หน้าเว็บ

31 กรกฎาคม 2568

สารคดี เส้นทางสายไหม Silk Road ตอน ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม The Silk Road: All Roads Lead to Rome

 ไอโอเป็นหญิงสาวจากอาร์กอส นักบวชหญิงแห่งอาร์ไกฟ์เฮรา เธอเป็นที่รักของซุส ประเพณีเกี่ยวกับบิดาของเธอแตกต่างกันไป แต่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเธอเป็นเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์อาร์กอส และเป็นลูกหลานของอินาคัส บุตรชายของโอเชียนัส
 บางครั้งบิดาของเธอคืออีอาซัส (ดูภาพที่ 17) บางครั้ง (และนี่คือเวอร์ชันที่นักโศกนาฏกรรมนิยม) คืออีนาคัส เทพแห่งแม่น้ำ บางครั้งบิดาของเธอคือเพียร์เนส (อาจเป็นน้องชายของเบลเลอโรฟอน ในกรณีนี้ ไอโอจะอยู่ในราชวงศ์คอรินธ์) เมื่อเธอถูกเรียกว่าธิดาของอีนาคัส มารดาของเธอคือเมเลีย ในฐานะธิดาของอีอาซัส มารดาของเธอคือลิวเคน
 ความรักที่ซูสมีต่อไอโอนั้นเกิดจากความงามของเด็กสาวเพียงเท่านั้น หรือจากคาถาของอิอุงกา ธิดาของเอคโค กล่าวกันว่าความฝันกระตุ้นให้ไอโอเดินทางไปยังชายฝั่งทะเลสาบเลอร์นาและยอมจำนนต่ออ้อมกอดของซูส ไอโอเล่าความฝันนั้นให้บิดาของเธอฟัง ซึ่งได้ปรึกษากับคำทำนายของโดโดนาและเดลฟี
รูปภาพ ; Η Ιώς. (Βόσπορος και Ίσιδα....)
 โหรบอกให้เขาเชื่อฟัง หากเขาไม่ต้องการถูกสายฟ้าฟาดใส่ทั้งตัวซุสและคนในบ้าน ซุสจึงได้ร่วมมือกับหญิงสาว และเฮร่าก็สงสัยในการผจญภัยนี้ทันที ต่อมา ซุสจึงได้แปลงร่างเธอให้กลายเป็นวัวสาวสีขาวบริสุทธิ์เพื่อปลดปล่อยไอโอจากความหึงหวงของภรรยา เขายังสาบานกับเฮร่าว่าเขาไม่เคยรักสัตว์ตัวนี้เลย เฮร่าจึงเรียกร้องให้เธอถวายมันแก่เธอ ไอโอจึงทุ่มเทให้กับคู่ปรับของเธอ ซึ่งมอบความไว้วางใจให้เธอดูแล "อาร์กอสผู้พันร้อยเนตร" ญาติของหญิงสาว
 จากนั้นการทดสอบของไอโอก็เริ่มต้นขึ้น เธอเร่ร่อนไปใกล้ไมซีนี จากนั้นก็ไปยังยูเบีย และทุกหนทุกแห่งที่เธอผ่านไป ผืนดินก็งอกงามขึ้นเพื่อเธอ แต่ซุสกลับสงสารคนรักของเขา (ซึ่งว่ากันว่าบางครั้งเธอก็ไปพบเธอในร่างวัว) จึงมอบหมายให้เฮอร์มีสพาเธอไปจากผู้พิทักษ์ เฮอร์มีสใช้ไม้กายสิทธิ์ฟาดดวงตาของอาร์กอสห้าสิบดวงให้หลับลง ขณะที่อีกห้าสิบดวงหลับสนิทตามธรรมชาติ จากนั้นเขาก็สังหารอาร์กอสด้วยเคียว แต่การตายของอาร์กอสไม่ได้ทำให้ไอโอเป็นอิสระ เฮร่าจึงส่งแมลงวัน (สัด) มาให้ทรมาน ไอโอติดอยู่บนซี่โครงของเธอและทำให้เธอคลั่งด้วยความโกรธ
               จากนั้นไอโอก็เริ่มเดินทางข้ามกรีซ เธอเริ่มวิ่งเลียบชายฝั่งอ่าว ซึ่งถูกเรียกว่าทะเลไอโอเนียนด้วยเหตุนี้ เธอจึงข้ามทะเลตรงช่องแคบที่กั้นชายฝั่งยุโรปออกจากชายฝั่งเอเชีย และตั้งชื่อช่องแคบนี้ว่าบอสพอรัส* (bos + poros หรือ bos + poros = "ช่องแคบของวัว") 
               เธอพเนจรอยู่ในเอเชียเป็นเวลานานและในที่สุดก็มาถึงอียิปต์ ซึ่งเธอได้รับการต้อนรับ และที่นั่นเธอได้ให้กำเนิดโอรสจากซุส คือเอปาฟัสน้อย ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์มากมาย ซึ่งรวมถึงเผ่าดาไนด์ด้วย
               เธอได้กลับคืนสู่สภาพเดิม และหลังจากการทดสอบครั้งสุดท้าย เพื่อตามหาโอรสที่ถูกลักพาตัวโดยชาวคูเรเตสตามคำสั่งของเฮรา เธอจึงกลับมาครองราชย์ในอียิปต์ ซึ่งที่นั่นเธอได้รับการบูชาภายใต้พระนามของไอซิส
               นักประวัติศาสตร์สมัยโบราณพยายามตีความตำนานนี้ตามประวัติศาสตร์ โดยอธิบายว่าไอโอเป็นธิดาของกษัตริย์อินาคัส และโจรสลัดฟินิเชียนได้ลักพาตัวเธอไปยังอียิปต์ เว้นเสียแต่ว่าเธอจะเป็นนางสนมของกัปตันเรือฟินิเชียนและออกเดินทางตามความสมัครใจ
 พวกเขายังกล่าวอีกว่าไอโอซึ่งถูกโจรสลัดลักพาตัวและนำตัวไปยังอียิปต์นั้น ถูกกษัตริย์ของประเทศซื้อตัวไป และได้ส่งวัวตัวหนึ่งพร้อมกับคณะทูตไปให้อินาคัส บิดาของเธอเพื่อเป็นค่าชดเชย เมื่ออินาคัสเดินทางมาถึงกรีซ อินาคัสก็เสียชีวิตลงแล้ว เนื่องจากไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับวัวตัวนั้น คณะทูตจึงนำวัวตัวนั้นไปแสดงให้ชาวเมืองซึ่งไม่เคยเห็นวัวมาก่อนดู พร้อมกับนำเงินไปบริจาค หลังจากที่เธอเสียชีวิต ไอโอก็กลายเป็นกลุ่มดาว ที่มาของเรื่องราวเกี่ยวกับไอโอและลูกหลานของเธอคือมหากาพย์ดาไนด์สที่สูญหายไปแล้ว
 คอนสแตนติโนเปิลประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและยิ่งใหญ่ กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์เพียงหนึ่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ของจักรวรรดิไบแซนไทน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการสูญเสียเมืองสำคัญทางตะวันออกอย่างแอนติออคและอเล็กซานเดรีย อันที่จริง เมืองอื่นๆ ในจักรวรรดิ เช่น เทสซาโลนิกิ เอเฟซัส และเทรบิซงด์ แม้จะมีตลาดสด มีประชากร 30,000 ถึง 40,000 คน และมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ก็ยังเทียบไม่ได้กับคอนสแตนติโนเปิล ความสำเร็จของคอนสแตนติโนเปิลส่วนใหญ่เป็นผลมาจากผู้ก่อตั้ง คอนสแตนติน ผู้ซึ่งเลือกสถานที่ตั้งของอาณาจักรไบแซนไทน์โบราณได้อย่างสมบูรณ์แบบ
รูปภาพ ; 历史门外的小个子
 เมืองนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของช่องแคบบอสฟอรัส ซึ่งกั้นทะเลมาร์มาราออกจากทะเลดำ ทำให้เป็นจุดสำคัญสำหรับการขนส่งทางบกและทางทะเลระหว่างตะวันออก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรป และเอเชีย ทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบนี้ทำให้กลายเป็นศูนย์กลางของพ่อค้าจากทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เพื่อเน้นย้ำว่ากรุงคอนสแตนติโนเปิลที่เพิ่งสถาปนาขึ้นใหม่เป็นเมืองหลวงใหม่ของจักรวรรดิโรมัน จักรพรรดิคอนสแตนตินจึงขนานนามเมืองนี้ว่า "โรมใหม่" อันที่จริง กรุงคอนสแตนติโนเปิลแทบจะเป็นแบบจำลองของกรุงโรมโบราณ โดยมีรูปแบบเมืองและสถาปัตยกรรมที่เลียนแบบแบบโรมันเกือบทั้งหมด
แอมโฟราของกรีกโบราณคืออะไร?
 แอมโฟรา (Amphora) ของกรีกโบราณเป็นภาชนะเซรามิกชนิดหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยกรีกโบราณ ภาชนะเหล่านี้ใช้สำหรับบรรจุและขนส่งของเหลว เช่น ไวน์และน้ำมันมะกอก และยังถูกใช้เป็นภาชนะสำหรับบรรจุศพอีกด้วย แอมโฟราของกรีกโบราณถือเป็นหนึ่งในรูปแบบศิลปะกรีกที่โดดเด่นที่สุด และได้รับการยกย่องอย่างสูงในด้านความสวยงามและความสำคัญทางประวัติศาสตร์
ต้นกำเนิดและวิวัฒนาการของแอมโฟราของกรีกโบราณ
 ต้นกำเนิดของแอมโฟรากรีกโบราณย้อนกลับไปถึงยุคหินใหม่ ประมาณ 6,000 ปีก่อนคริสตกาล อย่างไรก็ตาม ในยุคเรขาคณิต (900-700 ปีก่อนคริสตกาล) ภาชนะเหล่านี้เริ่มมีการผลิตขึ้นเป็นจำนวนมากและได้รูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ ในยุคโบราณ (700-480 ปีก่อนคริสตกาล) และยุคคลาสสิก (480-323 ปีก่อนคริสตกาล) แอมโฟรากรีกโบราณมีการพัฒนาถึงขีดสุดทั้งในด้านคุณภาพและรูปแบบที่หลากหลาย
ลักษณะของแอมโฟราของกรีกโบราณ
 แอมโฟราของกรีกโบราณมีลักษณะเด่นหลายประการที่ทำให้จดจำได้ง่าย แอมโฟรามีรูปร่างยาว ฐานโค้งมน และปากแคบ แอมโฟราส่วนใหญ่มีหูจับสองข้าง ข้างละข้าง เพื่อให้ง่ายต่อการพกพาและจัดการ นอกจากนี้ ภาชนะเหล่านี้ยังตกแต่งด้วยภาพวาดอันวิจิตรบรรจงที่บรรยายถึงฉากในตำนานเทพปกรณัม เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ หรือลวดลายเรขาคณิต
หน้าที่ของแอมโฟราของกรีกโบราณ
               แอมโฟรากรีกโบราณทำหน้าที่หลากหลายในสังคมกรีก นอกจากจะใช้เก็บและขนส่งของเหลวแล้ว ยังใช้เป็นภาชนะสำหรับบรรจุอัฐิของผู้เสียชีวิตอีกด้วย ภาชนะเหล่านี้มักถูกใช้เป็นรางวัลในการแข่งขันกีฬาและงานเทศกาล และบางชิ้นยังใช้เป็นเครื่องบูชาแด่เทพเจ้าอีกด้วย
               ความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของแอมโฟราของกรีกโบราณ
 แอมโฟราของกรีกโบราณมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของกรีกโบราณ นอกจากจะเป็นวัตถุที่มีคุณค่าทางศิลปะแล้ว แอมโฟรายังให้ข้อมูลอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ตำนาน และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในยุคนั้นด้วย ภาพวาดบนแอมโฟรามักแสดงภาพเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่น งานเลี้ยง งานเลี้ยง และกิจกรรมกีฬา ซึ่งเผยให้เห็นวิถีชีวิตในกรีกโบราณ
รูปแบบและสำนักจิตรกรรมบนโถแอมโฟราของกรีกโบราณ
 แอมโฟราของกรีกโบราณมีรูปแบบการวาดภาพที่หลากหลาย ซึ่งวิวัฒนาการไปตามกาลเวลาและสะท้อนถึงสำนักศิลปะต่างๆ ในยุคนั้น ในยุคเรขาคณิต ภาพวาดแอมโฟรามีลักษณะเด่นคือลวดลายเรขาคณิตที่เรียบง่าย เช่น เส้นตรงและรูปทรงเรขาคณิตพื้นฐาน ในยุคโบราณและยุคคลาสสิก ภาพวาดมีรายละเอียดมากขึ้น โดยแสดงภาพร่างมนุษย์และฉากในตำนานเทพปกรณัม
กระบวนการผลิตแอมโฟราของกรีกโบราณ
 กระบวนการผลิตแอมโฟราของกรีกโบราณนั้นค่อนข้างซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน ขั้นแรก ดินเหนียวจะถูกปั้นบนแป้นหมุนของช่างปั้นหม้อเพื่อขึ้นรูปภาชนะ จากนั้นจึงนำไปตากแดดให้แห้งเป็นเวลาสองสามวัน หลังจากนั้นจึงนำไปอบในเตาเผาที่อุณหภูมิสูงเพื่อเปลี่ยนดินเหนียวให้เป็นเซรามิก สุดท้าย ภาชนะจะถูกตกแต่งด้วยภาพวาด และในบางกรณีอาจเคลือบเงาเพื่อให้มันวาว
การค้าและการส่งออกแอมโฟราของกรีกโบราณ
 แอมโฟรากรีกโบราณถูกซื้อขายและส่งออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ของโลกยุคโบราณ แอมโฟรามีมูลค่าสูงมากจนมักถูกใช้เป็นสกุลเงินในการทำธุรกรรมทางการค้า นอกจากนี้ แอมโฟราจำนวนมากยังถูกส่งออกไปยังส่วนอื่นๆ ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งได้รับการยกย่องในด้านคุณภาพเชิงศิลปะและประโยชน์ใช้สอย
การเก็บรักษาและการสะสมแอมโฟราของกรีกโบราณ
 เนื่องจากความเปราะบางของแอมโฟรากรีกโบราณจำนวนมากจึงได้รับความเสียหายตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แอมโฟราจำนวนมากยังคงหลงเหลืออยู่และได้รับการอนุรักษ์ไว้ในพิพิธภัณฑ์และของสะสมส่วนตัวทั่วโลก การสะสมแอมโฟรากรีกโบราณเป็นเรื่องปกติธรรมดา และภาชนะเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักสะสมและผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะ
               อิทธิพลของแอมโฟราของกรีกโบราณต่อศิลปะและการออกแบบร่วมสมัย
 ความงามและความสง่างามของแอมโฟรากรีกโบราณยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินและนักออกแบบร่วมสมัย รูปทรงที่ยาวและหูจับอันเป็นเอกลักษณ์ของภาชนะเหล่านี้มักถูกนำมาผสมผสานเข้ากับชิ้นงานเซรามิกสมัยใหม่ ขณะที่ภาพวาดบนแอมโฟราก็เปรียบเสมือนต้นแบบสำหรับศิลปินที่ต้องการสร้างสรรค์ผลงานสไตล์คลาสสิกเหนือกาลเวลา
มรดกของแอมโฟรากรีกโบราณ
 มรดกของแอมโฟรากรีกโบราณนั้นยิ่งใหญ่มหาศาล และอิทธิพลของแอมโฟราเหล่านี้สามารถเห็นได้ในหลากหลายสาขา ทั้งศิลปะ การออกแบบ ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี แอมโฟราเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงอารยธรรมโบราณ และช่วยให้เราเข้าใจวัฒนธรรมและสังคมของกรีกโบราณได้ดียิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น แอมโฟรากรีกโบราณยังได้รับการยกย่องว่าเป็นงานศิลปะที่แท้จริง ซึ่งยังคงสร้างความประทับใจและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก
รูปภาพ ;                บางครั้งเมื่อถึงกลางคืน คุณกลับไปยังที่ ที่คุณมักจะแวะเวียนอยู่เสมอ คุณแบกแอมโฟราไว้บนบ่า ซึ่งคุณดื่ม น้ำผลไม้ที่รินใส่ไว้ทุกวัน ได้แก่ น้ำและไวน์ นมแบล็กเบอร์รี่และมะเดื่อ เหล้า เชอร์รี่รสเปรี้ยวและกลิ่นมัสก์ และความกระหาย น้ำ แก่นแท้ที่ชัดเจนที่สุด
               คุณอยากจะเติมน้ำลงในภาชนะอีกครั้ง น้ำ และ ไวน์เหือดแห้งทั้งที่ก้านและที่ต้นเหตุ แอมโฟราแตก และนิ้วของคุณก็ไม่สามารถจับ แม้แต่เศษแก้วที่แทบจะเหลืออยู่ได้อีก ต่อไป 

30 กรกฎาคม 2568

มหาไวโรจนะสูตร มหาไวปุลยสมปูรณโพธิอรรถสูตร พระสูตรมหาการตรัสรู้อันสมบูรณ์ พระพุทธตารตมหาเถระ 唐:佛陀多羅譯 (ราว พ.ศ.๑๑๙๓) ในสมัยราชวงศ์ถัง ประเทศจีน

               แปลจากสันสกฤตพากย์สู่จีนพากย์ พระวิศวภัทร เชี่ยเกี๊ยก (沙門聖傑) วัดเทพพุทธาราม (仙佛寺) แปลจากจีนพากย์สู่ไทยพากย์ เมื่อพระพุทธายุกาลล่วงแล้ว ๒๕๕๐ ปี ๑๑ เดือน ๑๑ วัน
               (ภาพประกอบ คือ พระโพธิสัตว์ ๑๒ องค์ใน มหาไวปุลยสมบูรณ์โพธิอรรถสูตร แห่งวัดหลงเฉวียน (龍泉寺) ในมณฑลซานซี (山西) ประเทศจีน)
               พระสูตรมหายานแปลไทย จาก www.mahaparamita.com  |   สงวนลิขสิทธิ์ในการแก้ไข ดัดแปลง จำหน่าย
             ข้าพเจ้าได้ยินมาดังนี้ ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าสู่คลังแห่งพลังอำนาจเหนือธรรมชาติอันสว่างไสว ทรงอยู่ในสมาธิด้วยพระทัยสงบ แสงสว่างและพระสิริรุ่งโรจน์ของตถาคตทั้งปวงทรงปกครองสรรพสัตว์เหล่านั้น สรรพสัตว์ทั้งปวงล้วนอยู่ในแดนแห่งการตรัสรู้อันบริสุทธิ์ อันเป็นภาวะเดิมอันเสมอภาคระหว่างกายและใจในการดับสูญของกายและใจ อันสมบูรณ์ในทิศทั้งสิบ และดำเนินตามอวิภาวะ ในสภาวะอวตาร ดินแดนอันบริสุทธิ์ทั้งหมดปรากฏขึ้น พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์และมหาสัตว์มหาสัตว์ 100,000 องค์ นามของท่านคือ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์  พระวัชรครรภโพธิสัตว์ พระไมเตรยโพธิสัตว์ พระปัญญาบริสุทธิ์ พระมหาปรินิพพานโพธิสัตว์ พระภักติโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้ชำระล้างอุปสรรคกรรมทั้งปวง พระโพธิสัตว์ผู้ตรัสรู้ชอบ และพระโพธิสัตว์เศียรผู้ทรงคุณธรรม ล้วนเป็นผู้นำและบริวาร ทุกท่านได้เข้าสู่สมาธิและอยู่ร่วมกันในสภาธรรมอันเท่าเทียมกันของตถาคต
 ดั่งที่ข้าพเจ้าได้สดับมา สมัยหนึ่งพระภควันต์ ทรงเข้าอภิญญา มหาญาณครรภ์ อันเป็นสมาธิที่ตั้งอยู่โดยชอบ เป็นประการที่ พระตถาคตเจ้าทั้งปวงทรงธำรงอยู่ เป็นวิสัยของสรรพสัตว์ผู้บริสุทธิ์บรรลุถึงโพธิภูมิ มีกายแลจิตที่ดับรอบและมีความเสมอกัน ” เป็น มูลฐาน สมบูรณ์ทั่วในทิศทั้งสิบ ไม่คล้อยตามทวิบัญญัติ และไม่ตั้งอยู่ในทวิภาวะ ปรากฏอยู่ในวิศุทธิเกษตรทั้งปวง อันเป็นพระ โพธิสัตว์มหาสัตว์ชั้นผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งแสน มีนามว่า มัญชุศรีโพธิสัตว์๑ สมันตภัทรโพธิสัตว์๑ สมันตเนตรโพธิสัตว์๑ วัชรครรภ์ โพธิสัตว์๑ เมตไตรยโพธิสัตว์๑ วิศุทธิชญานโพธิสัตว์๑ เตชศวรโพธิสัตว์๑ ปรติภาณสวรโพธิสัตว์๑ ศุทธิสรวกรรมวิปากโพธิสัตว์๑ สมันตพุทธิโพธิสัตว์๑ สมปูรณโพธิโพธิสัตว์๑ สุภัทรกูฏโพธิสัตว์๑ ผู้เป็นอธิบดีพร้อมด้วยบริษัททั้งปวง ซึ่งล้วนแต่เข้าสมาธิ ได้ตั้งอยู่ ในสมตาธรรมสภาของพระตถาคตเจ้า
               * ฤทธิ์ 5 ประการ มี ๑) อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ ๒) ทิพยจักษุ ตาทิพย์ ๓) ทิพยโสต หูทิพย์ ๔) เจโตปริยญาณ ญาณที่กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ ๕) บุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึก ชาติได้ และ ๖) อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้สิ้นอาสวะ (ข้อ 5 นี้มีเฉพาะพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา) ห้าข้อแรกเป็นโลกียอภิญญา
               ข้อท้ายเป็นโลกุตตระ สมตา แปลว่า ความเสมอภาค, สมภาพ, เท่าเทียม ในบริบทนี้ หมายถึง ธรรมทั้งปวงมีสภาวะเสมอกัน ไม่เป็นทวิภาวะ มีการอุปมาว่าเหมือนอากาศธาตุ
如是我聞,一時婆伽婆,入於神通大光明藏,三昧正受,一切如來光嚴住持,是諸眾生,清 淨覺地,身心寂滅平等本際,圓滿十方,不二隨順,於不二境,現諸淨土,與大菩薩摩訶薩十萬 人俱,其名曰,文殊師利菩薩,普賢菩薩,普眼菩薩,金剛藏菩薩,彌勒菩薩,清淨慧菩薩,威 德自在菩薩,辯音菩薩,淨諸業障菩薩,普覺菩薩,圓覺菩薩,賢善首菩薩等而為上首與諸眷 屬,皆入三昧,同住如來平等法會。
รูปภาพ ; พระมัญชุศรีโพธิสัตว์
 ครั้นแล้ว พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ทรงลุกขึ้นจากอาสนะ กราบพระบาทพระพุทธเจ้า เวียนพระพักตร์ไปทางขวา ๓ ครั้ง ทรงคุกเข่าประนมพระหัตถ์ แล้วตรัสกับพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงกรุณาปรานียิ่ง ข้าพระองค์ขออธิบายแก่ธรรมสงฆ์ทั้งปวงที่มาร่วมประชุม ถึงความบริสุทธิ์ดั้งเดิมของตถาคต เหตุปัจจัย และวิธีที่พระโพธิสัตว์ในมหายานสามารถพัฒนาจิตให้บริสุทธิ์ปราศจากโรคภัยทั้งปวงได้ สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้แสวงหามหายานในอนาคต ในวันข้างหน้า หลีกเลี่ยงความเห็นผิดได้” เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงกราบทูลขอนี้อีก ๓ ครั้ง แล้วตรัสซ้ำอีก
 ในเวลานั้น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ก็ประทับร่วมอยู่ในมหาชน ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ กระทำศิราภิวาทเบื้องพระพุทธยุคลบาท ด้วยเศียรเกล้า ประทักษิณาวัตรสามรอบ คุกเข่าประนมกรแล้วทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระมหากรุณาโลกนาถเจ้า เพื่อเหล่าธรรม นิกรทั้งปวงที่ได้มาร่วมอยู่ในสภาแห่งนี้ ขอพระองค์ทรงแสดงธรรมจริยาอันเป็นมูลเหตุที่บริสุทธิ์ของพระตถาคต และโปรดแสดงข้อที่ว่าโพธิสัตว์ผู้บังเกิดวิศุทธิจิตต่อมหายาน จะได้ห่างไกลจากสิ่งเสียดแทงทั้งปวง อันจะสามารถยังให้สรรพสัตว์ในอนาคตผู้ปรารถนา มหายาน ไม่ตกสู่มิจฉาทัศนะ" ด้วยเถิดพระเจ้าข้า เมื่อทูลอย่างนี้แล้วจึงกระทำเบญจางคประดิษฐ์ อยู่อย่างนี้สามคำรบ
 ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า “ดีแล้ว ดีแล้ว ท่านผู้เจริญ! ท่านทั้งหลายสามารถปรึกษาพระตถาคตเกี่ยวกับเหตุแห่งธรรมเพื่อพระโพธิสัตว์ทั้งปวง และช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งปวงในวาระสุดท้ายผู้แสวงหามหายานให้บรรลุมรรคผล และหลีกเลี่ยงการตกในความเห็นผิด บัดนี้ จงฟังอย่างตั้งใจ เราจะอธิบายให้ท่านฟัง” พระมัญชุศรีโพธิสัตว์รับคำสั่งสอนด้วยความยินดี และที่ประชุมใหญ่ก็ฟังอย่างเงียบๆ
 ในกาลบัดนั้น พระโลกนาถเจ้าตรัสกับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า สาธุๆ กุลบุตร พวกเธอสามารถสากัจฉาซึ่งธรรมจริยาที่เป็น มูลเหตุของพระตถาคตเพื่อโพธิสัตว์ทั้งหลาย และเพื่อหมู่สรรพสัตว์ในอนาคตผู้ปรารถนามหายาน จะได้บรรลุถึงความตั้งไว้ชอบ ไม่ ตกสู่มิจฉาทัศนะ เธอจงฟังให้ดีเถิด ตถาคตจะกล่าวแก่เธอ ครั้งนั้นพระมัญชุศรีโพธิสัตว์เมื่อรับสนองพระอนุศาสนีย์แล้วจึงโสมนัส ยินดี อยู่พร้อมกับบรรดามหาชนที่ดุษณียภาพอยู่เพื่อคอยสดับพระเทศนา
 ท่านผู้เจริญ องค์พระธรรมาธิราชทรงมีประตูธารณีอันยิ่งใหญ่ เรียกว่า สัมปชัญญะสมบูรณ์ ซึ่งหลั่งไหลออกมาซึ่งความบริสุทธิ์แท้อันบริสุทธิ์ โพธินิพพาน และปารมิตา และทรงสั่งสอนพระโพธิสัตว์ ตถาคตทุกองค์ล้วนกำเนิดขึ้นในขั้นเหตุปัจจัย โดยทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งการตรัสรู้อันบริสุทธิ์อันบริสุทธิ์ ขจัดอวิชชาออกไปอย่างถาวร และบรรลุพุทธภาวะ อวิชชาคืออะไร?
 ดูก่อนกุลบุตร พระอนุตรธรรมราชา มีมหาธารณีทวารนามว่า สมบูรณโพธิ อันเป็นที่หลั่งไหลซึ่งวิศุทธิตถตา พระโพธิ พระ นิพพานและปารมิตาทั้งปวงเพื่อสั่งสอนโพธิสัตว์ อันปฐมเหตุภูมิของพระตถาคตทั้งปวงก็ล้วนต้องอาศัยโพธิลักษณะที่บริสุทธิ์สมบูรณ์ โดยรอบนี้ ยังอวิชชาให้ขาดสิ้นแล้วจึงได้บรรลุพระพุทธมรรค ก็อวิชชานั้นเล่าเป็นไฉน
               *" หมายถึงความเห็นผิด หรือ มิจฉาทิฐิ
於是文殊師利菩薩在大眾中,即從座起,頂禮佛足,右繞三匝,長跪叉手而白佛言:大悲世 尊,願為此會諸來法眾,說於如來本起清淨,因地法行,及說菩薩於大乘中發清淨心,遠離諸 病,能使未來末世眾生求大乘者,不墮邪見。作是語已,五體投他,如是三請,終而復始。
  爾時世尊告文殊師利菩薩言:善哉善哉,善男子,汝等乃能為諸菩薩,諮詢如來因地法行,
及為末世一切眾生求大乘者,得正住持,不墮邪見,汝今諦聽,當為汝說。時文殊師利菩薩奉教
歡喜,及諸大眾默然而聽。
  善男子,無上法王,有大陀羅尼門,名為圓覺,流出一切清淨真如,菩提涅槃及波羅密,教
授菩薩,一切如來本起因地,皆依圓照清淨覺相,永斷無明,方成佛道,云何無明。
               ท่านผู้เจริญ สัตว์ทั้งหลายล้วนมีความหลงผิดในรูปแบบต่างๆ กันมาตั้งแต่โบราณกาล เฉกเช่นคนหลงทางที่หลงทางได้ง่ายทุกทิศทุกทาง พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าธาตุทั้งสี่เป็นรูปร่างของตนเอง และภาพสะท้อนของอายตนะทั้งหกเป็นจิตของตนเอง เปรียบเสมือนคนตาป่วยเห็นดอกไม้บนฟ้าและพระจันทร์ดวงที่สอง
               ดูก่อนกุลบุตร บรรดาสรรพสัตว์นับแต่กาลอันหาจุดเริ่มต้นไม่ได้นั้น วิปลาสเห็นผิดเป็นชอบ ดุจผู้ถูกลวงหลอกให้ลุ่มหลงไป ในทิศทั้งสี่แต่โดยง่าย “ โดยลวงให้ยึดมั่นมหาภูติรูปสี่ “ ว่าเป็นลักษณะกายของตน และสฬายตนะ” ก็เป็นปัจจัยให้ปรากฏว่าเป็น ลักษณะจิตของตน อุปมาบุคคลผู้จักษุเป็นโรค เห็นบุปผาในอากาศ และจันทราดวงที่สอง
               คนดี ความว่างเปล่านั้นมีอยู่จริงและไม่มีดอกไม้ คนป่วยยึดถือมันไว้อย่างผิดๆ ด้วยความยึดถืออันผิดๆ นี้ เขาจึงไม่เพียงแต่สับสนเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของความว่างเปล่าเท่านั้น แต่ยังสับสนเกี่ยวกับสถานที่ซึ่งดอกไม้ที่แท้จริงเติบโตอีกด้วย
               有輪轉生死,故名無明。 ดูก่อนกุลบุตร ที่แท้ในนภากาศปราศจากซึ่งบุปผา แต่เหตุเพราะผู้ป่วยนั้นอุปาทานมั่นเอาเอง จึงไม่เพียงแต่หลงในสวภาวะแห่ง
               อากาศนี้ ซ้ำยังหลงไปว่านั้นเป็นที่อุบัติแห่งบุปผชาติอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้จึงลวงหลอกว่ามีสังสารวัฏชาติมรณะ เหตุฉะนี้แลจึงชื่อว่า อวิชชา
 ท่านผู้เจริญ ความไม่รู้นี้ไม่มีแก่นสารใดๆ เหมือนคนในฝัน ขณะฝันมิใช่ว่าไม่มีอยู่ แต่เมื่อตื่นขึ้นกลับไม่เหลือสิ่งใดเลย เฉกเช่นดอกไม้ว่างเปล่านับไม่ถ้วนที่สูญสลายไปในความว่างเปล่า ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีที่ดับสูญที่แน่นอน เพราะเหตุใด? ก็เพราะไม่มีที่กำเนิด สรรพสัตว์ทั้งหลายในครรภ์ย่อมรับรู้การเกิดและการตายอย่างผิดพลาด นี่แหละคือเหตุที่เรียกว่าวัฏจักรแห่งการเกิดและการตาย
 ดูก่อนกุลบุตร อันอวิชชานี้ หาได้มีรูปร่างที่แท้จริงไม่ ดุจบุคคลผู้อยู่ในความฝัน ที่เวลาฝันย่อมมีอยู่ ตราบเมื่อตื่นขึ้นจึงรู้ว่าไม่ใช่ ความจริง ดุจบรรดาบุปผาในอากาศ ที่ดับสิ้นไปในความว่างนั่นเอง อันไม่อาจกล่าวกำหนดไปว่าดับสิ้นยังที่ใด ด้วยเหตุไฉนนั่นหรือ ก็ เพราะไร้ซึ่งสถานที่ให้เกิดขึ้น สรรพสัตว์ทั้งหลายก็ด้วยความไม่ได้เกิดขึ้นนี้ ลวงให้เห็นว่าเกิดดับ เหตุนี้จึงชื่อว่า สังสารวัฏชาติมรณะ
 ท่านผู้เจริญสัมมาสัมโพชฌงค์ในเหตุปัจจัยของตถาคต ย่อมรู้ว่านี่คือดอกไม้ว่าง ดังนั้นจึงไม่มีวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด และกายและใจก็ไม่มีการเกิดดับ มิใช่เพราะการกระทำ แต่เพราะธรรมชาติของมัน สิ่งที่รู้เปรียบเสมือนความว่างเปล่า และผู้ที่รู้ความว่างเปล่านั้นคือดอกไม้ว่าง ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีจิตสำนึก ทั้งความมีอยู่และความไม่มีอยู่ถูกกำจัดไป นี่เรียกว่าการตื่นรู้อันบริสุทธิ์ที่ตามมา เพราะเหตุใด? เพราะธรรมชาติของความว่างเปล่า มันจึงไม่เคลื่อนไหวอยู่เสมอ เพราะคลังของตถาคตไม่มีความเกิดขึ้นหรือดับไป และเพราะไม่มีความรู้หรือการรับรู้ เพราะเป็นธรรมชาติของธรรมภูมิ มันสมบูรณ์ที่สุดและแผ่ขยายไปทั่วทิศทั้งสิบ นี่เรียกว่าเหตุปัจจัยแห่งการปฏิบัติธรรม ดังนั้น พระโพธิสัตว์จึงพัฒนาจิตให้บริสุทธิ์ในมหายาน สัตว์ทั้งหลายในวันสุดท้าย ผู้ใดประพฤติตามนี้แล้ว ย่อมไม่หลงผิด.
 ดูก่อนกุลบุตร ตถาคตเป็นผู้มีเหตุภูมิบาทฐานที่บำเพ็ญสมปูรณโพธิ ได้รู้ว่าคือศูนยบุษปะ ย่อมปราศจากสังสารวัฏ จึงไร้ซึ่ง กายและจิตผู้เสวยชาติและมรณะ เพราะไม่ได้กระทำจึงไม่มี เหตุที่มูลภาวะแต่เดิมนั้นไม่มี ผู้รู้แจ้งนั้นก็ประดุจอากาศ บุคคลผู้รู้อากาศ ก็เป็นลักษณะของศูนยบุษปะ (ด้วยเช่นกัน) จึงไม่อาจกล่าวว่าไม่รู้โพธิภาวะ ปราศจากทั้งความมีและความไม่มี จึงชื่อว่า อนุโลมตาม ความรู้แจ้งที่บริสุทธิ์ ด้วยเหตุไฉนนั้นฤา เหตุที่(ประดุจ)ภาวะของอากาศ เหตุที่ไม่หวั่นไหวอยู่เป็นนิจ เหตุที่ท่ามกลางตถาคตครรภ์นั้น ปราศจากซึ่งความเกิดขึ้นและดับสิ้น เหตุที่ไม่รู้ไม่เห็น เหตุที่ดุจธรรมธาตุภาวะที่มีความสมบูรณ์เป็นที่สุดตลอดในทิศทั้งสิบ อย่างนี้จึง
               *หมายถึง จตฺวาโร วิปรยาสา คือความเห็นคลาดเคลื่อน ๔ ประการ มี ๑. นิตย วิปัลลาส คือ สัญญาวิปัลลาส จิตตวิปัลลาส ทิฏฐิวิปัลลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๒.สุข วิปัล ลาส คือ สัญญาวิปัลลาส ฯลฯ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสุข ๓. ศุจิ วิปัลลาส คือ สัญญาวิปลาส ฯลฯ ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๔.อาตม วิปัลลาส คือ สัญญาวิปัลลาส ฯลฯ ในสิ่งที่ไม่ใช่ ตนว่าเป็นตน
               *“มหาภูติรูป ๔ คือ ธาตุ ๔ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม
               * หมายถึง อายตนะภายนอก ๖ มี ๑) รูป ๒) เสียง ๓) กลิ่น ๔) รส ๕) สัมผัส หรือโผฏฐพพะ ๖)ธรรมารมณ์
               *ศูนยบุษป, ดอกไม้ในอากาศ ดูเชิงอรรถ ที่ ๗ ดอกไม้ในอากาศ
  善男子,一切眾生從無始來,種種顛倒,猶如迷人,四方易處,妄認四大為自身相,六塵緣
影為自心相,譬彼病目,見空中華及第二月。
  善男子,空實無華,病者妄執,由妄執故,非唯惑此虛空自性,亦復迷彼實華生處,由此妄
有輪轉生死,故名無明。
  善男子,此無明者,非實有體,如夢中人,夢時非無,及至於醒,了無所得。如眾空華,滅
於虛空,不可說言有定滅處,何以故,無生處故。一切眾生於無生中,妄見生滅,是故說名輪轉
生死。
  善男子,如來因地修圓覺者,知是空華,即無輪轉,亦無身心受彼生死,非作故無,本性無
故,彼知覺者,猶如虛空,知虛空者,即空華相,亦不可說無知覺性,有無俱遣,是則名為淨覺
隨順,何以故,虛空性故,常不動故,如來藏中無起滅故,無知見故,如法界性,究竟圓滿遍十
方故,是則名為因地法行。菩薩因此於大乘中,發清淨心,末世眾生,依此修行,不墮邪見,
               ชื่อว่าเหตุภูมิธรรมจริยา โพธิสัตว์ด้วยมีเหตุอย่างนี้จึงบังเกิดวิศุทธิจิตต่อมหายาน สรรพสัตว์ในอนาคตเพราะได้อาศัยการบำเพ็ญจริยา อย่างนี้ จึงไม่ตกสู่มิจฉาทัศนะ ด้วยประการฉะนี้
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาจะกล่าวความหมายนี้ จึงได้ตรัสพระคาถาต่อไปนี้:
           มัญชุศรี ท่านทั้งหลายจงรู้เถิดว่า ตถาคตทั้งหลาย
               จากเหตุเดิมจึงทำให้ทุกคนตื่นด้วยปัญญา
               การรู้ความไม่รู้นั้นก็เหมือนดอกไม้ที่ว่างเปล่า
               สามารถเลี่ยงวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ และเหมือนคน อยู่ในความฝัน
               ตื่นแล้วย่อมไม่ได้ และผู้ตื่นแล้วย่อมได้เปรียบเสมือนความว่างเปล่า
               สติสัมปชัญญะมีความเสมอภาคและไม่เคลื่อนไหว แพร่กระจายไปทั่วทิศทั้ง 10
               ท่านจะบรรลุพระพุทธภาวะ และมายาทั้งปวงจะสูญสิ้นไป
               การบรรลุธรรมนั้นไม่ได้ประโยชน์อันใดเลย เพราะธรรมชาติเดิมแท้ของตนนั้นสมบูรณ์พร้อมแล้ว
               พระโพธิสัตว์สามารถพัฒนาพระโพธิจิตได้ที่นี่
               สรรพสัตว์ทั้งหลายในวันสุดท้ายควรปฏิบัติสิ่งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงทัศนคติที่ชั่วร้าย
               ในครั้งนั้น พระโลกนาถเจ้าทรงปรารถนาจะย้ำในอรรถนี้ จึงตรัสเป็นโศลกว่า....
      มัญชุศรีเธอพึงทราบเถิด         จากภูมิคือมูลเหตุนี้ไป
      ให้แทงตลอดซึ่งอวิชชา
      จึงสามารถระงับซึ่งวัฏฏะ         เมื่อตื่นคืนย่อมไม่อาจเข้าถึง
      มีความสมภาพไม่ผันแปร         จึงบรรลุซึ่งพุทธมรรค
      อันการสำเร็จมรรคจึงหาได้บรรลุถึงไม่         โพธิสัตว์ผู้ดำรง(ซึ่งธรรมนี้)
      บรรดาสรรพสัตว์ในอนาคต         อันพระตถาคตทั้งปวง
      ล้วนอาศัยโพธิปัญญาญาณ         ล่วงรู้ว่าดุจศูนยบุษปะ
      อีกประดุจบุคคลในความฝัน         ผู้รู้แจ้งนั้นเล่าก็ดุจอากาศ
      รู้แจ้งทั่วทศทิศโลกธาตุ         บรรดามายาดับโดยไร้สถาน
      เหตุที่มูลภาวะบริบูรณ์อยู่แต่เดิม         จึงสามารถบังเกิดโพธิจิต
               เมื่อประพฤติ(ธรรมนี้)ย่อมระงับซึ่งมิจฉาทัศนะแล
จบวรรคที่ ๑
  爾時世尊欲重宣此義,而說偈言:
  文殊汝當知,一切諸如來。
  從於本因地,皆以智慧覺。
  了達於無明,知彼如空華,
  即能免流轉,又如夢中人,
  醒時不可得,覺者如虛空。
  平等不動轉,覺遍十方界。
  即得成佛道,眾幻滅無處。
  成道亦無得,本性圓滿故。
  菩薩於此中,能發菩提心。
末世諸眾生,修此免邪見。
 จากนั้น พระโพธิสัตว์สมันตภัทรก็ลุกจากที่นั่งในฝูงชน โค้งคำนับพระบาทพระพุทธเจ้า เดินวนรอบพระพุทธเจ้า 3 รอบทางขวา คุกเข่าลง พระหัตถ์ประสานกัน แล้วกล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเมตตายิ่ง ข้าพระองค์ขอวิงวอนต่อพระโพธิสัตว์ในที่ประชุมนี้ และต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายในวันสุดท้ายที่ปฏิบัติธรรมมหายาน ว่าเมื่อได้ฟังพระธรรมอันบริสุทธิ์แห่งการตรัสรู้โดยสมบูรณ์นี้แล้ว ข้าพระองค์ควรปฏิบัติธรรมอย่างไร”
 ในเวลานั้น พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ก็ประทับร่วมอยู่ในมหาชน ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ กระทำศิราภิวาทเบื้องพระพุทธยุคล บาทด้วยเศียรเกล้า ประทักษิณาวัตรสามรอบ คุกเข่าประนมกรแล้วทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระมหากรุณาโลกนาถเจ้า เพื่อเหล่า โพธิสัตว์ในสภาแห่งนี้และสรรพสัตว์ในอนาคต ผู้บำเพ็ญซึ่งมหายานจริยา เมื่อได้ฟังสมบูรณโพธิวิสัยอันบริสุทธิ์นี้แล้ว พึงบำเพ็ญจริยา ด้วยประการเช่นไรหนอ
 "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า หากสรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ว่าสิ่งนี้เป็นเพียงมายา กายและใจของพวกมันก็เป็นมายาเช่นกัน จะใช้มายาเพื่อบำเพ็ญมายาได้อย่างไร? หากธรรมชาติมายาทั้งหมดดับสูญสิ้นไป ก็จะไม่มีจิต ใครเล่าจะบำเพ็ญมายา? แล้วจะยังพูดถึงการบำเพ็ญมายาได้อย่างไร? หากสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่บำเพ็ญมายา ดำรงอยู่ในมายาแห่งการเกิดและการตายอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่เคยเข้าใจแดนแห่งมายา พวกเขาจะปลดปล่อยจิตหลงผิดได้อย่างไร? ข้าพเจ้าขอเสนอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายในวาระสุดท้ายปฏิบัติธรรมอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อพวกเขาจะได้หลุดพ้นจากมายาทั้งปวงตลอดไป" เมื่อตรัสคำเหล่านี้แล้ว พระองค์ก็ทรงหมอบราบลงกับพื้น ตรัสคำนี้ซ้ำอีกสามครั้ง ซ้ำอีกครั้ง
 ข้าแต่พระโลกนาถ หากสรรพสัตว์นั้นได้รู้ว่าประดุจการมายา กายแลจิตก็เป็นมายา แล้วจะใช้มายากลับมาบำเพ็ญมายาด้วย ประการเช่นไร หากบรรดามายาภาวะคือสิ่งทั้งปวงดับสิ้นลง ย่อมปราศจากจิต แล้วใครเล่าเป็นผู้บำเพ็ญจริยา เช่นไรหนอจึงยังกล่าวว่า การบำเพ็ญจริยาก็เป็นดั่งมายา หากสรรพสัตว์ทั้งปวง ที่แต่เดิมไม่บำเพ็ญจริยา ท่ามกลางชาติแลมรณะนี้ก็ตั้งอยู่ในมายาเป็นนิจ ไม่ เคยล่วงรู้ว่าคือมายาวิสัย แล้วจะยังให้จิตที่ถูกสัญญาลวงหลอกอยู่ หลุดพ้นได้อย่างไรเล่า สรรพสัตว์ทั้งหลายในอนาคตจะค่อยๆ กระทำอุปายะในการประพฤติบำเพ็ญเป็นลำดับได้อย่างไร เพื่อยังให้สรรพสัตว์ได้ไกลห่างจากมายาทั้งปวงด้วยเถิดพระเจ้าข้า เมื่อทูล อย่างนี้แล้วจึงกระทำเบญจางคประดิษฐ์ อยู่อย่างนี้สามคำรบ
 ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ว่า “ดีแล้ว ดีแล้ว ท่านผู้เจริญ! ท่านสามารถบำเพ็ญสมาธิแห่งพระโพธิสัตว์ให้เป็นเหมือนมโนภาพแก่พระโพธิสัตว์และสรรพสัตว์ทั้งปวงในวาระสุดท้าย โดยใช้วิธีการอันสะดวกและค่อยเป็นค่อยไปทำให้สรรพสัตว์ทั้งปวงหลุดพ้นจากมโนภาพได้ บัดนี้จงฟังอย่างตั้งใจ เราจะอธิบายให้ท่านฟัง” พระสมันตภัทรโพธิสัตว์รับคำสั่งสอนด้วยความยินดี และฝูงชนต่างฟังอย่างเงียบงัน
 ในกาลบัดนั้น พระโลกนาถเจ้าตรัสกับพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ว่า สาธุๆ กุลบุตร พวกเธอสามารถยังให้บรรดาโพธิสัตว์ และ สรรพสัตว์ในอนาคต ประพฤติบำเพ็ญซึ่งโพธิสัตว์มายาสมาธิ ค่อยๆมีอุปายะสืบไปเป็นลำดับ ยังให้หมู่สรรพสัตว์ไกลจากมายาทั้งปวง เธอจงฟังให้ดีเถิด ตถาคตจะกล่าวแก่เธอ ครั้งนั้นพระสมันตภัทรโพธิสัตว์เมื่อรับสนองพระอนุศาสนีย์แล้วจึงโสมนัสยินดี อยู่พร้อม กับบรรดามหาชนที่ดุษณียภาพอยู่เพื่อคอยสดับพระเทศนา
    於是普賢菩薩在大眾中,即從座起,頂禮佛足,右繞三匝,長跪叉手而白佛言:大悲世尊,
   願為此會諸菩薩眾,及為末世一切眾生,修大乘者,聞此圓覺清淨境界,云何修行。
  世尊,若彼眾生知如幻者,身心亦幻,云何以幻還修於幻,若諸幻性一切盡滅,則無有心,
   誰為修行,云何復說修行如幻。若諸眾生,本不修行,於生死中常居幻化,曾不了知如幻境界,
   令妄想心云何解脫,願為末世一切眾生,作何方便漸次修習,令諸眾生永離諸幻。作是語已,五
   體投地,如是三請,終而復始。
  爾時世尊告普賢菩薩言:善哉善哉,善男子,汝等乃能為諸菩薩及末世眾生,修習菩薩如幻
   三昧,方便漸次,令諸眾生得離諸幻,汝今諦聽,當為汝說。時普賢菩薩奉教歡喜,及諸大眾默
   然而聽。
 ดูกรบุรุษผู้เจริญ สรรพสัตว์ทั้งหลายในมายาทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเกิดจากจิตอันบริสุทธิ์และน่าอัศจรรย์ของตถาคต ดุจดังดอกไม้ในอากาศที่บังเกิดจากความว่างเปล่า แม้มายาจะสูญสิ้นไป แต่ธรรมชาติของความว่างเปล่านั้นมิได้สูญสลายไป จิตมายาของสรรพสัตว์ทั้งหลายก็สูญสลายไปเพราะมายา เมื่อมายาทั้งปวงสูญสิ้นไป จิตที่ตื่นรู้ก็ยังคงไม่หวั่นไหว การกล่าวว่าการตื่นรู้โดยอาศัยมายานั้น เรียกว่ามายาเช่นกัน หากกล่าวว่ามีการตื่นรู้ ก็ยังไม่ละจากมายานั้น การกล่าวว่าไม่มีการตื่นรู้ก็เช่นเดียวกัน ฉะนั้น การสิ้นไปของมายาจึงเรียกว่าไม่หวั่นไหว
 ดูก่อนกุลบุตร สรรพสัตว์ทั้งหลาย และมายานานัปการ ล้วนเกิดแต่สมบูรณโพธิจิตของพระตถาคต อุปมาศูนยบุษปะ ที่เกิด แต่อากาศจึงมีขึ้น ก็มายาบุปผาแม้จะดับ แต่อากาศภาวะไม่เสื่อมสูญ มายาจิตของสรรพสัตว์ ก็ดับไปอย่างมายา มายาทั้งปวงแม้ดับ จนสิ้น จิตรู้แจ้งก็ไม่สั่นคลอน เมื่อใช้มายากล่าวแสดงความรู้แจ้ง ก็ชื่อว่ามายา หากกล่าวว่ามีการรู้แจ้ง ก็ยังไม่ไกลจากมายา (แม้นจะ) กล่าวว่าไม่รู้แจ้ง ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ เหตุนี้เมื่อมายาดับ จึงได้ชื่อว่า อจลา (ไม่สั่นคลอน)
 ท่านผู้เจริญ ในวันโลกาวินาศ โพธิสัตว์และสรรพสัตว์ทั้งปวง ควรหลีกห่างจากมายาภาพและสิ่งเท็จทั้งปวง เพราะท่านยึดมั่นในจิตแห่งความหลุดพ้น จิตที่เปรียบเสมือนมายาภาพจึงหลุดพ้นไปด้วย ความหลุดพ้นคือมายาภาพ ซึ่งก็หลุดพ้นเช่นกัน ความหลุดพ้นจากมายาภาพแห่งความหลุดพ้นก็หลุดพ้นเช่นกัน เมื่อไม่มีอะไรให้หลุดพ้น มายาภาพทั้งปวงก็ดับสูญ เปรียบเสมือนการเจาะไฟ ไม้สองท่อนจุดไฟเผากัน ไฟก็ดับลง ไม้ถูกเผา ขี้เถ้าก็ฟุ้งกระจาย ควันก็หายไป การใช้มายาภาพเพื่อบ่มเพาะมายาภาพก็เช่นเดียวกัน แม้มายาภาพทั้งปวงจะหลุดพ้นไป แต่ก็ไม่สูญสลายไป
 ดูก่อนกุลบุตร โพธิสัตว์และสรรพสัตว์ทั้งหลายในอนาคต พึงต้องห่างไกล" จากมายาวิสัยที่ลวงหลอกทั้งปวง (แต่)เหตุเพราะ ยึดมั่นในจิตที่ห่างไกลนั้นเป็นหนักหนา จิตที่เหมือนมายาก็ว่ายังห่างไกล ความห่างไกลจากมายาก็ยังห่างไกล ความห่างไกลจากความ ห่างของมายาก็ยังห่างไกล จึงยังไม่ได้ไกลห่างจากสิ่งใด ซึ่งก็คือการกำจัดมายาทั้งปวง อุปมาไฟที่เกิดจากการสีของไม้ทั้งสอง เมื่อไฟ ปรากฏไม้จึงสิ้น เมื่อเถ้าฟุ้งควันจึงสูญ การใช้มายาบำเพ็ญมายา ก็ดุจฉะนี้ แม้มายาทั้งปวงจะสิ้นแล้วแต่ยังไม่เข้าสู่สมุทเฉทนิโรธ
 ท่านผู้เจริญ การรู้แจ้งถึงมายาคือการหลุดพ้นจากมัน โดยไม่ต้องพึ่งวิธีอื่นใด การหลุดพ้นจากมายาคือความตรัสรู้ และไม่มีขั้นตอนใดค่อยเป็นค่อยไป พระโพธิสัตว์และสรรพสัตว์ทั้งปวงในวาระสุดท้ายควรปฏิบัติตามนี้ และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงจะสามารถหลุดพ้นจากมายาทั้งปวงได้ตลอดไป
               ดูก่อนกุลบุตร เมื่อรู้มายาจึงไกลห่าง(จากมายา) ไม่ต้องกระทำอุปายะใด เมื่อไกลมายาจึงรู้แจ้ง ทั้งไม่ต้องสืบไปเป็นลำดับ บรรดาโพธิสัตว์และสรรพสัตว์ทั้งหลายในอนาคต ด้วยอาศัยการบำเพ็ญจริยาอย่างนี้ จึงสามารถไกลจากปวงมายาตลอดไป ด้วย ประการฉะนี้
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาจะกล่าวความหมายนี้ จึงได้ตรัสพระคาถาต่อไปนี้:
         พระสมันตภัทร์ ท่านควรทราบไว้ว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย
         ความหลงและความไม่รู้ที่ไม่มีจุดเริ่มต้นล้วนมาจากพระตถาคตทั้งสิ้น
         การสร้างจิตให้ตื่นรู้สมบูรณ์แบบก็เปรียบเสมือนดอกไม้บนท้องฟ้า
         อาศัยความว่างจึงมีรูป แต่ดอกไม้ว่างก็จะหายไปอีก
         ความว่างเปล่าแต่เดิมนั้นนิ่งอยู่กับที่ ภาพลวงตาเกิดขึ้นจากการรับรู้ต่างๆ
         มายาดับไปและการตื่นรู้ก็สมบูรณ์ เพราะจิตที่ตื่นแล้วไม่หวั่นไหว
         หากพระโพธิสัตว์และสัตว์โลกทั้งหลายในสมัยสุดท้าย
         เราควรอยู่ห่างจากมายาคติและกำจัดมายาคติทั้งหมดออกไป
         เหมือนกับไฟที่เกิดจากไม้ เมื่อไม้หมดไฟก็จะดับไปด้วย
         การตื่นรู้ไม่มีขั้นตอนค่อยเป็นค่อยไป และสิ่งเดียวกันนี้ก็เป็นจริงกับความสะดวกสบายเช่นกัน
         ในครั้งนั้น พระโลกนาถเจ้าทรงปรารถนาจะย้ำในอรรถนี้ จึงตรัสเป็นโศลกว่า...
               *ห่างไกล หรือไกลจากกิเลส ในพระสูตรนี้ สันสกฤตว่า หรฺมิต
   善男子,一切眾生,種種幻化,皆生如來圓覺妙心,猶如空華,從空而有,幻華雖滅,空性 不壞,眾生幻心,還依幻滅,諸幻盡滅,覺心不動,依幻說覺,亦名為幻,若說有覺,猶未離 幻,說無覺者,亦復如是,是故幻滅,名為不動。
   善男子,一切菩薩,及末世眾生,應當遠離一切幻化虛妄境界,由堅執持遠離心故,心如幻
   者,亦復遠離,遠離為幻,亦復遠離,離遠離幻,亦復遠離,得無所離,即除諸幻,譬如鑽火,
   兩木相因,火出木盡,灰飛煙滅,以幻修幻,亦復如是,諸幻雖盡,不入斷滅。
   善男子,知幻即離不作方便,離幻即覺,亦無漸次,一切菩薩及末世眾生,依此修行,如是
   乃能永離諸幻,
爾時世尊欲重宣此義,而說偈言:
普賢汝當知,一切諸眾生。
無始幻無明,皆從諸如來。
圓覺心建立,猶如虛空華。
依空而有相,空華若復滅。
虛空本不動,幻從諸覺生。
幻滅覺圓滿,覺心不動故。
若彼諸菩薩,及末世眾生。
常應遠離幻,諸幻悉皆離。
如木中生火,木盡火還滅。
覺則無漸次,方便亦如是。
               สมันตภัทรเธอพึงทราบเถิด มายาแลอวิชชาอันหาจุดเริ่มไม่ได้ อันมีสมบูรณจิตตั้งขึ้น
               เพราะอาศัยความว่างจึงมีลักษณะ มูลเดิมของอากาศก็ไม่หวั่นไหว มายาดับโพธิยังสมบูรณ์
          หากโพธิสัตว์เหล่านั้น จะพึงไกลจากมายาอยู่เป็นนิจ
          ดุจไม้กำเนิดไฟ     ความรู้แจ้งไม่ต้องเป็นลำดับ
               อันสรรพสัตว์ทั้งปวง ล้วนเกิดแต่พระตถาคตทั้งปวง อุปมาศูนยบุษปะ
               บุปผาแห่งความว่างแม้ดับไปอีก มายากำเนิดจากความรู้แจ้งทั้งปวง เหตุเพราะจิตรู้แจ้ง มิสั่นคลอน
          และสรรพสัตว์ในอนาคต    ปวงมายาล้วนไกลห่าง
          เมื่อไม้สิ้นไฟย่อมดับ       อุปายะก็เป็นอย่างนี้แล.
จบวรรคที่ ๒
รูปภาพ ; พระสมันต เนตรโพธิสัตว์
 ครั้นแล้ว ท่ามกลางที่ประชุม พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ทรงลุกขึ้นจากอาสนะ กราบพระบาทพระพุทธเจ้า เวียนพระพักตร์ไปทางขวา ๓ รอบ ทรงคุกเข่าประนมพระหัตถ์ แล้วตรัสกับพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงกรุณาปรานียิ่ง ข้าพระองค์ขอแสดงธรรมแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่มาประชุม ณ ที่นี้ และแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายในวาระสุดท้าย ถึงขั้นตอนการปฏิบัติของพระโพธิสัตว์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ว่าควรพิจารณาอย่างไร ควรธำรงไว้อย่างไร สำหรับสรรพสัตว์ที่ยังไม่บรรลุธรรม มีวิธีใดที่จะช่วยให้บรรลุธรรมได้”
 ในเวลานั้น พระสมันตเนตร โพธิสัตว์ก็ประทับร่วมอยู่ในมหาชน ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ กระทำศิราภิวาทเบื้องพระพุทธยุคล บาทด้วยเศียรเกล้า ประทักษิณาวัตรสามรอบ คุกเข่าประนมกรแล้วทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระมหากรุณาโลกนาถเจ้า เพื่อเหล่า โพธิสัตว์ในสภาแห่งนี้และสรรพสัตว์ในอนาคต โปรดตรัสแสดงซึ่งการบำเพ็ญอันสืบไปเป็นลำดับของโพธิสัตว์ ว่าเช่นไรคือความตรึก คิด เช่นไรคือการทรงไว้ สรรพสัตว์ผู้ยังไม่รู้ตื่น จะกระทำด้วยอุปายะเช่นไรถึงจะยังให้รู้ตื่น
               *ตามศัพท์แปลว่า เจตนา, จินตา, มีมามุสา, อุปธยาน, มนิสุกร (cetanā, cintā, mīmāmsā, upadhyāna, maniskara)
   於是普眼菩薩在大眾中,即從座起,頂禮佛足,右繞三匝,長跪叉手而白佛言:大悲世尊,
   願為此會諸菩薩眾,及為末世一切眾生,演說菩薩修行漸次,云何思惟,云何住持,眾生未悟,
作何方便普令開悟,
   世尊 若彼眾生無正方便,及正思惟,聞佛如來說此三昧,心生迷悶,即於圓覺不能悟入,
   願與慈悲,為我等輩及末世眾生,假說方便。作是語已,五體投地,如是三請,終而復始。
 “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ถ้าสัตว์โลกทั้งหลายขาดวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องและความคิดที่ถูกต้อง เมื่อได้ฟังพระพุทธเจ้าทรงแสดงสมาธินี้แล้ว เกิดความงุนงง สับสน จนไม่อาจบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได้ ขอพระองค์โปรดแสดงความเมตตา และโปรดประทานวิธีปฏิบัติแก่เราและแก่สัตว์โลกทั้งปวงในภพก่อน” ครั้นตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงหมอบราบลงกับพื้น ตรัสซ้ำอีกสามครั้ง
 ข้าแต่พระโลกนาถ หากสรรพสัตว์เหล่านั้นปราศจากซึ่งอุปายะและการตรึกคิดที่ถูกต้อง เมื่อได้ฟังพระพุทธตถาคตเขาตรัส ถึงสมาธิประการนี้ ในจิตย่อมเกิดความฉงนสนเท่ห์ ไม่อาจเข้าสู่สมปูรณโพธิ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายและบรรดาสรรพสัตว์ในอนาคต ขอพระองค์โปรดเมตตากรุณา แกล้งตรัสแสดงซึ่งอุปายะด้วยเถิดพระเจ้าข้า ๑๑ เมื่อทูลอย่างนี้แล้วจึงกระทำเบญจางคประดิษฐ์ อยู่ อย่างนี้สามคำรบ
 ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ว่า “ดีแล้ว ดีแล้ว ท่านผู้เจริญ! ท่านจงทูลถามพระตถาคตถึงขั้นตอนการปฏิบัติ การปฏิบัติภาวนา และการธำรงรักษาอย่างค่อยเป็นค่อยไป และแม้แต่ถึงวิธีปฏิบัติต่าง ๆ สำหรับพระโพธิสัตว์และสรรพสัตว์ทั้งปวงในวาระสุดท้าย บัดนี้จงฟังอย่างตั้งใจ เราจะอธิบายให้ท่านฟัง” พระสมันตภัทรโพธิสัตว์มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับคำสั่งสอน และฝูงชนต่างฟังอย่างเงียบ ๆ
 ในกาลบัดนั้น พระโลกนาถเจ้าตรัสกับพระสมันต เนตรโพธิสัตว์ว่า สาธุๆ กุลบุตร พวกเธอสามารถปุจฉาถึงการบำเพ็ญ จริยาโดยลำดับของพระตถาคต การตรึกคิดและการทรงไว้ จนถึงการแกล้งกล่าวด้วยนานาอุปายะ เธอจงฟังให้ดีเถิด ตถาคตจะกล่าว แก่เธอ ครั้งนั้นพระสมันต เนตรโพธิสัตว์เมื่อรับสนองพระอนุศาสนีย์แล้วจึงโสมนัสยินดี อยู่พร้อมกับบรรดามหาชนที่ดุษณียภาพอยู่ เพื่อคอยสดับพระเทศนา
 ท่านผู้เจริญ เหล่าพระโพธิสัตว์และสรรพสัตว์ทั้งหลายในกาลก่อน ผู้ปรารถนาจะแสวงหาจิตที่บริสุทธิ์บริสุทธิ์และบริสุทธิ์ของตถาคต ควรมีสติสัมปชัญญะที่ถูกต้องและละเว้นจากมายาทั้งปวง พึงปฏิบัติตามสมถะของตถาคตเสียก่อน ยึดมั่นในศีล สงบอยู่กับสาวกทั้งหลาย นั่งในที่สงบ และตรึกตรองอยู่เสมอว่า กายของเรานี้เป็นการรวมตัวของธาตุทั้งสี่ ผม เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ไขกระดูก สมอง ดิน และสี ล้วนเป็นของดิน น้ำลาย เมือก หนอง เลือด น้ำลาย เสมหะ น้ำตา ธาตุ อุจจาระ และปัสสาวะ ล้วนเป็นของน้ำ ความอบอุ่นเป็นของไฟ และความเคลื่อนไหวเป็นของลม ธาตุทั้งสี่ได้แยกออกจากกัน กายปลอมของเราอยู่ที่ไหนเล่า? เมื่อนั้นเราจะรู้ว่ากายนี้ไม่มีรูปธรรมใดๆ เลย เป็นเพียงการรวมตัวของรูป ซึ่งแท้จริงแล้วเปรียบเสมือนมายา ปัจจัยทั้งสี่ถูกรวมเข้ากันอย่างผิดๆ จนเกิดเป็นอายตนะทั้งหก อายตนะทั้งหกและธาตุทั้งสี่รวมกันอยู่ภายในและภายนอกก่อให้เกิดพลังงานปรุงแต่งเทียมที่สะสมอยู่ตรงกลางดูเหมือนมีสภาพปรุงแต่ง เรียกผิดๆ ว่าจิต
 ดูก่อนกุลบุตร อันโพธิสัตว์ผู้เพิ่งศึกษาและสรรพสัตว์ในอนาคตนั้น เมื่อปรารถนาสมปูรณโพธิจิตที่บริสุทธิ์ของพระตถาคต แล้วไซร้ พึงมีสัมมาสติตั้งไว้ชอบ ห่างไกลจากมายาทั้งปวง ต้องดำเนินตามสมถจริยา ธำรงมั่นในศีลสังวร อาศัยในหมู่สัทธาวิหาริก แล้วนั่งพักในเรือนสงบ พึงมีมนสิการเป็นนิตย์อย่างนี้ว่า “อันกายเรานี้ มีมหาภูติรูปสี่ประกอบขึ้นมี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก สมองอันมีรูปลักษณะหยาบแข็ง ล้วนกลับสู่ปฐวีธาตุ อันว่าเขฬะ น้ำตา หนอง เลือด เสลด อันมีลักษณะเอิบ อาบ กรีส มูตร ล้วนกลับสู่อาโปธาตุ ความอุ่นร้อนกลับสู่เตโชธาตุ อาการผัดผันคือวาโยธาตุ มหาภูติรูปสี่ล้วนแยกจากกัน แล้วกาย อันลวงหลอกนี้ จะตั้งอยู่ที่แห่งใด จึงรู้ได้ว่ากายนี้ ที่สุดก็ไร้ซึ่งสังขาร แม้จะมีลักษณะที่รวมเข้าด้วยกัน แต่ที่แท้ก็ล้วนเป็นมายา ปัจจัย ทั้งสี่” แค่สมมุติว่ารวมกันขึ้น ลวงว่ามีอินทรีย์หก ก็อินทรีย์หก มหาภูติรูปสี่ ทั้งภายในและภายนอกเมื่อประกอบกันสำเร็จขึ้น จึงลวง ว่ามีปัจจัยประชุมกันอยู่” เพราะมีปัจจัยลักษณะอย่างนี้ จึงสมมุติชื่อว่า จิต
               ท่านผู้เจริญ จิตที่ผิดนี้ไม่อาจดำรงอยู่ได้หากปราศจากผงธุลีหก เมื่อธาตุทั้งสี่สลายไป ก็ไม่มีผงธุลีใดที่จะได้มา ผงธุลีที่ปรุงแต่งไว้ในนั้นก็จะสลายหายไป ท้ายที่สุดแล้ว จิตที่ปรุงแต่งก็ไม่มีให้เห็น
               ** ในประโยคนี้พระสมันตเนตร ทูลให้พระพุทธองค์แกล้งตรัส เพราะในวรรคที่ ๒ พระองค์ได้ตรัสกับพระสมันตภัทรถึงเรื่องมายาต่างๆ ไว้ว่าไม่ต้องใช้อุปายะใดๆ ในการรู้แจ้ง ดังนั้น ในวรรคที่ ๓ พระสมันตเนตรจึงทูลให้ตรัสถึงอุปายะอีก เพื่อประโยชน์ของสัตว์ผู้ไม่มีปัญญาและความเห็นถูก โดยใช้คำว่าแกล้งตรัส หรือแสร้งตรัสด้วยมายา, หรือใช้มายา มาแสดงมายา
               * คือมหาภูติรูปสี่ หรือธาตุสี่
  爾時,世尊告普眼菩薩言:善哉善哉,善男子,汝等乃能為諸菩薩及末世眾生,問於如來修
   行漸次,思惟住持,乃至假說種種方便,汝今諦聽,當為汝說。時普眼菩薩奉教歡喜,及諸大眾
   默然而聽。
  善男子,彼新學菩薩,及末世眾生,欲求如來淨圓覺心,應當正念遠離諸幻,先依如來奢摩 他行,堅持禁戒,安處徒眾,宴坐靜室,恒作是念,我今此身,四大和合,所謂髮毛爪齒,皮肉 筋骨,髓腦垢色,皆歸於地,唾涕膿血,津液涎沫,痰淚精氣,大小便利,皆歸於水,暖氣歸 火,動轉當風,四大各離,今者妄身,當在何處,即知此身,畢竟無體,和合為相,實同幻化, 四緣假合,妄有六根,六根四大,中外合成,妄有緣氣,於中積聚,似有緣相,假名為心。
  善男子,此虛妄心,若無六塵,則不能有,四大分解,無塵可得,於中緣塵,各歸散滅,畢
   竟無有緣心可見。
 ท่านผู้เจริญ เพราะกายมายาของสัตว์เหล่านั้นถูกทำลาย จิตมายาของพวกมันก็ถูกทำลายไปด้วย เพราะจิตมายาถูกทำลาย ผงมายาก็ถูกทำลายไปด้วย เพราะผงมายาถูกทำลาย การทำลายมายาก็ถูกทำลายไปด้วย เพราะการทำลายมายาถูกทำลายแล้ว มิใช่ว่ามายาจะทำลายไม่ได้ เหมือนกับการขัดกระจก เมื่อขจัดคราบสกปรกออกไป ความสว่างก็ปรากฏขึ้น
               ท่านผู้เจริญ ท่านพึงรู้เถิดว่ากายและใจล้วนเป็นมลทินมายา เมื่อมลทินนั้นถูกกำจัดออกไปตลอดกาล ทิศทั้งสิบก็จะบริสุทธิ์
               ท่านผู้เจริญ เปรียบเสมือนมณีบริสุทธิ์ที่สะท้อนเป็นห้าสี ปรากฏในทิศต่างๆ กัน คนโง่เขลาเห็นว่ามณีมีห้าสี
               ดูก่อนกุลบุตร อันมุสาจิตนี้แล หากปราศจากสฬายตนะแล้วไซร้ ย่อมไม่อาจเกิดมีขึ้น ก็เมื่อจำแนกมหาภูติ สี่ จึง ปราศจากสฬายตนะให้เข้าถึง อันปัจจัยแห่งสฬายตนะนั่นต่างก็จะย้อนกลับ(สู่ที่มา)แล้วแตกดับไป จนถึงที่สุดก็ปราศจากซึ่งปัจจัยแห่ง จิตให้พบเห็นอีก
 ดูก่อนกุลบุตร เพราะเหตุที่กายนั้นอันเป็นมายาของสรรพสัตว์ดับลง มายาจิตจึงดับลงด้วย เพราะเหตุที่จิตอันเป็นมายาดับลง มายาสฬายตนะจึงดับด้วย เพราะเหตุที่สฬายตนะอันเป็นมายาดับ ความดับของมายาจึงดับลงด้วย เพราะเหตุที่ความดับของมายาดับ สิ้นลง สิ่งอันไม่ใช่มายาจึงไม่ได้ดับไปด้วย อุปมาการขัดถูกระจก เมื่อสิ้นมลทินความใสจึงปรากฏ
               ดูก่อนกุลบุตร พึงทราบเถิดว่ากายแลจิต ล้วนแปดเปื้อนด้วยมายา ก็แลเมื่อมลทินลักษณะดับสิ้นเป็นนิตย์ ทศทิศจึงบริสุทธิ์
               ดูก่อนกุลบุตร อุปมาแก้วมณีบริสุทธิ์ ที่ประกายแสงเบญจรงค์ปรากฏในด้านต่างๆ บรรดาโมหบุรุษ ย่อมจะทัศนาแก้วมณีนั้นว่า มีห้าสีอย่างแท้จริง
 ท่านผู้เจริญ ธรรมอันบริสุทธิ์แห่งการตรัสรู้โดยสมบูรณ์นั้นปรากฏชัดในกายและใจ และตอบสนองแต่ละอย่างตามชนิดของมัน คนโง่เขลาเหล่านั้นกล่าวว่าการตรัสรู้โดยสมบูรณ์อันบริสุทธิ์นั้นมีกายและใจเช่นนี้ ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงอยู่ห่างไกลจากความหลงผิด ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่ากายและใจเป็นของมายาและสกปรก เมื่อบุคคลใดหลุดพ้นจากความมัวเมาอันมัวเมาแล้ว บุคคลนั้นจึงถูกเรียกว่าโพธิสัตว์ เมื่อความมัวเมาถูกกำจัดออกไปอย่างสิ้นเชิง ก็จะไม่มีความมัวเมาและไม่มีนาม
 ดูก่อนกุลบุตร อันวิศุทธิสมปูรณโพธิภาวะ(ภาวะรู้แจ้งสูงสุดที่สมบูรณ์และบริสุทธิ์อย่างแท้จริง) ย่อมปรากฏที่กายแลจิต ตามแต่ประเภทที่เหมาะควร ก็โมหะบุรุษนั้น แม้นจะกล่าวซึ่งวิศุทธิสมบูรณโพธิก็ตาม แต่โดยแท้แล้วก็ยังมีลักษณะแห่งกายและจิตของ ตนอยู่อย่างนี้ ก็อย่างนี้แล เป็นเหตุให้ไม่อาจไกลจากสิ่งมายา ด้วยเหตุนี้ตถาคตจึงกล่าวว่ากายและจิตเป็นมลทินแห่งมายา เมื่อไกล จากความแปดเปื้อนของมายาแล้วไซร้ จึงได้ชื่อว่า โพธิสัตว์ เมื่อมลทินสิ้นและสิ่งอันกระทบถูกกำจัดแล้ว ย่อมปราศจากสิ่งใดที่จะ แปดเปื้อนอีกและไร้ซึ่งผู้กล่าวและผู้ที่ได้ชื่อ(ว่าโพธิสัตว์)นั้นด้วย
 ดูกรบุรุษผู้เจริญ พระโพธิสัตว์นี้และสัตว์โลกทั้งปวงในกาลก่อน เมื่อได้บรรลุถึงความดับสูญแห่งรูปมายาทั้งปวงแล้ว จึงบรรลุถึงความบริสุทธิ์อันไร้ขอบเขต อันเกิดจากความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต ด้วยปัญญาอันบริสุทธิ์ผ่องใส จิตจึงบริสุทธิ์ เพราะจิตบริสุทธิ์ รูปธรรมก็บริสุทธิ์ เพราะรูปธรรมก็บริสุทธิ์ รากตาก็บริสุทธิ์ เพราะรากตาก็บริสุทธิ์ วิญญาณตาก็บริสุทธิ์ เพราะวิญญาณบริสุทธิ์ โสตสัมผัสก็บริสุทธิ์ เพราะการได้ยินก็บริสุทธิ์ รากหูก็บริสุทธิ์ เพราะรากหูก็บริสุทธิ์ เพราะวิญญาณบริสุทธิ์ ไปจนถึงจมูก ลิ้น กาย และใจ
               ดูก่อนกุลบุตร โพธิสัตว์และสรรพสัตว์ในอนาคตกาลนี้ ด้วยเหตุที่บรรลุถึงความดับแห่งมายาและรูปนิมิต(เครื่องหมาย)ที่ ปรากฏทั้งปวง ในเวลานั้นจะได้บรรลุถึงความบริสุทธิ์ไม่มีประมาณ รู้แจ้งชัดทั่วไปในอนันตอากาศ ด้วยเหตุที่มีปัญญารู้แจ้งรอบทั่ว อย่างนี้ ดวงจิตจึงแจ่มใสบริสุทธิ์ เมื่อดวงจิตบริสุทธิ์เป็นเหตุ
               อายตนะที่ใช้มองเห็นจึงบริสุทธิ์ เหตุที่การมองบริสุทธิ์ จักษุอินทรีย์จึงบริสุทธิ์ เหตุที่อินทรีย์บริสุทธิ์ จักษุวิญญาณจึงบริสุทธิ์ เมื่อความรู้ทางตา บริสุทธิ์ เป็นเหตุ
  善男子,彼之眾生幻身滅故,幻心亦滅,幻心滅故,幻塵亦滅,幻塵滅故,幻滅亦滅,幻滅
   滅故,非幻不滅,譬如磨鏡,垢盡明現。
  善男子,當知身心,皆為幻垢,垢相永滅,十方清淨。
  善男子,譬如清淨摩尼寶珠,映於五色,隨方各現,諸愚癡者,見彼摩尼,實有五色。
  善男子,圓覺淨性,現於身心,隨類各應,彼愚癡者,說淨圓覺,實有如是身心自相,亦復
   如是,由此不能遠於幻化,是故我說身心幻垢,對離幻垢,說名菩薩,垢盡對除,即無對垢及說
   名者。
  善男子,此菩薩及末世眾生,證得諸幻滅影像故,爾時便得無方清淨,無邊虛空覺所顯發,
   覺圓明故,顯心清淨,心清淨故,見塵清淨,見清淨故,眼根清淨,根清淨故,眼識清淨,識清
   淨故,聞塵清淨,聞清淨故,耳根清淨,根清淨故,耳識清淨,識清淨故,覺塵清淨,如是乃至
   鼻舌身意,亦復如是。

อายตนะที่ใช้ฟังจึงบริสุทธิ์ เหตุที่การฟังบริสุทธิ์ โสตอินทรีย์จึงบริสุทธิ์ เหตุที่อินทรีย์บริสุทธิ์ โสตวิญญาณจึงบริสุทธิ์ เมื่อความรู้ทางหูบริสุทธิ์เป็นเหตุ" อายตนะคือความรู้แจ้งจึงบริสุทธิ์ อย่างนี้เรื่อยไปจนถึงอายตนะคือจมูก ลิ้น กายและใจ ก็เป็นฉะนี้แล
               ท่านผู้เจริญ เพราะรากมีความบริสุทธิ์ รูปธรรมก็มีความบริสุทธิ์ รูปธรรมก็มีความบริสุทธิ์ หูก็มีความบริสุทธิ์ กลิ่นก็มีความบริสุทธิ์ รสก็มีความบริสุทธิ์ สัมผัสก็มีความบริสุทธิ์เช่นกัน
               ท่านผู้เจริญ เพราะผงธุลีทั้งหกบริสุทธิ์ ธาตุดินก็บริสุทธิ์ เพราะธาตุดินบริสุทธิ์ ธาตุน้ำก็บริสุทธิ์ ธาตุไฟและธาตุลมก็เช่นกัน
               ท่านผู้เจริญ เพราะธาตุทั้งสี่บริสุทธิ์ สิบสองภพ สิบแปดภูมิ และยี่สิบห้าภพ จึงบริสุทธิ์ เพราะความบริสุทธิ์เหล่านี้ กำลังสิบประการ ความไม่หวั่นไหวสี่ประการ ปัญญาอันบริสุทธิ์สี่ประการ ธรรมอันเฉพาะของพระพุทธเจ้าสิบแปดประการ และพระผู้ส่งเสริมการตรัสรู้สามสิบเจ็ดประการ จึงบริสุทธิ์ เช่นนี้ ทุกสิ่งจึงบริสุทธิ์จนถึงแปดหมื่นสี่พันธารณี
               ดูก่อนกุลบุตร เมื่ออินทรีย์(คือตา)บริสุทธิ์เป็นเหตุ รูปายตนะจึงบริสุทธิ์ เมื่อรูปบริสุทธิ์เป็นเหตุ สัททายตนะจึงบริสุทธิ์ อัน กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ์ ก็เป็นฉะนี้
               ดูก่อนกุลบุตร ด้วยเหตุที่สฬายตนะบริสุทธิ์ ปฐวีธาตุจึงบริสุทธิ์ เหตุที่ปฐวีธาตุบริสุทธิ์ อาโปธาตุจึงบริสุทธิ์ อันเตโชธาตุและ วาโยธาตุ ก็เป็นฉะนี้
 ดูก่อนกุลบุตร เมื่อมหาภูติรูปสี่บริสุทธิ์เป็นเหตุให้ อายตนะสิบสอง ธาตุสิบแปด ๔ ภพยี่สิบห้าบริสุทธิ์ เพราะเหตุที่สิ่ง เหล่านั้นบริสุทธิ์ ทศพละ เวสารัชชะสี่ อนาวรณญาณสี่ อาเวณิกพุทธธรรมสิบแปด โพธิปักขิยธรรมสามสิบเจ็ดประการ จึง บริสุทธิ์ อย่างนี้ไปจนถึงธารณีทวารทั้งแปดหมื่นสี่พัน ก็ล้วนแต่บริสุทธิ์ทั้งสิ้น
 *ธรรม ๓ ประการของสฬายตนะ(อายตนะ ๖) ที่ว่าคือ อินทรีย์ วิสัย วิญญาณ ความหมายคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คืออินทรีย์ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้โผฏฐัพพะ ได้ธรรมารมณ์ คือวิสัย จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ คือวิญญาณ กล่าวอีกแบบหนึ่งคือ เพราะด้วยอาศัย ตา ด้วย รูป ทั้งหลายด้วย จึงเกิดจักขุวิญญาณ การประจวบแห่งธรรม ๓ ประการ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ) นั้นคือ ผัสสะ และหากเกิดความรู้สึกขึ้นเมื่อตาเห็นรูป เรียกว่า เวทนา
               *อายตนะ ๑๒ หรือ ทวาทศยตนานิ คือ อายตนะภายในและภายนอก มี ตาและรูป หูและเสียง จมูกและกลิ่น ลิ้นและรส กายและสัมผัส ใจและธรรมารมณ์
 *ธาตุ ๑๘ คือ อษฎาทศ ธาตว: คือสิ่งที่ทรงสภาวะของตนเองอยู่ ตามที่เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เป็นไปตามนิยามคือกำหนดแห่งธรรมดา ไม่มีผู้สร้างผู้บันดาล และมีรูปลักษณะ กิจอาการเป็นแบบจำเพาะตัว อันพึงกำหนดเอาเป็นหลักได้แต่ละอย่าง ๆ มี ๑. จักษุธาตุ ๒.รูปธาตุ ๓. จักขุวิญญาณธาตุ ๔. โสตธาตุ ๕.สัท ทธาตุ ๖. โสตวิญญาณธาตุ ๗.ฆานธาตุ ๘. คันธธาตุ ๙. ฆานวิญญาณธาตุ ๑๐.ชิวหาธาตุ ๑๑.รสธาตุ ๑๒.ชิวหาวิญญาณธาตุ ๑๓.กายธาตุ ๑๔.โผฏฐิพพธาตุ ๑๕. กายวิญญาณธาตุ ๑๖.มโนธาตุ ๑๗.ธรรมธาตุ ๑๔.มโน วิญญาณธาตุ
               ** การแบ่งภพ ๓ เป็นภพย่อยๆ คือ ๑)กามภพ มี ๑๔ ภพย่อย คืออบายภูมิ ๔ ทวีป ๔ กามวจรเทวภูมิ ๖ ๒) รูปภพมี ๗ ภพ คือจตุถฌานพรหมทั้ง ๔ มหาพรหมภพ ๑ สุทธาวาสภูมิ ๑ และอวิหาภูมิ ๑ ๓) อรูปภพ มี ๔ ภพ คืออรูปพรหมทั้ง ๔ รวมเป็นภพย่อย ๒๕ ภพ
 *๑๗ กำลังของพระพุทธเจ้า ๑๐ ประการ มี ๑)ฐานาฐานญาณพละ ปรีชากำหนดรู้ฐานะและไม่ใช่ฐานะ ๒) กรรมวิปากญาณพละ ปรีชากำหนดรู้ผลแห่งกรรม ๓) นานาธิมุตติญารพ ละ ปรีชากำหนดรู้อัธยาศัยต่างๆของสัตว์ทั้งหลาย ๔)นานาธาตุญาณพละ ปรีชากำหนดรู้ธาตุต่างๆ ๕)อินทริยปโรปริยัตตญาณพละ ปรีชากำหนดรู้ความหย่อนและยิ่งแห่งอินทรีย์ ๕ ของสรรพสัตว์ ๖) สัพพัตถคาไม่นีปฏิปทาญาณพละ ปรีชากำหนดรู้ทางไปสู่ภูมิทั้งปวงของสรรพสัตว์ ๗) ฌานาทิสังกิเลสาญาณพละ ปรีชากำหนดรู้อาการมีความเศร้าหมอง แห่งธรรมมีฌานเป็นต้น ๘) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณพละ ปรีชากำหนดรู้ระลึกชาติหนหลังได้ ๙)จุตูปปาตญาณพละ ปรีชากำหนดรู้การจุติและการเกิดของสรรพสัตว์ ๑๐)อาส วักขยญาณพละ ปรีชากำหนดรู้ในการทำอาสวะให้สิ้นไป
               *๑๘ คือพระปรีชาญาณอันทำให้พระพุทธเจ้าทรงมีความแกล้วกล้าไม่ครั่นคร้าม ด้วยไม่ทรงเห็นว่าจะมีใครท้วงพระองค์ได้โดยชอบธรรมในฐานะทั้ง ๔ มี ๑) ประกาศความเป็นพระ สัมมาสัมพุทธะ ๒) ประกาศธรรมที่ทำให้สิ้นอาสวะ ๓) ประกาศธรรมที่เป็นอันตราย ๔) ประกาศธรรมที่เป็นประโยชน์ในการหลุดพ้นจากทุกข์
               ** ปรีชาหยั่งรู้ไม่มีอะไรกีดกั้นกำบัง, รู้ทะลุปรุโปร่ง
 * คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี อรรถกถาแห่งทีฆนิกาย จำแนกพุทธธรรมว่ามี ๑๘ อย่าง คือ ๑. พระตถาคตไม่ทรงมีกายทุจริต ๒. ไม่ทรงมีวจีทุจริต ๓. ไม่ทรงมีมโนทุจริต ๔.ทรงมี พระญาณไม่ติดขัดในอดีต ๕.ทรงมีพระญาณไม่ติดขัดในอนาคต ๖.ทรงมีพระญาณไม่ติดขัดในปัจจุบัน ๗.ทรงมีกายกรรมทุกอย่างเป็นไปตามพระญาณ ๘.ทรงมีวจีกรรมทุก อย่างเป็นไปตามพระญาณ ๙. ทรงมีมโนกรรมทุกอย่างเป็นไปตามพระญาณ ๑๐. ไม่มีความเสื่อมฉันทะ (ฉันทะไม่ลดถอย) ๑๑. ไม่มีความเสื่อมวิริยะ (ความเพียรไม่ลดถอย) ๑๒. ไม่มีความเสื่อมสติ (สติไม่ลดถอย) ๑๓. ไม่มีการเล่น ๑๔. ไม่มีการพูดพลาด ๑๕. ไม่มีการทำพลาด ๑๖. ไม่มีความผลุนผลัน ๑๗. ไม่มีพระทัยที่ไม่ขวนขวาย ๑๘. ไม่มีอกุศล จิต
  善男子,根清淨故,色塵清淨,色清淨故,聲塵清淨,香味觸法,亦復如是。
  善男子,六塵清淨故,地大清淨,地清淨故,水大清淨,火大風大,亦復如是。
  善男子,四大清淨故,十二處十八界,二十五有清淨,彼清淨故,十力,四無所畏,四無礙
   智,佛十八不共法,三十七助道品清淨,如是乃至八萬四千陀羅尼門,一切清淨。
 ท่านผู้เจริญ เพราะธรรมชาติแห่งสัจธรรมทั้งปวงบริสุทธิ์ กายเดียวจึงบริสุทธิ์ เพราะกายเดียวบริสุทธิ์ กายหลายกายจึงบริสุทธิ์ เพราะกายหลายกายบริสุทธิ์ เช่นนี้ สรรพสัตว์ทั้งสิบทิศจึงบรรลุธรรมและบริสุทธิ์โดยสมบูรณ์
 ท่านผู้เจริญ เพราะโลกหนึ่งบริสุทธิ์ โลกหลายใบก็บริสุทธิ์ เพราะโลกหลายใบบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้จึงดำเนินต่อไปจนถึงที่สุดแห่งความว่างเปล่า ครอบคลุมช่วงเวลาทั้งสามอย่างครบถ้วน และทุกสิ่งล้วนเท่าเทียมกัน บริสุทธิ์ และไม่เคลื่อนไหว
 ท่านผู้เจริญ อวกาศนั้นเท่ากันและไม่เคลื่อนไหว ท่านจึงควรรู้ว่าจิตสำนึกนั้นเท่ากันและไม่เคลื่อนไหว เพราะธาตุทั้งสี่นั้นไม่เคลื่อนไหว ท่านจึงควรรู้ว่าจิตสำนึกนั้นเท่ากันและไม่เคลื่อนไหว ด้วยวิธีนี้ แม้แต่ประตูธารณีแปดหมื่นสี่พันแห่งก็เท่ากันและไม่เคลื่อนไหว ท่านจึงควรรู้ว่าจิตสำนึกนั้นเท่ากันและไม่เคลื่อนไหว
 ดูก่อนกุลบุตร เพราะเหตุที่ภาวะลักษณะแห่งความเป็นจริงทั้งปวงบริสุทธิ์ เอกกายจึงบริสุทธิ์ เพราะเหตุที่กายเดียวบริสุทธิ์ พหุ กายจึงบริสุทธิ์ เพราะเหตุที่หลายกายบริสุทธิ์ อย่างนี้ต่อไปจนถึงสมปูรณโพธิของสรรพสัตว์ในทศทิศที่บริสุทธิ์ไปด้วย
 ดูก่อนกุลบุตร เพราะเหตุที่เอกโลกธาตุบริสุทธิ์ พหุโลกธาตุจึงบริสุทธิ์ ก็เหตุที่พหุโลกธาตุบริสุทธิ์ อย่างนี้เรื่อยไปสิ้นทั้งอากาศ ตลอดทั่วตรีกาล สรรพสิ่งทั้งปวงจึงเสมอกัน บริสุทธิ์ ไม่สั่นคลอน (สมตา, วิศุทธิ, อจลา)
 ดูก่อนกุลบุตร อากาศมีความเสมอกันและไม่สั่นคลอนอยู่อย่างนี้ พึงทราบเถิดว่า โพธิภาวะก็มีความเสมอกันและไม่สั่นคลอน ด้วย เพราะเหตุที่มหาภูติ รูปสี่นั้นก็ไม่สั่นคลอน พึงทราบเถิดว่า โพธิภาวะก็มีความเสมอกันและไม่สั่นคลอนเช่นกัน อย่างนี้ไปจนถึง ธารณีทวารจำนวนแปดหมื่นสี่พันที่มีความเสมอกันและไม่สั่นคลอน พึงทราบเถิดว่า โพธิภาวะก็มีความเสมอกันและไม่สั่นคลอน
 ท่านผู้เจริญ เพราะธรรมชาติแห่งสติสัมปชัญญะนั้นสมบูรณ์ บริสุทธิ์ ไม่หวั่นไหว ไร้ขอบเขต ท่านจึงควรทราบว่าอายตนะทั้งหกแผ่กระจายไปทั่วธรรมะ เพราะอายตนะแผ่กระจายไปทั่วธรรมะ ท่านจึงควรทราบว่าอายตนะทั้งหกแผ่กระจายไปทั่วธรรมะ เพราะอายตนะแผ่กระจายไปทั่วธรรมะ ท่านจึงควรทราบว่าธาตุทั้งสี่แผ่กระจายไปทั่วธรรมะ ในทำนองเดียวกัน แม้แต่ประตูสู่มนตราก็แผ่กระจายไปทั่วธรรมะเช่นกัน
 ท่านผู้เจริญ เพราะจิตสำนึกอันวิเศษนั้นแผ่กระจายไปทั่ว แก่นแท้ของรากและแก่นแท้ของสรรพสิ่งจึงมิได้เสียหายและไม่ปะปนกัน เพราะรากและสรรพสิ่งมิได้เสียหาย แม้แต่ประตูสู่มนตราก็มิได้เสียหายและไม่ปะปนกัน เฉกเช่นแสงจากตะเกียงนับแสนดวงที่ส่องสว่างในห้อง แสงสว่างของตะเกียงเหล่านั้นจึงแผ่กระจายไปทั่ว มิได้เสียหายและไม่ปะปนกัน
 ดูก่อนกุลบุตร เพราะเหตุที่โพธิภาวะนั้นบริบูรณ์ วิศุทธิ(บริสุทธิ์) อจลา(ไม่สั่นคลอน)อยู่โดยรอบไร้ขอบเขต เช่นนั้นพึงทราบเถิด ว่า อินทรีย์ทั้งหกก็มีทั่วพร้อมอยู่ในธรรมธาตุ เพราะเหตุที่อินทรีย์มีอยู่ทั่วพร้อม เธอพึงทราบเถิดว่าสฬายตนะก็มีทั่วพร้อมอยู่ในธรรม ธาตุ เพราะเหตุที่สฬายตนะมีอยู่ทั่วพร้อม ก็จงทราบเถิดว่ามหาภูติสี่ก็มีทั่วพร้อมอยู่ในธรรมธาตุ อย่างนี้เรื่อยไปจนถึงธารณีทวาร (ธรรมขันธ์)ที่มีอยู่ทั่วไปในธรรมธาตุ
 ดูก่อนกุลบุตร เพราะเหตุที่โพธิภาวะอันประเสริฐนั้นมีทั่วพร้อมอยู่ ภาวะแห่งอินทรีย์ ภาวะแห่งสฬายตนะจึงไม่เสื่อมสลายและ ไม่แปดเปื้อน ก็เพราะด้วยอินทรีย์และสฬายตนะไม่เสื่อมเป็นเหตุ อย่างนี้เรื่อยไปจนถึงธารณีทวารที่ไม่เสื่อมสลายและไม่แปดเปื้อน ประดุจโอภาสแห่งประทีปร้อยพัน(คือหนึ่งแสน)ดวงที่สว่างอยู่ในห้องเดียว ก็อันรัศมีนั้นแลจะสว่างอยู่ทั่วไปไม่เสื่อมสลายและไม่แปด เปื้อน
 ท่านผู้เจริญ เพราะการบรรลุธรรมแล้ว ท่านพึงทราบว่าพระโพธิสัตว์มิได้ผูกพันด้วยธรรมะ และมิได้แสวงหาการหลุดพ้นจากธรรมะ พระองค์ไม่เหยียดหยามการเกิดและการตาย และไม่ปรารถนานิพพาน พระองค์ไม่เคารพศีล และไม่เกลียดชังการผิดศีล พระองค์ไม่เห็นคุณค่าของการบำเพ็ญเพียร และไม่ดูหมิ่นผู้เริ่มปฏิบัติ เพราะเหตุใด? เพราะพระองค์ทรงรู้แจ้งชัด เช่นเดียวกับที่แสงแห่งดวงตาเข้าใจปัจจุบันขณะ แสงแห่งดวงตาจึงบริสุทธิ์ ปราศจากความเกลียดชังและความยึดติด เพราะเหตุใด? เพราะแสงนั้นเองเป็นหนึ่งเดียวกัน ปราศจากความเกลียดชังและความยึดติด
 ** โพธิปักขิยธรรม คือ ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ หมายถึงธรรมที่ทำให้ปุถุชนหลุดพ้นจากกิเลสเป็นพระอริยบุคคล เป็นธรรมหมู่ซึ่งเป็นปัจจัยเกี่ยวเนื่องแก่กัน มี ๓๗ ประการ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ ซึ่งทั้งหมดเป็นธรรมแก่นสารของพุทธศาสนา เรียกอีกอย่างว่า อริยัปปเวทิต ธรรม คือ ธรรมที่พระอริยะ คือพระชินพุทธะทรงประกาศสั่งสอนไว้แล้ว
               * หมายถึงพระธรรม ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์
               * สมตา คือ ความเสมอเท่าเทียมกัน ไม่สูงหรือต่ำกว่ากัน ไม่ดีหรือชั่วกว่ากัน และอจลา คือ ความไม่หวั่นคลอน หวั่นไหว คงสภาวะเดิมอยู่เป็นนิตย์
  善男子,一切實相性清淨故,一身清淨,一身清淨故,多身清淨,多身清淨故,如是乃至十
   方眾生圓覺清淨。
   善男子,一世界清淨故,多世界清淨,多世界清淨故,如是乃至盡於虛空,圓裹三世,一 切平等清淨不動。
  善男子,虛空如是平等不動,當知覺性平等不動,四大不動故,當知覺性平等不動,如是乃
   至八萬四千陀羅尼門平等不動,當知覺性平等不動。
  善男子,覺性圓滿清淨不動圓無際故,當知六根遍滿法界,根遍滿故,當知六塵遍滿法界。
   塵遍滿故,當知四大遍滿法界,如是乃至陀羅尼門遍滿法界。
   善男子,由彼妙覺性遍滿故,根性塵性無壞無雜,根塵無壞故,如是乃至陀羅尼門無壞無 雜,如百千燈光照一室,其光遍滿無壞無雜。
  善男子,覺成就故,當知菩薩不與法縛,不求法脫,不厭生死,不愛涅槃,不敬持戒,不憎
   毀禁,不重久習,不輕初學。何以故,一切覺故,譬如眼光曉了前境,其光圓滿,得無憎愛。何
   以故,光體無二,無憎愛故。
 ดูก่อนกุลบุตร เพราะเหตุที่สำเร็จซึ่งโพธิ(ความรู้แจ้ง) พึงทราบเถิดว่าโพธิสัตว์ไม่ข้องด้วยธรรมพันธะ (คือไม่ถูกผูกมัดไว้ด้วย ธรรม) แลไม่ปรารถนาหลุดพ้นจากธรรม ไม่เบื่อหน่ายสังสารวัฏ ไม่รักใคร่พระนิพพาน ไม่สำรวมศีลสมาทาน ไม่รังเกียจการละเมิด พรต ไม่คารวะผู้ศึกษามานาน ไม่ดูเบาผู้เริ่มศึกษา ด้วยเหตุไฉนนั่นฤๅ เพราะความรู้แจ้งทั้งปวงนั้น อุปมาทัศนะ บถที่ประจักษ์ชัดเจนยัง วิสัยเบื้องหน้า อันปรากฏอย่างแจ่มชัดสมบูรณ์ บรรลุถึงความไม่รังเกียจแลชอบใจ ด้วยเหตุไฉนนั่นฤา เพราะภาพสังขารที่ปรากฏนั้น ไม่เป็นสอง ปราศจากซึ่งความเกลียดและความชอบใจ
 ท่านผู้เจริญ โพธิสัตว์และสัตว์โลกทั้งหลายในกาลก่อน ผู้ซึ่งบำเพ็ญจิตนี้จนบรรลุผลสำเร็จแล้วนั้น ไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญจิตนี้หรือบรรลุผลสำเร็จใดๆ เลย ปัญญาอันสมบูรณ์ส่องประกายอยู่ทุกหนทุกแห่ง นิพพานกับนิพพานไม่มีความแตกต่างกัน ภายในนั้น เหล่าอสังข์เยในโลกพุทธะนับแสนล้าน มากมายเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา เปรียบเสมือนดอกไม้บนท้องฟ้า เกิดขึ้นและดับไปอย่างไม่แน่นอน ไม่มาไม่ไป ปราศจากพันธนาการหรือความหลุดพ้น เมื่อนั้นท่านจึงจะตระหนักว่าสัตว์โลกทั้งหลายได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว และการเกิด ตาย และนิพพานก็เหมือนความฝันของเมื่อวาน
 ดูก่อนกุลบุตร โพธิสัตว์และสรรพสัตว์ในอนาคตนี้ ผู้บรรลุสำเร็จด้วยการประพฤติบำเพ็ญซึ่งจิตประการนี้ ด้วยการที่ไม่ได้ บำเพ็ญจึงไม่ได้สำเร็จนี้ ได้รู้แจ้งชัดรอบทั่วอยู่ มีความดับสนิทไม่เป็นสอง ในพุทธเกษตรโลกธาตุจำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิอสงไขยอัน ไม่อาจกล่าวประมาณ(อุปมา)ทรายแห่งคงคานที ก็อุปมาดั่งศูนยบุษปะ ที่เกิดขึ้นด้วยความผันผวนและดับไปด้วยความผันผวน อัน ไม่ใช่ที่นี้และไม่ใช่ห่างไกล ไม่ถูกพันผูกและไม่หลุดพ้น จึงทราบว่าแต่เดิมนั้นสรรพสัตว์ได้บรรลุพุทธะมาแล้ว อันสังสารวัฏและพระ นิพพานนั้นเล่า ก็อุปมาด้วยความฝัน
 ท่านผู้เจริญ เมื่อวานนี้เป็นเพียงความฝัน ท่านพึงทราบว่า การเกิด การตาย และนิพพาน ไม่มีการเกิดขึ้น ไม่มีการดับ ไม่มีการมาและการไป สิ่งที่บรรลุแล้วไม่มีผล ไม่มีขาดทุน ไม่มีการยึดติด ไม่มีการสละ ผู้ที่บรรลุแล้วไม่มีการกระทำ ไม่มีการหยุด ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีการดับสูญ ในการบรรลุนี้ ไม่มีใครที่ทำได้ และไม่มีสถานที่ ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ต้องบรรลุ และไม่มีใครที่บรรลุแล้ว ธรรมชาติของธรรมทั้งปวงนั้นเท่าเทียมกันและไม่อาจทำลายได้
 ท่านผู้เจริญ เหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ปฏิบัติอย่างนี้ ค่อยเป็นค่อยไป พิจารณาอย่างนี้ ดำรงอย่างนี้ ใช้อย่างนี้ ตื่นอย่างนี้ แสวงหาธรรมอย่างนี้ และไม่สับสนหรือท้อแท้
 ดูก่อนกุลบุตร เพราะดั่งด้วยความฝัน จึงพึงทราบเถิดว่า สังสารวัฏและพระนิพพาน ไม่ได้เกิดขึ้นแลไม่ได้ดับไป ไม่ได้มาแล ไม่ได้ไป อันผู้ได้ประจักษ์แล้วอย่างนั้น ย่อมไม่มีการบรรลุแลไม่มีการเสื่อมไป ไม่มั่นไว้แลไม่เพิกเฉย อันผู้สามารถประจักษ์อย่างนั้น ย่อมปราศจากการกระทำแลปราศจากการยุติ ปราศจากการตั้งอยู่แลปราศจากการดับไป ในการประจักษ์นี้ ก็ไม่อาจเข้าถึงแลไม่ได้ ตั้งอยู่ ที่สุดนั้นแล้วก็หาได้ประจักษ์สิ่งใดไม่ จึงไร้ซึ่งตัวผู้ได้ประจักษ์แจ้งนั้นด้วย ธรรมภาวะทั้งปวงนั้นเสมอกัน ไม่เสื่อมสลาย
 ดูก่อนกุลบุตร โพธิสัตว์เหล่านั้นจงบำเพ็ญจริยาอย่างนี้ เป็นลำดับอยู่อย่างนี้ ตรึกคิดอยู่อย่างนี้ ธำรงอยู่อย่างนี้ มีอุปายะอย่างนี้ รู้ชัดอย่างนี้ ปรารถนาธรรมอย่างนี้ ด้วยไม่ลุ่มหลงขัดข้องด้วยประการอย่างนี้เถิด.
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาจะกล่าวความหมายนี้ จึงได้ตรัสพระคาถาต่อไปนี้:
               ตาจักรวาล ท่านควรจะรู้ว่าสรรพชีวิตทั้งหลาย
               กายและใจก็เหมือนมายา ร่างกายก็เป็นส่วนหนึ่งของธาตุทั้งสี่
               จิตและธรรมชาติกลับคืนสู่ผงธุลีทั้งหก และธาตุทั้งสี่ก็แยกออกจากกัน
               ผู้ใดมีความสามัคคีก็ควรค่อยๆฝึกฝนอย่างนี้
               ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนบริสุทธิ์และไม่เคลื่อนไหวตลอดทั่วทั้งอาณาจักรธรรม
               ไม่มีการกระทำหรือการหยุด และมันถูกทำลายตามใจชอบ ไม่มีใครสามารถตระหนักถึงมันได้
               โลกแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเปรียบเสมือนดอกไม้บนท้องฟ้า
               ทั้งสามช่วงเวลาเท่ากันหมด และท้ายที่สุดก็ไม่มีการมาหรือการไป
               พระโพธิสัตว์ผู้เพิ่งบวชครั้งแรก และสรรพสัตว์ในวันสุดท้าย
               หากปรารถนาจะเข้าสู่วิถีพุทธควรปฏิบัติอย่างนี้
   善男子,此菩薩及末世眾生,修習此心得成就者,於此無修亦無成就,圓覺普照,寂滅無 二,於中百千萬億阿僧祇不可說恒河沙諸佛世界,猶如空華,亂起亂滅,不即不離,無縛無脫, 始知眾生本來成佛,生死涅槃,猶如昨夢。
  善男子,如昨夢故,當知生死及與涅槃,無起無滅,無來無去,其所證者,無得無失,無取
   無捨,其能證者,無作無止,無任無滅,於此證中,無能無所,畢竟無證,亦無證者,一切法性
平等不壞。
  善男子,彼諸菩薩如是修行,如是漸次,如是思惟,如是住持,如是方便,如是開悟,求如
   是法,亦不迷悶。
爾時世尊欲重宣此義,而說偈言:
  普眼汝當知,一切諸眾生。
  身心皆如幻,身相屬四大。
  心性歸六塵,四大體各離。
  誰為和合者,如是漸修行。
  一切悉清淨,不動遍法界。
  無作止任滅,亦無能證者。
  一切佛世界,猶如虛空華。
  三世悉平等,畢竟無來去。
  初發心菩薩,及末世眾生。
欲求入佛道,應如是修習。
               ในครั้งนั้น พระโลกนาถเจ้าทรงปรารถนาจะย้ำในอรรถนี้ จึงตรัสเป็นโศลกว่า...
         สมันตเนตรเธอพึงทราบเถิด      อันสรรพสัตว์ทั้งปวง
         กายแลจิตล้วนดุจมายา    กายลักษณะเป็นเครื่องเกี่ยว 
         อยู่ด้วยมหาภูติสี่     จิตภาวะก็สงเคราะห์ที่สฬายตนะ
         สังขารแห่งมหาภูติสี่ ล้วนห่างจากกัน ผู้ใดกันเล่าที่ประกอบมีขึ้น
         พึงบำเพ็ญจริยาเป็นลำดับอย่างนี้ สรรพสิ่งทั้งมวลจะวิศุทธิ์
         ไม่สั่นคลอนและพร้อมอยู่ในธรรมธาตุ ไร้ผู้กระทำ ผู้ยุติ ผู้ตั้งอยู่ ผู้ดับไป
         ทั้งไร้ผู้สามารถประจักษ์ถึง     พุทธโลกธาตุทั้งหลาย
         อุปมาศูนยบุษปะ            ตรีกาลล้วนเสอมกัน
         ที่สุดแล้วปราศจากซึ่งการมาแลการไป ผู้เริ่มบังเกิดจิตโพธิสัตว์ และสรรพสัตว์ในโลกอนาคต
         เมื่อปรารถนาเข้าสู่พุทธมรรคแล้วไซร้ พึงประพฤติบำเพ็ญอย่างนี้เถิด
จบวรรคที่ ๓
  

ตามคติมหายานและวัชรยาน ปัญจตถาคต หรือ พระชินเจ้าห้าพระองค์ เป็นพระพุทธเจ้า

             นิกายเซ็นหรือ ธฺยาน (เสี่ยมจง) หรือฌาน (เสี่ยมจง) Ch’an หรือฉานจง หรือเซน คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่ามหายานคือเซน 
             ปรัตยาหาร หมายถึง การสกัดจิตใจ ระงับมิให้นึกถึงสิ่งหยาบช้า หรือสิ่งที่จะนำไปสู่ความตกต่ำ ตามคติมหายานและวัชรยาน ปัญจตถาคต หรือ พระชินเจ้าห้าพระองค์ เป็นพระพุทธเจ้าที่เชื่อว่าอวตารมาจากพระอาทิพุทธะ สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าด้วยอำนาจฌานของอาทิพุทธะ ไม่ได้ลงมาสร้างบารมีเหมือนพระมานุสสพุทธะ (พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์) ดำรงในสภาวะสัมโภคกาย มีแต่พระโพธิสัตว์ที่เห็นพระองค์ได้
             ในคัมภีร์​มหาไวโรจนสูตรมีพระธารณีมนตร์ว่า​โอม​ อโฆมะ​ ไวโรจนะ​ มหามุทรา มณี​ ปัทมะ​ ชวล ประ​ วะ​ รัตน ยะ​ หูม​ อักษพีชะ​ อา
             พระชินเจ้า 5 พระองค์ ได้แก่ พระไวโรจนพุทธะ พระอักโษภยพุทธะ พระรัตนสัมภวพุทธะ พระอมิตาภพุทธะ พระอโมฆสิทธิพุทธะ พระชินเจ้า 5 พระองค์นี้ได้สร้างพระธยานิโพธิสัตว์ขึ้นด้วยอำนาจฌานของ
             พระองค์อีก 5 องค์ ได้แก่ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ เกิดจากพระไวโรจนพุทธะ พระวัชรปาณีโพธิสัตว์ เกิดจากพระอักโษภยพุทธะ พระรัตนปาณีโพธิสัตว์ เกิดจากพระรัตนสัมภวพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เกิดจากพระอมิตาภพุทธะ พระวิศวปาณีโพธิสัตว์ เกิดจากพระอโมฆสิทธิพุทธะ
             พระอโมฆสิทธิพุทธะ (เหนือ) พระอมิตาภพุทธะ (ตะวันตก) พระไวโรจนพุทธะ (ศูนย์กลาง) พระอักโษภยพุทธะ (ตะวันออก) พระรัตนสัมภวพุทธะ (ใต้)
โคตร พุทธะ ปัญญาญาณ กิเลส ขันธ์ ปฏิกิริยา สัญลักษณ์ ธาตุ สี ฤดูกาล ทิศทาง มุทรา
พุทธะ พระไวโรจนพุทธะ ปัญญาอันสูงสุด ความหลง วิญญาณขันธ์ (รูปขันธ์) หมุนธรรมจักร (การสอน) ธรรมจักร อากาศธาตุ สีขาว ไม่มี ศูนย์กลาง ธรรมจักรมุทรา
รัตนะ พระรัตนสัมภวพุทธะ เท่าเทียม ความเย่อหยิ่ง (มานะ) เวทนาขันธ์ ความร่ำรวย รัตนมณี ธาตุดิน สืทอง สีเหลือง ฤดูใบไม้ร่วง ใต้ วรท
มุทรา
ปัทมะ พระอมิตาภพุทธะ ปัญญาที่ทำให้มนุษย์รู้จักผิดชอบชั่วดี ความปรารถนา (โลภะ) สัญญาขันธ์ เสน่ห์ดึงดูด, การเอาชนะ ดอกบัว ธาตุไฟ สีแดง ฤดูร้อน ตะวันตก ธยานมุทรา
กรรมะ พระอโมฆสิทธิพุทธะ แบบสำเร็จทุกอย่าง ความอิจฉา สังขารขันธ์ ความสงบระงับ วัชระแฝด ธาตุลม สีเขียว ฤดูหนาว เหนือ อภยมุทรา
วัชระ พระอักโษภยพุทธะ แบบกระจกเงา ความโกรธ (โทสะ) รูปขันธ์ การปกป้องและการทำลาย สายฟ้า, วัชระ ธาตุน้ำ สีน้ำเงิน ฤดูใบไม้ผลิ ตะวันออก ภูมิผัสมุทรา
↑ วิกิพีเดีย ตามคติมหายานและวัชรยาน ปัญจตถาคต (สันสกฤต: पञ्चतथागत, อักษรโรมัน: pañcatathāgata; จีน: 五方佛, อักษรโรมัน: Wǔfāngfó) 
↑ 《大毘盧遮那成佛神變加持經》CBETA 電子版No. 848 入真言門 ...buddhism.lib.ntu.edu.tw › sutra › chi_pdf › sutra10
พระไวโรจนะพุทธเจ้า หรือที่เรียกอีกอย่างว่า มหา ไวโรจนะตถาคต เป็นสัญลักษณ์ของความเป็น อมตะของพระพุทธเจ้า พระไวโรจนะพุทธเจ้าทรงมี อิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อนิกายต่างๆ ของพุทธศาสนา ตลอดประวัติศาสตร์ และมีการตีความและชื่อพระ ไวโรจนะพุทธเจ้าที่แตกต่างกัน พระคาถาพระไว โรจนะพุทธเจ้าที่รู้จักกันดี หรือที่เรียกอีกอย่างว่า พระคาถาชำระล้าง เป็นพระคาถาพื้นฐานอย่างหนึ่ง ของพระพุทธศาสนา และคุณธรรมของพระคาถานี้ นับไม่ถ้วน
 สันสกฤต: वै सेचन มีพระนามอีกชื่อว่า พระไวโรจนะพุทธเจ้า หรือ พระ มหาไวโรจนะพุทธเจ้า ซึ่งแปลว่า พระสุริยาตถาคต ผู้ยิ่งใหญ่ และพระเจ้าพระอาทิตย์ผู้ตื่นรู้ แปลว่า “พระอาทิตย์” หรือ “ความสว่างไสวที่ส่อง ทั่วทุกแห่ง” “มหาริยะ” ขจัดความมืดมิดทั้งหมด และส่องสว่างทุกสิ่งในจักรวาล มีประโยชน์และ หล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก แสงแห่งมหาริยะ เป็นอมตะ
 พระนามของพระไวโรจนะพุทธเจ้า มีความหมาย ๓ ประการ คือ
1. ความหมายของการขจัดความมืดและแผ่ แสงสว่างออกไป คือ ปัญญาของพระตถาคต ส่องสว่างไปทั่วทุกแห่ง ส่องสว่างไปทั่วโดย ไม่แบ่งแยกว่าเป็นภายในหรือภายนอก กลางวันหรือกลางคืน
2. ความหมายของการบรรลุภารกิจทั้งปวง คือแสงสว่างแห่งพระตถาคตส่องทั่วพระธรรม และสามารถพัฒนาให้รากฐานอันดีของ สรรพสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วนเจริญได้เท่าๆ กัน และกระทั่งสามารถบรรลุภารกิจอันพิเศษทาง โลกและทางธรรมทั้งปวงได้
3. ความหมายของแสงที่ปราศจากการเกิดและ การตายก็คือ แม้พระอาทิตย์ในใจของ พระพุทธเจ้าจะถูกปกคลุมด้วยความไม่รู้ ก็ไม่ ลดน้อยลง สมาธิขั้นสูงสุดแห่งความจริงแท้ ของพระธรรมนั้นสมบูรณ์และสว่างไสว และ ไม่เพิ่มขึ้น
             พระพุทธเจ้าศากยมุนีซึ่งมักเรียกกันว่า พระพุทธเจ้า ธรรมกาย เป็นพระพุทธเจ้าผู้แปลงกาย เป็นพระพุทธเจ้า 1 ใน 5 พระองค์ในอาณาจักรวัชระ และอาณาจักรครรภประดิษฐานอยู่ตรงกลาง เป็น พระกายของพระพุทธเจ้าที่เป็นตัวแทนของสัจธรรม อันบริสุทธิ์
             พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ ได้แก่ พระไวโรจน์พระ อักโชภยะ พระรัตนสัมภวะพระอมิตาภะ และพระอโมฆสิทธิ์
 ในคำแปลภาษาจีน 毘盧如來 พระองค์ยังเป็นที่รู้จักในนาม มหาไวโรจนะ ไวโรจนะ แผ่กระจาย และส่องสว่าง พระองค์เป็นเทพที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา แบบลึกลับ ในคำสอนแบบลึกลับสองประการที่ยิ่ง ใหญ่ ได้แก่ วัชรยานและครรภธาตุ พระองค์คือธรรมกายตถาคต ธรรมชาติของธรรมธาตุเอง และ พระพุทธเจ้าพื้นฐานที่ประจักษ์ชัดด้วยความจริง พระไวโรจนะเป็นเทพเจ้าสูงสุดของพระพุทธศาสนา ตันตระ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าระดับสูงที่สุดของ พระพุทธศาสนาตันตระ และเป็นเทพเจ้าสูงสุดที่ พระพุทธศาสนาตันตระเคารพนับถือ พระพุทธเจ้าและโพธิสัตว์ทุกองค์ในพระพุทธ ศาสนาตันตระล้วนสืบเชื้อสายมาจากพระไวโรจนะ พุทธเจ้า ในมณฑลทั้งสองแห่งคือวัชรยานและ ครรภธาตุ พระไวโรจนะตถาคตทรงอยู่ในตำแหน่ง ศูนย์กลาง พระองค์ทรงบัญชาพระพุทธเจ้าและ โพธิสัตว์ทุกองค์ พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าพื้นฐาน ของโลกแห่งพระพุทธศาสนาตันตระ
คำแปลต่างๆ ของพระไวโรจนะ พุทธเจ้า
1. ชื่อแปลนี้ใช้โดย Śikṣānapāramitā เมื่อ śikṣānapāramitā Sūtra แปลโดย śikṣānapāramitā ในสมัยราชวงศ์ถัง
2. อย่างไรก็ตาม "พระสูตรอวตัมสก 60 พระ คาถา" ที่พระพุทธภัทรแปลในราชวงศ์จิ้น ตะวันออกถูกแปลว่าพระไวโรจนะ
3. พระไวโรจนะพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าแห่ง โลกสหธรรม และพระศากยมุนีก็เป็น พระนามหนึ่งของพระองค์
4. พระอาจารย์จี้ซัง แห่งเจียเซียง อธิบายไว้ใน "พระสูตรอวตัมสกสูตร" ว่าพระพุทธเจ้าไว โรจนะคือพระศากยมุนี
5. อาจารย์ยินซุนยังสนับสนุนคำกล่าวนี้โดยอิง จากการเปรียบเทียบการแปลพระสูตรอวตัง สกะเป็นภาษาจีน
6. พระสูตรอวตัมสกฉบับแปลเก่า (แปลโดย พระพุทธภัทรในราชวงศ์จิ้นตะวันออก 60 เล่ม) แปลว่า “รูไล”
7. พระสูตรอวตัมสกสูตรแปลใหม่ (แปลโดย Śikṣānanda แห่ง Khotan 80 เล่ม) แปลว่า "ไวโรจนะ"
 เดิมทีพระสูตรนี้มาจากพระอวตัมสกะสูตร แต่ เนื่องจากการแปลอักษรต่างกัน นิกายพุทธต่างๆ ในรุ่นหลังจึงตีความพระสูตรนี้ต่างกัน นิกายอวตัม สกะเชื่อว่าพระไวโรจนะคือพระพุทธกายรางวัลและ เป็นปรมาจารย์แห่งโลกดอกบัว (หรือโลกลี้ลับ) โรงเรียนเทียนไถเชื่อว่าพระไวโรจนะคือพระ ธรรมกาย พระรุไลคือพระสัมโภคกาย และพระ ศากยมุนีคือพระนิรมนกาย โรงเรียน Tangmi เชื่อว่าพระไวโรจนพุทธะเป็นพระธรรมกายองค์เดียว และเป็นรากฐานของอาณาจักรวัชระ พระองค์เป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระพุทธ ศาสนานิกายลึกลับ เนื่องจากการแปลที่แตกต่าง กัน นิกายต่างๆ ของพระพุทธศาสนาจึงมีการ ตีความคำว่า "พระไวโรจนพุทธเจ้า" แตกต่างกัน:
1. สำนัก Huayan เชื่อว่า Vairocanaและ Rulai เป็นชื่อเต็มและตัวย่อของการแปล อักษรตามลำดับ "Vairocana" คือพระกาย รางวัลของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเจ้านายแห่ง โลก Huazang (ดินแดนบริสุทธิ์แห่งพระกาย รางวัลของพระพุทธเจ้า) ที่กล่าวถึงใน "Avatamsaka Sutra"
2. นิกายเทียนไถถือว่าพระไวโรจนะเป็นพระ ธรรมกาย พระไวโรจนะเป็นพระสัมโภคกาย และพระศากยมุนีเป็นพระนิรมานกาย
3. คำอธิบายของสำนัก Faxiang นั้นเหมือนกับ ที่กล่าวมาข้างต้น แต่ตำแหน่งที่แสดงถึง ความนับถือจะแตกต่างกันเล็กน้อย สำนัก Faxiang ถือว่าพระพุทธเจ้าไวโรจนะเป็นกาย แห่งธรรมชาติ พระพุทธเจ้ายูไลเป็นกายแห่ง ความเพลิดเพลิน และพระพุทธเจ้าศากยมุนี เป็นกายแห่งการเปลี่ยนแปลง
4. พระถังมีและพระผู้สืบทอดนิกายชิ้นงอนของญี่ปุ่น ถือว่าพระไวโรจนะพุทธเจ้าซึ่งเรียกอีก ชื่อหนึ่งว่า "มหาไวโรจนะตถาคต" (มหาวิโรจ นะ) เป็นพระพุทธเจ้าแห่งธรรมกายผู้เปี่ยม ด้วยปัญญาและสติปัญญาที่ไม่แบ่งแยก และ เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งที่ได้รับการบูชาใน พระพุทธศาสนาแบบตันตระ
5. พระสูตรมหาไวโรจนะ (หรือเรียกอีกอย่างว่า พระสูตรตรัสรู้อันยิ่งใหญ่ของไวโรจนะ)ถือเป็นพระสูตรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาคัมภีร์ พระพุทธศาสนาแบบลี้ลับ พระสูตรนี้ได้รับ การแปลเป็นภาษาจีนโดยอาจารย์ด้านลี้ลับ ชาวอินเดียกลางซานอู่เว่ยที่วัดต้าฟูเซียนใน เมืองลั่วอี้ในปีที่สี่ของยุคไคหยวนแห่ง ราชวงศ์ถัง
พระไวโรจนะมีรูปเคารพต่างๆ กันในแต่ละนิกาย
รูปภาพ ; 显宗头 戴五佛冠,身披袈裟,双手结「最高启迪印」,坐于千叶宝莲高台上。另外还有一种形象与释迦牟尼佛无异,而手印是「说法印」。  เซียนจง พระองค์ทรงสวมมงกุฎพระพุทธเจ้าห้าพระองค์และ จีวร ประทับนั่งบนแท่นสูง ประดับด้วยดอกบัวพัน กลีบ พระหัตถ์ประทับบน “ตราแห่งการตรัสรู้ สูงสุด” มีพระพักตร์อีกองค์หนึ่งที่เหมือนกับพระ ศากยมุนีพุทธเจ้าทุกประการ แต่พระหัตถ์ประทับ บน “ตราแห่งการตรัสรู้”
รูปภาพ ; ถังหมี่ ในพุทธศาสนานิกายตังมีและนิกายชินงอน พระพุทธเจ้าไวโรจนะปรากฏกายเป็นพระโพธิสัตว์ สวมมงกุฎห้าองค์ สวมอาภรณ์งดงาม นั่งขัดสมาธิบนแท่นดอกบัวพันกลีบ ด้านหลังมีรัศมีเปลวเพลิง เนื่องจากตราประทับมือและพยางค์เมล็ดพันธุ์ที่แตกต่างกันในมณฑลทั้งสองนี้ จึงแบ่งออกเป็นสองรูป คือ ครรภ์ธาตุ และ วัชระธาตุ ครรภ์ธาตุคือ "ตราแห่งสมาธิแห่งธรรม" ส่วนวัชระธาตุคือ "ตราแห่งปัญญา"
ความลับที่ซ่อนอยู่
         พระไวโรจนะปรากฏในพระพุทธศาสนาแบบตันตระทิเบตในรูปพระโพธิสัตว์มีผิวสีขาวและถือจักระไว้ในพระหัตถ์ทั้งสองข้าง ในธังกาบางภาพ พระไวโรจนะมีสี่พระพักตร์ จึงถูกเรียกว่า "พระพุทธเจ้าสี่พระพักตร์"
รูปภาพ ;  ภาพทังก้าของมหาไวโรจนะมันดาลา วาดโดยนาวังลามะ พระสงฆ์ผู้มีชื่อเสียงด้านจิตรกรรมชาวเนปาล ภาพทังก้ามีลายเซ็นของนาวังลามะ ภาพทังก้างดงามวิจิตรบรรจง เส้นสีทองเปรียบเสมือนเส้นผม การลงเงาและลวดลายสีทองล้วนสมบูรณ์แบบ นับเป็นภาพทังก้าคุณภาพสูงหายากและเป็นผลงานคลาสสิกที่ควรค่าแก่การสะสม ใช้ทองคำแท้ 24K วาดเส้น และใช้รงควัตถุจากแร่ธรรมชาติลงสีและลงเงา ภาพทังก้างดงามวิจิตรบรรจงและใบหน้างดงามอย่างยิ่ง เป็นภาพทังก้าที่หายากและงดงาม
   พระไวโรจนะตถาคตเป็นหนึ่งในสามพระกายของพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระกายของพระพุทธเจ้าเป็นตัวแทนของสัจธรรมอันบริสุทธิ์ ในภาษาจีน พระกายนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มหาไวโรจนะ, ไวโรจนะ, แผ่กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง และ สว่างไสว พระกายนี้เป็นเทพองค์สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนานิกายอีโซเทอริก ในคำสอนนิกายอีโซเทอริกอันยิ่งใหญ่สองประการ คือ วัชระแดนและครรภ์แดน พระกายคือ ธรรมกายตถาคต อันเป็นแดนธรรม และพระพุทธองค์หลักที่ประจักษ์แจ้งด้วยสัจธรรม
             พระอวตารต่างๆ ของ พระพุทธเจ้าไวโรจนะที่เชื่อกันว่า เป็นของพระองค์ตลอด ประวัติศาสตร์
             1. อนึ่ง พระอวตารของพระพุทธเจ้าไวโรจนะคือพระอจล ซึ่งว่ากันว่าทรงปราบมหาเทพได้ และทรงเป็นพระมหาเทพผู้ทรงพลังปราบ อสูรในพระพุทธศาสนา
             2. 🇯🇵 ปรมาจารย์ชาวญี่ปุ่นแห่งพระพุทธศาสนา แบบตะวันออก (มิยัน คากูกัน) เชื่อว่าพระอมิตาภ์พุทธเจ้าเป็นอวตารของพระไวโรจนะ ตถาคต
             3. 🇨🇳 อาจารย์เหลียนฉือแห่งสำนักแดนบริสุทธิ์ แห่งราชวงศ์หมิงมีความเห็นเดียวกัน โดย เชื่อว่าพระพุทธเจ้า 5 พระองค์และ พระพุทธเจ้า 37 พระองค์ล้วนเป็นอวตารของ พระพุทธเจ้าไวโรจนะ
             4. 🇳🇵ในประเทศเนปาล การอวตารของ พระพุทธเจ้าไวโรจนะคือเทพเจ้ามาเชนดรา นารถแห่งเมืองเนวาร์
             5. 🇹🇭 ในประเทศไทย มีพระธรรมหลายองค์ ได้แก่ พระสมเด็จ พระแก้วมรกต พระสัมมาสัมพุทธ เจ้า พระโสธร พระปากน้ำ พระอาทิตย์อุทัย และพระไพเพียน ในบรรดาพระธรรมเหล่า นั้น พระสมเด็จคือพระธรรมอันสูงสุด
 พระพุทธอายุยืนที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ พระพุทธทิเบตที่อ้างอิงถึง “การตัดสินใจแห่งปัญญาชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด”
             ย่อมาจาก "พระตถาคตแห่งความมั่นคงและแสงสว่าง" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "พระตถาคตแห่งชีวิตและปัญญาอันไม่มีที่สิ้นสุด" จาก "พระคาถาพุทธมนต์อายุยืน" ที่พระโนนา ฮูตุกตุ ทรงสอนในสมัยสาธารณรัฐจีน จะเห็นได้ว่าพระคาถานี้คือ "พระธาราณี ราชาแห่งชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์อันไม่มีที่สิ้นสุดและแสงสว่างแห่งความมุ่งมั่น" ใน "บทสวดมนต์เช้าเย็น" ของพระพุทธศาสนาจีน แม้จะมีส่วนเพิ่มเติม แต่สอดคล้องกับเนื้อหาของพระสูตรสันสกฤตในเนปาล แสดงให้เห็นว่าพระคาถานี้ได้รับการเสริมแต่งเพิ่มเติมในกระบวนการสืบทอด สถานการณ์เช่นนี้พบได้ในคัมภีร์หลายเล่มที่มีฉบับเดียวกันแต่แปลต่างกัน เพราะพระอมิตาภะ
         ชื่อนี้มีความหมายว่า “ชีวิตที่ไม่มีที่สิ้นสุด” และ “แสงสว่างที่ไม่มีที่สิ้นสุด”
พระไวโรจนะพุทธเจ้า वैरोचनबुद्ध - Vairocana
มนตราแห่งแสง โอม อโมฆ (อะโมฆะ) ไวโรจน (ไวโรจนะ) มหามุทรา มณี ปัทม (ปัทมะ) ชวล (ชะวะละ) ประ วะ รตต (รัตตะ) ย (ยะ) หูม
             พีชพยางค์ "อะ" ของ พระมหาไวโจนพุทธเจ้า (ไดนิจิเนียวราย)
             แปลแบบพยัญชนะว่า "การสรรเสริญเป็นไปอย่างไร้ที่ติ การส่องสว่างที่แผ่กระจายไปทั่วของมหามุทราอันยิ่งใหญ่ [หรือตราประทับของพระพุทธเจ้า ] ส่องสว่างมาเป็นแสงประทีปให้แก่อัญมณี และดอกบัว"
             แปลแบบอรรถว่า "แสงสัจธรรมอันใสกระจ่างแห่งมหามุทรา สร้างความสว่างแก่อัญมณี และดอกบัว" 
             ขอนมัสการ พระพุทธมหาไวรจนตถาคตเจ้า พระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า. 
南無毗盧遮那佛. 
             โอม อโมฆ ไวรุจน มหามุทฺร มณิ ปทฺม ชฺวล ปฺร วรฺตนย หูมํ (โอม อะโมฆะ ไวรุจะนะ มหามุทระ มะณิ ปัทมะ ชวะละ ประ วะรัตนะยะ หูม)
             พระสูตรนี้กล่าวว่า “หากสรรพสัตว์อยู่สถานที่แห่งใด แล้วได้สดับธารณีนี้ ๒๓๗ จบ วิบากกรรมต่างๆจะมลายสิ้น หรือหากเมื่อสิ้นชีพเพราะกายแตกแล้วได้ตกสู่อบายภูมิ หากเสกทรายด้วยธารณีนี้ ๑๐๘ จบแล้วโปรยลงบนหลุมศพ หรือแท่นบูชา 
             หากผู้นั้นไปเกิดอยู่ในนรกภูมิ เปรตภูมิ อสุรกายภูมิ เดรัจฉานภูมิก็ตาม ด้วยพลานุภาพแห่งธารณีของ พระอโมฆสิทธิพุทธเจ้าและพระไวโรจนพุทธเจ้า ที่เสกทรายนั้น  จักบังเกิดเป็นรัศมีมหาศาล ยังให้ผู้นั้นได้พ้นจากวิบากกรรมทั้งปวง แล้วไปอุบัติยังสุขาวดีโลกธาตุอันเกิดจากดอกบัว ตราบจนได้สำเร็จถึงพระโพธิญาณนั้น จะมิต้องตกสู่อบายภูมิ ทั้งสามารถเยียวยาโรคาพยาธิ และอาถรรพ์ร้ายทั้งปวง” 
             พุทธศาสนามหายานนิกายปุณฑริก (เทียนไท้จง) ภาวนาธารณีบทนี้ในการโปรดดวงวิญญาณบรรพบุรุษ วิญญาณไร้ญาติ หรือใช้ภาวนาแม้ตนเอง ก็จักทำให้วิบากกรรมสลายไป 

             ประภาสธารณี : 光明陀羅尼 จากพระสูตรชื่อ 不空羅索毗盧遮那佛大灌頂真言經 
             พระอโมฆวัชรมหาเถระ 不空金剛. สมัยราชวงศ์ถัง แปล
 แปล เรียบเรียง : พระภิกษุจีนวิศวภัทร อารามจีนปากช่อง-เขาใหญ่ เป่าซานซื่อ
 อาราม มหากรุณาพุทธาลัย 大悲佛殿 โรงเจวัดสว่างอารมณ์
 มนตราแห่ง พระพุทธมหาไวโรจนตถาคตเจ้า.

      Om Nan Mo Ba Ga Wa Di,  โอม นา โม บา กา วา เต
      Sar-ng Wa Duo-r Ga De,  ซาร วา เตอร กา เต
      Wa Na Su Da Ne Run- Za Ya,  โอม นา ชู ตา เทอ รัน จา ยา
      Da A Ta Ga Da Ya, อาร ทา กา ตา ยา
      A-r Ha De, อาร หะ เต
      Sang- Ya Sang- Bu Da Ya, ซำ ยา ซำ บัด ตา ยา
      Dai Ya Ta Om, ไท ยา ทา โอม
      Shu Da Ne Shu Da Ne,  ชู ตา เน ชู ตา เน
      Sa-r Wa A Ba A Wa,  ซาร วา ปา วา
      Ba Shu Da Ne Su De,  ปา ชู ตา เน ชู เต
      Ba Su De, ปา ชู เต
      Sa-r Wa Ga-erm Ma, ซาร วา การ์ มา
      A Wa Ren- Na,  อา วา เริน นา
      Ba Shu Da Ne , Ye Sou Ha ปา ชู ตา นา เย , โซ ฮา

             OM NAMO BHAGAVATE SARVA DURGATE SHODHANI RAJAYA TATHAGATAYA
             ARHATE SAMYAK SAMBUDDHAYA TADYATHA OM SHODHANI SHODHANI
             SARVA PAPM BISHODHANI SHUDHE BISHUDHE SARVA KARMA AVARANA
             BISHODHANI YE SOHA ( SVAHA )
      พระพุทธมหาไวโรจนตถาเจ้า นั้นถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมเบื้องต้น เป็นภาคแรกของ "พระอาทิพุทธ" ในรูปสัมโภคกาย ทรงเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพระมหาปัญญาอันสูงสุด
      คำว่า “ไวโรจนะ” หรือ “วิโรจนะ” นี้หมายถึง พระอาทิตย์, การส่องแสงสว่าง, ความรุ่งเรือง, ความแจ่มใส หรือ ผู้ให้ความอบอุ่นแก่โลก  
             ในยุคแรกของพระพุทธศาสนา ได้นำความหมายของคำๆ นี้มาใช้เรียกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกาศพระธรรม อันเป็นดุจดวงประทีปที่ส่องทางสว่างให้แก่โลก แล้วในยุคมหายาน คำๆ นี้จึงถูกนำมาใช้เรียกพระนามของพระธยานิพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง นั่นก็คือ "พระไวโรจนะพุทธเจ้า" นั่นเอง
             ในคัมภีร์ มหาไวโรจนสูตร ซึ่งเป็นคัมภีร์หลักแห่งตันตระในยุคศตวรรษที่ ๗ นั้นถือว่า พระไวโรจนพุทธเจ้าพระองค์นี้เอง ที่เป็นผู้ประกาศธรรมแก่พระมหาโพธิสัตว์ทั้งปวง
             ตราประจำพระองค์ของ พระไวโรจนะพุทธเจ้า นั้นจะเป็นรูปธรรมจักร อันหมายถึง ความเป็นหนึ่ง มีพระวรกายเป็นดั่งแสงสว่าง โดยมักแทนด้วยพระวรกายสีขาว รัศมีธรรมเป็นสีน้ำเงินอ่อน
             ในนิกายวัชระยานนั้นจะถือว่า สีน้ำเงินเป็นสีแห่งความจริงอันเป็นปรมัตถ์ ส่วนสีขาวเป็นสีของแสงที่รวมของสีทั้งหมด (เหมือนแสงขาวจากดวงอาทิตย์ที่มองผ่านแท่งแก้วปริซึมจะเห็นเป็นสีต่างๆ ๗ สี) ซึ่งแทนความหมายของ การเป็นประมุขแห่งพระธยานิพุทธ
             พระไวโรจนพุทธเจ้า นั้นทรงเป็นตัวแทนของอากาศธาตุ ซึ่งเป็นช่องว่างในจักรวาล เป็นธาตุกลางในธาตุที่เหลืออีก ๔ ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
             ตำแหน่งในพุทธมณฑลนั้น จะอยู่ตรงกลางเป็นพระประธาน โดยมีพระพุทธเจ้าอีก ๔ พระองค์ ห้อมล้อมอยู่ ทรงเป็นต้นวงศ์พุทธโคตร ซึ่งพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในกลุ่มนี้ที่สำคัญมี ๒ องค์ คือ พระสมันตภัทรมหาโพธิสัตตว์ กับ พระมัญชุศรีมหาโพธิสัตตว์
             ลักษณะท่าทางของพระองค์นั้น จะทรงแสดงออกมาในรูปธรรมจักรมุทรา เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการหมุนกงล้อแห่งธรรมครั้งแรก ในการแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕
             รูปแบบอื่นๆ ของพระพุทธไวโรจนตถาคตเจ้า คือ ทำท่าสมาธิคล้าย พระอมิตาภพุทธเจ้า แต่จะทรงถือธรรมจักรแทนดอกบัว เสียงประจำพระองค์คือเสียง “ โอม ” ซึ่งเกิดจากศูนย์ลมบริเวณพระเศียร
             พาหนะของพระไวโรจนพุทธเจ้า คือ สิงโตเผือก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ ความกล้าหาญและความยิ่งใหญ่ สิงโตเผือกนั้นยังสื่อถึงสิงโตหิมะอันเป็นสัตว์หายาก ในตำนานของชาวทิเบต จึงเป็นตัวแทนของธรรมขั้นสูงสุด ที่มีน้อยคนนักเจะได้เข้าถึง. 
(Cr :.จอย ธารา) 
 มหากรุณาพุทธาลัย โรงเจวัดสว่างอารมณ์ แคเเถว นครปฐม 。 佛統三王阿隆大佛禪寺。大悲佛殿
 ธารณีประจำองค์  : ธิเบตเรียก “นัม ปาร นังเจด” จีนเรียก”พีลูแจ๋นอฮุกหรือไต้ยิกกวงยูไล”ตระกูลพุทธะ อักขระประจำพระองค์ คือ โอม
             ทรงเป็นธยานิพุทธองค์แรกอันหมายถึงพระมหาสุริยพุทธะ
             ทรงเป็นประธาน ประทับอยู่ ณ ศูนย์กลางมณฑลเป็นพื้นฐานแห่งพระปัญญาของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ
             พระองค์เป็นศูนย์กลางแห่งจิตวิญญาณทั้งปวง
             พระพุทธไวโรจนะนับถือกันมากในประเทศจีนและญี่ปุ่นโดยถือว่าพระองค์เป็นผู้ประทานคำสอนพุทธโยคาจารย์โดยผ่านทางพระวัชระสัตว์อันเป็นคำสอนสำคัญแห่งสมาธิจิต
             พุทธลักษณะพระวรกายเป็นสีแห่งแสงสว่างกระจ่างใส หรือสีขาวทรงเครื่องแบบกษัตริย์ประทับนั่งบนบัลลังก์ดอกบัวสีฟ้า หรือบนพาหนะสิงโตในท่ามุทราแสดงธรรม
             เครื่องหมายประจำพระองค์คือธรรมจักรพระรัศมีสีฟ้าหรือน้ำเงิน ธาตุประจำองค์คือทุกสรรพสิ่ง ศักดิชื่อวัชระธาตุ สัมโภคกายของพระองค์คือสมันตรภัทรโพธิสัตว์นิรมานกายของพระองค์คือ กกุสันธะพุทธะ
             พุทธะวงศ์นั้นสัมพันธ์กับสมาธิจิตอันเปิดโล่ง ความมั่นคงแห่งสมาธิความสงบหนักแน่น สมาธิและความโล่งกว้างแห่งจิตเป็นสภาวะพื้นฐานแห่งการตรัสรู้ทั้งปวงในด้านตรงกันข้ามคือพระองค์เป็นพื้นฐานแห่งอวิชชาหรือสภาวะแห่งขันติอันชาด้าน
หลักสำคัญในการสวดธารณี  : กายวาจาใจเป็นหนึ่ง
             การท่องพระนามพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์นั้น คือ การเจริญพุทธานุสติ ในมหายานให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เมื่อจิตนั้นตรึงไว้ซึ่งการน้อมรับพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์นั่นหมายถึง เราได้พึ่งพิงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทุกขณะจิต ถือเป็นการเพิ่มพูนปัญญาและบุญวาสนา
             การท่องธารณีประจำพระองค์ คือการนำเอาหัวใจของพระพุทธเจ้าทั้งหลายมาแสดงและเปิดเผยต่อใจของเรา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย บางธารณีแปลไม่ได้  ล้วนมาจากหฤทัย มีอานุภาพดับซึ่งวิบากกรรม นำพาให้เข้าถึงปณิธานแห่งพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ หรือพระโพธิสัตว์ และองค์วัชระนั้นๆ
             พระมัญชุศรีมหาโพธิสัตตว์ ทรงตรัสไว้ว่า " มะระ ขมจากรากสู่ผล แตงหวานจากผลสู่ราก " " สังสารวัฏหาเริ่มต้นมิได้ แต่รับรู้ได้ในปัจจุบันเมื่อใดที่สำเร็จเป็นพุทธแล้ว ย่อมส่งมอบความกรุณาหวนคืนสู่สรรพชีวิต "
             มนุษย์เราและหมู่สัตว์ทั้งหลาย มีรากเหง้าแห่งอกุศลกรรมที่บ่มเพาะแตกต่างกันไป ทำให้พบกับความทุกข์แตกต่างกัน ธารณีสามารถชำระวิบากอกุศลที่เริ่มต้นโดยมิรู้ว่าเมื่อใด ชำระขณะในปัจจุบันย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น 
             หากถือท่องธารณี ก็ย่อมถูกขจัดมูลฐานแห่งกรรมที่สร้างไว้แต่ปางบรรพ์ อย่าถามถึงอนาคตเลย เมื่อรับความชุ่มฉ่ำจากมวลตถาคตทั้งหลายแล้วย่อมพบกับพุทธผล อันเกิดจากการถือท่อง คือการชำระจิตภายใน ด้วยการทองสวดภาวนาภายนอก บำเพ็ญจากด้านนอกเข้าสู่ภายใน
    เมื่อสว่างกระจ่างแล้ว จึงบำเพ็ญจากภายในสู่ภายนอก
                  มอบบุญวาสนาไปสู่สรรพสัตว์ในภูมิทั้งหลาย
                        นับเป็นมหาอานิสงส์ของการเจริญภาวนา
                เพราะกรงขังสังขารหล่อหลอมจากดินน้ำลมไฟ
           จิตข้ามพบข้ามชาติเปลี่ยนถ่ายจากกรงนี้สู่กรงนั้น
 เมื่อพบพุทธนามเจริญพุทธานุสติค้นแล้วพบกุญแจเปิดกรง
                     หยิบกุญแจอยู่แค่เอื้อมนะโมพุทธเจ้าทั่วสกล
           ขอบคุณข้อมูล : ค้นธรรมใต้ร่มไผ่ม่วง. 
 มหากรุณาพุทธาลัย โรงเจวัดสว่างอารมณ์ แคเเถว นครปฐม 。 佛統三王阿隆大佛禪寺。大悲佛殿
การนั่งสมาธิตามแบบพุทธไวโรจน
          อันดับแรกการจัดท่าร่างกายให้อยู่ในสภาพที่เหมาะคือท่าร่างของพระพุทธไวโรจน์มี 7 ตำแหน่งในการวางท่า 1 ขาไขว้ 2 หลังตรง 3 เก็บคาง 4 ลิ้นดุนเพดาน 5 ตามองปลายจมูก 6 ไหล่ตรง 7 มือวางท่าสมาธิหรือวางบนตัก
           อันดับต่อมา ปล่อยจิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ ว่าง สงบและปล่อยให้เป็นเช่นนั้น อย่าไปบังคับหรือคอยจ้องจับมัน
          ขณะปฏิบัติจิตเกิดนิมิตหรือภาพหรือมีความคิดต่างๆเกิดขึ้นในจิต อย่าไปเพ่งอย่าไปติดกับภาพหรือนิมิตนั้น หรือมีเสียงใดเกิดขึ้นในขณะปฏิบัติให้เพียงรู้สึกว่ามีเสียง ไม่ต้องพิจารณาต่อว่าเสียงอะไร เป็นเสียงคนเสียงรถ หรือเสียงหมาเห่า หมาเห่าทำไม เป็นต้น สภาพจิตที่เกิดนิมิตเกิดความคิด ขึ้น ถือว่าสภาพจิตในขณะนั้นมีการเคลื่อนไหวหรือวิ่งอยู่ให้เรามีความรู้สึกว่าจิตกำลังวิ่งอยู่ เมื่อความรู้สึกนี้เกิดการวิ่งก็จะหยุด เมื่อการวิ่งหยุดก็ให้รู้สึกว่าจิตกำลังพักผ่อน
             พูดง่ายๆคือมี 2 สภาวะ สภาวะที่จิตเกิดความคิด เกิดภาพเกิดความรู้สึกต่างๆคือจิตกำลังทำงาน เมื่อไรที่จับสภาพนั้นแล้วหยุดไปจิตหยุดเว้นว่าง อยู่ในสภาพที่ไร้ความคิดผ่านเข้ามา คือจิตกำลังพักผ่อนสิ่งซึ่งแยกแยะว่าจิตกำลังทำงานหรือกำลังพักผ่อนคือตัวสติหรือตัวรู้ที่เรานำมาใช้ในการพิจารณาจิต
             สติหรือตัวรู้ต้องมีอยู่ตลอดเวลาเมื่อจิตทำงานตัวรู้ต้องรู้ เมื่อจิตพักผ่อนตัวรู้ก็ต้องรู้ เมื่อตัวรู้รู้ว่าจิตพักผ่อนนั่นคือสมาธิจิตแต่ถ้าจิตพักผ่อนแล้วตัวรู้ไม่รู้นั่นคือการเม่อหรือหลับการปฏิบัติสมาธิในแนวนี้ ไม่ได้บังคับให้จิตต้องหยุดการทำงานจิตต้องการทำงานก็ให้ทำไปแต่ตัวรู้ต้องรู้จิตกำลังทำงานเมื่อตัวรู้รู้ว่าจิตกำลังทำงานมันก็จะหยุดเองโดยธรรมชาติ 
Cr. Vajara Pani
----------------
โรจนะมหามุทรา
By ค้นธรรมใต้ไผ่ม่วง
             โอม พู คัน อันมุทราแห่งมหาไวโรจนะพุทธเจ้า ทรงปรากฏรัศมีแห่งมหาสรณะ
 ขอนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า ขอนอบน้อมต่อพระธรรม ขอนอบน้อมต่อพระสงฆ์
             บัดนี้ข้าพเจ้าบังเกิดโพธิจิต การกระทำทั้งมวลมิได้วอนขอเพื่อตนเอง กุศลทั้งมวลที่เพียรกระทำนี้
             มิได้อุทิศไปเพื่อสาวกยาน ปัจเจกยาน มนุษย์แลเทวะทั้งหลาย 
             มิได้ปรารถนาเอกชาติปฏิพันธ์โพธิสัตว์
             เพราะปรารถนาที่จะให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้น้อมจิตตามอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ปณิธานประสงส์เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้หลุดพ้นไปพร้อมๆกัน
             เมื่อดำรงจิตไว้อย่างนี้แล้วจึงเพ่งนิมิตรจินตนาการบนนภากาศ มีปวงพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  พระปัจเจกพุทธเจ้า  พระมหาสัตว์โพธิสัตว์ พระอรหันต์ทั้งปวง แลเทวนาคา 8 จำพวกต่าง เป็นพยานในการน้อมรับพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เบื้องแห่งธรณีนั้นปรากฏเป็นสรรพสัตว์ทั้งหลายน้อมรับพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งชั่วกาลนาน ต่างต้องแสงสว่างอันนำไปสู่ความหลุดพ้นคือ แสงแห่งรัตนตรัยเทอญ
             โอม  พู  คัน สรุปความจากหนังสือ หม่งซัว ตามธรรมบรรยาย เรื่องพิธีหม่งซัว โดย พระวิศวภัทร
พระพุทธเจ้า อาทิ
 ไม่ใช่ว่าประเพณีทั้งหมดจะใช้คำว่า Vairochana เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว “ไม่สำคัญ” เนื่องจากแนวคิดของพระพุทธเจ้าคือ “ความทั้งหมด” และ “ความเป็นหนึ่งเดียว” และ “ความไร้ขอบเขต” และ “ความเป็นธรรมกาย” ดังนั้นชื่อและป้ายกำกับจึงไม่เกี่ยวข้อง ท้ายที่สุดแล้ว พระพุทธเจ้าอาทินั้นเป็นเพียงคำที่ขัดแย้งกันเองเมื่อพูดถึงการนิยามความจริงสูงสุดของพระพุทธเจ้า — ด้วยเหตุผลอื่นใดนอกจากเราไม่สามารถมองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของความจริง — ซึ่งอันที่จริงแล้วคือจุดประสงค์ของตันตระ [ดูด้านล่าง] อย่างไรก็ตาม เพื่อความเรียบง่าย เราจะยึดถือตามคำสอนของมหาไวโรจนะสูตร และใช้ไวโรจนะ (ออกเสียงว่า ไวโรจนะ) เป็นพระพุทธเจ้าของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ นั่นไม่ได้หมายความว่าวัชรธระและสมัตบัดระไม่ใช่พระพุทธเจ้าอาทิ พวกท่านล้วนเป็นคำนิยามในท้ายที่สุด
รูปภาพ ; พระไวโรจนะขนาดยักษ์ (ซ้าย) พร้อมด้วยพระโพธิสัตว์ที่แกะสลักไว้ในถ้ำพระพุทธเจ้าในเมืองหลงเหมินโหลวหยาง ประเทศจีน

 "หลงเหมิน" ในอักษรจีนตัวย่อ (บน) และตัวเต็ม (ล่าง)
รูปภาพ ;   ถือ เป็นตัวอย่าง ศิลปะทางพุทธศาสนาที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของจีน ถ้ำเหล่า นี้มีรูปปั้น  พระศากยมุนี  และพระสาวก นับหมื่นองค์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง ลั่วหยาง ในปัจจุบัน มณฑล เหอหนาน ประเทศจีน เป็นระยะทาง 12 กิโลเมตร (7.5 ไมล์) พระพุทธรูปหลายองค์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นภาพวาด ได้รับการแกะสลักเป็นภาพนูนต่ำบนหิน ภายนอก และภายในถ้ำเทียมที่ขุดขึ้นจาก หน้าผา หินปูน ของเซียงซาน (香山) และหลงเหมินซาน ซึ่งทอดยาวไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ถ้ำหลงเหมิน
รูปภาพ ; รูปปั้นพระพุทธรูปไวโรจนะอันโด่งดังที่วัดโทไดจิ เมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น (ขวา)
 พระพุทธรูปองค์ใหญ่ของวัดโทไดจิในปัจจุบัน ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนาราเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของพุทธศาสนาญี่ปุ่นและตัวญี่ปุ่นเองด้วย พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นเมื่อ 13 ศตวรรษก่อน ฝ่าฟันทั้งเพลิงไหม้และภัยพิบัติต่างๆ เพื่อเผยพระวจนะแห่งการตรัสรู้และการหลุดพ้นให้แก่ผู้มาเยือนนับไม่ถ้วน
 พระพุทธรูปองค์ใหญ่แห่งนาราขนาดมหึมาสร้างความประทับใจแก่ผู้ที่พบเห็น กว่าหนึ่งพันปีหลังจากการสร้าง พระพุทธรูปองค์ใหญ่นี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของเมืองนารา และเป็นหนึ่งในผลงานประติมากรรมทางพุทธศาสนาที่เป็นที่รู้จักและเป็นที่รักมากที่สุดในญี่ปุ่น
 พระพุทธรูปองค์นี้เป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ รุชานะบุตสึ หรือพระไวโรจนะ เป็นพระพุทธรูปสำริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก สูงประมาณ 15 เมตร และหนักประมาณ 250 ตัน พระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ที่วัดโทไดจิในเมืองนารา สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 1,300 ปีก่อน ตามพระบัญชาของจักรพรรดิโชมุ (ค.ศ. 701–756; ครองราชย์ ค.ศ. 724–749) เพื่อขอพรให้ความสงบสุขทั่วทั้งอาณาจักร สร้างขึ้นในสมัยที่รัฐให้การสนับสนุนพระพุทธศาสนาวัดและพระพุทธรูปเดิมทีตั้งตระหง่านเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจทางการเมืองและศาสนาในเมืองหลวงของประเทศในขณะนั้น ปัจจุบัน วัดโทไดจิยังคงเป็นวัดหลักของนิกายเคงอน (Huayan) ในพุทธศาสนามหายาน ซึ่งเคารพนับถือพระสูตรอวตัมสก หรือพระสูตรพวงมาลัยดอกไม้ (ในญี่ปุ่นเรียกว่าเคงงเกียว) ซึ่งพระพุทธไวโรจนพุทธะเป็นพระพุทธรูปแห่งจักรวาลที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
 มุทรา หรือท่าพระหัตถ์ของพระพุทธรูปมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งมักแสดงถึงแก่นแท้ของคำสอนของพระพุทธเจ้า มุทราที่สำคัญสองประการสามารถพบเห็นได้ในพระมหาพุทธเจ้า ในมุทราอภัย ( เซมุยอินในภาษาญี่ปุ่น) พระพุทธเจ้าทรงประนมพระหัตถ์ข้างหนึ่งไว้ที่พระอุระ โดยหันพระหัตถ์ออกด้านนอก มุทรานี้เป็นสัญลักษณ์ของความมั่นใจและความปลอดภัย แสดงถึงพลังของพระพุทธเจ้าในการขจัดความกลัวและปกป้องคุ้มครองสรรพชีวิต ส่วนมุทราที่สองคือ วรทมุทรา ( โยกันอินในภาษาญี่ปุ่น) มีลักษณะเด่นคือทรงยกพระหัตถ์ขึ้นและยื่นพระหัตถ์ออกด้านนอก มุทรานี้แสดงถึงการประทานพร และเป็นกิริยาแห่งความเมตตากรุณา มุทรานี้แสดงถึงความพร้อมของพระพุทธเจ้าที่จะรับฟังคำอธิษฐานและความปรารถนาอันลึกซึ้งที่สุดของผู้ที่แสวงหาการนำทางจากพระองค์ การรวมกันของมุทราเหล่านี้ร่วมกันแสดงถึงความเมตตาอันไร้ขอบเขตของพระพุทธเจ้าที่มีต่อสรรพชีวิต
รูปภาพ ; (© Muda Tomohiro)
 รูปปั้นขนาดยักษ์นี้สร้างขึ้นโดยการหลอมทองสัมฤทธิ์และเทโลหะหลอมเหลวลงในแบบหล่อ โลหะผสมที่ใช้ประกอบด้วยทองแดงประมาณ 500 ตัน ปรอท 2.5 ตัน และทองคำ 440 กิโลกรัม การหล่อรูปปั้นนี้ใช้เวลาเก้าปีจึงจะเสร็จสมบูรณ์
 ในเวลานั้น ญี่ปุ่นแทบไม่มีการขุดทองเป็นของตนเองเลย และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการนี้วางแผนไว้แต่แรกว่าจะนำเข้าโลหะมีค่าจำนวนมากจากทวีปนี้ อย่างไรก็ตาม ระหว่างการสร้างพระพุทธรูป ได้มีการค้นพบรอยตะเข็บทองคำใหม่ในเขตโอดะ จังหวัดมุตสึ ทางตอนเหนือสุด (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดมิยางิ) จักรพรรดิโชมุทรงได้รับข่าวการค้นพบนี้ ซึ่งเป็นหลักฐานอันน่าอัศจรรย์ว่าโครงการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้รับพรและการคุ้มครองจากเหล่าทวยเทพและพระพุทธเจ้า ด้วยความกตัญญู พระองค์จึงทรงเปลี่ยนชื่อรัชสมัยเป็นเท็นเปียว คัมโป (สมบัติอันน่าอัศจรรย์แห่งสันติสุขอันศักดิ์สิทธิ์) ซึ่งมีอายุสั้น ก่อนที่จะสละราชสมบัติเพื่อบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ พระพุทธรูปได้รับการชุบทองด้วยปรอทผสมทองคำ ซึ่งทำให้ยากที่จะจินตนาการจากรูปลักษณ์ปัจจุบันของพระพุทธรูป เดิมทีพื้นผิวทั้งหมดของพระพุทธรูปองค์ใหญ่จะเปล่งประกายระยิบระยับด้วยทองคำเมื่อสร้างเสร็จ