีมายกให้เป็นสนม ข้าพเจ้ารับไว้ในตำหนัก จึงได้เกิดโรคมากขึ้น พวกหมอหลวงก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ก๊กเชียงเธอบอกว่ามียาวิเศษของเทวดา จะต้องเอาตับเด็กเป็นน้ำกระสายยา ข้าพเจ้าก็ไม่ดีไปหลงเชื่อฟัง จึงได้สั่งให้เลือกเอาเด็กบุตรของราษฎร กำหนดวันนี้จะลงมือผ่าเอาตับ ก็บังเอิญพระสงฆ์ผู้วิเศษมาถึงนี่ บรรดาทารกที่อยู่ในกรงนั้นก็หายไปทั้งสิ้น เธอจึงบอกว่าพระสงฆ์นั้นบวชมาสิบชาติแล้ว แม้ได้หัวใจมาทำกะสายยา ดีกว่าตับเด็กเหล่านั้นหมื่นเท่า ข้าพเจ้าก็หลงเชื่อเอาเป็นจริง ก็บังเอิญได้พึ่งท่านผู้วิเศษรู้แจ้งได้ว่าเป็นปีศาจมารร้าย ขอท่านได้ไปรดกำจัดเสียให้สิ้นเชิง อย่าให้มีความร้ายต่อไปข้าพเจ้าจะแบ่งบ้านเมืองสนองคุณท่าน
   เห้งเจียได้ฟังจึงทูลว่า อันเด็กในกรงนั้นพระอาจารย์ของข้าพเจ้ามีจิตเมตตา จึงให้ข้าพเจ้าเอาไปซ่อนเสีย พระองค์อย่าวุ่นวายอะไรเลยไว้ธุระข้าพเจ้าจะกำจัดปีศาจเอง ไม่ต้องตอบแทนอะไร แล้วเห้งเจียพูดแก่โป๊ยก่ายว่าเจ้าต้องไปด้วยกัน โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าก็จะไปแต่ขัดด้วยท้องเปล่าไม่มีกำลัง พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งแก่เจ้าพนักงานให้จัดเข้าปลาอาหารมาให้โป๊ยก่ายรับประทาน โป๊ย​ก่ายกินอาหารเสร็จแล้ว ก็จัดแจงแต่งกายมั่นคงแข็งแรง เสร็จแล้วก็เหาะตามเห้งเจียไปในอากาศ
   ฝ่ายพวกสนมนางในแลขุนนางทั้งหลาย เห็นเห้งเจียโป๊ยก่ายเหาะเหินเดินอากาศมีฤทธิ์เดชดังนั้น ก็พากันสรรเสริญยกมือขึ้นคำนับทุกคนแล้วพูดว่า นี่คือเทพยดาลงมาโปรดพวกเรา ฝ่ายเห้งเจียกับโป๊ยก่ายพากันเหาะตรงมายังทิศอาคเนย์ มาได้ประมาณเจ็ดสิบโยชน์ ก็ลดลงยังพื้นดินเที่ยวค้นหาที่อยู่แห่งปีศาจ เดินมาก็เห็นลำห้วยน้ำใสสอาด ทั้งสองฟากห้วยมีต้นสนเป็นทิวแถว แต่ไม่เห็นที่เชงฮวยจึง เห้งเจียก็เที่ยวค้นหามิได้พบ จึงร่ายพระเวทเรียกพระภูมิเจ้าที่ ๆ ก็มาคุกเข่าคำนับอยู่ตรงหน้า เห้งเจียถามว่าที่เนินลิ้วกีปอนี้ที่เชงอวยจึงนั้นอยู่ที่ไหน พระภูมิบอกว่ามีแต่ถ้ำเชงฮวยต๋อง บ้านเชงฮวยจึงนั้นไม่มี ท่านใต้เซี้ยข้ามฟากห้วยไปข้างโน้น ที่ต้นสนเก้ากิ่งนั้นที่โคนต้นมีศิลาอยู่ก้อนหนึ่ง จับศิลานั้นกลับไปมาสามทีแล้ว เอาสองมือตบที่ต้นสนแล้วเรียกให้เปิดประตู สามคำก็จะเห็นถ้ำเชงฮวยต๋อง
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็ให้พระภูมิกลับไปยังที่เดิม จึงพาโป๊ยก่ายข้ามห้วยไปเที่ยวค้นหาต้นสน ก็เห็นมีจริงเหมือนคำพระภูมิบอก เห้งเจียจึงบอกให้โป๊ยก่ายยืนอยู่แต่ห่าง ๆ พี่จะเข้าไปเรียกปีศาจให้เปิดประตู จะได้เข้าไปไล่ปีศาจออกมาน้องจงคอยสกัดไว้ โป๊ยก่ายก็ออกมายืนแอบอยู่ห่าง ๆ เห้งเจียก็ทำตามพระภูมิบอก เดินรอบต้นไม้สนสามรอบแล้ว ก็หันก้อน​ศิลาสามรอบ เอาสองมือตบเข้าที่โคนต้นสนร้องเรียกให้เปิดประตูสามคำ บัดเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงลั่น บานประตูก็เปิดต้นสนก็หายไปทันที แลเข้าไปในประตูมีแสงสว่างแต่ไม่เห็นคน เห้งเจียเดินเข้าไปเห็นมีแผ่นศิลาจารึกอักษรสี่ตัว คือ (เชงฮวยเซียนฮู้) แปลว่าสำนักเทพยดา เห้งเจียก็เดินหลีกเข้าไปข้างใน แลเห็นตาเฒ่านั่งกอดหญิงสาวอยู่กับอก กำลังพูดกระหืดกระหอบถึงเรื่องเจ้าเมืองปี๊เปียก๊ก ว่าสามปีมาแล้ววันนี้จะสำเร็จความคิด บังเอิญอ้ายหัวลิงมันมาทำให้ความแตก
   เห้งเจียตรงเข้าไปยกตะบอกเงื้อมแล้วร้องตวาดว่า กูดูมึงดุจสัตว์หน้าขน มึงมานั่งบ่นนินทาว่าอะไรกู ตาเฒ่าก็ปล่อยนางสาว มือจับไม้เท้าขึ้นต่อสู้กับเห้งเจีย รบกันอยู่ที่หน้าถ้ำโป๊ยก่ายยืนอยู่ข้างนอกให้คันมือ อดไม่ใด้ก็ลากคราดเข้าไปสับกระชากเอาต้นสนใหญ่นั้นสามสี่ที มีโลหิตไหลออกมาจากต้นสนสด ๆ โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นจึงคิดว่าต้นไม้นี้นานปีเข้าก็กลายเป็นปีศาจไป ควรเราจะทำลายมันเสียจึงจะดี แลเห็นเห้งเจียกำลังล่อปีศาจออกมา โป๊ยก่ายก็ไม่รู้จะพูดจาว่ากระไร จับคราดเข้าสับเอาปีศาจ ๆ แลเห็นโป๊ยก่ายก็ตกใจถอยหนี บันดาลเป็นแสงรุ้งหนีไปข้างทิศตะวันออก เห้งเจียโป๊ยก่ายก็รีบเหาะตามไป จวนจะฆ่าปีศาจได้ก็ได้ยินนกการะเวกขันมีรัศมีเฟื่องฟุ้งสว่าง เงยหน้าแลไปดูก็เห็นท่านน่ำก๊กดาวสิ้วแชสกัดกั้นสายรุ้งนั้นไว้ ร้องว่าท่านใต้เซี้ยช้าก่อน ท่านพี่ผ้องหง้วนส่วยยั้งก่อนข้าพเจ้าขอคำนับ เห้งเจียคำนับตอบแล้วถามว่าน้องจะ​ไปข้างไหน
   โป๊ยก่ายหัวเราะว่า ตาเฒ่าหัวเนื้อสกัดกั้นสายรุ้งไว้คงจะจับปีศาจนั้นได้เป็นแน่ สิ้วแชจึงพูดว่าข้าพเจ้าอยู่นี่คอยขอชีวิตให้มันสักครั้งหนึ่งเถิด เห้งเจียพูดว่าเฒ่าปีศาจนั้นก็มิได้เกี่ยวข้องแก่น้อง ทำไมจึงต้องมาอ้อนวอนขอโทษมันด้วยเล่า สิ้วแชหัวเราะแล้วพูดว่า ปีศาจนั้นคือของข้าพเจ้าไว้สำหรับขี่ ข้าพเจ้าเผลอไปมันจึงได้หนีมาเป็นปีศาจดังนี้ เห้งเจียพูดว่าถ้ามันเปนปีศาจของน้อง ก็ให้มันแปลงกลับเปนรูปเดิมให้ข้าพเจ้าดูสักทีหนึ่ง สิ้วแชได้ฟังดังนั้นจึงปล่อยสายรุ้งนั้นออกแล้วร้องตวาดว่า อ้ายสัตว์เดรัจฉานจงรีบกลับกลายเป็นรูปเดิมจะได้รอดชีวิตปีศาจก็พลิกตัวทีหนึ่งกลับเป็นรูปกวางไป สิ้วแชด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉานลักไม้ท้าวมาด้วย
   ฝ่ายกวางนั้นหมอบอยู่กับพื้นปากพูดไม่ได้ เอาศรีษะคำนับร้องไห้อยู่อย่างนั้น สิ้วแชก็ขึ้นขี่ลาเห้งเจียกลับไป เห้งเจียรีบมาจับสิ้วแชไว้แล้วพูดว่า ท่านน้องอย่าเพิ่งไปก่อนมีกิจธุระอยู่สองอย่างยังไม่เสร็จ สิ้วแชถามว่ายังจะมีธุระอะไรอีกเล่า เห้งเจียพูดว่ายังนางปีศาจสาวนั้นไม่ได้ตัว ไม่ทราบว่ามันเป็นปีศาจอะไร แลขอเชิญท่านน้องเข้าไปในเมืองปี๊เปียก๊ก สำแดงกายชักนำประชาชนทั้งหลาย สิ้วแชว่าถ้าดังนั้นข้าพเจ้าจะหยุดรอก่อน ท่านจงรีบพากันไปจับปีศาจสาวได้แล้ว จะได้พร้อมกันเข้าไปในเมือง เห้งเจียจึงพาโป๊ยก่ายกลับมายังถ้ำเชงฮวยต๋อง พากันเข้าไปในถ้ำโห่ร้องอึกทึก
   ​ฝ่ายนางปีศาจเมื่อได้ยินดังนั้นมีความกลัวจนตัวสั่น จึงเข้าแอบอยู่ในประตูไม่มีทางจะหนีได้ โป๊ยก่ายไล่รุกร้องตวาดว่ามึงจะหนีไปไหน นางปีศาจจวนตัวก็บันดาลเป็นสายรุ้งหนีออกไป เห้งเจียเห็นก็มาสกัดสายรุ้งไว้ ตีด้วยตะบองทีหนึ่งถูกปีศาจเจ็บปวดยั้งตัวไม่อยู่ก็ล้มลงกับพื้น กลับมาเป็นเสือปลาขาวไปตามเดิม โป๊ยก่ายอดไม่ได้ก็ยกคราดสับลงอีกทีหนึ่ง เห้งเจียร้องว่าเท่านั้นเถิดอย่าสับให้ละเอียดเลย เอาไว้นำไปให้พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรให้ทราบเหตุ โป๊ยก่ายก็สับติดกับคราดยกใส่บ่าเดินตามเห้งเจียออกมา ก็แลเห็นสิ้วแชกับกวางยืนคอยอยู่ที่หน้าถ้ำ โป๊ยก่ายเอาเสือปลาวางที่หน้ากวาง ถามว่านี่ลูกสาวของเองใช่หรือไม่ กวางนั้นก็ทำศีรีษปะหงก ๆ รับเหมือนบอกว่าใช่ ยื่นปากร้องเสียงดังว่าเป๊ก ๆ ดูดุจแสดงว่ามีใจรักใคร่และห่วงอาลัยต่อกัน
   สิ้วแชเอามือตบศรีษะทีหนึ่งแล้วด่าว่า อ้ายเดรัจฉานตัวของเองรอดชีวิตแล้วก็แล้วกันจะมาห่วงไยอะไรด้วยอีกเล่า สิ้วแชจึงแก้ผ้าคาดพุงออกผูกคอกวางนั้นแล้ว จึงพูดแก่เห้งเจียว่าเรารีบพากันไปหาพระเจ้าแผ่นดินเถิด เห้งเจียว่าจะต้องจัดแจงถ้ำเสียให้เรียบร้อยก่อน หาไม่วันหลังก็จะเกิดปีศาจขึ้นอีก เห้งเจียจึงเรียกพระภูมิเจ้าที่มาสั่งให้หาฟืนแห้ง ๆ มาเผาถ้ำเสียให้หมด ครั้นเผาถ้ำแล้วก็พร้อมกันเหาะกลับมาเมือง โป๊ยก่ายก็หิ้วเสือปลานั้นติดคราดเหาะตามมา ครั้นถึงก็ลงยังพระราชวังข้างหน้า กำลังพวกขุนนางอยู่พร้อมกัน
   ​ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินกับขุนนางทั้งหลายและพวกสนมใน แลเห็นต่างก็ตกใจคุกเข่าลงกับพื้นกราบไหว้ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็พยุงพระเจ้าแผ่นดินให้ลุกขึ้น แล้วหัวเราะพูดว่าท่านอย่าเพิ่งคำนับข้าพเจ้าก่อน กวางตัวนี้เฒ่าก๊กเชียงพ่อตา ท่านจงคำนับเสียก่อนจึงควร พระเจ้าแผ่นดินมีความอดสูพระทัยเปนนี่สุดจึงตรัสว่า ข้าพเจ้าได้พึ่งบารมีของท่านได้โปรดช่วยทารกทั้งเมืองให้รอดชีวิต พระเดชพระคุณหาที่เปรียบมิได้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้ขุนนางจัดโต๊ะเลี้ยงท่านสิ้วแชกุนพระถังซัมจั๋งแลศิษย์ทั้งสาม ขุนนางพนักงานก็ไปจัดการตามรับสั่งทุกประการ
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งก็มาคำนับท่านสิ้วแช ซัวเจ๋งก็มาคำนับถามว่ากวางนี้ของท่านหรือ เหตุใดจึงมาถึงที่นี้ทำร้ายแก่ชาวเมืองดังนั้น สิ้วแชหัวเราะแล้วตอบว่า ท่านตังฮวยตี้กุนข้ามมาที่เขาข้าพเจ้า ๆ เชิญท่านหยุดพักเล่นหมากรุกยังหาทันแล้วกระดานไม่ กวางนี้ก็หันมา พอสิ้นเวลาแขกไปแล้วหาก็ไม่เห็น ข้าพเจ้าจับยามดูก็รู้ได้ว่ามันหนีมาอยู่ตำบลนี้ จึงได้ตามมาค้นหา บังเอิญมาพบปะใต้เซียกำลังแผลงฤทธิ์อยู่ หากข้าพเจ้ามาช้าไปอีกสักหน่อย สัตว์นี้ก็จะสิ้นชีวิตเสียแล้ว พูดยังไม่ทันแล้วก็พอเจ้าพนักงานมาเชิญเข้านั่งโต๊ะ ครั้นนั่งตามลำดับพร้อมกันแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็มารินสุราอย่างดีส่งให้สิ้วแชหนึ่งถ้วย เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งคนละถ้วย พวกดนตรีก็ขับขานบรรเลงขึ้นพร้อมกัน ครั้นเสร็จการเลี้ยงแล้วสิ้วแชก็ขอลา พระเจ้า​แผ่นดินเดินมาใกล้คุกเข่าลงคำนับแล้ว ก็ขอยาแก้โรคอายุวัฒนะ สิ้วแชพูดว่าข้าพเจ้ามาตามกวาง หาได้เอายาติดมาด้วยไม่ ข้าพเจ้าก็อยากจะบอกตำราแพทย์อันพิเศษ แต่ขัดด้วยตัวของท่านมีโรคมากจะไม่พอรู้ได้ บัดนี้ข้าพเจ้ามีแต่พุดซามาสามผลเป็นของท่านตังฮวยตี๊กุนให้ข้าพเจ้า ๆ ยังไม่ได้รับประทาน ขอให้พระองค์เอาไว้เสวยเถิดพระโรคก็ค่อยธุเลาลง ผ่ายหลังอายุก็จะได้ยืนนานเพราะพุดซาสามผลนี้ ครั้นถวายผลพุดซาพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ก็ลาขึ้นนั่งบนหลังกวางตวาดทีหนึ่งกวางก็เหาะขึ้นแทรกเมฆไป พวกชาวเมืองปี๊เปียก๊กไม่ว่าชายหญิงเด็กผู้ใหญ่แลเห็นดังนั้นต่างก็จุดธูปเทียนบูชาทุก ๆ บ้าน
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ ก็จัดเก็บข้าวของจะได้ลาไป พระเจ้าแผ่นดินอ้อนวอนว่าให้อยู่ช่วยสั่งสอนก่อนก็ไม่ยอมอยู่ เห้งเจียจึงพูดเตือนสติพระเจ้าแผ่นดิน ว่าขอพระองค์จงบรรเทาความกำหนัดและความโลภให้เบาบางลง จงตั้งพระทัยในกุศลธรรมปลงพระกรรมฐานภาวนา ทรงผ่อนผันดูการที่ควรหนักและเบาพระโรคก็จะบรรเทาพระชนม์มายุก็จะยืนยาว ขอพระองค์จำไว้อย่าลืม พระเจ้าแผ่นดินมีความชอบพระทัยเป็นอันมาก จึงรับสั่งให้ขุนนางเจ้าพนักงานนำทองคำมาสองถาด ถวายเป็นเสบียงเดินทาง พระถังซัมจั๋งก็มิได้รับ คืนให้เอาไว้สำหรับบ้านเมือง พระเจ้าแผ่นดินก็เป็นอันจนพระทัยไม่รู้ที่ว่าจะทำประการใด จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดพระราชรถเข้ามาแล้ว ก็นิมนต์พระถังซัมจั๋งขึ้นบนราชรถ พระเจ้าแผ่นดิน​กับพระญาติพระวงศ์ และพระสนมนางในก็พากันตามส่งพระถังซัมจั๋งจนนอกเมือง
   ฝ่ายชาวเมืองปี๊เปียก๊ก ต่างก็ตั้งโต๊ะจุดธูปเทียนบูชาส่งพระถังซัมจั๋งทุกๆ บ้าน ในเวลาที่เจ้าเมืองกับขุนนางใหญ่น้อยและชาวเมืองแออัดอยู่นั้น ได้ยินเสียงลมบนอากาศพัดมา เห็นกรงห่านที่ใส่เด็กอยู่กลางถนน เด็กเหล่านั้นก็หัวเราะร่าเริงอยู่ทุกๆ คน และได้ยินเสียงบนอากาศร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่าท่านใต้เซี้ย ได้สั่งให้ข้าพเจ้าเอาเด็กไปซ่อนนั้นบัดนี้ท่านจัดการเสร็จแล้ว ข้าพเจ้านำเด็กมาส่งตามเดิมแล้ว พระเจ้าแผ่นดินและขุนนางข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายใน และราษฎรชาวเมือง พากันกราบไหว้นับถือสรรเสริญเห้งเจียแหงนหน้าขึ้นบนอากาศขอบคุณแล้ว จึงร้องบอกแก่พวกชาวเมืองว่า บุตรของใครก็ให้มารับเอาบุตรของตัวไป
   ฝ่ายราษฎรทั้งหลาย เมื่อได้บุตรของตนแล้วก็มีความยินดีแลขอบใจยิ่งนัก จึงพากันร้องนิมนต์ว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่าเพิ่งไปก่อน จงอยู่ให้พวกข้าพเจ้าฉลองพระเดชพระคุณตอบแทนบ้าง พวกราษฎรบางคนก็เข้าอุ้มเอาพระถังซัมจั๋ง บางคนก็เข้าหามเห้งเจียและโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ไปยังบ้านเรือนจัดของแจและเย็บตัดจีวรและเสื้อกางเกงถวาย บางคนก็เอาม้าไปเลี้ยง แต่ทำการชักช้าอยู่ดังนั้นประมาณเดือนหนึ่ง จึงได้ส่งพระถังซัมจั๋งออกจากเมือง พระถังซัมจั๋ง​กับสานุศิษย์สามคน ออกจากเมืองปี๊เปียก๊กไปประมาณห้าสิบเส้น จึงได้ขอบคุณลาจากไป ฝ่ายเจ้าเมืองกับขุนนางและราษฎรก็พากันกลับเมือง
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 4-24 พากย์ไทย

ไม่มีความคิดเห็น: