Translate

11 พฤศจิกายน 2568

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์-จริยาปิฎก อปทาน ทัพพมัลลปุตตเถราปทานที่ ๔ ว่าด้วยบุพจริยาของพระทัพพมัลลปุตตเถระ

  
[๑๒๔] พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้แจ้งโลกทั้งหมดเป็นมุนี มีพระจักษุ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระองค์ทรง ตรัสสอน ทำสัตว์ให้รู้ชัด ยังสรรพสัตว์ให้ข้ามวัฏสงสาร ทรง ฉลาดในเทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงยังประชุมชนเป็นอันมากให้ ข้ามพ้นไปได้
 พระองค์เป็นผู้อนุเคราะห์ ทรงประกอบด้วยพระกรุณา ทรงแสวงหาประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ยังเดียรถีย์ที่มาเฝ้าทุกคนให้ ดำรงอยู่ในเบญจศีล เมื่อเป็นเช่นนี้ พระศาสนาจึงหมดความอากูล ว่างจากพวกเดียรถีย์ และวิจิตรด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่ มีความชำนิ ชำนาญ พระมหามุนีพระองค์นั้นสูง ๕๘ ศอก มีพระฉวีวรรณงาม คล้ายทองคำอันล้ำค่า มีพระลักษณะประเสริฐ ๓๒ ประการ ครั้งนั้น อายุขัยของสัตว์แสนปี พระชินสีห์พระองค์นั้น ดำรงพระชนม์อยู่ โดยกาลประมาณเท่านั้น ทรงยังประชุมชนเป็นอันมากให้ข้ามพ้น วัฏสงสารไปได้
 ครั้งนั้น เราเป็นบุตรเศรษฐีมียศใหญ่ในพระนคร หงสวดี เข้าไปเฝ้าพระองค์ผู้ส่องโลกให้สว่างไปทั่ว แล้วได้สดับ พระธรรมเทศนา เราได้ฟังพระดำรัสของพระองค์ผู้แต่งตั้งเสนาสนะ ให้ภิกษุทั้งหลาย ก็ชอบใจ จึงทำอธิการแด่พระองค์ผู้แสวงหาคุณ อันใหญ่พร้อมทั้งพระสงฆ์แล้ว หมอบลงแทบพระบาทด้วยเศียรเกล้า แล้วปรารถนาฐานันดรนั้นแท้จริง ในครั้งนั้น พระมหาวีรเจ้าพระองค์ นั้น ได้ทรงพยากรณ์กรรมของเราไว้ว่า เศรษฐีบุตรนี้ ได้นิมนต์ พระโลกนายกพร้อมด้วยพระสงฆ์ให้ฉันตลอด ๗ วัน เขาจักมีอินทรีย์ ดังใบบัว มีจะงอยบ่าเหมือนของราชสีห์ มีผิวพรรณดุจทองคำ หมอบอยู่แทบเท้าของเราปรารถนาตำแหน่งอันสูงสุด ในกัปที่แสน แต่กัปนี้พระศาสดามีพระนามว่าโคดม ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้า โอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เศรษฐีบุตรนี้จักได้เป็นสาวก ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
 ปรากฏโดยชื่อว่าทัพพะ เป็นภิกษุ ผู้เลิศฝ่ายเสนาสนปัญญาปกะเหมือนปรารถนา ด้วยกรรมที่ทำไว้ดี แล้ว และด้วยการตั้งเจตน์จำนงค์ไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไป สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เราได้เสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐๐ ครั้ง และได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง เป็นพระเจ้าประเทศราช อันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ เพราะกรรมนั้นนำไป เราจึงมีความสุข ในที่ทุกสถาน ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระนายกพระนามว่าวิปัสสีผู้มีพระเนตร งาม ทรงเห็นแจ้งธรรมทั้งปวง ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เราเป็นผู้มีจิต ขัดเคือง ได้พูดตู่สาวกของพระพุทธเจ้าผู้คงที่พระองค์นั้น ผู้สิ้นอาสวะ ทั้งปวงแล้ว ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ และเราจับสลากแล้ว ถวายข้าวสุกที่หุงด้วยน้ำนม แก่พระเถระทั้งหลายผู้แสวงหาคุณอัน ใหญ่ผู้เป็นสาวกของพระผู้แกล้วกล้ากว่านรชนพระองค์นั้นแหละ
 ใน ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของพรหม มีพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่านักปราชญ์ พระนามว่ากัสสป ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ทรงยังศาสนธรรมให้รุ่งโรจน์ ข่มขี่เดียรถีย์ผู้หลอกลวงเสีย ทรงแนะนำเวไนยสัตว์แล้ว เสด็จปรินิพพานพร้อมทั้งพระสาวก ครั้นเมื่อพระโลกนาถพร้อมทั้งพระสาวกปรินิพพานแล้ว ครั้นเมื่อ พระศาสนธรรม กำลังจะสิ้นศูนย์อันตรธาน ทวยเทพและมนุษย์พา กันสลดใจ สยายผม มีหน้าเศร้า คร่ำครวญว่า ดวงตาคือธรรมจัก ดับแล้ว เราจักไม่ได้เห็นท่านที่มีวัตรดีงามทั้งหลาย เราจักไม่ได้ฟัง พระสัทธรรม น่าสังเวช เราเป็นคนมีบุญน้อย
 ครั้งนั้น พื้นปฐพี ทั้งหมดนี้ ทั้งใหญ่ทั้งหนา ได้ไหวสะเทือน สาครสมุทรพูดได้ แม่น้ำร้องอย่างน่าสงสาร อมนุษย์ตีกลองดังทั่วทั้งสี่ทิศ อสนีบาต อันน่ากลัวตกลงไปรอบๆ อุกกาบาตตกจากท้องฟ้า ดาวหางปรากฏ เกลียวแห่งเปลวไฟมีควันพวยพุ่ง หมู่มฤคร้องครวญครางอย่างน่า สงสาร ครั้งนั้น เราทั้งหลายเป็นภิกษุรวม ๗ รูปด้วยกัน ได้เห็น ความอุบาทว์อันร้ายแรง แสดงเหตุว่าพระศาสนาจะสิ้นสูญ จึง เกิดความสังเวช คิดกันว่า เว้นพระศาสนาเสีย ไม่ควรที่เราจะมี ชีวิตอยู่ เราทั้งหลายจึงเข้าไปสู่ป่าใหญ่แล้วจะบำเพ็ญเพียรตาม คำสอนของพระชินสีห์เจ้า
 ครั้งนั้น เราทั้งหลายได้พบภูเขาหินใน ป่าสูงลิ่ว เราไต่มันขึ้นทางพะอง แล้วผลักพะองให้ตกลงเสีย ครั้งนั้น พระเถระได้ตักเตือนเราว่า การอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าหา ได้ยาก อีกประการหนึ่ง ความเชื่อที่บุคคลได้ไว้ ก็หาได้ยาก และพระศาสนายังเหลืออีกเล็กน้อย ผู้ที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเสีย จะต้องตกลงไปในสาคร คือความทุกข์อันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น พวกเราควรกระทำความเพียร ตลอดเวลาที่พระศาสนายังดำรงอยู่ เถิด ดังนี้ 
 ครั้งนั้น พระเถระนั้นเป็นพระอรหันต์ พระอนุเถระ ได้เป็นพระอนาคามี พวกเราที่เหลือจากนี้ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ประกอบความเพียร จึงได้ไปยังเทวโลก องค์ที่ข้ามสงสารไปได้ ปรินิพพานแล้ว อีกองค์หนึ่งเกิดในชั้นสุทธาวาส เราทั้งหลาย คือ ตัวเรา ๑ พระปุกกุสาติ ๑ พระสภิยะ ๑ พระพาหิยะ ๑ พระกุมารกัสสป ๑ เกิดในที่นั้นๆ อันพระโคดมบรมศาสดา ทรง อนุเคราะห์ จึงหลุดพ้นไปจากเครื่องจองจำ คือสงสารวัฏได้ เรา เกิดในพวกมัลลกษัตริย์ ในพระนครกุสินารา เมื่อเรายังอยู่ในครรภ์ นั่นแล มารดาได้ถึงแก่กรรม เขาช่วยกันยกขึ้นสู่เชิงตะกอน
 ลำดับนั้น เราตกลงมา ตกลงไปในกองไม้ ฉะนั้นจึงปรากฏ นามว่าทัพพะ ด้วยผลแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ เรามีอายุได้ ๗ ขวบ ก็หลุดพ้นจากกิเลสด้วยผลที่ถวายข้าวสุกผสมน้ำนม เรา จึงประกอบด้วยองค์ ๕ ด้วยบาปเพราะกล่าวตู่พระขีณาสพ เราจึง ถูกคนโจทมากมาย บัดนี้เราล่วงบุญและบาปได้ทั้งสองอย่างแล้ว ได้บรรลุสันติชั้นสูง เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ เราแต่งตั้งเสนาสนะให้ ท่านผู้มีวัตรอันดีงามทั้งหลายยินดี พระพิชิตมารทรงพอพระทัยใน คุณข้อนั้น จึงได้ทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เราเผากิเลส ทั้งหลายแล้ว ... 
                        พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. 
                        ทราบว่า ท่านพระทัพพมัลลปุตตเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. 
จบ ทัพพมัลลปุตตเถราปทาน.
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค
๔. ทัพพมัลลปุตตเถราปทาน
              ๕๓๔. อรรถกถาทัพพมัลลปุตตเถราปทาน         
              พึงทราบเรื่องราวในอปาทานที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :- 
              อปทานของท่านพระทัพพมัลลปุตตเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. 
              แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมแต่บุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ. 
         ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้เกิดเป็นบุตรเศรษฐี ได้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติ เขาเลื่อมใสในพระศาสดา กำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาอยู่ได้มองเห็นภิกษุรูปหนึ่งผู้ซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุผู้จัดแจงเสนาสนะแล้ว มีใจเลื่อมใส นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ได้ถวายมหาทานตลอด ๗ วัน พอล่างได้ ๗ วันได้หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วปรารถนาตำแหน่งนั้น. 
              แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบถึงความสำเร็จของเขาจึงได้ตรัสพยากรณ์แล้ว. 
         เขาได้บำเพ็ญกุศลกรรมจนตลอดชีวิตแล้วจิตจากอัตภาพนั้น ได้เสวยทิพยสมบัติในหมู่เทวดาชั้นดุสิตเป็นต้น แล้วจุติจากอัตภาพนั้น ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เขาได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง เพราะได้คบหากับอสัปบุรุษ แม้รู้ว่าภิกษุสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ก็ยังได้พูดกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง. เขาได้ถวายสลากภัตรน้ำนมแด่พระสาวกทั้งหลายของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นนั่นแล. เขาได้ทำบุญจนตลอดอายุแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้เสวยสมบัติในโลกทั้ง ๒ แล้ว. 
              ในกาลแห่งพระกัสสปทศพล เขาได้บังเกิดในเรือนอันมีสกุล ในกาลที่สุดบวชแล้วในพระศาสนา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ความโกลาหลอลหม่านก็ได้เกิดขึ้นในสกลโลก. 
              ภิกษุ ๗ รูปเป็นบรรพชิตขึ้นไปยังภูเขาลูกหนึ่งในท่ามกลางป่า ในปัจจันตชนบทแล้ว ผลักพะองให้ตกลงด้วยคิดว่า ความหวังในชีวิตจงตกลงไป ความสิ้นอาลัย จงจมลงไปเสียเถิด. 
              หัวหน้าพระเถระผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุเหล่านั้น ภายใน ๗ วันก็ได้เป็นพระอรหันต์. พระเถระที่รองลงมาจากพระเถระนั้น ได้เป็นพระอนาคามี. พระเถระอีก ๕ รูปนอกนี้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปบังเกิดในเทวโลก ได้เสวยทิพยสุขในเทวโลกนั้นตลอดพุทธันดรหนึ่ง. 
              ในพุทธุปบาทกาลนี้ ภิกษุ ๔ รูปเหล่านี้คือ ปุกกุสาติ ๑ สภิยะ ๑ พาหิยะ ๑ กุมารกัสสปะ ๑ ได้บังเกิดแล้วในที่นั้น. ส่วนพระเถระนี้ได้บังเกิดในอนุปิยนครในมัลลรัฐ. 
              มารดาได้กระทำกาละเสีย ในระหว่างที่ทารกนั้นยังมิทันได้ออกจากท้องมารดาแล. 
              ลำดับนั้น บุคคลหนึ่งจึงให้ช่วยกันยกร่างของนางขึ้นวางบนจิตกาธาน เพื่อทำการฌาปนกิจ แล้วได้ช่วยกันรับประคับประคองกุมารซึ่งตกลงมาในระหว่างกองไม้ไว้. ดังนั้น พระเถระนี้จึงได้ปรากฏชื่อว่า ทัพพมัลลบุตร เพราะตกลงมาที่กองไม้. 
              ในกาลต่อมา ด้วยอำนาจบุญสมภารที่ทำไว้ในปางก่อน ท่านจึงได้บวชแล้วประกอบความเพียรเจริญกัมมัฏฐาน ไม่นานเท่าไรนักก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔. 
              ลำดับนั้น พระศาสดาจึงทรงมอบหมายท่านไว้ในตำแหน่งจัดเสนาสนะ และในตำแหน่งจัดแจงเรื่องภัตรแก่ภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าท่านวางตนเป็นกลาง และเพราะท่านมีอานุภาพสมบูรณ์ และพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดก็พร้อมกันยกย่องท่าน อันว่าเรื่องนั้นได้มาแล้วในวินัยขันธกะนั่นแล. 
              ในกาลต่อมา พระเถระได้เจาะจงสลากภัตรของท่านผู้ให้สลากอันประเสริฐคนหนึ่ง แก่พวกภิกษุเมตติยภูมชกะ. 
              พวกภิกษุเหล่านั้นร่าเริงดีใจ พูดกันว่า พรุ่งนี้พวกเราจักบริโภคภัตรที่เจือด้วยถั่วเขียวเนยใสและน้ำผึ้งของเรา ดังนี้แล้วจึงได้มีความอุตสาหะ. 
         ฝ่ายอุบาสกนั้นทราบว่าถึงวาระของภิกษุเหล่านั้นจึงสั่งนางทาสีว่า แน่ะแม่ พรุ่งนี้ภิกษุเหล่าใดจักมาถึงในที่นี้ เจ้าจงอังคาสภิกษุเหล่านั้นด้วยข้าวปลายเกรียน มีน้ำผักดองเป็นที่ ๒. แม้ทาสีนั้นก็ได้นิมนต์ให้ภิกษุเหล่านั้นผู้มาถึงแล้วให้นั่ง ณ ที่มุมซุ้มประตู นิมนต์ท่านบริโภคแล้วอย่างที่นายสั่งนั้นแล. 
              ภิกษุเหล่านั้นไม่พอใจ เดือดดาลอยู่ด้วยความโกรธ ผูกอาฆาตในพระเถระพูดติเตียนว่า พระเถระรูปนี้นี่แหละที่ใช้ให้ทายกผู้ให้ ภัตรอันอร่อย สั่งให้ให้ภัตรอันไม่อร่อยแก่พวกเรา จึงมีความทุกข์ เศร้าใจ นั่งแล้ว. 
              ลำดับนั้น นางภิกษุณีชื่อว่าเมตติยาจึงถามภิกษุเหล่านั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านมีความทุกข์ใจเรื่องอะไร? ภิกษุเหล่านั้นพูดว่า น้องหญิง! เรื่องอะไรพวกเราจึงมาถูกพระทัพพมัลลบุตรเบียดเบียน คอยเพ่งโทษ. 
              นางภิกษุณีจึงถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ มีเรื่องอะไรที่ดิฉันพอสามารถจะช่วยทำได้ไหม? ภิกษุเหล่านั้นพูดว่า เธอจงยกโทษของพระทัพพมัลลบุตรนั้นขึ้นเถิด. 
              นางภิกษุณีนั้นจึงได้กระทำการกล่าวตู่ยกโทษแก่พระเถระในเรื่องนั้นๆ. 
              ภิกษุทั้งหลายได้สดับเรื่องนั้นแล้ว จึงกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทราบ. 
              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงรับสั่งเรียกหาพระทัพพมัลลบุตรแล้วตรัสถามว่า ทัพพะ ได้ยินว่าเธอได้กระทำประการอันแปลกแก่นางเมตติยาภิกษุณี จริงไหม? 
              พระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบว่าข้าพระองค์เป็นอย่างไร. 
              พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ทัพพะ พวกทัพพมัลลบุตรทั้งหลายย่อมไม่อธิบายอย่างนั้นแล เธอจงบอกมาว่า เป็นผู้กระทำหรือว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำ. 
              พระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้เป็นผู้กระทำ พระเจ้าข้า. 
              พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงประกอบภิกษุเหล่านั้นให้เมตติยาภิกษุณีพินาศเสีย. 
              ภิกษุทั้งหลายมีพระอุบาลีเถระเป็นประธาน จึงสั่งให้นางภิกษุณีนั้นสึกเสียแล้ว ซักถามพวกภิกษุเมตติยภูมชกะ. เมื่อพวกภิกษุเหล่านั้นกราบเรียนว่า พวกเราได้ใช้นางภิกษุณีนั้นเอง ดังนี้แล้วจึงได้พากันกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงทราบ. 
              พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบัญญัติอาบัติสังฆาทิเสสในเพราะกล่าวตู่เรื่องอันไม่มีมูลแก่พวกภิกษุเมตติยภูมชกะ.
         ก็โดยสมัยนั้นแล พระทัพพเถระเมื่อจะจัดแจงเสนาสนะสำหรับพวกภิกษุ คือเมื่อจะส่งพวกภิกษุผู้ที่เสมอกันไปในพระมหาวิหาร ๑๘ แห่งรอบพระเวฬุวันมหาวิหาร ในส่วนแห่งราตรีคือในเวลามืด ใช้นิ้วทำแสงประทีปให้ลุกโพลงแล้ว ส่งพวกภิกษุผู้ไม่มีฤทธิ์ไปด้วยแสงสว่างนั้นนั่นแล. 
         เมื่อหน้าที่จัดแจงเสนาสนะและหน้าที่จัดแจงเรื่องภัตรของพระเถระเกิดปรากฏแล้วอย่างนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงแต่งตั้งพระทัพพเถระไว้ในฐานันดร ในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าจึงทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งที่เลิศว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระทัพพมัลลบุตรเป็นผู้เลิศแห่งหมู่ภิกษุสาวกของเราผู้จัดแจงเสนาสนะแล. 
              พระเถระระลึกถึงบุรพกรรมของตน เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนได้เคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้ 
              ถ้อยคำนั้นทั้งหมดมีเนื้อความดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล. 
              เชื่อมความว่าในกัปที่ ๙๑ แต่นี้ไป พระผู้นำของชาวโลกพระนามว่าวิปัสสีทรงได้อุบัติขึ้นแล้วในโลกแล. 
              บทว่า ทุฏฺฐจิตฺโต ความว่า ผู้มีจิตอันโทษประทุษร้ายแล้ว คือผู้มีจิตไม่ผ่องใสเพราะสมาคมกับคนไม่ดี. 
              บทว่า อุปวทึ สาวกํ ตสฺส ความว่า เราได้ให้ร้ายพระสาวกที่เป็นพระขีณาสพ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น คือเราได้ยกเอาถ้อยคำที่ไม่เป็นจริงกล่าวทับถม ได้แก่เราได้กระทำการกล่าวตู่ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นจริง. 
              บทว่า ทุนฺทุภิโย ความว่า เภรีท่านเรียกว่าทุนทุภิ กลองมโหระทึกเพราะเปล่งเสียงว่า ทุง ทุง ดังนี้. 
              บทว่า นายึสุ แปลว่า เปล่งเสียงดัง. 
              บทว่า สมนฺตโต อสนิโย เชื่อมความว่า ประกอบลงแล้วในหิน คือให้พินาศไปโดยทิศาภาคทั้งหมด. 
              รวมความว่า สายฟ้าอาชญาของเทวดาอันนำมาซึ่งความหวาดกลัวได้ผ่าแล้ว. 
              บทว่า อุกฺกา ปตึสุ นภสา ความว่า ก็กองไฟได้ตกลงแล้วจากอากาศ. 
              บทว่า ธุมเกตุ จ ทิสฺสติ ความว่า และกองไฟอันประกอบด้วยกลุ่มควัน ย่อมปรากฏชัดเจน. 
              คำที่เหลือมีเนื้อความพอที่จะกำหนดได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถกถาทัพพมัลลปุตตเถราปทาน

ไม่มีความคิดเห็น: