
(บทที่ ๙๖)
อาจาริย์กับศิษย์ทั้งสามมาในเวลานั้นเป็นเดือนหกเข้าฤดูคิมหัน กลางวันก็เดินกลางคืนก็หาที่พัก เดินมาประมาณครึ่งเดือน แลไปข้างหน้าก็เห็นป้อมกำแพงเมือง พระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียว่า กำแพงเมืองข้างหน้านั้นจะเป็นเมืองใดตำบลใด เห้งเจียตอบว่าไม่ทราบ โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า หนทางนี้พี่ก็เคยมาถึงแล้ว ทำไมจึงพูดว่าไม่รู้เล่า เห็นจะพูดหลอกพวกข้าพเจ้าเล่นดอกกระมัง เห้งเจียด่าว่าอ้ายชาติหมูพูดไม่ตรึกตรองได้ข้ามมาถึงก็จริง แต่มาทางอากาศมิได้ลงแผ่นดิน เมื่อไม่มีธุระอะไรก็มิได้ไต่ถามจึงมิได้รู้เรื่อง จะมาหลอกลวงเอาประโยชน์ผลอะไร พูดกันพลางเดินมาตามถนนใหญ่ แลไปที่กำแพงเห็นตาเฒ่าสองคนนั่งพูดกันอยู่ พระถังซัมจั๋งสั่งให้ศิษย์ทั้งสามคนยืนรออยู่ ส่วนตัวพระถังซัมจั๋งเดินเข้าไปใกล้ปราศรัยถามว่า ท่านผู้เฒ่าทั้งสองข้าพเจ้าอยากจะใคร่ทราบว่า ที่ตำบลนี้เรียกว่าเมืองอะไร และในที่นี้จะมีคนใจบุญกุศลศรัทธาบ้างหรือไม่ รูปปราถนาจะใคร่บิณฑบาตอาหารกินสักมื้อหนึ่งด้วย
เฒ่าทั้งสองตอบว่า ตำบลนี้เรียกว่าเมืองตั้งท่ายฮู้ หลังเมืองนี้มีบ้านหนึ่งเรียกว่า (ตี้เล่งกุ้ย) แม้ว่าท่านอยากจะบิณฑบาตจังหันฉันก็นิมนต์ไปเถิดตรงไปทางนี้มีป้ายข้างทิศตะวันตก หันหน้าไปข้างทิศตะวันอก มีประตูบ้านเจ้าของบ้านชื่อญ่วนหลายเศรษฐี เธอมีศรัทธากล้าหาญถวายทานแก่สงฆ์วันละหมื่นรูป เหมือนเช่นท่านมาแต่ทางไกลเป็นอาคันตุกะอย่างนี้ ก็ตามแต่จะต้องการเถิด นิมนต์ไปเถิดข้าพเจ้าจะเสียเวลาพูดกัน
พระถังซัมจั๋งก็ลาสองเฒ่ากลับไปบอกแก่สานุศิษย์แล้วก็พากันตรงไป เวลาที่เดินมาตามทางใหญ่ พวกชาวเมืองก็พากันมาล้อมดู ที่บางคนก็กลัวจนตัวสั่นและคิดสงสัยไปต่าง ๆ พระถังซัมจั๋งเห็นผู้คนกลุ้มกันมากมายดังนั้น จึงร้องสั่งสานุศิษย์ว่าจงสำรวมระวังกิริยาอย่าให้ฟุ้งซ่าน เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งได้ยินอาจารย์สั่งดังนั้น ต่างคนก็เดินก้มหน้าสำรวมอินทรีย์มิได้เหลียวซ้ายแลขวา ครั้นอาจารย์กับศิษย์พากันเดินมาพอสุดทางถนนใหญ่ แลไปที่ประตูเห็นมีอักษรใหญ่สี่ตัวว่าไม่ขัดขืนสงฆ์ พระถังซัมจั๋งเห็นแล้วก็พยักหน้าพูดว่าประเทศไซทีเป็นพุทธภูมิคำพูดไว้ไม่ผิด โป๊ยก่ายเห็นแล้วก็จะตรงเข้าไป เห้งเจียร้องห้ามว่าอ้ายกินรำหยุดก่อน รอให้มีคนออกมาไต่ถามให้ได้ความแล้วจึงค่อยเข้าไป อาจารย์กับศิษย์พากันนั่งพักอยู่ บัดเดี๋ยวมีบุรุษหนุ่มน้อยผู้หนึ่งเดินออกมา มือหนึ่งถือตะกร้ามือหนึ่งถือคันชั่งแลเห็นคนทั้งสี่ก็ตกใจ ทิ้งสิ่งของที่ถือวิ่งหนีหกล้มลุกคลุกคลานกลับเข้าไปในบ้าน ร้องบอกนายว่าข้างนอกมีพระสงฆ์สี่รูปหน้าตาแปลกประหลาดจริง ๆ
ฝ่ายเช่าญ่วนหลายเศรษฐี เวลานั้นกำลังถือไม้เท้าเดินบริกรรมภาวนาเจริญพระพุทธคุณอยู่ในลานบ้าน เมื่อได้ยินบ่าวมาบอกดังนั้นก็รีบไปรับ เห็นอาจารย์กับศิษย์สามคนก็มิได้เกรงกลัวครั่นคร้าม ร้องว่าเชิญท่านเข้ามาเถิด พระถังซัมจั๋งก็เดินเข้าไป เศรษฐีเดินนำหน้าเข้ามาในตรอกเล็ก เศรษฐีจึงชี้ว่าหอนี้เป็นที่บูชาพระพุทธเจ้า ที่สองบูชาพระธรรม ที่สามสำหรับพักพระสงฆ์ ที่ต่อไปนั้นเป็นที่ข้าพเจ้ากับบุตรภรรยาและญาติพี่น้องอยู่ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความสรรเสริญ จึงครองผ้าเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นไปนมัสการพระพุทธ พระธรรม เศรษฐีจึงนิมนต์ให้เปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์แล้วก็นั่งสนทนากัน
ศิษย์ทั้งสามก็เข้ามาพร้อมกัน เศรษฐีจึงให้คนใช้จูงม้าไปผูกไว้ที่เฉลียงแล้วเก็บหาบข้าวของไปไว้เรียบร้อยแล้ว เศรษฐีจึงถามถึงเหตุการณ์ที่จะมาธุระนั้น พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า อาตมภาพมาจากเมืองใต้ถังข้างทิศตะวันออก โดยมีรับสั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้อาตมภาพมายังเขาเล่งซัว นมัสการพระพุทธเจ้าขออาราธนาพระไตรปิฎก วันนี้มาถึงตำบลนี้ทราบว่าท่านเศรษฐีมีจิตศรัทธา อาตมภาพจึงเข้ามาโดยประสงค์จะบิณฑบาตจังหันสักมื้อหนึ่งแล้วก็จะลาไป ฝ่ายเศรษฐีได้ทราบความดังนั้น ก็มีใจโสมนัสยินดีเป็นที่ยิ่งแล้ว หัวเราะพูดว่า ข้าพเจ้าแส้เข่าชื่อต้ายญ่วนอายุได้หกสิบปี ได้ตั้งใจอธิษฐานเลี้ยงพระสงฆ์หมื่นองค์ มาถึงวันนี้ได้ยี่สิบสี่ปีพึ่งได้เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบหกรูปยังขาดอยู่สี่รูปจะได้หมื่นหนึ่ง มาวันนี้ท่านทั้งสี่ลงมาจากฟ้าสี่รูป ก็พอครบจำนวนของข้าพเจ้าอธิษฐานไว้ ขอท่านผ่อนพักสักเดือนหนึ่งก่อน ข้าพเจ้าจะทำการครบกำหนดหมื่นองค์ เมื่อเสร็จธุระการฉลองแล้ว ข้าพเจ้าจะให้คนใช้ของข้าพเจ้าเอาเกี้ยวหามไปส่งท่าน ตั้งแต่นี้ไประยะทางแปดร้อยเส้นเศษไม่สู้ไกลนัก พระถังซัมจั๋งได้ฟังเศรษฐีว่าดังนั้น มีความยินดีก็ยอมพักอยู่
ฝ่ายเศรษฐีจึงให้คนใช้ผ่าฟืนหาบน้ำ และจัดแจงหุงต้มเครื่องคาวหวานที่จะถวายพระสงฆ์ ผู้คนทำงานการอึกทึกก็ตกใจถึงท่านยายเศรฐีจึงถามว่าพระสงฆ์มาแต่ข้างไหนหรือ คนใช้บอกว่ามีพระสงฆ์สี่รูปดูประหลาด ท่านตาถามเธอ ๆ บอกว่าอยู่เมืองใต้ถัง พระเจ้าแผ่นดินให้ไปเขาเล่งซัวอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม มาถึงบ้านเรานี้ไม่รู้ว่าทางมาจะไกลสักเท่าใด เพราะฉะนั้นท่านตาจึงสั่งพวกข้าพเจ้าให้จัดแจงทำเครื่องแจคาวหวานถวายพระสงฆ์ ยายเศรษฐีได้ฟังก็มีความรื่นเริงดีใจ จึงเรียกบ่าวให้เอาเสื้อผ้ามาผลัด ครั้นจัดแจงแต่งตัวนุ่งห่มแล้วก็ออกมาดู พวกคนใช้บอกว่าท่านแม่ดูได้แต่องค์เดียว ยังอีกสามรูปนั้นดูไม่ได้รูปดุร้ายนัก ทั้งน่าเกลียดน่ากลัวดูประหลาดดุจลงมาจากฟ้า
ท่านยายจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นจงรีบไปบอกแก่ท่านตาให้ทราบก่อน คนใช้ก็รีบไปบอกแก่เศรษฐีว่าท่านยายจะออกมา พระถังซัมจั๋งได้ฟังก็ลงจากอาสน์ ท่านยายเศรษฐีก็พอมาถึงหน้าหอ แลไปเห็นพระถังซัมจั๋งมีลักษณะอันงาม หันไปแลเห็นเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งรูปร่างมิใช่คนธรรมดา แม้ว่าจะเป็นคนอยู่เบื้องบนลงมาก็จริง แต่ดูรูปก็ให้ครั่นคร้ามในใจ ยายเฒ่าพิจารณาดูแล้วก็ลดกายลงกระทำคำนับ พระถังซัมจั๋งก็ย่อตัวปราศรัยถามทักว่าลำบากแก่ท่านยายมาก ๆ ยายเฒ่าจึงถามสามีว่า ท่านทั้งสามนั้นทำไมจึงไม่นั่งเสมอกัน โป๊ยก่ายชิงตอบว่า ข้าพเจ้าทั้งสามนี้เป็นสานุศิษย์ เสียงโป๊ยก่ายพูดขึ้นคำหนึ่งดุจภูเขาจะพัง ทำให้ยายเฒ่าตกใจไหวหวั่นครั่นคร้าม กำลังพูดกันอยู่นั้น แลเห็นหนุ่มน้อยนักเรียนสองคนเดินขึ้นมา ลดกายลงทำเคารพต่อพระถังซัมจั๋ง พระถังซัมจั๋งแลเห็นก็ตกใจ ย่อตัวลงปราศรัยถามทัก
เศรษฐีลุกเดินมาจับบุตรทั้งสองแล้วบอกว่า สองคนนี้บุตรของข้าพเจ้าเอง คนใหญ่นามเรียกว่าเข่าเหลียง คนเล็กเรียกว่าเข่าต๊ง อยู่ที่โรงเรียนพึ่งกลับมากินข้าวกลางวัน ทราบว่าใต้เท้ามานี่จึงได้มานมัสการ พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี สรรเสริญว่าชอบแล้วชอบแล้ว อยากให้มีความเจริญต้องทำการกุศลและเล่าเรียนให้รอบรู้ขนบธรรมเนียม นักเรียนทั้งสองจึงถามบิดาว่า ท่านอาจารย์นี้อยู่ถึงไหนมา ท่านเศรษฐีหัวเราะแล้วพูดว่ามาจากทางไกลอยู่ ณ เมืองใต้ถังข้างทิศตะวันออก พระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้ไปที่เขาเล่งซัวอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม
นักเรียนทั้งสองพูดว่า ข้าพเจ้าได้ดูในหนังสือลิ้มก้วงกิว่า ในใต้หล้านี้มีสี่ทวีป สี่ทิศ ๆ ที่เราอยู่นี้เรียกว่า ปราจิณทิศท่านมาจากทิศบูรพากว่าจะมาถึงนี่ไม่ทราบว่าสักกี่ปีแล้ว พระถังซัมจั๋งหัวเราะแล้วตอบว่า อาตมภาพเดินมาทรมานความทุกข์มากวันมากคืน และต้องถูกปีศาจร้ายราวีที่กันดารต่าง ๆ เหลือที่จะพรรณาให้สิ้นสุดได้ แต่รวมจำที่เดินนั้นคิดได้สิบสี่ปีจึงได้มาถึงตำบลนี้ นักเรียนทั้งสองได้ฟังพระถังซัมจั๋งว่าดังนั้นจึงสรรเสริญว่า ท่านอาจารย์เป็นผู้วิเศษสำเร็จภาคจึงได้มาได้ดังนี้
กำลังสนทนากันอยู่ พวกคนใช้ก็ยกเครื่องจังหันแจมาถวาย ท่านเศรษฐีจึงให้ท่านยายกับบุตรทั้งสองกลับบ้าน เศรษฐีจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ฉันอาหารเครื่องแจทั้งคาวหวานจัดหาล้วนแต่สิ่งที่โอชารสมีเครื่องเทียบและเพิ่มเติมทุก ๆ สิ่ง โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ดีใจกินดุจลมพัดหอบเมฆ อาจารย์กับศิษย์กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว พระถังซัมจั๋งก็ลุกออกมาจากที่ มีความสรรเสริญขอบคุณเศรษฐีที่สุดแลจะใคร่ขอลาไป เศรษฐีพูดว่า ท่านอาจารย์จงยั้งหยุดพักก่อนคำโบราณท่านย่อมว่า ต้นยากปลายง่าย คอยรอข้าพเจ้าทำการฉลองแล้ว ข้าพเจ้าจะจัดการส่งท่านโดยความปรกติ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเศรษฐีอ้อนวอนดังนั้น โดยความเลื่อมใสศรัทธาก็ไม่รู้จะขัดอย่างไรได้ จึงได้ยอมพักอยู่ห้าหกวัน เศรษฐีจึงตั้งพิธีและนิมนต์พระสงฆ์ยี่สิบสี่รูปสวดมนต์ฉลอง
ฝ่ายพระสงฆ์ทั้งหลายก็จัดแจงทำตามกิริยาพิธีธรรมสามวันสามคืนเสร็จแล้ว ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเห็นการเสร็จแล้ว จิตเป็นห่วงที่จะไปยังเขาเล่งซัว จึงปราศรัยแก่ท่านเศรษฐี ๆ คำนับแล้วพูดว่าอาจารย์ทำไมรีบร้อนจะไปนัก หรือทำการหลายวันจะไม่สบายใจดอกกระมัง พระถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมภาพได้รับความปฏิบัติของท่านเศรษฐีโดยความเอื้อเฟื้อ ไม่รู้ว่าจะได้สิ่งใดตอบแทนสนองพระเดชพระคุณไม่มีความรำคาญขัดข้องแต่อย่างใดเลย แต่เมื่อพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้เสด็จมาส่งอาตมภาพได้ตรัสถามว่าเวลาใดจึงจะได้กลับเมือง อาตมภาพได้ทูลผิดไปว่าสามปี โดยเหตุที่ไม่ทราบว่าหนทางจะลำบากยากเย็นถึงเพียงนี้ มาถึงวันนี้ก็ได้สิบสี่ปีแล้ว จะอาราธนาพระธรรมได้หรือมิได้ก็ไม่รู้ ทั้งเวลากลับก็จะถึงสิบสองสิบสามปีอีกดังนี้ จะไม่มีความผิดคาดหมายไปหรือ ขอท่านได้อนุกูลให้ข้าพเจ้าไปเถิด ถ้าได้พระธรรมแล้ว จะกลับมาอยู่สักกี่เวลาก็ได้
โป๊ยก่ายได้ฟังอดพูดไม่ได้ จึงพูดออกด้วยเสียงอันดังว่า อาจารย์คิดผิดไปเสียแล้วไม่ผ่อนตามใจคน ท่านก็เป็นผู้มั่งมีใหญ่โต ทั้งตั้งใจอธิษฐานถวายสังฆทานแก่สงฆ์ถึงหมื่นรูปก็ครบแล้ว แลจะมีจิตศรัทธานิมนต์ไว้ ควรจะอยู่สักปีหนึ่งก็จะไม่ต้องเป็นทุกข์อะไร จะรีบเร่งไปทำไมไม่อยู่กินให้พอ จะเที่ยวไปขอเขากินนั้นจะดีอย่างไร พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นจึงตวาดว่าหาความคิดมิได้ เห็นแต่จะกินมิได้คิดที่จะได้มรรคผล เพราะฉะนั้นเป็นมนุษย์แล้วแลจะต้องกลับเป็นเดรัจฉานเพราะความอยากความปราถนาในสันดานแห่งตน เจ้าจะใคร่อยู่กินให้สบายก็จงอยู่เถิดพรุ่งนี้ข้าจะไป เห้งเจียเห็นอาจารย์มีสีหน้ามัวหมองดังนั้น ตรงมาเอากำหมัดทุบศรีษะโป๊ยก่ายทีหนึ่ง แล้วด่าว่าอ้ายชาติหมูไม่รู้ดีและชั่ว ทำให้อาจารย์โกรธแค้นเคืองใจ โป๊ยก่ายไม่อาจพูดอะไรต่อไป
ฝ่ายเศรษฐีเห็นอาจารย์กับศิษย์วุ่นวายกันดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านอาจารย์อย่าร้อนใจวันนี้จงพักก่อน พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจัดแจงขอแรงชาวบ้านมาพร้อมกันจะได้แห่ส่งท่านไป เวลาเมื่อเศรษฐีกำลังพูดอยู่นั้น ท่านยายเฒ่าก็มาถามว่า ท่านอาจารย์มาพักอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพมาพักอยู่ได้สิบห้าวันแล้ว ยายเฒ่าพูดว่าครึ่งเดือนนี้เป็นส่วนกุศลของท่านตา ข้าพเจ้ามีทรัพย์สินเล็กน้อยจะขออธิษฐานทำแจถวายสักครึ่งเดือน ยายเฒ่าพูดยังไม่ทันจะขาดคำลง บุตรชายชื่อเข่าเหลียง เข่าต๊งทั้งสองคนเข้ามาพูดว่า ท่านอาจารย์ บิดาข้าพเจ้าทำแจถวายสงฆ์ยี่สิบปีก็ยังไม่เคยพบท่านผู้วิเศษ วันนี้มาพบท่านผู้วิเศษทั้งสี่มาถึงบ้านข้าพเจ้า ก็เปรียบดุจเรือนแฝกมีแสงสว่าง ข้าพเจ้ายังเด็กเล่าเรียนน้อยก็เคยฟังในคัมภีร์มรรคผลว่า ตาทำ ตาก็ได้ของตา ยายทำ ยายก็ได้ของยาย ใครไม่ทำผู้นั้นก็ไม่ได้ บิดามารดาข้าพเจ้าอยากได้กุศล พี่น้องข้าพเจ้าก็อยากได้กุศลบ้าง มีทรัพย์บ้างเล็กน้อยจะขอทำถวายท่านอาจารย์สักครึ่งเดือน การทำบุญเสร็จแล้วข้าพเจ้าทั้งหลายจะพร้อมกันไปส่งท่านอาจารย์ไป
พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ท่านตาท่านยายนิมนต์ยังรับไม่ได้เป็นอันขาดจะรับนิมนต์ท่านทั้งสองไม่ได้ วันนี้กำหนดแน่จะลาไปอย่าถือผิดข้าพเจ้าเลย หากมิฉะนั้นก็มีโทษที่ผิดรับสั่งก็ถึงที่ตายเหมือนกัน
ฝ่ายท่านยายกับบุตรเห็นเธอไม่รับนิมนต์เป็นแน่แล้ว ก็มีความโกรธว่าเราตั้งใจนิมนต์เธอไว้ เธอก็ไม่ยอมอยู่จะใคร่ไปก็ไปเถิด จะอ้อนวอนทำไมให้ป่วยการปากลำบากใจ พูดดังนั้นแล้วแม่ลูกก็พากันกลับไป ฝ่ายเศรษฐีเห็นอาจารย์กับสานุศิษย์มีความเศร้าหมองก็ไม่อาจอ้อนวอนให้อยู่ จึงออกไปที่ห้องเสมียนสั่งให้เขียนจดหมายเชิญพวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันในวงศ์ญาติว่า เวลาพรุ่งนี้จะส่งท่านอาจารย์ถังซัมจั๋งไป สั่งให้พวกโรงครัวจัดเครื่องโต๊ะให้พรักพร้อมและให้จัดหาม้าฬ่อกับธงเทียว และเครื่องพิณพาทย์มโหรี สีซอ ฆ้อง กลองและขับร้อง และให้นิมนต์พระสงฆ์พวกหนึ่งมาในกำหนดวันพรุ่งนี้ ถวายข้าวสงฆ์เสร็จจะได้ส่งท่านอาจารย์ถังซัมจั๋ง เสมียนทนายรับคำสั่งแล้วก็ไปจัดการตามสั่ง ครั้นเวลาพลบค่ำก็พากันไปพักหลับนอน พวกพนักงานของเศรษฐีก็จัดการจนรุ่งสว่าง ทุกสิ่งทุกอย่างก็พร้อมเสร็จทั้งสิ้น
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามคน ลุกขึ้นเก็บรวบรวมข้าวของใส่หาบสำรองจะออกเดิน เศรษฐีก็มานิมนต์ไปที่โรงใหญ่ข้างบ้าน ในนั้นจัดเครื่องโต๊ะแจไว้พร้อมทั้งคาวหวาน จัดที่สูงต่ำตามลำดับ เศรษฐีนิมนต์อาจารย์กับศิษย์เข้านั่งที่แล้ว พวกวงศ์ญาติใหญ่น้อยกับแขกบ้านใกล้ไกลที่เศรษฐีเชิญมานั้นพร้อมกันแล้ว ก็ต่างคนนมัสการพระถังซัมจั๋งทุก ๆ คน แล้วมโหรีพิณพาทย์ก็ดีดสีตีเป่าขึ้นพร้อมกัน ครั้นเลี้ยงเสร็จแล้ว พระถังซัมจั๋งก็ลาเศรษฐี ฝ่ายคนทั้งหลายที่มานั้นก็พากันตามหลังพระถังซัมจั๋งมายังที่ประตูนอก แลไปตามทางจัดแจงถือธงทิวและม้าฬ่อฆ้องกลองรออยู่พร้อมกันคอยรอท่า พอพระถังซัมจั๋งออกมาก็โห่ร้องตีม้าฬ่อฆ้องกลองขึ้นอึกทึกโกลาหล พวกผู้คนหญิงชายใหญ่น้อยตามหลังแห่ห้อมล้อมมา ยังพวกหญิงชายชาวเมืองผู้ใหญ่เด็กพากันมาดูตามสองข้างทางนั่งยืนยัดเยียดเบียดกันตลอดมา
เวลานั้นเศรษฐีคุกเข่ายอมถวายไทยทานส่งพระถังซัมจั๋งสิ้นทรัพย์เป็นอันมาก หาผู้ใดจะทำเสมอมิได้ มีทั้งพวกขับร้องสรรเสริญเป็นเพลงกลอนต่าง ๆ แลทั้งมีพระสงฆ์ตามส่งสวดมนต์และคาถาต่าง ๆ ตามไปส่งด้วย เป็นระยะทางประมาณสองร้อยเศษ เศรษฐีจัดคนล่วงหน้าไปตั้งเลี้ยงน้ำร้อนน้ำชา ครั้นถึงเศรษฐีก็นิมนต์พระถังซัมจั๋งเข้าหยุดพัก เศรษฐียกถ้วยน้ำชามาประเคนให้พระถังซัมจั๋ง น้ำตาคลอตาแล้วพูดว่า แม้ท่านไปอาราธนาพระธรรมกลับมาแล้ว นิมนต์ท่านแวะบ้านข้าพเจ้าให้จงได้ จะเป็นที่พอใจข้าพเจ้าสมแก่ที่มีศรัทธาเลื่อมใส พระถังซัมจั๋งปราศรัยขอบคุณเศรษฐีเป็นที่ยิ่ง พูดว่าอาตมภาพไปถึงเขาเล่งซัว อาราธนาพระธรรมได้แล้ว ก็คงจะยกกุศลผลทานของท่านใหญ่ยิ่ง หากเวลากลับอาตมภาพจะแวะขอบคุณท่าน ครั้นสั่งเสียกันเสร็จธุระแล้ว พระถังซัมจั๋งก็ลาเศรษฐีออกเดินไป ประมาณทางไกลได้สี่ร้อยเส้นเศษเวลานั้นก็จวนค่ำ
พระถังซัมจั๋งพูดว่า เวลาก็จวนค่ำจะหาที่พักแห่งใดดี โป๊ยท่านพูดเสียงดังขึ้นว่าเครื่องขบฉันก็มีพร้อม ตึกรามห้องหอก็มีสำรองไว้ ให้อยู่ไม่อยู่ไม่กิน อยากแต่จะไปให้ได้เดี๋ยวนี้จะไปหาที่ไหนอีกเล่า พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายว่าดังนั้น จึงด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉานยังจะมาขัดเคืองเสียดายอะไรอยู่อีก คำโบราณท่านย่อมว่า แม้เป็นสุขสำราญก็จริงแต่มิใช่บ้านเรือนของเราจะอยู่นานก็ไม่ควร รอเราพากันไปเขาเล่งซัวพบพระพุทธเจ้าขออาราธนาพระธรรมได้แล้วกลับไปเมืองใต้ถังจะทูลแก่พระเจ้าแผ่นดิน ขอเอาเครื่องเสวยจะกินสักกี่ปีหรือจะกินให้จนท้องแตกก็ตามแต่ใจ เจ้าหัวใจสัตว์จะให้เจ้าเป็นปีศาจผีตายอยาก โป๊ยก่ายได้ฟังพระอาจารย์ด่าดังนั้นก็หัวเราะแต่ในใจ ไม่อาจโต้ตอบออกไปอีก เห้งเจียแลเห็นที่ข้างทางมีห้องเล็ก ๆ สองสามห้องจึงพูดแก่อาจารย์ว่า ที่ตรงนั้นเห็นจะพักได้ พูดดังนั้นแล้วก็พากันเดินไปดู แลเห็นเป็นประตูเก่า ข้างบนมีป้ายเก่ามีอักษรสี่ตัว คือ (ฮัวกองเห้งอี) พระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าพูดว่า ฮัวกองนามนี้ คือพระปฏิมากรที่บูชา ในนี้คงจะมีศาลาจึงพากันตรงเข้าไปข้างใน เห็นห้องหอเซ ทรุด หักพังไปทั้งสิ้น ไม่เห็นมีผู้คนเงียบสงัดหญ้าและเถาวัลย์ขึ้นพันรกเรี้ยว เห็นดังนั้นแล้วก็คิดจะถอยออกมาไปหาที่อื่น ก็บังเอิญมืดฟ้ามัวฝน ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่จนไม่รู้ที่ว่าจะหลบหนีไปทางไหน มีห้องพังอยู่ข้างนั้นก็แอบเข้าไปหนีฝน พากันระงับเงียบไม่อาจพูดเสียงดัง กลัวว่าจะมีปีศาจยักษ์ร้ายนั่งนอนไม่เป็นสุขทั้งคืน
(บทที่ ๙๗)
จะกล่าวในเมืองท่งท่ายฮูตำบลบ้านตี้เล่งกุ้ย มีโจรพวกหนึ่งตั้งซ่องมั่วสุมประชุมพรรคพวกโจรเที่ยวปล้นสดมภ์หาเลี้ยงชีพ เวลานั้นตรึกตรองปรึกษากันว่าในเมืองนี้ควรจะไปเที่ยวสืบเสาะดูว่า บ้านไหนจะมั่งมีเป็นที่หนึ่ง บ้านไหนจะมั่งมีเป็นที่สอง พวกเราจะได้พากันไปลงมือ ในพวกนั้นมีคนหนึ่งพูดว่า ไม่ต้องไปสืบเสาะให้ยาก วันนี้ที่บ้านเข่าญ่วนหลายเศรษฐีไปส่งพระ บ้านนี้คงจะมีเงินทองมากคืนวันนี้ฝนตกมากคนเหล่านั้นก็คงจะมิได้คิดระวังอะไร เราพากันลงไปปล้นเก็บเอาข้าวของเงินทองมาไว้เลี้ยงชีวิตจะมิดีหรือ พวกโจรทั้งหลายก็ตกลงเห็นชอบด้วยพร้อมกัน จึงตระเตรียมเครื่องมือถือคบไฟและอาวุธครบมือกันแล้ว ได้เวลาก็พากันเดินไปในเวลาฝนตกนั้น ครั้นถึงประตูบ้านเสรฐีก็พร้อมกันโห่ร้องกรูเข้าไป คนในบ้านได้ยินเสียงพวกโจรโห่ร้องเกรียวกราวดังนั้น ก็พากันตกใจกลัวต่างคนก็เล็ดลอดเอาตัวรอดหนีไปทั้งสิ้น ยายเฒ่าเมียเศรษฐีหนีมุดเข้าไปอยู่ใต้ถุนเตียง ตาเฒ่าเศรษฐีหนีออกประตูหลังบ้าน บุตรชายบุตรสาวต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด
ฝ่ายพวกโจรก็พากันถือคบไฟเข้าค้นในบ้าน ขนเอาเงินทองเข้าของออกมา ฝ่ายเศรษฐีเห็นพวกโจรขนเอาเข้าของเงินทองออกมา มิได้คิดแก่ชีวิตจึงออกมาร้องบอกแก่พวกโจรว่า ขอท่านทั้งหลายได้เอ็นดูเถิด เข้าของเงินทองที่จะเอาไปนั้น อย่าเอาไปเสียให้หมดเลย เหลือไว้ให้ข้าพเจ้าเลี้ยงชีวิตบ้างเถิด
ฝ่ายพวกโจรเมื่อได้เห็นเศรษฐีมายืนร้องอยู่ดังนั้น ก็พากันมากลุ้มรุมทุบตีเศรษฐีนั้นจนถึงแก่ความตาย พวกโจรทั้งหลายก็พากันหนีออกนอกเมืองไป ฝ่ายผู้คนในบ้านเห็นพวกโจรกลับออกไปจากบ้านแล้ว ก็พากันกลับมา แลเห็นเศรษฐีตายอยู่กับพื้น ต่างคนก็พากันร้องไห้ ยกเอาศพนายขึ้นวางไว้บนเตียงแล้ว ก็พากันเศร้าโศกโศกาอาดูรรำพันถึงนายไม่หยุดเสียงจนเวลาใกล้รุ่ง ฝ่ายยายเฒ่าให้คิดแค้นโกรธพระถังซัมจั๋งว่า เพราะพระไม่รับนิมนต์อยู่ พากันตกแต่งประดับประดาร่างกายตามส่งเธอ จึงได้เกิดทุกข์ภัยขึ้นฉะนี้ ยายเฒ่าคิดเห็นดังนั้น ก็ให้มีจิตคิดพยาบาทจะใคร่ล้างผลาญให้จงได้ คิดแล้วยายเฒ่าจึงมาพะยุงบุตรชายให้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า เจ้าอย่าเศร้าโศกไปเลย ซึ่งเป็นเหตุทั้งนี้ก็เพราะบิดาเจ้ามีจิตศรัทธาถวายข้าวสงฆ์ทุกวันทั้งเช้าแลเพล ก็หาได้รู้ว่าวันนี้ทำกุศลไปส่งชีวิตสงฆ์ บุตรทั้งสองจึงถามว่า ที่มารดาว่าบิดาทำบุญกุศลส่งชีวิตแก่สงฆ์นั้น หมายความว่าอะไร ยายเฒ่าตอบบุตรว่า เมื่อเวลาพวกโจรกรูเกรียวเข้ามาโดยรวดเร็วนั้น แม่แอบอยู่ใต้ถุนเตียงแสงไฟสว่างแลเห็นชัดแจ่มแจ้ง ใครเล่าที่ถือคบไฟคือพระถังซัมจั๋ง ถือดาบคือโป๊ยก่าย เข้าค้นเอาเงินทองสิ่งของคือซัวเจ๋ง เห้งเจียเป็นผู้ตีบิดาของเจ้าตาย
เมื่อบุตรชายทั้งสองได้ฟังมารดาพูดดังนั้น ก็สำคัญมั่นใจเสียว่าเป็นความจริงมิได้มีความสงสัย จึงพูดแก่มารดาว่า อันความจริงก็คงจะเป็นดังนั้นแน่ไม่ควรจะสงสัยเลย เพราะเธอทั้งสี่มานอนค้างอ้างแรมอยู่หลายเวลา ทั้งนอกในก็ทราบสิ้น เห็นข้าวของเงินทองก็เกิดโลภเจตนาขึ้น เพราะฉะนั้นเห็นฝนตกหนักจึงได้แอบเข้ามา ปล้นบ้านเราค้นเอาข้าวของเงินทองไปแล้ว มิหนำซ้ำฆ่าบิดาตายเสียด้วยดังนี้ ใครที่ไหนจะร้ายกาจเหมือนพวกพระถังซัมจั๋งก็ไม่มีแล้ว รอพอให้สว่างจะทำเรื่องราวไปร้องแก่ผู้รักษาเมือง ให้ชำระเอาตัวผู้ร้ายให้จงได้ เข่าต๊งน้องชายถามว่า ในเรื่องราวที่จะแต่งว่าอย่างไร เข่าเหลียงพี่ชายตอบว่า ต้องแต่งตามที่มารดาบอกเล่าว่า พระถังซัมจั๋งถือคบไฟ โป๊ยก่ายร้องให้ฆ่าคน ซัวเจ๋งเข้าค้นทรัพย์เก็บเอาสิ่งของเงินทอง เห้งเจียเป็นผู้ฆ่าบิดาเราดังนี้ แลจึงจะเอาตัวผู้ร้ายได้
เวลานั้นผู้คนในบ้านก็วุ่นวายทุก ๆ คนจนเวลาสว่าง ฝ่ายหนึ่งจัดแจงเอาศพใส่โลง ฝ่ายหนึ่งนำเรื่องราวไปร้องต่อผู้รักษาเมือง ผู้รักษาเมืองท่งท่ายฮู้ผู้นี้เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในยุติธรรมชื่อเสียงปรากฎ เวลานั้นออกศาลาว่าการบ้านเมือง คอยที่จะรับคดีทุกข์ร้อนของราษฎร ฝ่ายเข่าเหลียง เข่าต๊งบุตรเศรษฐีทั้งสองคนนำเรื่องราวยื่นต่อผู้รักษาเมือง แล้วเรียนว่าขอท่านผู้ใหญ่ได้ทราบ ด้วยเมื่อเวลาคืนนี้มีอ้ายผู้ร้ายเข้าปล้นบ้านเรือนฆ่าบิดาข้าพเจ้าตาย ขอท่านได้โปรด
ฝ่ายผู้รักษาเมืองรับเรื่องราวมาดูแล้วก็ถามปากคำ จึงสั่งให้พนักงานกองตระเวรจัดสรรเลือกคนที่ล่ำสันแข็งแรงร้อยห้าสิบคน ถืออาวุธครบมือกันทุกคน รีบออกทางประตูข้างทิศตะวันตก จับเอาตัวพระถังซัมจั๋งกับศิษย์มาให้จงได้
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ในคืนวันนั้น อาศัยอยู่ในศาลเจ้าจนสว่าง ครั้นสว่างแล้วก็ออกเดินไปตามทางทิศตะวันตก ฝ่ายพวกโจรรีบหนีออกจากเมืองแล้ว เดินเลยศาลเจ้าฮ้อกวางไปประมาณสักสองร้อยเส้น ก็พากันเข้าแอบซ่อนในชะวากเขา เพื่อจะได้แบ่งปันข้าวของเงินทองแก่กัน บังเอิญแลไปเห็นพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์เดินตามกันมา พวกโจรมีความโลภเจตนา จึงชี้มือว่าพระสงฆ์เหล่านี้อยู่ในบ้านเข่าญ่วนเศรษฐีหลายเวลา คงจะมีข้าวของสิ่งใดติดมาบ้าง พวกเราช่วยกันออกสกัดทางไว้ ตีชิงเอาสิ่งของและม้าไว้แบ่งปันกันจะมิดีหรือ ว่าดังนั้นแล้วพวกโจรก็พร้อมกันถือเครื่องอาวุธต่างๆ โห่ร้องออกสกัดทาง แล้วร้องห้ามว่าพระสงฆ์อย่าเพิ่งไป จงเอาค่าเดินทางมาให้ก่อนจะยกชีวิตให้
พระถังซัมจั๋งได้ฟังพวกโจรว่าดังนั้น ตกใจตัวสั่นไม่เป็นสมประดี เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พระอาจารย์อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้าจะถามดูก่อน ว่าแล้วเห้งเจียก็เดินเข้าไปใกล้ พนมมือร้องถามว่า ท่านทั้งหลายร้องว่ากระไรหรือ พวกโจรร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เจ้าคนนื้ยังไม่รู้จักความตายกล้ามาถามเรา ในตาเจ้าเห็นจะไม่มีแก้วตาดอกกระมัง เจ้าจำเราไม่ได้หรือคือเราเป็นใต้อ๋องนายใหญ่ เจ้าจงรีบเอาค่าเดินทางมาให้เสียแล้ว ก็จะปล่อยให้เจ้าไปโดยดี เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะก๊ากใหญ่แล้วจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นพวกเจ้าก็เป็นโจรคอยสกัดทางกระนั้นหรือ พวกโจรได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้น มีความโกรธจึงร้องว่าพวกเราช่วยกันฆ่ามันเสียเถิด เห้งเจียทำเป็นตกใจกลัว ร้องว่าท่านใต้อ๋องข้าพเจ้าเป็นคนชาวป่าชาวดงไม่รู้จักพูดจา หนักเบาท่านอย่าถือโทษโกรธขึ้งเลย ถ้าท่านจะเอาค่าเดินทางแล้วไม่ต้องถามคนทั้งสามนั้น ด้วยสารพัดจะอยู่ที่ข้าพเจ้า ๆ จะจัดแจงได้ทั้งสิ้น
ที่ขี่ม้านั้นคืออาจารย์ของข้าพเจ้า ท่านรู้แต่สวดมนต์ภาวนาเท่านั้น ไม่เกี่ยวแก่ธุระอย่างอื่น ๆ คนหน้าสีหมอกนั้นข้าพเจ้าให้สำหรับเลี้ยงม้ามาตามทางเท่านั้น คนที่ปากยาวนั้นข้าพเจ้าจ้างมาสำหรับหาบคอน หากว่าท่านใต้อ๋องปล่อยให้ไป ข้าพเจ้าจะเอาข้าวของทั้งนี้ให้แก่ใต้อ๋อง พวกโจรได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าคนนี้ซื่อสัตย์ ถ้ากระนั้นเราจะยกชีวิตให้ เจ้าจงบอกให้คนทั้งสามวางหาบของลงเราจะปล่อยให้ไป เห้งเจียจึงหันหน้ามาขยิบตา ซัวเจ๋งรู้ทีจึงวางหาบลงแล้วก็จูงม้าพากันเดินไป เห้งเจียก็ทำเป็นก้มลงแก้ห่อของ เอามือกำฝุ่นทรายขว้างขึ้นไปบนอากาศ แล้วร่ายคาถามหาจังงังร้องว่าหยุดคำหนึ่ง พวกโจรสามสิบคนก็ยืนหัวแข็งมือและเท้าไม่กระดิกได้ ยืนแข็งแลดูตากันอยู่ไม่กระพริบได้ ทั้งปากก็พูดไม่ออก เห้งเจียร้องเรียกอาจารย์ว่าให้กลับมาก่อน พระถังซัมจั๋งได้ยินเรียกก็ชักม้ากลับมาถามว่า เห้งเจียจะเรียกว่ากระไรหรือ เห้งเจียว่าพระอาจารย์จงดูพวกโจรเหล่านี้ว่ามันเป็นอย่างไร
โป๊ยก่ายวิ่งมาจับพวกโจรผลักไปมา แล้วถามว่าอ้ายพวกโจรทำไมไม่เต้นรำไปเล่า พวกโจรยืนแข็งนิ่งไม่พูด โป๊ยก่ายว่าอ้ายพวกนี้เห็นจะเป็นใบ้ไปเสียแล้ว เห้งเจียบอกว่ามันถูกจังงังจึงยืนแข็งนิ่งอยู่ไม่พูดจา นิมนต์อาจารย์ลงจากม้าก่อน คำโบราณท่านว่า “จับผิดไม่เป็นไรปล่อยผิดไม่ได้” พี่น้องเราช่วยกันจับมัดมันเสียก่อน เราจะได้ซักถามรู้เหตุ ว่าแล้วเห้งเจียก็ถอนขนในตัวออก แปลงเป็นเชือกสามสิบเส้น โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ตรงเข้ามัดพวกโจรไว้ทุก ๆ คน เห้งเจียนิมนต์อาจารย์ให้นั่งพักลงแล้ว เธอสามคนถืออาวุธทำเงื้อง่าร้องตวาดถามว่า พวกเจ้ามีมากน้อยเท่าใด เป็นเชื้อแถวพวกโจรมาแต่เดิมหรือพึ่งจะริอ่านกันเป็นโจร ได้ทำโจรกรรมมากี่ปีแล้ว ได้เที่ยวปล้นและตีชิงเขามากี่ตำบลแล้ว ฆ่าผู้ฟันคนตายมากี่มากน้อยแล้ว จงบอกเล่ามาตามจริงทุกประการ
พวกโจรได้ฟังถามดังนั้นก็ร้องไห้แล้วพูดว่า พวกข้าพเจ้ามิได้เป็นเทือกแถวโจรแท้ เป็นคนดีมีบ้านเรือนทุกคน เพราะไม่มีปัญญาเอาของบิดา มารดาไปทำลายล้างผลาญเสียหมดสิ้นไม่มีจะใช้สอย สืบรู้ว่าเศรษฐีเข่าญ่วนเป็นผู้มั่งมีทรัพย์มากจึงชักชวนกันเข้าปล้นบ้านเศรษฐี ได้เงินทองสิ่งของมาเป็นอันมาก หวังใจจะแบ่งปันกัน บังเอิญเห็นท่านมา พวกข้าพเจ้ารู้จ้กจำได้ว่าพระถังซัมจั๋งที่เป็นพระสงฆ์แห่ส่งเมื่อวานนี้ คงจะมีข้าวของเงินทองติดมามากเป็นแน่ จึงมีความโลภออกสกัดทางโดยความอยากได้ ไม่ทราบว่าท่านมีอภินิหารเดชานุภาพ จึงจับพวกข้าพเจ้ามัดไว้ดังนี้ ขอท่านได้มีความกรุณาเอาข้าวของเงินทองที่ข้าพเจ้าปล้นมาได้นั้นไถ่โทษตัว ขอท่านได้โปรดให้ข้าพเจ้ารอดชีวิตไปสักครั้งหนึ่ง
พระถังซัมจั๋งได้ยินออกชื่อปล้นบ้านเศรษฐีก็ตกใจผุดลุกขึ้นถามเห้งเจียว่า เศรษฐีคนนี้เป็นบุญกุศล เหตุไฉนจึงต้องภัยร้ายถูกปล้นสดมภ์เช่นนี้ เห้งเจียพูดว่าเพราะเหตุแกส่งพวกเรา แห่แหนประคับประคองดีมาก เพราะฉะนั้นพวกโจรเหล่านี้จึงได้ปล้นบ้านแก พระถังซัมจั๋งพูดว่าพวกเราติดบุญคุณแกอยู่มาก เราไม่มีอะไรจะแทนคุณ ถ้ากระนั้นพวกเรารวบรวมรวมเอาข้าวของเงินทองเหล่านี้คืนไปให้แก จะมิเป็นการดีหรือ เห้งเจียได้ฟังอาจารย์ว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้ซัวเจ๋ง โป๊ยก่ายเข้าไปในชะวากเขา เก็บเอาเข้าของเงินทองที่พวกโจรขนมานั้น บรรทุกบนหลังม้าและให้โป๊ยก่ายหาบคอนข้าวของเงินทองเหล่านั้นแล้ว เห้งเจียจะใคร่ตีพวกโจรให้ตายเสียทั้งสิ้น แต่กลัวอาจารย์จะว่าฆ่าสัตว์จึงได้เรียกขนกลับคืนเข้าตัว พวกโจรหลุดจากมัดแล้วก็พากันวิ่งหนีเอาตัวรอดไปหมด
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ก็พากันตรงไปยังบ้านเศรษฐี ราวกับแมลงเม่าเข้าไฟฉะนั้น อาจารย์กับศิษย์กำลังพากันเดินมา แลไปข้างหน้าเห็นผู้คนมากมาย ถือเครื่องศาสตราอาวุธทุก ๆ คนเดินตรงมา พระถังซัมจั๋งมีความหวาดเสียวสะดุ้ง จึงบอกแก่พวกศิษย์ว่าข้างหน้าจะเป็นพวกดีหรือร้ายอย่างไร โป๊ยก่ายว่าภัยจะมาถึงแล้ว พวกนี้คือพวกโจรที่ปล่อยไปมันพากันกลับมาจะทำร้ายเราอีกแล้ว ซัวเจ๋งว่าดูท่าไม่ใช่พวกโจร พี่เห้งเจียจงพิเคราะห์ดูให้แน่ว่าจะเป็นพวกอะไร เห้งเจียหันมาพูดบ่นแก่ซัวเจ๋งว่า ภัยร้ายของอาจารย์มาอีกแล้ว พวกนี้คือพวกพลทหารมาจับพวกโจรผู้ร้าย พูดยังไม่ทันขาดคำพวกทหารก็มาถึง ตั้งกระบวนล้อมเข้ามาร้องว่า พวกพระสงฆ์ที่ปล้นเอาข้าวของเขามาอยู่นี่สนุกหรือ ก็พร้อมมือกันเข้าจับเอาพระถังซัมจั๋งลากลงมาจากม้ามัดไว้ แล้วก็เข้าจับเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งมัดทั้งสามคน แล้วเอาไม้คานสอดหามสองคนต่อคนเหมือนหามสุกร ข้าวของห่อย่ามและเงินทองกับม้าก็รวบรวมเอาไปทั้งสิ้น พากันรีบกลับเข้าเมือง ฝ่ายพระถังซัมจั๋งรัว ๆ สั่น ๆ ร้องไห้ โป๊ยก่ายปากบ่นพึมพำในใจคิดแค้น ซัวเจ๋งใจกระสับกระส่ายไม่ปรกติ เห้งเจียหัวเราะกึ่กกึ่ก จะใคร่ออกฝีมือ
ฝ่ายพวกขุนนางที่คุมทหารมาจับนั้น ก็พากันหาบหามมาบัดเดี๋ยาก็ถึงประตูเมือง ตรงเข้าไปยังศาลบอกแก่ขุนนางผู้ชำระโจรผู้ร้ายว่า ขอท่านได้ทราบ พวกข้าพเจ้าไปตามจับผู้ร้ายมาได้แล้ว ตามแต่ท่านจะโปรดประการใด
ฝ่ายผู้รักษาเมืองแลเห็นของกลางดังนั้น จึงให้บุตรเข่าญ่วนหลายเศรษฐีมารับของคืนไปแล้ว จึงเรียกตัวพระถังซัมจั๋งมาถามว่า ตัวเป็นสงฆ์พูดว่าจะไปไซทีนมัสการพระ อันที่จริงหาใช่ไม่ คือเป็นโจรผู้ร้ายเที่ยวปล้นสดมภ์ฆ่าคนดังนี้ดอกหรือ พระถังซัมจั๋งว่า ขอท่านผู้ใหญ่ได้ทราบอาตมภาพนี้ไม่ใช่ผู้ร้าย มีหนังสือสำหรับตัวเดินทางมาขอท่านได้พิจารณาดูเถิด เพราะเหตุท่านเศรษฐีมีความเลื่อมใสได้นิมนต์อาตมภาพมาถวายข้าวสงฆ์ถึงครึ่งเดือน อันบุญคุณของท่านเศรษฐีหาที่เปรียบมิได้ เมื่ออาตมภาพเดินไปตามทางบังเอิญไปพบพวกโจรที่ปล้นบ้านเศรษฐีเอาข้าวของเงินทองไปแบ่งปันกัน สานุศิษย์ของอาตมภาพทราบเหตุจึงชิงเอาสิ่งของที่โจรมาได้ ก็หวังใจจะเอาคืนมาให้เศรษฐีตอบแทนคุณ กำลังเดินกลับมาก็บังเอิญมาพบพวกทหารจับเอาตัวมาว่าเป็นผู้ร้าย อันความสัตย์จริงอาตมภาพหาใช่พวกผู้ร้ายไม่ ขอท่านได้พิจารณาจงดีเถิด
ผู้ชำระจึงพูดว่า ตัวเห็นพวกพลทหารจึงพลิกแพลงว่าจะเอาของมาแทนคุณ ถ้าหากว่าพบปะพวกผู้ร้ายจริง ทำไมจึงไม่จับกุมผู้ร้ายไว้เล่า จะได้ให้ผู้รักษาเมืองเห็นด้วย พวกเจ้าทั้งสี่คนจงมาดูเรื่องราวของบุตรเศรษฐี เขามาฟ้องหามีชื่อดังนี้จะยังพูดแก้ตัวไปทางใดเล่า พระถังซัมจั๋งเข้ามาหยิบดูเรื่องราวเห็นดังนั้นก็ให้ขวัญหนีดีฝ่อ จึงร้องเรียกเห้งเจียว่าทำไมเจ้าไม่มาดูเล่า เห้งเจียพูดว่าเอาของกลางเป็นจริงแล้วจะต้องไปดูทำไมเล่า ผู้พิพากษาว่าจริงดังนั้นสิ มีของกลางเป็นพยานอยู่จะมาพูดแก้ไปอย่างไรได้อีกเล่า จึงเรียกคนใช้ให้เอาไม้บีบขมับมาติดขมับอ้ายสงฆ์คนนี้ดูทีหรือมันจะกล้าปากไปถึงไหน ติดไม้เสียก่อนแล้วจึงค่อยเฆี่ยนด้วยหวาย
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็คิดในใจว่า อาจารย์ของเราท่านมีเคราะห์ร้ายก็จริง แต่ไม่ควรปล่อยให้ได้ความทุกข์ทรมาน เห็นนักการเอาไม้สำหรับบีบขมับมาเตรียมจะบีบพระถังซัมจั๋ง จึงอ้าปากบอกว่าช้าก่อน อย่าเพิ่งบีบขมับท่านสงฆ์องค์นั้นก่อน ข้าพเจ้าเองเป็นคนที่เข้าปล้นบ้านฆ่าคนตายเก็บเอาเข้าของเงินทองไป มิใช่ผู้อื่นเลย จะทำประการใดจงมาทำแก่ข้าพเจ้าเถิด ด้วยข้าพเจ้าเป็นนายโจรแท้ ๆ ท่านทั้งสามคนนั้นไม่เกี่ยวข้องเลย จงทำโทษแต่ข้าพเจ้าผู้เดียวเถิด ผู้ชำระได้ฟังเห้งเจียรับดังนั้น จึงให้นักการเอาไม้บีบขมับมาติดเห้งเจียเข้า พวกนักการก็เอาไม้ติดเห้งเจียบีบจนไม้หักกระเด็นไปเป็นดังนั้นถึงสามสี่ครั้ง หน้าก็ไม่นิ่วหนังก็ไม่ย่น พวกเหล่านั้นเปลี่ยนไม้จะบีบอีก ก็พอได้ยินคนใช้มาบอกว่าท่านขุนนางผู้ใหญ่ให้มาเชิญผู้ชำระออกไปหา ผู้พิพากษาจึงเรียกผู้คุมมาให้เอาตัวผู้ร้ายทั้งสี่คน ไปจำรักษาไว้ในห้องมืดก่อน เราจะออกไปรับท่านผู้ใหญ่ แล้วจะเอามาชำระซักฟอกอีกสักครั้งหนึ่ง
ผู้คุมก็นำเอาตัวพระถังซัมจั๋ง เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งทั้งสี่คนไปขังในห้องมืดแล้ว เวลานั้นโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็เก็บข้าวของ ๆ ตัวไปในห้องด้วยทั้งสิ้น พระถังซัมจั๋งจึงร้องถามเห้งเจียว่า การเป็นเช่นนี้แล้วเราจะคิดอ่านประการใดจงจะหลุดพ้นไปได้เล่า เห้งเจียแกล้งพูดว่าอาจารย์เข้าอยู่ในนี้ก็ดีแล้ว เพราะว่าเงียบสงัดดีเราจะทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ ฝ่ายพวกเฝ้าประตู ก็ถือไม้เรียวมาหวดซ้ายหวดขวาเฆี่ยนพระถังซัมจั๋งไม่เลือกว่าเนื้อตัวหัวหู พระถังซัมจั๋งจึงร้องเรียกเห้งเจียว่าจะแก้ไขอย่างไรดี เห้งเจียร้องบอกว่า เขาจะเร่งเอาเงินเท่านั้นเอง พระถังซัมจั๋งว่าเราจะไปเอาที่ไหนมาให้เขาเล่า เห้งเจียบอกว่า ไม่มีเงินก็เอาจีวรให้เขาก็ใช้ได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น เปรียบดุจเอามีดมา กรีดหัวใจ พวกผู้คุมมันก็เฆี่ยนมิได้หยุด เหลือที่จะอดทนความเจ็บปวดได้ จึงร้องบอกเห้งเจียว่า ตามแต่เห้งเจียจะเห็นควรเถิด ด้วยอาตมภาพเหลือที่จะทนแล้ว
เห้งเจียจึงร้องบอกว่าท่านทั้งหลาย จงหยุดก่อนอย่าเพิ่งเฆี่ยนตี พวกข้าพเจ้า จีวรเป็นผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ในห่อ ราคาพันตำลึงทองขอพวกท่านจงแก้เอาไปเถิดแทนค่าทุเลา พวกผู้คุมได้ฟังดังนั้น ก็เอาห่อผ้ามาแก้ออกดูเห็นจีวรสองตัวเก่า ๆ ไม่มีราคา แต่จีวรอีกตัวหนึ่งมีผ้าน้ำมันห่ออยู่สองสามชั้น มีรัศมีสว่างออกมาแวววาบ ก็รู้ว่าเป็นของดีจึงแก้ห่อออกดู ก็เห็นดอกและลายที่ห่อปักเป็นรูปหงษ์ร่อนมังกรรำ แลประดับซับซ้อนงดงามจะหาที่เปรียบมิได้ พวกผู้คุมก็แย่งชิงกันดูเสียงอึกทึก จนรู้ถึงหูผู้คุมใหญ่ ก็วิ่งมาถามว่าพวกเหล่านี้ทำอะไรกัน พวกผู้คุมเหล่านั้นคุกเข่าลงบอกว่า ท่านผู้พิพากษาพึ่งส่งพระสงฆ์กับศิษย์มาสามคน สั่งให้พวกข้าพเจ้าคุมรักษาไว้ในนี้ เพราะเป็นพวกโจรผู้ร้าย เธอเห็นพวกข้าพเจ้าเฆี่ยนสองสามที ก็เอาของสิ่งนี้ให้แก่พวกข้าพเจ้า หากพวกข้าพเจ้าจะฉีกแบ่งกันก็เสียดายท่านมาก็ดีแล้ว โปรดช่วยแบ่งให้แก่พวกข้าพเจ้าพอสมควรเถิด
นายผู้คุมใหญ่จึงพิจารณาดูเห็นผ้ากาสาวพัสตร์ผืนหนึ่ง จึงเปิดห่อออกดูก็เห็นมีหนังสือเดินทาง และมีตราทุก ๆ เมืองประทับไว้เป็นสำคัญจึงพูดว่า นี่หากเรามาดูก่อนมิฉะนั้นก็จะเกิดเหตุ ด้วยพระสงฆ์พวกนี้มิใช่โจรผู้ร้าย อย่าได้ไปทำวุ่นวายแก่ข้าวของๆ ท่าน จงเก็บห่อไว้เสียอย่างเดิม พรุ่งนี้ท่านผู้ชำระ ชำระ อีกจึงจะได้ความแจ่มแจ้ง พวกคนเหล่านั้นได้ฟังผู้คุมใหญ่ว่าดังนั้น ก็เชื่อฟังจึงเก็บผ้ากาสาวพัสตร์และสิ่งของเหล่านั้นไว้เสียยังเดิม เวลาพลบค่ำพวกกองตระเวนก็เที่ยวตรวจตราจนสามยาม เห้งเจียเห็นคนเหล่านั้นหลับนอนหมดแล้วก็ตรึกตรองว่า อาจารย์ของเราวันนี้เคราะห์ร้ายต้องจองจำทรมานทุกข์คืนหนึ่ง เพราะฉะนั้นตัวเราจึงไม่พูดออกมาได้ เวลานี้ก็เข้ายามสามเป็นเวลาที่อาจารย์จะสิ้นเคราะห์แล้ว เราจำจะต้องไปตรวจดูให้รู้เหตุ เวลาเช้าจะได้แก้ไขให้อาจารย์เราออกได้
คิดดังนั้นแล้วก็แปลงตัวเป็นแมลงหวี่บินลอดมาตามรูกระเบื้อง แลไปก็เห็นแสงดาวเดือนสว่างไปทั้งท้องฟ้า จำทางได้ก็บินตรงไปยังบ้านเศรษฐีเข่าญวนหลาย มาถึงบ้านหนึ่งอยู่ใกล้แก่บ้านเศรษฐี บินลงจับที่ประตูบ้านเห็นแสงไฟสว่าง อันที่จริงเป็นบ้านที่เขาทำเต้าหู้ แลเห็นตาเฒ่ากำลังใส่ไฟ ยายเฒ่ากำลังคลุกถั่วจะทำเต้าหู้ ตาเฒ่าจึงร้องเรียกยายเฒ่าพูดว่า ท่านเศรษฐีเข่าญ่วนหลายมีบุตรมีทรัพย์แต่อายุน้อย เรากับเศรษฐีเวลายังเยาว์อยู่ด้วยอันเคยไปเรียนหนังสือด้วยกัน เราแก่กว่าเขาห้าปี บิดาเราเรียกเข่าเม้งมีนาสิบเก้าไร่ ให้เขาเช่าเก็บเงินก็ไม่ค่อยจะได้ เข่าญ่วนหลายอายุได้ยี่สิบปี บิดาเธอก็ถึงแก่กรรม เธอรักษาความสุจริตก็เป็นกุศล ชะตาขึ้น ไปขอเมียซึ่งเป็นบุตรสาวของท่านเตียวอ้อง เรียกนามว่าชวนจำ เข่าญ่วนหลายตั้งแต่ไปอยู่บ้านภรรยา ไร่นาก็ทำได้ผลให้เขาเช่าก็เก็บได้ ตั้งแต่นั้นมาก็มั่งมีเงินทองมาก หลายสิบหมื่นตำลึง อายุเธอได้สี่สิบเศษก็กลับใจเข้าในทางกุศล ตั้งอธิษฐานถวายเข้าแจสงฆ์หมื่นรูป เวลากลางคืนบังเอิญมีโจรเข้าปล้น พวกโจรเตะตาย คิดดูก็น่าสงสาร
ปีนี้อายุเธอพึ่งได้หกสิบสองปี ควรจะได้รับซึ่งความสุขก็หารู้ไม่ว่าการกุศล กลับให้โทษร้ายดังนี้น่าสังเวชนัก เห้งเจียเงี่ยหูฟังได้ยินทุกประการแล้ว เวลานั้นก็จวนจะรุ่ง เห้งเจียก็บินเข้าไปในบ้านเข่าญ่วนหลาย แลไปก็เห็นห้องกลางตั้งศพเข่าญ่วนหลายมีเครื่องประดับและดอกไม้สีต่างๆ ตั้งธูปเทียนบูชา ยายเฒ่าภรรยาก็ร้องไห้อยู่ข้างโลง บุตรชายทั้งสองก็มานั่งร้องไห้คร่ำครวญ ลูกสะใภ้ก็ยกข้าวมาเซ่น เห้งเจียจับอยู่หัวโลง ก็ทำกระแอมไอขึ้นทีหนึ่งลูกสะใภ้ทั้งสองคนก็ตกใจ วิ่งล้มไม่เปนสมประดี บุตรชายทั้งสองก็ตกใจกลัว ก้มหน้าฟุบลงกับพื้นไม่กล้ากระดุกกระดิก ร้องว่าบิดาทำไมหลอกข้าพเจ้าเล่า แต่ยายเฒ่าใจกล้าเอามือตบเข้าที่หัวโลงทีหนึ่ง ร้องถามว่าท่านเข่าญ่วนหลายจะกลับเป็นมาแล้วหรือ
เห้งเจียทำเป็นพูดแทนว่าเรายังไม่เป็นดอก บุตรชายก็ตัวสั่นไม่เป็นสมประดี ยายเฒ่าสะกดใจถามว่าท่านเข่าญ่วนหลายไม่กลับเป็นทำไมจึงพูดได้เล่า เห้งเจียพูดว่าพระยามัจุราชให้ยมบาลพาตัวเรามาบ้าน จะบอกให้รู้เหตุการณ์ว่านางชวนจำ ปากเราะร้ายทำฆ่าคนไม่มีโทษ ยายเฒ่าได้ฟังเรียกชื่อเดิมก็ตกใจกลัวคุกเข่าลงกับพื้นทำเคารพถามว่าท่านตาอายุข้าพเจ้าก็มากแล้ว ทำไมจึงมาเรียกชื่อเดิมเราเล่าแล้วว่าอะไรที่ไหนทำฆ่าคนไม่มีโทษ เห้งเจียพูดว่าทำไมจึงว่าพระถังซัมจั๋งถือคบไฟ โป๊ยก่ายร้องฆ่าคน ซัวเจ๋งปล้นเอาข้าวของเงินทองไป เห้งเจียเตะเศรษฐีตาย เจ้าเอาที่ไหนมากล่าวดังนี้ เหตุที่กล่าวเท็จทำให้คนดีต้องรับโทษทรมานทุกข์ พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามเดินไปตามทาง พบโจรผู้ร้ายเอาข้าวของเงินทองของเราไป
ศิษย์ของพระถังซัมจั๋งจึงแย่งเอาทรัพย์ของเราคืนมาได้ ปราถนาจะเอากลับมาคืนให้แก่เรา เพื่อจะตอบแทนคุณเรา ทำไมพวกเจ้าจึงคิดใส่ความทำเรื่องราวฟ้องร้องกล่าวโทษเธอยังโรงศาล ผู้ชำระก็หาได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนไม่ จับเธอไปคุมขังกระทำเธอให้ได้รับความเดือดร้อน เพราะฉะนั้นจึงได้ร้อนถึงเจ้าเจตคุปต์และพระภูมิเจ้าที่พากันนั่งไม่เป็นสุข จึงร้อนถึงพระยามัจจุราช ๆ จึงให้ยมบาลคุมเรามาบอกพวกเจ้าให้รู้สึก รุ่งพรุ่งนี้จงไปปล่อยเธอทั้งสี่คนออก ถ้าไม่ทำดังนั้นเราจะอยู่รบกวนเจ้า เอาทั้งบ้านไม่ว่าผู้ใหญ่เด็กหมู หมา เป็ด ไก่ให้วินาศทั้งสิ้นมิให้เหลือหลอ
เข่าเหลียง เข่าต๊งทั้งสองได้ฟังดังนั้น ก็เอาศรีษะโขกลงกับพื้นร้องไห้อ้อนวอนว่า ขอบิดาได้กลับไปเถิดอย่าทำอันตรายแก่พวกข้าพเจ้าเลย รุ่งพรุ่งนี้ลูกจะไปยังศาลขอถอนฟ้อง แล้วท่านทั้งสี่นั้นจะทำความเคารพมิให้ได้ความเดือดร้อนต่อไป เห้งเจียจึงว่าถ้ากระนั้นจงเผากระดาษเงินกระดาษทองเราจะกลับไป พวกในบ้านไม่ว่าเด็กและผู้ใหญ่พากันออกมาเผากระดาษ เห้งเจียก็บินกลับไปยังบ้านตุลาการ เห็นผู้พิพากษาตื่นแล้วเดินออกมาล้างหน้า เห้งเจียบินเข้าไปจับห้องในเห็นมีโคมไฟตามอยู่ แลไปที่ฝาเห็นมีฉากแขวนอยู่ เขียนเป็นรูปขุนนางขี่ม้ามีคนตามหลังสองคน ๆ หนึ่งถือร่มกาง คนหนึ่งแบกเก้าอี้ ข้างหน้าฉากตั้งที่บูชา เห้งเจียพิศดูก็หารู้ว่าเป็นรูปผู้ใดไม่ บังเอิญผู้พิพากษาเดินกลับเข้ามาเช็ดหน้า เห้งเจียกระแอมขึ้นคำหนึ่ง ผู้พิพากษาก็ตกใจหวั่นหวาด รีบเดินเข้าในห้องสวมเสื้อยาวแล้วก็เดินออกมาที่หน้าโต๊ะบูชาจุดธูปเทียน บ่นว่าท่านลุงเกียงกงเจียน ข้าพเจ้าผู้หลานเกียงคุมซัมเหตุกุศลเข้าสอบไล่ได้ที่กุยกะนีกะเรียนที่สาม บัดนี้ได้เป็นขุนนางตำแหน่งผู้พิพากษา ข้าพเจ้าก็กระทำความเคารพจุดธูปเทียนบูชาอยู่ทุกเวลา วันนี้ทำไมจึงมีเสียงดังขึ้น ขอท่านลุงอย่าได้เป็นผีปีศาจเลยคนทั้งหลายจะตกใจกลัว
เห้งเจียนึกหัวเราะอยู่ในใจก็รู้ได้ว่ารูปในฉากนั้นเป็นรูปลุงของผู้พิพากษา จึงร้องเรียกว่าเกียงคุนซัม ตัวได้เป็นขุนนางตำแหน่งผู้พิพากษาก็โดยได้พึ่งกุศลของปู่ย่าตายาย เป็นขุนนางที่ตั้งอยู่ในยุติธรรม ทำไมวันวานนี้จึงไม่รู้ จับเอาท่านทั้งสี่นั้นลงโทษว่าเป็นโจร ทำไมจึงมิได้ไตร่ตรองเค้ามูลเหตุเดิมมาอย่างไร เพราะเหตุเอาเธอไปขังไว้ จึงร้อนถึงเจ้าเจตคุปต์และพระภูมิเจ้าที่อยู่ไม่สุข ร้อนถึงพระยามัจจุราช ๆ ให้ยมบาลคุมตัวเรามาบอกแก่หลานให้ทราบ จงไตร่ตรองข้อความให้ละเอียด จงรีบปล่อยเธอทั้งสี่นั้นออก ถ้ามิฉะนั้นจะเอาตัวหลานไปยังนรกชำระ ผู้พิพากษาได้ฟังก็สะดุ้งจึงยกมือขึ้นเคารพพูดว่า ขอท่านลุงจงกลับไปเถิด หลานจะออกที่ชำระปล่อยท่านทั้งสี่นั้นให้ออกพ้นจากขัง เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นจงเผากระดาษเราจะบอกแก่พระยามัจจุราชให้รู้เหตุ ผู้พิพากษาก็เผากระดาษส่งไป
เห้งเจียจึงบินออกจากบ้านผู้พิพากษา เวลานั้นแสงอาทิตย์ส่องสว่างก็บินเลยไปบ้านตี้เลงกุ้ย แลเห็นพวกกรมการทั้งหลายกำลังประชุมกัน ณ ศาลากลาง เห้งเจียคิดว่าถ้าจะพูดขึ้นด้วยแปลงอย่างนี้จะเป็นการไม่ดี คิดแล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศแปลงเป็นรูปใหญ่ เอาเท้าห้อยลงมากลางศาลา ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า พวกกรมการทั้งหลายจงคอยฟังเราคือพระอินทร์ให้เราลงมา ตัวเราคือเทพารักษ์ลาดตระเวน ว่าในเมืองนี้จำขังคนไม่มีโทษผิดกับลูกพระตถาคตเฆี่ยนตี กระทำให้หวาดไหวไปทั้งสามภพ เทพบุตรทั้งหลายพลอยร้อนไม่เปนสุข สั่งให้เรามาบอกแก่พวกท่านว่า รุ่งเช้าจงรีบปล่อยท่านทั้งสี่นั้นออก แม้ว่าชักช้าไปสั่งให้เราเอาเท้ากระทืบศาลให้แหลกทลายไปทั้งสิ้น และให้เหยียบกรมการเสียให้ตายทั้งเมืองไม่เลือกว่าใหญ่น้อย ทั้งไพร่บ้านพลเมืองไม่ให้เอาไว้ ทั้งป้อมและกำแพงก็ให้เหยียบทำลายเสียให้สิ้น
ฝ่ายพวกกรมการทั้งหลาย เมื่อได้ฟังแล้วได้เห็นดังนั้น ต่างก็ตกใจกลัวทุก ๆ คน ก็พร้อมกันลงคุกเข่าพนมมือคำนับแล้วพูดว่า ขอเชิญท่านกลับไปเถิด จง งดโทษข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย พวกข้าพเจ้าจะได้พร้อมกันไปหาผู้รักษาเมือง และผู้พิพากษาให้รีบปล่อยมิให้ช้าได้ เห้งเจียเห็นพวกกรมการอ่อนน้อมดังนั้นแล้ว ก็แปลงกลับเป็นแมลงหวี่ตามเดิม บินกลับเข้าไปในห้องขังคอยฟังว่าพวกเจ้าเมืองกรมการจะทำประการใด ฝ่ายผู้พิพากษาเวลารุ่งเช้าออกนั่งศาลจะใคร่ให้ป้ายสัญญาเปิดพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสามออกจะได้พิจารณาให้ได้ความเท็จและจริง ก็พอบุตรชายเศรษฐีทั้งสองเข้ามาร้องถอนฟ้อง ผู้พิพากษาได้ฟังก็โกรธพูดว่า เมื่อวานนี้เจ้าเอาเรื่องราวมาฟ้องร้อง เราก็ให้คนตามจับพวกผู้ร้ายมาให้แล้ว แลทรัพย์ของกลางก็ได้แล้ว เหตุใดจึงจะมาถอนฟ้องดังนี้เล่า
เข่าเหลียง เข่าต๊งบุตรเศรษฐีทั้งสองคนร้องไห้แล้วเล่าเนื้อความที่บิดาเป็นปีศาจมาเล่าบอกให้ฟังทุกประการแล้ว จึงร้องขอว่าท่านได้โปรดด้วยเถิด ผู้พิพากษาได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่าบิดาของเขาพึ่งตายใหม่ ๆ จะเป็นปีศาจมาบอกเล่าก็ควรอยู่ ลุงของเราตายไปหกเจ็ดปีแล้ว ทำไมเมื่อคืนนี้จึงมาบอกให้เราพิจารณาให้ละเอียด ดูก็เป็นที่น่าพิศวงมากอยู่ หากจะพิเคราะห์ดูพวกสงฆ์เหล่านี้ ถ้าเป็นโจรผู้ร้ายก็คงจะหลบหนีไป เหตุใดจะกลับมาดังนี้ หากจะจับผิดตัวไปเป็นแน่ กำลังตรึกตรองอยู่ดังนั้นก็พอเห็นพวกกรมการและขุนนางใหญ่น้อยทั้งหลายเดินตรงเข้ามาคำนับแล้วพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้พิพากษาที่จับพวกพระสงฆ์ทั้งสี่ไว้นั้นเห็นจะไม่ดีเสียแล้ว เมื่อเวลาเช้านี้เง็กเซียงฮ่องเต้ใช้ให้เทพารักษ์ลงมาสั่งว่าให้ปล่อยพระสงฆ์ที่จำขังไว้นั้นโดยเร็ว พระสงฆ์เหล่านั้นมิใช่โจรผู้ร้าย คือเป็นพระสุจริตไปอาราธนาพระธรรม หากว่าทิ้งไว้ให้เนิ่นช้าจะทลายบ้านเมืองและเหยียบย่ำผู้คนชายหญิงให้ตายเสียทั้งเมือง
ผู้พิพากษาได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึงไปเป็นนาน ครั้นได้สติจึงสั่งผู้คุมให้รีบไปถอดพระถังซัมจั๋งกับศิษย์มาโดยเร็ว พวกผู้คุมก็ไปถอดตามสั่ง โป๊ยก่ายเป็นทุกข์บ่นว่าวันนี้จะชำระประการใดก็ยังไม่รู้ จะเฆี่ยนหรืออย่างไรอีกเป็นแน่ เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า เราจะรับประกันให้ว่าแต่สักทีเดียวก็จะไม่ต้องถูกตี เราได้จัดแจงไว้เรียบร้อยดีแล้ว หากว่าขึ้นไปบนศาลอย่าทำคำนับ พวกเหล่านั้นคงต้องลงมาเชิญเราขึ้นไปนั่งที่อันสมควร เราจะแผลงฤทธิ์ให้พวกเหล่านั้นกลัวเราไปทั้งสิ้น พูดยังไม่ทันจะขาดคำ พวกขุนนางกรมการก็ลงมาคำนับเชิญทุก ๆ คน พูดว่าเมื่อเวลาวานนี้ท่านพระอริยสงฆ์มามีของกลางมาด้วย ก็ยังหาได้พิจารณาไม่ พระถังซัมจั๋งพนมมือเล่าความตามที่ได้มาพบพวกโจรให้กรมการฟังทุกประการ
ขุนนางทั้งหลายพร้อมกันพนมมือพูดว่า พวกข้าพเจ้าทั้งหลายผิดแล้วย่อมมีโทษทุกคน เห้งเจียเดินเข้ามาใกล้พูดตวาดด้วยเสียงอันดังว่า ม้ากับข้าวของ ๆ เราจงรีบส่งมาโดยเร็ว วันนี้เราจะชำระพวกเจ้าที่เอาโทษร้ายมาใส่เราคนดี ๆ ว่าเป็นโจรผู้ร้าย พวกเจ้าจะมีโทษประการใด พวกขุนนางกรมการทั้งหลายเห็นเห้งเจียทำกิริยาดุร้ายดังนั้นก็พากันตกใจกลัวทุก ๆ คน จึงรีบเอาข้าวของและม้ามาคืนให้ เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งทั้งสามต่างคนก็กระทำกิริยาดุร้าย พวกขุนนางกรมการแก้ตัวว่าพวกเศรษฐีมายื่นฟ้องกล่าวโทษจึงได้ทำ พระถังซัมจั๋งพูดห้ามสานุศิษย์ว่าถ้าดังนี้จะไม่แจ่มแจ้ง พวกเราพากันไปที่บ้านเศรษฐีซักไซ้ไล่เลียงดูว่า ผู้ใดเห็นว่าพวกเราเป็นโจรผู้ร้าย
เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์ว่าดังนั้นถูกแล้ว ข้าพเจ้าจะทำให้เศรษฐีฟื้นขึ้นแล้วจะได้ถามเธอดูว่าผู้ใดตีเธอตาย ซัวเจ๋งก็อุ้มพระอาจารย์ขึ้นบ่าพากันไปบ้านเศรษฐี ฝ่ายขุนนางกรมการก็พร้อมกันตามพระถังซัมจั๋งมายังบ้านเศรษฐี ฝ่ายลูกเศรษฐีทั้งสองคนแลเห็นก็ลนลานพากันออกมารับยังประตูบ้าน คนในบ้านเศรษฐีไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ไว้ทุกข์ทุก ๆ คน เห้งเจียตรงเข้าไปถามว่า ผู้ใดเป็นต้นคิดเอาความร้ายใส่ให้พวกเราทั้งนี้ เห้งเจียห้ามคนในบ้านเศรษฐีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ว่าเจ้าอย่าร้องไห้ จงคอยเราจะเข้าไปพาตัวท่านเศรษฐีมาถามดูว่าผู้ใดฆ่าเธอให้ถึงแก่ความตาย จะได้ทำให้มันอายเล่น
พวกขุนนางได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็เข้าใจว่าพูดเล่น เห้งเจียจึงพูดว่าเชิญท่านทั้งหลายนั่งพูดเล่นเป็นเพื่อนอาจารย์สักประเดี๋ยว โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งจงอยู่รักษาอาจารย์ให้จงดี เราจะไปสักประเดี๋ยวจะกลับมา เห้งเจียสั่งเสร็จแล้วก็เดินออกนอกประตูบ้านเหาะขึ้นไปบนอากาศ คนทั้งหลายเห็นดังนั้นก็พากันจุดธูปเทียนนมัสการบูชา พากันเข้าใจว่าท่านพวกนี้เป็นผู้วิเศษ
ฝ่ายเห้งเจียเหาะตรงลงไปยังเมืองนรก ครั้นถึงประตูเมืองก็ตรงเข้าไปยังตำหนักเซียมหลอเต้ยที่อยู่แห่งพระยาเงียมฬ่ออ๋อง ๆ แลเห็นตกใจลุกลงจากที่นั่งมาต้อนรับ ถามว่าท่านไต้เซียลงมาถึงนี่มีธุระอันใดหรือ เห้งเจียตอบว่าท่านเศรษฐีเข่าญวนหลายที่อยู่เมืองทงท่ายฮู้ตำบลบ้านตี้เลงกุ้ยนั้นตายลงมาเดี๋ยวนี้วิญญาณไปอยู่ที่ไหน ขอให้พามาหาข้าพเจ้าสักหน่อยเถิด พระยาเงียมฬ่ออ๋องตอบว่า ท่านเศรษฐีเข่าญ่วนหลายนั้นเป็นคนใจบุญไม่มีผู้ใดจับเธอมา เธอมาโดยลำพังถึงนี่พบกับกิมอี้ท่งจื้อนำไปหาพระโพธิสัตว์ตี้จองอ๋องแล้ว
เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ลาเงียมฬ่ออ๋องตรงไปยังตำหนักจุ๊ยหุนเกง ครั้นถึงตรงเข้าไปกระทำนมัสการพระโพธิสัตว์ตี้จองอ๋อง แล้วจึงเล่าเรื่องเศรษฐีเข่าญ่วนหลายให้พระโพธิสัตว์ฟังทุกประการ พระโพธิสัตว์ได้ฟังก็มีความยินดีพูดว่า เศรษฐีเข่าญ่วนหลายนี้อายุในมนุษย์โลกก็ถึงเวลาแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาจะถึงแก่มรณะกรรมก็มิได้เจ็บป่วยล้มหมอนนอนเสื่อ อาตมาเห็นเธอเป็นคนใจบุญใจกุศลจึงให้เธอเป็นพนักงานบัญชีกุศล หากท่านใต้เซียจะมาเอาเธอกลับไปยังมนุษย์โลก อาตมาจะเพิ่มอายุให้อีกรอบหนึ่ง ให้เธอตามใต้เซียกลับไป พระโพธิสัตว์จึงให้กิมอี๊ท่งจื้อนำเศรษฐีเข่าญ่วนหลายออกมาพบแก่เห้งเจีย เศรษฐีเห็นเห้งเจียก็ร้องว่าท่านอาจารย์ช่วยข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด
เห้งเจียว่าท่านถูกโจรเตะตายลงมาที่แห่งนี้คือเมืองนรก บัดนี้พระโพธิสัตว์ปล่อยให้ท่านไปยังมนุษย์โลกเพิ่มอายุให้ท่านอีกรอบหนึ่งถึง ๑๒ ปี แล้วจึงกลับลงมา ฝ่ายเศรษฐีเข่าญ่วนหลายได้ฟังดังนั้นก็ขอบคุณนมัสการลาพระโพธิสัตว์ เห้งเจียก็ลาพระโพธิสัตว์นำเอาวิญญาณจิตเสรฐีร่ายคาถาวิเศษเป่าแปรลมยัดใส่ในมือเสื้อแล้ว ก็เหาะกลับยังมนุษย์โลก ครั้นถึงก็ลดลงยังพื้นเดินเข้าบ้านเศรษฐี เรียกโป๊ยก่ายให้แก้ปลอกมัดโลงแล้วเห้งเจียจึงเอาวิญญาณปล่อยเข้าในรูปกายของเศรษฐี บัดเดี๋ยวลมและโลหิตก็เดินทั่วกาย รู้สึกผุดลุกขึ้นออกมาจากโลง เดินมาทำคำนับพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม แล้วพูดว่าท่านอาจารย์ตัวข้าพเจ้าตายลงไปยังเมืองนรก ได้พึ่งสานุศิษย์ใหญ่ของท่านช่วยให้กลับเป็นขึ้นดุจดังว่าเกิดใหม่ พระเดชพระคุณหาที่เปรียบมิได้ แล้วหันไปเห็นขุนนางเจ้าเมืองกรมการทั้งหลายนั่งอยู่พร้อมหน้า
เศรษฐีเข่าญ่วนหลายจึงกระทำคำนับทุก ๆ คนแล้ว จึงถามว่าท่านผู้ใหญ่ทั้งหลายทำไมจึงมาพร้อมกันอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าเล่า พวกเจ้าเมืองกรมการ จึงเล่าความให้เศรษฐีฟังตั้งแต่ต้นจนปลายทุกประการ เศรษฐีได้ฟังก็คุกเข่าลงคำนับพูดว่า ท่านเล่าเอี๊ยได้ทราบที่ใส่โทษเอาท่านทั้งสี่นั้นผิดไป เมื่อคืนวันที่พวกโจรมาปล้นบ้านข้าพเจ้านั้น ประมาณสามสิบคนจุดคบไฟถืออาวุธโห่ร้องอึกทึกเข้ามาปล้นเอาข้าวของ ๆ ข้าพเจ้า ๆ จึงออกมาดูแลพูดจาตามธรรมเนียมก็หาทันจะรู้สึกไม่ว่าพวกโจรเตะข้าพเจ้าถึงแก่ความตาย ไม่เกี่ยวข้องอะไรแก่ท่านทั้งสี่นี้เลย พูดแล้วเศรษฐีก็เรียกบุตรภรรยาออกมาพร้อมกัน แล้วบอกแก่ผู้พิพากษาว่า ขอท่านให้โปรดปรับโทษตามการเถิด เวลานั้นคนในบ้านเศรษฐีทุกคนออกมาทำความเคารพขอโทษตัวทุก ๆ คน ฝ่ายผู้พิพากษาเห็นดังนั้น ก็ยกโทษให้ทุก ๆ คน เศรษฐีจึงให้จัดเครื่องโต๊ะสามโต๊ะเลี้ยงเป็นการขอบคุณ ต่างรับประทานอาหารแล้วก็พากันกลับไปบ้าน รุ่งขึ้นวันที่สองเศรษฐีจัดให้จัดหาเครื่องแจถวายพระถังซัมจั๋งกับศิษย์ทั้งสาม แล้วนิมนต์ให้หยุดพักอยู่ก่อน พระถังซัมจั๋งไม่ยอมอยู่ เศรษฐีจึงให้เป่าร้องวงศ์ญาติและชาวบ้านให้จัดแจงธงเทียวแห่ส่งอีกเหมือนเช่นครั้งก่อน
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 14-24 พากย์ไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น