วิหารเทวรูป
![]() |
|
กระนั้นแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์เกิดแล้ว ตกเวลาราตรี หญิง 20000 ก็คลอดกุมารในตระกูลกษัตริย์ พราหมณ์ เจ้าแขวง คฤหบดีมหาศาล ในยามราตรีนั้นเอง มารดาบิดาของกุมารทั้งปวงเหล่านั้น ได้ถวายแก่พระโพธิสัตว์เพื่อให้ปฏิบัติบำรุงและรับใช้พระโพธิสัตว์ พระราชาศุทโธทนะก็ได้ประทานหญิงสาวอีก 20000 คน เพื่อให้ปฏิบัติบำรุง และรับใช้พระโพธิสัตว์ มิตร อมตย์ ญาติสาโลหิตก็ได้ถวายหญิงสาว 20000 คนเพื่อให้ปฏิบัติบำรุง และรับใช้พระโพธิสัตว์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ครั้งนั้นแล ศากยทั้งหลายที่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ได้ประชุมกันแล้วเข้าเฝ้าพระราชาศุทโธทนะ ทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์ควรทราบว่า จะต้องนำพระกุมารไปสู่วิหาร พระราชาดตรัสว่าดีแล้ว เราจะต้องนำกุมารไปสู่วิหาร ถ้ากระนั้นต้องตกแต่งพระนคร ประดับประดาถนนหลวง ทางสี่แพร่ง ตลาด ถนน ซอย ที่สำคัญๆให้งดงาม ห้ามกันคนที่ไม่เป็นมงคล คือคนตาข้างเดียว คนง่อย คนหูหนวก คนตาบอดสองข้าง คนใบ้ คนจรจัด คนมีรูปร่างพิกลพิการ คนมีอินทรีย์ไม่ครบถ้วน นำเอาคนที่มีลักษณะเป็นมงคลเข้ามา จงให้ตีกลองประกาศงานทำบุณย เคาะระฆัง ประกาศงานมงคล จงให้ประดับตกแต่งประตูเมืองอันประเสริฐ จงให้บรรเลงประโคมดนตรีส่งเสียงไพเราะเจริญใจ จงให้ประชุมพระราชาประเทศราชทั้งปวง จงรวบรวมคณะเศรษฐี คฤหบดี อมาตย์ คนเฝ้าประตูให้อยู่ในที่แห่งเดียวกัน จงให้เทียมรถสำหรับหญิงสาว จงให้จัดตั้งหม้อใส่น้ำเต็ม จงให้ประชุมพราหมณ์ทั้งหลายผู้สังวัธยายมนตร์ จงให้ตกแต่งวิหารทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิจการทั้งหมดตามที่ได้กล่าวมาแล้วก็ได้ทำเสร็จเรียบร้อยด้วยประการฉะนี้แล
ครั้นแล้ว พระราชาศุทโธทนะ เสด็จเข้าสู่พระราชวังของพระองค์ ตรัสเรียกพระนางมหาประชาบดีโคตมีมา แล้วตรัสว่า เธอจงตกแต่งกุมาร เราจะพาไปวิหารพระนางมหาประชาบดีโคตมี รับสนองพระโองการว่า สาธุ (พระเจ้าข้า) แล้วจึงประดับประดาพระกุมาร
ขณะเมื่อพระกุมารกำลังได้รับการประดับประดา มีพระพัตกตร์แช่มชื่น ปราศจากหน้านิ่วคิ้วขมวด ตรัสกับพระมารดาสะใภ้(แม่เลี้ยง) ด้วยพระวาจากอ่อนหวานอย่างยิ่งว่า ข้าแต่พระมารดา เขาจะพาลูกไปไหน พระนางมหาประชาบดีโคตมีตรัสตอบว่า เขาจะพาไปวิหารน่ะซิลูก ครั้นแล้ว พระกุมาร ได้แต่อมยิ้ม มีพระพักตร์แช่มชื่น ตรัสกับพระมารดาสะใภ้(แม่เลี้ยง) เป็นคำประพันธ์ว่า
1 เมื่อลูกเกิดในโลกนี้ มนุษย์โลกก้ไหวหวั่น องค์ศักร(อินทร์) พรหม อสูร พระยานาค จันทร์ อาทิตย์ และไวศรวณะ ขันธกุมาร ก็ได้พากันมาน้อมเศียรนมัสการตามลำดับฯ
2 เทวดาอื่นๆเหล่าไหน จะสูงวิเศษไปกว่าลูก ข้าแต่พระมารดา วันนี้พระมารดาไหว้ลูกในที่นี้ ลูกจะต้องเป็นเทวดาเหนือเทวดาทั้งหลายสูงสุดกว่าเทวดาทั้งปวง เทวดาเท่ากันกับลูกไม่ได้ หรือจะเหนือกว่าลูกได้อย่างไร ฯ
3 ข้าแต่พระมารดา ชุมนุมชนเห็นลูกแล้ว พึงถึงปีติเป็นไปตามโลกเขาจะมีใจเฟื่องฟูต่อลูก จะกระทำความเคารพนับถือเหลือประมาณ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะรู้ว่า กุมารนี้เป็นเทวดาเหนือเทวดาทั้งหลายฯ
กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อถนนหลวง ทางสี่แพร่ง และร้านตลาดที่สำคัญๆ ภายในเมืองถูกตกแต่งงดงามหาประมาณมิได้ ปรากฏเฉพาะหน้าด้วยสีสรรทั้งปวงอันเป็นการเฉลิม และเป็นมิ่งมงคล พระราชาศุทโธทนะจึงให้ประดับรถของพระกุมาร
แวดล้อมไปด้วยคณะพราหมณ์ เจ้าแขวง เศรษฐี คฤหบดี อมาตย์ พระราชาประเทศราช คนเฝ้าประตู มิตรและญาติ ทรงนำหน้า พาพระกุมารไปโดยหนทางที่อบอวลไปด้วยควันธูป เดียรดาษไปด้วยแก้วมุกดา และดอกไม้
เดินแถวด้วยขบวนทหารม้า หหารช้าง ทหารรถ และทหารราบ ยกธงชัย และงปตาก ประโคมด้วยดนตรี ต่างๆ เทวดาแสนหนึ่ง ขับรถพระโพธิสัตว์ เทพบุตร และนางอัปสรหลายหมื่นแสนโกฏิไปในท้องฟ้าได้โปรยดอกไม้ลงมา และประโคมดนตรีทั้งหลาย
พระราชาศุทโธทนะทรงนำพระกุมารเข้าไปสู่วิหารด้วยราชพยุหขบวนใหญ่ ด้วยราชฤทธิ์ใหญ่ยิ่ง และด้วยราชานุภาพใหญ่ยิ่ง ด้วประการฉะนี้แล ในขณะที่พระบิดาให้ประทีป พื้นที่พระโพธิสัตว์ย่างประบาทขวาเข้าไป เหล่าเทวรูปอื่นๆซึ่งไม่มีจิตใจในวิหารนั้น คือรูปศิวะ สกันทะ นารายณ์ กุเวร จันทร์ อาทิตย์ ไวศรพณะ ศกร พรหม โลกบาล เป็นต้น เทวรูปเหล่านั้นลุกขึ้นจากสถานที่ของตนๆล้มลง ณ พื้นที่ที่พระโพธิสัตว์ย่างพระบาท เทวดา และมนุษย์ตั้งแสนในที่นั้น ต่างก็เปล่งเสียงร้องอื้ออึงคะนึงนับเป็นแสนๆ โดยส่งเสียงเป็นอันเดียวกันแสดงความยินดีว่า ฮิ้ว ฮิ้ว ต่างก็โยนผ้าขึ้นมหานครกบิลพัสดุ์ก็ไหวหวั่นไปด้วยอาการพิเศาประเสริฐยิ่งทั่วทุกแห่ง ฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงมา ดนตรีตั้งแสนไม่มีใครไปแตะต้อง ก็บรรลือสั่นขึ้นมา เทวรูปที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้าทั้งหลายองค์ใด เทพเจ้าองค์นั้นๆก็ได้กล่าวคำเป็นบทประพันธ์เหล่านี้ เพื่อแสดงสภาพของตนๆว่า
4 ขุนเขาเมรุเป็นบรรพตประเสริฐ จะไม่อ่อนน้อมต่อเมล็ดพันธุ์ผักกาดเลย หรือว่ามหาสมุทรเป็นที่อยู่ของนาคราช จะไม่อ่อนน้อมต่อน้ำในรอยเท้าโคเลย ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ซึ่งส่องแสง ได้ส่องแสงแล้วจะไม่อ่อนน้อมต่อหิ่งห้อยเลย ทำไมผู้มีปรัชญามีบุณย มีตระกูล จึงไม่อ่อนน้อมต่อเทวดาทั้งหลายฯ
5 จริงอยู่ โลกอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใดแล้ว ได้ลาภ ได้สวรรค์ ได้นิรวาณ ท่านผู้นั้นต้องเป็นสยัมภู (ผู้เป็นเอง)ที่สุดในโลก เหมือนภูเขาสุเมรุ มหาสมุทร ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ฉันใด เทวดาในเทวโลกและมนุษย์บางคน อาศัยความทะนงตนก็ฉันนั้น ซึ่งทีแท้เขาเป็นเหมือนเมล็ดพันธัผักกาด น้ำในรอยเท้าโค หรือหิ่งห้อยฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อตถาคต ผู้มหาสัตว์เสด็จเข้าไปในวิหารนี้ กำลังทอดพระเนตรอยู่ ดวงจิตของเทวบุตรทั้งหลายตั้ง 32 แสน ก็ได้ผุดขึ้นในอนุตตรสัมยักสัมโพธิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ ถูกเขาพาไปสู่วิหาร พระองค์ทรงเพิกเฉยด้วยอาการใด อาการนั้น มีเหตุ มีปัจจัย ดั่งนี้แล
อัธยายที่ 8 ชื่อเทวกุโลปนยนปริวรรต (ว่าด้วยการนำไปสู่วิหารเทวรูป)ในคัมภีร์ศรีลลิตวิสตระ ดั่งนี้แล


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น