
(บทที่ ๙๑)
พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ เมื่อออกจากเมืองเง็กฮัวจิวแล้วหนทางก็ราบคาบมีความผาสุขปราศจากภัยร้าย เดินมาประมาณได้สักห้าหกโยชน์ ก็แลเห็นมีป้อมและกำแพง แลดูผู้คนออกแออัดตั้งร้านขายของดูครึกครื้นน่าสนุกสนาน เมื่อคนทั้งหลายแลเห็นรูปโป๊ยก่ายหูใหญ่ปากยาวซัวเจ๋งหน้าสีหมอก เห้งเจียหน้าตาแดงคนเหล่านั้นก็พากันมายืนดูแต่ห่าง ๆ มิได้อาจจะเข้าใกล้หรือทักถามว่าอะไร พระถังซัมจั๋งเห็นผู้คนแออัดมากมายดังนั้น ก็มีความหน่วงหนักเป็นทุกข์วิตกอยู่ในใจ เกรงว่าสานุศิษย์จะก่อเหตุให้เกิดขึ้น ครั้นเดินมาสี่ห้าตรอกทางก็ยังไม่ถึงกำแพงเมือง แลไปเห็นพระอารามใหญ่มีประตูหน้าวัดจารึกอักษรสามอักษรว่า วัดชื่อหุ้นยี่
พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า เราพากันเข้าพักก่อนจะได้หาจังหันแจฉันแล้วจึงค่อยไปเห็นจะดี เห้งเจียว่าพระอาจารย์คิดอย่างนั้นชอบแล้ว จึงพร้อมกันเดินเข้าไปในวัด แลเห็นพระสงฆ์องค์หนึ่งอยู่ข้างระเบียงเดินออกมาทำเคารพยกมือคำนับถามว่า ท่านมาจากไหนพระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมามาจากเมืองใต้ถัง พระสงฆ์นั้นลดตัวลงนมัสการ พระถังซัมจั๋งตกใจเดินเข้ามาพยุงไว้แล้วพูดว่า ทำไมท่านจึงกระทำการเคารพใหญ่โตดังนี้เล่า พระสงฆ์นั้นพูดว่าข้าพเจ้าเข้าอุปสมบททั้งนี้ ตั้งจิตจะปฏิบัติสวดมนต์ภาวนาปรารถนากุศลอันยิ่ง แต่ท่านเกิดในเมืองใต้ถัง ข้าพเจ้าพึ่งได้เห็น พิเคราะห์ดูก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ด้วยความจริงแต่ชาติปางก่อนท่านจะได้ปฏิบัติบวชเรียนถึงที่แล้ว จึงได้มีความพอใจรับรองดังนี้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้พอใจนมัสการท่าน
พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า น่ากลัวที่ท่านสรรเสริญดังนั้น อาตมภาพเป็นแต่พระสงฆ์เดินหน จะมีอันใดรับรองที่ไหนหากว่าท่านผู้อยู่ในอารามดังนี้ รักษาธรรมโดยสุจริตสุขสำราญรับซึ่งบุญกุศลเป็นอย่างยิ่ง พูดโต้ตอบกันไปมาพระสงฆ์องค์นั้น ก็พาพระถังซัมจั๋งไปนมัสการพระพุทธรูปในพระอุโบสถแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงร้องเรียกสานุศิษย์ทั้งสามตามเข้ามา พระสงฆ์องค์นั้นแลเห็นคนทั้งสามเข้ามา จึงถามว่าท่านอาจารย์สานุศิษย์ชองท่านทำไมรูปร่างหยาบคายเช่นนั้นเล่า พระถังซัมจั๋งตอบว่ารูปร่างหยาบคายก็จริงอยู่ แต่เธอมีฤทธิ์เดชเชี่ยวชาญ อาตมภาพก็ได้อาศัยเธอคุ้มครองตลอดมาจึงได้มาถึงนี่ กำลังพูดกันอยู่ก็แลเห็นข้างในมีพระสงฆ์สามสี่รูปเดินออกมา กระทำความเคารพพระถังซัมจั๋งแล้วถามว่า ท่านอาจารย์อยู่ถึงเมืองใต้ถังจะมาถึงที่นี่ทำไมหรือ
พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพรับ ๆ สั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ให้ไปยังเขาเล่งซัว นมัสการพระพุทธเจ้า ขออารธนาพระไตรปิฎกธรรม เดินทางมาถึงนี้เห็นมีพระอาราม ก็แวะเข้ามาจะใคร่ขอถามซึ่งมรรคาข้างหน้านั้น แลเพื่อจะหาจังหันแจฉันแล้วก็จะลาไป พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้นก็พากันชื่นชมยินดี ต่างคุกเข่าลงคำนับทุก ๆ รูป จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งไปยังกุฎิใหญ่ ข้างในนั้นมีพระสงฆ์กับฆราวาสนั่งทำแจอยู่หลายคน พระสงฆ์เหล่านั้นก็เดินเข้าไปก่อนร้องเรียกว่า ท่านทั้งหลายจงออกมาดูชนชาวเมืองใต้ถัง ที่งามก็มีที่ไม่งามก็มี ที่งามสวยนั้นยากที่จะวาดจะเขียน ที่ไม่งามนั้นดูวิปลาศมาก พระสงฆ์กับฆราวาสเหล่านั้น ได้ฟังก็พากันออกมาดู ๆ แล้วก็เชิญให้นั่งเก้าอี้ แล้วก็ยกน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยง
พระถังซัมจั๋งฉันน้ำชาแล้วจึงถามว่าที่ตำบลนี้เรียกว่าเมืองอะไร พระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นบอกว่า ตำบลนี้เรียกว่าเมืองกิมเพ่งฮู้ เป็นหัวเมืองขึ้นของเมืองโซจ็อก พระถังซัมจั๋งถามว่า ตั้งแต่ตำบลนี้ไปถึงเขาเล่งซัวจะเป็นระยะทางไกลสักเท่าใด พระสงฆ์ทั้งหลายจึงบอกว่า ตั้งแต่นี้ไปข้างทิศตะวันตกประมาณสักสองพันโยชน์ พวกข้าพเจ้าเคยเดินไปถึงเพียงนั้น ที่ต่อไปถึงเขาเล่งซัวจะใกล้ไกลสักเท่าใดยังไม่เคยไป ไม่สามารถจะบอกได้ พูดแล้วก็ยกเข้าแจมาเลี้ยง ครั้นเสร็จแล้วพระถังซัมจั๋งจะลาไป พระสงฆ์ทั้งหลายก็อ้อนวอนจะให้อยู่ พูดว่าขอท่านอาจารย์รอพักอยู่สักสองสามวัน พอเสร็จการเลี้ยงง่วนเซียวแล้วจึงค่อยไปเถิด (เลี้ยงง่วนเซียวนั้นคือเพ็ญเดือนสาม) พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจพูดว่า อาตมภาพเดินทางมาทั้งวันคืนเคลื่อนคลาดจนจำไม่ได้ ไม่ทราบว่าวันไหนเป็นวันเลี้ยงง่วนเซียว
พระสงฆ์ทั้งหลายพากันหัวเราะว่า ท่านอาจารย์เพราะมีความมุ่งหมายเพ่งแต่จะไปนมัสการพระพุทธเจ้า จึงมิได้จำวันคืนวันนี้คือวันขึ้นสิบสามค่ำเดือนสามนี้เป็นวันต้น คนทั้งหลายทุกแห่งจุดโคมไฟบูชาประกวดประชันกัน จนวันขึ้นสิบห้าค่ำถึงแรมสามค่ำจึงเลิกทุก ๆ ปี ที่เมืองนี้ทุก ๆ ปีเกณฑ์กันดังนี้ และเจ้าเมืองก็มีความโอบอ้อมอารีแก่ราษฎรมาก ทุกตำบลทุกแห่งก็ต้องจุดโคมไฟทั้งสิ้น เวลากลางคืนมีกระจับปี่สีซอฆ้องกลองแตรสังข์ร้องรำเป็นที่รื่นเริงต่าง ๆ และตั้งแต่โบราณมามีสะพานเรียกว่า กิมเตงเกี้ยวคือสะพานโคมทอง ตั้งแต่เดิมมีมาตลอดจนเท่าทุกวันนี้ มีความสุขในบ้านเมือง ขอท่านอาจารย์จงหยุดพักสักสองสามวัน ข้าพเจ้าทั้งหลายจะรับรองปฏิบัติท่านมิให้อนาทรร้อนใจ พระถังซัมจั๋งได้ฟังพระสงฆ์ทั้งหลายพูดจาชี้แจงดังนั้น ขัดไม่ได้ก็ยอมหยุดพักอยู่ ครั้นเวลาจวนเย็นได้ยินเสียงกลองและระฆังตีกึกก้องอยู่หน้าโบสถ์ เป็นเวลาที่ชาวบ้านเอาโคมไฟมาจุดบูชาที่หน้าโบสถ์ พระถังซัมจั๋งจึงเดินออกมาชมเล่น แล้วต่างคนก็กลับเข้าไปนอนพัก
ครั้นรุ่งขึ้นฉันแล้วพระสงฆ์ในวัดก็มานิมนต์พระถังซัมจั๋งไปเที่ยวชมต้นผลไม้ข้างหลังสวน ครั้นเวลาบ่ายก็กลับมากุฎิ พอค่ำออกมาคู่โคมไฟข้างหน้าวัด และเลยพากันไปดูตามถนนใหญ่จนเวลาสองยามจึงได้พากันกลับมาพักนอน ครั้นเวลารุ่งแจ้งฉันแล้ว พระถังซัมจั๋งบอกแก่พระสงฆ์เจ้าอาวาสว่า อาตมภาพได้อธิษฐานตั้งใจจะกวาดพระเจดีย์ขอท่านได้โปรดเปิดประตูเจดีย์ด้วยเถิด พระสงฆ์เจ้าอาวาสได้ฟังดังนั้น จึงให้คนไปเปิดประตูพระเจดีย์ พระถังซัมจั๋งก็เข้าไปในโบสถ์นมัสการพระพุทธรูปแล้ว จึงออกมาถือไม้กวาดเข้าไปในพระเจดีย์ กวาดชั้นล่างแล้วก็ขึ้นไปทุก ๆ ชั้นจนตลอดแล้วก็ลงมา เวลานั้นก็จวนค่ำทุกแห่งก็จุดไฟ
ในคืนวันนั้นเป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำ พระสงฆ์ทั้งหลายพูดแก่พระถังซัมจั๋งว่า เราพากันไปดูตามที่ใกล้ ๆ นี้สองคืนแล้ว คืนวันนี้เป็นวันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำกำลังดี พากันเข้าไปดูในกำแพงเมือง จะได้ดูโคมไฟทองที่สะพาน ท่านจะเห็นเป็นประการใด พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพร้อมกับพระสงฆ์ทั้งหลาย และสานุศิษย์ทั้งสามพากันค่อยเดินค่อยดูไปตามถนนสองข้างจุดโคมไฟประกวดกันต่าง ๆ สี ดูสลับซับซ้อนรุ่งเรืองสว่างไสวไปทั้งสองข้างถนน เป็นเวลาชะตาเมืองเจริญ ผู้คนเดินเที่ยวดูทั้งเด็กแลผู้ใหญ่ หญิงและชายเบียดเสียดเยียดยัดอัดแอกัน แลมีการเล่นเต้นรำต่าง ๆ พิเคราะค์ดูสนุกสนานมาก
เดินต่อมาจนถึงสะพานกิมเตงเกี้ยว พระถังซัมจั๋งกับพระสงฆ์ทั้งหลายเดินเข้าไปใกล้สะพานพิเคราะห์ดู เห็นตะเกียงไฟครอบตั้งเป็นชั้น ๆ ข้างในจุดไฟสว่างมีสีสอดแซมสีไฟน้ำมัน ก็หอมฟุ้งตลบกระทบจมูก พระถังซัมจั๋งถามพระสงฆ์ที่มาด้วยกันนั้นว่า น้ำมันนั้นคือน้ำมันอะไรจึงมีกลิ่นหอมดังนี้ พระสงฆ์เหล่านั้นบอกว่า อาจารย์ยังไม่ทราบคือที่หลังเมืองนี้ ไปตำบลบ้านหนึ่งเรียกว่าบ้านห้านเทียนกุ้ย ระยะสองร้อยสี่สิบโยชน์ มีบ้านสองร้อยสี่สิบหลังคาเรือน ต้องรับเสียค่าน้ำมันทุก ๆ บ้าน แต่เสียผิดกันถ้าบ้านไหนมีเงินมากก็ต้องเสียเงินปีละสองร้อยตำลึงรวมกันจะได้ซื้อน้ำมันทุก ๆ ปี น้ำมันนั้นมิใช่น้ำมันธรรมดา คือน้ำมันจันทร์ของมีราคาหนักหนึ่งตำลึงเป็นเงินสองตำลึง หนักชั่งหนึ่งเป็นเงินสามสิบตำลึง ตะเกียงไฟสามดวงใหญ่ สามกระถางใหญ่ กระถางหนึ่งต้องใช้น้ำมันห้าร้อยชั่ง รวมสามกระถามเป็นพันห้าร้อยชั่ง คิดเป็นเงินสี่หมื่นแปดพันตำลึง ยังอีกตะเกียงไฟที่จุดแวดล้อมมีต่าง ๆ อย่างนั้นรวมทั้งสิ้น เป็นเงินห้าหมื่นตำลึงจึงจะพอจุดสามคืน
เห้งเจียถามว่าน้ำมันมากดังนั้น จะจุดสามคืนหมดทีเดียวหรือ พระสงฆ์เหล่านั้นบอกว่า สามกระถางนั้นทุกกระถางมีใส้ตะเกียงวางลงไว้จุดไฟ ใส้ตะเกียงใหญ่ประมาณเท่าฟองไก่ จุดคืนต้นมาจนถึงคืนนี้ ได้มีพระพุทธเจ้าสำแดงภาคออกมาให้เห็นพระองค์ แล้วน้ำมันนั้นก็แห้งหมดไปไฟก็ดับมืดไปเอง โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า พระองค์จะเอาน้ำมันไปเสียดอกกระมัง พระถังซัมจั๋งพลอยพูดด้วยว่าเห็นจะจริง คนชาวเมืองนี้ตั้งแต่โบราณมาก็ทำตามเคยมาดังนั้น แม้ว่าน้ำมันแห้งหมดก็ว่าพระพุทธเจ้าเอาไปก็มีความสุขเจริญในปีนั้นข้าวกล้าบริบูรณ์ แม้น้ำมันไม่แห้งก็พูดว่าไม่เป็นสุข ข้าวกล้าแห้งแล้งฝนฟ้าไม่เป็นปรกติตามฤดู เพราะเหตุนี้คนชาวเมืองจึงได้ตั้งสัตย์อธิษฐานกระทำการบูชา เป็นสัญญาตามกำหนดทุก ๆ ปีดังนี้
เมื่อกำลังพูดกันอยู่ก็ได้ยินเสียงในอากาศดังอู้ ๆ พวกชาวเมืองที่เที่ยวดูไฟก็พากันตกใจแตกกระจายหลบหลีกไปสิ้น พระสงฆ์เหล่านั้นก็ตั้งตัวไม่ใคร่อยู่ จึงบอกแก่พระถังซัมจั๋งว่านิมนต์ท่านกลับไปเถิด หากว่าลมมาพระองค์ก็เสด็จมา คือจะโปรดให้เป็นมงคลและจะมาทอดพระเนตรไฟด้วย พระถังซัมจั๋งว่าทำไมจึงรู้แน่ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมา พระสงฆ์เหล่านั้นบอกว่าทุก ๆ ปีมีมาตามเคยดังนั้น ประมาณสองยามเศษก็มีลมพัดมาจึงกำหนดรู้ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาพระราชทานชัยมงคล เพราะฉะนั้นผู้คนทั้งหลายจึงต้องหลีกหลบไปหมดทั้งสิ้น
พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมภาพก็ตั้งใจคิดถึงคุณพระพุทธเจ้า เวลานี้ก็เป็นเวลาอันประเสริฐมีพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาถึง จะคอยนมัสการจะมิดีหรือ พระสงฆ์ทั้งหลายนิมนต์ให้กลับก็ไม่กลับ บัดเดี๋ยวก็เห็นจริงในม้วนลม แปรออกมีพระสามองค์เลื่อนลอยมาใกล้ตะเกียงไฟ พระถังซัมจั๋งแลเห็นชัดก็รีบเดินเข้าไปใกล้ลดตัวลงนมัสการ เห้งเจียแลเห็นก็นึกรู้จึงเข้าพยุงอาจารย์ให้ลุกขึ้น พูดว่าผิดเสียแล้วพระอาจารย์เป็นปีศาจมารร้าย ไม่ใช่พระพุทธเจ้า พูดยังไม่ทันจะขาดคำ แลไปตะเกียงไฟก็มืดมัวได้ยินเสียงลมพัดอู้ ก็หอบเอาพระถังซัมจั๋งขึ้นแทรกเมฆเหาะไป ก็มิได้รู้ว่าปีศาจนั้นอยู่แห่งหนตำบลใดแปลงเป็นพระพุทธเจ้าลงมาดูไฟ
โป๊ยก่ายซัวเจ๋งตกใจเที่ยวเหลียวซ้ายแลขวา หาอาจารย์ก็มิได้พบเห็น เห้งเจียว่าน้องทั้งสองไม่ต้องเรียกหาที่นี่ให้ป่วยการ เพราะอาจารย์เห็นแก่การสนุกจึงได้เดือดร้อนดังนี้ ให้ปีศาจยักษ์มันจับไปแล้ว พระสงฆ์ทั้งหลายพากันตกตะลึง จึงถามเห้งเจียว่าทำไมท่านจึงรู้แน่ว่าปีศาจจับเอาพระอาจารย์ไป เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าอันที่จริงพวกชาวเมืองนี้เป็นคนโง่หลงมาหลายปีแล้ว ก็หารู้เท่าไม่ เพราะฉะนั้นจึงให้ปีศาจมันหลอกเล่นได้ และกลับเห็นว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาพระราชทานชัยมงคลและมารับซึ่งสักการะบูชา เมื่อกี้นี้ในม้วนลมสำแดงออกเป็นองค์พระพุทธเจ้าสามพระองค์ มิใช่อื่นเลยคือปีศาจยักษ์ทั้งสามมันแปลงมา อาจารย์ข้าพเจ้าไม่รู้จึงเข้าไปนมัสการ ปีศาจจึงได้ทำไฟให้ดับมืด เอาของใส่น้ำมันจับอุ้มอาจารย์เราไปด้วย ข้าพเจ้ามาไม่ทันปีศาจมันหนีไปเสียแล้ว
ซัวเจ๋งถามว่าเมื่อการเป็นเช่นนี้แล้ว พี่จะคิดอ่านประการใดเล่า เห้งเจียพูดว่าอย่าช้าน้องทั้งสองจงรีบกลับไปกับพระสงฆ์ทั้งหลาย ไปดูเก็บข้าวของกับม้าดูรักษาไว้ให้ดี พี่จะเหาะไปตามม้วนลมนี้ เห้งเจียสั่งแล้วก็เหาะขึ้นกลางอากาศ ได้กลิ่นคาวลมพัดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เห้งเจียก็รีบเหาะไปตามสายลมไปจนสว่างลมนั้นก็สงบหยุด เห้งเจียแลเห็นภูเขาใหญ่สูงตระหง่านเทียมเมฆ ก็ลดลงยังยอดเขาจะเที่ยวค้นหาถ้ำปีศาจ แลไปข้างเนินเขาเห็นคนสี่คนกับไก่และแพะสามตัวข้างทิศตะวันตกข้ามเนินเขามา เห้งเจียพิเคราะห์ดูโดยละเอียดก็จำได้ คือเจ้าปี เจ้าเดือน เจ้าวัน เจ้าเวลาทั้งสี่เจ้าแปลงกายมา จึงชักตะบองออกมากระโดดลงจากยอดเขามาสกัดที่ข้างเนินเขา ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่าเจ้าพวกนี้ซ่อนหัวออกหางจะไปข้างไหนกัน
เจ้าทั้งสี่ได้ยินก็ตกใจกลับแปลงเป็นรูปเดิม มาคุกเข่าคำนับเห้งเจียแล้วพูดว่า ท่านใต้เซี้ย งดโทษข้าพเจ้าก่อน เห้งเจียพูดว่าไม่ได้อาศัยใช้ท่านมานานแล้ว ทำไมจึงเกียจคร้านทั้งเดือนก็ไม่เห็นมา ข้าพเจ้าพึ่งเห็นหน้าท่านวันนี้ ทำไมจึงไม่คุ้มครองรักษาอาจารย์เรา มานี้จะไปข้างไหนกัน เจ้าทั้งสี่บอกว่าอาจารย์ของใต้เซียเพราะปราศจากสมาธิจิต มาหยุดพักที่เมืองกิมเพ่งฮู้ในวัดชื่อหุ้นยี่ หลงเพลินความสนุกจึงได้เกิดมีความทุกดังนี้ บัดนี้ปีศาจยักษ์มันจับพระอาจารย์ท่านไปที่ท้าวมหาชมพู หากเจ้าเทพาอารักษ์รักษาอาจารย์ท่านอยู่จึงไม่เป็นอันตราย ที่ข้าพเจ้าพากันไล่แพะสามตัวกระหืดกระหอบมาทั้งนี้ ก็เพราะว่าแพะนั้นคือซัมเอี๋ยงคัยไก่แปลว่าจะเปิดช่องอากาศ ทำลายความคับแค้นของอาจารย์ท่านเท่านั้น
เห้งเจียถามว่าที่ภูมิเขานี้เป็นที่ปีศาจอยู่หรือประการใด เจ้าทั้งสี่บอกว่าถูกแล้ว คือเขานี้เรียกว่าเขาแชเล่งซัว ในนี้มีถ้ำหนึ่งเรียกว่าถ้ำเหี้ยนเองต๋อง ในถ้ำนี้มีปีศาจยักษ์สามตนที่หนึ่งเรียกว่า ซิฮั้นใต้อ๋อง ที่สองเรียกว่า ซิซู้ใต้อ๋อง ที่สามเรียกว่า ซิติ๊นใต้อ๋อง ปีศาจทั้งสามอาศัยอยู่ในถ้ำนี้มากว่าพันปีแล้ว พวกมันตั้งแต่เล็กมามันชอบกินน้ำมันจันทร์ เมื่อมันสำเร็จภาคเปลี่ยนแปลงได้แล้วจนทุกวันนี้ มันกระทำมารยาแปลงกายให้เหมือนพระพุทธเจ้าลวงหลอกชาวเมืองกิมเพ่งฮู้ เจ้าเมืองแลขุนนางใหญ่น้อยให้ตั้งสักการะบูชาตามตะเกียงไฟด้วยน้ำมันจันทร์ ปีนี้มาพบอาจารย์ของท่าน มันรู้ว่าเป็นผู้สำเร็จ จึงได้อุ้มพาเอาไปไว้ในถ้ำ ไม่ข้ามวันก็จะแล่เนื้ออาจารย์ท่านสับละเอียด แล้วจะเอาพระอาจารย์ท่านผสมทอดน้ำมันกินเล่นเป็นภักษาหาร ใต้เซี้ยจงเอาใจใส่รีบไปช่วยท่านออกโดยเร็ว
เห้งเจียได้ฟังก็ร้องตวาดให้เจ้าทั้งสี่นั้นถอยไปแล้ว ก็รีบเดินข้ามเขาเที่ยวค้นหาประตูถ้ำ เดินมาประมาณสักสองเส้นก็แลเห็นที่ข้างริมลำธารมีปรกศิลามีบานประตูสองบาน ๆ หนึ่งเปิด ข้างบนมีอักษรจารึกว่าเขาแชเล่งซัว ถ้ำเหี้ยนเองต๋อง เห้งเจียไม่อาจเข้าไปยืนหยุดอยู่นอกประตู ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายพวกปีศาจมารร้าย มึงเร่งส่งอาจารย์ของกูมาโดยเร็ว ได้ยินเสียงข้างในตึงตังเปิดประตูออกมาคนหนึ่ง ตัวเป็นคนศรีษะเป็นกระบือร้องถามว่า เจ้าคือใครมาร้องเรียกอึกทึกจะว่าประการใดก็ว่ามา
เห้งเจียตอบว่าเราคือสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋งอยู่เมืองใต้ถัง อาจารย์เรามาเที่ยวตูตะเกียงที่สะพานกิมเตงเคี้ยว พวกเจ้าไปลักเอามาจงรีบส่งออกมาโดยเร็ว เราจะยกโทษพวกเจ้าไว้สักครั้งหนึ่ง ปีศาจศรีษะกระบือเมื่อได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้นก็กลับเข้าไปในถ้ำ บอกว่าใต้อ๋องภัยมาถึงแล้ว ปีศาจใต้อ๋องทั้งสามกำลังให้บริวารจับพระถังซัมจั๋งถอดเสื้อผ้าออก ชำระล้างให้สะอาดคิดจะแล่เนื้อทอดน้ำมันกิน ครั้นได้ยินปีศาจควายมาบอกว่าภัยจะมา ใต้อ๋องที่หนึ่งจึงถามว่าเป็นอย่างไร ปีศาจศรีษะควายบอกว่าที่ข้างนอกมีคนหนึ่งหน้าดุจรามสูรย์มาร้องทวงอาจารย์ของเธอให้รีบส่งออกไปโดยเร็ว ใต้อ๋องใหญ่ได้ฟังก็หวั่นหวาดในใจ จึงพูดว่าเราพึ่งจับมาได้ก็หาได้ถามเค้าเงื่อนชื่อแซ่ว่าเป็นอย่างไรไม่ เจ้าปีศาจน้อย ๆ จงเอาเสื้อผ้ามาให้เธอใส่แล้วพาตัวมานี่ ให้เราถามซักดูให้สิ้นสงสัย
พวกปีศาจน้อยจึงเอาเสื้อผ้ามาให้พระถังซัมจั๋งใส่แล้ว ก็พาตัวมาคุกเข่าลงต่อหน้าใต้อ๋องใหญ่ พระถังซัมจั๋งร้องขอชีวิต ปีศาจทั้งสามจึงถามว่าตัวคือพระสงฆ์มาจากเมืองไหน ทำไมเห็นรูปพระพุทธเจ้าจึงไม่หลีกหนี มากีดขวางเราอยู่ทำไม พระถังซัมจั๋งคำนับแล้วพูดว่าอาตมภาพเป็นพระสงฆ์อยู่ในบังคับของพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้อาตมภาพข้ามไปไซทีวัดลุ่ยอิมยี่ขออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม มาถึงเมืองกิมเพ่งฮู้เข้าในวัดชื่อหุ้นยี่ เพื่อจะหาข้าวแจฉัน พระสงฆ์ในอารามนั้นมีน้ำใจชักชวนให้อยู่ เพื่อให้ดูตะเกียงไฟ เพราะเป็นฤดูทำการมงคลเสียงง่วนเซียว อาตมภาพจึงได้มาดูไฟที่สะพานกิมเตงเกี้ยว อาตมภาพเห็นใต้อ๋องแปลงเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ทราบได้เมื่อเห็นแล้วก็พอใจจะใคร่นมัสการ เพราะฉะนั้นจึงได้เป็นการกีดขวางใต้อ๋อง
ปีศาจใต้อ๋องถามว่าตั้งแต่เมืองใต้ถังมาถึงนี่ระยะทางก็ไกล มาด้วยกันกี่คนขื่อเรียงเสียงใด พระถังซัมจั้งจึงบอกว่า เมื่อยังเป็นฆราวาสแซ่ตั๊น เมื่อบวชขื่อเหี้ยนจึงนามที่พระเจ้าแผ่นดินใต้ถังตั้งเรียกว่าถังซัมจั๋ง อาตมภาพมีศิษย์สามคน คนที่หนึ่งขื่อหงอคงเห้งเจียก็เรียกเกาซีเทียนใต้เซี้ยก็เรียก เมื่อปีศาจได้ยินชื่อนี้ก็นึกครั่นคร้ามสยดสยองอยู่ในใจ จึงถามว่าซีเทียนใต้เซี้ยคนนี้หรือมิใช่ เมื่อห้าร้อยปีก่อนขึ้นไปทำสงครามบนสวรรค์นั้นหรือ พระถังซัมจั๋งตอบว่าคนนั้นแหละ ยังคนที่สองชื่อตือหงอเหนงโป๊ยก่ายก็เรียก คือแม่ทัพของเง็กเซียงฮ่องเต้ ตำแหน่งที่ผ้องง่วนโซ่ยจุติลงมา ยังคนที่สามชื่อซัวหงอเจ๋งซัวเจ๋งก็เรียก คือขุนนางรักษาพระองค์ของเง็กเซียงฮ่องเต้ จุติลงมาเกิดในมนุษย์โลก
ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นต่างก็มีใจครั่นคร้ามจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นอย่าเพิ่งกินก่อนเจ้าน้อย ๆ จงเอาโซ่ร้อยไว้ก่อน รอจับสานุศิษย์ทั้งสามมาได้แล้วจึงค่อยฆ่า ว่าแล้วจึงจัดเตรียมพลทหารหมู่กระบือปีศาจ ต่างตนถืออาวุธทุก ๆ คนแล้วก็ยกออกจากถ้ำมีคนถือธงนำหน้ายกเป็นกระบวนออกไป ตีกลองและม้าฬ่อเสียงโกลาหล ปีศาจใต้อ๋องทั้งสามต่างแต่งตัวถืออาวุธสำหรับมือ ดูท่วงทีแข็งแรงคุมพลยกออกไปหน้าประตู ร้องถามด้วยเสียงอันดังว่า ใครที่ไหนจึงสามารถมาร้องท้าทายดังนี้ ไม่เกรงกลัวความตายดอกหรือ
เห้งเจียแลดูเห็นปีศาจทั้งสาม คนหนึ่งถือขวานด้ามยาว คนหนึ่งถือง้าว คนหนึ่งบ่าแบกตะพดหวาย และพวกบริวารใหญ่น้อยนั้นล้วนแต่ปีศาจศรีษะกระบือทั้งสิ้น มือถืออาวุธต่าง ๆ กัน และมีธงใหญ่สามคันเขียนอักษร คือ ซิฮั่นใต้อ๋อง ซิซู้ใต้อ๋อง ซิติ้นใต้อ๋อง เห้งเจียพิเคราะห์ดูท่วงทีแล้วก็ขยับเข้าใกล้ ร้องถามว่าเฮ้ยอ้ายโจรมึงจำเราไม่ได้หรือ ปีศาจตอบว่าเจ้าคืออ้ายคนทำร้ายบนสวรรค์ ชื่อซึงหงอคงได้ยินแต่ชื่อยังไม่เคยเห็นหน้า มาเห็นหน้าเอ็งแล้วก็นึกอดสู อันที่จริงก็คืออ้ายลิงนั่นเอง เห้งเจียได้ฟังปีศาจว่าดังนั้นก็มีความโกรธร้องด่าว่าอ้ายพวกมารร้ายขโมยน้ำมัน มึงอย่าพูดมากให้ช้าการ จงรีบคืนอาจารย์มาให้เรา ว่าแล้วมือก็แกว่งตะบองรุกไล่เข้าตีปีศาจ ๆ ทั้งสามก็ยกอาวุธขึ้นรับออกกำลังต่อสู้กันโดยสามารถได้ประมาณร้อยห้าสิบเพลง
เวลาก็จวนค่ำยังมิได้แพ้ชนะกัน ปีศาจใต้อ๋องที่สามเอาตะพดแกว่งเดินขึ้นหน้า จับธงโบกเป็นสัญญาณ ฝูงปิศาจกระบือก็กรูกันเข้าล้อมจับเห้งเจีย ต่างตนถืออาวุธเข้าระดมกันทั้งตีทั้งแทงเป็นตะลุมบอน เห้งเจียอยู่ท่ามกลางเห็นจะเอาชัยชนะมิได้ ก็เหาะขึ้นบนอากาศแทรกเมฆหนีไป พวกปีศาจก็มิได้ไล่ติดตามคุมพลกลับเข้าถ้ำ เห้งเจียเหาะกลับมายังวัด ชื่อหุ้นยี่ ครั้นถึงก็ลงยังพื้นเข้าหาโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง เล่าความตามเหตุให้โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งฟังทุกประการ โป๊ยก่ายถามว่า เห็นจะเป็นเมืองพระยามัจุราชกระทำหลอกดอกกระมัง ซัวเจ๋งถามว่าทำไมจึงจะรู้ได้ว่าพระยามัจุราชเล่า โป๊ยก่ายว่าพี่เห้งเจียมาบอกว่าเห็นพวกปีศาจมีศรีษะเป็นกระบือ จึงรู้ได้ว่าเป็นเมืองพระยามัจุราช
เห้งเจียว่าหาใช่เช่นนั้นไม่ หวกเราพิจารณาดูปีศาจทั้งสามนี้คือควายไม่ต้องสงสัย โป๊ยก่ายว่าถ้าเป็นควายจริงแล้ว เราช่วยกันจับเอามาเลื่อยเขาไปขายก็คงจะได้ราคา กำลังพูดกันอยู่ก็แลเห็นพระสงฆ์ให้คนยกเครื่องแจมาเลี้ยง ครั้นกินอิ่มแล้ว เห้งเจียจึงพูดว่าเราจัดแจงไปพักนอนเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าเราพร้อมกันไปจับปีศาจทั้งสามนี้ได้แล้ว จึงจะแก้อาจารย์ซองเราออกได้ ซัวเจ๋งพูดว่า โบราณท่านย่อมว่าทิ้งทอดการไว้เนิ่นช้า หากจะแปรปรวนเราจะลำบากเมื่อภายหน้า ปีศาจนั้นบางทีในคืนนี้จะไม่นอน จะทำอันตรายแก่อาจารย์เรา ๆ จะแก้ไขด้วยประการใด ถ้าเวลานี้เราไปมันไม่ทันรู้ตัว บางทีจะมีชัยชนะโดยง่าย เพราะว่ามันไม่ทันจะรู้ตัว ถ้าช้าไปเกลือกจะเสียที
โป๊ยก่ายว่าซัวเจ๋งคิดนี้ถูกต้อง แล้วจึงจัดแจงเตรียมตัวให้มั่นคง เห้งเจียจึงพูดแก่พระสงฆ์ในวัดว่า เราจะไปปราบพวกปีศาจศรีษะกระบือ ขอฝากม้ากับสิ่งของทั้งนี้ไว้กับท่าน ถ้าเราปราบปีศาจได้แล้ว ราษฎรจะได้ไม่ต้องเสียส่วยน้ำมันจะได้พากันเป็นสุขทั่วไป พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น พากันสรรเสริญชอบใจ เห้งเจียครั้นฝากฝังสั่งเสียเสร็จแล้ว สามคนก็พากันเหาะไป
(บทที่ ๙๒)
มาบัดเดี๋ยวถึงเขาแชหุ้นซัวถ้ำเหี้ยนเองต๋องก็ลดลงยังพื้นแผ่นดิน โป๊ยก่ายคิดจะใคร่ฟันทลายประตูถ้ำเข้าไป เห้งเจียห้ามว่าอย่าเพิ่งวุ่นวายไปก่อน รอให้พี่เข้าไปดูอาจารย์ว่าจะเป็นตายประการใดแล้วจึงค่อยสู้รบกันต่อภายหลัง ว่าแล้วเห้งเจยก็ร่ายพระคาถาขยับตัวแปลงเป็นแมลงเม่าน้อยตัวหนึ่ง บินเข้าไปในถ้ำแลเข้าไปก็เห็นปีศาจกระบือนอนหลับกรน ออกเกลื่อนกลาดเกะกะกันมิได้รู้สึกสมประดี เห้งเจียก็บินเลยเข้าไปชั้นในเงียบสงัดไม่กระตุกกระตาก มิได้รู้ว่าปีศาจทั้งสามจะอยู่แห่งใด เห้งเจียก็บินเลยเข้าไปหลังห้องได้ยินเสียงคนคร่ำครวญร้องไห้ เห้งเจียเงี่ยหูลงฟังก็ได้ยินเสียงอาจารย์จำได้ เห้งเจียจึงบินเข้าไปใกล้อาจารย์ก็ได้ยินเสียงร้องให้คร่ำครวญว่า ตำบลไซทีไม่เหมือนเมืองใต้ถัง ฤดูเดือนสามกำลังร้อนทำไมจึงมีแมลงเม่าบินมาดังนี้ เห้งเจียได้ยินก็อดไว้ไม่ได้ จึงร้องขึ้นคำหนึ่งว่า พระอาจารย์ข้าพเจ้ามาแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่าแมลงเม่านั้นเป็นเห้งเจียหรือ
ในทันใดนั้นเห้งเจียกลายกลับเป็นรูปเดิมคำนับแล้วจึงพูดว่า พระอาจารย์ไม่รู้เหตุผลจึงได้พากันชักช้าไปดังนี้ เมื่อกลางวันข้าพเจ้าได้ต่อสู้แก่มันทั้งสามจนเวลาค่ำจึงได้กลับ บัดนี้ข้าพเจ้าผู้ศิษย์พากันมาทั้งสามคน ข้าพเจ้าเห็นเวลาดึกดื่นจะรบพุ่งกันลำบาก และทั้งยังไม่ทราบว่าอาจารย์จะดีร้ายประการใด จึงได้แปลงตัวเข้ามาดูเสียให้รู้แน่แก่ใจก่อน ข้าพเจ้าเห็นปีศาจกำลังนอนหลับสนิท อาจารย์จงขึ้นหลังข้าพเจ้ารีบหนีไปเถิด เห้งเจียอ่านคาถามหาสะเดาะเอามือลูบที่กุญแจเป่าลงไปทีหนึ่ง กุญแจก็หลุดจากมือพระถังซัมจั๋งทันที เห้งเจียพยุงอาจารย์ขึ้นหลังได้แล้ว ก็รีบหนีออกทางประตูถ้ำ เวลาที่เดินออกมานั้นได้ยินเสียงปีศาจใต้อ๋องร้องถามว่า ทำไมไม่ได้ยินพวกเจ้าน้อย ๆ ตีเกราะเคาะไม้นั่งยาม พากันนอนหลับเสียดังนี้
ฝ่ายพวกปีศาจได้ยินเสียงใต้อ๋องเรียกถามดังนั้น ก็พากันตกใจตื่นลุกขึ้นตีเกราะเคาะไม้ และลุกขึ้นเที่ยวเดินตรวจดู บังเอิญมาโดนพระถังซัมจั๋งกับเห้งเจียกำลังจะหนีออกไป พวกปีศาจก็พากันร้องขึ้นว่าจะหนีไปข้างไหน เห้งเจียไม่ได้ตอบว่ากระไรชักตะบองออกหวดช้ายหวดขวาล้มตายลงสองสามคน นอกกว่านั้นก็วิ่งหนีกลับเข้าไปในประตูถ้ำร้องเรียกว่าใต้อ๋องรีบลุกขึ้นเถิด อ้ายหน้าขนมันเข้ามาในนี้ตีคนตายเสียหลายคนแล้ว ฝ่ายปีศาจใต้อ๋องทั้งสามได้ยินบริวารร้องเรียกก็ตกใจลุกขึ้นร้องว่า จับไว้อย่าให้มันหนีไปได้ พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นก็ตกใจมือและเท้าก็อ่อนเปลี้ยไปหมด เห้งเจียไล่ตีพวกปีศาจแตกกระจายเป็นช่องออกไปได้ถึงประตูถ้ำ จึงร้องเรียกโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งให้ช่วย เห้งเจียออกนอกประตูได้แล้วจึงเล่าเหตุในถ้ำให้โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งฟังทุกประการ
ฝ่ายปีศาจใต้อ๋องไล่มาทันก็เข้าแย่งเอาพระถังซัมจั๋งไปได้ ลากตัวไปล่ามโซ่ไว้อย่างเดิมแล้ว จึงจุดไฟมาส่องถือดาบมายืนถามพระถังซัมจั๋งว่า ทำไมจึงถอดกุญแจมือได้ และอ้ายลิงนั้นทำไมจึงเข้ามาได้ จงบอกไปตามจริง ถ้าปิดบังอำพรางไว้จะฟันด้วยดาบให้ขาดสองท่อนเดี๋ยวนี้ พระถังซัมจั๋งตกใจกลัวตัวสั่นบอกว่า ใต้อ๋องไม่ทราบ อันสานุศิษย์ของอาตมภาพนั้น มีวิทยาเชี่ยวชาญแปลงกายได้ถึงเจ็ดสิบสองประการ เมื่อกี้นี้แปลงเป็นแมลงเม่าเข้ามาช่วย บังเอิญใต้อ๋องรู้สึก คนทั้งหลายจึงได้เห็น พากันร้องอึกทึกขึ้น เธอจึงทิ้งอาตมภาพเสียหนีเอาตัวรอดไปแล้ว ปีศาจใต้อ๋องทั้งสามได้ฟังก็หัวเราะพูดว่า นี่หากเราตื่นขึ้นจึงหนีไปมิได้ พูดแล้วก็สั่งปีศาจทั้งหลายให้ปิดประตูนอกในให้มั่นคง แลให้เงียบระงับอย่าให้ทำเสียงดังอื้ออึงเซ็งแซ่ไป
ซัวเจ๋งจึงพูดแก่เห้งเจียว่า ปีศาจมันจับเอาอาจารย์กลับเข้าไปแล้วปิดประตูหน้าต่างแน่นหนาฉะนี้ มันจะทำร้ายแก่อาจารย์เราเป็นแน่แล้ว พวกเรารีบพังประตูเข้าไปแก้อาจารย์จึงจะพ้นอันตราย โป๊ยก่ายว่าจริงแล้ว จึงยกคราดขึ้นสับฟันโดยเต็มกำลังประตูศิลาก็พังทลายลงละเอียดไปทันที ปากโป๊ยก่ายก็ร้องว่าอ้ายขโมยน้ำมันมึงจงรีบส่งอาจารย์ของกูออกมาโดยเร็ว ส่วนปีศาจทั้งสามเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงแต่งตัวสวมเกราะมือถืออาวุธสำหรับตัวทั้งสามคน คุมพลออกมายังประตูถ้ำ ต่อสู้กับโป๊ยก่ายและซัวเจ๋ง เห้งเจีย เวลานั้นประมาณสักสามยามท้องฟ้าสว่างด้วยแสงจันทร์ดุจกลางวัน ปีศาจก็ขับพลเข้าไล่ตะลุมบอน เห้งเจียก็เข้าสู้กับปีศาจที่ถือขวาน โป๊ยก่ายก็เข้าต่อสู้กับปีศาจที่ถือง้าวใหญ่ ซัวเจ๋งก็เข้าต่อสู้กับปีศาจที่ถือไม้ตะพดหวายใหญ่ รบรอต่อสู้กันโดยสามารถยังไม่แพ้แลชนะกันได้
ปีศาจใต้อ๋องร้องให้พลทหารระดมรุกรบเข้ามาล้อมจับโป๊ยก่าย ๆ ต่อสู้สับฟันสักเท่าใดพวกปีศาจก็มิได้ถอยหนี ตรงเข้ารวบรัดโป๊ยก่ายลากเอาตัวเข้าไปในถ้ำมัดไว้ ฝ่ายซัวเจ๋งกำลังรบแลไม่เห็นโป๊ยก่าย ก็แกว่งพลองตีปีศาจซิติ๊นใต้อ๋อง หวดไปทีหนึ่งแล้วจะถอยหนี พวกพลปีศาจกรูเข้าล้อมจับซัวเจ๋งได้ลากเอาไปมัดไว้ในถ้ำ เห้งเจ้ยเห็นดังนั้นก็พลันเหาะขึ้นบนอากาศหวนกลับไปยังวัดชื่อหุ้นยี่ พระสงฆ์ในวัดเห็นเห้งเจียกลับมาก็พากันมาต้อนรับ ถามว่าช่วยท่านอาจารย์ออกมาได้แล้วหรือ เห้งเจียบอกว่าแสนยากช่วยไม่ได้ ด้วยปีศาจเหล่านั้นมีฤทธาเชี่ยวชาญนัก บัดนี้จับเอาน้องข้าพเจ้าไปอีกแล้ว ขอท่านช่วยดูม้าและข้าวของไว้ ข้าพเจ้าจะขึ้นไปบนสวรรค์ ขอพลทหารเทพบุตรลงมาช่วยจับปีศาจนั้นให้ได้ พระสงฆ์ทั้งหลายว่าท่านไปบนสวรรค์ได้หรือ เห้งเจียหัวเราะแล้วตอบว่า สวรรค์นั้นดุจบ้านเดิมของข้าพเจ้าเคยไปมาเที่ยวเล่นอยู่เสมอๆ พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังก็ยิ่งมีความเกรงและเลื่อมใสยิ่งขึ้นกว่าก่อน
เห้งเจียสั่งแล้วก็ผละออกจากพระสงฆ์เหาะตรงขึ้นไปบัดเดี๋ยวก็ถึงประตูสวรรค์ ข้างทิศปราจิณก็พบกับท่านทั้ยเป๊กกิมแช ท้าวจัตตุโลกบาลเจงเฉียงที่อ๋อง และเทพบุตรอึนจูท้อโด้ขุนนางทั้งสี่กำลังนั่งสนทนากัน แลเห็นเห้งเจียขึ้นมาต่างก็ลุกเดินมาต้อนรับถามว่า ท่านใต้เซี้ยจะไปข้างไหนหรือ วันนี้จึงได้ขึ้นมาถึงนี่ เห้งเจียจึงเล่ามูลเหตุที่ถ้ำเหี้ยนเจงต๋องให้ฟังทุกประการ แล้วว่าข้าพเจ้าปราบปรามไม่ไหว เพราะฉะนั้นจึงต้องขึ้นมาเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ เพื่อให้ตรวจดูว่ากำเนิดเดิมของปีศาจจะเป็นประการใด แลจะได้ขอพลเทพบุตรยกไปช่วยกำจัดปีศาจนั้นเสียให้สิ้น ทั้ยเป๊กกิมแชได้ฟังก็หัวเราะพูดว่าท่านใต้เซี้ยรบกับปีศาจทำไมดูไม่ออกหรือว่ามันมาจากไหน เห้งเจียบอกว่ารู้ก็รู้ได้ว่ามันเป็นปีศาจกระบือ แต่มันมีอิทธิฤทธิมากจะเอาชัยชนะมันก็มิได้จึงต้องขึ้นมาฉะนี้
ทั้ยเป๊กกิมแชพูดว่า ปีศาจทั้งสามนั้นคือกระบือ รูปกายประกอบต้องตำราอากาศธาตุแลมันรักษาศีลปฏิบัติมาช้านาน จึงได้สำเร็จภาคเชี่ยวชาญจะเหาะเหินตามลมและเมฆ หรือแทรกน้ำในมหาสมุทรก็ได้ทุกประการ แม้จะจับมันให้ได้แล้วก็ต้องเชิญซีบั๊กกิมแชทั้งสี่มา มันเห็นหน้าแล้วมันก็จะยอมแพ้เองไม่สู้รบเห้งเจียก็ยกมือขึ้นคำนับถามว่า ที่ซีบั๊กกิมแชคือใครที่ไหน ขอท่านทั้ยเป๊กกิมแชได้โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด ทั้ยเป๊กกิมแชหัวเราะแล้วพูดว่า ดาวทั้งสี่นั้นคือที่ตำหนักวิมารเต๊างู่เกงแวดล้อมอยู่ท้องฟ้ารอบนอก ท่านใต้เซี้ยจงรีบไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้จะรู้ได้ตลอด เห้งเจียได้ฟังก็ยกมือขึ้นคำนับขอบคุณ แล้วก็ลาทั้ยเป๊กกิมแชไปเข้าประตูสวรรค์เดินมายังตำหนักทงเม่งเต้ย เข้าหาท่านซี้ใต้เทียนซือ ๆ เห็นก็รีบนำเห้งเจียเข้าไปยังปราสาทเล่งเซียวเต้ย ครั้นเข้ามาถึงหน้าพระที่นั่งกระทำคำนับแล้ว ก็กราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ตามซึ่งมีเหตุการณ์ให้ทรงทราบทุกประการ
เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังจึงรับสั่งให้จัดพลเทพบุตรยกลงไปเป็นพาหนะช่วยจับ เห้งเจียจึงทูลว่า ข้าพเจ้าได้พบกับทั้ยเป๊กกิมแช เมื่อตะกี้ท่านบอกว่าปีศาจนั้นคือกำเนิดกระบือ หากได้ดาวทั้งสี่คือซีบั๊กกิมแชไปกำจัดแล้วเป็นการง่าย
เง็กเซียงฮ่องเต้ ได้ทรงฟังเห้งเจียกราบทูลดังนั้น จึงรับสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ไปที่ตำหนักเต๊างู่เกงวิมารชั้นนอก ให้ซีบั๊กกิมแชทั้งสี่ลงไปเมืองใต้ช่วยเห้งเจียกำจัดปีศาจ ดาวทั้งสี่ดวงคือ กั๊กบั๊กเกาหนึ่ง เต๊าบั๊กเล่ยหนึ่ง โดยบั๊กลั้งหนึ่ง แจบั๊กกันหนึ่ง ถามออกมาว่า ท่านใต้เซี้ยจะให้ข้าพเจ้าไปกำจัดปีศาจที่ไหน
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อันที่จริงก็พวกของท่านนี่เอง หากทีแรกท่านทั้ยเป๊กกิมแชบอกความจริงว่า หมู่ดาวยี่สิบแปดดวงนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะมาเชิญท่านทั้งสี่ จักไม่ต้องไปขอคำสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ ดาวทั้งสี่พูดว่าแม้ไม่มีรับสั่งพวกข้าพเจ้าก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้เหมือนกัน เมื่อเป็นดังนี้แล้วขอท่านจงรีบลงไปเถิด เห้งเจียกับดาวทั้งสี่ก็พากันออกจากประตูสวรรค์เหาะลงไปยังเขาแชเล่งซัว ครั้นถึงหน้าถ้ำเหี้ยนเองต๋องก็หยุดอยู่บนเมฆ ดาวทั้งสี่จึงบอกแก่เห้งเจียให้ลงไปท้ารบล่อ ออกมานอกถ้ำพวกข้าพเจ้าจะได้ลงมือ เห้งเจียก็เข้าไปเอาพลองกระทุ้งประตูถ้ำ ร้องด่าท้าทายว่าอ้ายพวกขโมยน้ำมันจงรีบส่งอาจารย์ของกูออกมาโดยเร็ว
พวกปีศาจมิได้รู้สึกว่าจะตายเป็นประการใด เมื่อได้ยินเสียงด่าท้าทายดังนั้นก็มีความโกรธ ต่างถืออาวุธพร้อมกันรีบออกมายังประตูถ้ำเห้งเจียแลเห็นก็บันดาลโทสะแกว่งตะบองเข้าตีปีศาจ ๆ ทั้งสามก็ทำสัญญาณให้พวกบริวารตีวงเข้าล้อมเห้งเจียไว้ท่ามกลาง ดาวบั๊กกิมแชทั้งสี่ยืนอยู่บนเมฆแลเห็นดังนั้น ต่างก็ชักอาวุธออกแกว่งร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายเดรัจฉานมึงอย่าหมายทำร้ายเห้งเจีย ปีศาจทั้งสามได้ยินเสียงก็เงยหน้าแลไปเห็นบั๊กกิมแชทั้งสี่ ต่างก็ครั่นคร้ามตกตะลึงอยู่แล้วออกปากว่าไม่ดีเสียแล้ว มันไปเอาคู่ปรับเรามาแล้ว จึงร้องบอกพวกบริวารว่า จงรีบพากันหนีเอาตัวรอดไปเถิด
ในขณะนั้นก็ได้ยินเสียงเกรียวกราวเอิกเกริกกึกก้อง พวกปีศาจบริวารพากันกลับแปลงกายตามรูปเดิม คือกระบือเผือกแลดำต่าง ๆ วิ่งแตกตื่นกันอลหม่าน ฝ่ายปีศาจทั้งสามวางอาวุธแล้วก็แปลงกายกลับเป็นรูปกระบือไปตามเดิม เผ่นขึ้นหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เห้งเจียกับดาวแจบั๊กกัน แลกั๊กบั๊กเกา ทั้งสองก็รีบไล่กระชั้นตามปีศาจทั้งสามนั้นไป ยังดาวเต้าบั๊กเก่ยและโดยบั๊กลั้งทั้งสองนั้นเที่ยวไล่จับปีศาจกระบือตามห้วยธารเขาไม่ว่าเล็กและใหญ่จับฆ่าเสียทั้งสิ้น แล้วเข้าไปในถ้ำเหี้ยนเองต๋อง แก้มัดพระถังซัมจั๋งและโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ฝ่ายซัวเจ๋งแลเห็นก็จำได้ว่าดาวทั้งสอง จึงถามว่าทำไมท่านจึงรู้ได้มาช่วยพวกข้าพเจ้าเล่า
ดาวทั้งสองบอกว่า พวกข้าพเจ้ามาเพราะท่านใต้เซี้ยขึ้นไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ จึงมีรับสั่งโปรดให้พวกข้าพเจ้าลงมาช่วย พระถังซัมจั๋งถามว่า เห้งเจียบัดนี้ไปอยู่ที่ไหนจึงมิได้เห็นมาเล่า ดาวทั้งสองจึงบอกว่า ปีศาจใต้อ๋องทั้งสามนั้นคือกระบือสามตัว แลเห็นพวกข้าพเจ้ามา มันก็รีบแปลงตัวหนีไปข้างทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ดาวทั้งสองกับเห้งเจียรีบติดตามไปจับตัวปีศาจ ข้าพเจ้าทั้งสองเที่ยวกำจัดปีศาจบริวารราบคาบแล้ว จึงเข้ามาช่วยท่านอาจารย์กับโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง พระถังซัมจั๋งได้ฟังดาวทั้งสองพูดดังนั้นจึงว่าขอบใจท่านมากที่สุดแล้ว ดาวโดยบั๊กลั้งจึงสั่งว่า ท่านพี่น้องง่วนโซ่ยกับท่านกวนเลียมเจียงกุน จงรักษาอาจารย์ของท่านกลับไปวัดชื่อหุ้นยี่ก่อนพวกข้าพเจ้าจะตามไปช่วยกันจับปีศาจ โป๊ยก่ายว่าดีแล้วเชิญท่านทั้งสองรีบไปเถิด ดาวทั้งสองก็รีบเหาะตามไปข้างทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ฝ่ายโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งก็ช่วยกันเอาสิ่งของในถ้ำ คือ เพชรนิลจินดาและเงินทองเอาออกกองไว้นอกถ้ำแล้ว นิมนต์พระอาจารย์ให้ออกไปนั่งพักอยู่นอกถ้ำ โป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งก็ช่วยกันเอาไฟเผาถ้ำเสียสิ้นแล้ว จึงออกมาเก็บของเหล่านั้นใส่บ่ามากับอาจารย์เดินตัดตรงไปยังวัดชื่อหุ้นยี่ ฝ่ายดาวทั้งสองเหาะตามไปข้างทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แลค้นหาก็ไม่เห็น จึงเหาะเลยมายังทิศตะวันตก แลลงไปในมะหาสมุทรทะเลใหญ่ก็แลเห็นเห้งเจียอยู่บนหลังน้ำเสียงร้องตวาดอึกทึก ดาวทั้งสองก็ลดลงมาหาเห้งเจีย แล้วถามว่าปีศาจนั้นมันหนีไปทางไหน เห้งเจียแลเห็นดาวทั้งสองมาก็มีความโกรธ ถามว่าทำไมท่านไม่ตามมาช่วยกันเล่า
ดาวเต๊าบั๊กเก่ยบอกว่า ข้าพเจ้าเห็นใต้เซี้ยกับแจกั๊กสองดาวไล่ตามปีศาจมาก็นึกว่าคงจะจับได้ ข้าพเจ้าทั้งสองช่วยกันกำจัดกวาดล้างพวกปีศาจในถ้ำนั้นราบคาบแล้ว จึงเข้าไปช่วยแก้มัดอาจารย์กับโป๊ยก่ายซัวเจ๋งออกแล้ว บัดนี้พากันกลับไปยังวัดชื่อหุ้นยี่นานแล้ว ข้าพเจ้าคอยใต้เซี้ยไม่เห็นกลับจึงได้พากันมาถาม เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงพูดว่า ขอบคุณท่านทั้งสองที่มีความลำบากมาก อันปีศาจทั้งสามนั้นข้าพเจ้าไล่กระชั้นมาจวนจะทันมันก็ดำลงทะเลไป ท่านแจกั๊กทั้งสองรีบไล่ตามไป สั่งให้ข้าพเจ้าคอยดักสกัดอยู่ที่นี่ ท่านทั้งสองมาแล้วก็ดี ท่านจงคอยสกัดแทนข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าจะลงไปช่วยท่านทั้งสอง ว่าแล้วเห้งเจียก็แกว่งตะบองร่ายคาถาแหวกน้ำลงไป แลไปเห็นปีศาจกำลังต่อสู้กับดาวทั้งสองโดยสามารถ
เห้งเจียเข้าไปใกล้ร้องด้วยเสียงอันดังว่า ข้าพเจ้าเห้งเจียมาแล้ว ปีศาจทั้งสามกำลังชุลมุนต่อสู้ได้ยินเสียงเห้งเจียร้องลงมา ก็ผละหนีกลับไปกลางใจทะเลลึก ด้วยปีศาจทั้งสองมีวิชาสามารถเปิดน้ำได้ มันจึงได้หนีเปิดน้ำไปดังเสียงอู้ ๆ น้ำแตกกระจายเป็นช่องทาง เห้งเจียกับดาวทั้งสองก็ไล่กระชั้นติดมา อันเกาะและทิศตะวันตกนี้เป็นเขตของพระยาเล่งอ๋องเง่าสุนดูแล เวลานั้นพวกลาดตระเวนเที่ยวตรวจตามชายทะเลฝั่งตะวันตก แลเห็นปีศาจกระบือวิ่งแหวกน้ำเป็นช่องมา แลผู้ที่ไล่มานั้นก็จำได้ว่าเห้งเจีย คือซีเทียนใต้เซี้ยกับดาวทั้งสอง ก็รีบกลับไปบาดาลบอกพระยาเล่งอ๋อง ๆ ได้ฟังดังนั้นก็ให้หม้องั้งบุตรเตรียมพลสัตว์น้ำ แล้วพูดว่าเราคิดดูปีศาจกระบือทั้งสามนี้คงจะไปทำร้ายเห้งเจียเข้าเป็นแน่ จึงได้หนีมาถึงเขตทะเลของเรา ๆ จำจะต้องออกไปช่วยเป็นกำลัง
หม้องั้งบุตรเล่งอ๋องได้ฟังบิดาสั่งแล้วก็รีบคุมพลทหารสัตว์น้ำออกไปจากบาดาล พากันโห่ร้องเสียงเอิกเกริกเข้าขวางสกัดหน้าปีศาจกระบือไว้ ปีศาจก็กลับหวนมา เห้งเจียกับดาวทั้งสองก็สกัดไว้ ปีศาจตกใจแตกกันไปคนละตัว ส่วนปีศาจซิติ๊นใต้อ๋องตกอยู่ในที่ล้อม เห้งเจียร้องสั่งว่าอย่าทำให้มันตายจงจับไว้ทั้งเป็น หม้องั้งได้ฟังสั่งก็ตรงเข้าผลักซิติ๊นปีศาจล้มลงเอาเชือกร้อยจมูกแล้วมัดสี่ขาเอาไปบาดาล พระยาเล่งอ๋องจึงประกาศสั่งให้แยกพลทหารไล่ล้อมสกัดจับให้ได้ หม้องั้งก็พาพวกพลทหารรีบไล่ตามไป ก็แลเห็นแจบั๊กกันแปลงรูปอ้าปากจะกัดกินซิฮั้นใต้อ๋อง หม้องั้งก็ร้องด้วยเสียงอันดังว่า ท่านแจบั๊กกันอย่าทำให้ตาย ท่านใต้เซี้ยสั่งให้จับเป็น หม้องั้งร้องหลายคำมาไม่ทันแจบั๊กกันก็กัดเอาศรีษะปีศาจขาดออกไป หมองั้งมาถึงก็ให้ทหารหามเอาปีศาจกลับไปบาดาล แล้วก็พากันไล่ตามปีศาจซิซู้ใต้อ๋อง ก็แลเห็นท่านกั๊กบั๊กเกาไล่ปีศาจกลับมา ก็มาพบหม้องั้งกับท่านแจบั๊กกันสกัดไว้ ร้องสั่งให้พลทหารจับ
ปีศาจจวนตัวจึงร้องขอชีวิต แจบั๊กกันเข้ามาใกล้จึงจับใบหูไว้แล้วพูดว่า เราไม่ฆ่าท่านจะจับไปให้ท่านใต้เซี้ยจัดแจงชำระ พูดแล้วก็พากันกลับไปยังบาดาลแล้วร้องบอกว่าจับได้มาหมดแล้ว เห้งเจียเห็นศรีษะขาดเสียตัวหนึ่ง จึงพูดว่าแผลนี้มิใช่มีดดาบฟัน หม้องั้งไท้จื๊อหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าร้องห้ามไม่ทัน ท่านแจบั๊กกันกัดศรีษะขาดเสียแล้ว เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นก็ชั่งเถิด จงเอาเลื่อยมาเลื่อยเอาสองเขา แล้วลอกเอาหนังออกเสียส่วนเนื้อเอาไว้ให้ท่านเล่งอ๋องเลี้ยงกัน แล้วให้จับปีศาจทั้งสองร้อยจมูกมอบให้ท่านแจบั๊กกันจูงพาขึ้นไปยังเมืองกิมเพ่งฮู้ ให้ขุนนางใหญ่น้อยและไพร่บ้านพลเมืองดูให้เห็นแก่ตา คือมันแปลงเป็นพระพุทธเจ้าหลอกให้ชาวเมืองเพ่งฮู้ได้รับความเดือดร้อนมาช้านานแล้ว จึงจะได้เอาไปให้เขาดูจะได้รู้ทั่วกัน
ครั้นเสร็จธุระแล้วเห้งเจียกับดาวทั้งสี่ก็ลาเล่งอ๋องออกจากบาดาล จูงปีศาจทั้งสองมาข้างริมฝั่งทะเลทิศตะวันตก มาบรรจบพร้อมกับดาวบั๊กเก่ยและโดยบั๊กลั้งทั้งสองแล้วก็พากันขึ้นเหยียบเมฆเหาะไปยังเมืองกิมเพ่งฮู้ ครั้นถึงเห้งเจียจึงให้หยุดอยู่กลางอากาศ เห้งเจียจึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ชาวเมืองกิมเพ่งฮู้ทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้าจะชี้แจงให้ฟัง ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้ถือรับสั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปยังเมืองไซทีเพื่ออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม อาจารย์ข้าพเจ้าเป็นพระสงฆ์อันประเสริฐพวกท่านทั้งหลายทุก ๆ ปีจุดโคมไฟบูชาสักการะตามเคย ที่แปลงเป็นพระพุทธเจ้ามาให้คุณให้โทษนั้น คืออ้ายปีศาจกระบือนี้เอง เหตุด้วยพวกข้าพเจ้า เมื่อวันเพ็ญได้มาเที่ยวดู เห็นปีศาจนี้มาเอาน้ำมันและลักหอบเอาอาจารย์ของเราไปด้วย เราจึงต้องไปเชิญหมู่เทพยดาบนสวรรค์มาช่วยกำจัดเสียบัดนี้ก็ราบคาบแล้ว โดยได้เผาถ้ำที่อาศัยของมันเสียหมดสิ้นแล้ว
ต่อไปภายหน้าท่านทั้งหลายไม่ต้องจุดโคมไฟเช่นแต่ก่อนอีกต่อไป จะได้ไม่ต้องเที่ยวเร่งรัดเก็บค่าน้ำมันให้ราษฎรเดือดร้อนเหมือนแต่ก่อน
ฝ่ายที่วัดชื่อหุ้นยี่ โป๊ยก่ายซัวเจ๋งพึ่งพาอาจารย์มาถึงวัดก็ได้ยินเสียงเห้งเจียพูดชี้แจงอยู่บนอากาศ โป๊ยก่ายก็ผละอาจารย์เหาะขึ้นบนอากาศ ถามเห้งเจียถึงเหตุการณ์ที่จับปีศาจ เห้งเจียบอกว่าปีศาจนั้นถูกแจบั๊กกันกัดตายเสียตัวหนึ่งแล้ว เอาแต่เขากับหนังนั้นมายังอีกสองตัวก็ร้อยจมูกเอามานี้ด้วย โป๊ยก่ายว่ายังอยู่สองตัวก็เอาลงไปให้ชาวเมืองเขาดูจะได้รู้ว่าพวกเราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ขอเชิญแชกุนทั้งสี่ลงไปยังหน้าหอศาลาเมืองด้วยเถิด แล้วเอาปีศาจลงโทษให้รู้ว่าหนักเบา ท่านจะด่วนไปทำไมเล่า ดาวแชกุนทั้งสี่จึงพูดว่าท่านพี่ผ้องง่วนโซ่ยธรรมเนียมกฎหมายซึ่งโทษหนักและเบาท่านก็ย่อมทราบซึมอยู่แล้ว
โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้ารักษาศีลมาได้หลายปีแล้วก็ทราบอยู่บ้างเล็กน้อย ดาวแชกุนทั้งสี่ก็ผลักกระบือทั้งสองลงไปยังหน้าหอแล้วก็พากันลงไปยังพื้น
ฝ่ายชาวเมืองกิมเพ่งฮู้ทั้งนอกเมืองและในเมือง ต่างก็ตกใจทุกบ้านทุกเรือนพากันมาจุดธูปเทียนสักการะบูชานมัสการทุก ๆ คน บัดเดี๋ยวก็แลเห็นพระสงฆ์ในวัดชื่อหุ้นยี่ เอาเกี้ยวหามพระถังซัมจั๋งมายังหอหน้าเมือง พบกับเห้งเจีย ๆ ก็เล่าเหตุผลนั้น ๆ ให้อาจารย์ฟังทุกประการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังก็มีความยินดีสรรเสริญขอบคุณยิ่งนัก แลพวกขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยพร้อมกันจุดธูปเทียนและเผาไม้หอมบูชาพากันตั้งนมัสการโดยความเลื่อมใส นั่งอยู่สักประเดี๋ยวโป๊ยก่ายนึกขึ้นมาได้ ฉวยมีดโกนตรงเข้าจับกระบือทั้งสอง เชือดคอขาดตกลงแล้วเอาเลื่อยมาเลื่อยเขาออกทั้งสี่เขา เห้งเจียก็จัดแจงให้ดาวแชกุนทั้งสี่นำเขากระบือนั้นขึ้นไปถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ กราบทูลเหตุผลให้ทรงทราบทุกประการ ยังอีกสองเขานั้นแบ่งไว้ที่ศาลาประจำเมืองเขาหนึ่ง ยังอีกเขาหนึ่งจะเอาไปถวายพระพุทธเจ้าที่เขาเล่งซัว
ฝ่ายพวกขุนนางจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ไว้ จัดเครื่องโต๊ะแจมาถวาย แล้วป่าวร้องให้สภาตุลาการมาพร้อมกันคอยผลัดเปลี่ยนกันปฏิบัติ และออกประกาศให้รู้ทั่วกันว่าปีหน้าต่อไปไม่ให้ทำการจุดโคมไฟ และยกเลิกการเก็บส่วยน้ำมันและให้ถลกหนังกระบือไว้ทำเกราะ ส่วนเนื้อก็ให้แจกแก่ขุนนางและราษฎร และเบิกเงินกลางออกสร้างศาลาบูชาดาวแชกุนทั้งสี่ และปลูกที่บูชาจารึกนามพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามไว้เป็นที่ระลึกต่อไปภายหน้า ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์มีน้ำใจกว้างขวาง รับนิมนต์ชาวบ้านพวกที่เสียส่วยน้ำมันสองร้อยสี่สิบหลังเรือน ทุก ๆ เรือนผลัดเปลี่ยนกันเลี้ยงสมนาคุณไม่ขาดเวลา
โป๊ยก่ายได้กินอิ่มหนำพอใจ จึงเอาเพชรนิลจินดาพลอยสีต่าง ๆ ที่เก็บมาจากถ้ำ ออกแจกจ่ายให้ปันแก่ชาวบ้านไว้ชมเล่น แต่หน่วงเหนี่ยวเลี้ยงดูกันอยู่ประมาณสักเดือนเศษ พระถังซัมจั๋งจึงเรียกเห้งเจียมาสั่งว่า ของที่เก็บมาจากถ้ำยังเหลืออยู่มากน้อยเท่าใด เอาถวายไว้ในวัดหุ้นยี่ พอจวนแจ้งพวกเราออกเดิน อย่าให้ชาวบ้านเห็นจะชักช้าเวลาไป เห้งเจียได้ฟังอาจารย์สั่งดังนั้น จึงเอาแก้วแหวนเพชรนิลเหล่านั้นถวายไว้ในวัด พอเวลาค่ำเข้านอน ครั้นเวลาเช้าสามยามพระถังซัมจั๋งลุกขึ้นเรียกโป๊ยก่ายให้ลุกขึ้นผูกม้า
ฝ่ายโป๊ยก่ายเมื่อถึงเวลากลางวันกินอิ่มมาก ก็นอนหลับไหลไม่รู้สึก พูดเพ้อว่าจะผูกม้าทำไมหนอ เห้งเจียตวาดว่าอาจารย์จะไป โป๊ยก่ายก็บิดตัวเกาหูเกาคางพูดว่า จะมาละทิ้งสองร้อยสี่สิบบ้านไป พึ่งไปกินได้สามสิบบ้านเท่านั้น จะทำเล่นให้ข้าพเจ้าหิวแลอดอยากอีกหรือ พระถังซัมจั๋งบ่นว่าอ้ายพุงกระสอบอย่าพูดเลอะเทอะไปเลย รีบลุกขึ้นเถิดอย่าทำปากกล้าจะให้เห้งเจียเอาตะบองมาตีเสียเดี๋ยวนี้แหละ โป๊ยก่ายได้ยินว่าจะตีก็ตกใจลุกขึ้น พูดว่าครั้งนี้ทำไมแปรปรวนดังนี้ ตั้งแต่มาป้องกันรักษาข้าพเจ้า ทำไมวันนี้จะใช้ให้เห้งเจียตีข้าพเจ้าเล่า เห้งเจียบอกว่าอาจารย์เกลียดเจ้าเพราะฝีปากกระทำให้เสียเวลา ยังไม่รีบเก็บเข้าของเล่าจะให้ลงมือจริง ๆ ทีเดียวหรือ โป๊ยก่ายก็รีบลุกขึ้นซัวเจ่งก็ลุกขึ้น พระถังซัมจั๋งโบกมือห้ามว่าให้เบา ๆ อย่าอึกทึกไป พระสงฆ์ในวัดจะตกใจตื่น พูดแล้วพระถังซัมจั๋งก็ขึ้นม้า เห้งเจียโป๊ยก่ายก็เปิดประตูวัด อาจารย์กับศิษย์ก็พากันเดินแอบหนีออกไป
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 11-24 พากย์ไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น