Translate

03 ธันวาคม 2568

อัธยายที่ 7 ชนฺมปริวรฺตะ สปฺตมะ ชื่อชมนปริวรรต(ว่าด้วยทรงสมภพ) พระคัมภีร์ลลิตวิสฺตรนี้ เป็นพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในนิกายมหายาน

สมภพ
  
             กระนั้นแล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อล่วงไปแล้วได้ 10 เดือน กาลสมัยที่พระโพธิสัตว์จะบังเกิดใกล้เข้ามาแล้ว บุพนิมิต 32 ประการก็ปรากฏขึ้น ในอุทยานพระราชวังของพระราชาศุทโธทนะ บุพนิมิต 32 ประการ คืออะไรบ้า? คือ ดอกไม้ทั้งปวงแย้มแต่ไมบาน และดอกบัวอุบล บัวปทุม บัวกุมุท บัวปุณฑริก
 ที่ขึ้นอยู่ในสระทั้งหลายก็ขยายกลีบ แต่ไม่บาน ไม้ดอกไม้ผลทั้งหลายที่เกิดจากพื้นดินมีแต่ดอกแย้ม แต่ไม่ผลิตผล ต้นรัตนได้ปรากฏขึ้นในที่ 8 แห่ง ขุมรัตนะตั้งแสนก็ผุดขึ้น แสดงให้เห็นแหล่งที่อยู่ทั้งหลาย และหน่อรัตนะทั้งหลายก็ปรากฏขึ้นภายในบุรี น้ำหอมเย็นและร้อนอบด้วยน้ำมันหอมก็พุขึ้นมา ลูกราชสีห์ทั้งหลาย พากันมาจากข้างภูเขาหิมพานต์ ก็บรรลือเสียงกระทำประทักษิณนครกบิลพัสดุ์อันประเสริฐ แล้วยืนอยู่ริมประตูเมือง แต่มิได้เบียดเบียนทำร้ายใคร ลูกช้างเผือก 500 พากันมา แล้วเอาปลายงวงเกาพระบาททั้งสองของพระราชาศุทโธทนะ
 เทพทารก(เทวบุตร)ทั้งหลายคาดเข็มขัด ก็สำแดงให้เห็นผลัดเปลี่ยนนั่งตักกันในบุรีของพระราชาศุทโธทนะ นางนาคทั้งหลายสำแดงให้เห็นกึ่งตัวในพื้นอากาศ ถือเครื่องบูชาต่างๆห้อยลงมา นางนาคตั้งหมื่นกำหางนกยูงแสดงให้เห็นอยู่ในอากาศ หม้อเต็มด้วยน้ำตั้งหมื่นก็สำแดงการประทำประทักษิณมหานครกบิลพัสดุ์  นางเทพกันยาตั้งหมื่นถือคนโทน้ำหอมเทินศีรษะมาสำแดงให้ปรากฏ นางเทพกันยาตังหมื่นยืนถือฉัตร ธงชัย ธงปตาก มาสำแดงให้ปรากฏ นางอัปสรมากตั้งแสน มายืนสำแดงตนให้ปรากฏด้วยเป่าสังข์ ตีกลองใหญ่ กลองชนะ(กลองเล็ก ไกวบัณเฑาะว์ เคาะระฆัง ลมก็หยุดมิได้พัด แม่น้ำทั้งปวงมิได้ไหลและมิได้พัดพา วิมานของจันทร์ อาทิตย์ และหมู่ดาวนักษัตรทั้งหลาย ก็มิได้พาไป (ไม่เคลื่อนที่)
 เวลานั้นเป็นเวลาประกอบด้วยปุษยฤกษ์ พระราชวังของพระราชาศุทโธทนะก็พราวไปด้วยข่ายแก้ว ส่วนไฟมิได้ร้อน แก้วมณีทั้งหลายก็ปรากฏห้อยอยู่ที่เรือนยอดปราสาท ซุ้มทวาร คลังผ้า และคลังรัตนะต่างๆก็ปรากฏว่าปิดหมด เสียงกา นกฮูก แร้ง มหาป่า หมาจิ้งจอก ได้หายไปหมด ได้ยินแต่เสียงที่ดีๆ ตัดขาดจากคนบ้านนอก และกรรมกรทั้งปวงพื้นดินที่สูงๆ ต่ำๆ ก็เรียบราบเสมอกัน ทางเดินสี่แพร่ง ถนนหลวง ร้านตลาดที่เป็นประธานก็เกลี้ยงเกลาเหมือนขัดด้วยฝ่ามือ ดาษดาไปด้วยดอกไม้สง่างาม หญิงครรภ์แก่ทั้งปวงก็คลอดง่าย เทวดาในป่าสาละวัน(ป่ารัง)ทั้งปวงก็เนรมิตกายสำแดงตนอยู่บนใบไม้ นมัสการอยู่ บุพนิมิตทั้งหลาย 32 ประการได้ปรากฏแล้ว
                        ครั้งนั้นแล พระนางมายาเทวีทรงทราบกาลสมัยประสูติพระโพธิสัตว์ จึงเข้าไปเฝ้าพระราชาศุทโธทนะในราตรียามต้น ด้วยอานุภาพแห่งเดชของพระโพธิสัตว์ ได้ทูลเป็นคำประพันธ์ว่า
    1 ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์ได้โปรดทรงฟังคำ  ซึ่งเป็นความคิดของหม่อมฉัน คือความคิดอันเกิดขึ้นแล้วโดยปัจจุบันทันด่วนถึงอุทยาน ถ้าพระองค์ไม่ดุ ไม่กริ้ว ไม่เข้าพระหทัยผิด หม่อมฉันจะไปยังพื้นทีอุทยานเป็นที่เล่นสนุกสนานโดยด่วน ฯ
    2 พระองค์ก็ทนทุกข์ในการบำเพ็ญพรตนี้มาแล้ว ทรงประกอบพระหทัยในธรรมหม่อมฉันตั้งครรภ์สัตว์บริศุทธประทับมานานแล้ว สาละพฤกษ์(ไม้รัง) ที่รู้กันว่าเป็นไม้ประเสริฐ ออกดอกแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐหม่อมฉันควรจะไปสู่พื้นที่อุทยาน ฯ
    3 ฤดูวสันต์(ฤดูใบไม้ผลิ) เป็นฤดูประเสริฐ ควรแก่การประดับของหญิงทั้งหลาย ระงมไปด้วยเสียงประเสริฐแห่งแมลงภู่ นกดุเหว่าส่งเสียงกู่ขับร้อง เป็นสถานที่สะอาดงามวิจิตร มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อน หม่อมฉันขอโอกาสได้โปรดประทานพระกระแสสั่งให้หม่อมฉันไป อย่างหน่วงเหนี่ยวไว้เลยฯ
    4 พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังคำของพระนางเทวีนี้แล้ว ก็ทรงยินดีมีพระหทัยบรรเทิง ตรัสแก่ที่ประชุมทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงจัดแถวพาหนะคือม้า ช้าง และรถ จงตกแต่งสวนสุมพินีให้มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยคุณปันประเสริฐ ฯ
    5 จงจัดผูกช้างสีเมฆเหมือนภูเขาเขียวให้ได้ 2 หมื่น และจัดพระยาช้างฉัททันต์ (6 งา) สีข้างงามด้วยห้อยระฆัง คลุมด้วยข่ายทองงามวิจิตรด้วยแก้วแกมสุวรรณฯ
    6 จงจัดม้า 2 หมื่น มีผมงามเหมือนหญ้ามุญชะ(หญ้าซุ้มกระต่าย) สีข้างประดับด้วยเครื่องทอง ห้อยข่ายลูกพรวน มีกำลังเร็วเหมือนลมพัด ซึ่งเป็นพาหนะของพระเจ้าแผ่นดินฯ
    7 จงจัดหมู่คน 2 หมื่นโดยเร็ว เลือกที่เป็นนักรบกล้าหาญ กระหายสงคราม ถือดาบ ธนู ลูกศร หอก บ่วงบาศ พระขรรค์ จงรักษามายาเทวีกับพวกบริวารโดยไม่ประมาทฯ
    8 จงทำอุทยานลุมพินี ให้เหมือนราดรด้วยแก้วและทอง ประดับต้นไม้ด้วยผ้ารัตนะต่างๆ ให้เหมือนอุทยานนันทวันของเทวดาทั้งหลายอันวิจิตรงามด้วยดอกไม้ต่างๆเมื่อจัดเสร็จแล้ว จงมาบอกเราโดยเร็วฯ
                        หมู่คนทั้งหลายรับคำนี้แล้ว ก็ตระเตรียมพาหนะและประดับอุทยานลุมพินี โดยทันใดนั้น
                        หมู่คนทั้งหลาย ทูลว่า
    9 ชโย ชโย ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่แก่คนทั้งหลาย ขอพระองค์จงรักษาพระชนมายุไว้ให้ยืนนาน ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ข้าพระองค์ทำตาม พระดำรัสเสร็จทุกอย่างแล้ว ขอพระองค์จงทอดพระเนตรเถิดฯ
    10 ฝ่ายพระราชาผู้เป็นใหญ่ประแก่คนทั้งหลายนั้น ทรงดีพระทัย เสด็จไปสู่พระตำหนักอันประเสริฐ ตรัสกับพระสนมประจำพระองค์ทั้งหลายว่า นางใดเต็มใจ และใคร่จะให้เรารัก นางนั้นจงแต่งตัวทำตามคำสั่งของเราฯ
    11 พวกเจ้าจลุกขึ้นนุ่งห่มผ้าที่มีกลิ่นหอมอันประเสริฐ มีสีตามสภาพงาม ให้เป็นที่น่ารัก ละมุนละไม จงห้อยสร้อยมุกดาหารไว้ที่ทรวงอก จงแสดงการประดับเครื่องอาภรณ์ให้พร้อมสรรพในวันนี้ ฯ
    12 จงไกวบัณเฑาะว์ ตีกลองชนะ (กลองเล็ก) ดีดพิณ เป่าขลุ่ย บรรเลงดนตรีตั้งแสดให้ไพเราะ ทำให้นางฟ้าทั้งหลายยินดีมาก แม้เทวดาทั้งหลายได้ยินเสียงไพเราะแล้ว ก็อยากฟังฯ
    13 มายาเทวีจะสถิตย์ในรถอันประเสริฐแต่ผู้เดียว บุรุษหรือสตรีอื่นๆอย่าขึ้นไปบนรถนั้น นารีสวมเสื้อสีต่างๆลากรถนั้นไป อย่าให้นางเห็นสิ่งสกปรก อย่าให้นางได้ยินเสียงไม่เพราะหูฯ
    14 ได้ยินเสียงกึกก้องกองทหารอันมีสิริและงดงาม คือ ทหารม้า ทหารช้าง ทหารรถ และทหารราบ คอยอยู่ที่ประตูเมืองของพระเจ้าแผ่นดินเหมือนได้ยินเสียงมหาสมุทรกำเริบ. ฯ
    15 พอพระนางมายาเสด็จออกจากพระตำหนักถึงริมประตูเมืองพนักงานก็ตีระฆังขึ้นตั้งแสนเพื่อถวายชัยมงคลฯ
    16 รถอันวิจิตรนั้น พระเจ้าแผ่นดิน(ศูทโธทนะ) ให้ประดับด้วยด้นไม้แก้ว 4 มุม มีใบ มีดอก มีหงส์ นกกะเรียน นกยูง บรรลือเสียงเป็นที่เพราะจับใจฯ
    17 ไวชยันต์รถนั้น ยกฉัตร ธงชัย ธงปตาก คลุมด้วยผ้าทิพย์ มีข่ายห้อยลูกพรวนอันประเสริฐ มีนางฟ้าในอากาศพากันมองดูรถนั้น แล้วก็ให้ได้ยินเสียงประกาศไพเราะอันเป็นทิพย์สรรเสริญพระนางฯ
    18 พอพระนางมายานั้นขึ้นประทับบนจอมพระแท่น พื้นแผ่นดินมนุษย์โลกก็ไหวหวั่นด้วยวิการ 6 เทพยดาก็โปรยดอกไม้ ท้องฟ้าปั่นป่วน ดังออกมาว่า วันนี้ผู้ประเสริฐที่สุดในโลกจะเกิดในอุทยานลุมพินีฯ
    19 เทพโลกบาลทั้ง4มาลากรถนั้น แม้องค์อินทร์ผู้เป็นเจ้าสวรรค์ก็มาทำความสะอาดในหนทาง  พรหมก็ออกหน้าคอยห้ามทุรชน เทวดาตั้งแสนพากันประนมมือนอบน้อมฯ
    20 พระเจ้าแผ่นดิน(ศูทโธทนะ) ร่างเริงบรรเทิงพระทัยเมื่อทอดพระเนตรดูขบวนนั้น เทวดาใหญ่น้อยทั้งหลายมีพฤติการประจักษ์อย่างไร ก็ประจักษ์แก่พระองค์อย่างนั้น โลกบาลทั้ง 4 พรมห เทวดา พร้อมด้วยองค์อินทร์ กระทำการบูชาอันไพบูลย์ ก็ประจักษ์อย่างชัดเจนฯ
    21 ไม่มีสัตว์ในภพ 3 จะทนต่อการบูชานี้ได้ เทวดา นาค องค์สักกะ พรหม และเทพโลกบาล (ถ้าได้รับการบูชาอย่างนี้) ศีรษะจะแตก และชีวิตจะดับแต่พระโพธิสัตว์ผู้เป็นอติเทพ ย่อมทนต่อการบุชานี้ได้ทุกอย่างฯ
 กระนั้นแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระนางมายาเทวีแวดล้อมด้วยรถม้า 8 หมื่น 4 พัน ล้วนประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง และแวดล้อมด้วยทหารราบ 8 หมื่น 4 พันล้วนแร่งกล้า ห้าวหาญ รูปงาม สวมเกราะหนังมั่นคงทะมัดทะแมง เสด็จนำหน้านางศากยกันยา 6 หมื่น สรศากยแก่หนุ่มและกลางคน 4 หมื่น ล้วนบังเกิดในตระกูลญาติของพระราชาศุทโธทนะ ดุแลรักษาแล้ว และแวดล้อมด้วยนางสนมกำนัลของพระราชาศุทโธทนะ 6 หมื่น ล้วนขับกล่อมประโคมดนตรีบรรเลงสังคีต
 และแวดล้อมด้วยเทพกันยา 8หมื่น 4พัน แวดล้อมด้วยนาคกันยา คนธรรพ์กันยา กินนรกันยา อสุรกันยา พวกละ 8 หมื่น 4 พัน ทั้งนี้ล้วนประดับด้วยเครื่องอลังการตามขบวนต่างๆ บรรเลงเพลงต่างๆ กล่าวสรรเสริญพลางตามเสด็จพระนางเมื่อเสด็จออกไป อุทยานลุมพินีรดด้วยน้ำหอมโปรยดอกไม้ทิพย์ไปจนทั่ว ต้นไม้ทั้งปวงในป่าอันประเสริฐนั้น ย่อมแตกใบผลิดอกออกผลในสมัยใช่ฤดูกาล และเทวดาทั้งหลายก็มาประดับสวนนั้นให้ นั่นคือเหมือนประดับสวนมิสกวันของเทวดาทั้งหลาย
 ครั้งนั้นแล พระนางมายาเทวี เสด็จเข้าไปสู่ป่าลุมพินิวัน แล้วเสด็จลงจากรถประเสริฐนั้น แวดล้อมไปด้วยสาวมนุษย์และสาวเทวดา ทรงประพาสจากต้นไม้นี้ สู่ต้นไม้นั้น ทรงดำเนินจากป่านี้สู่ป่านั้น ทอดพระเนตรจากพุ่มไม้นี้สู่พุ่มไม้นั้น เป็นลำดับไปจนถึงต้นมะเดื่อ(ปลกษวฤกษ) ต้นไม้งามบวรดั่งแก้ว มีกิ่งแบ่งแยกออกเป็นสัดส่วน ทรงใบและก้านสม่ำเสมอ มีดอกไม้ต่างๆ ทั้งเป็นทิพย์และเป็นของมนุษย์บานสะพรั่งห้อยด้วยผ้าสี่ต่างๆ มีกลิ่นต่างๆ ล้วนหอมดีเลิศประเสริฐยิ่งนักช่วงโชติไปด้วยแสงแก้วมณีอันวิจิตรหลากหลาย มีโคน
 ลำต้น กิ่ง ใบ ประดาบประดาด้วยรัตนะทั้งปวงมีกิ่งแผ่ขยายแยกย้ายเป็นอันดี ตั้งต้นอยู่ในพื้นดินซึ่งเป็นภูมิภาคราบเสมอเหมือนฝ่ามือมีหญ้าเขียวสด แผ่ขยายแยกย้ายงามดีออกไปเป็นพืดงามดีสัมผัสนุ่มนวลเหมือนสัมผัสฝักมะกล่ำเครือ(*1) พระมารดาของพระพุทธเคยประทับมาแล้ว เป็นที่ตั้งวงดนตรีบรรเลงเพลงขับร้องของเทวดา งามบริศุทธปราศจากมลทิน เทพยดาชั้นศุทธาวาสตั้งแสน ได้มาน้อมชฎาและมกุฎยอบลงมาน้อมคำนับกราบไหว้ด้วยเศียรเกล้า ด้วยใจนับถือ พระนางได้เสด็จไปยังไม่มะเดื่อต้นนั้น
                        *1 ฝักมะกล่ำเครือ ศัทพืซ่า กาจิลินทิก มอเนีย วิลเลียมแปลไว้ว่า ไม้เถาเมืองร้อนตระกูลหนึ่ง มีใบแยกจากกึ่งกลาง 2 แถวอย่างใบแค มีดอกสีเกือบม่วง ที่โคนตอกเป็นกระบอก 4 ลอน และมี่ฝักแบนๆ
 ครั้งนั้น ไม้มะเดื่อต้นนั้น ได้น้อมลงมาคำนับ ด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์ พระนางมายาเทวีจึงเหยียดพระหัตถ์ขวา ปรากฏเหมือนสายฟ้าอันอยู่ในพื้นอากาศยึดกิ่งมะเดื่อแหงนมองอากาศที่มีน้ำฉ่ำ ทรงประทับยืนอย่างชดช้อย ครั้นแล้ว นางอัปสร 60 แสนจากสวรรค์ชั้นกามาพจรเข้าไปเฝ้าทำการรับใช้ในที่ใกล้ๆพระนางเทวีในครั้งนั้น
 พระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์พระมารดาประกอบด้วยฤทธิปราติหารยเห็นปานนี้ครั้นครบ 10 เดือนล่วงไปแล้ว พระองค์ก็เสด็จออกจากพระปรัศว์(สีข้าง)เบื้องขวาของพระมารดา ทรงมีสมฤติสัมปรชานะ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยครรภ์มลทิน (สิ่งสกปรกในครรภ์)ไม่เหมือนคนอื่นบางคนที่เขาพูดถึงครรภ์มลทินของคนอื่น
                        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้นแล องค์อินทร์ผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลาย และสหัมบดีพรหม ได้มายินอยู่เบื้องหน้า ซึ่งทั้ง 2 องค์นั้น เกิดความเคารพพระโพธิสัตว์อย่างยิ่งมีสมฤติสัมปรชานะ ช่วยกันรับพระโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ภายในผ้าไหมทิพย์ด้วยอวัยวะใหญ่น้อยทุกส่วน
                        เรือนยอดที่พระโพธิสัตว์ประทับเมื่อยู่ในพระครรภ์มารดานั้นสหัมบดีพรหมและเทวบุตรชั้นพรหมกายิกาได้อัญเชิญน้อมนำไปยังพรหมโลกเพื่อให้เป็นเจดีย์และเพื่อบูชา มนุษย์ใดๆไม่ได้อุ้มพระโพธิสัตว์เลย เพราะเทวดาอุ้มพระโพธิสัตว์ก่อนเพือน
 ขณะนั้น  พระโพธิสัตว์ พอเกิดออกมาแล้วก็ทรงหย่อนพระบาทลงสู่แผ่นดินในระหว่างที่พระโพธิสัตว์หย่อนพระบาทลงมานั้น ดอกบัวใหญ่ก็ชำแรกมหาปฐพีปรากฏขึ้นมา พระยานาคทั้ง 2คือ นันทะ และอุปนันทะ มีกายกึ่งหนึ่งอยู่ในอากาศ เนรมิตท่อน้ำ 2 ท่อ คือ น้ำเย็นกับน้ำร้อนสรงสนานพระโพธิสัตว์ องค์สักกะ พรหม โลกบาลที่มาก่อน และเทวบุตรอื่นเป็นอันมากหลายแสน พอพระโพธิสัตว์เกิดออกมาแล้ว ก็สรงสนานด้วยน้ำหอมต่างๆและโปรยปรายด้วยดอกไม้ไข่มุก จามรี 2 องค์ ฉัตรแก้ว 1องค์ ปรากฏขึ้นในอากาศ พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในดอกบัวใหญ่นั้น ทอดพระเนตรดูทิศทั้ง 4 (ครั้นทอดพระเนตรดูทิศทั้ง 4 แล้ว ) ทรงทอดพระเนตรอย่างราชสีห์มองและอย่างมหาบุรุษมอง
 ก็ในสมัยนั้นแล พระโพธิสัตว์เห็นโลกธาตุ คือ มนุษย์โลก และเทวโลกทั้งหมดพร้อมทั้งเมือง ตำบล หมู่บ้าน ราษฎร และเมืองหลวง พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ด้วยทิพย์จักษุ ซึ่งปรากฏเป็นจักษุทิพย์เห็นได้ตลอด ไม่มีอะไรกำบัง อันเกิดจากผลแห่งกุศลมูลในปางก่อน ทรงทราบจิตและความเป็นมาของสัตว์ทั้งปวงแล้ว ครั้นทราบแล้วจำสำรวจดูว่า มีบ้างไหม สัตว์ผู้ใดเหมือนเรา ด้วยศีล สมาธิ ปรัชญา หรือด้วยการประพฤติในกุศลมูล? เมื่อพระโพธิสัตว์ไม่ทรงเห็นว่า สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งในโลกธาตุคือ มนุษย์โลกและเทวโลกจะเทียบเท่าพระองค์แล้ว ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ก็ปราศจากความกลัว ไม่สะดุ้งตกพระทัยเหมือนสิงห์ไม่พรั่นพรึง ทรงระลึก ทรงคิดแต่สิ่งที่คิดไว้ดีแล้ว ทรงทราบจิตและความเป็นมาของสัตว์ทั้งปวง พระองค์ไม่มีใครประคอง
                        ทรงหันพระพักตร์ไปทรงทิศตะวันออก ย่างพระบาทไป 7 ก้าว แล้วตรัสว่า เราจะเป็นผู้ถึงก่อน ซึ่งธรรมที่เป็นกุศลมูลทั้งปวง ฉัตร(ร่ม)กว้างสีขาวเป็นทิพย์ ไม่มีใครถือ แซ่ขนจามรี 2 องค์(ไม่มีใครถือ) ก็ตามพระโพธิสัตว์ซึ่งเสด็จไป พระโพธิสัตว์ย่างพระบาทไปในที่ใดๆดอกบัวหลวงทั้งหลายก็ปรากฏในที่นั้นๆ
                        พระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปทางทิศทักษินย่างพระบาทไป 7 ก้าว แล้วตรัสว่า เราจะเป็นผู้ควรแก่ทักษิณา(ทานที่ผู้ให้เพื่อผลอันเจริญ)ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก 
                        ย่างพระบาทไป 7 ก้าวทรงหยุดอยู่ในก้าวที่ 7 แล้วตรัสพระวาจาขึ้นมาลอยๆอย่างไม่ใช่ขอพระองค์เหมือนสิงห์ว่า เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะทำที่สุดแห่งทุกข์คือชาติ ชรา มรณะ พระองค์หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ 
                        ย่างพระบาทไป 7 ก้าว แล้วตรัสว่า เราเป็นผู้สูงสุดของสัตว์ทั้งปวงไม่มีใครยิ่งกว่า พระองค์หันพระพักตร์ไปทางทิศเบื้องล่าง
                        ย่างพระบาทไป 7 ก้าว แล้วตรัสว่าเราจะกำจัดมารและเสนามาร เราจักโปรยฝนคือธรรมพร้อมกับบำบัดไหนรกของสัตว์นรกทั้งหลาย ซึ่งสัตว์นรกทั้งหลายจะได้เพียบพร้อมไปด้วยความสุขพระองค์หันพระพักตร์ไปทางทิศเบื้องบน 
                        ย่างพระบาทไป 7 ก้าว และแหงนไปดูเบื้องบน แล้วตรัสว่า เราจะเป็นผู้ที่สัตว์ทั้งปวงควรแหงนดู ระหว่างที่พระโพธิสัตว์ตรัสวาจานี้ และในสมัยนั้นโลกธาตุคือ มนุษยโลก และเทวโลกก็ได้แผ่ซ่านไปด้วยพระสุรเสียง อันนี้คือความเป็นธรรมได้แก่ความรู้ยิ่ง ซึ่งเกิดจากผลแห่งกรรมของพระโพธิสัตว์
 กาลใด พระโพธิสัตว์ผู้เกิดในชาติสุดท้ายเกิดขึ้นแล้ว และกาลใด พระโพธิสัตว์ตรัสรู้สัมยักสัมโพธิ กาลนั้นฤทธิปราติหารยเห็นปานนี้เหล่านี้ก็ย่อมบังเกิดขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นัยว่า ในสมัยนั้น สัตว์ทั้งหลายเกิดขุมขนชูชัน เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในโลกซึ่งน่ากลัว ขนลุกขนพอง ดนตรีทั้งหลายทั้งของทิพย์และของมนุษย์ ไม่มีใครไปแตะต้องก็บรรเลงขึ้นเอง ต้นไม้ทั้งหลายที่เป็นไปตามฤดูกาล มาในสมัยนั้นก็ผลิดอกออกผลในโลกธาตุคือมนุษยโลกและเทวโลกและเสียงเมฆก็ได้ยินมาจากอากาศอันแจ่มใสละอองฝนอันละเอียดยิ่ง ก็โปรยลงมาอย่างช้าๆจากอากาศปราศจากเมฆ ลมมีกลิ่นหอมพัดมากระทบทำให้เป็นสุขอย่างยิ่ง และโชยมาอย่างแผ่วเบา เจือด้วยละอองฝน ดอกไม้ ผ้า เครื่องประดับ ผงจันทน์หอมอันเป็นทิพย์ต่างๆ ก็พัดตลบไป และทุกทิศก็ปราศจากความมืด ฝุ่น หมอกควัน น้ำค้าง สดใส แจ่มแจ้ง
 ได้ยินแต่เสียงประกาศของมหาพรหมเป็นเสียงลึกๆไม่มีใครเหมือน มาจากอากาศเบื้องบน และได้มีแสงสว่างเหนือกว่าแสงสว่างของจันทร์ อาทิตย์ องค์สักกะ พรหม โลกบาล โลกธาตุคือมนุษยโลก และเทวโลกก็แจ่มแจ้งด้วยรัศมีสีสรรพ์ตั้งร้อยตั้งพันเป็นอเนก เมื่อกระทบรัศมีนั้นเกิดความสุขอย่างยิ่ง และรัศมีนั้นทำให้เกิดความสุขกายสุขจิตของสัตว์ทั้งปวง ล่วงพ้นวิษัยโลก นัยว่าระหว่างเมื่อพระโพธิสัตว์เกิด สัตว์ทั้งปวงเพียบพร้อมไปด้วยความสุขแต่อย่างเดียวปราศจากความรัก (กำหนัด) ความชัง ความกระด้าง ความหดหู่ ความทุกข์ ความกลัว ความโลภ ความริษยา ความตระหนี่ทั้งปวง เว้นจากการกระทำอกุศลทั้งปวงความป่วยไข้ของสัตว์ทั้งหลายผู้ที่ป่วยไข้ ก็สงบระงับไป
 ความหิวกระหายของสัตว์ผู้หิวกระหาย ก็สงบไป และสัตว์ที่เมาด้วยของมึนเมา ก็สร่างเมาหายเมา ผู้ที่เป็นบ้าคลั่งก็ได้สติ ผู้มีจิกษุพิการ ก็ได้จักษุดีดั่งเดิม ผู้มีหูพิการก็ได้หูดีตั่งเดิม ผู้ที่มีอินทรีย์พิการโดยเสียอวัยวะน้อยใหญ่ ก็หายอินทรีย์พิการ สัตว์ผู้ยากจนก็ได้ทรัพย์ สัตว์ที่ถุกกักขังจองจำด้วย เครื่องกักขังจองจำ ก็หลุดจากเครื่องกักขังจองจำ ความทุกข์ของสัตว์นรกทั้งปวงนับตั้งแต่อเวจีนรกเป็นต้น อันเกิดจากเหตุทั้งปวงก็ระงับในขณะนั้นความทุกข์ของสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายกมีกินกันเองเป็นต้น ก็ระงับ ความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายผู้อยู่ในยมโลก(เปรต)อันเกิดจากความหิวกระหาย ก็ได้สงบระงับไป
 และกาลใด พระโพธิสัตว์พอเกิดแล้วย่างไป 7 ก้าว กาลนั้น พระพุทธเจ้าผู้มีภคะ (*1) ทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในโลกธาตุทั้ง 10 ก็อธิษฐานประเทศคือแผ่นดินตรงนั้นให้ล้วนแล้วไปด้วยความแข็งเหมือนเพชร โดยหน่วงเหนี่ยวเอาความเป็นธรรมคือความเพียรและกำลังอย่างใหญ่หลวง ซึ่งเกิดด้วยความประพฤติสุจริตมาตั้งหมื่นแสนโกฏิปัลปนับไม่ถ้วน  ซึ่งทำให้แผ่นดินใหญ่ตรงประเทศนั้นไม่มีใครทำให้ยุบลงได้ ดูกรภิกษุทั้งหลายพระโพธิสัตว์พอเกิดแล้วย่างไป 7 ก้าว ก็ประกอบด้วยกำลังและแรงกระตุ้นถึงเพียงนั้นในครั้งนั้นภูมิประเทศโลกันตร์ก็แจ่มแจ้งด้วยแสงสว่างอย่างใหญ่หลวง และในคราวนั้นเสียงขับร้องฟ้อนรำ ก็ได้มีขึ้นอย่างใหญ่หลวง ในสมัยนั้น เมฆฝนที่เป็นดอกไม้ ผงจันทน์หอม พวงมาลัย รัตนะ เครื่องประดับ และผู้ก็ตกลงมาหาประมาณมิได้ สัตว์ทั้งหลายต่างเพียบพร้อมไปด้วยความสุขเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นกิริยาโดยสังเขป เป็นอจินไตย ซึ่งในครั้งเมื่อพระโพธิสัตว์ปรากฏในโลก โลกทั้งปวงได้สูงขึ้น
                        *1 ผู้มีภคะ หมายถึงผู้มีสมบัติ 6 ประการ คือทรัพย์ วีรยะ ชญาน ไวราคยะ ยศ ศรีหรือสิริ
 ครั้งนั้นแล พระอานนท์ผู้มีอายุ ลุกขึ้นจากอาสน ห่มผ้าอุตราสงค์เฉียงบ่าข้างหนึ่ง คุกมณฑลเข่าขวาลงยังพื้นดิน ประนมอัญชนีพระผู้มีภคะแล้ว ทูลพระผู้มีภคะว่า ข้าแต่พระผู้มีภคะ พระตถาคตเป็นผู้อัศจรรย์ของสัตว์ทั้งปวง พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ยังประกอบด้วยอัพภูตธรรม(สภาพที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็น) โดยแท้จะป่วยกล่าวไปใยเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมยักสัมโพธิ ข้าพระองค์นั้นขอถึงพระผู้มีภคะเป็นสรณะ 4 ครั้ง 5 ครั้ง 10 ครั้ง 50 ครั้ง 100 ครั้ง ข้าแต่พระผู้มีภคะ ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธผู้มีภคะเป็นสรณะแม้ตั้งหลายแสนครั้ง
 เมื่อพระอานนท์ทูลดั่งนี้แล้ว พระผู้มีภคะจึงตรัสแก่พระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ต่อไปในทางข้างหน้า จะมีภิกษุบางพวกมิได้อบรมกาย มิได้อบรมจิต มิได้อบรมศีล มิได้อบรมปรัชญา เป็นพาลไม่เป็นบัณฑิต ถือตัวจัด ยกตน หัวสูง ไม่สำรวม จิตใจฟุ้งซ่าน พัวพันอยู่ด้วยความสงสัย มากไปด้วยความกินแหนง ไม่มีศรัทธา เป็นสมณะมีมลทิน เป็นสมณะจอมปลอม เขาเหล่านั้นจะไม่เชื่อว่าพระโพธิสัตว์ลงสู่พระครรภ์มีความบริศุทธเห็นปานนี้ เขาจะประชุมกันแล้วพูดกันว่า 
ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย
 จงดูเถิดท่านทั้งหลาย นัยว่า เมื่อพระโพธิสัตว์ อยู่ในพระครรภ์ของพระมารดาเกลือกกลั้วด้วยฟองอุจจาระปัสสาวะ แต่กลับวิเศษเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาเช่นนี้ กลับพูดว่าพระโพธิสัตว์นั้นออกมาจากพระครรภ์เบื้องขวาของพระมารดา ไม่เปรอะเปื้อนด้วยครรภ์ มลทิน เรื่องนี้เราไม่บูชา ดั่งนี้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คนงมงายเหล่านั้นไม่รู้ดอกว่า กายของผู้ทำกรรมดีทั้งหลาย ย่อมไม่เป็นไปในฟองอุจจาระปัสสาวะ การลงสู่ครรภ์ของสัตว์ผู้ทำความดีเช่นนั้น  มีแต่ความเจริญโดยแท้ จริงอยู่พระโพธิสัตว์ผู้ประทับอยู่ในพระครรภ์เกิดมาในมนุษยโลกก็เพื่ออนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย เป็นเทวดาเสียแล้วจะหมุนธรรมจักรให้เป็นไปไม่ได้ นั่นเพราะเหตุไร ?
 ดูกรอานนท์ เพราะจะไม่ให้สัตว์ทั้งหลายถึงความท้อใจคือท้อใจว่าพระตถาคตเป็นผู้มีภคะ เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นเทวดา พวกเราไม่สามารถที่จะบำเพ็ญให้ถึงฐานะของพระตถาคตได้ ธรรมของคนงมงายเหล่านั้น ซึ่งเป็นโจร จักไม่มีอย่างนี้ว่า พระโพธิสัตว์เป็นสัตว์อจินไตย(คิดไม่ถึง) พระโพธิสัตว์นั้น เราทั้งหลาย ประมาณ(ชั่ง ตวง วัด) มิได้ ดั่งนี้
 ดูกรอานนท์ พวกนั้นเขาจะไม่เชื่อพุทธฤทธิปราติหารยในครั้งนั้น จะป่วยกล่าวไปไยถึงการที่เขาจะเชื่อพระโพธิสัตว์ปราติหารยของตถาคตเมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่เล่า ดูกรอานนท์ คอยดูเถิด คนงมงายพวกนั้น เขาจะปรับปรุงตกแต่งปุณยภิสังสการให้มากขึ้นได้อย่างไร เขาปฏิเสธธรรมทั้งหลายของพระพุทธเสียแล้ว เขาได้ถูกอามิสคือลาภสักการครอบงำเสียแล้ว ติดอยู่ในอุจจาระ ถูกลาภสักการครอบงำไว้แล้ว มีชาติต่ำทราม
                        พระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีภคะ ต่อไปในทางข้างหน้า ขออย่าให้มีภิกษุอย่างนี้แก่ข้าพระองค์เลย ซึ่งเขาละทิ้งสูตรอันเจริญอย่างนี้เหล่านี้เสีย และแล่นไปเป็นปฏิปักษ์
                        พระผู้มีภคะตรัสว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุอยางนี้นั้น ละทิ้งและคัดค้านสูตรเสียแล้ว เขาจะปรับปรุงตกแต่งอภิสังสการอันเป็นบาปอื่นๆเป็นอเนกประการ พวกนี้จะไม่มีประโยชน์ด้วยความเป็นสมณะ (บวชเสียผ้าเหลือง)
                        พระอานนท์ทูลว่า ข้อแต่พระผู้มีภคะ คนที่เป็นอสัตบุรุษเช่นนั้น จะมีคติ(ทางไป) อย่างไร?
                        พระผู้มีภคะตรัสว่า คติใด เป็นไปเพื่อทำให้ความตรัสรู้ของพระพุทธสูญหายไปและเป็นไปเพื่อติเตียนพระพุทธผู้มีภคะทั้งใน อดีต อนาคต ปัจจุบัน คตินั้นแหละพวกเขาจะไปกัน
                        ครั้งนั้นแลพระอานนท์ผู้มีอายุ เกิดขุมขนชูชัน พูดขึ้นว่า นโม พุทธาย (แปลว่าข้าพเจ้าขอนมัสการพระพุทธ) แล้วทูลพระผู้มีภคะว่า ข้าแต่พระผู้มีภคะ ข้าพระองค์ตัวชาไปหมดแล้ว เพราะได้ยินเหตุการณ์ของพวกอสัตบุรุษเหล่านี้
 พระผู้มีภคะตรัสว่า ดูกรอานนท์ คนงมงายพวกนั้น จะไม่มีมารยาทเรียบร้อยเลย สัตว์เหล่านั้นจะมีมรรยาทไม่สม่ำเสมอเขาเหล่านั้นจะตกอเวจีมหานรกเพราะมรรยาทไม่สม่ำเสมอนั้น นั่นเพราะเหตุอะไร ? ดูกรอานนท์ ใครผู้ใด เป็นภิกษุก็ตามภิกษุณีก็ตาม อุบาสกก็ตาม อุบาสิกาก็ตาม เมื่อฟังสูตรทั้งหลายเห็นปานนี้แล้ว ไม่ปลงใจ ไม่เชื่อ ไม่ตรัสรู้ เขาเหล่านั้นจุติแล้วจะตกอเวจีมหานรก ดูกรอานนท์ ใครๆอย่าประมาณตถาคตเลย นั่นเป็นเพราะเหตุไร? ดูกรอานนท์ ตถาคต ใครๆประมาณไม่ได้ มีความลึก ความกว้าง ยากที่จะหยั่งถึง
ดูกรอานนท์ 
 ใครผู้ใดฟังสูตรเห็นปานนี้แล้วเกิดปีติปราโมทย์ เขาเหล่านั้นได้ลาภ คือความเสือมใส ชีวิตของเขาไม่เปล่าประโยชน์ความเป็นมนุษย์ของเขาไม่เปล่าประโยชน์ และเขาเหล่านั้น เป็นผู้ประพฤติประโยชน์เขาได้ยึดถือสาระไว้แล้ว เขาพ้นแล้วจากอบายทั้ง3เขาเหล่านั้นจะเป็นบุตรของตถาคต เขาได้บรรลุกิจการทั้งปวงแล้ว คือการทำกิจการสำเร็จแล้ว เขาเหล่านั้นยึดเหนี่ยวศรัทธาโดยความไม่เปล่าประโยชน์ ก้อนข้าวของราษฎรเขาเหล่านั้น แบ่งเอามาด้วยดี เขาเป็นผู้เลื่อมใสต่อสัตว์ผู้เลิศ เขาตัดบ่วงมารได้แล้ว คงกันการคือสังสารวัฏ เหล่านั้นข้ามพ้นแล้ว ลูกศรคือความโศก เขาก็ถอนออกได้แล้ว วัตถุที่ควรปราโมทย์ยินดี เขาก็ถึงแล้วโดยลำดับ สรณาคมทั้งหลายเขาก็รับไว้ดีแล้ว เขาทั้งหลายเป็นผู้ควรแก่ทักษิณา (ทานที่ให้เพื่อผลอันเจริญ)และผู้ควรบูชา และเขามีความปรากฏอันยากที่จะได้ในโลก เขาเป็นผู้ควรแก่ทักษิณา ซึ่งควรจดจำไว้ นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร?
 จริงดั่งว่า เขาเหล่านั้นเชื่อธรรมของตถาคตซึ่งไม่เป็นศัตรูของโลกทั้งสิ้นในโลกทั้งปวง ดูกรอานนท์ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นประกอบด้วยกุศลมูลอันไม่ต่ำทราม ดูกรอานนท์ เขาเหล่านั้นจะเป็นมิตรเนื่องด้วยเป็นชาติเดียวกันกับตถาคต นั่นเป็นเพราะเหตุไร ? ดูกรอานนท์ บางคนเป็นที่รักเป็นที่เจริญใจเพราะฟังเสียง ไม่ใช่เพราะเห็นรูป ดูกรอานนท์ บางคนเป็นที่รักเป็นที่เจริญใจเพราะเห็นรูป แต่ไม่ใช่เพราะฟังเสียง ดูกรอานนท์บางคนเป็นที่รักเป็นที่เจริญใจเพราะทั้งเห็นรูปและฟังเสียง
 ดูกรอานนท์เธอจงเข้าใจว่าตถาคต เป็นที่รักเป็นที่เจริญใจของคนทั้งหลายบางคนด้วยการฟังเสียง หรือด้วยการเห็นรูปก็ตาม พวกเธอพึงเข้าใจในข้อนี้ว่า ผู้จะเป็นมิตรทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ใช่เนื่องด้วยเป็นชาติเดียวกันกับตถาคต เขาเหล่านั้นต้องเป็นผู้ที่ตถาคตได้เห็นแล้ว ได้ปลดเปลื้องจากเกลศและทุกข์ให้แล้ว เขาเหล่านั้นมีส่วนแห่งคุณสม่ำเสมอ มีส่วนแห่งคุณของตถาคต ตถาคตได้ทำการช่วยเหลือ เขาแล้ว เขาได้ถึงตถาคตเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกแล้ว ตถาคตได้เข้าใกล้เขาแล้ว นั่นแหละจึงเป็นมิตรกันได้ ดูกรอานนท์ เมื่อครั้งตถาคตประพฤติโพธิสัตว์จรรยาในครั้งก่อนๆมีบางคนขออภัยจากสำนักตถาคต เมื่อเขามาขออภัย ตถาคตก็ให้อภัยแก่เขาเหล่านั้นจะป่วยกล่าวไปไยถึงตถาคตได้ตรัสรู้สัมยักสัมโพธิแล้ว ดูกรอานนท์ การประกอบในศรัทธา เป็นการที่ควรทำ ตถาคตบอกให้รู้ข้อนี้ไว้
 ดูกรอานนท์ เวลาที่ตถาคตทำกิจให้แก่เธอทั้งหลาย ตถาคตได้ชำระลูกศรคือมานะ(ความถือตัว)เสียแล้ว ดูกรอานนท์ คนทั้งหลายโดยการฟังข่าวของมิตรยังเดินทางไประหว่างร้อยโยชน์ได้มิใช่หรือครั้นไปถึงแล้วก็ได้รับความสุข เพราะพบมิตรที่ไม่เคยเห็นกัน จะป่วยกล่าวไปใยถึงผู้ที่อาศัยตถาคตปลูกกุศลมูลทั้งหลาย ดูกรอานนท์ ตถาตตเป็นอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ย่อมรู้ว่าสัตว์เหล่านั้นเป็นมิตรดั้งเดิมของตถาคตทั้งหลาย เขาเหล่านั้นเป็นมิตรของเราทั้งหลายดั่งนี้ นั่นเป็นเพราะเหตุอะไร ดูกรอานนท์ นัยว่า มิตรย่อมเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของมิตร มิตรเป็นที่รักของมิตรด้วยวิธีใด มิตรก็ย่อมเป็นที่รักของมิตร(แม้ด้วยวิธีนั้น) เป็นอันว่ามิตรย่อมเป็นที่รักเป็นที่เจริญใจของมิตรนั้น (มิตรจิต มิตรใจ)  เพราะฉะนั้นแล
 ดูกรอานนท์ ตถาคตบอกให้รู้ แจ้งให้รู้ว่า  เธอทั้งหลายจงทำเพียงศรัทธาให้เกิดขึ้นว่า เราจะไม่ติเตียน ในสำนักแห่งพระตถาคตผู้เป้นอรหันต์ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ทั้งหลาย ในอนาคตพระตถาคตเหล่านั้นรู้ว่าเราทั้งหลายเป็นมิตรของท่านสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างไร ท่านก็จะได้ทำให้เต็มได้ ดูกรอานนท์เหมือนกับว่า ใครก็ตามมีลูกชายคนเดียว กำลังอยู่ในวัยอันเจริญ จะต้องได้รับคามโอบอุ้มประคับประคองเป็นอย่างดี เขาผู้นั้นมีเพื่อนฝูงมาก เมื่อเขาตายไป บุตรของเขาก็ไม่ลำบาก เพื่อนฝูงของบิดาเขาจะช่วยกันประคับประคองต่อไป
 ดูกรอานนท์ ตถาคตก็เหมือนกัน ใครก็ตามเชื่อถถือตถาคต ตถาคตก็ต้องช่วยเหลือเขา (เขาเหล่านั้น) เป็นเพื่อนของตถาคตถึงตถาคตเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก และตถาคตมีมิตรมาก มิตรของตถาคตเหล่านั้น พูดจริง ไม่พูดเท็จ ตถาคตไม่ติเตียนมิตรที่พูดจริง ซึ่งเขาเป็นมิตรของตถาคต และพระตถาคตทั้งหลายในอนาคต ก็เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ดูกรอานนท์ การประกอบในศรัทธาเป็นการที่ควรทำ ตถาคตจะบอกเธอทั้งหลายให้รู้แจ้งในข้อนี้
 เพราะฉะนั้นแล เมื่อพระโพธิสัตว์เกิดแล้ว นางอัปสร (นางฟ้า) ทั้งหลายที่อยู่ในฟากฟ้าตั้งหลายหมื่นแสนโกฏิ จึงโปรยปรายดอกไม้ ธูป เครื่องหอม พวงมาลัย เครื่องชโลมทา ผ้า เครื่องประดับอันเป็นของทิพย์ไปยังพระนางมายาเทวี ท่านกล่าวไว้ในข้อนี้ว่า
      22 นางเทพอัปสรทั้งหลาย มีรัศมีเหมือนทอง งามหมดจด บริศุทธเปล่งแสงออกดังดวงจันทร์  และดวงอาทิตย์ นับจำนวนตั้ง 60 แสน ส่งเสียงกังวาลไพเราะ เข้าไปสู่อุทยานลุมพินีนั้น ได้พูดกับพระนางมายาเทวีในขณะนั้นว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระแม่เอย่าเป็นทุกข์ไปเลย จงมีความยินดีเถิด หม่อมฉันทั้งหลายจะคอยดูแลรับใช้พระแม่เจ้าฯ
      23 โปรดบอกมาเถิด หม่อมฉันทั้งหลายจะต้องทำอะไรในกิจการอะไร พระแม่เจ้ามีกิจการอะไร พวกหม่อมฉันมีความสามารถดี จะคอยดูแลรับใช้พระแม่เจ้าหม่อมฉันมีความรักใคร่พระแม่เจ้า ขอพระแม่เจ้าจงมีพระหทัยสูง ประกอบด้วยความยินดี และขออย่าเกิดมีความลำบากเลย วันนี้พระแม่เจ้าประสูติพระกุมารน้อยเป็นแพทย์สูงสุด บำบัดความแก่ และความตายฯ
      24 พระแม่เจ้าจะประสูติพระโอรสนี้สูงสุดในโลก กึกก้องในสวรรค์และในมนุษย์ เหมือนสุมทุมพุ่มไม้รังออกดอกบานสะพรั่งเหล่านี้ และเหมือนเทวดาตั้งพัน ยืนไกวแขนอยู่ข้างๆ และเหมือนแผ่นดินพร้อมด้วยมหาสมุทรกระเทือนด้วยวิการทั้ง 6ฯ
      25 และเหมือนทองที่มีแสงสุกปลั่ง บริศุทธ งาม รุ่งเรือง ดนตรีตั้งร้อย ไม่มีใครไปแตะต้อง ก็ดังขึ้นเองในอากาศ ไพเราะจับใจ และเหมือนดั่งว่าเทพยดาผู้บริศุทธตั้งร้อยตั้งพัน งดงามปราศจากราคะความกำหนัดยินดีในกาม มีจิตใจแช่มชื่น พากันมานมัสการพระโพธิสัตว์ผู้มีประโยชน์ในคนในโลกทั้งปวง ในวันนี้ฯ
      26 องค์สักกะ พรหม เทพโลกบาล และเทวดาอื่นๆ มีใจยินดีแช่มชื่น ได้มายืนประนมมืออยู่ข้างๆ พระโพธิสัตว์ผู้เป็นชายชาติสิงห์นั้นมีพรตอันบริศุทธ(ทรงชำแรก)พระครรภ์ออกมาแล้ว พระองค์มีพรตอันบริศุทธเหมือนภูเขาทอง เสด็จออกมาแล้วเป็นพระนายก(ผู้นำ)ฯ
      27 แม้องค์สักกะ และพรหมทั้ง 2 นั้น ก็เอามือรับพระมุนีอาณาเขตตั้งแสนสั่นสะเทือน เปล่งรัศมีออกมางาม แม้สัตว์ในอบายทั้ง 3 ก็มีความสุข ไม่มีทุกข์เลย เทวดาตั้งแสน ก็โปรยดอกไม้ ทำให้ท้องฟ้าหมุนคว้างฯ
      28 แผ่นดินตรงที่พระโพธิสัตว์ผู้ประกอบด้วยกำลังคือความเพียรประทับอยู่ ก็แข็งเหมือนเพชร(ได้มีแล้วในครั้งนั้น) ดอกบัวงามวิจิตรก็ผุดขึ้นมาตรงที่นายกประทับอยู่ด้วยพระบาททั้งสอง (มีรูปเครื่องหมายกงจักร)พระโพธิสัตว์ย่างไปได้ 7 ก้าว ก็เปล่งพระสุรเสียงกังวาลที่สุดเหมือนเสียงพรหม พระองค์เป็นหมอสูงสุดบำบัดชราและมรณะ เป็นสัตว์สูงสุดเสด็จแล้วฯ
      29 พรหมสูงสุด องค์สักกะผู้สูงสุดกว่าเทวดาทั้งหลาย ยืนอยู่ในพื้นฟ้า สรงสนานองค์พระนายกด้วยน้ำหอมสะอาด งาม และใส แม้นาครราชยืนอยู่ในอากาศไข) ท่อน้ำเย็น น้ำร้อนสองท่องาม เทวดาตั้งแสนก็สรงสนานพระผู้เป็นนายกด้วยน้ำหอมฯ
      30 เทพโลกบาลทั้ง4รีบเข้าไปรับด้วยแขนอันงาม พื้นแผ่นดินมนุษยโลกนี้ ก็สันสะเทือนเคลื่อนไหวอยู่ไปมาฯ
      31 และอบายทั้งหลาย ไม่มีใครไปทำความสะอาด ก็เปล่งแสงสว่างอันงาม เขาเหล่านั้น(ขาวอบาย)ก็ระงับจาเกลศ และความทุกข์ในเมื่อพระนายกพิเศษของโลกเกิดแล้วฯ
      32 เมื่อพระนายกของคนเกิดแล้วในโลกนี้ เทวดาทั้งหลายก็ชัดดอกไม้ไปยังพระองค์ผู้มีความเพียรเป็นพระกำลัง เมื่อพระองค์ผู้กล้าย่างพระบาทไปได้ 7ก้าวฯ
      33 เมื่อพระโพธิสัตว์วางพระบาททั้ง 2 ลงที่ใด ดอกบัวอันประเสริฐงาม ประดับด้วยรัตนะทั้งปวง ก็ผุดขึ้นมารับตถาคตที่นั้นฯ
      34 พระโพธิสัตว์เสด็จไปได้ 7 ก้าว คราวใด คราวนั้น ก็ทรงเปล่งพระสุรเสียงเหมือนเสียงพรหม พระองค์บังเกิดขึ้นมาเหมือนหมอผู้ประเสริฐบำบัดชราและมรณะฯ

      35      พระโพธิสัตว์ผู้คงแก่เรียนมองไปยังทิศแล้วเปล่งพระวาจาซึ่งมีความหมายว่า เราเจริญที่สุด ประเสริฐที่สุด กว่าสัตวโลก(เป็นนายกพิเศษในโลก) และชิตนี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา(ดังนี้)ฯ
      36 เมื่อพระนายกของคนเปล่งพระวาจาอันน่ารื่นเริงแล้ว เทวดาทั้งหลายพร้อมทั้งเทพโลกบาล องค์อินทร์ มีจิตเสื่อมใสได้บูชาพระโพธิสัตว์ผู้กระทำประโยชน์เกื้อกูลแก่โลกทั้งหลาย ด้วยการสรสนานด้วยน้ำหอมอันประเสริฐฯ
      37 อนึ่ง พระยานาคประชุมพร้อมเพรียงกันสรงสนาน (พระโพธิสัตว์) ด้วยท่อน้ำใหญ่อันเลิศมีกลิ่นหอม เทวดาอื่นๆตั้งหมื่น(ยืน)อยู่ในอากาศ ก็เอาน้ำหอมสรงสนานพระสวยัมภู(พระโพธิสัตว์)เพราะพระองค์เป็นผู้ชนะอันเลิศฯ
      38 ร่มขาวกว้าง และจามรอันงาม ก็ตามไปในอากาศ เทวดาทั้งหลายก็พากันสรงสนานพระโพธิสัตว์ผู้เป็นคนดีเลิศฯ
                        ตระกูล 500 ก็ประสูติ
      39 ฝ่ายเจ้าหน้าที่ ก็รีบไปทูลพระราชาศุทโธทนะด้วยความดีใจว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญไพบูลย์เถิด พระโอรสประดับด้วยลักษณะเกิดแล้ว พระโอรสนี้เป็นใหญ่กว่าพระราชาจักรพรรดิ์ปรากฏ(เป็นความเจริญ) แก่ลุลรัตนะ(ตระกูลประเสริฐ) อันใหญ่ยิ่งและไม่มีศัตรูโต้ตอบ เป็นฉัตรเอกในชมพูทวีปฯ
      40 เจ้าหน้าที่คนที่ 2 ไปแล้ว ทูลถามเกี่ยวกัน (พระราชา) ศุทโธทนะโดยลำดับว่า ข้าแต่พระนฤบดี ขอพระองค์จงทรงพระเจริญไพบูลย์ในตระกูลกษัตริย์แห่งศากยทั้งหลายเถิด พระโอรสเกิดแล้ว บุตร 2 หมื่น 5 พันก็เกิดแล้ว ในเรือนแห่งศากยทั้งหลาย ล้วนแต่ยังเป็นเด็กล่อนจ้อนเสมอกัน แต่ประกอบด้วยกำลัง ยากที่ผู้อื่นจะกำจัดได้ฯ
      41 เจ้าหน้าที่คนอื่น ก็ทูลว่า ข้าแต่พระนฤบดี ขอพระองค์โปรดฟังคำแสดงความยินดีของข้าพระองค์ บุตรของมหาดเล็กเกิดแล้ว 800 คน มีกุมารชื่อฉันทกะเป็นประธาน อนึ่ง ม้า 10000 ก็เกิดแล้วเป็นเพื่อนของม้ากัณฐกะ (คือม้ากัฐกะเป็นประธาน) ม้าเหล่านั้นเป็นประธานอันประเสริฐของม้าทั้งหลาย มีแสงเหมือนทอง ผมเหมือนหญ้ามุญชะ (หญ้าซุ้มกระต่าย)เป็นม้าประเสริฐฯ
      42 และพระราชาสามนต์ที่ปกครองอาณาจักรอยู่ชายแดนอีก 20000 ก็เกิดบุตร 20000 เหมือนกัน ข้าแต่พระนฤบดี ขอเชิญเสด็จไปโดยลำดับตามพื้นบาทวิถี สาธุ ขอให้พระองค์ผู้ประเสริฐจงมีชัยชนะ  ข้าแต่พระนฤบดี ขอพระองค์ประทานคำสั่งมาเถิด ข้าพระองค์จะไป หรือจะให้ข้าพระองค์ทำอะไร  พระองค์จงประทับอยู่ที่นี่เถิด จงเสด็จมาถึงแค่นี้เถิด ข้าพระองค์เป็นมหาดเล็กรับใช้ ขอพระนฤบดีจงมีชัยชนะฯ
      43 ช้างตระกูลสูงสุดอีก 20000 รุ่งเรืองด้วยตาข่ายทองได้รีบเข้าไปสู่พระราชวัง แผดเสียงอยู่ในอากาศตกลูก 6000 เป็นลูกช้างดำ และช้างกระ มีช้างชื่อโคเป็นประธาน เมื่อพระโพธิสัตว์ผู้เป็นเทวดาสูงสุดกว่าเทวดาทั้งหลาย ประสูติแล้ว นี่คือความเจริญในพระราชวังฯ
      44 อนึ่ง ข้าแต่พระนฤบดี ขอพระองค์โปรดเสด็จไป ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่(เป็นใหญ่ด้วยเดชแห่งบุญ) ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตรทุกสิ่งทุกอย่างด้วยพระองค์เอง มนุษย์ และเทวดาทั้งหลายพากันดีใจ เพราะเห็นคุณในการเกิดแห่งพระโพธิสัตว์ พระชินเจ้าทั้งหลายผู้มีความเจริญ มีความตรัสรู้อันประเสริฐ ไม่เศร้าโศก ทรงดำรงอยู่เร็วไป(คืออยู่ไม่นาน)ฯ
 กระนั้นแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระโพธิสัตว์เกิดแล้ว ก็มีการบริจาคทานอันยิ่งใหญ่ในขณะนั้น ตระกูล 500ก็ประสูติบุตร หญิงสาวทั้งหลายหมื่นนาง มีนางยโศวดีเป็นประธาน ทาสี(หญิงรับใช้) 800 ทาส(ชายรับใช้) 800 มีนายฉันทกะเป็นประธาน ฬา 10000 ลูกม้า 10000 มีกัณฐกะเป็นประธาน ช้าง 5000 ตกลูกเป็นช้างสีน้ำตาล 5000 สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ พระราชาศุทโธทนะโปรดให้ขึ้นบัญชีไว้เป็นของพระราชทานเพื่อให้เป็นของเล่นของพระกุมาร
 ในท่ามกลางแสนโกฏิแห่งทวีปทั้ง 4 ไม้โพธิได้ปรากฏขึ้นบนพื้นดิน และภายในทวีป(ชมพูทวีป)ได้ปรากฏมีป่าไม้จันทน์ขึ้น ด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์ เพื่อเป็นเครื่องอาศัยใช้สอยของพระโพธิสัตว์ ขุมทรัพย์ 5000 ก็ผุดขึ้นจากพื้นดินให้แลเห็นชอบ อันใดที่พระราชาศุทโธทนะมีพระประสงค์ อันนั้น พระองค์ก็ได้สมประสงค์สำเร็จพร้อมทุกประการ ดั่งนี้แล
 ครั้งนั้นแล พระราชาศุทโธทนะทรงพระดำริว่า เราจะตั้งชื่อกุมารว่าอะไร แล้วก็ทรงพระดำริต่อไปว่า อย่ากระนั้นเลย เราจะตั้งชื่อกุมารนี้ว่า สรฺวารฺถสิทธ เพราะเหตุว่าพอกุมารนี้เกิด ความประสงค์ของเราก็สำเร็จหมดทุกอย่าง ครั้นแล้ว พระราชาได้ทรงกระทำสักการพระโพธิสัตว์  ด้วยเครื่องสักการเป็นอันมาก แล้วทรงตั้งชื่อว่า กุมารนี้จงมีชื่อว่า สรวารถทิทธ (สัพพัตถสิทธะ)
 กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระโพธิสัตว์เกิดแล้ว สีข้างแห่งพระครรภ์ของพระมารดาไม่มีบาดเจ็บ ไม่ถูกกระทบกระเทือน เป็นปรกติเหมือนเดิม บ่อน้ำพุได้ปรากฏแล้วในภพทั้ง 3 ใช่แต่เท่านั้น ยังมีสระโปกขรณี(สระบัว) นำมันหอม 
                       นางอัปสร 5000 ประคองภาชนะน้ำมันอบด้วยกลิ่นหอมทิพย์ เข้าไปเฝ้าพระมารดาพระโพธิสัตว์ ไต่ถามถึงความไม่ลำบากพระกายในการที่พระโพธิสัตว์เกิดง่าย 
                       นางอัปสร 5000 ประคองเครื่องชโลมลูบไล้ทิพย์ เข้าไปเฝ้าพระมารดาพระโพธิสัตว์ ไต่ถามถึงความไม่ลำบากพระกาย ในการที่พระโพธิสัตว์เกิดง่าย 
                       นางอัปสร 5000 ประคองหม้อน้ำเต็มด้วยน้ำทิพย์ เข้าไปเฝ้าพระมารดาพระโพธิสัตว์ ไต่ถามถึงความไม่ลำบากพระกายในการที่พระโพธิสัตว์เกิดง่าย นางอัปสร 
                       5000 ประคองผ้าทิพย์สำหรับเด็กเข้าไปเฝ้าพระมารดาพระโพธิสัตว์ไต่ถามถึงความไม่ลำบากพระกายในการทีพระโพธิสัตว์เกิดง่าย
                       นางอัปสร 5000 ประคองเครื่องแต่งตัวทิพย์สำหรับเด็ก เข้าไปเฝ้าพระมารดาพระโพธิสัตว์ ไต่ถามถึงความไม่ลำบากพระกายในการที่พระโพธิสัตว์เกิดง่าย
                       นางอัปสร 5000 ขับกล่อมประสานเสียงบรรเลงดนตรีทิพย์ เข้าไปเฝ้าพระมารดาพระโพธิสัตว์ไต่ถามถึงความไม่ลำบากพระกายในการทีพระโพธิสัตว์เกิดง่าย
                       และจนกระทั่งฤษีทั้งหลายในชมพูทวีปนี้ ได้อภิญญา5(*1)นอกพระพุทธศาสนา ท่านทั้งปวงเหล่านั้น ได้เหาะมายืนอยู่ข้างหน้าพระราชาศุทโธทนะ ต่างก็เปล่งเสียง ชโย สวัสดี(จงชนะ จงเจริญ)
                        *1 อภิญญา 5 คือ 1 อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ  2 ทิพโสต หูทิพย์  3 เจโตปริยญาณ รู้ความคิดของผู้อื่น  4 ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้ระลึกชาติหนหลังได้  5 ทิพจักษุ ตาทิพย์ คือรู้จุติและการเกิดของสัตว์ทั่วไป
 กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์พอเกิดแล้ว ก็ได้รับสักการะ ได้รับความเคารพ ได้รับความนับถือ ได้รับการบูชา ด้วยการร้องลำทำเพลง ประโคมดนตรีทั้งเป็นของเทวดาและเป็นของมนุษย์ในป่าลุมพินี ตลอด 7 วัน มีการเรียกร้องเชื้อเชิญด้วยของเคี้ยวของกินมีรสอร่อยทั้งหลาย และพวกศากยทั้งปวงก็ประชุมกันเปล่งเสียงแสดงความยินดี ต่างก็พากันให้ทาน ทำบุญ เลี้ยงดูพราหมณ์ 32 แสนทุกวันใคร ต้องการอย่างไรก็ให้อย่างนั้น  และองค์สักกะผู้เป็นใหญ่แก่เทวดาทั้งหลายกับพรหมได้แปลงตัวเป็นคนธรรพ์มานั่งบนอาสนอันเลิศในที่ประชุมพราหมณ์ ได้กล่าวเป็นคำประพันธ์ว่า
      45 อบายทั้งหลาย สงบระงับแล้วด้วยประการใด โลกทั้งปวงมีความสุขด้วยประการใด พระโพธิสัตว์ ผู้นำความสุขอันเที่ยงแท้เกิดขึ้นแล้วและยังโลกให้ตั้งอยู่ในความสุขด้วยประการนั้นๆฯ
      46 อนึ่ง แสงสว่างเกิดจากแสงสว่างแห่งบุณย อันเที่ยงแท้ปราศจากความมืด ด้วยประการใด ครอบงำแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และเทวดา มิให้ส่องสว่าง ด้วยประการนั้นฯ
      47  ตนตาบอดก็มองเห็น คนหูหนวกก็ได้ยิน คนบ้าคลั่งก็ได้สติ พระองค์เป็นเจดีย์ของโลกฯ
      48 พระงองค์เป็นอย่างที่เกลศเบียดเบียนไม่ได้ โลกเกิดไมตรีต่อกัน พระองค์เป็นผู้ควรบูชาของพรหมตั้งโกฏิ โดยไม่ต้องสงสัยฯ
      49 พระองค์เป็นเหมือนไม้รังมีดอกบาน และเหมือนแผ่นดินที่ราบเรียบ เป็นผู้ควรบูชาของโลกทั้งปวงอย่างยั่งยืน พระองค์รู้หมดทุกสิ่งทุกอย่างฯ
      50 เป็นเหมือนโลกที่ปราศจากความยุ่งยากสับสน และเหมือนดอกบัวใหญ่ ที่ผุดขึ้นมา พระองค์จะมีเดชมาก จะเป็นที่พึ่งของโลก  โดยไม่ต้องสงสัยฯ
      51 พระองค์เป็นเหมือนลมอ่อนๆ อบอวลไปด้วยทิพยสุคนธ์ พระองค์จะเป็นแพทย์บำบัดโรคของคนทั้งหลายฯ
      52 พระองค์เหมือนเทวดาเหล่านี้ตั้งร้อยในรูปธาตุ (ชั้นรูปพรหม) ที่ปราศจากราคะแล้ว เทวดาเหล่านั้นจะทำอัญชลีนมัสการพระองค์พระองค์จะเป็นผู้ควรแก่ทักษิณาฯ
      53 พระองค์กระทำให้มนุษย์เห็นเทวดา เทวดาเห็นมนุษย์ ต่างก็มิได้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน พระองค์จะเป็นเหมือนหัวหน้าพ่อค้าเดินทางฯ
      54 พระองค์ทำให้ไฟดับ ทำให้แม่น้ำทั้งหลายหยุดไหล ทำให้แผ่นดินกระเทือนอย่างสุขุม พระองค์เป็นผู้เห็นความจริงอันถ่องแท้ฯ
 กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระโพธิสัตว์เกิดแล้วได้ 7 ราตรี พระนางมายาเทวีผู้เป็นพระมารดา ก็กระทำกาลกิริยา พระนางซึ่งถึงกาละแล้วนั้น ได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นัยว่า พระนางมายาเทวีถึงกาละเป็นความผิดของพระโพธิสัตว์ของพวกเธอทั้งหลายอย่างนี้ แต่พวกเธอทั้งหลายอย่าเข้าใจอย่างนี้เลยนั่นเป็นเพราะเหตุใด? เพราะเหตุว่า นั่นเป็นกำหนดอายุของพระนางเป็นอย่างยิ่งแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถึงพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว พอเกิดได้ 7 ราตรี พระมารดาก็กระทำกาลกิริยา นั่นเป้นเพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงพระเจริญขึ้นมา มีอินทรีย์บริบูรณ์เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ พระมารดาก็จะมีหทัยแตกดับ
                       กระนี้แหละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
                       ในวันที่ 7 พระโพธิสัตว์เสด็จเข้าสู่มหานครกบิลพัสดุ์โดยกระบวนพยุหใหญ่ยิ่งกว่าเมื่อครั้งพระนางมายาเทวีเสด็จจากมหานครกบิลพัสดุ์สู่อุทยาน(ลุมพินี)ตั้งแสนโกฏิเท่า เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จเข้าไปนั้น มีผู้นำหม้อน้ำเต็มด้วยน้ำหอมไปข้างหน้า 5000คน
                       หญิงสาว 5000คนถึอหางนกยูงเดินไปข้างหน้า หญิงสาวอีก 5000 คนถือทางตาลเดินไปข้างหน้า หญิงสาวอีก 5000คน ถือคนโทน้ำหอมเดินไปข้างหน้ารดถนนไปพลาง หญิงสาวอีก 5000คน ถือผ้าโพกพระเศียร(อุษณีษ)เดินไปข้างหน้า
                       หญิงสาวอีก 5000คน ถือพวงมาลัยสดงามเดินไปข้างหน้า และหญิงสาวอีก 5000คน ถือเครื่องประดับอันเจริญล้วนแล้วด้วยรัตนะเดินไปข้างหน้า ทำความสะอาดถนนไปพลาง  หญิงสาวอีก 5000 คน ถืออาสน(เครื่องรองนั่ง) อย่างดีเดินไปข้างหน้า
                       พราหมณื 5000 คน ถือระฆังส่งเสียงมงคลเดินไปข้างหน้า ช้าง 20000 ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงเดินไปข้างหน้า ม้า 20000 คลุมด้วยเครื่องอลังการทองอย่างดีเดินไปข้างหน้า รถ 80000 ประดับด้วยฉัตร ธงชัย ธงปตาก ตาข่ายแขวนลูกพรวนตามหลัง พระโพธิสัตว์
                        ทหารราบ 40000 แกล้วกล้า อาจหาญ รูปงาม สวมเสือเกราะมั่นคงทะมัดทะแมงเดินตามพระโพธิสัตว์ที่เสด็จไป กระบวนพยุหต่างๆมากหลายของเทวบุตรชั้นกามาพจร ชั้นรูปพจร ที่อยู่ในท้องฟ้าตั้งหมื่นแสนโกฏินับไม่ถ้วน ตามบูชาพระโพธิสัตว์
                        รถประเสริฐซึ่งพระโพธิสัตว์ประทับนั้น เทวบุตรชั้นกามาพจรทั้งหลายช่วยกันประดับด้วยกระบวนพยุหมากมายใหญ่หลวง นางเทพกันยา 20000 ประดับด้วยเครื่องประดับพร้อมสรรพถือสายพวนรัตนะลากรถนั้นไป ท่ามกลางระหว่างนางอัปสร 2คน มีหญิงสาวมนุษย์ 1 คนคั่น
                        ท่ามกลางหญิงสาวมนุษย์ 2คน มีนางอัปสร 1 คนคั่น นางอัปสรก็ไม่เหม็นสาปหญิงมนุษย์ และหญิงมนุษย์เห็นรูปนางอัปสรแล้วก็ไม่หลงไหลเคลิบเคลิ้ม ทั้งนี้เป้นด้วยอานุภาพแห่งเดชของพระโพธิสัตว์
                        กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลายศากยประมาณ 500 ได้สร้างตำหนัก 500 เพื่อพระกุมารสัพพัตถสิทธะ ในบุรีกบิลพัสดุ์อันประเสริฐ อุทิศต่อพระโพธิสัตว์ ศากยเหล่านั้น ยืนอยู่ที่ประตูตำหนักของตนๆ ประนมมือน้อมกายลงแสดงความเคารพพระโพธิสัตว์ผู้เสด็จเข้าสู่พระนคร และทูลว่า
 ข้าแต่สัพพัตถสิทธะผู้เจริญ ของเชิญเสด็จเข้าตำหนักนี้เถิด ข้าแต่เทพผู้เป็นใหญ่กว่าเทวดาผู้เจริญ ขอเชิญเสด็จเข้าตำหนักนี้เถิด ข้าแต่พระผู้เป็นสัตว์บริศุทธผู้เจริญ ขอเชิญเสด็จเข้าตำหนักนี้เถิด ข้าแต่พระผู้เป็นสารถีประเสริฐผู้เจริญ ขอเชิญเสด็จเข้าตำหนักนี้เถิด ข้าแต่พระผู้ทำปีติและปราโมทย์ผู้เจริญ ขอเชิญเสด็จเข้าตำหนักนี้เถิด ข้าแต่พระผู้มียศไม่มีที่ติผู้เจริญ ขอเชิญเสด็จเข้าตำหนักนี้เถิด ข้าแต่พระผู้มีจักษุรอบด้านผู้เจริญ ขอเชิญเสด็จเข้าตำหนักนี้เถิด ข้าแต่พระผู้ไม่มีใครเสมอผู้เจริญ ขอเชิญเสด็จเข้าตำหนักนี้เถิด ข้าแต่พระผู้คุณและเดชไม่มีใครเหมือน มีพระกายประดับด้วยลักษณะและอนุพยัญชนะ(ลักษณะส่วนย่อยของร่างกาย) ผู้เจริญ ขอเชิญเสด็จเข้าตำหนักนี้เถิด ครั้นแล้ว เพราะอาศัยเหตุนี้ พระกุมารผู้ยังประโยชน์ทั้งปวงให้สำเร็จ จึงทรงพระนามว่า สรวารถสิทธ
 พระราชาศุทโธทนะให้พระโพธิสัตว์เข้าในตำหนักทุกแห่ง เพื่อเอาใจศากยเหล่านั้น สิ้นเวลาถึง 4 เดือน จึงให้พระโพธิสัตว์เสด็จเข้าในตำหนักของพระองค์ พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นสู่มหาปราสาทชื่อ นานารัตนพยุห ศากยผู้เฒ่าๆทั้งหลายในที่น้นจึงประชุมกัน พิจารณาความเห็นว่า สตรีคนไหนที่สามารถเลี้ยงดู เป็นเพื่อนเล่ารักใคร่พระโพธิสัตว์ด้วยจิตเอื้อเฟื้อ ด้วยจิตเมตตา ด้วยจิตเป็นคุณ ด้วยจิตสุภาพอ่อนโยนในที่นั้น มีหญิงสาวศากยประมาณ 500 คน แต่ละคนพูดอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้า จะบำรุงเลี้ยงพระกุมาร
 ในที่นั้น มีศากยผู้เฒ่าๆพูดกันว่า สตรีทั้งปวงเหล่านี้ ยังสาว ยังใหม่ ยังหนุ่มเหน้า ยังรุ่น ยังเมในรูป และในความเป็นสาวอยู่ เขาเหล่านี้ไม่สามารถบำรุงเลี้ยงพระโพธิสัตว์ตลอดเวลาได้ แต่ว่า พระนางมหาประชาบดีโคตมีนี้แหละ เป็นน้องหญิงของพระมารดาพระกุมาร พระนางนี้สามารถจะบำรุงเลี้ยงดูพระกุมารให้ได้รับความสุขเป็นอย่างดีและจะรับสนองพระราชาศุทโธทนะอีกด้วย ศากยทั้งปวงเหล่านั้นพร้อมใจกันอย่างนี้แล้ว จึงมอบหน้าที่ให้พระนางมหาประชาบดีโคตมี ดังนั้นแล พระนางมหาประชาบดีโคตมีจึงบำรุงเลี้ยงพระกุมาร พระราชาศุทโธทนะจึงแต่งตั้งสาวรับใช้อีก 32 คน เพื่อประโยชน์แด่พระโพธิสัตว์นั้น คือสาวรับใช้เกี่ยวกับร่างกาย 8 คน สาวรับใช้เกี่ยวกับน้ำนม 8 คน สาวรับใช้เกี่ยวกับทำความสะอาดร่างกาย 8 คน สาวรับใช้เกี่ยวกับการเล่นหัว 8  คน
                        ครั้งนั้น พระราชาศุทโธทนะได้ประชุมคณะศากยทั้งหมด พิจารณาว่า พระกุมารนี้ จะเป็นพระราชาจักรพรรดิ์หรือจะออกบรรพชา
 ในสมัยนั้น มีพระฤษีตนหนึ่ง ได้สำเร็จอภิญญา 5 อาศัยอยู่ข้างขุนเขาหิมพานต์กับมาณพผู้เป็นหลานชื่อนรทัต พระมหาฤษีได้เห็นปราติหารยของพระโพธิสัตว์เพียงแต่เกิดออกมาเท่านั้น แปลกประหลาดเป็นอันมาก ไม่เคยมีมาแล้ว  ได้เห็นเทวบุตรทั้งหลายที่อยู่ในท้องฟ้าท่องเที่ยวไปมนอากาศ ประกาศให้ได้ยินคำว่า พุทธะและเห็นเทวบุตรทั้งหลายท่องเที่ยวไปบรรเทิงใจจากที่นี่ที่นั่น จึงเกิดความคิดขึ้นว่า อย่ากระนั้นเลยเราต้องพิจารณาดูสิ่งนี้ แล้วท่านอสิตมหาฤษีก็เล็งทิพยจักษุไปทั่วชมพูทวีป ก็แลเห็นพระกุมารในพระราชวังของพระราชาศุทโธทนะ ในมหาบุรีกบิลพัสดุ์อันประเสริฐซึ่งได้เกิดมาแล้ว รุ่งเรืองด้วยเดชคือบุณยตั้งร้อย  โลกทั้งปวงบูชาแล้ว มีพระวรกายประดับด้วยมหาปุรุษลักษณะ 32 ประการ ครั้นเห็นแล้วจึงเรียกนรทัตมาณพมาว่า
ดูกรมาณพ
 เจ้ารู้ไหมว่า มหารัตนะ(แก้วดวงใหญ่)เกิดขึ้นแล้วในโลก พระกุมารในพระราชวังของพระราชาศุทโธทนะ โนมหานครกบิลพัสดุ์เกิดแล้ว รุ่งเรืองด้วยเดชคือบุณยตั้งร้อย โลกทั้งปวงบูชาแล้วด้วยมหาปุรุษลักษณะ32 ประการ ถ้าพระกุมารนั้นอยู่ครองเรือน ก็จะเปป็นพระราชาจักรพรรดิ์ประกอบด้วยองค์ 4 เป็นผู้ชนะพิเศษ เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เป็นพระธรรมราชา รัตนะ 7 ประการ ของพระราชาจักรพรรดิ์นั้น นั่นคือ จักรรัตนะ หัสติรัตนะ อัศวรัตนะ มณีรัตนะ สตรีรัตนะ คฤหบดีรัตนะ ปริณายกรัตนะ
 พระกุมารนั้นสมบูรณ์ด้วยรัตนะ 7 ประการอย่างนี้ และจะมีโอรส 1000 องค์ แกล้วกล้า อาจหาญ รูปงาม สามารถย่ำยีทหารฝ่ายอื่น พระกุมารนั้นจะครอบงำชนะมหาปฐพีมณฑล มีมหาสมุทรเป็นคูเมือง ด้วยกำลังเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ โดยปราศจากการลงโทษ และโดยปราศจากศาสตรา จะครองราชสมบัติโดยไอศวรยาธิปติถ้าพระกุมารนี้ออกจากเรือนไปสู่ความไม่มีเรือน จะได้เป็นตถาคต อรหันสัมยักสัมพุทธะ เป็นผู้นำ ไม่ต้องมีผู้อื่นนำ เป็นศาสดา เป็นผู้ตรัสรู้ในโลก เพราะฉะนั้นเราทั้ง 2 ควรเข้าไปเฝ้าเพื่อจะเยี่ยมพระกุมารนั้นในกาลบัดนี้
 ครั้งนั้นแล พระอสิตมหาฤษีกับนรทัตผู้เป็นหลานได้เหาะโลดลอยไปในพื้นอากาศเหมือนพระยาหงส์ ตรงไปยังมหานครกบิลพัสดุ์ ครั้นถึงแล้ว สำรวมฤทธิ์ไว้แล้วจึงเดินเข้าไปยังมหานครกบิลพัสดุ์เข้าไปยังพระนิเวศน์ของพระราชาศุทโธทนะ ยืนอยู่ที่ประตูพระราชวังแห่งพระราชาศุทโธทนะ
 กระนั้นแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอสิตมหาฤษี ได้แลเห็นคนหลายแสนซึ่งประชุมกันอยู่ที่ประตูพระราชวังของพระราชาศุทโธทนะ ครั้งนั้นแล พระอสิตมหาฤษีได้เข้าไปพูดกับยามประตูว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ ท่านจงไปทูลพระราชาศุทโธทนะว่า ฤษีมายืนอยู่ที่ประตู  ยามประตูรับทราบคำของอสิตมหาฤษีว่า ขอรับกระผม ดังนี้ จึงเข้าเฝ้าพระราชาศุทโธทนะ ครั้นถึงแล้วได้ประนมมือทำอัญชลีกรรม ทูลพระราชาศุทโธทนะว่า ข้าแต่พระนฤบดี ขอพระองค์โปรดทราบ พระฤษีชราแก่แล้ว เป็นผู้เฒ่า ยืนอยู่ที่ประตู และพูดว่า ใคร่จะเฝ้าพระราชา ครั้งนั้น พระราชาศุทโธทนะจึงได้จัดอาสนเพื่อพระอสิตมหาฤษี แล้วตรัสสั่งบุรุษนั้นว่า พระฤษีเข้ามาได้ บุรษนั้นจึงกลับออกไปจากสำนักพระราชาแล้ว บอกพระอสิตมหาฤษี เชิญเข้าไปได้
 คร้งนั้นแล อสิตมหาฤษีเข้าไปยังที่พระราชาศุทโธทนะประทับอยู่นั้น ครั้นแล้วจึงยืนอยู่เบื้องหน้า ทูลพระราชาศุทโธทนะว่า ชโย ชโย มหาราช ขอพระองค์จงทรงพระชนม์ยืนนาน จงปกครองประชาชนยั่งยืน จงเสวยราชสมบัติโดยธรรม ครั้งน้น พระราชาศุทโธทนะ ได้ทรงทำการบูชาด้วยคำร้อยกรองอันบูชาพระอสิตมหาฤษี และทรงประคองอัญชลีกรรมว่า สาธุ ดียิ่งแล้ว แล้วตรัสเชิญให้อาสนเมื่อทรงทราบว่าพระอสิตมหาฤษีนั่งเรียบร้อยแล้ว ทรงแสดงความเคารพยอบพระกายลงตรัสถามว่า ข้าแต่พระฤา ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าได้พบกับพระคุณเจ้า ฉะนั้น พระคุณเจ้ามาที่นี่โดยประสงค์อะไร ประโยชน์อะไรหรือ?
                        เมื่อพระราชตรัสดั่งนี้แล้ว พระอสิตมหาฤษีจึงทูลพระราชาศุทโธทนะว่า ข้าแต่มหาราช พระโอรสของพระองค์เกิดแล้วมิใช่หรือ อาตมาใคร่จะเห็น จึงมาที่นี่
                        พระราชาตรัส ข้าแต่มหาฤษี กุมารยังหลับอยู่ โปรดคอยสักครู่ จนกว่ากุมารจะตื่น
                        พระฤษีพูด ข้าแต่มหาราช มหาบุรุษเช่นนี้หลับไม่นาน สัตบุรุษเช่นนี้มีปรกติตื่นอยู่เสมอ
                        ดั่งนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทรงทำเครื่องหมายการตื่นนอนเพื่ออนุเคราะห์พระอสิตมหาฤษี 
                        ครั้งนั้นแล พระราชาศุทโธทนะ จึงประคองพระกุมารสรวารถสิทธ ด้วยมือทั้ง 2 อย่างดีเลิศ แล้วนำมายังสำนักสำนักพระอสิตมหาฤษี
 ดั่งนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอสิตมหาฤษี แลดูพระโพธิสัตว์เห็นพระวรกายพระโพธิสัตว์งามวิจิตรด้วยอนุพยัญชนะ(ลักษณะส่วนย่อย) 80 อย่าง  ประกอบด้วยมหาปุรุษลักษณะ 32 ประการ เป็นพระวรกายที่งามเกินกว่ากายขององค์สักกะ พรหมโลกบาล มีเดชเกิดกว่าเดชของดวงอาทิตย์ตั้งแสนดวง งามทั่วทุกอวัยวะ  ครั้นเห็นแล้ว จึงเปล่งอุทานออกมาว่า โอ พระกุมารองค์นี้เป็นบุทคลอัศจรรย์ ปรากฏในโลก โอ พระกุมารองค์นี้ เป็นบุทคลมหัศจรรย์ปรากฏในโลก
 ครั้นแล้ว จึงลุกขึ้นจากอาสนกระทำกระพุ่มมือกราบลงที่พระบาทั้ง 2 ของพระโพธิสัตว์แล้วทำประทักษิณ แล้วประคองพระโพธิสัตว์ไว้บนตักก้มลงเพ่งพินิจอยู่ พระอสิตมหาฤษีนั้น ได้เห็นมหาปุรุษลักษณะ 32 ประการ ของพระโพธิสัตว์ ซึ่งแสดงว่า บุรุษบุทคลผู้ประกอบด้วยมหาปุรุษลักษณะนี้จะมีคติเป็น 2 จะมิได้เป็นอย่างอื่น คือถ้อยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระราชาจักรพรรดิ์ ประกอบด้วยองค์ 4 โดยไอศวรยาธิปติดั่งได้กล่าวมาก่อนแล้ว ถ้าออกจากเรือนไปสึ่ส่ความไม่มีเรือน จะได้เป็นพระตถาคต มีชื่อเสียงกึกก้องเป็นพระสัมยักสัมพุทธะ พระอสิตมหาฤษี ครั้นดูพระกุมารนั้นแล้ว ก็ร้องไห้น้ำตาไหลสะอึกสะอื้น
 พระราชาศุทโธทนะ ทอดพระเนตรเห็นพระอสิตมหาฤษีร้องไห้ และน้ำตาไหลสะอึกสะอื้น ครั้นแล้วก็เกิดมีขุมพระโลมาลุกชูชัน  กระอักกระอ่วนพระทัย มีพระทัยสลดหดหู่ ตรัสกับพระอสิตมหาฤษีว่า  ข้าแต่พระฤษี อะไรกันนี่ พระคุณเจ้าร้องไห้น้ำตาไหล และสะอึกสะอื้น ขอย่างมีความกงวลยุ่งใจใดๆ เกี่ยวแก่กุมารเลย
 พระราชาศุทโธทนะตรัสดังนี้แล้ว พระอสิตมหาฤษีจึงทูลพระราชาศุทโธทนะว่า ข้าแต่มหาราช อาตมามิได้ร้องไห้ด้วยเหตุแห่งพระกุมารดอก และแม้ความกังวลยุ่งใจใดๆ เกี่ยวแก่พระกุมารนี้ก็ไม่มี แต่อาตมาร้องไห้กับตนเอง นั่นเป็นเพราะเหตุใด?
 ข้าแต่มหาราช เพราะอาตมา ชราแล้ว แก่แล้ว เป็นผู้เฒ่าแล้ว แต่พระกุมารสรวรถสิทธนี้จะตรัสรู้อนุตตรสัมยักสัมโพธิอย่างแน่นอน  และครั้นตรัสรู้แล้วก็หมุนอนุตรธรรมจักรให้เป็นไป  ซึ่งสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร  หรือคนอื่นๆใดอันมีธรรมร่วมกันในโลกหมุนไม่ได้ พระองค์จะแสดงธรรม เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของโลกพร้อมทั้งเทวดา ซึ่งเป็นธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด พระองค์จะประกาศธรรมพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ(เนื้อความ) มีพยัญชนะถูกต้องดีบริบูรณ์ บริศุทธ สะอาดอย่างสิ้นเชิง
 สัตว์ทั้งหลายผู้มีการเกิดขึ้นมาแล้วเป็นธรรมดาได้ฟังธรรมนั้นจากพระกุมารนี้แล้ว ก็จะปลดเปลื้อง(พ้น) จากการเกิด เช่นเดียวกัน เขาจะปลดเปลื้องจาก ชรา พยาธิ  มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส(ความเหนื่อยใจ) พระองค์จะทำความชุ่มเย็นด้วยน้ำฝนคือพระสัทธรรมให้แก่สัตว์ทั้งหลายผู้เร่าร้อนด้วยไฟคือความรัก ความชัง ความหลง จักนำสัตว์ทั้งหลายผู้แล่นไปสู่ป่าชัฏคือ ทิฏฐิผิดต่างๆ ผู้ดำเนินไปในทางผิด ให้เข้ามาสู่ทางนิรวาณ  โดยทางตรง จะกระทำสัตว์ทั้งหลายผู้ที่ถูกมัดด้วยเครื่องมือคือเกลศ ได้แก่เครื่องกักกันคือ  กรงขัง ตะราง ในสังสารวัฏ ให้หลุดพ้นจากเครื่องผูดมัด พระองค์จะทำให้สัตว์ทั้งหลายผู้มีนัยน์ตาถูกแผ่นแห่งความมืดและหมอกคืออัญญาณหุ้มไว้แล้ว ให้เกิดปรัชญาจักษุ พระองค์จะถอนลูกศรของสัตว์ทั้งหลายที่ถูกศรคือเกลศเสียบอยู่แล้ว
 ข้าแต่มหาราช ข้อนี้เปรียบเหมือนดอกมะเดื่อจะเกิดขึ้นในโลกยากยิ่งนักฉันใด ช้าแต่มหาราช พระพุทธทั้งหลายผู้มีภคะก็ฉันนั้น  จะเกิดขึ้นในโลกก็ยางยิ่งนัก นับด้วยหลายหมื่นโกฏิกัลป พระกุมารนี้จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมยักสัมโพธิ ตรั้นตรัสรู้แล้ว ก็จะทำให้สัตว์ทั้งหลายนับด้วยหมื่นแสนโกฏิให้ข้ามพ้นฝั่งจากทะเลคือสังสารวัฏให้ตั้งอยู่ในอมฤตะ และพวกอาตมาจะไม่ทันเห็นพระพุทธรัตนะนั้น ด้วยเหตุนี้แล ข้าแต่มหาราช อาตมาจึงร้องไห้ มีใจหดหู่ ถอนหายใจยาว อาตมมิได้คิดร้ายพระกุมารนี้ในความสุขสำราญ
 ข้าแต่มหาราช ลักษณะของพระกุมารมีมาในคัมภีร์มนตร์และเวทของอาตมาว่า พระกุมารสรวารสิทถธจะไม่ได้ครองฆราวาส นั่นเพราะเหตุไร ข้าแต่มหาราช เพราะพระกุมารสรวารถสิทธประกอบด้วยมหาปุรุษลักษณะ คือลักษณะของมหาบุรุษ 32 ประการ มหาปุรุษลักษณะ 32 ประการนั้น คืออะไรบ้าง? ,มหาปุรุษลักษณะ 32 ประการนั้น คือ ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธ
               (1) อุษณีษศีรษะ มีพระเศียรรูปเหมือนโพกผ้า หรือเหมือนสวมมงกุฎ คือพระเศียรสูง   พระกุมารสรวารถสิทธประกอบด้วยมหาปุรุษลักษณะนี้เป็นข้อต้น
               (2) ภินนาญชนมยูรกลาปาภินีลวลลิตปรทกษิณาวรตเกศะ พระเกษาแยกเส้นกันสีเขียวเข้าเหมือนสียาป้ายขอบตาหรือสีดอกอัญชัญ หรือสีโคนหางนกยูง ขมวดเวียนขวา
               (3) สมวิปุลลลาฏะ พระนลาฏ(หน้าผาก)กว้างเรียบ
               (4) อูรณาภรุโวมเธยชาตาหิมรชตปรกาศา ข้าแต่มหาราช ขนอ่อนเกิดที่หว่างคิ้ว (อุณาโม) ของพระกุมารสรวารถสิทธ สีขาวเหมือนน้ำค้างหรือเงินยวง
               (5) โคเปกษมเนตระ  พระเนตรมีขอบเหมือนขอบตาวัว
               (6) อภินีลเนตระ พระเนตรสีเขียวเข้ม
               (7) สมจตวารึศททนตะ มีพระทนต์ (ฟัน) 40 ซี่เท่าๆกัน
               (8) อวิรลทนตะ ซี่พระทนต์ชิดกัน
               (9) ศุกลทนตะ พระทนต์ขาวสะอาด
               (10) พรหมสวร ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธมีเสียงไพเราะเหมือนเสียงพรหม
               (11) รสรสาครวาน ปรายพระชิวหารู้รสไว
               (12) ปรภูตตนุชิหวะ  พระชิวหาแผ่ออกได้มาก
               (13) สีหหนุ พระหนุ(คาง) เหมือนคางราชสีห์
               (14 สุสํวฤตตสกรธะ มีพระกายสำรวมอินทรีย์เป็นอย่างดี
               (15)  สปโตตสทะ มีพระมังสา(เนื้อ)อูมนูน 7 แห่ง
               (16)จิตานุตรำสะ พระอังสา (ไหปลาร้า) มีเนื้อเต็ม
               (17) สูกษม สุวรณรณจวิ พระฉวี(ผิว)ละเอีดยมีสีเหมือนสีทอง
               (18) สถิโต ' นวนตปรลมพพาหุ พระกายยืนตรงไม่คดค้อม พระพาหา(แขน) ยาว
               (19) สึหปูรวารธกายะ พระกายท่อนบนเหมือนท่อนขนของราชสีห์
               (20)  นยโครธปริมณฑโล ข้าแต่มหาราชพระกุมารสรวารถสิทธมีปริมณฑลเหมือนปริมณฑลของต้นไทย
               (21) เอไกกโรมา มีพระโลมา(ขน)ขุมละเส้น
               (22) อุรธวาคราภิปรทกษิณาวรตโรมา พระโลมาเวียนขวา ปลายพระโลมาชี้ขึ้นบน
               (23) โกโศปคตพสติคุหยะ พระคุยหะ(เครื่องเพศ) ซ่อนอยู่ในฝัก
               (24) สุวิวรติโตรุ ต้นพระชงฆ์(ขาท่อนบน)กลมงาม
               (25) เอเณยมฤคราชชงฆะ พระชงฆ์(ขาท่อนล่าง)เหมือนแข้งพระยาเนื้อทราย
               (26) ทีรฆางคุลิ นิ้วพระหัตถ์ นิ้วพระบาทยาว
               (27) อายตปารษณิปาทะ ประปรัษณี(ซ่นเท้า) ยาว
               (28) อุตสงคปาทะ พระบาทลาดขึ้นสูง
               (29) มฤทุตรุณหสตปาทะ พระหัตถ์พระบาทนุ่มสด
               (30) ชาลางคุลีหสตปาทะ นิ้วพระหัตถ์นิ้วพระบาท และพระหัตถ์พระบาทมีรูปลายตาข่าย
               (31) ทีรฆางคุลิรธะกรมตลโยร จเกรชาเต จิเตร สหสราเร สเนมิเก สนาภิเก ข้าแต่มหาราช พระบาททั้ง 2 ของพระกุมารสรวารถสิทธ ลาดต่ำลงโดยลำดับ นิ้วพระบาทยาว เกิดมีลายกงจักรอันวิจิตร (สีขาวมีประกายเหมือนเปลวไฟ) มีซี่ 1000 พร้อมด้วยกงและดุม
               (32) สุปรติษฐิตสมปาโท ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธ มีพระบาทแนสนิทกับพื้นเป็นอย่างดี
                        ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธ  ประกอบด้วยมหาปุรุษลักษณะ 32 ประการนี้
                        ข้าแต่มหาราช ลักษณะชนิดนี้ มิได้มีแก่พระราชาจักรพรรดิ์ทั้งหลาย แต่ลักษณะเช่นนี้ย่อมมีแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
 ข้าแต่มหาราช ยังมีอีก อนุพยัญชนะ (อวัยวะส่วนปลีกย่อย) 80 ประการในพระกายของพระกุมารสรวารถสิทธ ประกอบด้วยลักษณะทั้งหลาย ซึ่งพระกุมารสรวารถสิทธไม่ควรอยู่ครองเรือนเป็นฆราวาส พระองค์จะเสด็จออกบรรพชาโดยแน่แท้ ข้าแต่มหาราช อนุพยัญชนะ 80 ประการนั้นคืออะไร? อนุพยัญชนะ 80 ประการนั้น คือ ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธ
               (1) ตุงคนขะ มีเล็บนูน ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธ
               (2) ตามรนขะ เล็บแดง
               (3) สนิคธนขะ เล็บอ่อนเป็นเงางาม
               (4) วฤตตางคุลิ นิ้วพระหัตถ์นิ้วพระบาทกลม
               (5)  อนุปูรวจิตรางคุลิ นิ้วพระหัตถ์นิ้วพระบาทงามเรียว
               (6) คูฒศิระ พระเศียรราบเรียบ
               (7) คูฒคุลผะ  พระโคปกะ(ตาตุ่ม)ราบเรียบ
               (8) ฆนสนธี  ข้อต่อมั่นคงแข็งแรง
               (9) อวิษมปาทะ พื้นพระบาทเสมอกัน
               (10) อายตปารษณิศะ  มีซ่นพระบาทยาว ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธ
               (11) สนิคธปาณิเลขะ มีลายพระหัตถ์ละเอียด งาม
               (12) ตุลยปาณิเลขะ มีลายพระหัตถ์เท่ากัน (ทั้งสองข้าง)
               (13)คัมภีรปาณิเลขะ มีลายพระหัตถ์ลึก
               (14) อชิหมปณิเลขะ มีลายพระหัตุ์ไม่คด
               (15) อุปูรวปาณิเลขะ มีลายพระหัตุ์เรียวตามลำดับ
               (16) พิมโพษฐะ มีริมพระโอษฐ์แดงดั่งผลตำลึงสุก
               (17) โนจจาวจศพทะ พระสุรเสียงไม่ดัง
               (18) มฤทุตรุณตามรชิหวะ มีพระชิวหาอ่อนและแดงสด
               (19) คชครชิตาภิสตนิตเมฆสวรมธุรมญชุโฆษะ มีพระสุรเสียงก้องเหมือนช้างร้อง และเมฆกระหึ่ม แต่หวาน และอ่อนโยนไพเราะ
               (20)  ปริปูรณวยญชนะ ตรัสได้ชัดเจนถูกต้องเต็มตามพยัญชนะ ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธ
               (21) ปรลมพพาหุ มีพระพาหายาว
               (22) ศุจิคาตรวสุ ตุสํปนนะ สมบูรณ์ด้วยพระกายวัสดุอันสะอาดบริศุทธ
               (23) มฤทุคาตระ มีพระกายนิ่ม
               (24) วิศาลคาตระ มีพระกายกว้าง
               (25) อทีนคาตร มีพระกายไม่ซูบซีดแดลูเป็นสง่าบ่งว่าเป็นผู้มีบุญ
               (26) อนุปูรโวนนตคาตร มีพระกายสูงเรียวขึ้นเป็นลำดับ
               (27) สุสมาหิตคาตระ มีพระกายตั้งขึ้นมั่นคงเป็นอย่างดี
               (28) สุวิภกตคาตร มีพระกายได้ส่วนสัดดี
               (29) ปฤถุวิปุลสุปริปูรณชานุมณฑละ มีพระชานุมณฑล(ตัก)หนา กว้าง เต็ม เป็นอันดี
               (30)วฤตตคาตร มีพระกายกลม   ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธ
               (31) สุปริมฤษฏคาตร มีพระกายเกลี้ยงเกลาดี
               (32) อชิหมวฤษภคาตร มีพระกายเหมือนโคผู้
               (33) อนปูรวคาตร มีพระกายเรียวไปเป็นลำดับ
               (34) คมภีรนาภิ มีนาภีเลีก
               (35) อชิหมนาภิ มีนาภีไม่บิดเบี้ยว
               (36) อนุปูรวนาภิ พระนาภีมีกลีบเป็นชั้นๆลึกลงไปโดยลำดับ
               (37) ศุจยาจาระ มีระเบียบมรรยาทสะอาดงาม
               (38) ฤษภวตสมนตปรสาทิกะ กิริยาท่าทางงามเหนือนโคตัวผู้
               (39) ปรมสุวิศุทธวิติมิราโลกสมนตปรภะ มีพระกายบริศุทธผุดผ่องเหมือนดวงอาทิตย์ฉายแสงในที่มืด
               (40) นาควิลมพิตคติ ทรงพระดำเนินแช่มช้อยเหมือนช้างเดิน ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธ
               (41) สีหวิกรานตคติ ทรงย่างกรายองอาจเหมือนสิงห์
               (42) (ษภวิกรานตคิต ทรงย่างกรายองอาจเหมือนโคผู้
               (43) หํสวิกรานตคติ ทรงย่างกรายละมุนละม่อมเหมือนหงส์ย่างก้าว
               (44) อภิปรทกษิณาวรตคติ ทรงพระดำเนินมีมารยาทแสดงท่าเคารพอย่างดียิ่ง
               (45) วฤตตกุกษิ พระอุทร(ท้อง)กลม
               (46) มฤษฏกุกษิ  พระอุทรเกลี้ยงเกลา
               (47) อชิหมกุกษิ พระอุทรไม่คดค้อม
               (48) จาโปทระ พระอุทรนูนโค้งเหมือนคันธนู
               (49) วยปคตฉนทโทษะนีลกาลกาทุษฏศรีระ พระกายปราศเครื่องทำให้รัก และเครื่องทำให้ชัง (คือปราศจากเครื่องเสริมสวย และเครื่องเปรอะเปื้อน) และปราศจากเครื่องประทุษร้ายผิวคือปานและไผ
               (50) วฤตตทํษฏระ มีพระทาฐะ (เขี้ยว) ซี่กลม ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธ
               (51) ตีกษณทํษฏระ มีพระทาฐะคม
               (52) อนุปูรวทํษฏระ พระทาฐะเรียวเป็นลำดับ
               (53) ตุงคนาสะ พระนาสิก(จมูก)โด่ง
               (54) ศุจินยนะ พระเนตรแจ่มใสสะอาด
               (55) วิมลนยนะ พระเนตรไม่ขุ่นมัว
               (56) ปรหสิตนยนะ พระเนตรยิ้มแย้มร่าเริง
               (57) อายตนยนะ พระเนตรยาว
               (58) วิศาลนยนะ พระเนครกว้าง
               (59) นีลกุลวยทลสทฤศนยนะ พระเนตรเหมือนกลีบบัวเขียว
               (60)สหิตภรู พระโขนง(คิ้ว)ดก ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธ
               (61 จิตรภรู มีพระโขนงงาม
               (62)อสิตภรู พระโขนงดำ
               (63) สํคตภรู พระโขนงต่อกัน
               (64) อนุปูรวภรู พระโขนงเรียวเป็นลำดับ
               (65) ปีนคณฑะ พระกโปล(แก้ม)เต็ม
               (66) อวิษมคณฑะ พระกโปลเท่ากันทั้งสองข้าง
               (67) วยปคตคณฑโทษะ พระกโปลปราศจากโทษ(คือไม่เป็นริ้วรอยสิวฝ้า)
               (68) อนุปหตกรุษฏะ ไม่แสดงพระพักตร์เหี้ยมเกรียม
               (69) สุทิทิเตนทริยะ มีประสาทอินทรีย์รับความรู้ไว
               (70)สุปริปูรเณนทริยะ มีอินทรีย์ครบบริบูรณ์ (คือมีตา หู จมูก ลิ้น กายหรือผิวหนัง ใจ บริบูรณ์ดี) ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธ
               (71)สํคตมุขลลาฏะ มีพระนลาต(หน้าผากรัรบกับพระพักตร์
               (72) ปริปูรโณตตมางค มีพระเศียรอูมเต็ม
               (73) อสิตเกศะ มีพระเกศาดำ
               (74) สหิตเกศะ มีพระเกศาดก (สุสํคตเกศะ มีพระเกศะรวามกันเป็นเกลียว)
               (75) สุรภิเกศะ มีพระเกศาหอม
               (76) อปรุษเกศะ มีพระเกศาไม่หยาบ
               (77) อนากุลเกศะ มีพระเกศาไม่ยุ่ง
               (78) อนุปูรวเกศ มีพระเกศาเรียงเส้นเป็นลำดับ
               (79) สุกุญจิตเกศะ มีพระเกศางอหยิกเป็นอันดี
               (80)ศรีวตส สวสติก นนทยาวรตรธมาน สํสถานเกศะ มีพระเกศาเจริญงามขมวดเวียนขวาเหมือนรูปสวสดิกะซึ่งเป็นศรีวัตสะ(เครื่องหมายกากบาท) ข้าแต่มหาราช พระกุมารสรวารถสิทธ ประกอบด้วยอนุพยัญชนะ 80 อย่างเหล่านี้ ซึ่งพระกุมารสรวารถสิทธไม่ควรครองเรือนเป็นฆราวาส จะต้องเสด็จออกบรรพชาโดยแน่แท้
      ครั้งนั้นแล พระราชาศุทโธทนะได้ฟังคำพยากรณ์พระกุมาร จากสำนักของพระอสิตมหาฤษี ทรงยินดี มีพระทัย เฟื่องฟู ดีพระทัย  บรรเทิงพระทัย เกิดปีติโสมนัสจึงเสด็จลุกขึ้นจากอาสน กราบลงแทบพระบาททั้ง 2 ของพระโพธิสัตว์ แล้วตรัสเป็นคำประพันธ์นี้ว่า
      55 เทวดาพร้อมทั้งองค์อินทร์ กราบไหว้ลูก และพระฤษีก็ได้ บูชาลูก ดูกรลูกผู้เจริญ แม้พ่อก็ได้กราบไหว้ลูกผู้เป็นแพทย์ของโลกฯ
                        กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
                        พระราชาศุโธทนะ ได้เลี้ยงดูพระอสิตมหาฤษีกับนรทัตผู้เป็นหลานด้วยอาหรารอันสมควร  ครั้นเลี้ยงดูและถวายเครื่องนุ่งห่มแล้วก็กระทำประทักษิณ ครั้งนั้นแล พระอสิตมหาฤษีก็หลีกออกจากที่นั้น โดยสำแดงฤทธิ์(เหาะไป)ทางอากาศ ไปยังที่ซึ่งเป็นอาศรมของตน 
                       ครั้นคนทั้ง 2 ไปแล้ว นคนทั้ง 2 นั้น พระอสิตมหาฤษีได้พูดกับมาณพนรทัตว่า ดูกรนรทัต เมื่อใด เจ้าได้ยินว่า พระพุทธเกิดแล้วในโลก เมื่อนั้น เจ้าจงไปบวชในศาสนาของพระพุทธนั้น นั่นจะเป็นไปเพื่อความต้องการ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่เจ้าตลอดกาลนาน 
                       มีคำกล่าวในข้อนี้ว่า
      56 พระอสิตมหาฤษี ผู้อยู่ในหุบเขา เห็นหมู่เทวดาที่ไปในพื้นฟ้าเปล่งเสียงว่า พุทธะ ท่านก็ถึงซึ่งปีติอย่างยิ่ง ท่านผู้เจริญทั้งหลาย บทว่าพุทธะ นี้ นำมาซึ่งความยินดีแก่สัตว์ทั้งหลาย มิใช่หรือ กายของเราก็จะถึงความหมดจดสดใส และจิตของเราก็จะถึงความสุขสงบอย่างยิ่ง
      57 ส่วนเทวดา อสูร ครุฑ และกินนร จะเป็นอย่างไร ได้ยินบทว่าพุทธะ นี้แล้ว ก็จะเกิดปีติและบรรเทิงใจ มิใช่หรือ พระอสิตมหาฤษีแลดูทิศทั้ง 10 ภูเขา แผ่นดิน มหาสมุทร ด้วยตาทิพย์ ก็ได้เห็นความอัศจรรย์ต่างๆเป็นอันมาก ในแผ่นดิน ในภูเขา ในมหาสมุทรฯ
      58 รัศมีนี้ รุ่งเรือง งามดี ทำตัวให้ร่าเริงยินดี เกิดขึ้นแล้วเหมือนหน่อแก้วประพาฬแวววาวอยู่ขนยอดเขา และเหมือนต้นไม้ที่เต็มไปด้วยดอกบานสะพรั่ง ประดับด้วยผลต่างๆ การบังเกิดขึ้นแห่งรัตนะงามวิเศษยิ่ง จะมีใตไตรภพชั่วขณะ ฯ
      59 เหมือนแผ่นดินสว่างเรียบราบเสมอกันหมด เหมือนฝ่ามือปราศจากสิ่งสกปรก และเหมือนเทวดาที่มีใจร่าเริงยินดีท่องเที่ยวไปยังท้องฟ้าในอากาศ การบังเกิดขึ้นแห่งบ่อเกิดพระธรรมในชมพูทวีป ได้แก่พระชินรัตะ(พระพุทธ)ซึ่งเปรียบเหมือนรัตนะของแปลกประหลาดลอยอยู่ในพิภพของพระยานาคในมหาสมุทร ฯ
      60 สัตว์ทั้งหลายในอบาย มีความสงบ ปราศจากทุกข์ ประกอบด้วยความสุข คณะเทวดาทั้งหลายที่อยู่ในท้องฟ้า ก็จะประกอบด้วยความร่าเริงยินดี ได้ยินเสียงวิเศษแห่งเครืองสังคีตทิพย์ ด้วยมีใจแช่มชื่น สิ่เหล่านี้เป็นนิมิต(เครื่องหมาย)ของผู้ซึ่งดังว่าดวงแก้วใด ผู้ซึ่งดังว่าดวงแก้วนั้น ปรากฏแล้วในภพทั้ง 3ฯ
      61 พระอสิตมหาฤษี มองดูสถานที่ซึ่งเรียกว่าชมพูทวีปนี้ด้วยทิพยจักษุ ท่านได้เห็นพระกุมารอันเพียบพร้อมไปด้วยลักษณะ และเดชคือบุณย มีกำลังดังองค์นารายณ์ เกิดขึ้นแล้วในที่อยู่ของพระราชาศุโธทนะในบุรีอันประเสริฐมีชื่อว่ากบิล ครั้นเห็นแล้วก็ดีใจ มีใจเฟื่องฟูเจริญด้วยเรี่ยวแรงฯ
      62 ท่านเกิดความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งจึงขมีขมันรีบเร่ง พร้อมด้วยศิษย์ของท่านมายังบุรีอันประเสริฐมีชื่อว่ากบิล ยืนอยู่ที่พระทวารของพระเจ้าแผ่นดิน พระฤษีผู้ชรา เห็นคนเป็นอันมากนับตั้งแต่หมื่นโกฏิติดตามกันไป จึงพูดกับยามเฝ้าพระทวารของพระราชาว่า ดูกรสารถี ท่านจงรีบไปทูลพระราชาให้ทรงทราบว่ามีฤษีมายืนอยู่ทีพระทวารฯ
      63 ยามเฝ้าพระทวารได้ยินแล้ว จึงรีบเข้าไปสู่พระราชวัง ทูลเรื่องนั้นแต่พระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ มีพระดาบสมายืนอยู่ที่ประตู ท่านชรมมาก เป็นพระฤษีแก่หง่อม และพระฤษีผู้ประเสริฐนั้นพอใจจะเข้ามาในพระราชวัง ของพระเจ้าแผ่นดินผู้ประเสริฐ จงมีพระกระแสตรัสสั่งก่อนว่า อนุญาตให้ท่าน(พระฤษี)เข้าได้
      64 พระนฤบดีให้จัดอาสนถวายแก่พระฤษี แล้วตรัสว่า ไปเถิดเราให้เข้ามาได้ พระอสิตมหาฤษี ได้ฟังคำของสารถี(ยามเฝ้าพระทวาร)แล้วมีความยินดี มีปีติประกอบด้วยความสุข พระฤาผู้ประเสริฐยินดีในความสุขเพื่อจะได้เห็นสัตว์ผู้สูงสุดนั้น เหมือนผู้มุ่งหวังกระหายน้ำเย็น หรือผู้หิวอาหารฯ
      65 จึงพูดว่า ข้าแต่พระเจ้าแผ่นดินผู้เจริญ ขอพระองค์จงมีชัยชนะเถิด ขอพระองค์จงดีพระทัยรักษาพระชนมชีพให้ยืนนาน ทำให้เจริญเถิด แล้วท่านผู้มีจิตฝึกฝนดีแล้วก็นั่งสำรวมอินทรีย์อย่างแก่กล้า พระราชาทรงนมัสการแล้ว ตรัสกับพระอสิตมหาฤษีนั้นอย่างอ่อนน้อมว่า พระคุณเจ้ามาในพระราชวังด้วยเหตุใด โปรดบอกมาเร็วๆเถิดพระมุนีฯ
      66 (พระมหาฤษีทูลว่า)ข้าแต่พระนฤบดี พระโอรสของพระองค์เกิดมามีรูปร่างประเสริฐนัก บรรลุถึงบารมีแล้ว มีเดชใหญ่หลวง ประกอบด้วยลักษณะ 32 ประการ มีกำลังดังองค์นารายณ์ อาตมาใคร่จะเห็นพระกุมารสรวารถสิทธนั้น ข้าแต่พระนฤบดี อาตมภาพมาเพื่อประโยชน์อย่างนี้ กิจการอย่างอื่นของอาตมาไม่มีฯ
      67 (พระราชาศุโธทนะตรัสว่า) สาธุ ข้าพเจ้าขอต้อนรับพระคุณเจ้าขอมาเถิด ข้าพเจ้าอิ่มใจหาประมาณมิได้ เพราะได้เห็นพระคุณเจ้า กุมารผู้ให้ความประเสริฐนั้นยังหลับอยู่ ไม่อาจเห็นได้ในขณะนี้  ถ้าจะให้ดีขอพระคุณเจ้าโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ก่อน  จะได้เห็นกุมารผู้ปราศจากมลทินเหมือนดวงจันทร์ปราศจากมลทินในวันเต็มดวง และประดับด้วยหมู่ดาวทั้งหลายฯ
      68 เมื่อพระกุมารผู้เป็นสารถีองค์ประเสริฐมีรัศมีเหมือนดวงจันทร์เต็มดวงนั้นตื่นแล้ว พระราชาได้ทรงประคองพระกุมารผู้มีพระวรกายรุ่งเรืองเหมือนไฟ มีรัศมียิ่งกว่ารัศมีดวงอาทิตย์ ตรัสว่า ข้าแต่พระฤษี นี่อย่างไรละพระคุณเจ่าโปรดดูพระกุมารผู้ที่มนุษย์และเทวดาทั้งหลายบูชาแล้ว ผู้เปรียบเหมือนพิมพ์ทองอันประเสริฐ พระอสิตมหาฤษีแลเห็นพระบาททั้ง 2 ของพระกุมารนั้นมีรูปกงจักรเป็นเครื่องหมายงามฯ
      69 แล้วท่านจึงลุกขึ้นจากอาสน ทำกระพุ่มมือแล้วไหว้พระบาท(พระกุมาร)ประคองไว้บนตัก ท่านเป็นผู้เชียวชาญในคัมภีร์พยากรณ์คนใหญ่คนโตเพ่งพิจารณาดูก็ได้เห็นพระกุมารประกอบด้วยลักษณะประเสริฐ มีพระกำลังเหมือนองค์นารายณ์ ท่านจึงผงกศีรษะท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในคัมภีร์พระเวท เห็นพระกุมารนั้นมีคติ 2 อย่างฯ
      70 คือจะเป็นพระราชาจักรพรรดิ์ มีกำลัง หรือจะเป็นพระพุทธสูงสุดในโลก แล้วท่านก็หลั่งน้ำตาออกมา มีกายและใจหดหู่เหี่ยวแห้ง สะอึกสะอื้น พระเจ้าแผ่นดินผู้ประเสริฐ ตกพระทัย ตรัสถามว่า ท่านพราหมณ์ร้องไห้ทำไม พระอสิตมหาฤษีอย่าเห็นอันตรายบังเกิดมีแก่สรวารถสิทธของข้าพเจ้าเลยฯ
      71 ข้าแต่พระฤษี พระคุณเจ้าจงพูดไปตามจริง พระคุณเจ้าร้องไห้ทำไม จะมีเหตุการณ์ดีหรือร้าย (พระฤษีทูลว่า) ข้าแต่พระราชาผู้เจริญเหตุร้ายไม่มี และจะไม่มีอันตรายในที่นี้แก่พระกุมารสรวารถทิทธของพระองค์ ข้าแต่พระนฤบดี อาตมาเสียใจให้แก่ตนเองว่า ชราแล้ว แก่หง่อมแล้วพระกุมารนี้จะได้เป็นพระพุทธ โลกบูชาแล้ว จะแสดงธรรมฯ
      72 อาตมาไม่ได้เห็น ไม่ได้รับความอิ่มใจ อาตมาร้องไห้เพราะเรื่องนี้ อาการ 32 ซึ่งมีลักษณะประเสริฐ ปราศจากมลทิน มีในกายของผู้ใด ผู้นั้น จะมีคติเป็น 2 ไม่มีคติอื่นเป็นที่ 3  ข้าแต่องค์นฤบาล(ผู้ปกครองคน)ขอพระองค์จงทรงทราบอย่างนี้ คือพระกุมารนี้จะเป็นพระราชาจักรพรรดิ์ผู้มีกำลัง หรือจะเป็นพระพุทธผู้สูงสุดในโลกฯ
      73 พระกุมารนี้ จะไม่มีความประสงค์ในกามคุณ  แต่จะได้เป็นพระพุทธ พระนฤบดีนั้นได้ทรงฟังคำพยากรณ์ของพระฤษีแล้ว ทรงได้รับปีติและความสุข ลุกขึ้นจากพระราชอาสน ทรงกระทำกระพุ่มพระหัตถ์ไหว้พระบาททั้ง 2 (ของพระกุมาร)ตรัสว่า ลูกมีกำลังดี เทวดาทั้งหลายก็บูชาแล้วเป็นอย่างดี และพรฤษีทั้งหลายก็สรรเสริญฯ
      74 ดูกรลูกผู้เป็นหัวหน้าพ่อค้าเดินทาง  พ่อนี้ขอไหว้ลูกผู้ที่โลกทั้งปวงในไตรภพบูชาแล้ว ส่วนพระอสิตมหาฤษี ก็พูดกับนรทัตว่า ดูก่อนหลาน หลานจงบรรเทิงใจ ฟังลุงพูด เมื่อใดหลานได้ยินว่าพระกุมารนี้ตรัสรู้เป็นพระพุทธ และหมุนจักรให้แก่โลก เมื่อนั้นหลานจงบรรพชาในศาสนาของพระมุนีนี้ นั่นแหละหลานจะถึงความพ้นทุกข์ฯ
      75 พระมุนีผู้ประเสริฐไหว้พระบาททั้ง 2(ของพระกุมาร) ทำประทักษิณ แล้วทูลว่า ข้าแต่พระนฤบดี การได้พระโอรสของพระองค์เช่นนี้ นับว่าเป็นลาภอันไพบูลย์อย่างดี พระกุมารนี้จะยังโลกทั้งเทวโลก และมนุษยโลกให้เอิบอิ่มด้วยธรรม ว่าแล้ว พระฤษีผู้ประเสริฐก็ออกจากเมืองกบิลพัสดุ์ ไปอยู่ในอาศรมของตนในป่า ดั่งนี้แลฯ
                        กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
  พอพระโพธิสัตว์เกิดแล้ว เทวบุตรมเหศวรจึงเรียกเทวบุตรผู้อยู่ในชั้นศุทธาวาสแล้วกล่าวว่า  ดูกรท่านผู้ควรเคารพทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ผู้เป็นมหาสัตว์ได้ทำกรรมดีไว้แล้วตั้งหมื่นแสนโกฏิกัลปนับไม่ถ้วน มีทาน ศีล กษานติ วีรยะ ธยาน ปรัชญา อุปาย สุต จรณะ พรต ตบะ  เป็นการประพฤติสุจริต  มีจิตประกอบด้วยมหาไมตรี มหากรุณา มหามุทิตา มีอุเบกษาเป็นยอดสูงอำนวยประโยชน์ และความสุขให้แก่สัตว์ทั้งปวง ผูกกระชับด้วยเสื้อเกราะเครื่องป้องกันคือวีรยะอันมั่นคง ได้ก่อสร้างกุศลมูล ซึ่งพระชิน(พุทธ)องค์ก่อนๆกระทำมาแล้วประดัด้วยบุณยลักษณะตั้งร้อย กล้าหาญในการสะสมกระทำความดี ทำลายอาณาจักรผู้อื่นได้สมบูรณ์ด้วยอัธยาศัยสะอาดบริศุทธดี ประพฤติสุจริต มีมหาชญาน(ปัญญาใหญ่ยิ่ง)เป็นธงสัญญลักษณ์ ทำลายมารและพลมาร
 เป็นหัวหน้านำพ่อค้าเดินทางของมนุษยโลก และเทวโลก เทวดาและมนุษย์ขูชาแล้ว เป็นผู้บูชามหายัชญ สะสมบุญไว้พรั่งพร้อม มีความประสงค์ถอนตัวออกจากทุกข์ ทำลายชาติ ชรา มรณะ มีกำเนิดเกิดดีแล้ว เป็นเชื้อสายราชตระกูลอิษวากุ เป็นผู้ยังโลกให้ตรัสรู้ เป็นพระโพธิสัตว์มหาสัตว์เกิดขึ้นแล้วในมนุษยโลก อีกไม่ช้า พระองค์จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมยักสัมโพธิ อย่างไรก็ตาม เราทั้งหลายจะไปอภิวาทนับถือ บูชาสดุดีพระองค์ท่าน เพื่อละเสียซึ่งความถือตัว ความมัวเมาและความกระด้างของเทวบุตรทั้งหลายผู้ที่ถูกความถือตัวครอบงำ เทวบุตรทั้งหลายเหล่านั้น เห็นพวกเราอภิวาท เขาเหล่านั้นก็จะไหว้ นับถือ ชูชา พระโพธิสัตว์บ้าง นั่นก็จะเป็นไปเพื่อความต้องการประโยชน์ ความสุข ตลอดกาลนานจนกว่าจะบรรลุอมฤต(นิรวาณ) พระราชาศุโธทนะก็ได้ยินเสียง ชโย สวัสดี และพวกเราก็จะไปพยากรณ์พระโพธิสัตว์ด้วยคำพยากรณ์อันแม่นยำ ดั่งนี้แล
 ครั้นแล้ว เทวบุตรมเหศวร มีเทวบุตร12แสน แวดล้อม ก็นำหน้า แปล่งรัศมีสว่างทั่วนครกบิลพัสดุ์แล้วเข้าไปสู่พระราชวังของพระราชาศุโธทนะ ครั้นแล้วจึงแจ้งให้คนเฝ้ายามประตูทราบ เมื่อได้รับอนุญาตจากพระราชาแล้ว จึงเข้าไปสู่ราชตระกูลน้อมเศียรลงกราบพระบาทพระโพธิสัตว์ ห่อผ้าอุตราสงค์(ผ้าพาดบ่า) เฉียงบ่าข้างหนึ่งทำประทักษิณ ทำพร้อมกับเทวบุตรนับจำนวนหลายแสน แล้วอุ้มพระโพธิสัตว์ขั้นบนตัก ปลอบพระราชาศุโธทนะว่า ดูกรมหาราช พระองค์จงยินดี มีปีติอย่างยิ่งเถิดนั่นเพราะเหตุไร ดูกรมหาราช เพราะเหตุว่า กายของพระโพธิสัตว์ประดับด้วยลักษณะและอนุพัญชนะที่ดี และพระกุมารจะครอบงำ อสูรโลกพร้อมทั้งเทวโลกและมนุษยโลก ด้วยวรรณะ ด้วยเดช ด้วยยศ และด้วยบุณยสมบัติ ดูกรมหาราชพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้อนุตตรสัมยักสัมโพธิ โดยไม่ต้องสงสัย
                        กระนั้นแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
                        เทวบุตรมเหศวรพร้อมด้วยเทพบุตรชั้นศุทธาวาสได้เข้าใกล้ชิดทำการบูชาใหญ่ยิ่งต่อพระโพธิสัตว์แล้ว พยากรณ์ พระโพธิสัตว์ด้วยคำพยากรณ์อันแม่นยำแล้วก็หลีกไปสู่ภพของตนอีก
                        ในที่นี้มีคำกล่าวไว้ว่า
       76 เมื่อพระโพธิสัตว์ผู้เป็นมหาสมุทรแห่งคุณความดี ดังว่าสาครเกิดขึ้นแล้ว เทพสุเรศวร(มเหศวร)ทราบแล้ว มีใจเฟื่องฟู ตรัสว่า เราทั้งหลาย กว่าจะได้ฟังธรรมอันยากที่จะหาฟังได้  ก็นับตั้งแต่โกฏกัลปอย่างไรก็ดี ท่านทั้งหลายจงมาเถิด เราจะพากันไปบูชาพระโพธิสัตว์ผู้เป็นจอมปราชญ์พระองค์นั้นฯ
       77 เทพเจ้าผู้บริศุทธทั้งหลาย จำนวน 12000ถ้วน ประดับเมาลีด้วยมาลีรัตนะ ล้วนเป็นผู้มีอำนาจ รีบเข้าไปสู่บุรีกบิลพัสดุ์อันประเสริฐแต่ละตนมีเมาลีห้อยลงยาวงาม ยืนอยุ่ที่พระทวารของพระนรบดี
       78 เทพเจ้าเหล่านั้น ได้พูดกับยามเฝ้าพระทวารด้วยสำเนียงเป็นที่เจริญใจว่า ขอท่านจงเข้าไปยังท้องพระโรง กราบทูลให้พระนฤบดีทรงทราบยามเฝ้าพระทวารได้ยินคำพูดแล้วจึงเข้าไปในพระราชวัง หมอบยอบถวายบังคมพระนฤบดีแล้ว กราบทูลว่าฯ
       79 ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์จงทรงชัยชนะ จงประครองประชาราษฎร์เป็นนิตย์ จงมีพระชนม์ยืนนาน ได้มีคนมายืนอยู่ที่พระทวาร ท่าทางเป็นคนมีบุณยกว้างขวาง มีราศีบริศุทธ ประดับเมาลีด้วยมณีรัตนะ ล้วนเป็นผู้มีอำนาจ ในหน้าอิ่มเหมือนจันทร์เพ็ญ มีราศีหมดมลทินเหมือนด้วงจันทร์ฯ
       80 ข้าแต่พระนฤบดี เขาเหล่านั้นไม่เห็นมีเงาเลย ได้ยินแต่เสียงพูด เสียงฝีเท้าก็ไม่ได้ยิน เมื่อเดินบนแผ่นดินก็ไม่มีฝุ่น ใตรแลดูเขา ก็ไม่รู้อิ่ม ฯ
       81 เขาเหล่านั้น ร่างกายมีสง่าราศีรุ่งเรืองไพบูลย์ยิ่ง วาจาก็เพราะจับใจ ไม่พูดเหมือนคนทั้งหลาย ริริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยลึกซึ้ง และมีท่าทางดี ข้าพระองค์สงสัยว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นพวกเทวดา ไม่ใช่มนุษย์ฯ
       82 มือถือดอกไม้อย่างดี พวงมาลัยเครื่องชโลมลูบไล้และเส้นไหมมองด้วยความเคารพ ข้าแต่นฤบดี เขาเหล่านั้น คงจะเป็นเทวดามาเยี่ยมบูชาพระกุมารผู้เป็นอธิเทพเหมือนเทพทั้งหลาย โดยไม่ต้องสงสัยฯ
       83 พระราชา (ศุทโธทนะ) ได้ทรงฟังคำกราบทูลแล้ว มีพระทัยเฟื่องฟูเป็นอย่างยิ่ง จึงตรัสว่า ไปเถิด ไปบอกให้ท่านผู้เจริญเหล่านั้นเข้ามาในพระราชวัง ฤทธิ์เช่นนี้ ตามที่เจ้าบอกถึงคุณสมบัติและอำนาจของเขาเหล่านั้น ต้องไม่ใช่ฤทธิ์ของมนุษย์อย่างใดๆ เลยๆ
       84 ยามเฝ้าพระทวารถวายบังคมแล้ว กลับออกมาบอกเทพเจ้าว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระเจ้าแผ่นดินทรงอนุญาตแล้ว ขอเชิญเข้าไปได้ เทพเจ้าเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีแล้ว มือถือพวงมาลัยอย่างดี เข้าไปสู่พระราชวัง ซึ่งเป็นที่ประทับของพระนฤบดีฯ
       85 พระนฤบดีเห็นเทพเจ้าผู้ประเสริฐเหล่านั้นเข้ามายังพระราชวังแล้ว ก็เสด็จลุกขึ้นทรงต้อนรับ ทรงประคองพระหัตถ์ทำอัญชลี(ประนมมือไหว้) ตรัสว่า อาสนเหล่านี้มีอยู่ เชิงอาสนประดับรัตนะ ขอท่านผู้เจริญทั้งหลาย โปรดนั่งบนอาสนนี้ เพื่ออนุเคราะห์แก่ความรู้ฯ
       86 เทพเจ้าเหล่านั้น ปราศจากความถือตัว และความกระด้าง นั่งบนอาสนทั้งหลายแล้วพูดว่า ข้าแต่พระนฤบดี โปรดฟัง พวกเรามาที่นี่เพื่อต้องการเยี่ยมบุตรของพระองค์ซึ่งเกิดแล้ว มีบุณยหนาแน่น มีกายบริศุทธ มีพระบาทเกิดมาดีแล้วฯ
       87 พวกข้าพเจ้าเป็นผู้รู้การ(ศาสตร์) รู้สังเกตลักษณะแห่งลักษณะดีว่า คติ(ทางไป) และประโยค(ความประพฤติ)ของเขาเหล่านี้จะเป็นอย่างไร ข้าแต่แพระเจ้าแผ่นดินผู้ประเสริฐ เพราะฉะนั้น พระองค์จงละความหนักใจเสีย ข้าพเจ้าขอถือโอกาส ขอชมพระกุมาร ผู้มีร่างกายประดับด้วยลักษณะอันงามวิจิตรฯ
       88 พระราชาศุทโธทนะ นั้น แวดล้อมด้วยหมู่สตรี ทรงดีพระทัยทรงประคองพระกุมารซึ่งไม่มีใครเสมอ มีพระฉวีวรรณดังเปลวไฟอันรุ่งเรือง นำเข้าไปใกล้เทพเจ้าผู้ประเสริฐ ซึ่งมีพระเมาลีห้อยลงยาวงาม พอพระราชาศุทโธทนะก้าวออกจากพระทวาร พื้นแผ่นดินมนุษยโลก ก็ไหวสะเทือนฯ
       89 เทพเจ้าเหล่านั้น เห็นพระนขา(เล็บ) ของพระนายก(โพธิสัตวื)แดงเรียว แผ่นนขาสะอาดงามบริศุทธ เทพเจ้าผู้มีรูปร่าง มีเมาลีห้อยลงยาวงามเหล่านั้น ก็รีบลุกขึ้น ต่างน้อมเศียรอภิวาทพระกุมารผู้มีรัศมีปราศจากมลทินโดยลำดับฯ
       90 ลักษณะทั้งหลายที่เห็น และที่ได้สังเกต พระมิ่งขวัญที่เป็นเดช คือบุณยอยุ่บนจอมพระเศียรที่ได้แลเห็น พระเนตรทีอำนาจ พระอุณาโลมและพระเกศาที่เห็น ล้วนแต่แสดงว่าจะได้ตรัสรุ้พระโพธิชนะมารโดยไม่ต้องสงสัยฯ
       91 เทพเจ้าเหล่านั้น ก็สรรเสริญพระราชกุมาร ผู้มีคุณความดีตามที่เห็นว่ามีประโยชน์ และเพี่งดูคุณความดีทั้งหลายแห่งพระกุมารผู้ปราศจากเกลศ บันเทาความมืด จริงอยู่ ความปรากฏของสัตว์ผู้เป็นรัตนะซึ่งสละข้าศึก คือ ชาติ ชรา มรณะและเกลศ กว่าจะมีได้ก็นานเหลือเกินฯ
       92 ภพทั้ง 3 ลุกโพลงไปทั่ว ถูกไฟทั้ง 3 (ไฟราคะ ไฟโทษะ ไฟโมหะ)(เผาผลาญแล้ว ด้วยการสีไม้สีไฟ อันมีความใคร่(สำกลป)และความกำหนัด (ราค) เป็นอารมณ์ พระองค์เป็นผู้มีปรัชญา จะแผ่ขยายเมฆฝน คือธรรม ปกคลุมมนุษยโลก ดับความร้อนคือเกลศด้วน้ำฝนคือมมฤตฯ
       93 พระองค์มีพระวาจาประกอบด้วยไมตรี ประกอบด้วยกรุณา มีพระวาจาอ่อนหวาน มีพระสุรเสียงไพเราะดังเสียงพรหม มีพระวาจาไพเราะจับใจ ยังมนุษยโลกและเทวโลกให้รอบรู้ และให้ตรัสรู้ ข้าแต่พระผู้มีภคะ ของพระองค์จงเปล่งพระสุรสิงหนาทแสดงความตรัสรู้อันยิ่งใหญ่ โดยเร็วเถิดฯ
       94 ขอพระองค์จงบำราบหมู่เดียรถีย์ เจ้าลัทธิชั่วร้าย มีความเห็นวิปริต ผู้จมอยู่ในเรือนจำคือความกำหนัดในภพ ให้เขาเหล่านั้นต้องอยู่ในที่สุดแห่งภพ(นิรวาณ) ให้เขาฟังธรรมแสดงว่าภพอาศัยเหตุเป็นของศูนย์(สิ้นอาวิชชา ภพก็ศูนย์)ให้เขาเหล่านั้น หนีไปเหมือนฝูงสุนัขป่าหนีราชสีห์ฯ
       95 จงทำลายแผ่นอวิทยาเป็นดังว่าควัน คือตัวเกลศใหญ่ ยังชุมชนให้เข้าไปอยู่ในที่สว่างอันถาวร จงกำจัดซึ่งอัธการ(ความมืด)ใหญ่แห่งโลกทั่วไป ด้วยแสงไฟคือ ชญาน และด้วยสายฟ้า คือแสงแห่งปรัชญาฯ
       96 เมื่อสัตว์บริศุทธเช่นนี้เกิดขึ้นมาในโลกนี้อย่างไม่เคยมี จึงนับว่าเป็นลาภอันไพบูลย์ของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลายซึ่งได้รับแล้วเป็นอย่างดี ทางไปสู่อบายจะถูกปิด ทางไปสู่สวรรค์จะถูกขยายออก จะถึงได้โดยสัตว์ประเสริฐ ซึ่งได้ตรัสรู้แล้วฯ
       97 เทพเจ้าเหล่านั้นก็โปรยทิพยโกสุมลงในเมืองกบิลพัสดุ์นี้ แล้วทำประทักษิณ และสดุดีโดยความเคารพ เปล่งวาจาว่า พุทธ สุพุทธ(พระพุทธเป็นพระพุทธที่ดี)แล้วก็พากันไปในท้องฟ้า ประกอบด้วยการเยื้องกายอันงดงามฯ
                        อัธยายที่ 7 ชื่อชนมปริวรรต (ว่าด้วยทรงอุบัติ) ในคัมภีร์ลลิตวิสตร ดั่งนี้แล ฯ

ไม่มีความคิดเห็น: