Translate

02 ธันวาคม 2568

อัธยายที่ 6 ครฺภาวกฺรานฺติปริวรฺตะ ษษฺฐ ชื่อ ครรภาวักรานติปริวรรต (ว่าด้วยการลงสู่พระครรภ์) พระคัมภีร์ลลิตวิสฺตรนี้ เป็นพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในนิกายมหายาน

 สู่พระครรภ์
  
   กระนั้นแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้นฤดูน้ำค้างผ่านไปแล้ว เป็นเดือนวิศาขะ(เดือน6) ประกอบด้วยดาววิศาขะ เป็นกาลสมัยวสันต์(*1) ซึ่งเป็นฤดูประเสริฐ ต้นไม้ผลิใบอันประเสริฐ ออกดอกบานประเสริฐยิ่งนัก ไม่หนาว ไม่ร้อน ไม่มีฝุ่นมืดมัว มีหญ้าสดอ่อนนุ่มประจำอยู่เป็นอันดี
 พระโพธิสัตว์ผู้ประเสริฐในภพทั้ง 3 ผู้ที่โลกบูชาทรงพิจารณาดูแล้วจึงจุติจากสวรรค์ชั้นดุษิต โดยประกอบด้วยปุษยฤกษ์ (ฤกษ์ที่ 8) ราชาฤกษ์) สู่พระครรภ์พระมารดาผู้รักษาศีลอุโบสถในวันเพ็ญ 15 ค่ำ ตามสมัยฤดูกาล ทรงมีสมฤติสัมปรชานะ เป็นเหมือนช้างเผือกมี 6งา เศียรเหมือนหัวอินทรโคปกา (*2) มีไพรงาเป็นสีทอง มีอวัยวะใหญ่น้อยครบทุกอย่าง มีอินทรีย์(*3) ไม่บกพร่อง ลงสู่พระครรภ์พระมารดาเบื้องขวา ครั้นลงสู่พระครรภ์แล้ว ก็ประทับอยู่เบื้องขวา ไม่ประอยู่เบื้องซ้ายเด็ดขาด พระนางมายาเทวีบรรทมหลับสบาย ได้ทรงพระสุบินนี้ว่า
                        *1     วสันต์ คือฤดูใบไม้ผลิ นับแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 4ถึงวันกลางเดือน 6 ตามคตินิยมของอินเดีย
                        *2   อินทรโคปกา แปลว่าแมลงทับ หัวสีแดง เหมือนรัศมีทอง
                        *3 อินทรีย์มี 2 ชนิด คือ 1ชญาเนนทรีย์ ได้แก่อินทรีย์รับรู้ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย  2 กรรเมนทรีย์ได้แก่อินทรีย์ทำงาน คือ มือ เท้า ปาก ท้อง คุญหฐาน
      1 ช้างตระกูลสูง สีเหมือนหิมะหรือเงินยวง มี 6 งา เท้างาม งวงงาม ศีรษะแดงงาม ได้เข้ามาสู่พระอุทร ช้างนั้นเดินงาม มีข้อต่อ ตามร่างกายมั่นคงเหมือนเพชร ฯ
      2 ความสุขของเราเช่นนี้ ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้รับเลย เป็นความสุขกายสบายจิตเหมือนตั้งอยู่ในธยาน ฯ
 ครั้งนั้นแล พระมายาเทวี ทรงเครื่องประดับและทรงพระภูษาหลวมๆ มีกายและจิตสุขสบายร่าเริง ได้รับปรีดาปราโมทย์และผ่องใส เสด็จลุกจากพื้นพระแท่นบรรทมอันประเสริฐ แวดล้อมด้วยหมู่นารี เสด็จนำหน้าย่างลงจากชั้นยอดปราสาท อันประเสริฐ เสด็จไปสู่สวนอโศก ครั้นประทับนั่งอย่างเป็นสุขในสวนอโศกแล้ว ทรงส่งพนักงานสื่อข่าวไปยังพระราชาศุทโธทนะว่า ขอพระราชาผู้ประเสริฐได้โปรดเสด็จมาพระเทวีใคร่จะเฝ้า
 ครั้งนั้น พระราชาศุทโธทนะทรงสดับคำแล้ว มีพระทัยยินดี จนเนื้อเต้น เสด็จลุกจากอาสนอันเจริญ มีอมาตย์หมู่สมันตราชพระญาติวงศ์แวดล้ม เสด็จเข้าไปยังสวนอโสก และครั้นแล้วไม่อาจเสด็จเข้าไปในสวนอโศกได้ ทรงรู้สึกว่าพระองค์ดูจะหนักเกินไป ได้แต่ประทับอยู่ที่ประตูสวนอโศก ทรงคิดอยู่สักครู่หนึ่ง จึงได้ตรัสเป็นคำประพันธ์ในเวลานั้นว่า
      3 เมื่อเราเผชิญหน้านักรบในสมรภูมิ ไม่รู้สึกว่าร่างกายจะสู้หนัก เช่นวันนี้ วันนี้เราไม่สามารถจะเข้าไปสู่เรือนตระกูลของตน ร่างกายของเราวันนี้เป็นอย่างไร เราจะถามใคร? ดังนี้ ฯ
      4 พระโพธิสัตว์ผู้มีใจสูง ประกอบด้วยคุณธรรมคือพรตและตบะผู้ควรบูชาในโลกทั้ง 3 ได้ซึ่งพระไมตรีและพระกรุณา ทรงอภิเษกแล้วด้วยบุณยและชญานเป็นเจ้าคนจุติ(เคลื่อน) ในเมืองดุษิต มาเกิดในพระครรภ์พระมายา เป็นพระโอรสของพระองค์
      5 ครั้งนั้น พระนฤบดีประนมพระหัตถ์ทั้ง 10นิ้ว ผงกพระเศียรของพระองค์เสด็จเข้าไป ประกอบด้วยพระกิริยาอาการอันสุภาพ ทรงพิจารณาเห็นพระนางมายาว่า ยังมีมานะและไว้พระองค์อยู่ จึงตรัสว่า บอกมาเถิด ฉันจะทำตาม เธอต้องการอะไร จะใช้อะไรบอกมา ฯ
                        พระนางเทวีทูลตอบว่า
      6 ช้างประเสริฐ สีเหมือนหิมะหรือเงินยวงยิ่งกว่าดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เท้างาม ได้สัดได้ส่วนเป็นอันดี มี 6 งา มีใจสูง  มีข้อต่อมั่นคงเหมือนเพชร รูปงาม เข้ามาในท้องหม่อมฉัน ขอพระองค์จงสดับเหตุของช่างนั้น ฯ
      7  หม่อมฉันเห็นโลกมนุษย์สว่างไม่มืดมัว  เทพยดาตั้งหมื่นพร้อมทั้งยาน พากันสรรเสริญ ความโกรธ ความเคือง และความหลงทั้งหมด ไม่มีแก่หม่อมฉัน หม่อมฉันเกิดมีความพร้อมเพรียงด้วยความสุขอย่างคนเข้าธยาน มีจิตใจสงบ ฯ
      8 หม่อมฉันขอประทานโอกาส ขอพระนฤบดีได้โปรดพาพราหมณ์มาที่นี่โดยเร็ว  ซึ่งเป็นผู้ทำนายฝันตามคัมภีร์พระเวท  และรู้วิธีในบ้านเรือนทั้งหลาย ให้พยากรณ์(ทำนาย) ฝันของหม่อมฉันให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ความฝันของหม่อมฉันนี้ จะเป็นอย่างไร จะดีหรือจะร้ายแก่ตระกูล ฯ
      9 พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังคำนี้แล้ว ทรงนำพราหมณ์ผู้รู้พระเวทและอ่านตำรามากมาในขณะนั้น พระนางมายา ประทับอยู่เบื้องหน้า(พราหมณ์เหล่านั้น) ได้ตรัสกับพราหมณ์ทั้งหลายว่า  ฉันฝันไปในวันนี้ ท่านทั้งหลายจงสดับเหตุแห่งความฝันนั้น ฯ
      10 ช้างประเสริฐสีเหมือนหิมะหรือเงินยวงยิ่งกว่าดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เท้างาม ได้สัดได้ส่วน มี6งา มีใจสูง มีข้อต่อมั่นคง เหมือนเพชร รูปงาม เข้ามาในท้องฉัน ท่านจงฟังเหตุของช้างนั้นฯ
      11 พราหมณ์ทั้งหลายได้ฟังคำนี้แล้ว จึงทูลอย่างนี้ว่า ขอพระนางจงมีปีติไพบูลย์ คิดเสียเถิดว่า ความร้ายไม่มีแก่ตระกูล พระนางจะเกิดโอรส มีอวัยวะประด้บด้วยลักษณะดี มีตระกูลสูง เป็นราชตระกูล เป็นจักรพรรดิ์ มีพระหทัยสูง ฯ
      12 พระโอรสนั้น จะละบ้านเมือง ละราชสมบัติที่เป็นกาม และละเหย้าเรือน มุ่งต่อบรรพชา จะเป็นพระพุทธช่วยเหลือโลกทั้งปวง พระองค์จะเป็นผู้ควรแก่ทักษิณาทาน ในโลกทั้งสาม และจะยังโลกทั้งปวงให้อิ่มด้วยอมฤตรส อันประเสริฐ ฯ
      13 พราหมณ์ทั้งหลาย ได้ทูลคำพยากรณ์อย่างสุภาพแล้วบริโภคอาหารของพระเจ้าแผ่นดิน และรับเครื่องนุ่งห่มทั้งหลาย ครั้นแล้วก็กลับไป ฯ
 กระนั้นแล ดูกระภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระราชาศุทโธทนะ ได้ทรงฟังจากพราหมณ์ทั้งหลายผู้รู้ลักษณะและนิมิต ผู้ศึกษาเล่าเรียนเรื่องฝันมาแล้ว มีพระทัยร่าเริงยินดี จึงประทานเลี้ยงพราหมณ์เหล่านั้นด้วยของเคี้ยวของบริโภคอันอร่อย และอนุญาตให้พราหมณ์ออกปากขอพระราชทานได้ ประทานเครื่องนุ่งห่มเสร็จ จึงอนุญาตให้พราหมณ์กลับได้  ในเวลานั้นพระองค์โปรดให้สิ่งของเป็นทาน ที่ประตูเมืองทั้ง 4 และที่ทาง 4 แพร่งในเมืองทั่วไป ในมหานครกบิลพัสด์ ผู้ต้องการอาหารให้อาหาร ผู้ต้องการเครื่องดื่มให้เครื่องดื่ม ผู้ต้องการผ้าให้ผ้า  ผู้ต้องการยานพาหนะให้ยานพาหนะ และให้ของหอม พวงมาลัย เครื่องชโลมทา เครื่องนอน ที่อยู่อาศัย จนกระทั่งผู้ต้องการเครื่องประกอบอาชีพก็ให้เครื่องประกอบอาชีพ เพื่อกระการบูชาพระโพธิสัตว์
                        ครั้งนั้นแล ดูกระภิกษุทั้งหลาย พระราชาศุทโธทนะทรงปริวิตกขึ้นว่า มายาเทวีอยู่ในตำหนักไหนจึงจะอยุ่เป็นสุข ไม่ลำบาก ขณะนั้น มหาราชทั้ง 4 ได้เข้ามาหาพระราชาศุทโธทนะ ทูลอย่างนี้ว่า
      14 ข้าแต่พระนฤบดี พระองค์จงมีความขวนขวายน้อย อยู่เฉยๆจะได้เป็นสุข ข้าพเจ้าทั้งหลายนี้แหละ จะสร้างตำหนักให้พระโพธิสัตว์เอง ฯ
                        ครั้งนั้นแล องค์ศักรผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย ได้เข้าไปหาพระราชาศุทโธทนะ ทูลอย่างนี้ว่า
      15 วิมานของโลกบาลทั้ง 4 เลวไป วิมานขั้นดาวดึงส์ดีที่สุด ข้าพเจ้าจะให้ตำหนักเสมอด้วยเวชยันต์แก่พระโพธิสัตว์ ฯ
                        ครั้งนั้นแล เทวบุตรสุยาม เข้าไปหาพระราชาศุทโธทนะ ทูลอย่างนี้ว่า
      16 องค์ศักรตั้งโกฏิ เห็นที่อยู่ของข้าพเจ้าแล้ว แปลกใจ ข้าพเจ้าจะให้ที่อยู่ชั้นสุยาม แก่พระโพธิสัตว์ผู้มีสิริ ฯ
                        ครั้งนั้นแล เทวบุตรดุษิต เข้าไปหาพระราชาศุทโธทนะ ทูลอย่างนี้ว่า
      17 เทพผู้มียศใหญ่ อยู่ในวิมานใดมาก่อน ข้าพเจ้าจะให้วิมานนั้นอันเป็นที่รื่นรมย์ แก่พระโพธิสัตว์ ฯ
                        ครั้งนั้นแล เทวบุตรสุนิรมิต (นิรมาณรดี) เข้าไปหาพระราชาศุทโธทนะ ทูลอย่างนี้ว่า
      18 ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะน้อมนำเรือนแก้วอันสำเร็จด้วยใจมาให้ เพื่อบูชาพระโพธิสัตว์ผู้มีสิริ ฯ
                        ครั้งนั้นแล เทวบุตรปรนิรมิตวศวรรดี เข้าไปหาพระราชาศุทโธทนะ ทูลอย่างนี้ว่า
      19 วิมานทั้งหลาย ดำรงอยู่ในกามธาตุ ถึงจะงามสักเพียงไร เมื่อมาเทียบกับวิมานของข้าพเจ้า ก็หมดสง่า ฯ
      20 ข้าพเจ้าจะให้วิมานแก้วอันงามนั้น แก่พระองค์ผู้มีสิริ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะนำวิมานนั้นมา เพื่อบูชาพระโพธิสัตว์ ฯ
      21 ข้าพเจ้าน้อมนำมาซึ่งวิมาน อันดาษดาไปด้วยดอกไม้ทิพย์อบด้วยกลิ่นหอมทิพย์ ซึ่พระเทวีจะได้ประทับ ฯ
 ครั้งนั้นแล  ดูกระภิกษุทั้งหลาย เทพยดาในสวรรค์ชั้นกามาพจรผู้เป็นใหญ่ทั้งปวง ก็ได้เนรมิตเรือนตามสวรรค์ชั้นของตนๆ ในมหานครกบิลพัสดุ์ เพื่อบูชาพระโพธิสัตว์ แม้พระราชาศุทโธทนะ ก็ให้สร้างเรือนดีกว่าเรือนมนุษย์ แต่ไม่ดีถึงวิมานทิพย์ พระบรมโพธิสัตว์ ทรงแสดงให้พระนางมายาเทวี ปรากฏพระองค์อยู่ในเรือนนั้นๆ ทั้งหมดด้วยอานุภาพแห่งมหาวยูหสมาธิ (*1) พระโพธิสัตว์เข้าสู่พระครรภ์แล้วก็นั่งขัดสมาธิเบื้องขวาในพระครรภ์พระมายาเทวี เทพยดาผู้เป็นใหญ่ทั้งหมดแต่ละตนก็เข้าใจอย่างนี้ว่า พระมารดาของพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในเรือนของเราไม่ใช่เรือนของผู้อื่นในที่นี้มีกล่าวไว้ว่า
                        *1 สมาธิที่เพ่งต่อวิมานเป็นอารมณ์
      22 พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในสมาธิด้วยมหาวยูหสมาธิ อันเป็นอจินไตย (คิดไม่ถึง) ทรงเนรมิตแล้วซึ่งรูปเนรมิต ให้อยู่ครบทุกเรือนตามความประสงค์ของเทพยดาทั้งหลาย และให้ครบตามปรารถนาของพระเจ้าแผ่นดินด้วย ฯ
 ครั้งนั้น พระอานนท์ผู้มีอายุ ได้ทูลพระผู้มีภคภโดยอานุภาพของพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีภคะ เป็นการอัศจรรย์ที่พระตถาคตได้ตรัสไว้ว่า มาตุคาม(ผู้หญิง) น่าเกลียด คือข้อที่พระผู้มีภคะผู้สูงกว่าชาวโลกทั้งปวง เป็นพระโพธิสัตว์มาก่อนแล้ว จุติจากหมู่เทวดาชั้นดุษิต ลงมาสู่พระครรภ์เบื้องขวาของพระมารดา(อันมีกลิ่นเหม็น) ในที่อยู่ของมนุษย์ ข้าแต่พระผู้มีภคะ ข้าพระองค์ไม่อาจกราบทูลอย่างที่พระองค์เคยพยากรณ์ไว้ พระผู้มีภคะตรัสว่า ดูกรอานนท์ เธอปรารถนาจะห็นวิมานแก้วอันเป็นเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์ คือเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์เมื่ออยู่ในพระครรภ์ของพระมารดาหรือ พระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีภคะ  นี่ถึงเวลาแล้ว ข้าแต่พระสุคต นี่ถึงเวลาแล้ว ที่พระตถาคตจะทรงแสดงเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์นั้นอันจะทำให้ข้าพระองค์ได้เห็นแล้วรู้สึกอิ่มใจ
 ครั้งนั้นแล ทรงกระทำนิมิตอันเป็นเหตุให้สหาบดีพรหมกับพรหม 68 แสน อันตรธานจากพรหมโลกลงมาปรากฏเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีภคะ สหาบดีพรหมอภิวาทพระบาทพระผู้มีภคะด้วยศีรษะแล้ว ทำประทักษิณเวียนขวา 3 รอบ ยืนอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง แล้วปประนมกรถวายนมัสการพระผู้มีภคะ ในขณะนั้นแล พระผู้มีภคะทรงทราบแล้ว จึงตรัสเรียกสหาบดีพรหมว่า ดูกรพรหมท่ารับเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์สำหรับใช้ 10 เดือนไว้หรือ ซึ่งเป็นเครื่องอาศัยของตถาคตผู้เป็นพระโพธิสัตว์มาแล้วเมื่ออยู่ในพระครรภ์พระมารดา พรหมทูลว่าใช่แล้ว พระผู้มีภคะ ใช่แล้ว พระสุคต  พระผู้มีภคะตรัสว่า ดูกรพรหม เดี๋ยวนี้ เครื่องอาศัยนั้นอยุ่ที่ไหน? ขี้ให้ดูทีหรือ? พรหมทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีภคะ เครื่องอาศัยนั้นเดี๋ยวนี้อยู่ในพรหมโลก พระผู้มีภคะตรัสว่า ดูกรพรหม ถ้ากระนั้น ท่านจงชี้ให้ดู ซึ่งเครื่องอาศัยขอพระโพธิสัตว์สำหรับใช้ 10 เดือน คนทั้งหลายเขาจะได้รู้ว่า เครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์ทำดีเพียงใด
                        ครั้งนั้นแล สหาบดีพรหม จึงพูดกับพรหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงคอยอยู่ก่อนจนกว่าเราจะนำวิมานแก้วอันเป็นเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์มา
                        ครั้งนั้นแล สหาบดีพรหมน้อมเศียรอภิวาทพระบาทพระผู้มีภคะ แล้วจึงหายตัวไปต่อพระพักดร์พระผู้มีภคะ ไปประดิษฐานอยู่ในพรหมโลกในขณะนั้น
                        ครั้งนั้นแล สหาบดีพรหมได้กล่าวคำนี้กับสุพรหมเทวบุตรว่า ดูกรท่านผู้ควรเคารพ ไปเถิดท่าน จงร้องประกาศให้ได้ยินตั้งแต่พรหมโลกนี้จนถึงพิภพดาวดึงส์ว่า เราทั้งหลายจะนำวิมานแก้ว เครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์ไปสู่สำนักพระตถาคต ใครใคร่เห็นก็จงรีบมา
                        ครั้งนั้นแล สหาบดีพรหมพร้อมด้วยเทวดา 84 หมื่นแสนโกฏิ ช่วยกันประคองวิมานแก้ว เครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์ ประดิษฐานในพรหมวิมานสูง 300 โยชน์ มีเทวดาตั้งหลายหมื่นแสนโกฏิแวดล้อมโดยรอบแล้วนำลงมายังชมพูทวีป
 ก็ในสมัยนั้นแล เทวดาชั้นกามาพจร ทั้งหลายได้ประชุมใหญ่เพื่อจะไปในสำนักพระผู้มีภคะ และนัยว่าวิมานแก้วซึ่งเป็นเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์นั้นได้ถูกตกแต่งงดงามด้วยผ้าทิพย์ พวงมาลัยทิพย์ ของหอมทิพย์ ดอกไม้ทิพย์ เครื่องประโคมทิพย์ เครื่องใช้สอยทิพย์ มีเทวดาที่ขึ้นชื่อลือนามแวดล้อม องค์อินทร์ผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลายยืนอยู่ขนเขาสุเมรุ เอาใบตาลและร่มป้องหน้าแต่ไกลที่เดียว ทอดสายตาไปไกลอย่างเห็นหัวไรๆ หรือเพ่งด้วยการกระพริบตาถี่ๆ ก็ไม่สามารถเพื่อจะเห็นได้ เพราะอะไรจึงไม่เห็น เพราะเทวดาที่ขึ้นชื่อลือนาม และพรหมทั้งหลายคือเทวดาพวกอื่น เทวดาชั้นดาวดึงส์ เทวดาชั้นยามา ชั้นดุษิต ชั้นนิรมาณรดี ชั้นปรนิรมิตวศวรรดี ก็ไม่สามารถเพื่อจะเห็นได้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงองค์ศักรผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายเหล่านั้นแล ต่างก็งวยงงหลงไหลกันไปหมด
                        ครั้งนั้นแล พระผู้มีภคะจึงบันดาลให้เสียงกึกก้องกังวาลแห่งเครื่องรปะโคมทิพย์นั้นหายไป นั่นเป็นเพราะเหตุใด เพราะเหตุว่ามนุษย์ชาวชมพูทวีปทั้งหลายจะพากันเป็นบ้าพร้อมกัน เพราะได้ยินเสียงนั้น
                        ครั้งนั้นแล มหาราชทั้ง 4เข้าไปหาองค์ศักร ผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลายทูลกว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นวิมานแก้ว อันเป็นเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์ องค์ศักรจึงพูดกับเทวดาทั้ง 4นั้นว่า
 ดูกรท่านผู้ควรเคารพทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร แม้ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เห็น ดูกรท่านผู้ควรเคารพทั้งหลาย แต่ว่าเราจะคอยดูเมื่อเข้าไปใกล้พระผู้มีภคะ มหาราชทั้ง 4 นั้นจึงทูลว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย ถ้ากระนั้น ท่านจงทำอย่างที่จะให้เห็นเร็วๆเข้าเถิด องค์ศักรพูดว่า คอยสักครู่เถิด ท่านผู้ควรเคารพ ชั่แต่ให้เทวบุตรทั้งหลายหลั่งไหลกันเข้าไปชื่นชมพระผู้มีภคะก่อน ดังนั้น มหาราชทั้ง 4 จึงพากันไปยืนอยู่ที่หนึ่ง ดูพระผู้มีภคะด้วยอาการสอดส่ายศีรษะ
                        ครั้งนั้นแล สหาบดีพรหมกับเทวดา 84 หมื่นแสนโกฏิ ประคองวิมานแก้วอันเป็นเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์นั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีภคะ นัยว่า
 วิมานแก้วอันเป็นเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์นั้น งาม น่าเลื่อมใส น่าดู เป็นรูป 4 เหลี่ยม 4 มุม และเบื้องบนประดับด้วยเรือนยอด มีขนาดอย่างนี้คือ สุงเท่าเด็กเกิดได้ 6 เดือน ท่ามกลางเรือนยอดนั้นตั้งบังลังก์ไว้ มีแผ่นฝากว้างยาวเท่าเด็กเกิดได้ 6 เดือน นัยว่า วิมานแก้วกลางอันเป็นเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์นั้น มีสีและทรวดทรงอย่างนี้ ซึ่งหาเหมือนไม่ได้ในโลกใดๆ ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก โดยทรวดทรงหรือสี นัยว่า
 แม้เทวดาทั้งหลายเห็นวิมานแก้วนั้นแล้ว ก็พากันอัศจรรย์ใจ นัยน์ตาพร่า และวิมานแก้วนั้นเมื่อสหาบดีพรหมนำเข้าไปสู่สำนักพระตถาคต ก็สว่างแผดแสงรุ่งเรืองอย่างยิ่งเหมือนทองซึ่งช่างทองผู้ฉลาดไล่มลทินซ้ำๆ ซากๆ จนเสร็จเรียบร้อยปราศจากฝ้าสาแหรกเรือนยอดนั้น รุ่งเรืองแล้ว (ในสมัยนั้น)อย่างนี้ นัยว่า
 บัลลังก์ที่ประดิษฐานไว้ในวิมานแก้ว อันเป็นเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์นั้น หาเหมือนไม่ได้ในโลก ทั้งเทวโลก โดยสีและทรวดทรง เว้นแต่ปล้องพระศอขอพระโพธิสัตว์ เครื่องนุ่งห่มที่มหาพรหมใช้นุ่งห่มมา ก็ไม่รุ่งเรืองเมื่ออยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระโพธิสัตว์นั้น กลายเป็นกระดำกระด่างไป เหมือนตากลมตากฝน  นัยว่า
 เรือนยอดนั้นล้วนแล้วด้วยแก่นจันทน์อุรศสาร(ไม่จันทน์ชนิดหนึ่ง)ซึ่งควรค่าเท่าแผ่นิดนทองแผ่นหนึ่ง ได้แก่โลกธาตุตั้งพันโลกธาตุ เรือนยอดนั้นฉาบทาด้วยแก่นจันทร์อุรคสารชนิดนั้นโดยรอบ เรือนยอดองค์ที่ 2 ซึ่งอยู่ภายในเรือนยอดองค์แรกนั้น แต่ไม่ติดต่อเนื่องถึงกัน ก็ทำเช่นเดียวกัน คือฉาบทาด้วยแก่นจันทน์อุรคสาร แม้เรือนยอดองค์ที่ 3 ซึ่งอยู่ภายในเรือนยอดองค์ที่ 2 แต่ ไม่ติดต่อเนื่องถึงกัน ก็ทำเช่นเดียวกัน ส่วนบัลลังก์นั้นตั้งอยู่ในเรือนยอดองค์ที่ 3 ซึ่งล้วนแล้วด้วยของหอม ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยการฉาบทาแก่นจันทน์อุรคสาร  นัยว่า
 สีของแก่นจันทน์อุรคสารนั้นเป็นอย่างนี้คือ เป็นสีแก้วไพฑูรย์เขียวซึ่งเป็นแก้วตระกูลสูง ดอกไม้ที่เหนือกว่าดอกไม้ทิพย์ใดๆเท่าที่มีอยู่รอบๆเบื้องบนเรือนยอดซึ่งมีกลิ่นหอมนั้น นัยว่ามีมากด้วยผลแห่งกุศลมูลในปางก่อนของพระโพธิสัตว์เกิดขึ้นในเรือนยอดนั้น วิมานแก้วอันเป็นเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์มั่นคง แข็งแรงไม่แตกหักอุปมาเหมือนเพชร สัมผัสนุ่มนวลเหมือนสัมผัสฝักมะกล่ำเครือ วิมานในพิภพของเทวดาทั้งหลายชั้นกามาพจร ไม่ว่าชั้นไหน ย่อมปรากฏอยู่ในวิมานแก้วเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์นั้น
 และพระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาในยามราตรี ดอกบัวใหญ่ขนาด 68 แสนโยชน์ จดตั้งแต่พื้นน้ำใต้บาดาลชำแรกแผ่นดินใหญ่ขึ้นมาจนถึงพรหมโลกก็ได้ปรากฏขึ้นภายใต้ราตรีนั้น แต่ไม่มีใครเห็น นอกจากพระองค์ผู้เป็นสารถีฝึกหัดคนพระผู้สูงสุดกว่าคน กับมหาพรหม 10 แสน โอชะก็ดี ฟองมันก็ดี รสก็ดี บรรดาที่มีอยู่ในโลกธาตุ คือมนุษยโลก  และเทวโลกนี้ ล้วนแต่มีหยาดโอชะอยู่ในดอกบัวใหญ่นั้น
 มหาพรหมจึงใส่หยาดโอชะนั้นลงในภาชนะแก้วไพฑูรย์งาม น้อมเข้าไปถวายพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทรงรับของนั้นบริโภคเพื่ออนุเคราะห์มหาพรหม ไม่มีใครในจำพวกสัตวนิกายที่จะบริโภคหยาดโอชะนั้นให้ย่อยง่ายเป็นอย่างดี เว้นแต่พระโพธิสัตว์ผู้เกิดในชาติสุดท้าย บำเพ็ญโพธิสัตว์ภูมิทุกอย่างมาแล้ว หยาดโอชะนั้นปรากฏแก่พระโพธิสัตว์ด้วยผลแห่งกรรมอะไร? นัยว่า
 เมื่อพระโพธิสัตว์ประพฤติโพธิสัตวจรรยาในปางก่อนตลอดกาลนาน ได้ให้ยาแก่ผู้ป่วยไข้ทั้งหลาย ได้ทำให้ผู้มีความปรารถนาได้รับผลเต็มตามความปรารถนา ไม่ละสรณาคม และได้ให้ดอกไม้อย่างดี ได้ให้ผลไม้อย่างดี ได้ให้สิ่งที่มีรสอย่างดี แก่พระตถาคต แก่เจดีย์ของพระตถาคต แก่สาวกของพระตถาคต แก่มารดาบิดาก่อนแล้ว ตนจึงบริโภคภายหลังเป็นนิตย์ มหาพรหมได้น้อมหยาดโอชะนั้นเข้าไปถวายแก่พระโพธิสัตว์ด้วยผลแห่งกรรมนั้น
                        สถานที่เป็นแหล่งมั่วสุมการเล่น เป็นที่ยินดีด้วยคุณแห่งมายา ชั้นเหนือๆขึ้นไปไม่ว่าอย่างไร ย่อมมีในเรือนยอดนั้นแล สิ่งทั้งปวงเหล่านั้นที่เกิดขึ้นในเรือนยอดนั้นย่อมปรากฏแก่พระโพธิสัตว์ด้วยผลแห่งกุศลกรรมในปางก่อน
 ผ้าคู่หนึ่ง(นุ่ง  ห่ม) ชื่อศตสหัสรวยุห (แสนขบวน) ก็ได้เกิดมีขึ้นในเรือนยอดนั้น ในสัตวนิกายไม่มีใครมี ไม่ปรากฏแก่ใคร เว้นแต่พระโพธิสัตว์ผู้เกิดในภพสุดท้าย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันใหญ่ยิ่งไรๆอันจะไม่ปรากฏในเรือนยอดนั้น หามีไม่ถ้าว่าเรือนยอดเครื่องอาศัย เป็นเครื่องอาศัยได้ดีอย่างนี้ สำเร็จเรียบร้อย  ทั้งภายในภายนอกอย่างนี้ ตั้งอยู่เป็นอย่างดีอย่างนี้ และอ่อนนุ่มอย่างนี้แล่วไซร้ นั่นก็คือมีสัมผัสนุ่มนวลเหมือนสัมผัสฝักมะกล่ำเครือ โดยเหตุเพียงยกตัวอย่าง แต่จะหาอะไรเปรียบเทียบไม่ได้เลย
 นัยว่านี่เป็น่ธรรมดา นี่เป็นความรู้สึก สำเร็จด้วยความอุตสาหะแต่ปางก่อนของพระโพธิสัตว์โดยแท้ พระโพธิสัตว์ผู้เป็นมหาสัตว์พึงเกิดในมนุษยโลกและออกอภิเนษกรมณ์(บรรพชา)ตรัสรู้อนุตตรสัมยักสัมโพธิ พึงหมุนจักรคือธรรมให้เป็นไป พอพระโพธิสัตว์เกิดในพระครรภ์ของพระมารดา ในเรือนยอด ในวิมานแก้วก็ตั้งขึ้นในพระครรภ์เบื้องขวาของพระมารดานั้นปรากฏอยู่ภายหลังพระโพธิสัตว์จึงจุติจากดุษิตมาประทับนั่งบนบัลลังก์ในเรือนยอดนั้น กายของพระโพธิสัตว์ผู้เกิดในภพสุดท้ายมิได้ตั้งขึ้นเป็น กลละ(*1) อัพพุทะ ฆนะ เปสิ แต่ปรากฏเป็นร่างกาย มีอวัยวะน้อยใหญ่ ประทับนั่งเลยทีเดียว พระนางมายาเทวี พระมารดาของพระโพธิสัตว์ระหว่างหลับก็รู้ว่าช้างใหญ่กุญชรลงสู่พระครรภ์แล้ว
                        *1 กลละ คือหยดน้ำใสซึ่งเป็นหยดแรกที่จะก่อตัวขึ้นเป็นคน อัพพุทะ คือ กลละนั้นค่อยแค่นเข้า ฆนะ คืออัพพุทะ นั้นเป็นก้อน เปสิ คือฆนะนั้นเป็นชิ้นเนื้อ เหล่านี้คือ ต้นกำเนิดของคนเริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดา
 นัยว่า เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับนั่งแล้วเช่นนั้น องค์ศักรผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย มหาราชทั้ง 4 มหายักษ์เสนาบดี 28 ตระกูล ยักษ์ที่ชื่อว่าคุหยกาธิบดีเพราะเกิดในสำนักขององค์อินทร์ เทพเหล่านั้น เมื่อทราบว่าพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ของพระมารดา ต่าก็พากันมาประชุมติดตามอยู่เสมอ นางเทพยาดา 4 ตน มีชื่อว่า อุตขลี สมุตขลี ธวชะวตี และประภาวตี เป็นผู้คอยรับใช้พระโพธิสัตว์ นางเทพยดาเหล่านี้ เมื่อทราบว่าพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ของพระมารดา ก็ประชุมกันระวังรักษาอยู่เสมอ แม้องค์ศักรผู้เป็นใหญ่แก่เทวดา กับเทวบุตรประมาณ 500 เมื่อทราบว่าพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ของพระมารดา ก็ประชุมกันคอยติดตามอยู่เสมอ
 นัยว่า เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ของพระมารดา พระกายปรากฏดั่งนี้ คือกองไฟใหญ่บนยอดเขาในเวลาราตรีประกอบด้วยความมืดและหมอก และเห็นไกลตั้งแต่โยชน์หนึ่งถึง 5 โยชน์  ฉันใด เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ของพระมารดาอัตภาพปรากฏอยู่ฉันนั้น  มีแสงสว่าง รูปงาม น่าเลื่อมใส น่าชม พระองค์ประทับนั่งบนบังลังก์ในเรือนยอดนั้น งามยิ่งนัก  เหมือนทองคำธรรมชาติประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ ส่วนพระมารดาของพระโพธิสัตว์เมื่อเพ่งดู ก็เห็นพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ นั่นคือ พระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์พระมารดา ย่อมส่องสว่างซึ่งเรือนยอดแก้วองค์แรกนั้นให้สว่างด้วย สิริ เดช และวรรณะ
 ครั้นแล้วส่องเรือนยอดทาแก่นจันทน์หอมองค์ที่ 2 ให้สว่าง ครั้นส่องเรือนยอดทาแก่นจันทน์หอมองค์ที่ 2ให้สว่างแล้ว ส่องเรือนยอดแก้วองค์ที่ 3ให้สว่าง ครั้นส่องเรือนยอดแก้วองค์ที่ 3 ให้สว่างแล้ว จึงส่องอัตภาพของพระมารดาสว่างไปทั่วร่าง อุปมาเหมือนสายฟ้าใหญ่ แลบจากยอดเมฆซ่านออกไปทำให้เกิดแสงสว่างใหญ่โต และแสงสว่างแห่งพระมารดาทำให้อาสนที่นั่งสว่างไปด้วยแสงสว่างแห่งอาสนนั้น ทำให้บ้านเรือนทั้งหมดสว่าง แสงสว่างที่ซ่านออกจากบ้านรือนนั้น  ทิศตะวันออกสว่าง   ทิศทักษิณ  ทิศประจิม  ทิศอุดร  เบื้องล่างและเบื้องบน 10 ทิศ  โดยรอบก็เป็นเช่นเดียวกัน คือสว่าง  แต่ละทิศสว่างไป  ไกลประมาณโกรศหนึ่ง (1000วา) พระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ของพระมารดา ย่อมสว่างด้วยแสงสว่างคือสิริ เดช และวรรณะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 มหาราชทั้ง 4 มหายักษ์เสนาบดี 28 กับยักษ์ประมาณ 500 ก็มาในสมัยเวลาเช้า เพื่อเข้าเฝ้า เพื่อไหว้ เพื่อเข้ามานั่งใกล้ และเพื่อฟังธรรมพระโพธิสัตว์ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ทรงทราบว่าเทวดาเหล่านั้นมาแล้ว จึงยกพระหัตถ์เบื้องขวาขึ้น ชี้อาสนให้เทวดาเหล่านั้นมีโลกบาลเป็นต้น นั่งลงบนอาสนที่จัดไว้แล้วแลเห็นพระเศียรพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในพระครรภ์พระมารดาเหมือนทองคำ พระหัตถ์เคลื่อนไหวกระดุกกระดิกได้ ยกขึ้นได้ วางลงได้ เทวดาเหล่านั้นก็ได้รับปีติปราโมทย์ และความเลื่อมใสต่างถวายมนัสการพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทรงทราบว่าเทวดาเหล่านั้นนั่งแล้ว จึงทำเทวดาเหล่านั้นให้เห็น ให้รับเอา ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยถ้อยคำอันเป็นธรรม เมื่อเทวดาเหล่านั้นใคร่จะทูลลากลับ
 พระโพธิสัตว์ทรงทราบความคิดของเขาเหล่านั้นด้วยพระหทัยแล้ว จึงยกพระหัตถ์เบื้องขวาขึ้นส่าย คือส่ายไปส่ายมาแต่ไม่กระทบกระเทือนถึงพระมารดา ครั้งนั้นมหาพรหมทั้ง 4 นั้นรู้ว่าพระโพธิสัตว์อนุญาตให้เราไปได้แล้ว ต่างก็กระทำประทักษิณพระโพธิสัตว์และพระมารดาพระโพธิสัตว์ 3รอบ แล้วก็พากันกลับไปนี่คือเหตุ นี่คือปัจจัย ที่พระโพธิสัตว์ส่ายพระหัตถ์ไปมาในราตรีสงัด เมื่อพระองค์ส่ายพระหัตถ์อีกทรงมีสมฤติสัมปรชานะ แล้ววางพระหัตถ์นั้นลง นอกจากนี้ใครๆ มาเพื่อเข้าเฝ้าพระโพธิสัตว์ จะเป็นหญิงก็ตาม ชายก็ตาม เด็กชายก็ตาม เด็กหญิงก็ตาม พระโพธิสัตว์ทรงทักก่อน ให้ได้รับความบรรเทิงใจ พระมารดาของพระโพธิสัตว์จึงทักภายหลัง
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์พระมารดาดั่งนี้แล เป็นผู้ฉลาดในการทักทายปราศรัยให้ได้รับความบรรเทิง จะเป็นเทวดาก็ตาม นาคก็ตาม ยักษ์ก็ตาม มนุษย์ก็ตาม อมนุษย์ก็ตาม ไม่มีใครที่สามารถทักทายปราศรัยพระโพธิสัตว์ก่อน มีแต่พระโพธิสัตว์ทักเขาก่อน แล้วก็พระมารดาของพระโพธิสัตว์ทักต่อมาในภายหลัง
 นัยว่า เมื่อสมัยเวลาเช้าผ่านไปแล้ว ถึงสมัยเวลากลางวัน คราวนี้ องค์ศักรผู้เป็นใหญแก่เทวดาทั้งหลาย ก็ก้าวเข้ามา และเทวบุตรชั้นดาวดึงส์ก็พรากันก้าวเข้ามาเพื่อเข้าเฝ้า เพื่อไหว้ เพื่อเข้านั่งใกล้พระโพธิสัตว์ และมาเพื่อฟังธรรม พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นองค์ศักรและเทวบุตรเหล่านั้นมาแต่ที่ไกลอย่างนี้แล้ว จึงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาสีเหมือนทองทักทายองค์ศักรผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย และเทวบุตรชั้นดาวดึงส์เหล่านั้นให้ได้รับความบรรเทิง แล้วชี้อาสนให้  ดูกรภิกษุทั้งหลาย องค์ศักรผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลายไม่อาจขัดพระบัญชาของพระโพธิสัตว์ได้ องค์ศักรผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย กับเทวบุตรอื่นๆจึงต้องนั่งลงบนอาสนอันจัดไว้ พระโพธิสัตว์ทรงทราบว่าเทวบุตรเหล่านั้นนั่งแล้ว จึงให้เห็นให้รับเอา ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยถ้อยคำอันเป็นธรรม พระโพธิสัตว์ส่ายพระหัตถ์ไปทางไหน พระมารดาของพระโพธิสัตว์ก็หันพระพักตร์ไปทางนั้น ครั้นแล้วเทวะบุตรเหล่านั้นก็คิดว่า พระโพธิสัตว์ทักทายเรา แต่ละตนรู้สึกอย่างนี้ว่า พระโพธิสัตว์สนทนากับเรา พระโพธิสัตว์ทักทายเรา ดั่งนี้แล
 แสงสว่างในเรือนยอดนั้นแล ได้ปรากฏแก่องค์ศักรผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลายและปรากฏแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์อีกด้วย เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ของพระมารดาไม่มีสิ่งอื่นจะบริศุทธอย่างนี้เหมือนเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์อีกเลย  ดูกรภิกษุทั้งหลาย คราวใด องค์ศักรผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย และเทวบุตรองค์อื่นๆ จะกลับไปคราวนั้น พระโพธิสัตว์ทรงทราบปริวิตกแห่งจิตใจของเทวดาเหล่านั้นด้วยพระทัยของพระองค์ จึงทรงยกพระหัตถ์เบื้องขวาขึ้นส่าย คือส่ายไปมาแล้ว มีสมฤติสัมปรชานะ แล้ววางพระหัตถ์ลง แต่ไม่กระทบกระเทือนพระมารดา คราวนั้น องค์ศักรผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย และเทวดาชั้นดาวดึงส์องค์อื่นๆก็ทราบว่าพระโพธิสัตว์อนุญาตให้เราไปได้ แล้วเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นจึงกระทำประทักษิณ 3 รอบ ต่อพระโพธิสัตว์และพระมารดาของพระโพธิสัตว์แล้ว พากันกลับไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 เมื่อเวลาสมัยเวลากลางวันผ่านไปแล้ว ถึงสมัยเวลาเย็น ครั้งนั้นสหาบดีพรหมมีเทวบุตรชั้นพรหมนับจำนวนหลายแสนแวดล้อม นำหน้าถือหยาดโอชะอันเป็นทิพย์นั้น เข้าไปเฝ้าพระโพธิสัตว์เพื่อเยี่ยม เพื่อไหว้ เพื่อเข้าไปนั่งใกล้พระโพธิสัตว์และเพื่อฟังธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทรงต้อนรับสหาบดีพรหมพร้อมด้วยบริวารที่มานั้น และพระองค์ทรงยกพระหัตถ์เบ้องขวาสีเหมือนทองทักทายสหาบดีพรหมกับเทวบุตรชั้นพรหมให้ได้รับความบันเทิง แล้วชี้อาสนทั้งหลายให้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สหาบดีพรหมไม่อาจขัดพระบัญชาของพระโพธิสัตว์ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สหาบดีพรหมกับเทวบุตรชั้นพรหมองค์อื่นๆ จึงต้องนั่งบนอาสนอันจัดไว้
 พระโพธิสัตว์ทรงทราบว่าเทวบุตรเหล่านั้นนั่งแล้วจึงให้เห็น ให้รับเอา ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยถ้อยคำอันเป็นธรรม พระโพธิสัตว์ทรงส่ายพระหัตถ์ไปทางใด พระมารดาของพระโพธิสัตว์ก็หันพระพักต์ไปทางนั้น ครั้นแล้วเทวบุตรเหล่านั้น แต่ละตนก็คิดว่า พระโพธิสัตว์สนทนากัเราทักทายเรา คราวใด สหาบดีพรหมกับเทวบุตรชั้นพรหมองค์อื่นๆ ใคร่จะกลับไป คราวนั้น พระโพธิสัตว์ทรงทราบปริวิตกแห่งจิตใจของเทวบุตรเหล่านั้นด้วยพระหทัยของพระองค์ จึงยกพระหัตถ์เขื้องขวาสีเหมือนทองขึ้นส่าย คือส่ายไปส่ายมา ครั้นส่ายไปส่ายมาแล้ว ค่อยๆ ส่ายด้วยอาการอ่อนลงจนหยุด แต่ไม่กระทบกระเทือนพระมารดาครั้นแล้วสหาบดีพรหมและเทวบุตรชั้นพรหมองค์อื่นๆก็ทราบว่า พระโพธิสัตว์อนุญาตให้เรากลับไปได้แล้ว เทพบุ่ตรเหล่านั้นจึงกระทำประทักษิณ 3 รอบ ต่อพระโพธิสัตว์และพระมารดาของพระโพธิสัตว์แล้วพากันกลับไป
 พระโพธิสัตว์ทรงมีสมฤติสัมปรชานะแล้ววางพระหัตถ์ลง
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์จำนวนหลายแสนมาแต่ทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน  ทิศทั้ง 10 ติดต่อกัน เพื่อเข้าเฝ้า เพื่อไหว้ เพื่อเข้าไปนั่งใกล้พระโพธิสัตว์ เพื่อฟังธรรม เพื่อให้พระโพธิสัตว์บรรเลเพลงคือธรรม พระโพธิสัตว์จึงเปล่งรัศมีออกจากพระวรกาย เนรมิตบัลลังก์อันเป็นกลุ่มรัศมีให้แก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่มานั้น ครั้นแล้วก็ให้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นนั่งบนอาสนเหล่านั้น ครั้นทราบว่าพระโพธิสัตว์เหล่านั้นนั่งแล้วจึงทรงไต่ถาม และให้พระโพธิสัตว์เหล่านั้นซักถามปัญหาเกี่ยวกับมหายาน(*1) ของพระโพธิสัตว์ที่มีความสงสัยทั้งส่วนใหญ่และส่วนย่อย แต่คนอื่นไม่เห็รพระโพธิสัตว์เหล่านั้น เว้นแต่เทวบุตรที่มีส่วนเสมอกัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี่คือเหตุ นี่คือปัจจัยที่พระโพธิสัตว์ทรงเปล่งรัศมีออกจากพระกายในราตรีสงัด
                        *1 พึงสังเกตว่า ในคัมภีร์ลลิตวิสตรนี้ มีใช้คำว่ามหายาน ขึ้นแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์พระมารดา พระนางมายาเทวีไม่รู้สึกหนักพระการ นอกจากจะรู้สึกเบา นิ่ม สบาย เท่านั้น และพระนางไม่ได้รับทุกข์ที่ทรงพระครรภ์เลย และพระนางไม่ถูกไฟคือราคะ ไฟคือโทษะ ไฟคือโมหะเผาผลาญ พระนางไม่คิดคำนึงถึงกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก และพระนางไม่รู้สึกหนาว ร้อน หิว กระหาย มืด ยุ่ง หม่นหมองเลย หรือจะเห็นก็หาไม่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอันไม่ชอบใจ ย่อมไม่มาปรากฏแก่พระนางเลย พระนางไม่ทรงสุบินร้าย มายาของหญิงคือ ความอวด ความริษยา และเกลศของหญิง ไม่เบียดเบียน พระนางเลย
 พระมารดาพระโพธิสัตว์ครั้งนั้นสมาทานศีล 5 ทรงรักษาศีล ตั้งอยู่ในกุศลกรรมบถ 10 ราคะจิตในบุรุษคนใดคนหนึ่งไม่เกิดแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์เลย  หรือจะมีบุรุษคนใดคนหนึ่งเกิดราคะจิตในพระมารดาของพระโพธิสัตว์ก็หาไม่ เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ หญิง ชาย เด็กชาย เด็กหญิง ทั้งหลาย ที่ภูติสิง บรรดาที่อยู่ในมหานครกบิลพัสดุ์อันประเสริฐก็ดี หรือในชนบทอื่นก็ดี พอมาเห็นพระมารดาของพระโพธิสัตว์ก็กลับได้สมฤติสำนึกตน อมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็รีบหนีไปทันที ผู้ใดที่โรคต่างๆมาถูกต้อง คือโรคสันนิบาตเกิดแก่ลม ดี เสลด(ตรีทูต) โรคในจักษุ โรคในหู โรคในจมูก โรคในลิ้น โรคในปาก โรคในฟัน โรคในคอ โรคฝีในคอ โรคฝีในอก โรคเรื้อน โรคกลาก โรคหืด โรคลมบ้าหมู โรคไข้ โรคฝีหรือต่อมที่คอ โรคผดผื่น โรคพุพอง เป็นต้น เบียดเบียน 
 พระมารดาของพระโพธิสัตว์วางพระหัตถ์เบื้องขวาลงบนศีรษะของผู้นั้น พอวางพระหัตถ์ลงเท่านั้น เขาเหล่านั้นก็หายเจ็บไข้กลับไปบ้านของตนๆได้ ที่สุดพระนางมายาเทวีถอนหญ้าหรือกอไม้เล็กๆ จากแผ่นดินส่งให้คนไข้ พอคนไข้รับก็หายจากโรค หายพิการ เมื่อใดพระนางมายาเทวีเพ่งดูพระปรัศว์เบื้องขวาของพระองค์ เมื่อนั้นก็แลเห็นพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ เหมือนเห็นดวงหน้าในวงแว่นใสสะอาด ครั้นแล้วก็มีพระหทัยยินดี เฟื่องฟู ดีพระหทัยเกิดปีติโสมนัส
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่เท่านั้น เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ของพระมารดา ดนตรีทิพย์ก็บรรลือเสียงโดยการตั้งขึ้นประชุมกัน (บรรเลง) ต่อเนื่องกันไปตลอดคืนตลอดวัน ดอกไม้ทิพย์ทั้งหลายก็โปรยลงมา ฝนก็ตกตามฤดูกาล ลมก็พัดตามกลาเวลา ฤดูและนักษัตรก็เป็นไปตามกาลเวลา ราชอาณาจักรปลอดภัย มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ประชาชนก็ใจดีไม่วุ่นวาย พวกศากยและคนอื่นๆในมหานครกบิลพัสดุ์อันประเสริฐก็กิน ดื่ม (รื่นเริง) เล่น เที่ยวเตร่ ให้ทาน ทำบุญอยู่ด้วยการเล่นเป็นสุขสำราญทุกมุมเมืองเหมือนอยู่ในกลีบบัว แม้พระราชาศุทโธทนะ ก็ทรงประพฤติพรหมจรรย์หลีกจากราชการแห่งราชอาณาจักร ทรงประพฤติธรรมเหมือนอยู่ในตโปวัน(ป่าบำเพ็ญพรต) อันบริศุทธยิ่ง
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ของพระมารดาประกอบด้วยฤทธิปราติหารย(แสดงฤทธิ์ต่างๆ) เห็นปานฉะนี้ ในครั้งนั้น พระผู้มีภคะตรัสเรียก พระอานนท์ผู้มีอายุว่า ดูกรอานนท์ เธอเห็นวิมานแก้วเครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์ไหม ซึ่งพระโพธิสัตว์ร่างเริงอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดานั้น? พระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีภคะ ข้าพระองค์เห็นแล้ว ข้าแต่พระสุคต พระตถาคตทรงแสดงแล้วซึ่งวิมานแก้ว เครื่องอาศัยของพระโพธิสัตว์แก่พระอานนท์ผู้มีอายุ แก่องค์ศักรผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย แก่เทพโลกบาลทั้ง 4 และแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายอื่นๆ นอกจากพระอานนท์ผู้มีอายุและเทพเหล่านั้น บรรดาผู้ที่ได้เห็นต่างก็มีความร่าเริงมีใจเฟื่องฟู มีใจยินดี บันเทิงใจ เกิดปีติโสมนัส ฝ่ายสหาบดีพรหมนั้นได้อัญเชิญวิมานแก้วกลับไปไว้ในเทวโลกอีกเพื่อเป็นเจดีย์(ที่ระลึก)
                        ครั้งนั้นแล พระผู้มีภคะตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายอีกว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์เมื่ออยู่ในพระครรภ์พระมารดาได้อบรมบ่มอินทรีย์ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายให้แก่กล้าในชญาน 3(*1) ถึง 3แสน 6หมื่น ซึ่งมีคำกล่าวไว้ในที่นี้ว่า
                        *1 ชญาน 3 คือ โพธิสัตวชญาน ปรัตเยกพุทธชญาน และศราวกชญาน
      23 พระโพธิสัตว์ผู้เป็นสัตว์อันเลิศ ประทับอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดา แผ่นดินพร้อมทั้งป่าดวงก็ไหวมีวิการ 6 อย่าง รัศมีงามดั่งทองก็เปล่งออก อบายทั้งปวงก็ถูกชำระทำให้สะอาด  หมู่เทวดาทั้งหลายต่างก็พากันดีใจว่าจะถึงคลังแห่งธรรมแล้ว ฯ
      24 พระโพธิสัตว์ผู้เป็นวีระ เป็นนายกพิเศษเสด็จขึ้นประทับในมหาวิมาน มีทรวดทรงงามด้วยรัตนะเป็นอเนก ซึ่งเต็มไปด้วยแก่นจันทน์ มีกลิ่นหอมที่สุด รุ่งเรืองอยู่ รัตนะมีค่าที่เต็มในโลกมนุษย์ก็จะไปเท่ากับแก่นจันทน์ที่นำมาเพียงหนึ่งกรรษ(*1) เท่านั้น ฯ
                        *1 กรรษเป็นมาตรทองเท่ากับ 16 มาษ หรือหนักเท่าเมล็ดถั่วเขียว 16 เมล็ด
      25 โลกธาตุที่เป็นเทวโลก มีหยาดโอชะแห่งดอกบัว ได้ผุดขึ้นเพื่อพระโพธิสัตว์ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งคุณธรรม โดยการนำมาไว้ในวิมานนั้น หยาดโอชะแห่งดอกบัวนั้น ขึ้นไปในพรหมโลกด้วยเดชแห่งบุณยถึง 7 ราตรี พรหมได้ถือเอาหยาดโอชะนำมาถวายพระโพธิสัตว์ ฯ
      26 ไม่มีผู้ใดในหมู่สัตว์ทั้งปวงบริโภคหยาดโอชะนั้นแล้วย่อยได้ เว้นแต่พระโพธิสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ เหมือนกัลปของพรหม หยาดโอชะโดยเดชแห่งบุณยนี้ทนอยู่ได้หลายกัลป  พระโพธิสัตว์บริโภคแล้ว กายจะถึงความบริศุทธ จิตจะถึงความตรัสรู้ ฯ
      27 องค์ศักร พรหม เทพโลกบาล ผลัดกันมาสู่สำนักของพระโพธิสัตว์วันละ 3 เวลา เพื่อบูชาพระโพธิสัตว์ผู้เป็นนายก ครั้นไหว้แล้วบูชาแล้ว ก็ฟังธรรมอันประเสริฐ แล้วจึงทำประทักษิณกลับไปตามที่ควรฯ
      28 พระโพธิสัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุใคร่จะฟังธรรม ก็พากันมาพระโพธิสัตว์เหล่านั้นนั่งบนอาสนที่เป็นกลุ่มรัศมีซึ่งองค์พระนายกชี้ให้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายฟังธรรมอันเป็นยานประเสริฐที่สุดจากกันและกัน ต่างมีจิตยินดี กล่าวสรรเสริญแล้วก็ไป ฯ
      29 ครั้งนั้น หญิง และเด็กทั้งหลายที่ได้รับทุกข์ถูกผีสิง จิตใจฟุ้งซ่าน เปลือยกาย ขมุกขมอมด้วยฝุ่น เขาเหล่านั้นทั้งหมด พอเห็นพระนางมายาแล้วก็สว่าง ได้ความรู้สึกประกอบด้วยสมฤติ มติ และคติ กลับไปสู่เรือนของตน ฯ
      30 ผู้ใดเป็นโรคสันนิบาต(ประชุม) เกิดแต่ลม  ดี  เสลด (ตรีทูต) โรคในจักษุ โรคในหู ทั้งกายและจิตถูกโรภเบียดเบียน ถูกพยาธิหลายอย่างหลายชนิดรบกวน พอพระนางมายาวางพระหัตถ์ลงบนศีรษะ โรคก็สร่างปราศจากคร่ำคร่า ฯ
      31 หรือแม้ว่าพระนารงมายากำหญ้าถอนจากแผ่นดินส่งให้ ผู้เป็นโรคทั้งปวงรับแล้วก็สร่างจากความเดือนร้อน ปราศจากคร่ำคร่า ได้รับความสบายหายพิการกลับไปสู่เรือนของตน เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ได้เป็นทั้งยาและนายแพทย์ ฯ
      32 เวลาใดพระนางมายาพิจารณาดูร่างของพระองค์ ก็ได้แลเห็นพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในพระครรภ์ พระโพธิสัตว์ผู้เป็นที่พึ่งประดับด้วยลักษณะดีงาม เหมือนดวงจันทร์ในอากาศมีดาวแวดล้อม ฯ
      33 ราคะ โทษะ โมหะ ไม่เบียดเบียนพระโพธิสัตว์ กามฉันทะ(ใคร่ในกาม) ริษยา และคิดให้ร้ายผู้อื่น ก็ไม่มี พระองค์มีจิตยินดี ร่างเริง อิ่มเอิบ ตั้งอยู่ในโสมนัส ความหิวกระหาย ความหนาว ความร้อน ไม่เบียดเบียนพระองค์เลยฯ
      34 และดนตรีทิพย์ ไม่มีใครไปแตะต้องก็ดังขึ้นเอง เป็นนิตยกาล(ตลอดเวลา) ดอกไม้ทิพย์มีกลิ่นดีเลิศงามก็โปรยลงมา เทวดาก็เห็นมนุษย์และมนุษย์ก็เห็นอมนุษย์ ต่างไม่เบียดเบียนให้ร้ายซึ่งกันและกันในการเห็นนั้น ฯ
      35 สัตว์ทั้งหลาย(คน) ย่อมรื่นรมย์เล่นหัวและให้ข้าวน้ำเปล่งเสียงแสดงความสุขมีใจร่าเริงยินดี ฝนก็ตกตามฤดูกาล ระงับฝุ่นละอองทำให้อากาศแจ่มใส ไม่ยืนต้น ดอกไม้ และไม้ล้มลุกทั้งหลาย ก็งอกงามในกาลนั้นฯ
      36 ฝนรัตนะก็โปรยมาในพระราชวังตลอด 7 ราตรี คนยากจนเข็ญใจได้รับทานที่มีผู้ให้ไปบริโภค ไม่มีใครยากจนเข็ญใจ ไม่มีใครทุกข์ยาก ต่างบันเทิงใจเหมือนอยู่ในนันทวันยอดเขาสุเมรุฯ
      37 พระราชาศุทโธทนะกับศากยทั้งหลาย รักษาอุโบสถศีลไม่ทำราชการแห่งราชอาณาจักร ประพฤติแต่ธรรมอย่างเดียว พระองค์เสด็จไปสู่ปราสาทซึ่งเป็นเหมือนตโปวัน(ป่าบำเพ็ญพรต) ตรัสถามพระนางมายาเทวีว่า แน่ะนางผู้ทรงไว้ซึ่งสัตว์ประเสริฐ(พระโพธิสัตว์) ร่างกายของเธอเป็นอย่างไร เป็นสุขสบายดีอยู่หรือ ?ฯ
                        อัธยายที่ 6 ชื่อครรภาวักรานติปริวรรต (ว่าด้วยการลงสู่พระครรภ์) ในคัมภีร์ศรีลลิตวิสตร ดั่งนี้แล ฯ

ไม่มีความคิดเห็น: