เครื่องประดับ
![]() |
|
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พราหมณ์ผู้หนึ่งชื่ออุทยนะ เป็นปุโรหิตของพระราชา และเป็นบิดาของอุทายิ (พระอุทายี) เขามีพราหมณ์ประมาณ 500 แวดล้อมเข้าไปเฝ้าพระราชาศุโธทนะ

ในกาลเมื่อดวงจันทร์เสวยจิตรานักษัตรฤกษ์ซึ่งอยู่ถัด หัสตนักษัตรฤกษ์(*1) ลงมา แล้วทูลว่า ขอพระองค์จงทำเครื่องประดับให้แก่พระกุมารตามที่ทรงทราบ(ว่าอย่างไหนจะดี) พระราชาตรัสกับพราหมณ์นั้นว่า ถูกแล้วจะต้องทำให้ดีดยิ่ง *1 จิตรานักษัตรอยู่คาบเส้นในเรือนราศีกันย์กับตุล
ในครั้งนั้น พระราชาศุโธทนะ ตรัสสั่งให้ศากยทั้งหลายประมาณ 500 คนทำเครื่องประดับประมาณ 500 อย่าง นั่นคือ เครื่องประดับมือ เครื่องประดับเท้า เครื่องประดับศีรษะ เครื่องประดับคอ เครื่องประดับเป็นแหวน เป็นตุ้มหู สายสร้อย เข็มขัดทอง ร่างแหผู้ลูกพรวน ร่างแหประดับแก้ว รองเท้าประดับแก้วมณี เครื่องตกต่างล้วนรัตนะต่างๆ ไข่มุก ทองกร มกุฎอย่างงาม ศากยทั้งหลายเหล่านั้น ครั้นทำเสร็จแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระราชาศุโธทนะ ในวันดวงจันทร์ประกอบด้วยปุษยฤกษ์(*1) แล้วทูลว่า นี่อย่างไรล่ะ ข้าแต่พระนฤบดี ตกแต่งพระกุมารได้แล้ว พระราชาตรัสว่า ท่านทั้งหลายได้ชื่อว่า ตกแต่งและบูชากุมารแล้ว แม้เราก็ได้ชื่อว่า ทำเครื่องประดับให้(แก่กุมาร)แล้ว ศากยทั้งหลายทูลว่า ขอให้พระกุมารจงผูกเครื่องประดับของข้าพระองค์ทั้งหลายสัก 7 คือ 7 วัน ไว้ในพระทัย ความพยายามของข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้ไม่เสียเปล่า เพราะเหตุนั้น
*1 ปุษยฤกษ์อยู่ในเรือนราศีกรกฎ
ครั้นคืนนั้นสิ้นสุดแล้ว ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระโพธิสัตว์ เสด็จออกไปสู่อุทยานชื่อ วิมลพยุหะ ในวันนั้น ในการเสด็จนั้น พระนางประชาบดีโคตมี อุ้มพระโพธิสัตว์ไว้ในตัก สตรีทั้งหลายประมาณ 8 หมื่นก็ได้มาชะเง้อมองพระพักตร์พระโพธิสัตว์ พราหมณ์ทั้งหลาย 5000 ได้มาชะเง้อมองพระโพธิสัตว์ เครื่องประดับทั้งหลายที่ทำโดยศากยราชผู้ชำนาญ ได้ผูกติดพระกายพระโพธิสัตว์ เครื่องประดับที่ผูกเรียงไว้ตามลำดับนั้น ได้อับหมองไปเสียแล้ว เพราะรัศมีพระกายของพระโพธิสัตว์ เครื่องประดับเหล่านั้นไม่สุก ไม่เปล่งปลั่ง ไม่รุ่งเรือง เหมือนเอาก้อนเขม่าไปวางไว้ข้างหน้าทองชมพูนท มันไม่สุก ไม่เปล่งปลั่ง ไม่รุ่งเรือง เช่นเดียวกับเครื่องประดับทั้งหลายเหล่านั้น พอกระทบรัศมีพระกายของพระโพธิสัตว์เข้า ก็ไม่สุก ไม่เปล่งปลั่ง ไม่รุ่งเรือง เครื่องประดับหลากหลายใดๆที่ผูกติดพระกายพระโพธิสัตว์ เครื่องประดับนั้นๆ อับหมองไปเหมือนก้อนเขม่า
เทพธิดาผู้รักษาอุทยานในที่นั้นมีนามว่าวิมลา นางได้แสดงอัตภาพของตนเองให้เป็นผู้โหยหิว ยืนอยู่เบื้องหน้า กล่าวกับพระราชาศุโธทนะ และพวกศากยหมู่ใหญ่นั้น ด้วยคำเป้นบทประพันธ์ว่า
1 แผ่นดินในมหนุษยโลก พร้อมทั้งเมืองหลวงและหัวเมืองทั้งหมดนี้ได้สะสมทองคำไว้เต็มที่ งดงามปราศจากมลทิน แต่จะถูกลบล้างเพราะทองคำชมพูนทเพียงกากณึกเดียว (ทองหนัก 1 เม็ดมะกล่ำ)มันจะสิ้นรัศมีทองอื่นๆนั้น ก็จะปราศจากรัศมีและสิริฯ
2 โลกทั้งหมดเมื่อเทียบกับทองคำชมพูนท ก็กลายเป็นก้อนเขม่าไปรัศมีในขุมขนพระกุมารผู้เป็นนายก เพียบพร้อมไปด้วยหิริและสิริก็เปล่งปลั่ง เครื่องประดับไม่สุก ไม่เปล่งปลั่ง ไม่งาม และไม่ซ่านออก เมื่อพระกายของพระสุคตของเราทั้งหลายมีรัศมี เครื่องประดับก็เหมือนก้อนเขม่าฯ
3 พระกุมารของเราทั้งหลายนี้ ประดับแล้วด้วยเดชของพระองค์เพียงพร้อมไปด้วยคุณความดีตั้งร้อย มีพระกายหมดจดดี รุ่งเรืองด้วยเครื่องประดับของพระองค์ แสงสว่างดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ก็ดี ดวงดาวก็ดี และความแวววามของแก้วมณีก็ดี รัศมีขององค์ศักระและของพรหมก็ดีย่อมไม่สว่างเมื่ออยู่ต่อหน้าพระกุมารผู้สว่างด้วยกลุ่มแห่งสิริฯ
4 ลักษณะทั้งหลายในพระการของพระกุมารใด อันงามวิจิตรไปด้วยผลแห่งศุภกรรมในชาติปางก่อน จะป่วยกล่าวไปไย ถึงเครื่องประดับของพระกุมารนั้น อันต่ำทรามที่ทำด้วยเครื่องมือของคนอื่นๆ
5 ขอพระองค์จงประทานเครื่องประดับทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งงามดีปราศจากมลทินให้แก่มหาดเล็กรับใช้นั้นซึ่งมีนามว่าฉันทกะ ผู้เป็นสหชาติ(เกิดพร้อมกันกับพระกุมาร) เมื่อได้ประดับตกแต่งดีแล้ว จะเป็นความงามแห่งราชตระกูล อนึ่งขอให้ศากยราชทั้งหลายยินดี มีความพิศวงงงงวย ร่าเริงบันเทิงใจ และความเจริญอันไพบูลย์สุงสุด จะมีแก่ผู้ยินดีในศากยตระกูลฯ
นางเทพธิดานั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็โปรยดอกไม้ทิพย์ไปยังพระโพธิสัตว์แล้วหายวับไป ณ ที่นั้น
อัธยายที่ 9 ชื่ออาภรณปริวรรต (ว่าด้วยเครื่องประดับ) ในคัมภีร์ศรีลลิตวิสตร ดั่งนี้แลฯ


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น