Translate

30 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 57 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๘๐)
 พระถังซัมจั๋งกับศิษย์เดินไปหลายเวลา ในฤดูนั้นเป็นเดือนหกเดือนเจ็ดพิเคราะห์ดูตามแนวป่าชัฏ เห็นต้นไม้ออกดอกฉ้อหอมระรื่นตลอดทาง แลไปข้างหน้าเห็นภูเขาสูง พระถังซัมจั๋งรั้งม้าให้ค่อย ๆ เดินได้ยินเสียงนกร้องอยู่บนเขา พระถังซัมจั๋งมีจิตหวนระลึกถึงบ้านเมืองเดิม เห้งเจียพูดว่าอาจารย์อย่าวิตก จงอุตสาหะตั้งใจตรงไปกว่าจะถึง คำโบราณท่านย่อมว่า จะใคร่ให้มั่งมีก็ต้องอุตสาหะลงพืชเพาะ พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าดังนั้นก็จริง แต่ไม่รู้ว่าไซทีนั้นยังไกลอีกสักเท่าใด โป๊ยก่ายพูดว่าพระยูไลไม่ปลงใจให้พระไตรปิฎก รู้ว่าพวกเราจะมาอาราธนา ข้าพเจ้าคิดดูเห็นจะเลิกเสียแล้ว ทำไมจึงเดินไม่ถึงดังนี้ ซัวเจ๋งว่าพี่ทำไมจึงพูดเลอะเทอะดังนี้เล่า จงอุสาหะตั้งใจตามพี่เห้งเจียไปก็คงมีวันถึงอยู่เอง
   อาจารย์กับศิษย์เดินพลางพูดกันพลาง แลไปก็เห็นดงไม้สนเป็นป่าใหญ่ขวางหน้า เห้งเจียก็ถือตะบองเดินนำหน้าเข้าป่าไม้สน เดินมาได้ครึ่งวันก็ไม่ออกจากดงต้นสน พระถังซัมจั๋งจึงเรียกเห้งเจียมาถามว่า เราเดินมาก็ข้ามพ้นห้วยเขากันดารมาหมดแล้ว ทำไมยังมีป่าใหญ่ขวางหน้าอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่มาข้ามห้วยธารภูเขาก็ยังไม่พบที่ร่มรื่นเย็นอย่างนี้เลย ทั้งต้นไม้แลดอกไม้ก็ประหลาดมาก อาตมภาพจะลงหยุดพักสักครู่หนึ่งให้ม้าหายเหนื่อยด้วย เห้งเจียจงไปบิณฑบาตข้าว​มาฉันแล้วจึงค่อยไป เห้งเจียก็มาอุ้มอาจารย์ลงจากม้าลงนั่งพักใต้ต้นสนแล้ว เห้งเจียก็ถือบาตรเหาะขึ้นกลางอากาศแลไปดูรอบทั้งแปดทิศแล้ว แล กลับลงมาที่ดงต้นไม้สน เห็นมีรัศมีออกฟุ้งเฟื่อง เห้งเจียเห็นดังนั้นแล้วก็ร้องขึ้นว่าดีจริง ๆ ในขณะนั้นเห้งเจียแลไปเห็นไอดำฟุ้งฟูขึ้นในดงไม้สน เห้งเจียตกใจคิดเห็นวาไอดำนี้เป็นของร้าย แต่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ไม่เคยเห็นปล่อยไอดำออกดังนี้ เห้งเจียพิเคราะห์ดูก็ไม่รู้แน่ได้
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่ใต้ร่มสน ภาวะนาคาถาซิมเกงจิตก็ระงับเป็นปรกติ ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ว่าคนร้องเรียกให้ช่วย คิดว่าเห็นจะเป็นสัตว์ร้ายไล่กัดดอกระมัง จำเราจะไปดูจะเป็นอะไรแน่ จึงลุกขึ้นจากที่เดินเข้าไปใกล้ แลเห็นมีหญิงคนหนึ่งแขวนอยู่บนต้นไม้ พระถังซัมจั๋งถามว่า ท่านสีกามีเหตุอย่างไรจึงมาต้องมัดแขวนอยู่อย่างนี้
   ฝ่ายปีศาจเห็นพระถังซัมจั๋งมาถาม ก็แกล้งทำคร่ำครวญร้องไห้ด้วยมารยาแล้วพูดว่าท่านอาจารย์ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองตุ้มปอก๊ก จากนี้ไปประมาณสองโยชน์บิดา มารดาข้าพเจ้าใจบุญ เวลาวันเชงเม้งพาพวกพ้องวงศ์ญาติไปเซ่นไหว้ที่ฮวงจุ้ยฝังศพปู่ย่าตายายนั้น ครั้นพากันมาถึงที่ป่าช้าฝังศพแล้ว ก็ได้ยินเสียงกลองและม้าฬ่อและคนโห่ร้องกึกก้องโกลาหล แลไปก็เห็นพวกหนึ่งหลายคน ต่างคนมีมือถืออาวุธทุก ๆ คนเดินเข้ามา พวกญาติของข้าพเจ้าแลเห็นก็กลัวพากันวิ่งหนีไปหมดสิ้น ข้าพเจ้าตกใจกลัวล้มกลิ้งอยู่กับดิน พวกโจรจึงจับ​เอาไปในป่าเขาที่พักของมัน อ้ายนายโจรที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม เห็นรูปร่างข้าพเจ้าสะสวย ต่างก็ชิงกันอยากได้ไว้เป็นภรรยาไม่ตกลงกัน มันจึงได้เอาตัวข้าพเจ้าผูกไว้ที่นี่ พวกโจรก็พากันไปหมดแต่ข้าพเจ้าถูกมัดแขวนมาอย่างนี้ได้ห้าวันแล้ว เห็นชีวิตข้าพเจ้าจะไม่รอดเป็นแน่แล้ว ชะรอยชาติปางก่อนข้าพเจ้าจะได้ทำกุศลสิ่งใดไว้จึงได้มาพบปะท่านอาจารย์ในวันนี้ ขอท่านได้เมตตาช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้สักครั้งหนึ่งเถิด แม้ข้าพเจ้าได้รอดแล้ว พระเดชพระคุณของท่านข้าพเจ้าจักมิได้ลืมเลย พูดแล้วก็ทำมารยาน้ำตาไหลลงอาบหน้าสะอึกสะอื้นร้องไห้ไม่หยุด
   พระถังซัมจั๋งเป็นผู้มีเมตตาจิต เห็นดังนั้นก็อดไม่ได้พลอยร้องไห้ไปด้วย จึงร้องเรียกซัวเจ๋งกับโป๊ยก่าย ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเวลานั้นไปเที่ยวเก็บผลไม้ดอกไม้ ครั้นได้ยินเสียงอาจารย์ร้องไห้และเรียกตกใจก็พากันวิ่งมาหาอาจารย์ ถามว่าพระอาจารย์มีธุระสิ่งใดหรือ พระถังซัมจั๋งเอามือชี้บนต้นไม้บอกให้โป๊ยก่ายขึ้นไปแก้ลงมา ฝ่ายเห้งเจียอยู่บนกลางอากาศพิเคราะห์ดูก็เห็นไอดำนั้น ยิ่งฟุ้งมากขึ้นกลบบังรัศมีนั้นมืดไป จึงคิดว่าเห็นจะไม่ดีแล้ว ที่ไอดำเป็นกลุ่มดังนี้ จะเป็นปีศาจร้ายเข้าทำร้ายแก่อาจารย์เป็นแน่อันจะไปบิณฑบาตเป็นการเล็กน้อย จำจะต้องลงไปดูอาจารย์เสียก่อนเห็นจะดีกว่า คิดดังนั้นแล้วก็หวนกลับลงมายังพื้น แลเห็นโป๊ยก่ายกำลังแก้มัดให้นางหญิงสาวนั้นอยู่ เห้งเจียจึงเข้าไปยึดใบหูโป๊ยก่ายกระ​ชากลงมายังพื้น โป๊ยก่ายกระโดดลุกขึ้นพูดว่า อาจารย์บอกให้เราช่วยชีวิตคน ทำไมจึงมากระชากเราให้ล้มดังนี้
   เห้งเจียว่าน้องอย่าแก้มัน นั่นคือปีศาจมันแกล้งมาหลอกลวงพวกเรา พระถังซัมจั๋งตวาดว่าอ้ายลิงพูดอะไรอย่างนั้น เขาเป็นผู้หญิงกลับเห็นว่าเป็นปีศาจมารร้ายอะไรที่ไหน เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์ไม่ใช่ เหตุการณ์ทั้งนี้เกี่ยวอยู่ในตัวข้าพเจ้า มันประสงค์จะกินอาจารย์ที่ไหนจะรู้ได้เล่า โป๊ยก่ายก็เคืองบอกแก่อาจารย์ว่า ท่านอย่าเชื่ออ้ายเป๊กเบ๊อุน พระถังซัมจั๋งจึงพูดแก่โป๊ยก่ายว่า หน้าที่ของเห้งเจีย ๆ เคยดูถูกทุก ๆ หนไม่ผิด ถ้าเห็นเป็นปิศาจแน่แล้วเราอย่าไปเกี่ยวข้องแก่มัน จงรีบพากันไปเถิดอย่าไปเป็นธุระแก่มันเลย เห้งเจียก็ดีใจพูดว่าดีแล้วพระอาจารย์ได้รอดชีวิตไม่เป็นไร นิมนต์ขึ้นหลังม้ารีบไปจะได้ออกให้พ้นดงต้นสน ดูที่แห่งใดมีบ้านเรือนผู้คนจึงเข้าไปบิณฑบาตมาให้อาจารย์ฉัน อาจารย์กับศิษย์ก็พากันเดินออกไป
   ฝ่ายหญิงสาวที่แขวนอยู่กับกิ่งไม้นั้น ขยับเขี้ยวเคี้ยวฟันมีความโกรธเป็นอันมาก จึงคิดว่าเราได้ยินมาหลายปีแล้วว่าซึงหงอคงคนนี้มีฤทธาอานุภาพมากนัก ก็สมจริงดังเขาชมและเล่าลือจริง เราอยากได้มาผสมภาคให้สำเร็จเป็นเซียน ไม่รู้เลยว่าเห้งเจียจะรู้เท่ากระทำให้ความคิดของเราไปไม่ตลอด พระถังซัมจั๋งหนีพ้นไปได้เราจะมิต้องลำบากหรืออย่าเลยเราจะลองเรียกดู คิดแล้วปีศาจก็เอาเสียงเป็นสายลมพัดมาเข้าหูพระถังซัมจั๋งว่า ท่านอาจารย์ท่านมาทิ้ง​คนเป็นให้ถึงแก่ชีวิตดังนี้ จะไม่เสียเวลาป่วยการที่จะไปนมัสการพระพุทธเจ้าหรือ แลจะอาราธนาพระไตรปิฎกไปทำไม พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าได้ยินดังนั้น ก็เรียกเห้งเจียให้กลับไปแก้มัดหญิงนั้น เห้งเจียถามว่าทำไมจึงมีจิตคิดถึงผู้หญิงดังนี้เล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่าหญิงนั้นร้องให้ช่วย แลเธอพูดถูกต้องว่าทิ้งคนเป็นให้ตายไม่ช่วย จะไปไหว้พระอาราธนาธรรมมาทำไม ช่วยชีวิตมนุษย์ได้รอดตายคนหนึ่ง ก็กุศลยิ่งกว่าเอาแก้วมณีสร้างพระเจดีย์เจ็ดชั้น เห้งเจียจงไปช่วยแก้มัดเถิด
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าพระอาจารย์คิดถึงเมตตาจิตขึ้นมา เราก็ไม่มีอะไรจะแก้ท่าน ท่านอยากจะไปแก้มันก็ตามใจเถิด ข้าพเจ้าไม่อาจห้าม ได้ห้ามท่านครั้งหนึ่งแล้วท่านก็ดุเอาข้าพเจ้า ท่านจะไปแก้ก็นิมนต์ไปเองเถิด พระถังซัมจั๋งโกรธด่าว่าอ้ายลิงพูดมากนักเจ้าไม่ไปก็จงนั่งคอยอยู่ที่นี่ เรากับโป๊ยก่ายไปแก้ลงแล้วจึงค่อยไป พระถังซัมจั๋งกับโป๊ยก่ายก็กลับเข้าดงไปแก้นางปีศาจลงมาแล้ว นางก็มีความดีใจผุดลุกขึ้นทำกิริยาชดช้อยเดินตามพระถังซัมจั๋งออกมาพ้นดงพบกับเห้งเจีย ๆ แล้วเห็นดังนั้นก็หัวเราะ พระถังซัมจั๋งขัดใจจึงด่าว่าอ้ายลิงเองหัวเราะเยาะเราทำไม เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้ามิได้หัวเราะเยาะพระอาจารย์ หัวเราะว่าพระอาจารย์สิ้นเคราะห์มาพบเนื้อคู่ที่รูปงามดังนั้นดอก พระถังซัมจั๋งตวาดว่าอ้ายลิงพูดเลอะเทอะ อาตมภาพมิได้หลงไหลเห็นแก่รูปเสียงกลิ่นรสความสัมผัสถูกต้อง
   เห้งเจียว่าพระอาจารย์ยังไม่เข้าใจท่านเคยบวชมาแต่เล็ก เคยดูแต่​พระคัมภีร์พุทธศาสนา มิได้เข้าใจในกฎหมายของบ้านเมืองไม่ เหมือนคนนี้มีรูปลักษณ์งามดังนี้ ส่วนท่านเป็นชีบาณาสงฆ์ มาเดินร่วมทางแก่สตรีในป่าดังนี้ ถ้าพบปะคนที่เป็นพาลมันจะจับไปยังโรงศาลเขาไม่เกรงว่าเป็นคนไปอาราธนาพระธรรม หรือไปไหว้พระอะไรเขาจะลงโทษว่าเป็นชู้กัน ก็จะเฆี่ยนตีเอา แม้ว่าเราไม่ได้มีจิตคิดกระทำเช่นนั้นก็จริง แต่จะได้ใครมาเป็นพยานในข้อความที่บริสุทธิ์ของเรา จะไม่พลอยพาพวกพ้องป่นปี้ไปด้วยหรือ พระถังซัมจั๋งเห็นเห้งเจียชี้แจงดังนั้น จึงพูดว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ เราช่วยเขาให้พ้นทุกข์ได้รอดชีวิต แลกลับมามีโทษแก่เรานั้นจะไม่เป็นไปได้ จงพาเธอไปเถิดธุระการอยู่แก่เราเอง เห้งเจียพูดว่าอาจารย์เป็นธุระช่วยเธอก็จริง แต่กลับไปให้ร้ายเธอเสียอีกพระอาจารย์ก็ยังหารู้สึกไม่
   พระถังซัมจั๋งถามว่า ทำไมจึงว่ากลับให้ร้ายเธออย่างไร อาตมายังไม่เข้าใจ เห้งเจียว่านางถูกมัดแขวนอยู่นั้น บางทีห้าวันเจ็ดวันก็จะตาย บัดนี้ท่านอาจารย์พานางมาดังนี้ อาจารย์ก็ขี่ม้าเดินเร็วพวกข้าพเจ้าตามหลังไป ก็หญิงคนนี้มีเท้าอันเล็กเดินตามคงไม่ทัน ทิ้งให้เธอล้าหลังอยู่ บางทีจะไปพบสัตว์ร้าย ก็จะขบกัดกินเป็นอาหาร ดังนี้จะไม่เรียกว่าให้ร้ายแก่เธอหรือ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่า ท่านพูดดังนั้นก็จริงอยู่ ถ้ากระนั้นขอให้เห้งเจียช่วยคิดอย่างไรจะดี เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อุ้มเอานางขึ้นม้าไปด้วยก็แล้วกัน พระอาจารย์จะต้องวุ่นอะไรไปอีกเล่า พระถังซัมจั๋งพูดว่า​เห้งเจียเอาอะไรมาพูดดังนี้ ผู้หญิงจะขี่ม้าได้หรือ อย่ากระนั้นเลย อาตมจะลงเดินไปก็ได้ ให้โป๊ยก่ายค่อย ๆ จูงม้าเดินไป เห้งเจียยิ่งหัวเราะใหญ่แล้วพูดว่า เจ้าหมูได้สบายแล้ว อาจารย์ให้เจ้าจูงม้าไป
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า อย่าพูดให้เลอะเทอะไป คำโบราณท่านย่อมว่าม้าวิ่งไปพันโยชน์คนที่ไหนจะตามทัน ให้โป๊ยก่ายค่อย ๆ จูงม้าไปพวกเราจะได้เดินข้ามเขาลงไปที่ลาด บางทีจะมีบ้านหรือวัดที่มีคนอยู่ พวกเราได้ชื่อว่าช่วยชีวิตคนไว้ เห้งเจียพูดว่าอาจารย์คิดดังนั้นก็ถูกต้องนิมนต์อาจารย์รีบไปเถิด พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็ออกเดิน ซัวเจ๋งก็หาบของ โป๊ยก่ายก็จูงม้าเห้งเจียถือตะบองออกนำหน้าหญิงเดินไป
   เดินมาได้ประมาณสักห้าสิบเส้น ตะวันก็รอนลงแลไปข้างทางก็เห็นตึกกว่านบ้านเรือนห้องหออยู่เรียงราย พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า ที่ตำบลนี้คงจะเป็นที่วัดวาอาราม เราพากันเข้าไปอาศัยพักนอนสักคืนหนึ่งรุ่งเช้าจึงค่อยไป เดินมาประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงหน้าวัด พระถังซัมจั๋งจึงสั่งสานุศิษย์ให้หยุดคอยข้างนอกก่อน อาตมาจะเข้าไปขออาศัยได้แล้วจึงค่อยพากันเข้าไป สานุศิษย์ทั้งสามได้ฟังอาจารย์สั่งดังนั้นก็หยุดคอยอยู่ใต้ร่มไม้ พระถังซัมจั๋งเดินเข้าไปในประตูชั้นนอกแลเขาไปดู เห็นประตูชำรุดหักพังล้มลงอยู่ทั้งนั้นแลเข้าไปในนั้น เห็นกุฎิแถว รกร้างเงียบสงัดไม่มีคนอยู่ มีพระอุโบสถก็พังลงเสียหมดเถาวัลย์หญ้าบอนขึ้นรกรุงรัง พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นให้เกิดความสังเวชสลดใจลงทันที แข็งใจขืนเดินเข้าไปดูที่ชั้นสองแลเห็นหอ กลอง​หอระฆังหักพังเซซวนทรุดโทรมไปทั้งสิ้น มีระฆัง ๆ หนึ่งตกกลิ้งอยู่ที่พื้นดิน ครึ่งหนึ่งอยู่ข้างบนดูขาวดุจน้ำมวกครึ่งหนึ่งจมอยู่ใต้ดินมีสีเขียวดุจคราม เพราะจมดินอยู่สนิมจับจึงได้เป็นดังนั้น
   พระถังซัมจั๋งก็เอามือลูบคลำได้ยินเสียงดังหง่างขึ้นทีหนึ่ง พระถังซัมจั๋งตกใจเซล้มลงกับพื้น แต่ที่จริงในวัดนั้นมีเต้าหยินอยู่คนหนึ่ง เมื่อเห็นคนเข้ามาในวัด จึงเอาอิฐก้อนหนึ่งปาไปถูกระฆังจึงได้ดัง พระถังซัมจั๋งจึงร้องเรียกว่าระฆังเอ๋ย ทางไซทีนี้นานวันไม่มีผู้ใดมาถึงจึงได้เกิดปีศาจขึ้นดังนี้หรือ เต้าหยินคนนั้นเดินมาพยุงพระถังซัมจั๋งให้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า มิใช่เหตุระฆังนั้นเป็นปีศาจดอก ข้าพเจ้าปาอิฐมาถูกระฆังจึงได้ดังขึ้น พระถังซัมจั๋งเงยหน้าขึ้นดู เห็นหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว จึงถามว่านี่เป็นปีศาจหรือ อาตมาไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนคนทั้งหลาย อาตมภาพมาจากเมืองใต้ถัง สานุศิษย์ที่มาด้วยล้วนแต่มีฤทธิ์เดชเชี่ยวชาญปราบมารร้ายได้ ถ้าไปเกี่ยวข้องถึงเธอเข้าแล้วเห็นชีวิตจะไม่รอด เต้าหยินผู้นั้นคุกเข่าลงกราบไหว้แล้วพูดว่า ข้าพเจ้ามิใช่ ผี ปีศาจร้ายอะไรดอก ข้าพเจ้าเป็นคนสำหรับจุดธูปเทียนบูชาอยู่ในนี้ ได้ยินเสียงท่านอาจารย์จะใคร่ออกมาเชิญ ก็กลัวผีหลอกจึงเก็บเอาอิฐปาระฆังให้ดังมีเสียงขึ้น พอเอาเสียงเป็นเพื่อนจึงได้กล้ามา นิมนต์ท่านเข้าไปข้างในเถิด
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งได้ฟังเต้าหยินพูดดังนั้น ก็ค่อยวางใจหายหวาดหวั่น ​เต้าหยินก็พาพระถังซัมจั๋งเดินเข้าไปยังประตูชั้นสามพระถังซัมจั๋งจึงพิเคราะห์ดูเห็นไม่เหมือนชั้นนอก มีประดับด้วยแก้วมณีและโมราและลายทองสลับ เขียนมีรูปต่าง ๆ ตามฝาตามห้องดูสว่างไสว เครื่องโต๊ะล้วนแต่แก้ววิเศษ พระถังซัมจั๋งดูแล้วจึงถามเต้าหยินว่าข้างนอกนั้นดูรกเรี้ยวรุงรังน่ากลัว ทำไมในนี้จึงประดับประดางดงามอย่างนี้ด้วยเหตุอะไร เต้าหยินหัวเราะแล้วบอกว่า ที่ตำบลเขานี้มีปีศาจผีร้ายชุกชุม และทั้งโจรผู้ร้ายก็มาก ถ้าท้องฟ้าสว่างก็ออกตีชิงวิ่งราว เดือนมืดก็เข้าหาที่อาศัยหน้าวัด พระประธานก็ยกทิ้งไว้ข้างหนึ่ง เอาไม้มาใส่ไฟหุงต้มอะไรกิน พระสงฆ์ในวัดก็ไม่มีผู้ใดออกต้านทานได้ ก็ทิ้งโบสถ์นั้นให้โจรอาศัยอยู่ตามสบาย พระถังซัมจั๋งว่าถ้ากระนั้นที่ตรงนี้ก็เป็นที่สำนักกลาง แลขึ้นไปดูที่บนประตูก็เห็นมีหนังสือใหญ่อยู่ห้าตัว คือวัด (ติ๊นไฮ้เสียนลิมยี่)
   พระถังซัมจั๋งก็เดินเข้าไปข้างในแลเห็นพระสงฆ์เดินออกมาองค์หนึ่ง คือไปทางไซทีนี้ มีนามเรียกว่าพระสงฆ์พิเบ๊เจง เธอเดินออกมาเห็นพระถังซัมจั๋งคิ้วดำตาก็สวย หน้าผากกว้างรูปพรรณลักษณะได้ตำราทุกอย่าง ดูดุจพระอรหันต์ จึงจับมือพามาที่กุฎิใหญ่กระทำคำนับแล้วถามว่า ท่านอาจารย์จะไปข้างไหนหรือจึงได้มาถึงนี่ พระถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมอยู่เมืองใต้ถังมีรับสั่งพระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ ให้ไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมยังวัดลุ่ยอิมยี่ มาถึงที่นี่เป็นเวลาจวนค่ำ จะขออาศัยพักสักคืนหนึ่งรุ่งเช้าจะลาไปขอท่านได้กรุณาด้วย ​ฝ่ายพระสงฆ์นั้น ครั้นได้ฟังพระถังซัมจั๋งบอกดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ไม่ควรพูดดังนี้ให้เสียวาจา เราเป็นสาวกพระพุทธเจ้า อย่ากล่าวซึ่งคำศัพท์ลาวาจา พระถังซัมจั๋งพูดว่า อาตมภาพพูดโดยความสัจจริงหาได้กล่าวเท็จไม่ พระสงฆ์นั้นพูดว่า ตั้งแต่เมืองใต้ถังมาถึงนี่ก็ไม่รู้ว่าทางไกลสักเท่าได ทุก ๆ เขาก็มีแต่ปีศาจร้าย ทุก ๆ ถ้ำก็มีแต่ยักษ์มาร อันรูปร่างของท่านก็งดงามบริสุทธิ์ดังนี้ คนเดียวจะไปอาราธนาพระธรรมได้หรือ
   พระถังซัมจั๋งตอบว่า ท่านอาวุโสเห็นอาตมภาพผู้เดียวที่ไหนจะมาได้ อาตมภาพมีศิษย์ถึงสามคน ถ้าพบเขาขวางก็ตัดทางไป หากพบแม่น้ำกว้างก็ทำสะพานข้ามไป สานุศิษย์คอยป้องกันรักษาอาตมภาพมาจึงมาได้ พระสงฆ์องค์นั้นถามว่า ก็สานุศิษย์ทั้งสามนั้น บัดนี้อยู่ที่ไหนเล่า พระถังซัมจั๋งว่ายืนคอยอยู่ข้างนอกประตู พระสงฆ์นั้นตกใจจึงพูดว่าท่านอาจารย์ยังไม่ทราบที่ตำบลนี้ มีสัตว์เนื้อเสือร้ายชุกชุมนัก ทั้งปีศาจ ผีร้ายก็มากมักจะคอยทำร้ายคน แต่เวลากลางวันยังไม่กล้าออกไปเที่ยวไกล ตะวันชายบ่ายก็ปิดประตูหน้าต่าง แล้วเวลาก็จวนค่ำคนอยู่ข้างนอกไม่ได้ จึงเรียกสานุศิษย์ให้รีบออกไปเชิญเข้ามาเดี๋ยวนี้
   เด็กสองคนได้ยินอาจารย์สั่งก็รีบออกไป แลเห็นเห้งเจียก็ตกใจล้มคว่ำล้มหงาย เหลือบไปเห็นโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งมือและเท้าก็อ่อนเปลี้ยไปหมด เด็กทั้งสองอุตส่าห์แข็งใจวิ่งกลับเข้ามาข้างในบอกแก่พระถังซัมจั๋งอาจารย์ว่า เห็นจะไม่เป็นการ ศิษย์ของท่านไม่เห็น ๆ แต่ปีศาจสาม​สี่คนยืนอยู่ที่ประตู พระถังซัมจั๋งถามว่ารูปร่างเป็นอย่างไร เด็กบอกว่าคนหนึ่งรามสูรย์ คนหนึ่งปากยาว คนหนึ่งหน้าเขียว แลมีหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างสะสวย พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะพูดว่าหนูยังไม่รู้จัก สามคนที่หน้าตาดุร้ายนั้น คือศิษย์ของอาตมภาพเอง ยังหญิงคนนั้นอาตมภาพช่วยชีวิตเธอที่ในป่าสนนั้น เด็กทั้งสองถามว่า ท่านอาจารย์รูปร่างงามดังนี้ทำไมจึงพาศิษย์รูปร่างดุร้ายอย่างนั้นมาด้วยเล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่ารูปร่างไม่สวยไม่งามก็จริงแต่ต้องธุระอาศัยเธอกระทำให้สำเร็จได้ จงรีบไปเชิญเธอเข้ามาในนี้เถิด ถ้ารอช้าไปหน้ารามสูรย์นั้นจะมุทะลุวุ่นวายขึ้นมาจะเกิดเหตุ
   เด็กทั้งสองได้ฟังดังนั้น ก็วิ่งออกไปร้องเรียกว่า ท่านทั้งสามที่คอยอยู่นั้น ท่านอาจารย์ถังซัมจั๋งให้เชิญเข้าไปข้างใน โป๊ยก่ายก็จูงม้าซัวเจ๋งก็ยกหาบเห้งเจียก็ถือตะบองคุมนางหญิงนั้นพร้อมกันเดินเข้าไป ครั้นถึงประตูที่สามก็วางหาบผูกม้าแล้วก็พากันขึ้นบนกุฎิใหญ่ มาทำคำนับพระสงฆ์เจ้าอารามแล้ว ต่างก็นั่งที่ตามสมควร พระสงฆ์เจ้าอารามก็เข้าไปพาพระสงฆ์เจ็ดแปดสิบรูปมาคำนับกันแล้ว จึงให้ศิษย์วัดยกน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยงกัน แล้วจุดโคมไฟสว่าง
รูปภาพ ; นางแป๊ะม้อเล่าชื้อนี้ กำเนิดเดิมเป็นสัตว์หนูเผือกอยู่เขาเล่งซัว เที่ยวลักของในวัดกิน พระพุทธเจ้าปรับโทษ จึงได้หลบหนีมาเป็นปีศาจคอยสกัดจับพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียไปทูลความแก่เง็กเซียงฮ่องเต้ เง็กเซียงฮ่องเต้ให้ลี้ทีอ๋องกับโลเฉียลงมาจับตัวนางปีศาจพากลับไปบนสวรรค์ พระถังซัมจั๋งจึงได้ออกพ้นไปได้
(บทที่ ๘๑)
 พระสงฆ์ทั้งหลายก็มาไต่ถามซึ่งเหตุไปอาราธนาธรรม บางพวกก็อยากมาดูหญิงสาวนั้น พากันมานั่งแออัดในกุฎิใหญ่ พระถังซัมจั๋งถึงถามพระสมภารว่า พรุ่งนี้อาตมภาพจะลาไปจากที่นี่ หนทางที่จะไปต่อไปนั้นจะเป็นประการใดบ้าง
   สมภารได้ยินถามดังนั้น ก็คุกเข่าลงกับพื้น พระถังซัมจั๋งเห็น​ดังนั้นก็ตกใจ ลุกมาพยุงให้ลุกขึ้นแล้วถามว่า อาตมถามถึงหนทางที่จะไปไซที ทำไมจึงได้คุกเข่ากราบไหว้ดังนี้ทำไม สมภารจึงบอกว่าหนทางที่จะไปนั้นเรียบร้อยไม่เป็นที่ทุกข์ใจมิได้ แต่ยังมีธุระอย่างหนึ่งจะไม่เป็นปรกติ ด้วยท่านอาจารย์นอนอยู่ในกุฎิใหญ่ สานุศิษย์ทั้งสามนอนในห้องก็ควรแล้ว ยังไม่ทราบว่านางสาวน้อยจะไปนอนที่ไหนจึงจะดี พระถังซัมจั๋งพูดว่า ท่านอาจารย์อย่ามีความวิตกจิตคิดสงสัยพวกอาตมาเลย ที่จะคิดผิดกิจไปนั้นหาเป็นไปได้ไม่ เมื่อเวลาเช้าเดินตัดดงไม้สนมาก็มาพบหญิงคนนี้ ผูกมัดอยู่บนต้นไม้ร้องเรียกให้ช่วยอาตมามีจิตกรุณา จึงให้สานุศิษย์แก้ลงมานางจึงได้ตามมาจนถึงนี่ ก็สุดแต่ท่านจะให้ไปนอนที่ไหนก็ตามเถิด พระสมภารได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าอาจารย์มีอุเบกขาเพิกเฉยดังนั้น อาตมาจะขอจัดที่ ๆ นอกประตูให้นางไปพักข้างนอกเห็นจะดีดอกกระมัง พระถังซัมจั๋งว่าควรแล้วดีแล้ว สมภารจึงเรียกสานุศิษย์ให้พานางไปพักข้างนอก ฝ่ายพระถังซัมจั๋งพักอยู่ที่กุฎิใหญ่ได้เวลาแล้ว พระสงฆ์ทั้งหลายก็ลากกลับไปที่อยู่แห่งตน
   พระถังซัมจั๋งจึงสั่งสานุศิษย์ทั้งสามให้ไปนอนจะได้ตื่นแต่เช้า ๆ เวลานั้นก็นอนเงียบทุก ๆ คน พอรุ่งแจ้งเห้งเจียก็ลุกขึ้นก่อน เรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งรวบรวมข้าวของใส่หาบแล้วจึงมาปลุกอาจารย์จะได้ออกเดินแต่เช้าเวลานั้น พระถังซัมจั๋งนอนหลับ เห้งเจียเข้าไปใกล้ร้องปลุกด้วยเสียงอันดัง พระถังซัมจั๋งยกศรีษะขึ้นแล้วหลับไปอีก เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงร้องถามว่า อาจารย์เป็นอะไรไปหรือ พระถังซัมจั๋งบอกว่า ศรีษะให้หมุนเวียนตาก็ให้มืดมัวไป ให้​เจ็บปวดไปทั้งตัวไม่รู้ว่าเป็นอะไร โป๊ยก่ายเอามือจับตัวอาจารย์ดูทั่วกายมีไอออกร้อน โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว เมื่อวานนี้เห็นพระอาจารย์เดินมากมายและถูกแดดลม จึงได้มีโรคไม่สบายดังนี้ พระถังซัมจั๋งว่าไม่ใช่ดังนั้น คือเมื่อคืนนี้ลุกขึ้นไปเบามิได้ใส่เสื้อ นึกดูเห็นจะถูกลมเข้าจึงได้เป็นดังนี้ เห้งเจียถามว่า ถ้าดังนี้จะเดินไปได้หรือ
   พระถังซัมจั๋งว่า แต่จะลุกขึ้นยังไม่ได้ จะเดินไปยังไงได้เล่า เห้งเจียว่าพระอาจารย์ตัวยังไม่ปรกติ จงหยุดพักอยู่สักสองสามวันให้สบายก็จะได้ เป็นอะไรไปเล่า พวกข้าพเจ้าคอยระวังรักษาอาจารย์อยู่จะเป็นทุกข์อะไรที่ไหน พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงว่าสานุศิษย์พูดดังนั้นก็ถูกแล้ว เราจงหยุดพักที่วัดนี้ก่อนพอให้หายดีแล้วจึงค่อยไป ก็ชวนกันหยุดพักอยู่ในวัดนั้นได้สามวันแล้ว พระถังซัมจั๋งเรียกเห้งเจียมาพูดว่า ไม่สบายไปสองวันมิได้ถามถึงนางนั้น มีผู้ใดให้ข้าวปลาอาหารกินหรือเปล่า เห้งเจียจึงพูดว่าพระอาจารย์อย่าเป็นทุกข์ถึงผู้อื่นเลย จงระวังรักษาแต่ตัวเราเถิด พระถังซัมจั๋งเรียกให้เห้งเจียมาพยุงลุกขึ้น แล้วก็ให้เอากระดาษและพู่กันมา และขอยืมที่ฝนหมึกในวัดมาด้วย เห้งเจียถามว่าจะเอากระดาษและพู่กันมาทำไม พระถังซัมจั๋งว่า อาตมจะทำหนังสือฉบับหนึ่งใส่ซองเดียวกับหนังสือเดินทาง เห้งเจียช่วยเอาไปถวายพระเจ้าถังไทยจงฮ่องเต้ ยังเมืองใต้ถังให้พระองค์ทรงทราบเหตุ เห้งเจียว่าการทั้งนี้ไม่ยากอะไร การอื่นข้าพเจ้าไม่ถนัด ถ้าการจะไปส่งหนังสือดังนี้ข้าพเจ้าถนัดเป็นที่หนึ่ง ด้วยข้าพเจ้าหกขะเมนตีลังกาไปทีหนึ่งก็ถึงเมืองใต้ถัง นำหนังสือเข้าไปถวายพระ​เจ้าถังไทยจงฮ่องเต้แล้วก็หกขะเมนกลับมาหาอาจารย์ น้ำหมึกไม่ทันจะแห้ง แต่ยังไม่ทราบว่าอาจารย์จะฝากหนังสือไปทำไม ในใจความนั้นว่ากระไรขอให้อาจารย์อ่านให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าจะได้รู้เรื่องด้วยบ้าง
   พระถังซัมจั๋งน้ำน้ำตาไหลลงพรั่งพรายแล้วพูดว่าในใจความว่า คืออาตมาสงฆ์เหี้ยนจึง ขอถวายพระพรมายังมหาบพิตรพระราชสมภารสมเด็จพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ทรงทราบ ด้วยอาตมภาพได้รับ ๆ สั่งออกจากเมืองใต้ถังแล้วก็ตั้งหน้าตั้งใจตรงไปยังประเทศไซทีเขาเล่งซัว อันความคับแค้นทุกข์ยากในระยะทางกันดารนั้น สุดที่จะรำพันให้สิ้นสุดได้ บัดนี้มาถึงครึ่งทางก็บังเอิญมาป่วยลง การที่จะไปต่อนั้นก็เป็นการยากที่สุดที่จะไปได้ เพราะทางนั้นยังลึกลับไกลนัก เห็นชีวิตอาตมภาพจะไม่พอไปได้ ขอพระองค์ได้ทรงทราบ เห้งเจียครั้นได้ฟังสำเนาความในหนังสือดังนั้นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ จึงพูดว่าพระอาจารย์ไม่เป็นการเสียแล้ว เจ็บป่วยนิดหน่อยเท่านั้นยังหาควรจะคิดดังนี้ไม่ แม้ว่าเจ็บป่วยมากมายประการใดก็ควรจะบอกกล่าวให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้ายังสามารถแก้ไขได้อยู่บ้าง และจะถามว่าพระยามัจจุราชพระองค์ไหนอาจมามีจิตคิดขึ้นดังนี้ และสมุห์บัญชีเมืองผีคนใดอาจมีหมายมาจับ และยมบาลคนใดอาจจะนำหมายมาจับ
   แม้ว่ามีจิตหมิ่นประมาทกระทำให้ร้อนถึงข้าพเจ้า ๆ จะยกสันฐานร้ายขึ้นดังเมื่อครั้งทำจลาจลบนสวรรค์ ถือตะบองตีขะนาบลงไปยังพระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋อง จับเอาตัวมาชักเอาเอ็นออกลอกหนังทำให้สาหัส พระ​ถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมาก็ป่วยมีอาการมากหนักใจอยู่ อย่าพูดอวดโตไปนักเลย โป๊ยก่ายพูดว่าพระอาจารย์มีอาการป่วยมาก เราจัดแจงเตรียมโลงไว้สำหรับใส่ศพพระอาจารย์เถิด เห้งเจึย์ได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็ด่าว่าอ้ายชาติหมูพูดอะไรอย่างนั้นเจ้ายังไม่รู้เหตุ พระอาจารย์ของเรานั้น ท่านเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าเดิมเรียกว่ากิมเสี้ยนโพธิสัตว์ เพราะเธอมีความประมาทในพระธรรมจึงได้มารับผลความผิดทรมานทุกข์ในมนุษย์โลกดังนี้
   โป๊ยก่ายถามว่าพี่เห้งเจียพระอาจารย์เธอมีความหมิ่นประมาทพระธรรม จึงได้ไปเกิดที่เมืองใต้ถังให้ตั้งอธิษฐานไปไซทีอาราธนาพระธรรม ได้ทรมานพบปะซึ่งยักษ์ ผี ปีศาจร้ายได้ความทุกข์ต่าง ๆ ก็ควรแล้ว นี่เหตุใดจึงให้ได้ความพยาธิทุกข์ภัยดังนี้เล่า เห้งเจียพูดว่าน้องหาเข้าใจไม่ พระอาจารย์นั้นนั่งฟังพระยูไลแสดงธรรม เวลานั้นเธอง่วงสัปหงกพลั้งเท้าซ้ายพลัดลงเหยียบถูกเมล็ดข้าวหนึ่งเมล็ด เพราะฉะนั้นมาเกิดในมนุษย์โลก จึงต้องปรับโทษเจ็บสามวัน โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงพูดว่า ถ้าดังนั้นข้าพเจ้ากินข้าวทำตกหล่นเรี่ยราดมาก จะรู้ว่าปรับโทษเจ็บนั้นสักเท่าไรชาติจึงจะสิ้นโทษได้ เห้งเจียพูดว่าพระพุทธเจ้าท่านหาได้ปรับโทษแก่สัตว์ทั้งหลายไม่ กรรมของสัตว์ทำก็ให้โทษแก่สัตว์เอง พระอาจารย์ยังป่วยอีกวันหนึ่งก็จะหายไม่เนิ่นช้าดอก
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าวันนี้ไม่เหมือนเมื่อวานนี้ในคอให้ชักแห้งอยากน้ำ เห้งเจียจงไปหาน้ำเย็น ๆ ให้อาตมาสักหน่อยเถิด เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์อยากน้ำจง​คอยข้าพเจ้าจะไปหาน้ำเย็นๆ มาถวาย พูดแล้วก็หยิบเอาบาตรออกไปข้างนอกที่หลังวัด ไปที่โรงครัวเที่ยวหาน้ำเย็น แลเห็นพระสงฆ์องค์หนึ่งนั่งอยู่ สองตาแดง ๆ ดุจร้องไห้ เห้งเจียจึงถามว่าทำไมพวกท่านจึงมีใจอันน้อยอย่างนี้เล่า พวกข้าพเจ้ามาอาศัยสองสามเวลา เมื่อจะไปก็จะคิดเงินให้พอสมควรแก่ค่าป่วยการทำไมจึงทำกิริยาอย่างนี้เล่า หรือวิตกว่าอ้ายปากยาวมันกินมากทำให้เปลืองพวกท่านจึงเสียใจดังนี้หรือ
   ฝ่ายพระสงฆ์องค์นั้น เมื่อได้ฟังเห้งเจียถามจึงตอบว่า อันความจริงที่วัดนี้ก็มีพระสงฆ์หลายร้อยรูป จะเลี้ยงท่านองค์ละวันก็จะเปลี่ยนกันได้หลายร้อยวัน จะอาจคิดป่วยการอะไรที่ไหน เห้งเจียถามว่า ก็ไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว ทำไมจึงมีกิริยาโทมนัสดังนั้นเล่า พระสงฆ์เหล่านั้นพูดว่า ไม่ทราบว่าปีศาจยักษ์ที่ไหนมาอาศัยอยู่ในวัดนี้ คืนนี้สามเณรน้อยสองคนออกไปตีกลองตีระฆังแล้ว ก็ได้ยินเสียงตีกลองตีระฆังแล้ว แต่ไม่เห็นกลับเข้ามาจนสว่างพากันเที่ยวค้นหาก็พบแต่จีวรกับรองเท้าทิ้งอยู่ แล้วไปค้นที่หลังสวนก็เห็นแต่กระดูกกองอยู่ ถ้าหากว่าพวกท่านอยู่ไปอีกสามวัน พวกข้าพเจ้าก็คงจะหมดไปอีกหกคน เพราะฉะนั้นพวกข้าพเจ้าจึงมีทุกข์ร้อนดังนี้ และเห็นอาจารย์ของท่านไม่สบายอยู่ จึงไม่กล้าจะบอกเหตุการณ์อันนี้ จึงได้คร่ำครวญอยู่ดังนี้
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงพูด​ว่าเราเข้าใจอยู่แล้วท่านไม่ต้องพูด ไว้ข้าพเจ้าจะช่วยกำจัดมันให้ พระสงฆ์พูดว่ามันเป็นปีศาจร้ายคงจะเป็นกายสิทธิ์ล่องหนกำบังเปลี่ยนแปลงเหาะเหินได้ ขอท่านอย่าถือโทษว่าข้าพเจ้าดูถูกท่าน ถ้าท่านกำจัดปราบมารร้ายนี้ได้ พวกข้าพเจ้าก็คงพากันมีความสุขทั่วกัน ถ้าหากท่านปราบไม่ลงเห็นจะไม่ได้การ พวกข้าพเจ้าคงจะได้มีความเดือดร้อนมาก เห้งเจียถามว่าทำไมจึงว่าจะไม่เป็นการต่อภายหลังด้วยเหตุอย่างไร พระสงฆ์ทั้งหลายพูดว่าพวกข้าพเจ้าไม่ปิดบังท่าน พวกข้าพเจ้าหลายร้อยก็จริงแต่บวชตั้งแต่เล็กมา ถือตามข้อห้ามตามวินัย หาได้เรียนวิชาปราบผีปีศาจมารร้ายไม่ หากท่านจับมันไม่ได้ ก็จะพาให้พวกข้าพเจ้าเป็นเหยื่อมันไปด้วยกันทั้งสิ้น อีกประการหนึ่งพวกข้าพเจ้าก็จะต้องเวียนเกิดเวียนตายในสำนักนี้ก็จะดับสูญสิ้นวิปัสนาไป เพราะฉะนั้นพวกข้าพเจ้าจึงเห็นว่าจะไม่เป็นการต่อภายหลังดังนี้
   เห้งเจียได้ฟังพระสงฆ์พูดดังนั้นก็โกรธ จึงพูดด้วยเสียงอันดังว่า สงฆ์เหล่านี้โง่เขลาไม่รู้จักอะไร พวกท่านรู้เข้าใจได้แต่ว่าพวกปีศาจมันเชี่ยวชาญ ยังหารู้ว่าฤทธิ์เดชอานุภาพของเราเป็นประการใดไม่ พระสงฆ์ทั้งหลายพูดว่าจริงของท่านพวกข้าพเจ้ายังหาทราบไม่ เห้งเจียว่าข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านเข้าใจสักหน่อยหนึ่ง ตัวข้าพเจ้าเดิมอยู่เขาฮวยก๊วยซัวเคยตั้งตัวเป็นใหญ่ และเคยไปทำสงครามบนสวรรค์ที่ปราสาทเล่งเซียวเต้ย เวลาหิวก็เอายาวิเศษของท้ายเสียงเล่ากุนกินเล่น เวลาอยากน้ำก็เอาสุราของเง็กเซียงฮ่อง​เต้กินเล่นเจ็ดแปดถ้วย สองตาเหลือบไปทีหนึ่งบังแสงฟ้าให้มืดมัว ถือตะบองเหล็กอันหนึ่งจะไปมาไม่เห็นร่องรอย จะพูดไปทำไมถึงสัตว์เนื้อเสือร้ายและยักษ์ผีปีศาจทั้งหลายไม่ต้องวิตกทั้งสิ้น ข้าพเจ้าจะจับปีศาจร้ายให้ท่านดูท่านจึงจะเห็นจริง พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียพูดอวดอ้างใหญ่โตดังนั้นก็พากันเชื่อว่าเห็นจะมีฤทธิ์เดชจริง ต่างก็พากันมาคำนับทุก ๆ องค์
   ยังแต่ท่านสมภารองค์เดียวพูดว่าช้าก่อน อาจารย์ของท่านยังไม่สบายอยู่ เรื่องจับปีศาจนั้นขอให้รอก่อน แม้สองข้างสู้รบกันจะพาให้อาจารย์ท่านไม่สบาย เห้งเจียได้ฟังสมภารพูดดังนั้น จึงพูดว่าท่านพูดดังนั้นก็ถูกต้อง ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะเอาน้ำไปให้อาจารย์ฉันแล้วจึงจะกลับมา เห้งเจียก็ยกบาตรน้ำเย็นออกมายังหน้ากุฎิใหม่ เอาน้ำประเคนให้อาจารย์ เวลานั้นพระถังซัมจั๋งกำลังอยากน้ำ จึงรับน้ำมาดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง ดุจน้ำมนต์อันวิเศษพิษไข้ก็สงบค่อยธุเลาลงไปทันที เห้งเจียพิเคราะห์ดูสีหน้าพระอาจารย์เห็นผ่องใส สบาย เป็นปรกติ จึงถามว่าพระอาจารย์จะใคร่ฉันข้าวร้อนหรือ พระถังซัมจั๋งบอกว่าฉันน้ำเย็นเข้าไป ดุจกินยาทิพย์อันวิเศษพิษไข้ทุเลาเบาลงกว่าครึ่ง หากมีน้ำร้อนก็ยิ่งดี เห้งเจียจึงเรียกพระสงฆ์บอกว่าอาจารย์ข้าพเจ้าหายแล้ว ขอท่านได้จัดข้าวร้อน ๆ มาให้อาจารย์ข้าพเจ้าฉันเถิด
   พระสงฆ์เหล่านั้นก็ช่วยกันจัดหาอาหารมาสองสำรับมาตั้งบนโต๊ะ พระถังซัมจั๋งก็มาฉันได้ครึ่งชาม เห้งเจียซัวเจ๋งกินอยู่บนโต๊ะหนึ่ง นอกจากนั้นก็ให้โป๊ยก่ายรับประทาน ครั้นกิน​เสร็จแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่าเรามาอาศัยอยู่ได้กี่วันแล้ว เห้งเจียบอกว่าเรามาอยู่ได้สามวันแล้ว อาจารย์หายแล้วเวลาพรุ่งนี้จึงค่อยออกเดิน พอทุเลา คืนวันนี้ข้าพเจ้าจะจับปีศาจ พระถังซัมจั๋งถามว่าเห้งเจียจะไปจับปีศาจที่ไหน อาตมกาพก็ยังไม่หายดีถ้าจับไม่ได้เกิดวุ่นวายขึ้นจะไม่เดือดร้อนถึงอาตมภาพด้วยหรือ เหตุไฉนเห้งเจียจึงมาคิดการเช่นนี้ขึ้น เห้งเจียว่าพระอาจารย์ทำไมจึงพูดล้างอำนาจข้าพเจ้าดังนั้นเล่า อาจารย์เคยเห็นหรือว่าข้าพเจ้าพ่ายแพ้แก่ปีศาจพวกใด มาถึงไหนก็กระทำให้ปีศาจอ่อนน้อมได้ทุกครั้งมิใช่หรือ เว้นไว้แต่จะไม่ทำเท่านั้น
   พระถังซัมจั๋งยึดเห้งเจียไว้แล้วพูดว่าจะให้ดีแล้ว แม้ถึงแห่งใดก็ผ่อนผันไปตามการ ควรลดหย่อนให้ก็จงลดหย่อนจะเป็นการดีกว่ารุกราน คิดเอาชัยชนะสู้อดใจไม่ได้ เห้งเจียเห็นว่าอาจารย์ทัดทานดังนั้น จึงพูดว่าข้าพเจ้าไม่ปิดบังอาจารย์ ปีศาจนั้นมันอาศัยอยู่ที่นี่มันได้กินคนแล้ว พระถังซัมจั๋งตกใจถามว่า เห้งเจียบอกว่ามันกินคนที่ไหนพวกเราอาศัยที่นี่ได้สามวันแล้ว เห้งเจียมอกว่ามันก็กินสามเณรเสียหกคนแล้ว พระถังซัมจั๋งร้องว่าอนิจจัง หากมันทำร้ายพระสงฆ์ในวัดเราก็เป็นสงฆ์เหมือนกัน อาตมาจะปล่อยให้เห้งเจียไป แต่จงระวังระไวให้ดี เห้งเจียพูดว่าอาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง เห้งเจียดีใจก็กระโดดออกจากกุฎีใหญ่ ตรงมาที่โบสถ์ใหญ่พิจารณาดู
   เวลานั้นดาวเดือนยังไม่ขึ้นมืด ๆ มัว ๆ และมิใคร่จะเห็นถนัด เห้งเจียก็ร่ายคาถาเป่าไปไฟก็ติดโคมสว่างขึ้น แล้วตีกลองระฆังดัง​สนั่นก้องเสียงขึ้นแล้ว เห้งเจียก็แปลงเป็นสามเณรน้อยมือถือประคำชักสวดมนต์คอยจนแสงเดือนขึ้น เวลานั้นเป็นเวลาสองยามก็ได้ยินเสียงอู้ ๆ มีสายลมพัดมา ได้กลิ่นหอมน้ำอบฉิวฉุนกระทบจมูกชื่นใจ เห้งเจียย่อตัวแลดูก็เห็นนางสาวรูปสวยคนหนึ่ง เดินขึ้นมาบนลานโบสถ์ เห้งเจียปากก็ไม่หยุดแกล้งทำเป็นสวดมนต์เรื่อยไป นางสาวน้อยเข้ามายึดเห้งเจียแล้วถามว่า ท่านสามเณรสวดมนต์อะไร เห้งเจียตอบว่าสวดมนต์ขับปีศาจ นางสาวน้อยพูดว่าคนทั้งหลายเขาหลับหมดแล้ว ยังมาหลงสวดมนต์อยู่ทำไม เห้งเจียตอบว่าสวดเอาบุญทำไมจะไม่สวดเล่า นางปีศาจก็ยื่นแก้มมาเคียงหน้าเห้งเจียแล้วพูดว่า ท่านกับเราจะพากันไปเล่นข้างหลังสวนจะไม่ดีหรือ
   เห้งเจียแกล้งพูดว่านางยังไม่เข้าใจการ นางปีศาจถามว่าทำไมเราจะไม่เข้าใจการเล่าทางไกลร้อยโยชน์ ได้มาประสพพบกันก็เป็นนิสัยกุศลส่งมา คืนวันนี้เดือนก็แจ่มแจ้ง สามเณรกับข้าพเจ้าพากันไปหลังสวนภิรมย์รื่นเริงจะดีกว่าสวดมนต์ เห้งเจียคิดอยู่ในใจว่าสามเณรทั้งหลายที่ให้มันกินเสียนั้น ก็เพราะหลงด้วยการประเวณี โลภลืมศีลและวัตรแห่งตนเสีย มิได้คิดถึงสิกขาบทที่ตนสมาทานถืออยู่ เพราะมันเอารูป เสียง กลิ่น รสมาล่อดังนี้เอง คิดแล้วเห้งเจียจึงพูดว่าสีกานาง ข้าพเจ้าเข้าบวชอายุยังน้อยไม่ทราบในการภิรมย์ร่วมรักนั้นว่าเป็นประการใด นางปีศาจพูดว่า สามเณรจงตามข้าพเจ้าไปเถิดจะแนะนำสั่งสอนให้ เห้งเจียก็อดหัวเราะไม่ได้ จึงพูดว่าถ้ากระนั้นเราจะตามไป จึงเอามือ​เกาะบ่านางเดินไปข้างหลังสวน ครั้นถึงนางปีศาจก็เอาขาเกี่ยวขาเห้งเจียงัดเห้งเจียก็ล้มลงกับพื้น ปากก็ร้องว่าหัวใจ ๆ มือปีศาจก็คว้าจะจับองค์กำเนิดเห้งเจีย เห้งเจียก็นึกรู้ว่าถ้ามันจะกินเป็นแน่ จึงทำวิธีวิชาหกล้ม
   นางปีศาจก็หกล้มลงคว่ำกับพื้น ปากยังร้องว่าหัวใจพี่ทำไมทำให้ข้าพเจ้าหกล้มเล่า เห้งเจียคิดในใจว่าจำเราจะต้องลงมือในเวลานี้จะรอไปเมื่อไรอีกเล่า คิดแล้วก็เผ่นขึ้นแปรกลับเป็นรูปเดิม แกว่งตะบองฟาดลงไปตรงศรีษะปีศาจ ฝ่ายนางปีศาจก็ตกใจว่าสามเณรองค์นี้ทำไมจึงเชี่ยวชาญดังนี้ นางพิเคราะห์ดูโดยละเอียดจึงได้รู้ว่าเห้งเจีย นางก็มิได้นึกครั่นคร้ามชักเกี่ยมออกถือสองมือเข้ารอรับรบแก่เห้งเจียโดยกำลังความสามารถเข้มแข็ง เวลานั้นลมหนาวพัดมาแสงเดือนลับแล้ว เห้งเจียกับนางปีศาจต่างแผลงฤทธิ์รบสู้กัน นางปีศาจเห็นกำลังเห้งเจียมากมายจะเอาชัยชนะมิได้ ก็หลบหลีกหนี เห้งเจียร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อีมารร้ายมึงจะหนีไปข้างไหน จงเร่งมาสารภาพรับผิดอ่อนน้อมเสียโดยดี กูจะไว้ชีวิตให้สักครั้งหนึ่ง
   ฝ่ายปีศาจก็มิได้รอรั้งรีบหนี เห้งเจียไล่กระชั้นตามมาจวนจะทัน นางปีศาจเหลียวมาเห็นจวนตัว ก็ถอดเอารองเท้าปักดอกไม้ข้างซ้ายออกร่ายเวทร้องให้แปลงเป็นรูปนางดุจเดียวกัน สองมือถือเกี่ยมตรงเข้ามารบแก่เห้งเจีย ส่วนตัวนางปีศาจก็บันดาลเปนลมหวนกลับมากุฎิใหญ่ เข้าไปในกุฎิหอบเอาพระถังซัมจั๋งออกมาได้​ก็รบหนีไป พริบตาเดียวก็มาถึงเขาฮ้ามกังซัว ตรงเข้าถ้ำโป๊เต๊ยต๋อง เรียกบริวารปีศาจน้อยทั้งหลาย สั่งให้จัดแจงทำเครื่องโต๊ะจะเลี้ยงกระทำการวิวาหะมงคล
   ฝ่ายเห้งเจียมัวรบกับรูปแปลงจนอ่อนใจ จึงเอาตะบองตีลงไปโดยแรงเต็มกำลัง ถูกรูปแปลงตกลงไปยังพื้นดินกลายเป็นรองเท้าปักอันหนึ่ง เห้งเจียเห็นดังนั้นก็นึกรู้ได้ว่าถูกกลปีศาจ รีบหันกลับมาดูอาจารย์ก็มิได้เห็น โป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งกำลังนอนกรนอยู่คร่อก ๆ และละเมอเพ้อพูดอะไรอยู่ เห้งเจียโกรธดันใจอยู่ไม่รู้ว่าดีร้ายอย่างไร แกว่งตะบองตีขนาบเสียงออกตึงตัง ร้องเรียกว่าจะตีให้ตายอย่าไว้มัน โป๊ยก่ายตกใจผลุดลุกขึ้นหนีไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ซัวเจ๋งเป็นคนอ่อนน้อมเห็นการรุกรานดังนั้นก็คุกเข่าลงพูดว่า พี่เห้งเจียข้าพเจ้าทราบแล้ว พี่อยากจะฆ่าข้าพเจ้าทั้งสอง พี่จึงไม่ไปตามอาจารย์ เห้งเจียพูดว่าเราจะฆ่าเจ้าทั้งสองเสียก่อนแล้ว เราจึงจะไปตามอาจารย์
   ซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า พี่เห้งเจียพูดอะไรอย่างนั้นเล่า หากไม่มีข้าพเจ้าทั้งสองไหมเส้นเดียวจะปักเป็นลายไม่ได้ ม้าและข้าวของหาบคอนใครจะดูแลให้ คำโบราณท่านย่อมว่า ฆ่าเสือจะต้องมีเพื่อน พี่น้องออกสงครามจะต้องช่วยกันระวังระไว พี่จงงดไว้ก่อนซึ่งความโกรธขึ้งนั้น รอสว่างแล้วเราพร้อมกันไปตามอาจารย์จะมิดีหรือ เห้งเจียมีสันดานดุร้ายโทโสมากก็จริงแต่มีสติปัญญารู้จักการผิดและชอบ ครั้นได้ฟังซัวเจ๋งพูดชี้แจง​ดังนั้นก็กลับใจสงบทันที บอกว่าน้องทั้งสองจงลุกขึ้นรอรุ่งแจ้งแล้วจะได้ช่วยกันไปติดตามอาจารย์ โป๊ยก่ายเห็นเห้งเจียหายโกรธแล้วก็แอบมาข้างเห้งเจียพูดว่า ซึ่งการทั้งนั้นอยู่แก่ตัวข้าพเจ้าพี่อย่าวิตก พูดดังนั้นแล้วพี่น้องก็นั่งคอยอยู่จนสว่างมิได้หลับนอน ครั้นสว่างแล้วก็จัดแจงข้าวของใส่หาบจะออกเดิน
   ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดถามว่า พวกท่านจะไปข้างไหน เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าอย่าพูดไม่ดี เมื่อวันวานนี้พูดคุยอวดแก่ท่านทั้งหลายว่า จะช่วยจับปีศาจร้ายยังหาทันจะจับไม่ มันกลับมาจับเอาอาจารย์ไปเสียแล้ว พวกข้าพเจ้าจะพากันไปเที่ยวค้นหาอาจารย์ พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังก็ตกตะลึงพูดว่า การก็นิดเดียวทำไมจึงให้ร้ายถึงอาจารย์ดังนี้เล่า แล้วถามว่าท่านจะไปตามหาที่ไหน เห้งเจียบอกว่ามีที่จะไปตามหาได้ พระสงฆ์ทั้งหลายก็พากันจัดแจงยกข้าวมาสองสามกระถางทั้งกับข้าวด้วย เห้งเจียซัวเจ๋งกินอิ่มแล้ว โป๊ยก่ายกินทีหลังก็เก็บกวาดกินจนหมดสิ้น ครั้นเสร็จแล้วโป๊ยก่ายพูดว่าขอบใจท่านทั้งหลายมาก ๆ ข้าพเจ้าไปตามอาจารย์มาได้แล้ว จะกลับมาหาท่านเล่นให้สนุก เห้งเจียถามว่าอ้ายหมูจะกลับมาเล่นข้าวสุกเขาอีกหรือ
   พูดแล้วเห้งเจียให้โป๊ยก่ายไปดูที่นอกประตูว่านางปีศาจนั้นอยู่หรือเปล่า พระสงฆ์ทั้งหลายบอกว่าท่านมาที่นี่คืนที่สองก็ไม่เห็นแล้ว เห้งเจียได้ฟังพระสงฆ์บอกดังนั้นก็เข้าใจแน่ จึงลาพระสงฆ์ทั้งหลายแล้วก็ให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งจูงม้ายกหาบออกจากวัด เดิน​กลับไปทางทิศตะวันออก โป๊ยก่ายถามว่าทำไมจึงกลับไปทางทิศตะวันออกเล่า จะไม่ผิดทางไปดอกหรือ เห้งเจียพูดว่าเจ้าที่ไหนจะรู้เหตุ คือเมื่อวันก่อนเดินมาในดงไม้สน พบหญิงสาวที่ผูกแขวนอยู่กับต้นไม้ เราว่าปีศาจยักษ์พากันขืนว่าเป็นคนดี บัดนี้กินสามเณรในวัดเสียนั้นคือมัน ลักพาเอาอาจารย์ไปก็คือมันมิใช่คนอื่นเลย บัดนี้จะต้องกลับไปตามทางเก่า โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็เห็นจริง จึงรีบพากันเดินตรงมายังดงต้นสนค้นหาอาจารย์
   ครั้นมาถึงดงต้นสนแล้วก็พากันเที่ยวค้นหาอาจารย์ก็มิได้เห็น เห้งเจียชักตะบองออกแกว่งแปลงเป็นสามเศียร หกกร มือทั้งหกถือตะบองมือละอัน ฟาดซ้ายตีขวาเสียงดังสนั่นลั่นก้องโกลาหล โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็บอกแก่ซัวเจ๋งว่า พี่เห้งเจียแกหาพระอาจารย์ไม่เห็นก็คลั่งตีวุ่นวายไปดังนั้น เมื่อเห้งเจียตีซ้ายป่ายขวาอยู่ดังนั้น มีตาเฒ่าสองคนผลุดโผล่ออกมา คือเจ้าเขาคนหนึ่งพระภูมิคนหนึ่งมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเห้งเจียแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าเจ้าเขาเจ้าที่มาหา ถ้าตีอีกสักพักหนึ่งดูเหมือนเจ้าอะไรก็ต้องมาหา เห้งเจียจึงถามเจ้าเขาเจ้าที่ว่า ตัวอยู่ที่นี่เป็นนิตย์คุมสมัครพรรคพวกกับอ้ายพวกคนร้าย แม้ว่าได้สิ่งของเงินทองมา ก็ซื้อเหล้าเข้าหมูเป็ดไก่ไหว้เซ่น คบคิดกันแก่พวกปีศาจร้าย ลอบลักเอาอาจารย์ของเรามาซ่อนไว้แห่งใด จงรีบบอกมาโดยจริงเราจะยกโทษให้ ถ้าหา​ไม่ก็จะตีเสียให้ตาย
   เจ้าเขาและพระภูมิเจ้าที่ได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็มีความสะดุ้งตกใจกลัว พูดว่าท่านใต้เซียเห็นจะผิดมิใช่พวกข้าพเจ้า อันปีศาจนั้นมิได้อยู่ในตำบลเขานี้ แต่เมื่อคืนนี้มีสายลมพัดกล้ามาทางนี้ ข้าพเจ้าทราบเหตุบ้างเล็กน้อย จากทางนี้ไปตรงทิศอาคเนย์ทางประมาณพันโยชน์ ที่ตำบลนั้นมีเขาเรียกว่า (ฮั้มกังซัว) มีถ้ำหนึ่งเรียกว่า (โป๊เต๊ยต๋อง) ปีศาจมันอยู่ที่ถ้ำนั้น มันมาแผลงฤทธิ์ที่ป่านี้จึงได้ลักจับเอาไป เห้งเจียได้ฟังเจ้าเขาเจ้าที่บอกดังนั้น จึงอนุญาตให้กลับไปยังที่เดิม เห้งเจียก็แปลงกลับเป็นรูปเดิม เรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาบอกว่า ปีศาจมันลักพาอาจารย์ไปไกลแล้ว โป๊ยก่ายว่าแม้ว่าไปไกลสักเท่าใดก็ต้องตามไป พูดแล้วโป๊ยก่ายก็เหาะขึ้นเหยียบเมฆลอยไป ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็เหาะตามโป๊ยก่ายไป ม้ามังกรที่มีของอยู่บนหลังเหาะได้ก็เหาะตามกันไป เห้งเจียเห็นดังนั้นก็เหาะตามกันไปทั้งสามคนและม้ามังกร บัดเดี๋ยวก็เห็นภูเขาหนึ่งขวางหน้า จึงพากันหยุดพิเคราะห์ดู เห็นแน่แล้วก็พากันลดลงยังพื้นที่เขานั้น เห้งเจียจึงพูดแก่ซัวเจ๋งว่า เราหยุดอยู่ที่นี่ก่อน ให้โป๊ยก่ายไปฟังรหัสดูก่อน หากรู้ได้ความแน่แล้วเราจึงพร้อมกันไปหาอาจารย์ อ่านต่อ_ ..
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 5-24 พากย์ไทย

ไม่มีความคิดเห็น: