Translate

10 ธันวาคม 2568

อัธยายที่ 13 สํโจทนาปริวรฺต สฺตฺรโยทศะ ชื่อ สัญโจทนาปริวรรต(ว่าด้วยการเตือน) พระคัมภีร์ลลิตวิสฺตรนี้ เป็นพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในนิกายมหายาน

 การเตือน
  
 กระนี้แล       ดูกรภิกษุทั้งหลาย นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรค(งูใหญ่) องค์ศักร(อินทร์) พรหม โลกบาลทั้งหลายพร้อมด้วยเทวดาเป็นอเนกซึ่งถึงความขวนขวายในการทำบูชาพระโพธิสัตว์ ได้มาแสดงความยินดีด้วยเสียงของตนเองต่อองค์พระโพธิสัตว์ผู้อยู่ในท่ามกลางสนมกำนัล
 ในที่นั้น   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยต่อมา เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรค(งูใหญ่) องค์ศักร(อินทร์) พรหม โลกบาลทั้งหลายเป็นอันมาก ได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า สัตบุรุษพระองค์นี้จะชักช้ามาภายในบุรีนานนักหนอ สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ที่ได้บ่มมาแล้ว(บำเพ็ญบารมิตา) เป็นเวลานาน ย่อมบัญญัติเทศนาธรรมแก่ผู้บรรลุโพธิด้วยสังคหวัตถุ 4 อย่าง คือ การให้ มีวาจาเป็นที่น่ารัก ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ เฉลี่ยประโยชน์ให้เท่ากัน สังคหวัตถุทั้ง 4นี้ เป็นที่รองรับธรรม ตั้งขึ้นทั้งหมดพร้อมกับผู้บรรลุโพธินั้นทีเดียว และพระโพธิสัตว์ ภายหลังจะออกอภิเนษกรมณ์ และจะตรัสรู้อนุตตรสัมยักสัมโพธิ
 ครั้นแล้ว เขาเหล่านั้น ประกอบด้วยความเคารพ ประกอบด้วยความเอาใจใส่ประนมมือแล้วนมัสการพระโพธิสัตว์ และคำนึงด้วยความปรารถนาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจะเห็นสัตว์บริศุทธประเสริฐยิ่ง ออกอภิเนษกรมณ์ ครั้นแล้วประทับนั่งที่โคนต้นมหาทุมราช(ต้นโพธิ) นั้น บำราบมารพร้อมด้วยแสนามาร แล้วตรัสรู้อนุตตรสัมยักสัมโพธิ ประกอบด้วยกำลังแห่งพระตถาคต 10 ประการ และประกอบด้วยไวศารัทยะ(*1)แห่งพระตถาคต 4 ประการ และประกอบด้วยอาเวณิกธรรม(*2) 18 หมวด ซึ่งเป็นธรรมของพระพุทธ ทรงยังจักรคือธรรมให้หมุนเป็นไปอันสูงสุดมีอาการ 12 ทรงยังมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลก และอสูรโลกให้ชื่นชมยินดีด้วยสุภาษิตตามอัธยาศัยของสัตว์โดยทำนองลีลาแห่งพระพุทธ
                        *1 ไวศารัทยะ มี 4 คือ พระตถาคตไม่เห็นว่าใครๆจักท้วงพระองค์ได้โดยธรรมในฐานะ 4 คือ
      1 ท่านปรติชญาว่าเป็นสัมยักสัมพุทธ ธรรมเหล่านี้ ท่านยังไม่รู้แล้ว
      2 ท่านปรติชญาว่า อาสวะเหล่านี้ของท่าน ยังไม่สิ้นแล้ว
      3 ท่านกล่าวธรรมเหล่าใดว่าทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่อาจทำอันตรายแก่ผู้ส้องเสพได้จริง
      4 ท่านแสดงธรรมเพื่อประโยชนอย่างใด ประโยชน์อย่างนั้นไม่เป็นทางสิ้นทุกข์โดยชอบแห่งคนผู้ทำลาย
                        *2 อาเวณิกธรรม คือ ธรรมที่แยกอยู่ต่างหากไม่พัวพันกิน อฏฐารสอาเวณิกาธมมา อาเวณิกธรรม 18 หมวด ในปฏิสัมภิทามัคคปกรณ์ว่า สาวเกหิ อสาธารณนิ ตถาคตนํเยว อาเวณิกานิ ถาณานิ.....ญานเฉพาะพระตถาคตผู้เดียว ไม่ทั่วไปแก่สาวกทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
                        ในที่นั้น พระโพธิสัตว์ทรงเป็นผู้นำประชุมชนอื่นๆติดต่อกันมาตั้งหลายกัลปนับไม่ถ้วนเป็นเวลานาน ทรงเป็นอาจารย์ด้วยพระองค์เองในธรรมที่เป็นโลกิยและโลกุตรทั้งปว ทรงรู้กาล รู้เวลา รู้สมัยในการประพฤติธรรมที่เป็นกุศลมูลทั้งปวงตลอดเวลานาน ทรงรู้การจุติ(การตาย)
                        ทรงประกอบด้วยอภิชญา 5 พระองค์ ทรงลำพองด้วยฤทธิบาท มีความฉลาดในอินทรีย์ทั้งปวง ทรงรู้กาล และอกาล(กาลควรและไม่ควร)
                        ทรงทันต่อเวลาไม่ล่วงเลยเมื่อถึงเวลา เหมือนคลื่นไม่ล่วงเลยฝั่งมหาสมุทรพระองค์ประกอบด้วยกำลังชญาณแห่งอภิชญา ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยพระองค์เองว่า นี่เป็นคราวที่ข่ม นี่เป็นคราวที่จะยกย่อง นี่เป็นคราวที่จะสงเคราะห์ นี่เป็นคราวที่จะอนุเคราะห์ นี่เป็นคราวที่จะเฉย ที่เป็นคราวที่จะพูด นี่เป็นคราวที่จะนิ่ง(หยุดพูด)
                        นี่เป็นคราวที่จะออกบวช (เรนษกรมณ์)
                        นี่เป็นคราวที่จะบวช นี่เป็นคราวที่จะสังวัธยาย(ปริกรรมคาถา หรือเจริญภาวนา)
                        นี่เป็นคราวที่จะพิจารณาโดยละเอียดถี่ถ้วน นี่เป้นคราวที่จะแยกตนออกจากหมู่ นี่เป็นคราวที่พวกกษัตริย์จะเข้าเฝ้า ฯลฯ จนถึงนี่เป็นคราวที่พวกพราหมณ์ คฤบดีจะเข้าเฝ้า นี่เป็นคราวที่พวกเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรค
                        องค์ศักร(อินทร์) พรหม โลกบาล ภิกษุ ภิกษุณี  อุบาสก อุบาสิกา  จะเข้าเฝ้า นี่เป็นคราวที่จะแสดงธรรม นี่เป็นคราวสนทนาปราศรัยกัน(คุยกัน) พระโพธิสัตว์ทรงรู้กาลตลอดเวลาในที่ทั้งปวง และทรงทันต่อเวลา
                        ก็และครั้งนั้นแล       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้เกิดมาในภพสุดท้าย จำเป็นที่พระพุทธทั้งหลายผู้มีภคะ ซึ่งประทับอยู่ในโลกธาตุทั้ง 10ทิศ พึงตักเตือน ด้วยธรรมที่เป็นประธานอย่างนี้เหล่านี้ ดังว่าบรรลือด้วยสังคีตดุริยางค์ เป็นต้น
                        ในที่นี้ มีคำกล่าวไว้ว่า
      1 ผู้ใด เป็นยอดสัตวย์(ยอดคน)เพราะวิเศษในโลก 10 ทิศนั้น ด้วยดุริยางค์ที่น่ายินดีในโลกนั้น คาถาทั้งหลายเหล่านี้อันไพเราะ น่ายินดีที่ขับร้องขึ้นแล้ว ย่อมตักเตือนเขาผู้นั้น ซึ่งเป็นคนประเสริฐดียิ่ง ฯ
      2 พระโพธิสัตว์พระองค์นี้ เห็นสัตวย์ทั้งหลาย เต็มไปด้วยทุกข์ตั้งร้อยอย่าง จึงทำความเอาใจใส่ต่อสัตว์เหล่านั้นมาก่อนแล้ว เป็นที่หลบหลีก เป็นที่ป้องกันในการทำตนให้เป็นที่พึ่งของโลก กระทำที่พึ่งและประโยชน์อย่างยิ่ง ฯ
      3 เป็นผู้ยังประโยชน์ให้ลุล่วง มีความแกล้วกล้า มีความจำดี ประพฤติดี เอาใจใส่ในประโยชน์แก่โลก ได้มีแล้วในกาลก่อน พระองค์รู้กาล รู้เวลา รู้สมัยของพระองค์ ออกอภิเนษกรมณ์(ออกบวช)เป็นฤษีผู้ประเสริฐยิ่ง ฯ
      4 ทรงสละทรัพย์อันประเสริฐ สละศีรษะ มือ และเท้า แก่ผู้ต้องการในกาลก่อนจะได้เป็นพระพุทธ ผู้ด้ดสันดานมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เป็นผู้เลิศแก่โลก สะสมคุณธรรมตั้งร้อย ฯ
      5 พระองค์ทรงประพฤติพรต และตบะด้วยศีล พระองค์กระทำประโยชน์ให้แก่โลก เพราะความอดกลั้น พระองค์สะสมคุณธรรมอันดีงามด้วยความเพียร พระองค์ไม่เสื่อมทรามในธยานและปรัชญาในไตรภพ ฯ
      6 พระสุคตทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ไม่ซาบซ่านด้วยความโกรธ ไม่มาไปด้วยมลทินทั้งปวง ได้มากระจ่างแจ้งในพระองค์ผู้มีพระไมตรี พระสุคตเหล่านั้นได้รู้สิ่งต่างๆในความไม่จริง อันปราศจากคุณธรรมที่ดีงาม ฯ
      7 พระองค์มีพระหทัยสะสมความดีงามในบุณย และชญาน ทรงรู้ในการเข้าธยาน มีตบะ(อำนาจ) ปราศจากธุลีคือเกลศส่องสว่างทั่วทิศทั้ง 10 นี้ ปราศจากมลทิน เหมือนดวงจันทร์พ้นจากเมฆ ฯ
      8 พระสุคตอื่นๆ เหล่านั้น งามหลายอย่าง วาจาซึ่งเป็นเสียงของพระชิน(พระพุทธ) เหมือนจะก้องกังวาลด้วยเสียงดุริยางต์ซึ่งตักเตือนพระโพธิสัตว์ที่เทวดาและมนุษย์บูชาแล้วว่า   พระองค์เสด็จอภิเนษกรมณ์นี่เป็นสมัยของพระองค์แล้ว ดังนี้ ฯ
      อนึ่งเล่า       ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในพระราชวัง  ซึ่งเป็นประธานอันประเสริฐนั้น เพียบพร้อมด้วยเครื่องอุปกรณ์ทั้งปวงเกิดขึ้นแล้ว อนุกูลแก่การอยู่เป็นสุขตามความปรารถนา เหมือนพิภพเมื่องอมร(เทวดา)
 มี่ระเบียงประตูซุ้มประตูมีลวดลาย หน้าต่างตำหนัก เรือนยอด และปราสาทอันประเสริฐดียิ่ง ซึ่งแบ่งสันปันส่วนไว้ต่างๆ ล้วนประดับด้วยรัตนะอันวิจิต ประดับด้วยการยกฉัตรธงชัย  ธงปตาก ตาข่าย ลูกพรวนรัตนะเป็นอเนก  ห้อยด้วยพวงมาลัยผ้าไหมจำนวนแสน ระย้าย้อยไปด้วยแก้วมุกดาหาร แซมด้วยรัตนะต่างๆ งามด้วยผ้าประดับรัรตนะอันวิจิตรสลับกัน แขวนเชือกพวงมาลัยผ้าเป็นกลุ่ม มีหม้อเผาเครื่องหอมตลบอบอวล เพดานประดับด้วยผ้าทำเป็นรูปลูกเห็บ ดาษดาไปด้วยดอกไม้ทุกฤดูมีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง และงามดี
 พื้นน้ำมากไปด้วยบัวขาวและบัวสดๆอยู่ในสระ หมู่นกต่างๆเช่น นกพิราบ นกแก้ว นกสาริกา นกดุเหว่า หงส์ นกยูง นกจากพราก นกดุเหว่าลาย นกการเวก นกกระทาดง เป็นต้น ส่งเสียงร้องไพเราะ พื้นดินล้วนแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์เขียว ทุกชิ้นดูเป็นแวววาว น่ารื่นรมย์ ไม่อิ่มตา ทำให้เกิดปีติ และปราโมทย์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในพระราชวังซึ่งเป็นประธานอันประเสริฐ อาศัยอยู่ในเรือนคือพระราชวังอันกว้างขวาง มีพระกายไม่สกปรก ไม่เปรอะเปื้อน ปราศจากมลทิน ทรงประดับด้วยพวงมาลัยไข่มุก พระกายลูบไล้ด้วยเครื่องลูบไล้มีกลิ่นหอมอย่างประเสริฐ
 พระสรีระห่อหุ้มด้วยพระภูษาขาวงาม ไม่เปรอะเปื้อน สะอาดปราศจากมลทิน เสด็จขึ้นสู่พื้นพระที่(พื้นที่นอน) อันตกแต่งด้วยเครืองตกแต่งอย่างดี คือผ้าเนื้อละเอียดดังว่าผ้าทิพย์ชั้นจัดไว้ดีแล้ว อ่อนนุ่มสัมผัสสบายนุ่มนวน เหมือนสัมผัสฝักมะกล่ำเครือทรงเผชิญกับนางสนมกำนัลผู้มีรูปงาม ไม่มีโทษ ดูไม่สกปรก ประพฤติกิริยาอาการงามด้วยประการทั้งปวงดังว่านางเทพธิดา ทรงตื่นอยู่ด้วยเสียงบรรเลงสังข์ กลองใหญ่ กลองเล็ก บัณเฑาะว์ กระจับปี่ พิณใหญ่ พิณน้อย ดังกึกก้องดุจจะเย้ยเพลงสวรรค์ และเสียงขลุ่ยโหยหวลก้องกังวาล ประโคมด้วยดนตรีขับกล่อมนานาประการ เหล่านารีก็ปลุกพระโพธิสัตว์ด้วยเสียงขลุ่ยโหยหวลก้องกังวาลซึ่งเป็นเสียงหวาน นุ่มนวล ไพเราะจับใจหมู่นารีเหล่านั้นเตือนพระโพธิสัตว์ด้วยเสียงขลุ่ยและดนตรีอันโหยหวลก้องกังวาลทั้งหลายเหล่านั้น
                        โดยอธิษฐาน(อาศัย)ถึงพระพุทธทั้งหลาย ผู้ประทับอยู่ในทิศทั้ง 10 คำเตือนนั้นเปล่งออกมาเป็นบทประพันธ์ ดั่งต่อไปนี้
      9 นารีใดมีใจยินดี มีจิตผ่องใส ใช้เสียงหวานของขลุ่ยเป็นที่รื่นรมย์ใจ ดังออกมาเป็นบทประพันธ์ดั่งต่อไปนี้ ซึ่งสละสลวยไพเราะด้วยประการต่างๆ เพราะการดลบันดาลของพระชินผู้สูงสุดประทับอยู่ในทิศทั้ง 10 ฯ
      10 บทประพันธ์เหล่านั้นว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้มีความเอาใจใส่ได้ประดับพระองค์ด้วยความเพียร มองดูอยู่เสมอซึ่งประชุมชนผู้หาที่พึ่งมิได้นี้  พระองค์ทรงเศร้าโศกเพราะชรา มรณะ และเพราะทุกข์อื่นๆจึงตรัสรู้ซึ่งบทอันไม่ชรา และไม่เศร้าโศกต่อไป ฯ
      11 เพราะฉะนั้น พระองค์ผู้ยังประโยชน์ให้ลุล่วง เสด็๗อภิเนษกรมณ์จากบุรีอันประเสริฐนี้โดยเร็วเพลัน เสด็จก้าวเข้าไปสู่ประเทศที่มีพื้นดิน อันประฤษีแต่ปางก่อนแบ่งแยกไว้แล้ว ตรัสรู้แล้วซึ่งชญานของพระชินอันไม่มีใครเที่ยบเทียม ฯ
      12 ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาคุณธรรมอันใหญ่หลวง พระพุทธทั้งหลายแต่ปางก่อนได้เสียสละทรัพย์ รัตนะอันวิจิตร และเสียสละมือ เท้าและชีวิตอันเป็นที่รักมาแล้ว คราวนี้เป็นสมัยของพระองค์ พระองค์จงแจกธรรมดังว่ามหาสมุทรอันหาที่สุดมิได้ในโลก ฯ
      13 ศีลของพระองค์งาม ไม่มีมลทิน ไม่ขาดวิ่น พระองค์ทรงประดับพระองค์ด้วยธรรมอันประเสริฐ ติดต่อกันมาตั้งแต่ก่อน ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาคุณธรรมอันใหญ่หลวง ไม่มีใครเกินหรือเสมอพระองค์ได้ด้วยศีล พระองค์ยังเศร้าโศกเกลศต่างๆในโลกฯ
      14 พระองค์จงประพฤติตั้งร้อยครั้ง (ทำให้มาก)ในกษานติ กษานติของพระองค์มีหลายอย่างในโลก ยากที่จะพูดได้ พระองค์มีความอดทน ความข่มใจ มีใจยินดีในกษานติ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่แก่คนทั้งหลาย ขอพระองค์จงกระทำความคิดในการเสด็จอภิเนษกรมณ์ ฯ
      15 ขอให้ความเพียรของพระองค์จงมั่นคงอย่างเคลื่อนที่ อย่าไหวหวั่น พระสุคตทั้งหลายเหล่านั้นเป็นอันมากแต่ปางก่อน ท่านได้ผจญมารผู้โอหังพร้อมด้วยเสนามาร ขอพระองค์จงเหือดแห้ง(เหินห่าง) จากอบายทั้ง 3ทั่วกัน ฯ
      16 พระองค์ประพฤติพรตและตบะเพื่อประโยชน์ของผู้ใด ทรงเผาเกลศที่เป็นโทษและเป็นความหม่นหมอง พระองค์จงหลั่งฝนอมฤตลงมาพึงยังผู้นั้นซึ่งไม่มีที่พึ่ง มีความหิวกระหายมานาน ให้อิ่มหนำสำราญ ฯ
      17 พระพุทธทั้งหลาย คิดถึงถ้อยคำอันประเสริฐในครั้งก่อนนั้น (คือพระธรรม)จึงเสด็จอภิเนษกรมณ์จากบุรีอันประเสริฐโดยเร็ว ได้ตรัสรู้ซึ่งบทอันไม่ตายและไม่เศร้าโศก ขอพระองค์พึงยังผู้ที่เร่าร้อนด้วยควาหิวกระหาย ให้อิ่มหนำสำราญ ในรสอมฤตธรรมฯ
      18 พระองค์มีความฉลาดในการปฏิบัติดูแลด้วยปรัชญา ความรู้ ของพระองค์หนาแน่น กว้างขวาง ไม่มีที่สุด ขอพระองค์จงกระทำความดีงามแห่งแสงสว่างคือปรัชญาแก่คนโง่ทั้งหลาย ผู้ตั้งอยู่ในคลองแห่งความสงสัย ฯ
      19 พระองค์จงประพฤติตั้งร้อยครั้ง (ทำให้มาก) ในความไมตรี กรุณา มุทิตา และอุเบกษาอันประเสริฐ พระองค์จงประพฤติในความประพฤติอันประเสริฐเพื่อผู้ใด จงแจกความประพฤติของโลก แก่ผู้นั้นเทียว ฯ
      20 คำประพันธ์อันวิจิตรประดับด้วยดอกไม้คือคุณธรรมส่งเสียงดังออกมาเป็นข้อความต่างๆจากดนตรี โดยเดชของพระชินทั้งหลาย ซึ่งประทับอยู่ในทิศทั้ง10 ดั่งนี้ เตือนพระกุมารผู้อยู่ในแท่นบรรทม ฯ
      21 เมื่อใด นางสาวผู้บรรเทิง  กระทำความยินดี สายงามเป็นอย่างดี ส่งเสียงไพเราะ ในการขับร้องพร้อมด้วยดนตรีทั้งหลาย เมื่อนั้น พระชินในทิศทั้ง 10 ผู้ปราบเทวดา และมนุษย์ทั้งหลายให้เชื่อง ได้ส่งเสียง ตามเสียงอันประเสริฐร้องคลอไปกับดนตรีนั้น ว่า ฯ
      22 พระองค์จงทำประโยชน์ที่พระองค์ได้ทำมาแล้ว แก่คนทั้งหลายมีจำนวนมาก จงประพฤติคุณธรรมของตน ในคติทั้งหลายอันเป็นพระชิน จงระลึก จงระลึก จงประพฤติพรตและตบะที่เคยประพฤติมาแล้วครั้งก่อนๆ  จงไปสู่ต้นโพธิอันประเสริฐโดยเร็ว แล้วสัมผัส(ตรัสรู้) ซึ่งบทอันเป็นอมฤต ฯ
      23 มนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย มีความหิวกระหายเป็นอย่างยิ่งแล้ว ปราศจากคุณธรรมของพระชิน ความรู้ที่มีอยู่ในพระองค์ สามารถที่จะให้รสอมฤต(แก่เทวดา และมนุษย์เหล่านั้น) ได้ ดูกรนฤบดี พระพุทธผู้ทรงพระคุณคือกำลัง 10 อย่าง ที่ชนทั้งหลายบูชาแล้ว จะมอบอมฤตให้ไว้ในพระองค์โดยเร็ว ฯ
      24 เมื่อพระองค์สละได้แล้ว ซึ่งบุรี แก้วแหวนเงินทอง มิตรสหาย ภรรยา บุตร แผ่นดิน พร้อมทั้งนครและชนบท  พระองค์สละแล้วแม้ซึ่งศีรษะมือเท้า นัยน์ตาของตนเอง ผู้ใดกระทำประโยชน์ในโลก  ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้ยินดีแล้วในคุณธรรมของพระชิน ฯ
      25 ดูกรนฤบดีผู้เจริญในบุรี ผู้เป็นโอรสแห่งคนประเสริฐ คนใดเขาออกปาก(ขอ)ต่อหน้าพระองค์ว่า จงให้แผ่นดินนี้พร้อมทั้งนครและชนบทแก่ข้าพเจ้า ขอท่านจงสละสิ่งนั้นให้แก่เขาเถิด แล้วจงบรรเทิง อย่ามีใจโกรธเคืองเขาเลย ฯ
      26 ดูกรนฤบดีผู้เจริญในบุรี ผู้ใดเป็นพราหมณ์โดยกำเนิด เป็นครูจงปฏิบัติดูแลผู้นั้น อย่ามีความเกลียดชังอาฆาตเขาต่อไปเลย คนเป็นอันมาก สถาปนา(ตั้ง) พราหมณ์ผู้ประเสริฐไว้ในความสุขสบาย เขาตายไปจากภพนั้นแล้วจะได้ที่อยู่ในเมืองสวรรค์ ฯ
      27 ดูกรโอรสแห่งนฤบดีผู้เจริญในบุรี ผู้เป็นฤษีองค์ประเสริฐ เจ้านายผู้วิวาทบาดหมางพระองค์ใด ตัดพระโลมาของพระองค์(ตัดสัมพันธ์)หรือกระทำกิริยาฉันญาติในพระองค์ พระองค์อย่ามีใจโกรธเคืองเขาเลย ฯ
      28 ขอพระองค์จงคือถึงลูกของฤษี ผู้ที่อยู่ในบุรีของพระองค์ยินดีในการประพฤติพรต แบกของหนักขึ้นภูเขา ถูกพระเจ้าแผ่นดินประหาร ถูกยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ ดูกรนฤบดี พระองค์จงเอ็นดูเขา อย่ามีใจโกรธเคืองเขาเลย ฯ
      29 ดูกรพระองค์ผู้เจริญในบุรี ผู้ทรงคุณธรรม มาณพผู้เป็นเจ้าแห่งมฤค อยู่ที่ภูเขา ที่แม่น้ำมีน้ำมาก มีใจกรุณาคนที่ทำประโยชน์ให้แก่ พระองค์ วางพระองค์ไว้บนบก พระองค์จงเอาใจใส่ อย่ามีใจโกรธเคือง ศัตรูของพระองค์เลย ฯ
      30 ดูกรพระองค์ผู้ประเสริฐในนคร ผู้เจริญในบุรี เพราะเหตุที่พระองค์สละบุตร แก้วมณีของพระองค์ตกไปในมหาสมุทรอันกว้าง มันจะไหลไปเองหรือขว้างมันไปในมหาสมุทร พระองค์ผู้มีกำลังแข็งแรง ผู้เกรงต่อการเบียดเบียนได้แล้วซึ่งทรัพย์ คือแก้วมณีนั้นคืนมา ฯ
      31 ดูกรพระองค์ผู้เป็นคนดีในบุรีของพระองค์ พราหมณ์เป็นฤษีผู้ประเสริฐเข้าไปหาพระองค์ ขอร้องว่า ขอให้เป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้า เมื่อพราหมณ์ฤษีพูดว่า ขอให้นำศัตรูของข้าพเจ้าไป ถึงพระองค์จะละร่างกายของพระองค์ด้วยตนเอง พระองค์ก็อย่าละพราหมณ์นั้นเสียเลย ฯ
      32 พระองค์จงคิด ฤษีเข้ามาที่ต้นไม้ที่อาศัยในบุรี พูดอย่างสุภาพเพื่อให้นับต้นไม้นี้ว่ามีเท่าไร พระองค์ทราบดีแล้ว นับได้ถูกต้องแล้วว่าหน่อไม้ในที่นั้นมีเท่าไร วาจาของพระองค์แต่งขึ้นไม่คลาดเคลื่อนเป็นอย่างนั้นฯ
      33 ดูกรพระองค์ผู้มีตระกูลดี ผู้ทรงคุณธรรมดี คนที่อาศัยพุ่มไม้ในบุรีถึงจะทรุดโทรม ก็ไม่ละความระลึกถึงในครั้งก่อนได้  ดูกรพระองค์ผู้เป็นเจ้าคน คนเขาจะปราโมทย์เพราะระลึกถึงคุณของพระองค์ เหมือนระลึกถึงพุ่มไม้อันประเสริฐ ซึ่งกระทำมิ่งขวัญให้ในครั้งก่อน ฯ
      34 ดูกรพระองค์ผู้มีคุณมาก ผู้ทรงคุณธรรม เพราะประพฤติในทางคุณความดี พระองค์จงสละแผ่นดินพร้อมด้วยนครเสีย เวลานี้เป็นเวลาของพระองค์ พระองค์จงยังโลกให้ตั้งอยู่ในการประพฤติคุณธรรมของพระชินโดยเร็วเถิด ฯ
      35 การยินดีในหญิงสาว เสื้อผ้าอันดีงาม ร่างกายอันประดับแล้วดนตรีอันดียิ่งจับใจในการร้องประสานเสียง  คำประพันธ์วิจิตรอันพระชินทั้งหลายตรัสมาจากทิศทั้ง 10 ความก้องกังวาลแห่งเสียงอันไพเราะในการบรรเลงด้วยเสียงดนตรีทั้งหลาย ย่อมมีด้วยประการนี้แล ฯ
      36 ความตั้งใจของพระองค์ เป็นแสงสว่างของโลกมาหลายกัลปแล้ว พระองค์จะได้เป็นผู้คุ้มครองป้องกันในโลกอันตกอยู่ในอำนาจของชรา และมรณะ ดูกรพระองค์ผู้เป้นนรสิงหะ(คนมีความองอาจ) ขอพระองค์จงระลึกถึงความตั้งใจครั้งก่อนๆ ซึ่งได้ประดับพระองค์แล้ว ดูกรพระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลาย เวลานี้เป็นสมัยของพระองค์เพื่อเสด็จอภิเนษกรมณ์ ฯ
      37 ทานเป็นอันมาก พระองค์ก็ได้ให้มิใช่น้อยในโลกนี้ ตลอดเวลาหลายพันโกฏิภพ เงิน ทอง แก้ว ผ้าอย่างดี รัตนะอันวิจิตร มือ เท้า นัยน์ตา ลูกที่รัก พระองค์ก็ได้ให้แล้ว ราชอาณาจักรอันมั่งคั่ง พระองค์ได้สละแล้ว และพระองค์ไม่กริ้วโกรธผู้ขอเลย ฯ
      38 ดูกรพระองค์ผู้เป็นราชามาตั้งแต่เป็นเด็ก พระองค์เคยเป็นหมูป่าอาศัยอยู่ในดวงจันทร์ มีใจประกอบด้วยความสงสาร และความกรุณา มีแก้วมณีเป็นปิ่น มีดวงจันทร์เป็นประทีป พระองค์เป็นประมุขมามากแล้ว ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้กล้าหาญมั่นคง เป็นยอดดวงตาของพระราชา(พระบิดา) เป็นพระราชามามากหลายพันโกฏิ ยินดีแล้วในการให้ทานพระองค์ได้ทำทุกอย่างมาแล้ว ฯ
      39 พระสุคตทั้งหลายยังพระองค์ให้ประพฤติในการรักษาศีลตลอดหลายกัลป  ศีลของพระองค์บริศุทธเหมือนแก้วมณีปราศจากมลทินความประพฤติของพระองค์เหมือนจามรี(ระวังรักษาขน) จงรักษาศีล ให้เหมือนรักษาเด็ก พระองค์จงกระทำซึ่งประโยชน์อันไพบูลย์ในโลกนี้ด้วยความยินดีในศีลเถิด ฯ
      40 พระองค์เป็นช้างประเสริฐในโลกนี้ ศัตรูผู้เป็นพรานยิงเอาด้วยธนู พระองค์เกิดมีความสงสาร กรุณาในพรานผู้โหดร้าย ปิดอุโมงค์ไว้(พรานซ่อนอยู่ในอุโมงค์ พระโพธิสัตว์เอาเท้าปิดไว้ไม่ให้ช้างอื่นเห็น) พระองค์สละงางามน่าปรารถนาให้แก่พรานนั้น แต่ไม่ยอมสละศีล พระองค์ทรงเป็นประมุขมามากแล้วด้วยประการฉะนี้ ทรงรักษาศีลเพื่อเขาเหล่านั้น เป็นอันมาก ฯ
      41 ชนทั้งหลายพร้อมด้วยพระองค์มีความทุกข์ตั้งหลายพัน ได้รับคำพูดเผ็ดร้อนเป็นอันมาก ได้รับการฆ่าและการจองจำ เพราะยินดีในกษานติ(ความอดทน)ชนเหล่านั้นประพฤติตามเดิม คือมีกษานติ กลับได้รับความสุขกันหมด การฆ่าและการจองจำของพระองค์เหล่านั้น ไม่มีในที่นี้อีกเลย และนั่นคือกษานติของพระองค์ ฯ
      42 คราวใดหมีผู้เป็นที่พึ่งเจริญในภูเขาอันเป็นที่อยู่ประเสริฐดาษดาไปด้วยหิมะและน้ำ ในกาลนั้น คนจับพระองค์ผู้กลัวภัย พระองค์ประพฤติด้วยความสุขสบาย โดยผลไม้และเผือกมันต่างๆ หมีนั้นนำผู้ฆ่าไปจากพระองค์โดยเร็ว และนั่นคือกษานติของพระองค์ ฯ
      43 พระองค์มีวีรยะ(ความเพียร) ตั้งมั่นไม่ไหวหวั่นไม่กระเทือน มีพรตตบะ มีคุณธรรมและชญานต่างๆแสวงหาความตรัสรู้มารวศวรรดี (ทำให้ตกอยู่ในอำนาจ) ก็หมดกำลังด้วยกำลังความเพียรของพระองค์ ดูกรพระองค์ผู้เป็นนรสิงหะ (คนมีความองอาจ) ในโลกนี้ในเวลานี้เป็นสมัยของพระองค์เพื่อเสด็จอภิเนษกรมณ์ ฯ
      44 ม้าประเสริฐของพระองค์ในบุรีนี้ มีสีงามเหมือนสีทอง พระองค์เกิดความกรุณาขี่ม้าเสด็จไปทวีปรกษสในทางอากาศโดยเร็ว ช่วยคนที่ถึงความวิบัติในที่นั้นให้อยู่ในทางปลอดภัย  พระองค์เป็นประมุขมามากแล้ว ด้วยประการฉะนี้ ทรงกระทำความเพียรเพื่อเขาเหล่านั้นเป็นอันมาก ฯ
      45 ยอดแห่งผู้เข้าธยานคือการระงับปราบปรามเกลศด้วยทมะ(การข่มใจ)และศมถะ พระองค์ทรงข่มจิตที่ไหวหวั่นฉับพลัน ที่ยินดีและโลเล (ไม่มั่นคง) ด้วยอารมณ์ทั้งหลาย ทรงประกอบด้วยคุณธรรม ของพระองค์ในโลกนี้ ด้วยทรงยินดีในการเข้าธยานเพื่อประโยชน์แก่โลก ดูกรพระองค์ผู้เป็นสัตว์ประเสริฐ ในโลกนี้ เวลานี้เป็นสมัยของพระองค์เพื่อเข้าธยาน ฯ
      46 พระองค์เป็นฤษีในครั้งก่อน ตั้งอยู่ดีแล้วในความยินดี เข้าธยาน มนุษย์ทั้งหลายเมื่อไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน ได้ช่วยกันอภิเษกพระองค์ในราชสมบัติ พระองค์ก็ยังมนุษย์เหล่านั้นให้มีศีล 10 เขาเหล่านั้นได้ตั้งอยู่แล้วในทางแห่งพรหม(พรหมจรรย์) ครั้งนั้น พวกมนุษย์เหล่านั้นตายแล้วได้ไปบังเกิดเป็นพระพรหมสิ้นด้วยกัน ฯ
      47 พระองค์ทรงรู้วิธีในอาคติชญาน(รู้ที่มา)ต่างๆในทิศน้อยทิศใหญ่ทั้งหลายทรงประพฤติในความรู้เสียงทั้งหลาย ในความรู้อินทรีย์ทั้งหลายในโลก พระองค์จบฝั่งในแนวเขตที่สุด ในวินัยอันเป็นเครื่องนำไปซึ่งเกลศให้พินาศ ดูกรพระองค์ผู้เป็นโอรสกษัตริย์ เวลานี้ เป็นสมัยของพระองค์ เพื่อเสด็จอภิเนษกรมณ์ในโลกนี้ ฯ
      48 ครั้งก่อน ชุมนุมชนทั้งหลายผู้มีความเห็นผิด ตกยากอยู่ในทุกข์ต่างๆเป็นอันมาก มีชรา มรณะ เป็นต้น เกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ครั้นพบพระองค์เข้าแล้วต่างก็ติดตามไปด้วยตนเองในหนทางตรง พระองค์ผู้มีประโยชน์อันใหญ่ยิ่งในโลกนี้ จงกำจัดความมืดคือโมหะ ฯ
      49 บทประพันธ์ประกอบด้วยคุณมีความไพเราะต่างๆ อันวิจิตรด้วยประการนี้ ครั้นแล้ว เมื่อเสียงทั้งหลายดังออกมาพร้อมด้วยเสียงดนตรีทั้งหลาย ด้วยอำนาจของพระชิน ปลุกพระโพธิสัตว์ผู้กล้าหาญว่า พระองค์ เห็นชุมนุมชนผู้เพียบไปด้วยความทุกข์ในโลกนี้แล้ว อย่าทรงเพิกเฉย เวลานี้เป็นสมัยของพระองค์เพื่อเสด็จอภิเนษกรมณ์ เพื่อตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐในโลกนี้ ฯ
      50 นารีทั้งหลายแต่งตัวด้วยผ้าอันวิจิตร รัตนะ ไข่มุก เครื่องหอม และพวงมาลัย มีจิตผ่องใส  มีความรัก มีความยินดี ปลุกพระโพธิสัตว์ ผู้เป็นยอดสัตว์ ด้วยการบรรเลงดนตรีทั้งหลาย ดนตรีกับคำประพันธ์ผสมเป็นรูปเดียวกันเปล่งออกมาด้วยอานุภาพของพระชิน ว่า ฯ
      51 พระองค์เป็นผู้บริจาค ได้บริจาคแล้วเพื่อประโยชน์แก่เขาผู้นั้น มิใช่กัลปเดียว เป็นการบริจาคได้ยาก เป็นผู้รอบรู้ มีศีล มีกษานติ มีวีรยะ มีธยาน เจริญปรัชญา เวลาของพระองค์เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่โลกพระองค์ได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว ณ กาลบัดนี้ ข้าแต่พระนายก(ผู้นำ) พระองค์จงคิดรู้การเสด็จอภิเนษกรมณ์โดยเร็ว อย่าชักช้าอยู่เลย ฯ
      52 พระองค์เป็นผู้บริจาค มีพระเกศาประดับด้วยรัตนะ พระภูษาประดับด้วยทองและเงิน พระองค์บูชายัชญมาแล้วในชาตินั้นๆ มิใช่ชาติเดียว บริจาคแล้วซึ่งภรรยา บุตร ธิดา ร่างกาย ราชสมบัติและชีวิต พระองค์บริจาคหาประมาณมิได้ อันยากที่ใครจะบริจาค เพราะเหตุแห่งการตรัสรู้ ฯ
      53 พระองค์ได้ประดับแล้ว ซึ่งบุณยอันไม่อนาถา(บุญที่มั่งคั่ง) ดูกรราชา พระองค์มีสง่าราศีอันลือนาม พระองค์เป็นผู้สืบสายราชาอีกษวากุ และทรงไว้ซึ่งผู้สืบสายราชาอีกษวากุ เป็นเผ่าพันธุ์พระกฤษณะ และเผ่าพันธุ์พรหมทัต เป็นราชสีห์ ทรงบูชายัชญตั้งพัน ทรงคิดแต่ธรรม มีสง่าราศีดังว่าเปลวไฟ มีทรัพย์มั่นคง คิดถึงประโยชน์เป็นอย่างดี ผู้ใดเป็นสัตว์อนาถา พระองค์ก็บริจาคให้แก่ผู้นั้นซึ่งยากที่ใครบริจาคได้ ฯ
      54 พระองค์เป็นสุดโสมบัณฑิต มีความเพียรรุ่งเรือง มีบุณยเป็นรัศมี พระองค์เป็นผู้มีการบริจาคใหญ่ยิ่ง มีกำลังมาก เป็นผู้มีกฤตัชญ เป็นราชฤษีมีพระรูปโฉมงามเหมือนดวงจันทร์ เป็นผู้กล้าหาญ เป็นผู้เจริญในความสัตย์ ดูกรพระราชา พระองค์แสวงหาคำสุภาษิต และยินดียิ่งในแนวความคิดที่ดี ฯ
      55 พระองค์มีรัศมีเหมือนดวงจันทร์ เสด็จไปสู่สถานที่ประเสริฐยิ่งเป็นปรกติ มีผงจันทน์หอม เป็นใหญ่ในทิศ เป็นผู้กล้าให้ เป็นราชาแคว้นกาศี มีรัตนะเป็นปิ่น บรรลุถึงความสงบระงับ ดูกระพระองค์ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน พระองค์บริจาคให้แก่ผู้อื่นที่มาหา ยากที่ใครจะบริจาคได้ เหมือนเม้ดฝน คือการบริจาคของพระองค์ที่โปรยลงมานั่นได้แก่เม็ดฝนคือธรรมแลฯ
      56 พระองค์เห็นสัตว์ผู้เป็นสาระ(พระพุทธ)ในครั้งก่อนๆ อุปมาเหมือนทรายในแม่น้ำคงคา กระทำพุทธบูชาต่อสัตว์ผู้เป็นสาระ(พระพุทธ) เหล่านั้น ด้วยความคิดหาประมาณมิได้ พระองค์กำลังแสวงหาความตรัสรู้อันเลิศประเสริฐ เพราะเหตุแห่งความหลุดพ้นของสัตว์ทั้งหลาย นี่ก็ถึงเวลาแล้ว ดูกรพระองค์ผู้กล้าหาญ พระองค์จงเสด็จอภิเนษกรมณ์ จากบุรีอันสูงสุดเถิด ฯ
      57 ครั้งแรก พระองค์บูชาพระพุทธอโมฆทรรศี ด้วยดอกศาละ ต่อมาพระองค์เห็นพระพุทธวิโรจนะแล้วมีจิตเลือมใส พระองค์ถวายผลสมอผลหนึ่ง แล้วประโคมด้วยเสียงกลองใหญ่ พระองค์ชูคบเพลิงถือไว้ให้เห็นเรือนไม้จันทน์(พระคันธกุฎี) ฯ
      58 พระองค์เข้าไปในบุรีแล้วเห็นผงจันทน์หอม จึงสาดกำแห่งผงจันทน์ ถวายสาธุการ (แสดงความนับถือ) แก่พระพุทธผู้เป็นใหญ่เพราะธรรม ซึ่งแสดงธรรมแล้ว พระองค์เห็นพระพุทธสมันตทรรศี แล้วกล่าววาจาว่า นโม นมะ (ขอนมัสการอย่างมีเกียรติ) ได้ซัดพวงมาลัยทองไปยังพระพุทธผู้มีพระกายรุ่งเรืองเหมือนเปลวไฟด้วยจิตยินดี ฯ
       59 พระองค์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ได้จูงมือสองกุมารให้แก่ธรรมธวชีเฒ่าขอทานที่ริมฝั่งสระ และถวายดอกอโศกแก่พระพุทธชญานเกตุ ถวายเครื่องดื่มคือข้าวยวาคุแก่พระพุทธสารถิ ถวายทานดวงประทีปแก่พระพุทธรัตนสิขี ถวายผลไม้ล้มลุก(ผัก) แก่พระพุทธปัทมสัมภวะ และถวายแก้วมุกดาหารแก่พระพุทธสรรพาภิภู ถวายทานดอกบัวแก่พระพุทธสาคระ ฯ
       60 ถวายทานด้วยกั้นเพดานแก่พระพุทธปัทมครรภิ ถวายที่นอนในฤดูฝนแก่พระพุทธสิงหะ ถวายทานน้ำมันเนยแก่พระพุทธศาเลนทรราช ถวายนมสดแด่พระพุทธปุษปิตี ถวายดอกบานไม่รู้โรยแดงแก่พระพุทธยโศทัตตะ ถวายอาหารแก่พระพุทธสัตยทรรศี นอบน้อมร่างกายแก่พระพุทธชญานเมรุ ถวายจีวรแก่พระพุทธนาคทัตตะ ฯ
       61 ถวายไม้จันทน์หอมอันดียิ่งกำมือหนึ่งด้วยความปรารถนาเพื่อบูชาถวายแก่พระพุทธอัจยุตคามิ ถวายทานดอกบัวแก่พระพุทธมหาวิยูหะ ถวายพระพุทธรัศมิราชะด้วยรัตนะทั้งหลาย และถวายทองกำมือหนึ่งแก่พระศากยมุนี(องค์ก่อน) และสรรเสริญพระพุทธอินทรเกตุ ถวายต่างหูแก่พระพุทธสูรยานนะ และถวายแผ่นทองแก่พระพุทธสุมตี
       62 ถวายแก้มณีแก่พระพุทธนาคาภิภู ถวายที่นอนปูผ้าแก่พระพุทธปุษยะ ถวาย ร่มประดับรัตนะแก่พระไภษัชยราชะ ถวายอาสนะ(ผ้าปูนั่ง) แก่พระพุทธสิงหเกตุ ถวายข่ายแก้วแก่พระพุทธกาศยปผู้ทรงพระคุณอันดียิ่ง ผู้ตรัสได้ทุกอย่าง ถวายผงจันทน์หอมอย่างดี ไข่มุก และดอกมะลิแก่พระพุทธอรรจิเกตุ ฯ
       63 ถวายเรือนยอด และพวงมาลัยแก่พระพุทธอักโษภยราช ผู้ที่โลกบูชาแล้ว บริจาคราชสมบัติ และของหอมทั้งปวงยากที่ใครจะเอาชนะได้แก่พระพุทธตครสิขิ บริจาคตนเองประทีปใหญ่และเครื่องประดับแก่พระพุทธปัทโมตตระ ถวายดอกไม้งาม และประทีปทำด้วยดอกอุบลแก่พระธรรมเกตุ ฯ
       64 สัตว์ผู้เป็นสาระ(พระพุทธ)องค์อื่นๆใดเสด็จมา พระองค์ก็เคยบูชามาแล้ว การบูชาอันวิจิตรมีชนิดต่างๆ พระองค์ก็ได้ทำมาในชาติอื่นๆแล้ว พระองค์ จงระลึกถึงการบูชาของพระองค์ต่อพระพุทธในอดีตซึ่งเป็นพระศาสดา จงออกอภิเนษกรมณ์ อย่าเพิกเฉยต่อสัตว์อนาถาผู้เต็มไปด้วยความโศกเลย ฯ
       65 เพียงแต่เห็นพระพุทธทีปังกร พระองค์ก็ได้กษานติเป็นอย่างยิ่ง อภิชญา 5 อันไม่คลาดเคลื่อนโดยอนุโลม พระองค์ก็ได้แล้ว ด้วยการคิดที่จะบูชาพระพุทธผู้เป็นเอกแต่องค์เดียวยิ่งกว่าที่กล่าวมาแล้ว พระองค์ได้ผ่านมาแล้วถึงอสงไขยกัลปในโลกธาตุทั้งปวง ฯ
       66 กัลปสิ้นไปหาประมาณมิได้ โดพยพระองค์ปราศจากพระพุทธอัตภาพของพระองค์ทั้งหมดไปอยู่ที่ไหน ภาวะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรที่จะปรับปรุงให้เป็นของเที่ยงแท้ได้ กาม ราชสมบัติและโภคะเป็นของไม่เที่ยง ขอพระองค์จงเสด็จอภิเนษกรมณ์ จากบุรีอันสูงสุด เถิด ฯ
       67 ชรา พยาธิ มรณะ อันทารุณ เป็นภัยใหญ่หลวงมาถึงแล้ว ไฟที่มีเดชร้ายแรง น่ากลัวในเวลาสิ้นกัลป (ไฟประลัยกัลป) ภาวะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมสิ้นไปเป็นธรรมดาไม่มีอะไรที่จะปรับปรุงให้เป็นของเที่ยงแท้ก็ได้สัตว์ถึงความทุกข์ยากเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ผู้ทรงคุณธรรม จงเสด็จอภิเนษกรมณ์ เถิด ฯ
       68 เสียงหมู่นารี เสียงแตรงอน ดนตรีต่างๆ ปลุกพระโพธิสัตว์ผู้เป็นใหญ่แก่มนุษย์ทั้งหลายซึ่งอยู่ในที่บรรทมอย่างเป็นสุข นั่นคือเสียงดนตรีนี้ดังออกมาว่า ฯ
       69 ภพทั้ง 3 ลุกโพรงแล้วด้วยความทุกข์คือ ชรา พยาธิ ภพทั้ง 3 นี้ถูกไฟคือมรณะไหม้แล้ว หาที่พึ่งมิได้ โลกที่ลุ่มหลงอยู่ทุกเมื่อ ถือเอาภพเป็นที่พึ่ง จึงเที่ยววนเวียนเหมือนแมลงภู่ตกอยู่ในหม้อ ฯ
       70 ภพทั้ง 3 ไม่ยั่งยืนเหมือนฤดูศรทะ(ฤดูร้อน)โลกเหมือนโรงละคอนเคลื่อนที่เหมือนลูกคลื่น รีบรวดเร็วเหมือนลูกคลื่น อายุอันแข็งแกร่งในโลกล่วงไปเหมือนฟ้าแลบ ฯ
      71 ชุมนุมชนในมนุษยโลก เทวโลก และอบายโลกทั้ง 3 (รวมเป็น 5โลก ตกอยูในอำนาจแห่งตฤษณาในภพ และอวิทยา ผู้ไม่รู้วนเวียนอยู่ในคติทั้ง 5 เหมือนจักรหมุนของช่างหม้อ ฯ
      72 โลกนี้ ติดอยู่ในบ่วงกลโดยรูปที่ดีงาม กับเสียงเพราะกลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสสบายดี เหมือนลิงติดบ่วงของพรานดักเนื้อ ฯ
      73 กามคุณทั้งหลายประกอบด้วยภัย ประกอบด้วยสงคราม ทำให้มีศัตรู มีโศกมาก มีอันตรายมาก เสมอด้วยคนถือดาบ เหมือนใบไม้มีพิษ พระอารยชนท่านละได้เหมือนละหม้อคูถ ฯ
      74 กามคุณทั้งหลาย ทำให้คิดถึง และมีความโศก ทำให้มืดมน ทำให้เป็นเหตุแห่งภัย เป็นต้นเค้าแห่งความทุกข์เสมอ ทำให้เจริญขึ้นด้วยเถาวัลย์คือ ตฤษณาในภพ ประกอบด้วยภัย ประกอบด้วยสงครามทุกเมื่อ ฯ
      75 คนที่ถูกไฟสุมลุกโพรงขึ้นมา ประกอบด้วยภัย ฉันใด พระอารยชนท่านรู้ว่ากามเหล่านี้ก็ฉันนั้น มันเหมือนหล่มใหญ่ เหมือนคนกระชับดาบ เหมือนคมมีดฉาบน้ำผึ้ง ฯ
      76 นักปราชญ์รู้ว่า กามเหล่านี้เหมือนบ่อน้ำมันเนย เหมือนหม้อคูถ เหมือนหอก เหมือนไข่งู เหมือนสุนัข เหมือนโครงกระดูก ประกอบด้วยภัยเป็นเบื้องหน้า ฯ
      77 อารยชนรู้ว่า กามคุณทั้งหลายเหล่านี้เหมือนดวงจันทร์ในน้ำ เหมือนรูปจำลอง(ไม่ใช่ตัวจริง) เหมือนเสียงฟ้าลั่น เหมือนแสงสว่างแวบเดียว เหมือนโรงละคร และเหมือนความฝัน ฯ
      78 กามคุณทั้งหลายเหล่านี้ ประกอบด้วยขณะ ประกอบด้วยอำนาจ เหมือนเล่นกล เหมือนพยับแดด หลอกหลอน เหมือนฟองต่อมน้ำ ไม่มีจริง ผู้รู้ทั้งหลาย รู้ว่ามันถูกยกขึ้นกำหนดไว้ ฯ
      79 ในวัยแรก มันมีรูป น่ารัก น่าใคร่ รู้กันว่ามันยังเยาว์อยู่ ร่างกายที่ถูกอำนาจทุกข์คือชราพยาธิกำจัดแล้ว ต่างก็พากันหมางเมินเหมือนมฤคเมินต่อห้วยแล้ง ฯ
      80 ผู้ที่มีเงินทอง มีข้าวเปลือกมาก มีกำลังทรัพย์มากถึงจะรู้กันว่าคนนี้ประพฤติเป็นพาล ก็น่ารักน่าใคร่ พอทรัพย์หมด ถึงความทุกข์ยากแล้ว คนทั้งหลายต่างก็หมางเมิน เหมือนเมินต่อป่าร้าง ฯ
      81 คนที่ชอบให้ และทำความยินดี(ให้แก่ผู้อื่น) เหมือนพุ่มไม้ มีดอกและพุ่มไม้มีผล แต่พอหมดทรัพย์ เดือดร้อนด้วยชราทุกข์ กลายเป็นคนขอทาน ทีนี้ไม่มีใครรัก เสมอด้วยแร้ง ฯ
      82 ผู้เป็นใหญ่ มีกำลังทรัพย์ มีรูปงาม มีอินทรีย์น่ารักน่าสมาคม เป็นผู้ทำความยินดี(ให้แก่ผู้อื่น) พอมีความเดือดร้อนเพราะชราพยาธิทุกข์หมดทรัพย์แล้วที่นี้ไม่มีใครรัก เหมือนกับความตายไม่มี่ใครชอบ ฯ
      83 คนถูกชราทำให้แก่ มีวัยอันล่วงเลยแล้ว เหมือนพุ่มไม้ถูกฟ้าผ่า คนที่แก่เพราะชราเหมือนเรือนที่ประกอบด้วยภัย ดูกรพระมุนี โปรดบอกมาเร็วๆถึงวิธีที่จะออกจากชรา ฯ
      84 หมู่ชายหญิงเหี่ยวแห้งเพราะชราเหมือนเถายางทรายยังป่าไม้รังทึบให้แห้งแล้ว ชรานำไปซึ่งความเพียร ความบากบั่นและความว่องไวชราเหมือนคนจมโคลน ฯ
      85 ชรา ทำให้รูปงามกลายเป็นไม่งาม ชรา นำไปซึ่งอำนาจ นำไปซึ่งกำลังและความเข็งแรง นำไปซึ่งความสุขทุกเมื่อ กระทำให้เสื่อม ชราทำให้ตาย ชรานำไปซึ่งน้ำเลี้ยงคือความกระชุ่มกระชวย ฯ
      86 โลกเหมือนมฤคถูกไฟลุกโพลง ประดับแล้วด้วยโรคตั้งหลายร้อยชนิดและด้วยพยาธิทุกข์อันหนาแน่น จงเห็นโลกอันถึงชราพยาธิ พระองค์จงแสดงถึงการออกจากทุกข์โดยเร็วเถิด ฯ
      87 หิมะในฤดูหนาวจำนวนมาก นำเอาน้ำเลี้ยงต้นหญ้า ไม้กอ ไม้ล้มลุกในป่าไป ฉันใด พยาธิ และชราก็นำเอาน้ำเลี้ยงคือความกระชุ่มกระชวยไป ฉันนั้น อินทรีย์รูปร่างและกำลัง(เมื่อพยาธิและชรามาถึงแล้ว) ย่อมเสื่อมไป ฯ
      88 พยาธิกับโรค ย่อมกระทำให้เงินทอง ข้าวเปลือก ทรัพย์สมบัติจำนวนมากหมดสิ้นไป และกระทำความเดือดร้อน กระทำการบั่นทอนกระทำสิ่งที่น่ารักให้เป็นสิ่งที่น่าชัง กระทำความเร่าร้อนเหมือนดวงอาทิตย์ในอากาศ ฯ
      89 การตาย การเคลื่อนที่ การจุติ และการกระทำกาละ เป็นการพรากทรัพย์และบุทคลอันเป็นที่รักทุกเมื่อ การไปแล้วไม่กลับมาอีกก็ดี การไม่ไปอีกก็ดีมันเหมือนใบและผลของพุ่มไม้ และเหมือนกระแสน้ำ
      90 ความตาย กระทำให้สิ่งที่ตกอยู่ในอำนาจ กลายเป็นไร้อำนาจ ความตายย่อมพาไป เหมือนแม่น้ำพาไม้ไป ความตายไม่มีเพื่อน คนตายย่อมไปตามลำพัง ไม่มีเพื่อน  ผลแห่งกรรมของตน จะมีอำนาจพิเศษติดตามไปได้ ฯ
      91 ความตาย ย่อมจับสัตว์มีชีวิตจำนวนหลายร้อย เหมือนเงือกน้ำพาเอกหมู่สัตว์ไป และเหมือนครุฑพาเอานาคไป หรือเหมือนราชสีห์พาเอาช้างไป และเหมือนเปลวไฟพาเอาหญ้าไม้ล้มลุก และหมู่สัตว์ไป ฯ
      92 โลกกระทำหรือตั้งใจ เพื่อจะให้พ้นจากโทษหลายร้อย เช่นนี้พระองค์จงระลึกถึงการประพฤติอุตสาหะครั้งก่อนๆนั้น เวลานี้เป็นกาลของพระองค์เพื่อจะเสด็จอภิเนษกรมณ์ ฯ
      93 หมู่นารีมีความแช่มชื่นยินดี ปลุกพระมหามุนีด้วยดนตรีทั้งหลาย ในกาลใดคำประพันธ์อันวิจิตร ก็ได้เปล่งออกมา ยังพระสุคตให้รู้สำนึกจากเสียงดนตรี ในกาลนั้น ฯ
      94 เสียงดนตรีนั้นทำให้พบกับสิ่งที่ทำไว้ดีแล้วทั้งปวงโดยเร็วว่าอายุกาลของ พระองค์ปรากฏว่า ดำรงอยู่ไม่นานเหลือฟ้าแลบ เวลานี้เป็นสมัยของพระองค์เพื่อเสด็จอภิเนษกรมณ์ประพฤติพรตที่ดีฯ
      95 สังสการทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เหมือนหม้อดิบ (ยังไม่ได้เผา) รังแต่จะแตกทำลาย เหมือนขอทานเล่นกล  เหมือนบ้านเมืองเต็มไปด้วยฝุ่น อยู่ได้ชั่วคราว ฯ
      96 สังสการเหล่านี้ ได้รับความรบกวนเป็นธรรมดา เหมือนโบกปูนในเวลาฝนตกมันเลือนไปได้ เหมือนลูกคลื่นซัดทราย อาศัยปัจจัยมีสภาพอ่อนแอ ฯ
      97 สังสการทั้งหลายเหมือนเปลวประทีป เกิดเร็วดับเร็วเป็นธรรมดา ไม่มีความมั่นคง อุปมาเหมือนลม ไม่มีแก่นสารเหมือนฟองน้ำอ่อนแอ ฯ
      98 สังสการทั้งหลายไม่มีในโลกนี้ เป็นของศูนย์ พิจารณาเห็นเหมือนท่อกล้วย ทำจิตให้งวยงงเหมือนเล่นกล เหมือนขโมยพูดเบาๆ ฯ
      99 สังสการทั้งหลาย ถึงซึ่งการปรับปรุงทุกอย่างเป็นไปด้วยเหตุและปัจจัยทั้งหลาย อาศัยซึ่งกันและกันเพราะหตุ พาลชนย่อมไม่รู้ข้อนี้ ฯ
      100 อาศัยหญ้ามุญชะ จึงเกิดเป็นบรรณศาลา ขวั้นเชือกต้องใช้กำลังความพยายาม(การกระทำ)เครื่องมือทำหม้อ ย่อมเป็นไปได้ด้วยจักรหมุน ไม่มีอะไรโดยลำพังสิ่งเดียวจะเป็นไปได้ ฯ
      101 อนึ่ง ความเป็นไปแห่งกำเนิดทุกอย่าง ย่อมอาศัยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันของแต่ละอย่าง จะมีในสิ่งเดียวกันทั้งก่อนและหลังไม่ได้ ฯ
      102 เหมือนเมื่อมีพืช จึงแตกหน่อ อันใดเป็นพืช  อันนั้นไม่ใช่หน่อ พืชไม่ใช่หน่อ แต่หน่อนั้นจะไม่แตกจากพืชก็หาไม่ สังสการทั้งหลายมีความขาดสูญอย่างนี้โดยความเป็นสิ่งไม่ยั่งยืนเป็นธรรมดา ฯ
      103 สังสการทั้งหลาย มีอวิทยาเป็นปัจจัย มันไม่มีความเจริญอันถ่องแท้ในสังสการ จริงอยู่สังสการ และอวิทยาเป็นของศูนย์ มันไม่มีในโลกนี้โดยปรกติอย่างเดียวกัน ฯ
      104 มันปรากฏเป็นตัวพิมพ์ถอดจากแม่พิมพ์ พ้นแม่พิมพ์แล้วจะไม่ได้อะไรเลย สังสการจะมีในอวิทยานั้นก็หาไม่ และจะเที่ยงแท้ก็หาไม่สังสการทั้งหลายเที่ยงที่จะขาดศูนย์โดยแท้ ฯ
      105 และเพราะรูปอาศัยจักษุแล้วเกิดจักษุวิชญานขึ้นในที่นี้ รูปไม่ได้อยู่ในจักษุ แต่เมื่อพ้นรูปเสียแล้ว ก็ไม่มีอะไรในจักษุ ฯ
      106 รูปเหล่านี้เป็นไนราตมยะ(อนัตตา) และเป็นอศุภะ(ไม่งาม) แต่กลับไปกำหนดเอาว่า รูปเป็นอาตมาเป็นตัวเป็นตน และศภะตรงกันข้าม ฯ กลับกำหนดเอาสั่งที่ไม่มีให้มีขึ้น จากนั้นจักษุวิชญานก็เกิดขึ้น ฯ
      107 เห็นการดับและแดนเกิดของวิชญาน คือ ทั้งเกิดและทั้งดับแห่งวิชญาน วิชญานไม่มีอนาคตไปไหน เห็นในโยคะว่าวิชญานเป็นสภาพศูนย์เหมือนเล่นกล ฯ
      108 ไม้สีไฟอันล่าง 1 อันบน 1 มือพยายามสี 1 เมื่อรวมกันทั้ง 3 อย่างไฟจึงเกิดขึ้นเพราะปัจจัยอย่างนี้ ความมุ่งหมายอันทำขึ้นแล้วก็พลันดับไปโดยแท้ ฯ
      109 และบัณฑิตบางคนค้นหาว่า  มาในหนทางไหน  หรือไปในหนทางไหนค้นหาในทิศใหญ่น้อยทุกทิศ เขาไม่มีการมา และไม่ได้การไป ฯ
      110 สกันธ ธาตุ อายตนะทั้งหลายเป็นมูลเดิม มีกรรมเป็นปัจจัย คือตฤษณาอวิทยา และเมื่อรวมกันเข้า เป็นการชี้บอกว่าเป็นสัตว์เป็นบุทคล สัตว์บุทคลนั้น ไม่ใช่ปรมารถ (คือไม่ใช่ความหมายขั้นสุดท้าย) ฯ
      111 อักษรทั้งหลาย อาศัยคอ ริมฝีปาก เพดาน ฟัน และลิ้น ไม่ใช่อยู่ที่คอ ไม่ใช่อยู่ที่เพดาน (ที่เดียว) และลำพังแต่อักษรตัวเดียว(ไม่ผสมสระ) ก็ออกเสียงไม่ได้ ฯ
      112 อักษรเหล่านั้น อาศัยการผสมกัน จึงออกเสียงตามอำนาจตัวสะกดเป็นคำพูดได้ ความคิดและคำพูดไม่ปรากฏเป็นรูป สิ่งที่อยู่ภายในย่อมไม่ได้จากสิ่งภายนอก ฯ
      113 บัณฑิตพิจารณาเห็นความเกิดและความดับของคำพูด เสียงร้องและเสียงดัง และเห็นวาจาทั้งหมดเปรียบเหมือนยอมรับว่าประกอบด้วยกาละและเทศะทุกเมื่อ ฯ
      114 และเหมือนการเล่นดนตรี ต้องถึงพร้อมด้วยองค์ 3 คือ อาศัยเครื่อง อาศัยมือ และอาศัยความพยายาม(การกระทำ) เสียงจึงดังออกมาจากขลุ่ย และกลอง เป็นต้น คือเสียงเกิดจากเครื่องดนตรีเหล่านั้น ฯ
      115 และบัณฑิตบางคน ค้นหาว่าเสียงมาจากไหน หรือจะไปไหนโดยการค้นในทิศใหญ่ทิศน้อยทั้งปวง ก็ยังไม่พบการไปและการมาของเสียง ฯ
      116 สังสการทั้งปวงเป็นไปด้วยเหตุและปัจจัย พระโยคีเห็นสังสการไม่มีในโลกนี้ เป็นสิ่งว่างเปล่าจากการเห็นจริง ฯ
      117 สกันธ อายตนะ ธาตุ ทั้งหลายศูนย์ทั้งภายใน ศูนย์ทั้งภายนอก ศูนย์จากความเป็นสัตว์จากความเป็นตัวตน ปราศจากที่อยู่อาศัยมีลักษณะ เป็นสภาพทรงไว้ มีสภาพเหมือนอากาศ ฯ
      118 ลักษณะแห่งสภาพทรงไว้เช่นนี้ พระองค์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองตามพระอัธยาศัยเพราะการเห็นพระที่ปังกรพุทธแล้ว พระองค์ยังเทวดาและมนุษย์ให้ตรัสรู้ ฯ
      119 โลกถูกเผาด้วยราคะ โทษะอันกำหนดว่าเป็นความพิปริตและไม่จริงพระผู้เป็นนายกคือผู้นำ ไขน้ำเย็นเสมอด้วยเมฆคือความกรุณาอันเป็นลำธารแห่งน้ำอมฤต ฯ
      120 พระองค์ผู้เป็นบัณฑิต ได้ทำการให้ทานมาแล้วตั้งหลายโกฏิกัลป บรรลุความตรัสรู้อันสูงสุด  ทำการรวบรวมอารยทรัพย์ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ฯ
      121 ผู้มิใช่อารยะ ไม่มีทรัพย์ ยากจน ระลึกถึงความทุกข์ที่เคยผ่านมาแล้วนั้น ดูกรพระองค์ผู้เป็นสารถีฝึกหัดสัตว์ทั้งหลาย ขอพระองค์อย่างเพิกเฉยเสียเลย จงรวบรวมอารยทรัพย์ให้แก่เขาทั้งหลายเหล่านั้น ฯ
      122 พระองค์รักษาศีลเป็นอันดีทุกเมื่อ เพื่อปิดอบายภูมิ จะแสดงสวรรค์และประตูแห่งอมฤตอันสูงสุด แก่สัตว์จำนวนหลายโกฏิ ฯ
      123 พระองค์ระลึกถึงภูมิแห่งนรกที่เคยผ่านมาแล้วนั้น ปิดประตูนรก ไขประตูสวรรค์และนิรวาณ  จงเจริญรุ่งเรืองตามแนวความคิดของผู้มีศีล ฯ
      124 พระองค์รักษากษนติไว้แล้วทุกเมื่อ เพื่อระงับปรติฆะ(ความหงุดหงิดในใจ) และความโกรธต่อสัตว์ทั้งหลาย ยังสัตว์ทั้งหลายผู้แหวกว่ายอยู่ในสมุทร คือภพสงสาร ให้ดำรงอยู่บนบกคือศิวะ(นิรวาณ) อันปราศจากภยันตราย และปราศจากความร้อน ฯ
      125 พระองค์ระลึกถึงอกุศล คือ การจองเวร พยาบาท วิหิงสา(คิดเบียดเบียน) ที่เคยผ่านมาแล้วนั้น ขออย่างเพิกเฉยต่อสัตว์ผู้ประพฤติวิหิงสาเสียเลย จงนังสัตวโลกนี้ให้ดำรงอยู่ในภูมิกษานติเถิด ฯ
      126 พระองค์บำเพ็ญความเพียร เพื่อจะให้มีลมพัดเรือใบคือ ธรรม พาสัตว์โลก ให้ข้ามพ้นจากสมุทรคือภพสงสารให้ดำรงอยู่บนบกคือศิวะอันปราศจากภยันตรายและปราศจากความเร่าร้อน ฯ
      127 พระองค์ระลึกถึงสัตว์โลกที่เป็นดังว่าลุ่มหลงด้วยโอฆะทั้ง 4 (*1) พระองค์บากบั่นด้วยกำลังความเพียรรวดเร็วยังสัตว์ทั้งหลายผู้นำตัวเองไม่ได้ ให้ว่ายข้าม พ้นไปได้ ฯ
      *1 โอฆะทั้ง 4 คือ กามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ อวิชชาโอฆะ
      128 พระองค์อบรมปรัชญาที่ได้ทำมาแล้ว ระงับเกลศด้วยธยานด้วยคดว่าจะยังจิตที่มีอินทรีย์พลุกพล่าน มีอินทรีย์สามัญ ให้ตั้งอยู่ในทางของพระอารยะบ้าง ฯ
      129 พระองค์ระลึกถึงความประพฤติที่เคยผ่านมาแล้วนั้นว่า เราเป็นสัตวโลกอย่ายุ่งด้วยข่ายคือเกลศทั้งหลายในโลกนี้เลย ขอพระองค์จงอย่าเพิกเฉยต่อสัตว์ที่ถูกเกลศขยี้ จงยังหมู่สัตว์เหล่านี้ให้ต้งอยู่ธยาไนกาคระ(ธยานมีอารมณ์สุดยอด เป็นอารมณ์เดียว เถิด ฯ
      130 ปรัชญาที่มีอยู่ในพระองค์ ได้อบรมมาก่อนแล้ว เมื่อสัตวโลกถูกห่อหุ้มด้วยความมืดมนอนธการคือโมหะและอวิทยา พระองค์จะให้ทรรศนะอันถูกต้องในจักษุซึ่งจะได้มองเห็นธรรมตั้งหลายร้อย ฯ
      131 พระองค์ระลึกถึงความประพฤติที่เคยผ่านมาแล้วนั้น เมื่อลัตวโลกถูกห่อหุ้มด้วยความมืดมนอนธการคือโมหะและอวิทยา พระองค์จงให้ธรรมจักษุ(ดวงตาเห็นธรรม) อันปราศจากมลทิน ไม่มีเขม่ามัวหมอง ด้วยแสงสว่างอย่างดี คือปรัชญาอันประเสริฐ ฯ
      132 บทประพันธ์ที่เปล่งออกมาเช่นนี้เป็น เสียงบรรเลงดนตรีของนารีทั้งหลาย ซึ่งเมื่อได้ฟังแล้ว ปราศจากความง่วงหงาหาวนอน และจะส่งจิตไปในความตรัสรู้อันดีเลิศดังนี้แล ฯ
                        กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
                        พระโพธิสัตว์ผู้ประทับอยู่ท่ามกลางภายในพระราชวัง ไม่ว่างเว้น จากการได้ยินธรรมที่ยังไม่เคยได้ยิน ไม่ว่างเว้นจากการพิจารณา ธรรมที่ได้ยินมาแล้ว นั่นเป็นเพราะเหตุใด?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 จริงอยู่ พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีคารวะตลอดเวลานาน และเมื่อธรรมทั้งหลายกำลังพูดกันอยู่ พระองค์ต้องการธรรม ใคร่ในธรรม มีความพอใจ ยินดีในธรรมโดยพระอัธยาศัย พระองค์ไม่อิ่มในการแสวงหาธรรม พระองค์พร้อมที่จะประกาศธรรมตามที่ได้ยินมา พระองค์เป็นเจ้าแห่งการให้ทานธรรมผู้ใหญ่ยิ่ง ไม่มีใครสูงกว่า เป็นผู้แสดงธรรมโดยไม่เห็นแก่อามิษ(เครื่องกัณฑ์) ไม่ตระหนี่ด้วยการให้ทาน ปราศจากความเย่อหยิ่งต่ออาจารย์ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม กล้าในการปฏิบัติธรรม มีธรรมเป็นที่อาศัย มีธรรมเป็นเครื่องป้องกัน มีธรรมป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่พึ่งโดยเฉพาะ มีธรรมเป็นที่ปรารถนา ได้ขุมทรัพย์คือธรรมมีกษานติเป็นของขวัญ มีจริตเป็นปรัชญาบารมิตา ถึงซึ่งคติคือความฉลาดในอุบาย(ฉลาดในทรงเจริญ)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 ในที่นั้น พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาเห็นอริยาบถตามความสะดวกของนางสนมกำนัลทั้งปวงด้วยลีลาอันฉลาดในอุบายยิ่งใหญ่ยิ่ง ทรงคล้อยไปตามธรรมดาแห่งกิริยาที่เป็นไปตามโลกของพระโพธิสัตว์ครั้งก่อนๆ ซึ่งพ้นวิษัยแห่งโลกได้แล้ว ทรงทราบเป็นอย่างดีถึงโทษของกามตลอดเวลานาน ทรงเห็นความสุขจากการไม่มีความใคร่เพราะอำนาจสัตว์มีบารมิตาแก่กล้า ทรงเห็นความเป็นใหญ่ในโลกอันไม่มีอะไรเปรียบปาน ด้วยกำลังพิเศษอันมีบุณยสมภารเกิดแต่การสะสมกุศลมูลอันหาประมาณมิได้ทรงพิจารณาเห็นความสุขเกิดจากความยินดีในกามอันล่วงพ้นวิษัยแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นที่น่ายินดีน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ประกอบด้วย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเป็นสาระวิจิตรด้วยประการต่างๆ อันประเสริฐทรงเห็นจิตของตนเองอยู่ในอำนาจเพราะความยินดีในกามทั้งปวงไม่สิ้นสุดในวิษัยของตนเอง
 ทรงบ่มสัตว์ทั้งหลายผู้ที่สะสมกุศลมูล ช่วยเหลือกำลังแห่งความตั้งใจแต่ตั้งเดิมด้วยการอยู่ร่วมเสมอกัน ทรงประทับอยู่ท่มกลางภายในบุรีด้วยจิตไม่หม่นหมองด้วยมลทินคือเกลศของโลกทั้งปวง ทรงพิจารณาถึงเวลาสุกงอมแห่งธาตุของสัตว์ทั้งหลายตามที่ได้เชื้อเชิญไว้ ในสมัยนั้นพระโพธิสัตว์ทรงระลึกถึงสัญญาครั้งเดิมนับประมาณมาก และมุ่งหน้าต่อธรรมทั้งหลายของพระพุทธ และทรงสำแดงกำลังแห่งความตังใจให้ปรากฏ และทรงก้าวลงสู่มหากรุณารในสัตว์ทั้งหลาย ทรงคิดถึงความหลุดพ้นของสัตว์ทั้งหลาย ทรงพิจารณาเห็นว่า สมบัติทั้งปวงมีความวิบัติเป็นที่สุด และทรงเห็นโลกว่ามากไปด้วยอุปัทวภัยเป็นอเนก และทรงตัดบ่วงแห่งมารผู้กาลี  ทรงยกพระองค์ให้พ้นจากการจองจำคือวัฏสงสาร ทรงส่งจิตไปในนิรวาณ
                        ดูกรภิกษุทั้งหลาย
                        ในที่นั้น พระโพธิสัตว์ทรงทราบดีถึงโทษแห่งวัฏสงสารตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงที่สุดนั่นเทียว พระองค์ไม่มีพระประสงค์อันใด ด้วยพระอัธยาศัยอันดียิ่ง พระเองค์ไม่มีพระประสงค์อันใดโดยขึ้นแก่อุปทาน (ความยึดมั่นถือมั่น)
                        ทั้งปวงพระองค์มู่งหน้าต่อธรรมของพระพุทธและนิรวาณ เบือนหน้าหนีจากวัฏสงสารยินดีในธรรมที่เป็นทางความประพฤติของพระตถาคต ไม่สร้างทางที่เป็นความประพฤติอันเป็นวิษัยของมาร มีปรกติเห็นโทษแห่งภพอันลุกโพลง ทรงปรารถนาเพื่อจะรื้อถอน พระองค์จากธาตุทั้งสาม(กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ)
                        มีกุศลเป็นเครื่องรื้อถอนโทษและทุกข์ในวัฏสงสาร ทรงมุ่งหวังเพื่อบรรพชา  ทรงปรารถนาเพื่อเสด็จออกอภิเนษกรมณ์จมพระองค์อยู่ในวิเวก ทุ่มเทพระองค์ลงในวิเวก หนักไปในวิเวกก่อน มุ่งหน้าสู่ป่าน้อย ป่าใหญ่ จำนงต่อความสงบสงัด ทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่พระองค์เองและผู้อื่น ทรงกล้าปฏิบัติไม่มีใครยิ่งกว่า ทรงใคร่ต่อประโยชน์โลก
 ใคร่ต่อประโยชน์เกื้นกูล ใคร่ต่อความสุข ใคร่ต่อความปราศจากอันตราย ทรงอนุเคราะห์แก่โลก ทรงแสวงหาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ มีปรกติอยู่ด้วยไม่ตรี ทรงประกอบด้วยมหากรุณา ทรงฉลาดในสังครหะวัสตุ มีพระทัยไม่ทุกข์ร้อน ยิ้มแย้มอยู่เสมอ มีกุศลที่จะบ่มและแนะนำสัตว์ทั้งหลาย มีพระหทัยประกอบด้วยความรักในสัตว์ทั้งปวงเหมือนลูกคนเดียว ทรงเสียสละปราศจากความมุงหมาต่อพัสดุทั้งปวง ทรงยินดีในการให้ทาน ประกอบด้วยการบริจาค มีฝ่าพระหัตถ์สะอาด กล้าในการบริจาค ทรงบูชายัชญมาแล้ว มีบุณยมั่งคั่งเป็นอันดี มีบุณยรวบรวมไว้ดีแล้ว มีพระหทัยขัดเกลาแล้ว ปราศจากมลทินไม่มีความตระหนี่ข่มไว้ดีแล้ว ไม่มีใครจะยิ่งกว่า
 ทรงเป็นเจ้าแห่งมหาทาน และทรงให้ทานแล้วไม่หวังผล ทรงกล้าในการให้ทาน มีพระเกียรติปรากฏในการปราบปรามข้าศึกคือหมู่เกลศที่เป็นตัวศัตรูทั้งปวงมีความอยาก ความมักมาก ความโลภ ความเกลียด ความมัวเมา ความถือตัว ความหลงและความตระหนี่เป็นประธาน ทรงก้าวหน้าเพราะเกี่ยวกับเกิดความคิดในการตรัสรู้มีพระหทัยเป็นไปในมหาปริตยาค ทรงอาบน้ำแต่งพระองค์ตั้งท่าเตรียมพร้อม ทรงอนุเคราะห์แก่โลก ทรงแสวงหาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ มีความเพียรเป็นดังว่าเสื้อเกราะองอาจเหิมฮีกด้วยกำลังแห่งมหากรุณาอันเป็นที่หน่วงเหนี่ยวความรอดพ้นของสัตว์ทั้งหลาย มีจิตสม่ำเสมอในสัตว์ทั้งปวงไม่เปลี่ยนแปลง มีการให้เป็นที่น่ายินดีด้วยการเสียสละ มีความบรรเทิงพระทัยในอัธยาศัยแห่งสัตว์ทั้งหลายตามความปรารถนา ทรงเป็นภาชนะที่รองรับความตรัสรู้
 เจาะแจ้งซึ่งธรรมอันยังไม่ได้ขบคิดตามเวลา ตั้งพระหทัยในการน้อมลงสู่ความตรัสรู้ มีธงไม่เอนเอียงทรงชำระมณฑล(หมู่) แห่งสตรีให้สะอาดทรงให้ทานและปริตยาค  มีเครื่องประหารคือชญานอันประเสริฐแข็งเหมือนเพชรทรงปราบปรามข้าศึกคือเกลศได้เป็นอย่างดี ทรงปฏิบัติตามจารีตแห่งคุณคือศีล มีการงานทางกายวาจาใจอันพระองค์ทรงรักษาไว้ด้วยพระองค์เอง ทรงเห็นโทษและภัยแม้มีประมาณน้อย ทรงมีศีลบริศุทธเป็นอย่างดี มีพระหทัยไม่หมองมัว ปราศจากมลทินไม่สกปรก มีพระหทัยไม่หวั่นไหวต่อเสียงเลวทั้งปวง ต่อผู้ที่มาหาเลวๆต่อเสียงคำพูดเลวๆต่อเสียงร้องไห้ คำด่า คำนินทา  หรือคำดูถูก การเฆี่ยนดี คำขู่ตวาด การฆ่า ถูกจับจองจำ ถูกขับไล่และเกลศรอบด้าน ถึงพร้อมด้วยขันติ(ความอดทน)
 และเสารัมภวะ(ความสงบเสงี่ยม) มีพระหทัยไม่แตกร้าว ไม่เบียดเบียนใคร ไม่พยาบาท มีพระหทัยห่วงใยและปรารภความเพียรเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและต้องการแก่สัตว์ทั้งปวง มีพระเนตรมู่งมองแต่ธรรมที่เป็นกุศลมูลทั้งปวงซี่งพระองค์ได้ยึดมั่นแล้ว มีสมฤติไม่พลั้งเผลอ ตั้งมั่นอยู่ในปรัชญาอันดีงาม มีพระหทัยไม่ฟุ้งซ่าน ทรงกระทำใจในซึ่งธยานเป็นเอกาคร(มีอารมณ์เดียว) ทรงฉลาดในการสะสมธรรม ได้แสงสว่างแล้ว ปราศจากความมืดมนอนธการ มีพระหทัยเจริญในการเห็นว่าตนไม่เที่ยงเป็นทุกข์และไม่งาม ทรงครุ่งคิดบริกรรม (คิดทบทวน)
 ถึงโพธิปักษาธรรมทั้งหมดซึ่งเป็นความจริงของพระอารยะ คือ สมฤตยุปัสถาน สัมยักปรหาณ ฤทธิบาท  อินทรีย์ พละ โพธยังค และมรรค มีความรู้ใสสะอาดอันเกิดจากศมถะและวิปัศยนา ทรงเห็นความจริงแห่งปรตีตยสมุตปาท ทรงลีลาเยื้องกรายอย่างงามยิ่งด้วยวิโมกษ 3 อัน ไม่มีอะไรเป็นปัจจัย นอกจากตรัสรู้สัตย์ ทรงพิจารณาเห็นธรรมทั้งปวงเป็นเหมือนมายา(เล่นกล)พยับแดด ความฝัน เงาดวงจันทร์ในน้ำ
                        กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 พระโพธิสัตว์ทรงมีปรกติอย่างนี้ คือ คงอยู่สำราญในธรรมอย่างนี้ ทรงอยู่สำราญมีตนอยู่ในคุณธรรมอย่างนี้ ทรงอยู่สำราญด้วยการประกอบประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายอย่างนี้ พระองค์ได้ถูกตักเตือนด้วยคำเป็นบทประพันธ์อันแผ่ซ่านด้วยการบรรเลงดนตรีอาศัยพระพุทธในทิศทั้ง 10 อันใหญ่ยิ่งด้วยประมาณมาก มุ่งหน้าต่อธรรมที่เป็นประธาน4 อย่าง ซึ่งเป็นการบ่มอินทรีย์นางสนมกำนัลของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายครั้งก่อนๆ  ผู้ถึงภพครั้งสุดท้ายในเวลานั้น ธรรมที่เป็นประธาน 4 อย่างนี้คืออะไร? คือทาน การให้
 ปริยวจนะ คำพูดที่น่ารัก อรรถกริยาการทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์ สมานารถตา ความมีประโยชน์เสมอกัน และพระโพธิสัตว์ทรงมู่งหน้าต่อธรรมที่เป็นประธานที่ชื่อว่าความบริศุทธอันระบายออกซึ่งกิริยาที่ประกอบสังครหะวัสตุ 4 อย่าง และทรงมุ่งหน้าต่อธรรมที่เป็นประธานที่ชื่อว่าความตั้งใจรองรับเชื้อสายของพระไตรรัตนะ เป็นวิษัยแห่งการไม่เปลี่ยนแปลงอันรับไว้ด้วยกำลังแห่งความตั้งจิตมั่นคงในสรวัชญตา(ความตรัสรู้) อันไม่พินาศอันตรธาน และทรงมู่งหน้าต่อธรรมที่เป็นประธานที่ชื่อว่าการหยั่งลงสู่มหากรุณาแห่งอัธยาศัยในการปริตยาค(เสียสละ) แก่สัตว์ทั้งปวง และทรงมุ่งหน้าต่อธรรมที่เป็นประธานที่ชื่อมหาพยุหะ(กระบวนใหญ่) อันนำมาซึ่งการรวมพิเศษแห่งกำลังของสังสาร คือชญาน(ความรู้) อันนำมาซึ่งประโยชน์ต่างๆในบทแห่งธรรมที่เป็นฝ่ายแห่งความตรัสรู้
 พระโพธิสัตว์มุ่งหน้าต่อธรรม 4 อย่างเหล่านี้ ทรงปรับปรุงทำให้สำเร็จลุล่วงเช่นนั้น ในเวลานั้นเพื่อบ่มอินทรีย์นางสนมกำนัลทั้งปวง ได้มีธรรมที่เป็นประธานตั้งแสน มีรูปเป็นอย่างเดียวกันนี้ ดังออกมาด้วยอานุภาพแห่งพระโพธิสัตว์โดยเสียงเพลงทั้งหลายเหล่านั้น ที่ปรับปรุงขึ้นอันทำให้สำเร็จลุล่วงไปอย่างนี้ นั่นคือ
      133 ด้วยฉันนะ (ความมุ่งหมายอันแรงกล้า) ด้วยอาศยะ(ใจ) ด้วยอัธยาศัย (ความพึงพอใจ) และด้วยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย จิต(ความนึกคิด) ย่อมเกิดขึ้นในความตรัสรู้ชั้นสุดยอดอันประเสริฐ และในเสียงที่บรรเลงดนตรี ย่อมปรากฏเป็นรูปขึ้นมา ฯ
      134 เสียงดังออกมา ทำให้ระลึกถึงศรัทธา ปรสาทะ(ความยินดีอธิมุกติ(ความรอดพ้น) ความเคารพ ความปราศจากการถือตัว  มีใจอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ทั้งการต่าถาม การแสวงหากึกุศล(นิรวาณ) ฯ
      135 เสียงเป็นไปในการให้ทาน ในทมะ(การข่มอินทรีย์) ในสํยมะ (การอดกลั้น) ในศีล และเสียงแสดงถึงกษานติ(ความอดทน) เสียงแสดงวีรยะ (ความเพียร) เสียงระบายออกซึ่งธยาน และเสียงแสดงสมาธิและเสียงดังออกมาแสดงปรัชญาแห่งอุบาย ฯ
      136 เสียงดังออกมาแสดงความไมตรี กรุณา มุทิตา อุเบกขา อภิชญา เสียงดังออกมาแสดงการบ่มอินทรีย์สัตว์ทั้งหลายด้วยการรวบรวมสังครหะสัสดุทั้ง 4 ฯ
      137 เสียงแสดงประเภทแห่งสมฤตยปัสถาน (การตั้งสติ)และสัมยักปรหาณฤทธิปาท อินทรีย์ 5ประเภทแห่งพละ5 โพธยังค เสียงดัง ออกมาพร้อมเสียงดนตรี ฯ
      138 เสียงแสดงประเภทแห่งมรรคประกอบด้วยองค์  8 และเสียงแสดงศมถะและวิปัศยนา เสียงแสดงความไม่เที่ยง ความเดือดร้อนด้วยทุกข์ความเป็นตัวตนเสียงดังออกมาพร้อมเสียงดนตรี แสดงความเดือดร้อนด้วยอศุภ (ความไม่งาม) ฯ
      139 เสียงแสดงถึงวิราคธรรม(ธรรมที่ปราศจากความกำหนัด) เสียงแสดงถึงวิเวก เสียงแสดงถึงกษยชญาน (ความรู้ในการสิ้นไปแห่งตัณหา) เสียงแสดงถึงอนุตบาท(ความไม่เกิด) และเสียงแสดงถึงอนิโรธ (ความไม่ดับ) และแสดงถึงอนาลย (ความไม่มีอยู่) เสียงดังออกมาพร้อมคนตรัสแสดงถึงนิรวาณ ฯ
      140 เสียงดังออกมาพร้อมเสียงดนตรีอย่างนี้ เป็นอานุภาพแห่งความตรัสรู้ซึ่งหญิงสาวได้ฟังแล้ว ศีกษาแล้ว ย่อมตั้งอยู่ในความตรัสรู้อันเป็นความมีจริงยอดเยี่ยม ฯ
                        กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
                        พระโพธิสัตว์ผู้ประทับอยู่ท่ามกลางนางสนมกำนัลทั้งหลายได้ทรงอบรมบ่มอินทรีย์ในอนุตตรสัมยักสัมโพธิแก่สตรีเหล่านั้นประมาณ 84000และเทวดาทั้งหลายประมาณหลายแสนซึ่งมาประชุมกันอยู่ในที่นั้น
                        อนึ่ง ในสมัยที่เป็นกาลออกอภิเนษกรมณ์แห่งพระโพธิสัตว์ เทวบุตรตนหนึ่งอยู่ในชั้นดุษิตชื่อหรีเทพ เทวบุตรตนนั้นแวดล้อมด้วยเทวบุตร 32000 ตน นำหน้าเข้าไปเฝ้ายังปราสาทใกล้ชิดพระโพธิสัตว์เพื่ออนุตตรสัมยักสัมโพธิในราตรีอันสงัดเงียบ ครั้นแล้ว ทั้งๆที่อยู่บนพื้นอากาศนั่นเอง ได้กล่าวด้วยคำเป็นบทประพันธ์กับพระโพธิสัตว์ว่า
      141 ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นบุรุษสีหะ การจุติพระองค์ก็แสดงแล้วและการบังเกิดอันสูงศักดิ์พระองค์ก็แสดงแล้ว พระองค์ยังแสดงความประพฤติที่ได้ทำมาเป็นลำดับในโลกแก่นางสนมกำนัล ฯ
      142 เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก  พระองค์ก็ได้ทรงบ่มอินทรีย์มาแล้ว ต่างก็ได้บรรลุถึงซึงธรรม วันนี้ขอให้เป็นกาลสมัยในการเสด็จอภิเนษกรมณ์เถิด ฯ
      143 พระองค์ไม่แก้สิ่งที่ผูกแล้ว และไม่ชี้ทางแก่คนตาบอด แต่แก้สิ่งที่หลุดได้ ชี้ทางแก่คนตาดี ฯ
      144 สัตว์เหล่าใด ตกเป็นทาสของกาม มีความใคร่ในบ้านเรือนทรัพย์สมบัติ บุตร ภรรยา สัตว์เหล่านั้น กำลังศึกษาจากพระองค์ พึงกระทำความปรารถนาในความเห็นในการออกอภิเนษกรมณ์ ฯ
      145 โลกพร้อมทั้งมนุษย์ และเทวดารู้จักพระองค์แล้ว ย่อมละความเป็นใหญ่ ความเล่นละเลิงในกาม ทวีปทั้ง 4 และรัตนะทั้ง 7 พากันออกอภิเนษกรมณ์ ฯ
      146 ถึงแม้ว่า พระองค์ยังทรงพระสำราญด้วยความสุขในธยานยังไม่ทรงยินดีด้วยธรรม แต่ทรงยินดีในกามก็จริง พระองค์ก็ได้ทรงปลุกเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายหลายร้อยให้ตื่นจากหลับมานาน ฯ
      147 วัยรุ่นนี้ ตกไปแล้ว เหมือนกำลังเร็วของฟ้าแลบที่ตกลงบนภูเขาหรือในแม่น้ำ ผู้ที่มีวัยล่วงเลยไปแล้ว(แก่เสียแล้ว) ถึงจะคิดออกอภิเนษกรมณ์ก็ย่อมไม่งาม ฯ
      148 นั่นเป็นการดีแล้ว พระองค์จงเสด้จอภิเนษกรมณ์ในวัยรุ่นอันประเสริฐซึ่งเป็นปฐมวัยมีรูปยังเป็นหนุ่มอยู่ พระองค์จงก้าวข้ามความสงสัยเพื่อประโยชน์แก่หมู่เทพยดาทั้งหลาย ฯ
      149 ความอิ่มในการยินดีต่อกามคุณ ย่อมไม่มี เหมือนมหาสมุทรไม่อิ่มน้ำเขาเหล่านั้นซึ่งมีปรัชญาอิ่มแล้ว เป็นอารยะชนสูงกว่าใครๆ ในโลก ปราศจากธุลีคือเกลศ ฯ
      150 ในที่นี้พระองค์เป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของพระราชาศุทโธทนะ และขอราษฎรมีพระพักตร์งามเหมือนดอกบัว ขอจงคิดถึงความเห็นในการเสด็จอภิเนษกรมณ์ ฯ
      151 สัตว์ที่เร่าร้อนด้วยเครื่องเผาผลาญคือเกลศ ถูกผูกพันด้วยเครื่องผูกพันอันมั่นแก้ไม่หลุด ข้าแต่พระองค์ผู้มีความกล้าไม่มีตัวจับขอพระองค์จงยังเขาเหล่านั้นให้ตั้งอยู่ในทางปลดเปลื้องได้โดยเร็วซึ่งเป็นทรงสงบฯ
      152 สัตว์เป็นโรคเดือดร้อนมานาน พระองค์เป็นหมอผู้ฉลาดในธาตุทั้งหลายจงยังเขาให้ตั้งอยู่ในความสุขสบายคือนิรวาณด้วยการประกอบยาคือธรรมโดยพลันเถิด ฯ
      153 สัตว์ทั้งหลายไม่มีนัยน์ตา เป็นผู้มืดอย่างที่สุด ถึงมีนัยน์ตาก็เกลือกกลั้วไปด้วยโมหะ(ความหลงงมงาย)ถูกข่ายคือเกลศมัดไว้แล้ว ขอ พระองค์จงชำระจักษุของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลายด้วยแสงประทีปคือปรัชญาโดยเร็วเถิด ฯ
      154 เทวดา อสูร นาค ยักษ์ คนธรรพ์ ทั้งหลายเป็นอันมากต่างคอยจ้องดูการบรรลุโพธิสูงสุดไม่มีอะไรเที่ยมเท่าแล้วจะฟังธรรม ฯ
      155 และพระยานาคผู้ถือการนอนเป็นพรตก็จ้องดูการสำเร็จอันพระองค์ได้ตรัสออกไปแล้วในความสัมฤทธิ์ผลของพระองค์ เขาจะทำการบูชาไม่สิ้นสุดพร้อมด้วยชาวบุรีของเขา ฯ
      156 โลกบาลทั้ง 4 พร้อมทั้งกองทัพ เขาเหล่านั้นคอยจ้องดูพระองค์ ด้วยคิดว่าจะถวายบาตร 4 ใบแก่พระองค์ผู้ตรัสรู้แล้วที่ต้นโพธิ ฯ
      157 พรหม ผู้มีความประพฤติสงบเสงี่ยม มีวาจาประกอบด้วยไมตรี และมีกรุณา ก็คอยจ้องดูเพื่อคอยอาราธนาพระองค์ผู้เป็นใหญ่แก่คนทั้งหลายยังจักร(คือธรรม)ให้หมุนเป็นไปอันไม่มีอะไรสูงกว่า ฯ
      158 และเทวดาทั้งหลาย แม้มีบารมิตาแก่กล้าควรแก่การตรัสรู้กิจะได้แวดล้อมมณฑลแห่งต้นโพธิ ปรารถนาจะให้พระองค์ตรัสรู้โพธิด้วยคิดว่าสัตยธรรม(อริยสัจจ)นี้ จะเกิดขึ้นแล้ว ฯ
      159 จริงอยู่ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมแสดงสัตยธรรมกระทำภายในบุรี แต่พระองค์จงถึงก่อน อย่าถึงภายหลังพระโพธิสัตว์เหล่านั้นเลย ฯ
      160 ขอพระองค์จงระลึกถึงคำพยากรณ์ของพระพุทธทีปังกรด้วยน้ำเสียงไพเราะมีกังวาลไพเราะ ขอพระองค์จงเป็นจริงดังนั้นอย่าได้คลาดจงเปล่งเสียงกังวาลอย่างพระชินเถิด ฯ
                        อัธยายที่ 13 ชื่อสัญโจทนาปริวรรต(ว่าด้วยการเตือน)ในคัมภีร์ศรีลลิตวิสตร ดั่งนี้แล ฯ

ไม่มีความคิดเห็น: