
(บทที่ ๘๗)
อาจารย์กับศิษย์ก็ตั้งหน้าหมายปราจิณทิศ แลไปข้างหน้าก็เห็นมีป้อมและกำแพงขวางหน้าอยู่ พระถังซ้มจั๋งจึงถามเห้งเจียว่า ข้างหน้านั้นมีป้อมกำแพงเมือง เห็นจะถึงเมืองโซจ็อก วัดลุ่ยอิมยี่ดอกกระมัง เห้งเจียโบกมือว่าไม่ใช่ ๆ ตรงที่พระยูไลอยู่นั้นไม่มีป้อมและกำแพงเมือง มีภูเขาใหญ่ทิ่เขานั้นมีห้องปราสาทราชมณเฑียรงดงามยิ่งนัก เขานั้นนามเรียกว่า เขาเล่งซัว วัดนั้นนามเรียกว่า วัดต้ายลุ่ยอิมยี่ เป็นพระอารามใหญ่ หากถึงเมืองโซจ็อกแล้ว ก็ยังไกลวัดลุ่ยอิมยี่ เขาเล่งซัวไม่ทราบว่าเป็นทางเท่าใด ที่มีป้อมกำแพงเมืองข้างหน้านั้นเห็นจะเข้าเขตเมืองโซจ็อก เมื่อถึงแล้วจึงจะรู้แน่ได้
ครั้นเดินมาประมาณสักโมงเศษก็ถึงประตูเมือง พระถังซัมจั๋งก็ลงจากหลังม้าเดินด้วยเท้าเข้าไปในประตูเมืองชั้นสาม พิเคราะห์ดูผู้คนก็ไม่ใคร่จะเห็นเดินไปมา แลเห็นที่ยืนอยู่ข้างทางแต่งกายนุ่งห่มผ้าเสื้อสีเขียว และมีคนใส่หมวกขุนนางยืนอยู่ข้างหน้าศาลา อาจารย์กับศิษย์ก็พากันเดินไปตามทางพบปะผู้คนก็มิใคร่จะหลีก โป๊ยก่ายร้องว่าหลีก ๆ บางคนที่เห็นรูปร่างโป๊ยก่ายวิปริตพิกลดังนั้น ใจคอไม่เป็นปรกติมือและเท้าก็อ่อนไปพากันล้มลุกคลุกคลาน แล้วร้องว่าผีปิศาจมาแล้ว พวกขุนนางที่ยืนอยู่หน้าศาลาแลเห็น อกใจก็ให้หวั่นหวาดยืนพนมมือร้องถามว่าท่านมาจากไหน พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพเป็นคนไกลมาแต่เมืองใต้ถังอยู่ข้างทิศบูรพา ถือรับสั่งพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้จะไปเมืองไซทีนมัสการพระพุทธเจ้า เพื่อจะขออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม มาถึงเมืองนี้ยังมิได้ทราบว่าเมืองนี้มีนามกรประการใด
ฝ่ายพวกขุนนางครั้นได้ฟังพระถังซัมจั๋งบอกดังนั้น จึงยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า ที่เมืองนี้คือเป็นต้นเขตของเมืองโซจ็อก นามเรียกว่าเมืองฮ่งเซียนกุ้น ฝนฟ้าแห้งแล้งเนื่องมาหลายปีแล้วราษฎรชาวเมืองได้ความอดอยากข้าวปลาแพง เจ้าเมืองให้พวกข้าพเจ้าเอาหมายประกาศมาแขวน ขอเชิญครูอาจารย์ที่ท่านเวทมนต์คาถาอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งพิธีขอฝน เพื่อจะระงับความทุกข์ยากกันดารของราษฎร เห้งเจียได้ฟังขุนนางพูดดังนั้น จึงถามว่าเดี๋ยวนี้หมายประกาศอยู่ที่ไหน พวกขุนนางเหล่านั้นจึงบอกว่าอยู่นี่ พึ่งจะมาจัดแจงหาที่แขวน แต่ยังหาทันจะได้แขวนไม่ พูดแล้วก็เอาหมายประกาศคลี่ออกแขวนที่ศาลา
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ ก็พร้อมกันมาดูหมายประกาศที่ศาลา ใจความในหมายประกาศมีว่า ตำบลเขตเมืองโซจ็อก เมืองนี้มีนามเรียกว่าฮ่องเซียนกุ้น ข้าพเจ้าผู้รักษาตำแหน่งยศกุ้นเฮา ทำหมายประกาศจะขอเชิญท่าน ผู้มีฤทธาอานุภาพเวทมนต์ประสิทธิ์เชี่ยวชาญตั้งพิธีกระทำให้ฝนตก ด้วยเหตุว่าเมืองนี้ได้แห้งแล้งมาถึงสองปีแล้ว ราษฎรทำไร่นาไม่ได้ คนมีและคนจนก็พากันอดอยาก ข้าวถังหนึ่งราคาร้อยตำลึงทอง ฟืนมัดหนึ่งราคาห้าตำลึงทอง เด็กหญิงอายุสิบขวบแลกข้าวสามทนาน ชายห้าขวบตามแต่จะได้ ในเมืองพวกข้าราชการพอเลี้ยงชีวิต ขุนนางนอกเมืองเที่ยวปล้นชิงเลี้ยงชีวิต เพราะเหตุนี้จึงได้ออกหมายประกาศ ขอเชิญครูอาจารย์ที่ศักสิทธิ์รู้เวทมนต์คาถาให้ช่วยขอฝน ถ้าท่านผู้ใดทำให้ฝนตกได้แล้ว ข้าพเจ้าจะขอบคุณท่านให้ทองคำพันตำลึงตอบแทน ขอท่านผู้วิเศษทั้งหลายจงได้ทราบตามหมายประกาศนี้เทอญ
เห้งเจียดูแล้วถามว่าขุนนางกุ้นเฮานั้นคือผู้ใด ขุนนางเหล่านั้นจึงตอบว่า คือผู้รักษาเมืองนี้เป็นนายของพวกข้าพเจ้า พระถังซัมจั๋งพูดแก่เห้งเจียว่าตัวเข้าใจขอฝนก็จงช่วยขอฝนให้ตกสักครั้งหนึ่ง จะได้ช่วยราษฎรให้มีความสุข ย่อมจะเป็นกุศลมีผลอันยิ่ง ถ้าจะช่วยก็จงรีบไปช่วยอย่าให้เสียเวลา เห้งเจียพูดว่าการขอฝนมิใช่ง่าย ข้าพเจ้าทดน้ำลำคลองและมหาสมุทรใหญ่และเรียกลมฝน มิใช่อย่างเด็กทารกทำเล่นดังนั้น ทำไมจึงเห็นเป็นการเล็กน้อยไปเล่า
พวกขุนนางได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงให้สองคนเข้าไปเรียนต่อกุ้นเฮาให้ทราบ ขุนนางทั้งสองก็รีบเดินเข้าไปที่หอกราบเรียนว่า ขอใต้เอี๊ยได้ทราบ บัดนี้มีความประหลาดอาจเป็นที่ยินดีรื่นเริงมาแล้ว เวลานั้นกุ้นเฮาเจ้าเมืองกำลังจุดธูปเทียนบวงสรวงอยู่ ได้ฟังขุนนางมาพูดดังนั้นจึงถามว่ารื่นเริงอะไร ขุนนางทั้งสองตอบว่าวันนี้มีบัญชาให้ข้าพเจ้าทั้งสี่นำหมายประกาศออกไปแขวน ก็มีพระสงฆ์กับศิษย์ทั้งสามเธอบอกว่าเป็นชาวเมืองใต้ถัง จะไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎก เธอเข้ามาขอดูหมายประกาศแล้วบอกว่า เป็นผู้สามารถจะทำพิธีขอฝนได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมากราบเรียนท่านให้ทราบ กุ้นเฮาได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงแต่งกายรีบเดินไปที่ศาลาแขวนหมายประกาศ ครั้นถึงแล้วเห็นพระถังซัมจั๋ง จิตใจให้หวาดหวั่นกลัวสานุศิษย์ที่หน้าตาดุร้าย
กุ้นเฮาก็คุกเข่าลงกับพื้น ยกมือขึ้นนมัสการแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าคือกุ้นเฮาเป็นขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการและรักษาเมืองนี้ ข้าพเจ้าขอนิมนต์พระอาจารย์ ข้าพเจ้าขอความกรุณาของท่านได้ช่วยอนุกูลให้ราษฎรทั้งหลายพ้นทุกข์ด้วย ขอท่านได้ตั้งพิธีให้ฝนตกลงมาเพื่อได้โปรดสัตว์ทั้งหลายด้วยเถิด พระถังซัมจั๋งจึงบอกแก่เจ้าเมืองว่า ที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่อันสมควร รอพอให้อาตมภาพหาวัดเป็นที่พักก่อนจึงค่อยคิดอ่านกัน กุ้นเฮาผู้รักษาเมืองจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นขอนิมนต์พระอาจารย์ไปที่หอข้าพเจ้าเถิด ด้วยที่นั้นเป็นที่สะอาดบริสุทธิ์ควรตั้งพิธีได้ พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามก็ตามกุ้นเฮาเข้าไปยังที่หน้าหอ กุ้นเฮาก็นิมนต์ให้นั่งที่อันสมควรแล้ว ให้คนใช้ยกน้ำร้อนน้ำชามาถวาย
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งฉันน้ำชาแล้วก็ขอบคุณกุ้นเฮายิ่งนัก จึงพูดว่าที่ตำบลเขตของท่านกุ้นเฮานี้ เกิดฝนแล้งมาสักเท่าไรแล้ว กุ้นเฮาผู้รักษาเมืองบอกว่าเมืองฮองเซียนนี้ ขึ้นอยู่ในเมืองโซจ็อกซึ่งเป็นเมืองใหญ่ ข้าพเจ้าเป็นผู้รักษาเมืองนี้เนื่องมาสามปีแล้วฝนมิได้ตก แต่ชั้นหญ้าก็มิได้งอกขึ้นได้ ไร่นาก็ทำไม่ได้ผลเมล็ดข้าว กระทำให้ราษฎรได้ความอดอยาก พากันล้มตายสาบสูญไปเสียเป็นอันมาก เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้ออกหมายประกาศป่าวร้องทั่วไป เพื่อจะได้ท่านผู้วิเศษมาตั้งพิธีขอฝน บัดนี้ท่านมาถึงเมืองข้าพเจ้าแล้ว ขอท่านได้โปรดสำแดงซึ่งอิทธิฤทธิ์เดชานุภาพความประสิทธิ์แห่งท่าน ให้มีฝนตกลงมาระงับความเดือดร้อนของราษฎรและชีพราหมณ์ทั่วไป ให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ข้าพเจ้าจะสมนาคุณตอบแทนพระคุณของท่านสักพันตำลึงทอง
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะใหญ่แล้วพูดว่า หากว่าจะยกรางวัลเป็นเงินเป็นทองแล้ว ฝนแต่สักหยดหนึ่งก็จะไม่มี แม้ว่าจะทำบุญกุศลแล้วก็จะให้มีฝนสักห่าใหญ่
ฝ่ายกุ้นเฮาผู้รักษาเมืองเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในยุติธรรม ย่อมมีจิตใจโอบอ้อมอารีรักใคร่ราษฎร ครั้นได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น จึงเชิญเห้งเจียขึ้นนั่งบนเก้าอี้สูงแล้ว ก็คุกเข่าลงกับพื้นกราบไหว้เห้งเจียพูดว่า ขอท่านได้แผ่เมตาจิต ข้าพเจ้ามิได้มีใจทรยศต่อท่าน
เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงพูดว่า กุ้นเฮาจงลุกขึ้นเถิด ข้าพเจ้าจะช่วยให้สมเจตนาของท่าน ซัวเจ๋งถามว่าพี่จะให้ข้าพเจ้าทำประการใดบ้างหรือไม่ เห้งเจียว่าน้องทั้งสองจงมาช่วยกัน ไปยืนอยู่ข้างหน้าข้างละคน พี่จะอ่านพระเวทเรียกพระยาเล่งอ๋องมาให้ฝน น้องทั้งสองคอยระวังพี่จะใช้สอย
ซัวเจ๋งโป๊ยก่ายก็ทำตามเห้งเจียสั่ง พระถังซัมจั๋งก็สวดพระพุทธมนต์อยู่บนหอ ฝ่ายกุ้นเฮาผู้รักษาเมืองก็จุดธูปเทียนบ่วงสรวง เห้งเจียยืนอยู่กลางแจ้งหน้าหอ ก็ร่ายพระเวทคาถาเรียกพระยาเล่งอ๋อง ในทันใดนั้นแลเห็นข้างทิศตะวันออกมีม้วนเมฆดำขึ้นตีนท้องฟ้า ค่อยลอยเลื่อนลดลงตรงหน้าหอ คือพระยาเล่งอ๋องชื่อเง่าก๊วง ตรงมาคำนับเห้งเจียถามว่า ท่านใต้เซี้ยเรียกข้าพเจ้าจะประสงค์สิ่งใดหรือ เห้งเจียย่อตัวคำนับตอบแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าเชิญท่านมาไม่มีธุระอื่น เพราะเหตุในเมืองอ๋องเซียนนี้แห้งแล้งไม่มีฝนมาสามปีแล้ว ราษฎรได้ความเดือดร้อนล้มตายอดอยากเป็นอันมาก ซึ่งข้าพเจ้าเชิญท่านมาก็ปรารถนาจะขอฝน เพื่อจะได้ช่วยระงับทุกข์ร้อนของราษฎรเท่านั้น
พระยาเล่งอ๋องตอบว่า ข้าพเจ้าทราบว่าท่านเรียกก็ต้องมาไม่อาจขัดท่านได้ แต่ข้าพเจ้ายังหาได้รับเทวะบัญชาของเง๊กเซียงฮ่องเต้ไม่ และทั้งไม่มีพระพิรุณและพระพายและรามสูรย์จะทำฝนอย่างไรได้ อย่ากระนั้นเลยแม้ท่านใต้เซี้ยปรารถนาจะช่วยทุกข์ของราษฎรแล้ว ท่านจงขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ กราบทูลขออนุญาตลงมา ข้าพเจ้าจะได้กลับไปตระเตรียมพลบริวารให้พร้อมเพรียงกัน กระทำให้ฝนตกสักสองวันก็พอจะระงับความเดือดร้อนของราษฎรได้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงคลายพระเวทปล่อยพระยาเล่งอ๋องให้กลับไป แล้วจึงเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาสั่งว่า น้องทั้งสองจงอยู่คอยระวังรักษาพระอาจารย์ พี่จะไปบนสวรรค์เฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ เห้งเจียสั่งเสร็จแล้วก็ร้องว่าไป วับเดียวก็หายสูญไปไม่เห็นตัว
ผู้รักษาเมืองเห็นดังนั้นก็มีความกลัวเกรงและหวาดเสียวสะดุ้ง ถามว่าครูไปข้างไหนแล้ว โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วจึงบอกว่า เธอเหาะไปบนสวรรค์ กุ้นเฮาได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งมีความนับถือมากขึ้น จึงมีหนังสือบอกประกาศให้ราษฎรรู้ทั่วทั้งเมือง แลให้ตั้งที่บูชาเห้งเจียกับพระยาเล่งอ๋อง
![]() |
รูปภาพ ; |
ฝ่ายเห้งเจียเหาะขึ้นไปถึงสวรรค์ ประตูไซทีหมึง พบท้าวจัตุราชฮู่ก๊กทีอ๋อง ๆ ออกมารับคำนับ ถามว่าท่านใต้เซี้ยไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมสำเร็จมาแล้วหรือ เห้งเจียตอบว่ายังไม่สำเร็จแต่ก็จวนอยู่แล้ว บัดนี้เดินมาถึงเขตแดนเมืองโซจ็อก ตำบลเมืองฮ่องเซียนกุ้น ฝนฟ้าไม่ตกแห้งแล้งมาสามปีแล้ว ราษฎรได้ความเดือดร้อนอดอยากล้มตายเป็นอันมาก ข้าพเจ้าจะใคร่เรียกฝนให้ตกเพื่อช่วยให้ราษฎรพ้นทุกข์ บัดนี้จะมาเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ เพื่อขอพระอนุญาต ฮู่ก๊กทีอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ข้าพเจ้าทราบว่าที่ตำบลนี้ห้ามมิให้มีฝน และทราบว่าเจ้าเมืองฮ่องเซียน มีความผิดต่อเง็กเซียงฮ่องเต้ พระองค์คาดโทษไว้สามประการ ที่ ๑ เขาข้าวสาร ที่ ๒ เขาแป้ง ที่ ๓ โซ่เหล็ก แม้ว่าของสามอย่างนี้สูญเสียทำลายแล้วเมื่อใด จึงจะให้มีฝนตกในเมืองนั้น
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ยังหารู้เรื่องว่าเป็นประการใดไม่ คำนับลาฮู่ก๊กทีอ๋อง ตรงเข้าไปยังตำหนักทงเม่งเต้ยพบท่านเทพบุตรเทียนซือขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสี่ เห้งเจียจึงแจ้งความตามจริงซึ่งจะมาเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้นั้นทุกประการ ซิใต้เซียนจึงนำเห้งเจียเข้าไปเฝ้า เห้งเจียถวายบังคมแล้วทูลว่า ข้าพเจ้าซึงหงอคง บัดนี้มาถึงเมืองโซจ็อกตำบลฮ่องเซียน ข้าพเจ้าอยากจะขอฝนเพื่อช่วยทุกข์แห่งราษฎร เพราะฉะนั้นจึงได้ขึ้นมาเฝ้าเพื่อขอพระอนุญาต
เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังเห้งเจียทูลดังนั้น จึงรับสั่งว่าที่ตำบลเมืองฮ่องเซียนนั้น เมื่อสามปีก่อนเดือนยี่แรมสิบค่ำ เราไปเที่ยวตรวจทอดพระเนตรดูมนุษย์ในโลก มาถึงตำบลเมืองฮ่องเซียนกุ้นเจ้าเมืองกุ้นเฮาเป็นผู้อกตัญญู นำสิ่งของเครื่องสักการะเทพยดาไปให้สุนัขกินกล่าวด้วยคำอันไม่สมควร หมิ่นประมาทถึงเรา เพราะฉะนั้นเราจึงปรับโทษสามประการมีปรากฎอยู่ในตำหนักพีเฮียงเต้ย ท่านทั้งหลายจงพาเห้งเจียไปดูให้เห็น หากของสามประการนั้นทำลายแล้วจึงจะให้มีฝน ซิใต้เซียนซือได้ฟังเง็กเซียงฮ่องเต้รับสั่งดังนั้น จึงพาเห้งเจียไปยังตำหนักพิเฮียงเต้ย ครั้นถึงเห้งเจียจึงเข้าไปพิจารณาดู ก็เห็นเขาข้าวสารสูงประมาณสิบวา และเขาแป้งสูงประมาณยี่สิบวา เขาข้าวสารนั้นมีไก่ตะเภาใหญ่ตัวหนึ่ง เอื้อมปากจิกข้าวสารค่อย ๆ กินทีละเมล็ด ที่เขาแป้งนั้นมีสุนัขใหญ่ตัวหนึ่ง แลบลิ้นค่อย ๆ เลียเขาแป้ง ข้างซ้ายนั้นมีโซ่เหล็กแขวนไว้ ข้างล่างตามตะเกียงไว้ดวงหนึ่ง โซ่ยาวประมาณสามศอกเศษ ห่วงโซ่เหล็กเท่านิ้วมือ ไฟนั้นลนตรงโซ่
เห้งเจียพิจารณาดูโดยละเอียดแล้วก็มิได้รู้ซึ่งเหตุนั้นได้ จึงหันมาถามท่านเซียนซือ ๆ ตอบเห้งเจียว่า อันนี้คือเง็กเซียงฮ่องเต้ปรับโทษเจ้าเมืองกุ้นเฮา แม้ว่าเขาทั้งสองนั้นหมดเมื่อใด แลโซ่นั้นตะเกียงเผาละลายไปเมื่อใดแล้ว ในเมืองนั้นจึงจะได้มีฝนตก เห้งเจียได้ฟังดังนั้น มืสีหน้าอันสลดไม่กล้าจะไปกราบทูล มีความอดสูเดินออกจากตำหนัก ซิใต้เซียนซือจึงพูดแก่เห้งเจียว่า ท่านใต้เซี้ยอย่าเสียใจ การทั้งนี้หากตั้งใจในการบุญกุศลแล้ว ของสามสิ่งนั้นคงจะทำลายหายสูญไปเอง ท่านจงกลับไปชักชวนให้ชาวเมืองทุก ๆ คนทำการกุศลบูชา และภาวนาระลึกถึงคุณพระรัตนไตรยเถิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็คำนับลาซิใต้เซียนซือออกจากประตูสวรรค์ เหาะกลับมายังเมืองฮ่องเซียน
ครั้นเห้งเจียลงมาถึง ผู้ว่าราชการเมืองและราษฎรทั้งหลายก็พากันมาคำนับถาม เห้งเจียก็ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เพราะเหตุตัวทำไม่สมควร คือเมื่อสามปีก่อนเดือนยี่แรมสิบค่ำ ท่านทำการหมิ่นประมาทเง็กเซียงฮ่องเต้ ราษฎรพลเมืองจึงได้ความเดือดร้อนจนทุกวันนี้ จึงมิได้มีฝนตกเกิดแห้งแล้งกันดารถึงเพียงนี้ เจ้าเมืองกุ้นเฮาได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็ตกใจ คุกเข่าลงคำนับกับพื้นถามว่าท่านครูทำไมจึงรู้ได้ดังนี้ เห้งเจียพูดว่าทำไมท่านจึงได้เอาเครื่องสักการะบูชาเทพยดาขว้างทิ้งให้สุนัขกินจงบอกมาตามจริง
เจ้าเมืองกุ้นเฮาจึงเล่าความว่า เมื่อสามปีก่อนข้าพเจ้าจัดเครื่องบูชาเทพยดาที่หน้าหอเพราะภรรยาน้อยของข้าพเจ้าพูดจาหยาบช้ากวนใจ กระทำให้ข้าพเจ้าเกิดโทโสจนไม่ทันคิด จึงได้เอาสิ่งของเครื่องสักการะบูชาผลักทิ้งให้สุนัขกินในสองปีมาแล้ว ในใจข้าพเจ้าก็ให้หวั่นหวาดไม่ปรกติ ระแวงใจว่าจะมีความผิด แต่มิได้รู้ว่าจะแก้ไขประการใด แลมิได้รู้ว่าเง็กเซียงฮ่องเต้จะทรงพระพิโรธจับผิดดังนี้ จนราษฎรได้อดอยากเดือดร้อนถึงเพียงนี้ บัดนี้ก็เป็นบุญจึงได้มาพบอาจารย์ ขอท่านจงได้โปรดชี้แจงว่าเง็กเซียงฮ่องเต้ลงโทษข้าพเจ้าสถานใด ขอให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง
เห้งเจียจึงบอกว่า เมื่อเวลาที่ท่านเอาเครื่องบูชาให้สุนัขกินนั้น บังเอิญเง็กเซียงฮ่องเต้เสด็จมาตรวจโลก ทอดพระเนตรเห็นเข้าเองจึงทรงเห็นว่าท่านหมิ่นประมาทฟ้าแลดิน จึงได้ทรงปรับโทษประกาศิตสาปสรรไว้ว่า เขาข้าว เขาแป้ง โซ่เหล็ก หมดไปเมื่อใดจึงให้ฝนตกในเมืองนี้ พระถังซัมจั๋งจึงถามเห้งเจียว่า ซึ่งการเป็นดังนี้แล้ว ควรจะทำประการใดดี เห้งเจียตอบว่า ซึ่งการเป็นดังนี้ก็ไม่สู้จะยากนัก เมื่อเวลาข้าพเจ้าจะกลับลงมาจากสวรรค์ ท่านเทพบุตรซีใต้เซียนซือได้พูดว่า แม้ว่าตั้งจิตกระทำการกุศลให้แข็งแรงก็อาจแก้ได้ กุ้นเฮาผู้รักษาเมืองได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็คุกเข่าลงคำนับกับพื้นแล้ว พูดอ้อนวอนว่าขอท่านอาจารย์ได้โปรดกรุณา ช่วยสั่งสอนชี้แจงให้จะควรทำประการใด ข้าพเจ้าจะอุตสาหะกระทำทุกประการไม่ขัดขืน
เห้งเจียพูดว่าถ้าท่านกลับใจได้อุตส่าห์ระลึกถึงคุณพระรัตนไตรตั้งเครื่องสักการะบูชา ข้าพเจ้าจะช่วยท่านให้ได้รับความสุข หากท่านกระทำใจเหมือนแต่เดิมแล้ว ไม่ช้าฟ้าก็จะทำลายท่านให้ถึงแก่ชีวิตอันตราย กุ้นเฮาได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็เอาศรีษะโขกลงกับพื้นกระทำคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตัวจะสมาทานตั้งจิตกระทำกิจภาวนาระลึกถึงคุณพระรัตนไตร ในทันใดนั้นกุ้นเฮาก็ให้คนใช้ไปนิมนต์พระสงฆ์สิ้นทั้งเมืองมา แล้วให้ปลูกโรงพิธี ครั้นพร้อมเสร็จแล้ว เจ้าเมืองก็พาราษฎรทุก ๆ คนเข้าไปจุดธูปเทียนดอกไม้บูชานมัสการ และเขียนหนังสือบอกการกุศลขึ้นบนสวรรค์ชั้นอินทร์พรหม ส่วนพระถังซัมจั๋งก็สวดมนต์ช่วยในการพิธี ทั้งวันทั้งคืนมิได้หยุด แลมีหนังสือประกาศป่าวร้องออกไปทุก ๆ ตำบล ไม่ว่าชายหญิงเด็กผู้ใหญ่ให้ตั้งจิตภาวนาเจริญพระพุทธคุณทุก ๆ คน
เห้งเจียมีความยินดีจึงสั่งโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งว่า น้องทั้งสองจงอยู่ระวังรักษาพระอาจารย์ให้จงดี พี่จะนำเหตุการณ์ทั้งนี้ขึ้นไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ขอฝนให้แก่ราษฎร ครั้นสั่งเสร็จแล้วก็เหาะขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เข้าไปหาท้าวจัตุราชฮูก๊กทีอ๋องบอกว่าบรรดาราษฎรทุกคน ได้ตั้งจิตในการกุศลสวดมนต์ภาวนาระลึกถึงคุณพระรัตนไตร เจ้าเมืองกุ้นเฮาก็ตั้งพิธีนิมนต์พระสงฆ์ตั้งสวดพระพุทธมนต์ทั้งกลางวันและกลางคืน
ฮูก๊กทีอ๋องได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้นก็มีความยินดีด้วย กำลังสนทนากันอยู่นั้น เห็นพวกเทวทูตนำหนังสือบอกของเจ้าเมืองกุ้นเฮาขึ้นมาถวาย เทวทูตเห็นเห้งเจียก็กระทำคำนับเล่าซึ่งรายการความชอบของเห้งเจียที่ได้ชักนำให้ราษฎรกระทำการกุศล เห้งเจียถามว่าท่านจะนำหนังสือนั้นไปข้างไหน เทวะทูตบอกว่าข้าพเจ้าจะนำส่งไปยังสำนักทงเม่งเต้ย ให้ท่านซีใต้เทียนซือนำขึ้นถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ เห้งเจียจึงพูดว่าดีแล้ว ถ้ากระนั้นท่านกับข้าพเจ้ามาไปพร้อมกัน เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็ลาฮูก๊กทีอ๋อง พร้อมด้วยเทวทูตพากันไปยังตำหนักทีเม่งเต้ย ครั้นถึงเห้งเจียกระทำคำนับซีใต้เทียนซือ ๆ ก็คำนับตอบแล้วรับหนังสือบอกจากเทวทูต นำเห้งเจียเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ถวายหนังสือ
เง็กเซียงฮ่องเต้ทรงทราบความในหนังสือนั้นทุกประการแล้ว จึงมีเทวบัญชาว่า ถ้าเจ้าเมืองกุ้นเฮาได้กระทำการกุศลดังนั้นแล้ว จงไปดูสถานที่พิฆาตโทษสามประการนั้นจะเป็นประการใด เวลานั้นเทวบุตรที่รักษาการเฝ้าตำหนักทีเม่งเต้ยเข้ามากราบทูลว่า บัดนี้ในตำหนักทีเฮียนเต้ที่พระองค์ทรงคาดโทษเจ้าเมืองกุ้นเฮานั้น เขาข้าวสาร เขาแป้ง กับทั้งโซ่เหล็กก็สูญหายไปสิ้น ทูลยังไม่ทันจะขาดคำก็แลเห็นเทพบุตรองครักษ์ นำพระภูมิเจ้าที่กับเทพารักษ์ที่รักษาเมืองฮองเซียนนั้นเข้ามาเฝ้ากราบทูลว่า ในเมืองฮ่องเซียนเจ้าเมืองกับพวกราษฎรทุกคน พากันสมาทานรักษาศีลสวดมนต์ภาวนาอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น แลตั้งพิธีกระทำการสักการะบูชาคุณแห่งพระรัตนไตร กับทั้งเทพบุตรมิได้ขาดทุกเวลา บัดนี้ข้าพเจ้าขอพรพระผู้เป็นเจ้าจงโปรดมีเทวะบัญชาปะกาศิต สั่งให้เล่งอ๋องบันดาลฝนให้ตก เพื่อระงับความเดือดร้อนชนทั้งหลายในเมืองฮ่องเซียน
![]() |
รูปภาพ ; 第87回 凤仙郡冒天止雨 孙大圣劝善施霖。《李卓吾先生批评西游记》,可能是明万历时期金陵大业堂刻本,书前版画174 |
เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น ก็มีพระทัยใสโสมนัสสา จึงมีเทวะบัญชาแก่พระพิรุณ และพระพายรามสูรย์ทั้งบริวารให้ลงไปยังเมืองฮ่องเซียนให้ทันในวันนี้ ทำฝนให้ตกลงท่วมแผ่นดินประมาณสักศอกหนึ่ง ซีใต้เทียนซือได้ฟังเทวะบัญชาดังนั้นแล้ว จึงบอกให้เทพบุตรทั้งหลายที่เป็นพนักงานให้ฝนให้ทราบทั่วกัน หมู่เทพบุตรทั้งหลายจัดกันพร้อมแล้ว ก็ควบคุมบริวารของตนไปพร้อมกันกับเห้งเจียยังเมืองฮ่องเซียน ลอยอยู่ในอากาศกระทำให้เมฆหมอกตั้งขึ้นมืดฟ้ามัวฝน และฟ้าแลบฟ้าร้องคะนองลั่นเกิดลมพายุพัดใหญ่ บัดเดี๋ยวใจก็มีฝนตกลงมาห่าใหญ่ พวกราษฎรในเมืองฮ่องเซียนเห็นฝนตกก็มีความยินดีพากันรื่นเริง สรรเสริญว่านี่เปรียบดุจดังว่าไม้แห้งผลิดอกออกฉ้อ แลดุจดังว่ากระดูกแห้งแล้วกลับเกิดใหม่ ฝนตกประมาณสักชั่วโมงได้น้ำประมาณสักศอกเศษ
หมู่เทพบุตรก็ค่อยรวบรวมพากันจะกลับยังทิพย์สถาน เห้งเจียจึงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า เทพเจ้าทั้งหลายจงรอก่อน ข้าพเจ้าจะไปเรียกราษฎรทั้งหลายมาคำนับขอบคุณ ขอท่านทั้งหลายได้สำแดงรูปกายออกให้ปรากฎ เพื่อราษฎรทั้งหลายจะได้เห็น จะได้มีความเลื่อมไสศรัทธาต่อไป หมู่เทพยดาได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็สำแดงรูปกายออกให้ปรากฏอยู่ในกลางอากาศ เห้งเจียก็ลงมายังพื้น คนทั้งหลายก็พากันมากราบไหว้ เห้งเจียจึงร้องห้ามว่าส่วนเราอย่าเพิ่งก่อน จงพากันคำนับขอบคุณเทพยดาทั้งหลายเถิด ผ่ายหลังเธอทั้งหลายจะได้มาทำฝนให้ตกเนือง ๆ
เจ้าเมืองกุ้นเฮาได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น ก็ร้องประกาศให้ชนทั้งหลายจุดธูปเทียนขึ้นให้พร้อมกันทุกๆ คน แล้วก็ไหว้กราบนมัสการขึ้นไปบนอากาศ ก็แลเห็นหมู่เทพยดาทั้งหลายที่มากระทำฝนให้ตก ต่างไหว้กราบบูชาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปบนอากาศกระทำคำนับเทพบุตรทั้งหลายแล้ว จึงพูดว่าขอบพระคุณของท่านทั้งหลายที่ได้ลำบากมาช่วยในการนี้ ขอเชิญท่านกลับไปยังเทวะสำนักเถิด ข้าพเจ้าจะบอกแก่ราษฎรทั้งหลายให้ตั้งเครื่องสักการะบูชาบวงสรวงเนือง ๆ มิให้ขาด ตั้งแต่นี้ไปขอให้มีลมฝนอย่าให้ขาดได้ตามฤดู หมู่เทพยดาทั้งหลายก็คำนับลาเห้งเจีย พากันกลับยังทิพย์สถานแห่งตน ๆ
ฝ่ายเห้งเจียเห็นหมู่เทพยดาพากันกลับไปแล้ว ก็ลงยังพื้นเดินมาหาพระอาจารย์แล้วพูดว่า บัดนี้ธุระการก็เสร็จแล้ว ควรเราจะต้องพากันไปเถิด เจ้าเมืองกุ้นเฮาได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็รีบเดินมาคำนับพูดว่า พระอาจารย์ทำไมจะรีบไปดังนั้นเล่า ในครั้งนี้พระเดชพระคุณของท่าน อยู่แก่ข้าพเจ้าและราษฎรทั้งหลายหาที่เปรียบมิได้ ข้าพเจ้าจะขอจัดโต๊ะเลี้ยงสนองพระเดชพระคุณ แล้วจะสร้างวัดให้ท่านทั้งสี่อยู่ และปลูกเป็นที่บูชาไว้นมัสการ และจารึกชื่อท่านทั้งสี่ไว้เป็นที่ระลึกบูชา ยังไม่ทันไรท่านว่าจะไปเสียแล้ว พระถังซัมจั๋งว่าขอบใจท่านกุ้นเฮามาก ๆ แต่ขัดด้วยพวกอาตมภาพเป็นคนเดินหน มีกิจเกี่ยวข้องอยู่ในใจจำจะต้องลาไป เจ้าเมืองกับพวกขุนนางได้ฟังดังนั้นก็ยังไม่ยอมให้ไป จึงให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะหาเครื่องแจมาเลี้ยงพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ แลเกณฑ์พวกช่างไม้ช่างปูนให้รีบทำวัดและที่บูชา เร่งกันทั้งกลางวันและกลางคืน
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์เห็นเจ้าเมืองและราษฎรหน่วงเหนี่ยวอยู่ดังนั้นก็จำต้องรอช้าอยู่ประมาณสักสิบห้าวัน ก็พอการก่อสร้างวัดแล้วลง เจ้าเมืองจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามไปดูวัดที่สร้างใหม่ พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสาม เมื่อได้เห็นก็มีความพิศวงมาก แล้วพูดว่าการก่อสร้างวัดนี้รวดเร็วนักเป็นการประหลาดมากที่สุด เจ้าเมืองกุ้นเฮาว่าข้าพเจ้าเร่งรัดให้รีบทำทั้งกลางวันและกลางคืนจึงแล้วได้ เห้งเจียได้ฟังเจ้าเมืองพูดก็หัวเราะโดยมีความยินดี พูดสรรเสริญว่าท่านกุ้นเฮามีศรัทธาชอบธรรมมาก พูดแล้วก็พากันเดินเข้าไปดูวัดพิศดูรอบคอบทั้งซ้ายขวา ล้วนสลักลวดลายภาพต่าง ๆ งดงามหาที่ติมิได้ อาจารย์กับศิษย์ก็พูดชมและสรรเสริญ เห้งเจียจึงบอกแก่อาจารย์ว่าขอท่านได้ตั้งนามวัดนี้
พระถังซัมจั๋งจึงให้นามว่า วัดกามลิมโพ้เจี้ย เจ้าเมืองกุ้นเฮาเห็นดังนั้นก็ยิ่งมีความยินดีก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้น จึงให้จารึกเป็นอักษรตัวทอง แลให้สงฆ์ทั้งหลายจัดที่บูชาท่านทั้งสี่ไว้เนืองนิตย์ทุกเวลา และจัดที่สักการะบูชาเทพยดาพระพิรุณรามสูรย์ทั้งหลาย มีการเซ่นไหว้ทุก ๆ ปีต่อไปภายหน้า
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเห็นการเสร็จแล้วก็ให้ศิษย์จัดแจงจะลาไป ฝ่ายเจ้าเมืองกุ้นเฮากับขุนนางและราษฎรชาวเมือง เห็นว่าท่านทั้งสี่จะไม่อยู่ได้ จึงจัดเงินและทองข้าวของจะส่งไป ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็ไม่ยอมรับสิ่งใดแต่สักอย่างหนึ่ง เจ้าเมืองกับราษฎรเห็นดังนั้นก็พากันเอาเครื่องดนตรี มาขับประโคมดีดสีตีเป่าส่งอาจารย์กับศิษย์ออกจากเมืองไป