แสงสว่างแห่งธรรม
![]() |
|
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์พิจารณาตระกูลที่จะไปเกิดดั่งนี้แล้ว จึงเสด็จเข้าสู่มหาวิมานชื่ออุจจธวัช(ปักธงสูง)กว้างและยาว 64 โยชน์ ในที่อยู่สวรรค์ชั้นดุษิตอันเป็นวิมานที่พระโพธิสัตว์ประทับนั่งแสดงธรรมแก่เทวดาชั้นดุษิตทั้งหลาย ครั้นขึ้นสู่วิมานแล้ว จึงตรัสเรียกเทวะบุตรผู้อยู่ในชั้นดุษิตทั้งปวงว่า

ท่านผู้เจริญทั้งหลายจงประชุมกัน ฟังจรรยานุศาสตร์อันเป็นธรรมานุสติ ชื่อ จุตยาการประโยค (คือ การประกอบด้วยอาการจุติเคลื่อนที่ลงไปบังเกิดในมนุษยโลก)
เป็นการฟังธรรมครั้งสุดท้ายจากสำนักพระโพธิสัตว์ นัยว่าเทวะบุตรที่อยู่ในชั้นดุษิตทั้งปวง พร้อมทั้งหมู่นางอัปสร เมื่อได้ฟังคำนี้แล้ว จึงมาประชุมพร้อมปันในวิมานนั้น
ขณะนั้น โลกธาตุที่มีประมาณกว้างขวางในมหาทวีปทั้ง 4 เป็นเพียงวงที่พระโพธิสัตว์ประทับ มีความงามวิจิต น่าดู ตกแต่งแล้ว งามยิ่งนักแล้ว จนถึงกับเทวดาชั้นกามาพจรและเทวะบุตรชั้นรูปาพจรทั้งปวงเกิดความรู้สึกในวิมานที่อยู่ของตนเป็นป่าช้าไปเสียแล้ว
ขณะนั้น พระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนบัลลังก์ที่ประดับด้วยผลบุณยของตนอำนวยให้บัลลังก์นั้นประกอบด้วยขาเป็นแก้วมณีและรัตนะเป็นอันมาก บุด้วยเครื่องลาดคือดอกไม้เป็นอันมาก หอมฟุ้งไปด้วยไออบเครื่องหอมทิพย์เป็นอันมาก รมควันด้วยกลิ่นจันทน์อันประเสริฐเครื่องลาดมีกลิ่นดอกไม้ทิพย์สีต่างๆเป็นอันมาก แสงสว่างอันรุ่งเรืองด้วยรัศมีตั้งแสนเกิดแต่แก้วมณีเป็นอันมาก คลุมด้วยข่ายแก้วมณีเป็นอันมากบรรลือเสียงตาข่ายลูกพรวนเป็นอันมากที่ถูกลมพัด กึกก้องด้วยการส่งเสียงระฆังแก้วตั้งหลายแสน แจ่มแจ้งด้วยข่ายแก้วตั้งหลายแสน ปกคลุมด้วยกลุ่มรัตนะตั้งหลายแสนห้อยย้อยด้วยผืนผ้าตั้งหลายแสน ประดับด้วยผืนผ้าพวงพู่พวงมาลัยตั้งหลายแสน มีนางอัปสรตั้งหลายแสน ฟ้อนรำขับร้องพรรณนาคุณตั้งหลายแสน คอยระวังรักษาแล้ว มีองค์ศักรตั้งหลายแสนมนัสการแล้ว มีพรหมตั้งหลายแสนนอบน้อมแล้ว มีพระโพธิสัตว์นับหลายหมื่นแสนโกฏิรักษาแล้ว มีพระพุทธเจ้าหลายหมืนแสนโกฏิในทิศทั้งสิบนำมาแล้ว บัลลังก์นี้ผุดขึ้นด้วยอานิสงส์แห่งบุณยที่ได้บำเพ็ญบารมีเหมื่นแสนโกฏิแห่งกัลปอันนับไม่ถ้วน ดั่งนั้นแหละ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ประทับนั่งแล้วบนบัลลังก์อันประกอบด้วยบุณยอย่างนี้ จึงตรัสเรียกเทพบริษัทหมู่ใหญ่นั้นว่า ดูกรท่านผู้ควรเคารพทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูกายของพระโพธิสัตว์ซึ่งประดับด้วยลักษณะแห่งบุณยตั้ง 100 อย่าง จงพิจารณาดูพระโพธิสัตว์ทั้งหลายในทิศบูรพา ทิกษิณ ปัศจิม อุตตระ เบื้องล่าง เบื้องบน โดยรอบ มีจำนวนประมาณไม่ถ้วน นับไม่ถ้วน คำนวณไม่ถ้วน พระโพธิสัตว์เหล่าใดประทับอยู่ในพิภพชั้นดุษิตอันประเสริฐ พระโพธิสัตว์เหล่านั้นทั้งสิ้น บ่ายหน้าเฉพาะการเกิดครั้งสุดท้าย มีหมู่เทวดาแวดล้อม ประกาศธรรมโลกมุข เป็นเครื่องรื่นเริงแห่งเทวดา อันเป็นลักษณะแห่งการจุติ เทพสภาทั้งปวงได้เห็นพระโพธิสัตว์เหล่านั้นด้วยการอธิษฐาน(ตั้งใจ)ของพระโพธิสัตว์ ครั้นเห็นแล้วได้ประนมกระพุ่มมือนมัสการด้วยเป็ญจางคประดิษฐ์ต่อพระโพธิสัตว์ แล้วต่างก็เปล่งอุทานอย่างนี้ว่า สาธุ กาอธิษฐาน (ตั้งใจ) ของพระโพธิสัตว์นี้เป็นอจินไตย? :ซึ่งเราทั้งหลายก็ได้แต่เพียงมองเห็นเท่านั้นเอง
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ตรัสเรียกเทวะบริษัทหมู่ใหญ่นั้นอีกว่า ดูกรท่านผู้ควรเคารพ ถ้ากระนั้น ท่านจงฟังธรรมาโลกมุขอันเป็นเครื่องรื่นเริงของเทวดา อันเป็นลักษณะแห่งการจุติ ซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายกล่าวแก่เทวะบุตรเหล่านี้ ดูกรท่านผู้ควรเคารพทั้งหลาย ธรรมาโลกมุขอันพระโพธิสัตว์จำเป็นต้องแสดงในเทวะสภา ณ สมัยกาลจะจุตินั้น มีอยู่ 108 ประการ ธรรมาโลกมุข 108 ประการนั้น คืออะไรบ้าง?
ดูกรท่านผู้ควรเคารพ ศรัทธา อย่างไรเล่าเป็นธรรมาโลกมุข ซึ่งเป็นไปเพื่อจิตใจอันตั้งมั่นไม่ถูกทำลาย
ประสาทะ คือความเลื่อมใสเป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อยังจิตที่ขุ่นมัวให้ผ่องใส
ปราโมทยะ คือความยินดีเป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อผลสำเร็จ ปรีติ คือความอิ่มใจเป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อจิตใจบริศุทธ
กายสังวร การสำรวยระวังกายเป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อกายสุจริต 3 อย่าง(ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม)
วากสังวร การสำรวมระวังวาจาเป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อเว้นวจีทุจริต 4 อย่าง(ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ)
มนะสังวร การสำรวมระวังใจเป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อละความโลภอยากได้ ความพยายามปองร้ายมีความเห็นผิด
พุทธานุสมฤติ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความบริศุทธในการเห็นพระพุทธเจ้า ธรรมนุสมฤติ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความบริศุทธในการแสดงธรรม สังฆานุสมฤติ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อก้าวไปสู่ความปฏิบัติตามหลักเหตุผลตามแนวตรรกวิธี จาคานุสมฤติ ระลึกถึงการบริจาค เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อละทิ้งอุปธิทั้งปวง สีลานุสมฤติ ระลึกถึงศีล เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อบำเพ็ญความอุตสาหะ เทวตานุสมฤติ ระลึกถึงเทวดา เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีใจสูง
ไมตรี ความรัก เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อทำให้มีขึ้นซึ่งบุณยกิริยาวัตถุอันเป็นอุปธิทั้งปวง กรุณา ความสงสารเป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความไม่เบียดเบียนกันเป็นอย่างยิ่ง มุทิตา ความพลอยดีใจ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อผลักความริษยาออกไป อุเบกษา ความวางเฉย เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อเกลียดชังกาม อนิตยปรัตยเวกษะ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อระงับกามราคะ รูปราคะ อรูปราคะ ทุขปรัตยเวกษะ การพิจารณาเห็นความทุกข์ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความหวัง อนาตมปรัตยเวกษะ การพิจารณาเห็นความสงบ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความไม่ท้อถอยในการประพฤติสงบระงับ หรีความละอายเป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความระงับจิตภายใน อปัตราปยะ ความเกรงกลัว เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความระงับภายนอก สัตยะ ความสัตย์ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อพูดไม่ผิดแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ภูตะ ความเป็นจริง เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อพูดไม่ผิดแก่ตน(ไม่หลอกตัวเอง) ธรรมจรณะ การประพฤติธรรม เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อมีธรรมเป็นที่พึ่ง ตริศรณคมนะ การนับถือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อระงับอบายทั้ง 3 กฤตัชญตา เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความไม่พินาศแห่งกุศลที่ได้ทำไว้แล้ว กฤตเวทิตา เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อให้ผู้นับถือ อาตมัชญตา ความเป็นผู้รู้ตน เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อไม่ยกตน สัตวัชญตา ความเป็นผู้รู้จักสัตว์ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความเห็นใจสัตว์อื่น ธรรมัชญตา ความเป็นผู้รู้ธรรม เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม กาลัชญตา ความเป็นผู้รู้กาล เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อไม่ทอดทิ้งให้เสียเวลาเปล่าโดยไม่ทำอะไร นิหตมานตา ความเป็นผู้ไม่ถือตัว เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อบำเพ็ญความรู้ อัปรติหตจิตตา ความเป็นผู้มีจิตปลอดโปร่ง เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความไม่ประพฤติชั่ว
อธิมุกติ ความหลุดพ้นไม่ข้องใจในอะไร เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความไม่สงสัยเป็นอย่างยิ่ง อศุภปรัตยเวกษะ การพิจารณาเป็นอศุภารมณ์คืออารมณ์ไม่งาม เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อละกามวิตก อัพยาปาทะ ความไม่พยาบาท เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อละพยาบาทวิตก อโมหะ ความไม่หลงเป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อกำจัดอัญญาณ(ความไม่รู้)ทั้งปวง ธรรมารถิกตา ความเป็นผู้ปรารถนาในธรรม เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อประโยชน์เป็นที่พึ่ง ธรรมกามตา ความเป็นผู้ใคร่ในธรรม เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่ออาศัยความยึดเหนี่ยวโลก ศรุตปรเยษฏิ การขวนขวายในการเล่าเรียนหรือการสดับฟัง เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อพิจารณาธรรมอย่างละเอียดถี่ถ้วน สัมยักประโยคะ การประกอบตนไว้ในทางที่ชอบ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อการปฏิบัติชอบ นามรูปปริชญา ความรู้กำหนดนามและรูป เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อพ้นจากความเกี่ยวข้องทั้งปวง
เหตุทฤษฏิสมุทธาตะ การถอนทิฏฐิ(ความเห็น)ในเหตุ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อยถดเหนี่ยวความหลุดพ้นด้วยวิชชา อนุนยประติฆปรหาณะ การละความฉุนเฉียวด้วยความประพฤติสุภาพเรียบร้อย เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อไม่ประพฤติลุ่มๆดอนๆ สกันธเกาศัลยะ ความฉลาดในขันธ์ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความรู้ทุกข์ ธาตุสมตา ความเป็นผู้เห็นทุกอย่างสักแต่ว่าเป็นธาตุ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อละสมุทัย(เหตุให้เกิดความทุกข์) อายตนาปกรษณะ การรั้งอายตนะภายในและภายนอกให้แยกจากัน เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อมรรคภาวนาคือทำให้มรรคบังเกิดขึ้น อนุตปาทกษานติ การอดกลั้นไม่ให้เกลศเกิดขึ้น เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อเห็นแจ้งนิโรธ กายคตนุสมฤติ การระลึกพิจารณาร่างกาย เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อกายวิเวก(แยกตัวเองออกจากหมู่คณะ)
เวทนาคตานุสมฤติ การระลึกพิจารณาเวทนาคือจิตกำลังรับความรู้สึก เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อระงับอารมณ์ที่ทำให้รู้สึกทั้งปวง จิตตคตานุสมฤติ การระลึกพิจารณาจิต เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อจะให้พิจารณาจิตว่าเป็นเหมือนมายาคือกลับกลอกหรือเล่นกล ธรรมคตานุสมฤติ การระลึกพิจารณาธรรม(อารมณ์ที่เกิดขึ้นแก่จิต) เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อชญานอันแจ่มใส จัตวาริสัมยักประหาณะ (เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว เพียรทำให้กุศลเกิดขึ้นในสันดาน เพียรรักษากุศลนั้นไว้ไม่ให้เสื่อม) เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่ออกุศลธรรมทั้งปวง และเพื่อบำเพ็ญกุศลทั้งปวงให้เกิดขึ้นเต็มที่ จัตวารฤทธิปาทะ
อิทธิบาท 4 (ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น วิริยะ เพียรพยายามเพื่อให้ได้สิ่งนั้น จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น วิมังสา พิจารณาเหตุผลได้ไม่ได้ในสิ่งนั้น) เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อทำให้กายและจิตเบาลง ศรัทเธนทริยะ มีอินทรีย์คือ ศรัทธา เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความเอาใจใส่ผู้อื่น (ผู้ที่ตนศรัทธา) วีรเยนทริยะ มีอินทรีย์ คือความเพียร เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อชญานอันเกิดจากความคิดดียิ่ง สมฤตีนทริยะ มีอินทรีย์คือสมฤติ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อการงานที่ทำไว้ดีแล้ว สมาธีนทริยะ มีอินทรีย์คือสมาธิ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อจิตหลุดพ้นจากเกลศ ปรัชเญนทริยะ มีอินทรีย์คือ ปรัชญา เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อชญานเครื่องพิจารณา
ศรัทธาพละ มีพละ(กำลัง)คือศรัทธา เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อต่อต้านมารและรี้พลของมาร วีรยพละ มีพละคือ วีรยะ(ความเพียร) เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความไม่เปลี่ยนแปลงกลับกลาย สมฤติพละ มีพละคือสมฤติ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความไม่ลบเลือนสูญหาย สมาธิพละ มีพละคือ สมาธิ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อละวิตกทั้งปวง ปรัชญาพละ มีพละคือ ปรัชญา เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความไม่หลงมงาย
สมฤติสัมโพธยังคะ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อรู้ธรรมตามความจริง ธรรมประวิจยสัมโพธยังคะ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อบำเพ็ญธรรมทั้งปวง วีรยสัมโพธยังคะ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความรู้ละเอียดลึกซึ้ง ปรีติสัมโพธยังคะ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อให้ได้สมาธิ หรือเพื่อปรับปรุงจิตให้เป็นสมาธิ ประศรัพธิสัมโพธยังคะ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อหน้าที่อันได้ทำไว้แล้ว สมาธิสัมโพธยังคะ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อรู้ระดับอันเสมอกัน(จิตไม่เปลี่ยนอารมณ์หรืออยู่ในอารมณ์เดียว) อุเบกษาสัมโพธยังคะ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายต่อการเกิดขึ้นทั้งปวง
สัมยัคทฤษฏิ มีความเห็นชอบ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อก้าวลงสู่นยายคือหลักตรรกวิทยาอันว่าด้วยความรู้ตามแนวเหตุผล สัมยักสังกัลปะ ดำริชอบ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อละความยึดมั่น ความคิดผิดพลาด ความตัดสินใจผิด สัมยักวาค วาจาชอบ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อรู้มติ(ลักษณะ)แห่งตัวหนังสือ เสียงพูดภาษาความหมาย และเสียงกระแอมไอ ขากเสลดทั้งปวง สัมยักรรมมานตะ การงานชอบ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความไม่มีกรรมและไม่มีผลแห่งกรรม(คือเมื่อไม่ทำก็ไม่มีผล) สัมยักคาชีวะ อาชีพชอบ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อการแสวงหาทั้งปวง สัมยักวยายามะ ความพยายามชอบ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อข้ามไปให้ถึงฝั่งโน้น สัมยักสมฤติ สมฤติชอบ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อไท้พิจารณาอะไรโดยไม่มีสติ สัมยักสมาธิ สมาธิชอบ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อยึดหน่วงสมาธิด้วยจิตไม่กำเริบ
โพธิจิต คือจิตรู้ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อไม่ตัดวงศ์รัตนะทั้ง 3 (รัตนตรัย) อาศยะ คือความมีใจสุง เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อยึดหน่วงพระพุทธ พระธรรมอันใหญ่ยิ่งเป็นต้น ประโยคะ คือการปฏิบัติธรรม เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อบำเพ็ญกุศลธรรมทั้งปวง
ทานปารมิตา คือทานบารมิตา (คุณเครื่องบำเพ็ญคือทาน) เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความบริศุทธ แก่งพระวรกายพระพุทธเจ้าอันประกอบด้วยลักษณะและอนุพยัญชนะ(อวัยวะส่วนย่อย)และเพื่อจุดจี้คนตระหนี่
ศีลปารมิตา คือศีลบารมิตา เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อเว้นอบายทั้งปวงอันไม่มีกำหนดเวลา และจุดจี้คนทุศีลทั้งหลาย
กษานติปารมิตา คือกษานติบารมี เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อละพยาบาททั้งปวงและโทษะความโกรธ มานะความถือตัว มทะความเมา ทรรปะความกระด้างทั้งหมด และเพื่อจุดจี้คนมีใจพยาบาททั้งหลาย
วิรยะปารมิตา คือ วีรยะบารมิตา เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อให้ข้ามพ้นจากความไม่ยินดีในธรรมที่เป็นกุศลมูล และเพื่อจุดจี้คนเกียจคร้าน
ธยานปารมิตา คือธยานบารมิตา เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อให้เกิดชญานและอภิชญา และเพื่อจุดจี้คนที่มีใจฟุ้งซ่าน
ปรัชญาปารมิตา คือปรัชญาบารมิตา เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อละทิฐิ ที่ยึดเหนี่ยวความมืดมิด คืออวิทยาและโมหะ และเพื่อจุดจี้คนมีปรัชญาทราม
อุปายเกาศละ คือความฉลาดในอุบาย เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อเห็นอิริยาบถของคนตามที่ได้หลุดพ้นแล้ว และเพื่อไม่กำจัดธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งปวง
จัตวาริสังครหวัสตุ คือสังคหวัสดุ 4 (ทาน การให้ ปริยวัทยะ พูดเพาะ อรรถกริยา ประพฤติเป็นประโยชน์ สมานรรถตา เฉลี่ยประโยชน์ให้เท่ากัน) เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อช่วยเหลือคนทั้งหลาย และเพื่อพิจารณาถึงธรรมสมบัติ(การได้รับธรรม) ของผู้ที่บรรลุปรัชญาตรัสรู้
สัตวะปริปาก คือการอบรมบ่มคน เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความสุขของตน และเพื่ออดกลั้นความทุกข์ สัทธรรมปริครหะ คือการรับพระสัทธรรม เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อละเกลศของคน ปุณยสัมภาร คือการเจริญบุณญ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อการดำรงชีพของคนทั้งปวง ชญานสัมภาร คือการเจริญชญาน(ความรู้) เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อบำเพ็ญกำลังทั้ง 10 (ทศพลชญาน) ศมถสัมภาร คือการเจริญศมถะ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อยึดหน่วงสมาธิของพระตถาคต วิทรรศนาสัมภาร คือการเจริญวิทรรศนา เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อยึดหน่วงปรัชญาจักษุ ปรติสัมพิทวตาร คือการหยั่งลงสู่ปรัชญาที่รอบรู้ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อยึดหน่วงธรรมจักษุ ปรติศรณาวตาร คือการหยั่งลงสู่ที่พึ่งโดยเฉพาะ เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความบริศุทธแห่งพุทธจักษุ ธารณีปรติลัมภ คือการยึดหน่วงมนตร์ธารณี เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความจดจำพุทธภาษิตทั้งปวง ประติภานปรติลัมภ คือการยึดหน่วงปฏิภาณ(เชาวน์) เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อความยินดีในสุภาษิตของคนทั้งหลาย
อานุโลมิกธรรมกษานติ คือความอดทนต่อธรรมโดยอนุโลม เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อดำเนินตามธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งปวง อนุตปัตติกธรรมษานติ คือความอดทนต่อธรรมที่ยังไม่เกิด เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อยึดหน่วงคำพยากรณ์ อไววรรติกภูมิ คือมีภูมิอันไม่เปลี่ยแปลง เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อบำเพ็ญธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งปวง
ภูเมรภูมิสังกรานติชญาน คือชญานผ่านภูมิไปตามลำดับชั้นอภิเษก เป็นธรรมาโลกมุข เป็นไปเพื่อแสดงการลงมาเกิด การเสด็จออกบรรพชา การประพฤติทุษกรจรรยา การเสด็จเข้าไปสู๋โพธิมณฑล การผจญมาร การตรัสรู้ใต้ร่มโพธิ ดำเนินการธรรมจักร และมหาปรินิรวาณ
ดูกรท่านผู้ควรนับถือทั้งหลาย ธรรมาโลกมุข 108 นี้ ซึ่งพระโพธิสัตว์จำเป็นต้องประกาศในเทวสภาในสมัยกาลจะจุติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ใช่แต่เท่านั้น นัยว่าเมื่อพระโพธิสัตว์แสดงธรรมาโลกมุขนี้อยู่เทพบุตรทั้งหลาย 84000 ในเทวสภานั้น ได้เกิดความสำนึกในความตรัสรู้ เทพบุตรอีก 32000 ผู้มีบุพกรรมได้ทำมาแล้ว ก็ได้ยึดหน่วงขมักเขม้นในธรรมที่ยังไม่เกิด เทวบุตรอีก 36 พันโกฏิเกิดธรรมจักษุอันบริศุทธปราศจากธุลีไม่มีมลทิน และสวรรค์ชั้นดุษิตทั้งหมดก็ปกคลุมด้วยดอกไม้ทิพย์ประมาณเพียงเข่า
ดั่งนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ได้ตรัสคาถาเหล่านี้ในเวลานั้น เพื่อให้เทวสภาทั้งหลายชื่นชมยินดีมีประมาณมาก ดั่งต่อไปนี้
1 ในกาลใด พระบุรุษสิงห์ผู้เป็นนายก (ผู้นำ)จุติจากที่ประทับสวรรค์ชั้นดุษิต ตรัสเรียกเทวดาทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงละความประมาทเสียให้หมด ฯ
2 ท่านผู้มีศรีทั้งหลาย กระบวนการแห่งความยินดีอันเป็นทิพย์ใดๆ ที่ท่านทั้งหลายคิดไว้แล้วด้วยใจ ท่านผู้มีศรีทั้งหลาย จงฟังผลแห่งกรรมนี้ ซึ่งเป็นผลแห่งกรรมดีงามทั้งปวง ฯ
3 เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีความกตัญญู จงจัดสรรค์ซึ่งการสะสมความดีงามอันไม่เคยมีแก่ท่านทั้งหลายไว้ในที่นี้ จงอย่าไปอบายซึ่งไม่มี ความสุขสบายและไม่ดีอีกเลย ฯ
4 และธรรมใดที่ท่านเกิดความเคารพ ฟังแล้วในสำนักของเราขอให้ท่านทั้งหลายจงปฏิบัติธรรมนั้น ก็จะถึงความสุขอันเที่ยงแท้หาที่สุดมิได้ ฯ
5 สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง กามทั้งหลายไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน ไม่ควรใส่ใจ มันเป็นมายาเหมือนพยับแดด เปรียบเหมือนฟ้าแลบและต่อมน้ำเหลาะแหละเหลวไหล ฯ
6 ความอิ่มด้วยความยินดีในกามคุณทั้งหลายย่อมไม่มี เหมือนดื่มน้ำเค็ม ปัญญาอันประเสริฐ อยู่เหนือโลก ปราศจากธุลีนั้นอิ่มได้ ฯ
7 การฟ้อนรำขับลำทำเพลงซึ่งเหมือนลูกคลื่นก็ดี การอยู่ร่วมด้วยนางฟ้าทั้งหลายก็ดี การเสพเมถุน ซึ่งเหมืนความใคร่ในสิ่งซึ่งเป็นธรรมเนียมประเพณีก็ดี ไม่มีความอิ่ม ฯ
8 สหายก็ดี มิตรก็ดี ญาติพี่น้องก็ดี บริวารก็ดี ที่ได้ทำดีต่อกันไว้ก็ตามไป ไม่ได้ เว้นไว้แต่กรรม จะติดตามไปเบื้องหลังเพราะทำไว้ดีแล้ว ฯ
9 เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงประกอบด้วยความสามัคคี มีจิตเมตตาซึ่งกันและกัน มีจิตเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกัน ประพฤติสิ่งที่เป็นธรรมประพฤติสุจริต จะได้ไม่เดือดร้อน ฯ
10 จงระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และไม่ประมาทพึงยินดีในการศึกษาสดับตรับฟังในศีลในทาน ประกอบกับความสุภาพ เรียบร้อยด้วยขันดี ฯ
11 จงพิจารณาธรรมเหล่านี้ คือทุขะ อนิตยะ อนาตมา ด้วยปัญญาอันละเอียดลึกซึ้ง ธรรมเหล่านี้ประกอบด้วยเหตุและปัจจัย ไม่มีเจ้าของเป็นไปโดยความโง่เขลาเบาปัญญา ฯ
12 ท่านทั้งหลาย จงดูฤทธิ ความไหวพริบ และคุณคือชญานของข้าพเจ้าอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นไปเพราะเหตุแห่งกรรมดีงามทั้งปวง เพราะศีล เพราะศรุตะ คือการเล่าเรียนและการสดับฟังทั้งปวง และเพราะอัปรมาทะ คือความไม่ประมาท ฯ
13 ท่านทั้งหลาย จงศึกษาตามข้าพเจ้าด้วยศีล ศรุตะ อัปรมาทะ ให้ทาน ทมะ คือการฝึกตน และสังยมะ(สังยมะ คือการบังคับกิริยาต่างๆที่อาศัยอิริยาบถเป็นเครื่องนำ คือไม่ใช้อิริยาบถไปในการเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ใช้อริยาบถในการพูดเท็จ ลักทรัพย์ เสพกาม และรับสิ่งของเกินความจำเป็น) ธรรมเหล่านี้ เป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย เป็นประโยชน์แก่สิ่งที่มีประโยชน์และเป็นประโยชน์แก่มิตร ฯ
14 เสียงพูดเสียงร้องไม่สามารถจะให้เกิดกุศลธรรมได้ ท่านทั้งหลายจงเริ่มปฏิบัติ พูดอย่างไร จงทำอย่างนั้น ฯ
15 มันไม่ใช่โอกาสของผู้อื่น แต่มันเป็นโอกาสของตนเอง ท่านทั้งหลายจงพยายามด้วยความขมักเขม้นด้วยตนเองทุกเมื่อเถิด ไม่ใช่ว่าใครทำให้แก่กันได้และเมื่อไม่ทำ ก็ไม่สำเร็จ ฯ
16 จงระลึกเนืองๆ ถึงทุกข์ในโลกที่ได้รับมาแล้วเป็นเวลานานผู้หยุดแล้ว (ไม่มีตัณหา)และผู้ไม่มีราคะ จะบรรลุได้โดยลำดับ ความผิดจะนำเขาไปไม่ได้ ฯ
17 เพราะฉะนั้น ท่านได้ขณะอันดี ได้กัลยาณมิตร ได้อยู่ในประเทศอันสมควร ได้ฟังธรรมอันดีแล้ว ก็จงระงับดับเกลศทั้งหลายมีราคะ เป็นต้น ฯ
18 ท่านทั้งหลาย จงปราศจากมานะ คือความถือตัว มทะ คือความมัวเมา ทรรปะคือความกระด้าง จงเป็นคนดี ซื่อตรง อ่อนโยน ไม่จองหอง มุ่งหน้าแต่จะไปนิพพาน จงประพฤติธรรมเพื่อตรัสรู้มรรค เถิด ฯ
19 จงกำจัดซึ่งความมืดอันมัวหมอง คือโมหะ เสียให้หมดสิ้นด้วยประทีป คือปัญญา ละจงทำลายซึ่งข่ายคือโทษะพร้อมทั้งความอาฆาตด้วยวัชราวุธ (พระแสงเพชร)ชือชญาน ฯ
20 ประโยชน์อะไรที่ข้าพเจ้าจะพูดธรรมอันประกอบด้วยประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้มากไป ท่านทั้งหลายไม่ตั้งอยู่ในที่นั่น การละเมิดธรรมไม่มีในที่นั้น ฯ
21 ข้าพเจ้าพึงถึงความตรัสรู้อย่างไร ก็จะโปรยธรรมอันไปถึงอมตะ ท่านจงมีจิตบริศุทธเข้ามาเพื่อฟังธรรมอันประเสริฐอีกเถิด ดั่งนี้แล ฯ
อัธยายที่ 4 ชื่อธรรมาโลกมุขปริวรรต ในคัมภีร์ลลิตวิสตร ดั่งนี้แล ฯ


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น