Translate

01 กรกฎาคม 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 59 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๘๔)
 เวลานั้นเป็นฤดูเดือนหกเดือนเจ็ดลมและฝนก็มีต้นผลไม้ชุ่มชื้นกำลังผลิดอกออกผล อาจารย์กับศิษย์พิศดูมาตามทาง เหลือบเห็นยายเฒ่าผู้หนึ่งจูงทารกเดินออกมา ร้องบอกว่าสงฆ์องค์นั้น ข้างหน้าไม่ควรไป ๆ ไม่ได้มีแต่ทางตาย พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ตกใจให้เต้นหวาดเสียวขนลุกขนชันจึงลงจากหลังม้าเดินเข้าไปปราศรัยด้วยยายเฒ่า คำโบราณท่านย่อมว่า ทะเลกว้างตามแต่ปลาจะผุดว่าย ฟ้าสูงตามแต่นกจะบิน เหตุใดทางไซทีได้สิ้นทางเสียดังนี้เล่า ยายเฒ่าจึงชี้ไปทางทิศไซทีแล้วพูดว่า ทางข้างหน้าไปประมาณหกโยชน์ มีเมือง ๆ หนึ่งชื่อเมืองเบี๊ยดฮวยก๊ก คือเมืองทำลายธรรม ไม่ทราบว่าเจ้าเมืองนั้น ผูกเวรพยาบาทแต่ชาติใด มาในชาตินี้จึงได้สร้างแต่การบาปอกุศลเช่นนี้ เมื่อสองปีก่อนตั้งอธิษฐานว่าขอฆ่าพระสงฆ์ให้ได้หมื่นรูป ในสองปีก่อนนั้น ฆ่าพระสงฆ์ที่ไม่มีชื่อเสียงได้เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบหกรูปแล้ว ยังคอยพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงอีกสี่รูป จึงจะครบจำนวนหมื่นหนึ่ง แม้ว่าท่านเดินเข้าไปถึงเมืองก็นึกว่าเอาชีวิตเข้าไปส่ง
   พระถังซัมจั๋งเมื่อได้ฟังยายเฒ่า​บอกเล่าชี้แจงดังนั้น สิ้นสติสมปฤดีร่างกายสั่นระริกระรัวไป จึงพูดว่าขอบคุณท่านยาย มีความกรุณาข้าพเจ้าช่วยบอกเล่าให้รูสึกดังนี้ จะขอถามท่านยายว่าหากเราจะไม่ไปทางนั้น จะมีทางอื่นเล็ดลอดไปได้บ้างหรือไม่ ยายเฒ่าได้ฟังถามจึงบอกว่าทางอื่นก็ไม่มีจะลัดหลีกไปนั้นไม่ได้ เว้นแต่มีปีกบินได้นั่นและจะไปให้พ้นได้ โป๊ยก่ายได้ฟังยายเฒ่าพูดดังนั้น จึงห้ามว่าท่านยายอย่าพูดดังนั้น พวกข้าพเจ้าเหาะไปได้ทุก ๆ คน เห้งเจียยืนพิจารณาดูยายเฒ่าก็จำได้ว่า คือพระโพธิสัตว์กวนอิม เด็กนั้นคือเสียนไจ๊ท่งจื๊อ เห้งเจียเห็นแน่แล้วก็คุกเข่าลงนมัสการร้องเรียกว่าพระโพธิสัตว์ สานุศิษย์ไม่ทันเคารพรับ ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ลอยขึ้นบนอากาศ พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจคุกเข่าลงกับพื้นนมัสการ โป๊ยก่ายซัวเจ๋งต่างนมัสการ
   บัดเดี๋ยวก็เห็นเมฆลอยสว่างไปทางน่ำไฮ้ เห้งเจียก็ลุกขึ้นมาพยุงพระอาจารย์ให้ลุกขึ้นแล้วก็พูดว่า พระโพธิสัตว์กลับไปเขาน่ำไฮ้แล้ว พระถังซัมจั๋งลุกขึ้นแล้วพูดว่า เห้งเจียนี่พระโพธิสัตว์บอกข่าวให้รู้ว่า ข้างหนานั้นมีเมืองทำลายธรรมและฆ่าพระสงฆ์ด้วย เราจะคิดอย่างไรดี เห้งเจียพูดว่าอาจารย์อย่ามีความวิตก เราก็เคยพบปะภูตผี ปีศาจยักษ์มารที่ร้ายแรงมามากแล้ว ก็ไม่สามารถจะทำร้ายเราได้ นี่เป็นมนุษย์เหมือนกัน จะไปวิตกเกรงกลัวไปทำไมไม่เข้าการ แต่ขัดด้วยที่เหล่านี้ ไม่เป็นที่พักที่อาศัยได้ แลทั้งเวลาก็จวนค่ำ วิตกว่าชาวป่า​เข้าไปในเมือง เวลากลับออกมาจะมาพบปะเราเข้า จะพูดอื้ออึงมี่ฉาวขึ้นเราจะซ่อนเร้นลำบาก เราพากันลงจากทางใหญ่หาที่ลับอาศัยก่อนแล้วจึงค่อยคิดอ่านต่อไป
   ปรึกษากันตกลงแล้ว ก็พร้อมกันเดินหลีกออกจากทางใหญ่ มาถึงที่ราบคาบก็พากันหยุดพัก เห้งเจียจึงสั่งโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งว่า น้องทั้งสองจงเอาใจใส่ระวังอาจารย์ให้จงดีพี่จะลอดแปลงกายเข้าไปสอดแนมตรวจตราดู บางทีจะมีทางพอที่จะเล็ดลอดหลีกไปได้ เราจะได้รีบพากันข้ามให้พ้นไปเสียแต่ในคืนวันนี้ สั่งแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นกลางอากาศ ยืนหยุดอยู่บนเมฆพิจารณาดูเห็นในกำแพงเมืองมีรัศมีฟุ้งขึ้นเป็นสาย ๆ เห้งเจียมีความพิศวงอัศจรรย์ใจ ทำไมจึงมีรัศมีผุดผ่องเป็นมงคลฉะนี้ เหตุใดจึงเป็นเมืองทำลายธรรมไปได้น่าประหลาดจริง ๆ พิเคราะห์อยู่สักครู่หนึ่งก็พอพลบค่ำ จึงคิดว่าอย่าเลยเราจะลองไปเที่ยวดูที่พื้นตามทาง ก็กลัวคนจะเห็นเข้าจำจะต้องแปลงกายลงไป คิดแล้วก็ร่ายพระเวทแปลงกายเป็นแมลงเม่าตัวหนึ่ง บินไปตามชายคาบ้านเรือนเร่ร่อนไปตามถนนตลาดในเมือง พอบินมาถึงหัวเลี้ยวถนน มีแถวบ้านคนอยู่ในวงเวียน มีโคมตามไฟทุก ๆ บ้าน
   เห้งเจียก็บินแอบใกล้เข้าไปพิจารณาดูโดยละเอียด เห็นบ้านหนึ่งอยู่กลางมีโคมไฟสี่เหลี่ยมแขวนอยู่หน้าบ้าน ๆ เขียนหนังสือตัวใหญ่ว่า ที่พักรับแขก ข้างล่างเขียนว่าโรงเตี้ยมนี้ของอ๋องเซี้ยยี่เป็นเจ้าของ เห้งเจียก็รู้ได้ว่าเป็นโรงขายเข้าแกง แลเข้าไปข้างในเห็นมีคนมาพักนอนแปดเก้าคน ถอดหมวกเสื้อผ้าโพกศรีษะ​นอนอยู่บนเตียง เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงนึกดีใจ ว่าอาจารย์เราคงจะข้ามไปพ้นได้ คือเห้งเจียคิดจะลักเอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนแปลงเป็นฆราวาสจะได้ข้ามหนีไป สักประเดี๋ยวเห็นอ๋องเซี้ยยี่เจ้าของเตี้ยมเดินออกมาพูดว่า ท่านทั้งหลายที่มานอนพักในเตี้ยมคนดีคนร้ายปนกัน เสื้อผ้าข้าวของจงอุตส่าห์ระวังระไวไว้ให้ดี ถ้าหายหกตกหล่นจะเอาผิดแก่เจ้าของเตี้ยมไม่ได้
   คนเหล่านั้น ครั้นได้ยินเจ้าของเตี้ยมสั่งก็พากันเก็บผ้าและหมวกเสื้อสิ่งของไว้กับตัวทุกคน ในพวกที่มานอนพักนั้น มีคนหนึ่งพูดว่า ผู้เจ้าของเตี้ยมเขาสั่งถูกต้อง เราทั้งหลายเป็นผู้เดินทางพักอาศัยต้องลำบาก เหน็ดเหนื่อยมานอนหลับไหลไม่ได้สติ ถ้าของหายจะทำอย่างไร จึงพูดแก่เจ้าของเตี้ยมว่าอย่ากระนั้นเลย ข้าวของเสื้อผ้าเหล่านี้ขอฝากไว้แก่ท่านผู้เจ้าของเตี้ยม เวลาเช้าข้าพเจ้าทั้งหลายจึงจะคืนเอา อ๋องเซี้ยยี่เจ้าของเตี้ยมจึงเก็บผ้าข้าวของเหล่านั้นเข้าไปไว้ในบ้านทั้งสิ้น เห้งเจียเห็นดังนั้นก็โผบินตามเข้าไปข้างในลงจับอยู่ที่ชายผ้าโพกศรีษะ ฝ่ายอ๋องเซี้ยยี่เห็นสิ้นเวลาก็ออกไปเก็บโคมไฟ ปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าห้องแก้เสื้อพาดบนราว ขึ้นนอนบนเตียงก็เลยหลับไป ที่ในเรือนของอ๋องเซี้ยยี่นั้น หญิงผู้หนึ่งลูกอ่อนสองคนบุตรร้องไห้รบกวนนอนไม่หลับ ก็ลุกขึ้นให้บุตรกินนมตามไฟไว้ เต่าจึงเอาเสื้อขาดออกปะเย็บอยู่มิได้นอน
   เห้งเจียคิดว่า ถ้าจะคอยให้หญิงนอนก่อนจึงจะลงมือ ประตูเมืองก็จะปิด​เสียจะไปมิได้ คิดไปคิดมาก็ลงเนื้อเห็นว่าจะช้าการไปอดทนอยู่ไม่ได้ก็โผบินลงทำให้ไฟดับ แล้วแปลงตัวเป็นแม่หนูตัวหนึ่งร้องจี๊ด ๆ กัดฝา กระโดดลงคาบเอาเสื้อผ้าโพกศรีศะดึงลากออกไปข้างนอก ฝ่ายผู้หญิงแม่ลูกอ่อนก็ตกใจ จึงร้องเรียกอ๋องเซี้ยยี่ว่าไม่ได้การแล้วเวลาก็ดึกแล้วทำไมจึงเกิดมีปีศาจขึ้นดังนี้เล่า เห้งเจียได้ยินเสียงร้องก็เข้าแอบประตูห้องร้องบอกอ๋องเซี้ยยี่ว่า อย่าเชื่อหญิงนั้นพูดไม่จริงข้าพเจ้ามิใช่ปีศาจดอก ข้าพเจ้าเป็นคนแจ่มแจ้งไม่ทำซึ่งการมืดมัวดังนั้น เราคือซีเทียนใต้เซี้ยลงมาใต้หล้าในเวลานี้!โดยเหตุรักษาพระถังซัมจั๋งจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม บัดนี้มาถึงเมืองนี้ จะขอยืมเสื้อผ้าโพกศรีษะข้ามเมืองไปแล้ว จะนำกลับมาคืนให้
   ฝ่ายอ๋องเซี้ยยี่กำลังนอนตกใจตื่น ได้ยินเสียงคนพูดดังนั้นก็ตกใจ มืดและก็ไม่เห็นอะไรคว้าเอาเสื้อผ้ามาใส่ สวมผิดสวมถูกไม่เข้าได้ เห้งเจียก็รีบออกจากบ้านเหาะไป บัดเดี๋ยวก็มาถึงที่อาจารย์พักอยู่ ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง เห็นเดือนสว่างก็นั่งคอยชะแง้ดูเห้งเจีย แลไปก็เห็นเห้งเจียกลับมา จึงถามว่าเห้งเจียไปดูท่าทางได้เห็นทางใดที่จะข้ามลัดพ้นเมืองไปได้บ้างมีหรือเปล่า เห้งเจียก็วางเสื้อผ้านั้นลงแล้วคำนับพูดว่า ที่จะข้ามผ่านเมืองไปรูปเป็นพระสงฆ์นั้นไม่ได้ โป๊ยก่ายพูดว่าถ้าหากจะไม่ให้เป็นสงฆ์จะยากอะไร รอสักหกเดือนให้ผมยาวแล้วก็แปรได้ เห้งเจียว่าจะรออยู่ถึงหกเดือน​จะทันที่ไหน จะแปลงเป็นฆราวาสเดี๋ยวนี้ พระถังซัมจั๋งถามว่าเห้งเจียพูดอะไร เห้งเจียตอบว่าพระอาจารย์ ที่ในเมืองนี้ข้าพเจ้าได้ไปพิเคราะห์ดู เจ้าเมืองนั้นจิตเป็นอกุศล ฆ่าพระสงฆ์ก็จริง แต่ที่บนกำแพงเมืองนั้นมีรัศมีโชติช่วงรุ่งเรืองประหลาด
   เมื่อกี้นี้ข้าพเจ้าไปยืมเสื้อผ้าที่เตี้ยมมา พวกเราแปลงเป็นคฤหัสถ์แล้วเข้าไปไนเมืองพักที่โรงเตี้ยมข้าวแกง รอให้เจ้าของโรงเตี้ยมจัดหาเข้าแจฉันแล้วพอจวนแจ้งประตูเมืองเปิดเราพากันรีบออกจากเมืองอย่าให้ทันชาวเมืองรู้เหตุ หากพบปะคนกั้นกางเราบอกว่ามีรับสั่ง คนเหล่านั้นก็จะไม่อาจห้ามไว้ได้คงจะต้องปล่อยไปโดยสะดวก ซัวเจ๋งพูดว่าพี่คิดดังนี้ดีแล้วจะต้องกระทำตาม
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง ไม่รู้ว่าจะทำประการใดก็ต้องจำใจแปลงจึงถอดเครื่องพระสงฆ์ออกแล้ว เสื้อผ้าสวมใส่เข้าเหมือนคฤหัสถ์ ซัวเจ๋งก็แปลง โป๊ยก่ายศรีษะใหญ่ผ้าโพกไม่ได้ เห้งเจียถอนเอาขนออกแปลงเป็นด้ายแลเข็ม เอาผ้าโป๊ยก่ายคลี่ออกแล้วสองชายเย็บติดกันใส่ให้โป๊ยก่ายเสร็จแล้ว เห้งเจียก็จัดแจงแต่งตัวเอง ครั้นแต่งตัวเสร็จทุกคนแล้ว เห้งเจียจึงสั่งว่าชื่อเดิมของอาจารย์จงอย่าได้เรียก เรียกกันเป็นฉันพี่น้อง ให้เรียกชื่ออาจารย์ว่า ถังอิดกัว ถ้าไปถึงเตี้ยมอาจารย์กับน้องพูดโต้ตอบแก่เจ้าของเตี้ยม ให้ข้าพเจ้าพูดคนเดียว บางทีเขาจะถามถึงสินค้าจะบอกว่าเอาม้ามาขาย เอาม้าของเราให้ดูเป็นตัวอย่าง และยังมีพี่น้องเฝ้าม้าอยู่ข้างนอก เราสี่คนมาหาที่ห้องพักและที่พักม้าก่อน แล้วจึงจะเข้ามาพร้อม​กันดังนี้ เจ้าของเตี้ยมก็จะต้องเกรงใจเรา และจะต้องเลี้ยงดูพวกเรา เวลาเราจะไปไว้ข้าพเจ้ามีคำขอบคุณเขาแล้วจึงออกเดิน
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจีย จำใจจำต้องยอมให้เห้งเจียจัดแจงตามชอบใจ เห้งเจียครั้นจัดแจงสั่งเสียเสร็จแล้วก็พากันยกของจูงม้ารีบเดินเข้าเมือง เวลานั้นประมาณยามเศษโคมไฟยังไม่ดับ เพราะเป็นบ้านเมืองอันเจริญสุข ประตูบ้านของชาวเมืองก็ยังไม่ปิด อาจารย์กับศิษย์ก็พากันรีบเดินตรงมายังเตี้ยมอ๋องเซี้ยยี่ ครั้นมาถึงประตูเตี้ยมก็ได้ยินคนในนั้นบ่นว่า คนนั้นเสื้อหายคนนี้ผ้าโพกหาย เห้งเจียได้ยินแล้วก็ทำเป็นไขหูไม่รู้ไม่เห็นเสีย เข้าไปที่หน้าประตูร้องเรียกเจ้าของเตี้ยม ว่าห้องยังว่างเปล่าอยู่บ้างหรือไม่ พวกข้าพเจ้าจะมาอาศัยพัก ในนั้นมีผู้หญิงร้องตอบออกมาว่า มีค่ะ เชิญท่านขึ้นพักบนเล่าเต๊งชั้นบน พูดยังไม่ทันขาดคำแลเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมารับม้า เห้งเจียจึงจูงม้ามามอบให้แก่คนนั้นเอาไปเลี้ยง เห้งเจียนำหน้าพากันขึ้นไปบนเล่าเต๊งชั้นบน ข้างบนเล่าเต๊งมีเก้าอี้โต๊ะตั้งสำรองพรักพร้อม เห้งเจียก็เปิดหน้าต่างมีแสงเดือนส่องสว่างต่างก็พากันนั่งพักบนเก้าอี้ แลเห็นข้างล่างจุดโคมไฟเอาขึ้นมา เห้งเจียออกยืนขวางประตูดับไฟเสีย บอกว่าแสงเดือนสว่างไม่ต้องตามไฟ
   คนนั้นก็ถือโคมกลับลงบันไดไป ประเดี๋ยวอีกคนหนึ่งเอาถาดน้ำชาขึ้นมาสี่ถ้วย เห้งเจียก็เดินออกมารับ ยังมีหญิงสองคนอายุประมาณสิบเจ็ดปีเดินขึ้นมายืนแอบอยู่ข้างหนึ่ง ถามว่าทั้งสี่คนอยู่ที่ไหน​มานี่มีสินค้าอะไรมาบ้างหรือ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้ามาจากทิศเหนือเอาม้ามาขาย หญิงนั้นจึงถามแซ่และชื่อ เห้งเจียตอบว่าท่านที่หนึ่งชื่อถังใต้กัว ที่สามนั้นชื่อจูซัมกัว ที่สี่นั้นชื่อซังซี้กัว ข้าพเจ้าชื่อยี่กัว หญิงทั้งสองได้ฟังก็หัวเราะว่าชื่อแซ่แปลกๆกัน เห้งเจียว่าจริงดังนั้นชื่อแซ่แปลกกันแต่ว่าอยู่รวมกัน พวกข้ารวมกันสิบคนพี่น้อง แต่ข้าพเจ้าเข้ามาสี่คนก่อน จะได้หาห้องเช่าและเช่าพักม้า ยังอยู่นอกเมืองอีกหกคน หยุดคอยเฝ้าม้าเพราะเวลาค่ำมืดยังไม่ควรจะเอาเข้ามา รอข้าพเจ้าเช่าที่พักได้แล้วรุ่งเช้าก็จะเอาเข้ามาขาย ๆ ได้แล้วก็จะพากันกลับ
   หญิงนั้นถามว่าม้าฝูงนั้นจะมีสักกี่ม้า เห้งเจียตอบว่ามีสักร้อยเศษ รูปร่างก็คล้ายคลึงแก่ตัวที่ข้าพเจ้าเอามานี้ แต่สีขนแปลกๆกัน หญิงนั้นจึงพูดว่าท่านยี่กัวถ้าขายมีหลักฐานจริงๆ ท่านมาถึงเตี้ยมข้าพเจ้าเป็นเตี้ยมที่สอง ที่จะไว้ม้าก็มีพรักพร้อม จะไว้สักเท่าใดก็ได้ถมไป อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าตั้งเตี้ยมที่นี่ก็นานแล้ว เดิมสามีข้าพเจ้าแซ่เตียวก็บังเอิญถึงแก่กรรมเสียแล้ว นามข้าพเจ้าเรียกว่าเตี้ยวกัวหู ในเตี้ยมของข้าพเจ้ามีการเลี้ยงแขกสามอย่าง ห้องพักค่าเช่าก็มีกำหนดราคา เห้งเจียถามว่าในเตี้ยมของนางทำไมจึงมีอะไรเลี้ยงแขกสามอย่าง โปรดแสดงให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง นางเตี้ยวกัวหูตอบว่ามีสามอย่างดังนี้ คือที่หนึ่งนั้นเลี้ยงมีขนมและผลไม้ต่าง ๆ และของกินโต๊ะหนึ่งเฉพาะสองคน มีหญิงสาวขับร้อง คนหนึ่งคิดเอาค่าป่วยการ​ห้าสลึงทั้งค่าห้องรวมอยู่ด้วยกัน
   เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะว่าสมควรแล้ว ข้าพเจ้ายอมออกเงินห้าสลึงแต่ไม่ต้องมีหญิงสาวขับร้อง จึงถามอีกว่าที่สองนั้นเป็นอย่างไร นางเตี้ยวกัวหูตอบว่าที่สองนั้นมีสุราอุ่นร้อน และเครื่องกินต่างๆตั้งบนโต๊ะตามแต่ท่านผู้บริโภคจะพอใจ แต่ไม่มีหญิงสาวขับร้อง คิดคนละสองสลึง เห้งเจียว่าสองสลึงก็สมควรแล้วยังอีกอย่างที่สามนั้นอย่างไร นางเตี้ยวกัวหูพูดว่า ข้าพเจ้าไม่อาจพูดต่อหน้าท่านไม่ควรแสดง เห้งเจียว่าจงแสดงเถิดอย่าเกรงใจข้าพเจ้าอนุญาต บางทีพวกข้าพเจ้าเรียกเอาตามความพอใจแล้วแต่อย่างใดจะดี นางเตี้ยวกัวหูพูดว่าอย่างที่สาม ไม่มีคนเฝ้าประคับประคอง มีข้าวมีกับตามประสงค์อิ่มแล้วนอนอาศัยตามชายคาจนสว่างคิดเอาเฟื้องสองไพตามราคาดังนี้ คิดขึ้นคิดลงไม่ได้
   โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นพูดว่า ข้าพเจ้าจะเลือกเอาอย่างที่สาม จะกินให้อิ่มแล้วออกไปนอนหน้าบ้านดีกว่า เห้งเจียพูดว่าน้องพูดอะไรอย่างนั้น เราเป็นคนเที่ยวทุก ๆ หัวเมืองจะมาเสียดายเงินสองสามตำลึงทำไม เห้งเจียจึงบอกเจ้าของเตี้ยมให้จัดแจงโต๊ะที่หนึ่งมาเถิด นางเตี้ยวกัวหูได้ฟังดังนั้นก็มีความดีใจ จึงเรียกคนใช้ให้ยกน้ำชาดีขึ้นมา แล้วให้คนทำโต๊ะรีบจัดหา นางก็ลงจากเต๊งเรียกคนให้ทำเป็ดไก่หมูและแพะ แกะ แล้วจัดสุราอย่างดีออกสำรอง แลให้คนช่างขนมจัดทำขนมโอชารสต่าง ๆ พระถังซัมจั๋งได้ยินจึงพูดแก่ซึงยี่กัวว่าเขาไปฆ่าสัตว์ดังนี้จะไม่ดี เห้งเจียก็นึกได้จึงไปเรียกว่า แม่เจ้าของเตี้ยม​เชิญขึ้นมานี่ก่อนนางก็ขึ้นมาถามว่าท่านยี่กัวจะประสงค์สิ่งใดหรือ เห้งเจียบอกว่าอย่าให้เขาฆ่าสัตว์เลย วันนี้ข้าพเจ้าถือศีลกินแจ นางได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ถามว่าท่านกินแจตลอดอายุหรือมีกำหนดเดือน เห้งเจียตอบว่าไม่ใช่ทั้งนั้น พวกข้าพเจ้ากินแจเปนวันๆ หากวันแกซินจึงกินแจ วันนี้เป็นวันแกซินพรุ่งนี้ก็เลิก วันนี้ขอให้จัดเครื่องแจมาเถิด ข้าพเจ้าจะคิดให้ตามราคาที่หนึ่ง
   นางเตี้ยวกัวหูได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงลงไปร้องสั่งพวกทำเครื่อง ว่าของมีเนื้อถึก เลิกไม่ต้องทำ จัดทำแต่เครื่องแจเท่านั้น พวกทำครัวได้ฟังคำสั่งดังนั้นก็รีบทำเครื่องแจบัดเดี๋ยวก็แล้ว ยกขึ้นจัดบนโต๊ะพร้อมแล้ว ฝ่ายเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเห็นเครื่องโต๊ะจัดเสร็จแล้ว ก็พากันนั่งรับประทานตามสบายใจ เวลานั่งกำลังกินได้ยินเสียงครืนๆ ตึงตังอยู่ข้างหน้าบ้าน เห้งเจียจึงถามนางเจ้าของบ้านว่าที่ข้างล่างทำอะไรกัน นางเจ้าของเตี้ยมบอกว่า คนที่มาเช่าเขาเรียกคนที่หามเกี้ยวให้มารับเขาจะไป คนหามเกี้ยวมาโดนกระดานเสียงก็ตึงตังไม่ใช่ทำอะไรดอก เห้งเจียจึงพูดว่า เมื่อแรกท่านก็ไม่บอกจะได้เชิญแขกนั้นไว้ยังมิให้ไป เพราะวันนี้เป็นวันศีลกินแจ และทั้งพี่น้องก็ยังมาไม่พร้อมกัน พรุ่งนี้ถ้ามาพร้อมกันจะกินเล่นในเตี้ยมนี้
   นางเตี้ยวกัวหูได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็พูดว่าท่านพูดดีแล้วขอบใจท่านมากๆ เห้งเจียโป๊ยก่ายและซัวเจ๋งครั้นกินอิ่มแล้วคนเตี้ยมก็เก็บถ้วยชาม พระถังซัมจั๋งจึงเดินมาถามเห้งเจียว่า เราจะพัก​นอนที่ไหน เห้งเจียบอกว่าเราจะต้องนอนบนนี้ พระถังซัมจั๋งเห็นว่าจะไม่ชอบกล เพราะพวกเราเป็นคนเดินทางธุระมาลำบาก บางทีจะนอนหลับไหลไม่รู้สึกตัวผ้าโพกศรีษะจะหลุดออก บางทีคนขึ้นลงจะเห็นเฃ้าเขาจะรู้ว่าเป็นพระสงฆ์ จะเล่าลือต่อๆ ไปจะทำอย่างไร เห้งเจียพูดว่าอาจารย์ว่าดังนั้นก็ชอบอยู่ เห้งเจียจึงเรียกเจ้าของเตี้ยม นางก็ขึ้นมาถามว่าท่านยี่กัวจะสั่งว่ากระไรหรือ เห้งเจียถามว่าจะให้พวกข้าพเจ้านอนที่ไหน นางบอกว่าต้องนอนบนเล่าเต๊งนี้จึงจะดี ยุงริ้นไม่มีและฤดูนี้ลมว่าวพัดกล้า เปิดหน้าต่างนอนเล่นเย็นสบาย
   เห้งเจียพูดว่าเห็นจะนอนไม่หลับ เพราะท่านจูซัมกัวเป็นโรคเหน็บชา ซูซี้กัวเป็นโรคกระสาย ท่านถังใต้กัวชอบนอนที่มืดเพราะกระดากไฟนอนไม่หลับ ที่บนนี้ไม่เป็นที่ผาสุขได้ นางเตี้ยวกัวหูได้ฟังก็ลงจากบันไดมายืนพิงข้างประตูครัวถอนหายใจบ่นว่าลำบากใจจริง ๆ ขณะนั้นบุตรนางเตี้ยวกัวหูอุ้มบุตรเดินมาได้ยินมารดาบ่นดังนั้นจึงพูดว่า มารดาจะบ่นไปทำไม ฤดูนี้ขายไม่ดีฤดูหน้าก็จะขายดีแม่จะบ่นไปทำไม นางแม่พูดว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ แม่ไม่ได้ร้อนด้วยเรื่องจะขายได้ไม่ได้ วันนี้เมื่อจวนจะพลบค่ำเก็บร้าน มีสี่คนพ่อค้าม้ามาร้องเรียกเช่าห้องนอน เธอเข้ามาจะกินโต๊ะอย่างที่หนึ่ง แม่ปรารถนาอยากได้เงินเขา เธอไม่กินโชจะกินแจ ก็ตามใจจัดหาให้เธอกินอิ่มแล้ว จะคิดราคาก็ยังไม่ได้เงินเขา นางลูกสาวพูดว่าเราได้ให้กินที่นี่แล้วต้องไม่ยอมให้ไปนอนที่อื่น พอรุ่งเช้าเราจัดเครื่องโต๊ะ เหล้ายาให้พร้อมให้เขากิน​แล้วจะวิตกอะไรว่าจะไม่ได้เงินเล่า นางแม่พูดว่าเธอสองสามคนมีโรคกะสายบ้างเหน็บชาบ้างและกระดากแสงไฟบ้าง จะอยากนอนที่มืด ๆ เจ้าคิดดูหรือ ที่บ้านกว้างขวางดังนี้จะหาที่มืด ๆ บังลมที่ไหนมีบ้างเล่า สู้เรายกค่าเช่าให้เธอไปหาที่อื่นดีกว่า
   นางลูกสาวได้ฟังแม่พูดดังนั้น จึงพูดแก่มารดาว่า จะหาที่มืดที่บังนั้นดีแล้ว แม่ถามว่าอยู่ที่ไหน ลูกสาวบอกว่าเมื่อบิดายังอยู่ ได้ต่อทำตู้ใหญ่ไว้ตู้หนึ่ง กว้างสี่ศอกยาวเจ็ดศอกสูงสามศอก ในตู้นั้นจุนอนได้หกเจ็ดคน ให้เธอพากันไปนอนในตู้นั้นก็ได้ นางแม่ได้ฟังลูกสาวก็นึกขึ้นได้จึงพูดว่าจะลองถามเธอดูก่อน นางจึงขึ้นไปบนเล่าเต๊งถามว่า ท่านยี่กัวข้าพเจ้าหาทั้งบ้านก็ไม่มีที่ มีแต่ตู้ใหญ่อยู่ตู้หนึ่งบังลมได้ดีและมืดด้วยท่านจะเห็นควรหรือไม่ เห้งเจียบอกว่าดีแล้ว นางเตี้ยวกัวหูลงมาเรียกคนหามตู้ออกมาวางไว้แล้วก็เปิดบานออกเชิญคนทั้งสี่ไปนอน เห้งเจียนำหน้าพระถังซัมจั๋งลงมาจากเต๊ง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ยกถุงย่ามเข้าของตามลงมา ครั้นเดินมาถึงตู้โป๊ยก่ายก็ไม่ว่าดีชั่วมุดเข้าไปก่อน ซัวเจ๋งเอาข้าวของส่งไปแล้วก็พยุงอาจารย์เข้าไป ซัวเจ๋งก็เข้าไป เห้งเจียจึงเรียกให้เอาม้ามาผูกดีแล้ว จึงบอกให้นางเตี้ยวกัวหูปิดประตูตู้เอากุญแจมาลั่นพอรุ่งเช้าค่อยมาเปิด นางก็ทำตามเห้งเจียสั่ง
   เวลานั้นเป็นฤดูร้อน เข้าอยู่ในตู้ทั้งสี่คนลมก็เข้าไม่ได้ พากันได้ความร้อนทุรนทุรายปราศจากความสุข พากันถอดผ้าโพกศรีษะและเสื้อออก ในนั้นก็ไม่มีพัดพากันเอาผ้าปัดไปปัด​มานอนก็ไม่หลับจนเข้ายามสองจึงได้หลับ แต่เห้งเจียนอนหลับๆ ตื่นๆ จึงยื่นมือไปหยิกขาโป๊ยก่าย ๆ ตาก็หลับปากก็บ่นพึมพำ ว่านอนก็นอนไปเดินมาลำบากทุกข์ยากจะเอาใจที่ไหนมาหยอกกันเล่นอีกเล่า เห้งเจียจึงแกล้งพูดว่าพวกเรา ต้นทุนเดิมห้าพันตำลึงที่ซื้อม้าไปแล้ว ยังคงอยู่สี่พันตำลึงยังฝูงม้านี้อีกสามพันตำลึง หากขายลงแล้วจะได้กำไรเท่าทุน พูดไปพูดมาโป๊ยก่ายเป็นคนนิสัยขี้เซาก็มิได้โต้ตอบ หารู้ว่าคนใช้ในเตี้ยมลุกขึ้นหาบน้ำหุงข้าวไม่ ด้วยมันเป็นพวกเดียวกันกับขโมยเมื่อเวลามันตื่นนั้นมันแอบเข้าไปฟัง ได้ยินเห้งเจียพูดเรื่องเงินว่ามีมากดังนั้น มันจึงใช้ให้พวกของมันออกไปบอกพวกขโมยเข้ามาอีกสิบคน จุดคบไฟจะเข้ามาปล้นเอาผู้พ่อค้าม้า ในบ้านนางเตี้ยวกัวหู พวกผู้หญิงก็ตกใจกลัวตัวสั่นไปทุกคน ก็ช่วยกันปิดประตูเสีย ตามแต่มันจะทำกันข้างนอก
   ฝ่ายพวกขโมยก็หาได้คิดจะปล้นเตี้ยมนั้นไม่จะใคร่ปล้นแต่พ่อค้าม้า ก็พากันกรูขึ้นบนเล่าเต๊งค้นหาก็ไม่พบ จึงจุดไฟสว่างขึ้นเที่ยวค้นหารอบเตี้ยมก็ไม่เห็น แลไปกลางบ้านเห็นมีตู้ใหญ่ตั้งอยู่จึงพากันเข้ามาจับม้าออกมาแล้ว เห็นตู้ลั่นกุญแจแน่นหนาจะคัดง้างออกยากจึงปรึกษากันว่าพวกพ่อค้านี้มันมีปัญญา ชะรอยเงินทองเข้าของจะอยู่ในตู้นี้เอง อย่าเลยพวกเราช่วยกันหามเอาตู้นี้ไปนอกเมืองผ่าออกแบ่งกันจะมิดีหรือ คิดเห็นตกลงกันดังนั้นแล้ว ก็เอาเชือกมาคล้องตู้ช่วยกันหามออกมานอกเมือง เวลาที่พวกโจรหามตู้ไปนั้น โป๊ยก่าย​กำลังนอนผุดลุกขึ้น ถามว่าพี่เห้งเจียทำไมยังไม่นอนนั่งโคลงตู้เล่นทำไม เห้งเจียกระซิบบอกว่าอย่าเอ็ดไป ไม่มีใครโคลงเล่นดอก
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับซัวเจ๋งก็ตกใจผุดลุกขึ้นถามว่า ใครมาหามพวกเราไปข้างไหน เห้งเจียห้ามว่าอย่าพูดรอให้มันหามไปทางทิศไซทีและไปข้างตะวันตกเราไม่ต้องเดิน ฝ่ายพวกขโมยครั้นหามออกไปแล้ว ก็หาหามไปข้างทิศไซทีไม่ กลับหามย้อนไปข้างทิศตะวันออก ถึงประตูเมืองก็ช่วยกันตีพวกเฝ้าประตูแตกหนีไปหมด แล้วจึงเปิดประตูเมืองหามตู้ออกไป เวลานั้นอึกทึกโกลาหลรู้ถึงนายทหาร จึงเรียกพลทหารมาพร้อมถือเครื่องอาวุธครบมือกันแล้ว ก็ไล่จับพวกโจร พวกโจรเห็นทหารมามากก็ทิ้งตู้ไว้รีบหนีเอาตัวรอดไปทั้งสิ้น พวกทหารจึงจับม้าหามตู้พากันกลับ นายทหารเห็นม้าตัวนั้นดีก็ไม่ขี่ม้าของตัวจับม้าที่ได้มานั้นขี่เข้าเมือง ครั้นถึงที่พักแล้วจึงให้พลทหารยกตู้นั้นเข้ามาตั้งในตึก จึงทำรายงานฉบับหนึ่งใส่ซองผนึกมอบให้ขุนนางกองตระเวนนำขึ้นถวายพระเจ้าแผ่นดินตามแต่จะโปรด
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่ในตู้บ่นด่าเห้งเจียว่า มึงอ้ายชาติลิงมาแกล้งฆ่าเราเสียดังนี้ได้ หากอยู่นอกเขาจับได้ไปส่งให้เจ้าเมืองก็ยังจะมีคำโต้ตอบได้บ้าง นี่มาอยู่ในตู้ลั่นกุญแจดังนี้ อ้ายพวกขโมยลักหามมา พวกทหารแย่งเอามาได้ดังนี้ พรุ่งนี้เช้าเห็นเจ้าจะสำเร็จแล้ว เขาคงลงดาบฆ่าเสียดังนี้จะไม่เสียการใหญ่ไปหรือ เห้งเจียได้ฟังอาจารย์บ่นว่าดังนั้นจึงพูดว่า นิมนต์อาจารย์นอนให้สบาย​เถิด พรุ่งนื้ถ้าเจ้าเมืองมิจฉาทิฐิแล้ว ข้าพเจ้าจะมีคำโต้ตอบเอง และจะรับประกันมิให้พระอาจารย์เปลืองสักเท่าเส้นขนหนึ่ง รอเข้ายามสี่เห้งเจียก็แผลงฤทธิ์เอาตะบองเหล็กออกจากหู เสกด้วยพระคาถาเป่าไป ตะบองก็กลายเป็นสว่านอันหนึ่ง เห้งเจียจึงเอาเจาะใต้พื้นตู้ทะลุออกรูหนึ่งแล้ว เห้งเจียก็แปลงกายเป็นมดตานอยตัวหนึ่งลอดออกมาจากตู้แล้วก็แปลงเป็นรูปเดิม เหาะขึ้นบนกลีบเมฆไปยังประตูพระราชวัง
   เวลานั้นพระเจ้าแผ่นดินยังกำลังประทมหลับสนิท เห้งเจียก็แผลงฤทธิ์แบ่งภาคถอนขนเสกเป่า ให้แปลงเป็นหนอนหาวนอนหลายร้อยหลายพันตัว แล้วอ่านคาถาเรียกพระภูมิเจ้าที่ซึ่งรักษาเมืองนั้น สั่งให้เอาหนอนหาวนอนไปใส่ให้พระเจ้าแผ่นดินและขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายในฝ่ายหน้าหลับให้หมด อย่าให้รู้สึกได้ ครั้นให้หนอนไปแก่พระภูมิเจ้าที่แล้ว เห้งเจียก็ถอนขนที่บ่าขวาออกเสกให้เป็นเห้งเจียน้อยตั้งร้อยตั้งพัน ทุกๆรูปให้ถือตะบองแกว่งกวัดแปลงเป็นมีดโกนคนละเล่มทุกคน ตัวเห้งเจียเองก็ถือมีดโกนเล่มหนึ่งแล้วก็สั่งทุกรูปที่แปลงนั้น ให้ถือมีดโกนเข้าไปในพระราชวัง จับขุนนางใหญ่น้อยทั้งพระมเหสี นางสนมโกนผมให้โล้นเสียทุกคน บัดเดี๋ยวก็สำเร็จตามสั่งทุกประการ จึงไล่พระภูมิเจ้าที่ให้กลับไปยังที่อยู่ของตนแล้ว
   เห้งเจียก็เรียกขนกลับเข้าตัวเหาะกลับมาแปลงเป็นมดตานอยมุดเข้าตู้ แล้วก็แปลงกลับเป็นรูปเดิมคอยรักษาอาจารย์
   ฝ่ายนางในใหญ่น้อยครั้นจวนจะแจ้งยังไม่ทันสว่าง ก็พากัน​ลุกขึ้นสะสางล้างหน้าแต่งตัวทุก ๆ คน ไม่มีผมพากันหัวโล้นทั้งสิ้น จึงพากันไปที่ตำหนักต่างคนก็ทำดนตรีตามเคย ทุกคนต่างมีความโศกเศร้าโทมนัสไม่กล้าจะออกเสียงขับขาน สักประเดี๋ยวหนึ่งพระมเหสีก็ตกพระไทยตื่นนางรู้สึกว่าผมไม่มี จึงลุกเดินมายังข้างที่บรรทมแห่งพระเจ้าแผ่นดิน เห็นพระเจ้าแผ่นดินคลุมบรรทมหลับอยู่จึงแกล้งให้เสียงขึ้น พระเจ้าแผ่นดินตกพระทัยตื่นแลเห็นพระมเหสีไม่มีผม จึงลุกขึ้นตรัสถามว่าเหตุไฉนผมจึงไม่มีดังนี้เล่า พระมเหสีกราบทูลว่าใช่จะเป็นแต่ข้าพเจ้า แม้พระองค์ก็เป็นดังข้าพเจ้าเหมือนกัน จึงพระเจ้าแผ่นดินยกพระหัตถ์ขึ้นลูบบนพระเศียรก็มิได้พบพระเกศา ตกพระทัยไม่เป็นสมประดี จึงตรัสว่าเหตุไฉนจึงมาเป็นเช่นนี้ได้
รูปภาพ ; เจ้าเมืองเปียดฮวดก๊กนี้ พระองค์ได้ครองราชสมบัติมาช้านาน ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระทัยเกิดเป็นมิจฉาทิฐิขึ้น ให้เห็นผิดเป็นถูกไป ไม่ดำรงทรงพระทัยอยู่ในทางทศพิธราชธรรม รับสั่งให้ข้าราชการจับพระภิกษุสงฆ์ฆ่าเสียมากกว่ามากแล้ว ครั้นเมื่อพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์มาถึงเมืองเปียดฮวดก๊กเข้า เห้งเจียแผลงฤทธิ์อานุภาพทรมานพระองค์ให้ทรงกลับพระทัย จึงกลับได้พระสติเห็นชอบ เกิดศรีทธารักษาศีลภาวนาตามพระพุทธศาสนาเช่นแต่ก่อนมา
   ในขณะนั้นทอดพระเนตรไป เห็นสาวสนมกรมในศรีษะโล้นไม่มีผมเลยแต่สักคนเดียว พระเจ้าแผ่นดินทรงพระกรรแสงเสียพระทัยตรัสว่า ชะรอยจะเป็นด้วยเวรกรรมที่เราฆ่าพระสงฆ์มากมายนัก บาปนั้นมาตามทัน จึงบันดาลให้เป็นไปดังนี้ จึงมีรับสั่งกำชับห้ามปรามว่าอย่าให้ฝ่ายในพูดจาถึงเรื่องโกนผมให้ขุนนางฝ่ายหน้ารู้เหตุ ข้าราชการใหญ่น้อยจะพากันกำเริบร้าวราน แล้วหาเหตุว่าเพราะเรามิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม จึงบันดาลอุบัติเหตุให้เป็นปรากฎดังนี้ แล้วพระองค์ก็เสด็จออกยังที่ว่าราชการ ฝ่ายพวกขุนนางข้าราชการใหญ่น้อยฝ่ายหน้าตามเคยถึงเวลาเข้าเฝ้าพากันไม่มีผมศรีษะโล้นไปทุกคน ต่างคนก็ทำหนังสือขึ้นถวายพระเจ้าแผ่นดินตามมูลเหตุที่เป็นการประหลาดนั้น
(บทที่ ๘๕)
 ​ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อได้เห็นขุนนางทั้งหลายไม่มีผมก็ทรงนิ่งอยู่ พวกขุนนางจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบเป็นที่อัศจรรย์ ใจที่สุดอยู่ดี ๆ เมื่อคืนนี้ พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายผมหายไปหมดสิ้นด้วยกันดังนี้ ไม่ทราบว่าจะเป็นด้วยเหตุใด พระเจ้าแผ่นดินทรงรับหนังสือที่ขุนนางถวายแล้ว ลงจากพระที่นั่งเสด็จมาทอดพระเนตรดูพวกขุนนาง เห็นแล้วจึงตรัสว่าเราและพระมเหสีนางในทุกคนก็เป็นดังนี้ด้วยกันทั้งสิ้น แต่จะเป็นด้วยเหตุผลประการใดก็รู้ไม่ได้ ตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงพระกรรแสง พวกขุนนางข้าราชการใหญ่น้อยทั้งปวงก็พากันร้องไห้ทุกคน พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งว่าตั้งแต่นี้ต่อไปเบื้องหน้าเป็นอันขาด อย่าได้ฆ่าพระสงฆ์อีกเลย ตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่ง พวกข้าราชการใหญ่น้อยซ้ายขวาก็เฝ้าอยู่ตามตำแหน่ง
   ฝ่ายขุนนางองครักษ์พนักงาน จึงประกาศว่าท่านผู้ใดมีธุระด้วยกิจราชการอันใดจงกราบทูลเถิด ถ้าไม่มีราชการแล้วจะได้เสด็จกลับฝ่ายใน จึงขุนนางฝ่ายทหารกรมม้ากราบทูลขึ้นว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ พวกข้าพระพุทธเจ้าได้เที่ยวลาดตระเวนรอบกำแพงพระนคร เมื่อคืนนี้มีผู้ร้ายลักสิ่งของ ๆ ราษฎรหามตู้มาทิ้งไว้พวกผู้ร้ายหลบหนีจับหาได้ไม่ ได้แต่ม้าขาวกับตู้ ๆ หนึ่งที่พวกอ้ายผู้ร้ายทิ้งไว้ จึงพระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้ยกตู้เข้ามาถวายเพื่อจะทอดพระเนตร พวกขุนนางนายทหารก็ให้ทหารไปยกตู้เข้ามาในพระราชวัง
   ​ฝ่ายพระถังซัมจั๋งอยู่ในตู้จิตใจไม่เป็นสมประดีตัวสั่นขวัญหนีดีฝ่อ พูดว่าเราไปถึงพระเจ้าแผ่นดินจะพูดว่ากระไร เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าพระอาจารย์อย่าบ่นไปเลย ข้าพเจ้าจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว หากเปิดตู้ออกเห็นพวกเราจะต้องคำนับยกพวกเราว่าเป็นครู ครั้นแล้วพวกขุนนางนายทหารจึงกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่าตู้นั้นยกเข้ามาแล้ว จึงพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้เปิดตู้ พวกขุนนางก็ช่วยกันงัดกุญแจเปิดออก โป๊ยก่ายทะลึ่งออกมาก่อน พวกขุนนางทั้งหลายเห็นโป๊ยก่ายก็พากันตกตะลึงพูดไม่ออก แลเห็นเห้งเจียพยุงพระถังซัมจั๋งออกจากตู้ ซัวเจ๋งก็เก็บถุงย่ามและข้าวของตามกันออกมา โป๊ยก่ายแลเห็นขุนนางนายทหารถือม้าขาวอยู่ ก็ตรงเข้ามาร้องตวาดว่าม้าของเราเองจงเอามาให้เราโดยเร็ว
   พวกขุนนางตกใจล้มคว่ำลงกับพื้น อาจารย์กับศิษย์ทั้งสี่คนก็ยืนอยู่ตรงหน้าพระที่นั่ง ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินเห็นคนทั้งสี่เป็นพระสงฆ์ก็ลงจากพระที่นั่ง พร้อมด้วยพระมเหสีและนางกำนันฝ่ายใน ทั้งพวกขุนนางข้าราชการฝ่ายหน้า ก็คุกเข่าลงนมัสการกราบไหว้ทุก ๆ คนแล้ว จึงสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งถามว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งสี่มาจากประเทศใดเมืองใดจึงได้มาถึงนี่ ฝ่ายพระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่า อาตมภาพอยู่เมืองใต้ถังทิศตะวันออก สมเด็จพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้อาตมภาพไปไซทีนมัสการพระพุทธเจ้า ขออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งถาม​ว่าท่านมาแต่เมืองไกลเหตุใดจึงได้เข้าไปอยู่ในตู้ดังนี้เล่า พระถังซัมจั๋งถวายพระพรว่า อาตมภาพได้ทราบว่ามหาบพิตรทรงอธิษฐานไว้ว่า ถ้าพบปะพระสงฆ์ก็จะให้ฆ่าเสีย เพราะฉะนั้นอาตมภาพไม่อาจจะเข้ามาในเมืองเวลากลางวัน
   ครั้นมาถึงในเมืองเข้าอาศัยร้านเตี้ยมก็ยังวิตกว่าผู้คนพลุกพล่าน จะรู้เห็นว่าพวกอาตมภาพเป็นพระสงฆ์ จึงอุบายเข้าอาศัยช่อนตัวอยู่เสียในตู้ดังนี้ ก็บังเอิญมีพวกโจรกรรมลักหามเอาตู้ไป พวกขุนนางจึงได้จับเอาตัวมาดังนี้ บัดนี้ได้เข้ามาเฝ้าพระราชสมภารแล้ว ก็เปรียบประดุจว่าแหวกเมฆออกเห็นดวงพระจันทร์อันแจ่มแจ้งแล้ว ขอให้พระองค์ได้ทรงพระกรุณาแก่อาตมภาพปล่อยไปโดยสวัสดิ์เถิด เพื่อเป็นพระราชกุศลอันยิ่งใหญ่ของมหาบพิตรพระราชสมภาร สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า ท่านเป็นพระสงฆ์อันบริสุทธิ์มาจากเมืองบนมาได้ถึงเมืองนี้ ก็ย่อมมีอภินิหารบารมีแก่กล้าเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าไม่รู้สึกมิได้รับรองให้สมควรนั้น ขอพระผู้เป็นเจ้าได้อนุญาตเถิด เมื่อปีที่ล่วงไปแล้วนั้น เป็นเหตุด้วยพระสงฆ์มีความหมิ่นประมาทติเตียนข้าพเจ้าเป็นข้อหยาบช้า ข้าพเจ้าจึงได้ตั้งสัจจาอธิษฐานขอฆ่าพระสงฆ์หมื่นรูป ในเวลาคืนนี้บันดาลให้ข้าพเจ้ากับขุนนางข้าราชการใหญ่น้อย แลพระมเหสีนางกำนันพระสนมใน มีผมอันหายไปทุก ๆ คนดังนี้ ขอท่านได้กรุณาโปรดให้โอวาทสั่งสอน แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายชายหญิงจะยอมเป็นสา​นุศิษย์กระทำตามถ้อยคำแห่งท่าน
   โป๊ยก่ายได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนั้น จึงพูดว่าแม้พระองค์จะยอมเห็นสานุศิษย์นั้น จะมีสิ่งของอันใดมาคำนับบูชาหรือ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า แม้ว่าท่านได้กรุณาอนุเคราะห์สั่งสอนแล้ว ข้าพเจ้าจะนำสิ่งของแก้วแหวนเงินทองมากระทำสักการบูชาโดยความเคารพอย่างยิ่ง เห้งเจียได้ฟังพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนั้น จึงทูลว่าพระองค์จะตรัสไปทำไมถึงแก้วแหวนเงินทอง พวกข้าพเจ้าเป็นสมณะไม่ยินดีในทรัพย์สมบัติเงินทอง มีความต้องการอยู่ก็แต่ที่จะขอให้พระองค์โปรดเปลี่ยนหนังสือเดินทาง พระราชทานอนุญาตให้ไปประเทศไซทีได้แล้ว ก็เป็นพอใจสมแก่ความปรารถนาของข้าพเจ้าทั้งหลาย อานิสงส์ที่พระองค์ได้ทรงพระราชสงเคราะห์ หากจะบันดาลให้บ้านเมืองของพระองค์มีความเจริญยิ่งยืนอยู่สิ้นกาลนานในฝ่ายหน้า
   สมเด็จพระเจ้าพระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจ้ดเครื่องโต๊ะแจถวาย ครั้นเสร็จแล้วก็ทรงเคารพพร้อมกันทั้งขุนนางข้าราชการฝ่ายใน และฝ่ายหน้าทรงนับถือว่าเป็นผู้วิเศษบริสุทธิ์ประเสริฐ ครั้นแล้วก็ทรงประทับตราเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ถวายให้พระถังซัมจั๋งไป พระเจ้าแผ่นดินจึงขอให้พระถังซัมจั๋งเปลี่ยนนามแผ่นดินให้เสียใหม่ เห้งเจียจึงทูลว่านามเมืองของพระองค์ก็ดีอยู่แล้ว ขัดแต่อักษรที่ว่าทำลายนั้นไม่ดี ควรจะแปลงเปลี่ยนให้เรียกว่าเมืองรักษาธรรม หากจะเป็นศิริมงคลแก่พระองค์และพระวงศานุวงศ์ข้าราชการและราษฎรทั้งหลาย จะมีแต่ความสุขความ​เจริญอันยิ่ง
   สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้ฟังดังนั้น มีพระทัยโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่ง ทรงกระทำความเคารพขอบคุณเป็นอันมาก แล้วจึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานรถจัดรถเพื่อจะได้ส่งพระถังซัมจั๋ง ครั้นเจ้าพนักงานจัดรถเสร็จแล้ว ก็เชิญพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามขึ้นนั่งรถ พระเจ้าแผ่นดินกับข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายใน ก็ตามส่งไปจนนอกพระนคร แล้วก็พากันกลับเข้าเมือง
   ฝ่ายอาจารย์กับศิษย์ ครั้นออกจากเมืองรักษาธรรมแล้ว พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้ามีความโสมนัสยินดียิ่งนัก จึงสรรเสริญเห้งเจียว่าคิดการครั้งนี้กระทำให้สำเร็จประโยชน์ได้สองฝ่าย ซัวเจ๋งถามว่าพี่ไปหาช่างโกนผมที่ไหนมา กระทำการให้ทันแก่ความต้องการได้รวดเร็วดังนี้ เห้งเจียจึงเล่าให้ฟังตามที่ได้กระทำมาทุกประการ อาจารย์กับศิษย์ได้ฟังเห้งเจียเล่า ก็พากันหัวเราะทุกคน
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 7-24 พากย์ไทย

ไม่มีความคิดเห็น: