
ว่าด้วยอาบัติเป็นต้น
[๙๗๙] อาบัติมี ๕ กองอาบัติมี ๕ วินีตวัตถุมี ๕. อนันตริยกรรมมี ๕. บุคคลที่แน่นอนมี ๕ อาบัติมีการตัดเป็นวินัยกรรมมี ๕ ต้องอาบัติด้วยอาการ ๕ อาบัติมี ๕ เพราะมุสาวาทเป็นปัจจัย.
ภิกษุไม่เข้ากรรมด้วยอาการ ๕ คือ ตนเองไม่ทำกรรม ๑ ไม่เชิญภิกษุอื่น ๑ ไม่ให้ฉันทะหรือปาริสุทธิ ๑ เมื่อสงฆ์ทำกรรมย่อมคัดค้าน ๑ เมื่อสงฆ์ทำกรรมเสร็จแล้ว เห็นว่าไม่เป็นธรรม ๑.
ภิกษุเข้ากรรมด้วยอาการ ๕ คือ ตนเองทำกรรม ๑ เชิญภิกษุอื่น ๑ ให้ฉันทะหรือปาริสุทธิ ๑ เมื่อสงฆ์ทำกรรม ไม่คัดค้าน ๑ เมื่อสงฆ์ทำกรรมเสร็จแล้ว เห็นว่าเป็นธรรม ๑
ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาต กิจ ๕ อย่างควร คือไม่บอกลาเที่ยวไป ๑ ฉันเป็นหมู่ได้ ๑ ฉันโภชนะทีหลังได้ ๑ ความไม่ต้องคำนึง ๑ ความไม่ต้องกำหนดหมาย ๑
ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ จะเป็นภิกษุเลวทรามก็ดี จะเป็นภิกษุมีธรรมอันไม่กำเริบก็ดี ย่อมถูกระแวง ถูกรังเกียจ คือ มีหญิงแพศยาเป็นโคจร ๑ มีหญิงหม้ายเป็นโคจร ๑ มีสาวเทื้อเป็นโคจร ๑ มีบัณเฑาะก์เป็นโคจร ๑ มีภิกษุณีเป็นโคจร ๑.
น้ำมันมี ๕ คือ น้ำมันงา ๑ น้ำมันเมล็ดพันธุ์ ผักกาด ๑ น้ำมันมะทราง ๑ น้ำมันละหุ่ง ๑ น้ำมันเปลวสัตว์ ๑.
น้ำมันเปลวสัตว์หมี ๕ คือ น้ำมันเปลวหมี ๑ น้ำมันเปลวปลา ๑ น้ำมันเปลวปลาฉลาม ๑ น้ำมันเปลวหมู ๑ น้ำมันเปลวลา ๑.
ความเสื่อมมี ๕ คือ ความเสื่อมญาติ ๑ ความเสื่อมโภคสมบัติ ๑ ความเสื่อม คือ โรค ๑ ความเสื่อมศีล ๑ ความเสื่อมทางทิฏฐิ คือ เห็นผิด ๑.
ความถึงพร้อมมี ๕ คือ ความถึงพร้อมแห่งญาติ ๑ ความถึงพร้อมแห่งโภคสมบัติ ๑ ความถึงพร้อมแห่งความไม่มีโรค ๑ ความถึงพร้อมแห่งศีล ๑ ความถึงพร้อมแห่งความเห็นชอบ.
นิสัยระงับจากพระอุปัชฌาย์มี ๕ คือ พระอุปัชฌาย์หลีกไป ๑ สึก ๑ ถึงมรณภาพ ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑ สั่งบังคับ ๑.
บุคคล ๕ จำพวกไม่ควรให้อุปสมบท คือ มีกาลบกพร่อง ๑ มีอวัยวะบกพร่อง ๑ มีวัตถุวิบัติ ๑ มีความกระทำเสียหาย ๑ ไม่บริบูรณ์ ๑.
ผ้าบังสุกุลมี ๕ คือ ผ้าตกที่ป่าช้า ๑ ผ้าตกที่ตลาด ๑ ผ้าหนูกัด ๑ ผ้าปลวกกัด ๑ ผ้าถูกไฟไหม้ ๑.
ผ้าบังสุกุลแม้อื่นอีก ๕ คือ ผ้าที่วัวกัด ๑ ผ้าที่แพะกัด ๑ ผ้าที่ห่มสถูป ๑ ผ้าที่เขาทิ้งในที่อภิเษก ๑ ผ้าที่เขานำไปสู่ป่าช้าแล้วนำกลับมา ๑.
อวหารมี ๕ คือ เถยยาวหาร ๑ ปสัยหาวหาร ๑ ปริกัปปาวหาร ๑ ปฏิจฉันนาวหาร ๑ กุสาวหาร ๑.
มหาโจรที่มีปรากฏอยู่ในโลก มี ๕.
ภัณฑะที่ไม่ควรจ่าย มี ๕.
ภัณฑะที่ไม่ควรแบ่ง มี ๕.
อาบัติที่เกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต มี ๕.
อาบัติที่เกิดแต่กายและวาจา มิใช่จิต มี ๕.
อาบัติที่เป็นเทสนาคามินี มี ๕.
สงฆ์ มี ๕ ปาติโมกขุเทศ มี ๕.
ในชนบทชายแดนทุกแห่ง คณะมีพระวินัยธรเป็นที่ ๕ ให้กุลบุตรอุปสมบทได้.
การกรานกฐินมีอานิสงส์ ๕ กรรม มี ๕.
อาบัติที่เป็นยาวตติยกา มี ๕.
ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นไม่ให้ ด้วยอาการ ๕ ต้องอาบัติปาราชิก.
ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นไม่ให้ ด้วยอาการ ๕ ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นไม่ให้ ด้วยอาการ ๕ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุไม่ควรบริโภคอกัปปิยวัตถุ ๕ คือ ของที่เขาไม่ให้ ๑ ไม่ทราบ ๑ เป็นอกัปปิยะ ๑ ยังไม่ได้รับประเคน ๑ ไม่ทำให้เป็นเดน ๑.
ภิกษุควรบริโภคกัปปิยวัตถุ ๕ คือ ของที่เขาให้ ๑ ทราบแล้ว ๑ เป็นกัปปิยะ ๑ รับประเคนแล้ว ๑ ทำให้เป็นเดน ๑.
การให้ไม่จัดเป็นบุญ แต่โลกสมมติว่าเป็นบุญมี ๕ คือ ให้น้ำเมา ๑ ให้มหรสพ ๑ ให้สตรี ๑ ให้โคผู้ ๑ ให้จิตรกรรม ๑.
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว บรรเทาได้ยากมี ๕ คือ ราคะบังเกิดแล้วบรรเทาได้ยาก ๑ โทสะบังเกิดแล้วบรรเทาได้ยาก ๑ โมหะบังเกิดแล้วบรรเทาได้ยาก ๑ ปฏิภาณบังเกิดแล้วบรรเทาได้ยาก ๑ จิตที่คิดจะไปบังเกิดแล้ว บรรเทาได้ยาก ๑.
การกวาดมีอานิสงส์ ๕ คือ จิตของตนเลื่อมใส ๑ จิตของผู้อื่นเลื่อมใส ๑ เทวดาชื่นชม ๑ สั่งสมกรรมที่เป็นไปเพื่อให้เกิดความเลื่อมใส ๑ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ๑.
การกวาดมีอานิสงส์แม้อื่นอีก ๕ คือ จิตของตนเลื่อมใส ๑ จิตของผู้อื่นเลื่อมใส ๑ เทวดาชื่นชม ๑ เป็นอันทำตามคำสั่งสอนของพระศาสดา ๑ ชุมชนมีในภายหลังถือเป็นทิฏฐานุคติ ๑.
ว่าด้วยองค์คุณของพระวินัยธร
[๙๘๐] พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของตน ๑ ไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่น ๑ ไม่กำหนดถ้อยคำของตน ไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่นแล้วปรับอาบัติ ๑ ย่อมปรับอาบัติโดยไม่เป็นธรรม ๑ ย่อมปรับอาบัติไม่ตามปฏิญญา ๑
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ กำหนดที่สุดถ้อยคำของตน ๑ กำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่น ๑ กำหนดที่สุดถ้อยคำของตนทั้งกำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่นแล้วปรับอาบัติ ๑ ย่อมปรับอาบัติตามธรรม ๑ ย่อมปรับอาบัติตามปฏิญญา ๑
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลาคือ ไม่รู้จักอาบัติ ๑ ไม่รู้จักมูลของอาบัติ ๑ ไม่รู้จักเหตุเกิดอาบัติ ๑ ไม่รู้จักการระงับอาบัติ ๑ ไม่รู้จักทางระงับอาบัติ ๑
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักอาบัติ ๑ รู้จักมูลของอาบัติ ๑ รู้จักเหตุเกิดอาบัติ ๑ รู้จักการระงับอาบัติ ๑ รู้จักทางระงับอาบัติ ๑
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้จักอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้จักมูลของอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้จักเหตุเกิดของอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้จักความระงับของอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติอันให้ถึงความระงับแห่งอธิกรณ์ ๑
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักอธิกรณ์ ๑ รู้จักมูลของอธิกรณ์ ๑ รู้จักเหตุเหตุเกิดของอธิกรณ์ ๑ รู้จักความระงับของอธิกรณ์ ๑ รู้จักข้อปฏิบัติอันให้ถึงความระงับแห่งอธิกรณ์ ๑
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้จักวัตถุ ๑ ไม่รู้จักเหตุเค้ามูล ๑ ไม่รู้จักบัญญัติ ๑ ไม่รู้จักอนุบัญญัติ ๑ ไม่รู้จักทางแห่งถ้อยคำอันเข้าอนุสนธิกันได้ ๑.
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักวัตถุ ๑ รู้จักเหตุเป็นเค้ามูล ๑ รู้จักบัญญัติ ๑ รู้จักอนุบัญญัติ ๑ รู้จักทางแห่งถ้อยคำอันเข้าอนุสนธิกันได้ ๑.
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้จักญัตติ ๑ ไม่รู้จักตั้งญัตติ ๑ ไม่ฉลาดในเบื้องต้น ๑ ไม่ฉลาดในเบื้องปลาย ๑ ไม่รู้จักกาล ๑.
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักญัตติ ๑ รู้จักตั้งญัตติ ๑ ฉลาดในเบื้องต้น ๑ ฉลาดในเบื้องปลาย ๑ รู้จักกาล ๑
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้จักอาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่รู้จักอาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้จักอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้จักอาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ไม่ยึดถือ ไม่ใส่ใจ ไม่ใคร่ครวญถ้อยคำที่สืบต่อจากอาจารย์ให้ดี ๑.
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักอาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้จักอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้จักอาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ยึดถือ ใส่ใจ ใคร่ครวญถ้อยคำที่สืบต่อจากอาจารย์ด้วยดี ๑.
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้จักอาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่รู้จักอาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้จักอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้จักอาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้โดยพิสดาร จำแนกไม่ถูกต้อง สวดไม่คล่องแคล่ว วินิจฉัยไม่ถูกต้อง โดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ ๑
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักอาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้จักอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้จักอาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีโดยพิสดาร จำแนกถูกต้อง สวดได้คล่องแคล่ว วินิจฉัยถูกต้องดี โดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ ๑
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้จักอาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่รู้จักอาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้จักอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้จักอาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ไม่ฉลาดในการวินิจฉัยอธิกรณ์ ๑.
พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักอาบัติและไม่ใช่อาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้จักอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้จักอาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ฉลาดในการวินิจฉัยอธิกรณ์ ๑.
ว่าด้วยภิกษุอยู่ป่าเป็นต้น
[๙๘๑] ภิกษุผู้ถืออยู่ป่ามี ๕ คือ เพราะเป็นผู้เขลา เพราะเป็นผู้งมงาย จึงอยู่ป่า ๑ เป็นผู้ปรารถนาลามก ถูกความปรารถนาครอบงำ จึงอยู่ป่า ๑ เพราะมัวเมา เพราะจิตฟุ้งซ่านจึงอยู่ป่า ๑ เพราะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า พระสาวกของพระพุทธเจ้าสรรเสริญ จึงอยู่ป่า ๑ เพราะอาศัยความมักน้อย สันโดษ
ขัดเกลา ความเงียบสงัด และเพราะอาศัยความเป็นแห่งการอยู่ป่ามีประโยชน์ด้วยความปฏิบัติตามนี้ จึงอยู่ป่า ๑.
ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตมี ๕.
ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุลมี ๕.
ภิกษุผู้ถืออยู่โคนไม้มี ๕.
ภิกษุผู้ถืออยู่ป่าช้ามี ๕.
ภิกษุผู้ถืออยู่กลางแจ้งมี ๕.
ภิกษุผู้ถือผ้าสามผืนมี ๕.
ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับมี ๕.
ภิกษุผู้ถือการนั่งมี ๕.
ภิกษุผู้ถืออยู่ในเสนาสนะตามที่จัดไว้มี ๕.
ภิกษุผู้ถือนั่งฉัน ณ อาสนะแห่งเดียวมี ๕.
ภิกษุผู้ถือการห้ามภัตรที่เขานำมาถวายเมื่อภายหลังมี ๕.
ภิกษุผู้ถือการฉันเฉพาะในบาตรมี ๕ คือ เพราะเป็นผู้เขลา เพราะเป็นผู้งมงาย จึงถือการฉันเฉพาะในบาตร ๑ เป็นผู้ปวารถนาลามก ถูกความปรารถนาครอบงำ จึงถือการฉันเฉพาะในบาตร ๑ เพราะมัวเมา เพราะจิตฟุ้งซ่าน จึงถือการฉันเฉพาะในบาตร ๑ เพราะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า และพระสาวกของพระพุทธเจ้า
สรรเสริญ จึงถือการฉันเฉพาะในบาตร ๑ เพราะอาศัยความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด และเพราะอาศัยความเป็นแห่งการฉันเฉพาะในบาตรมีประโยชน์ด้วยความปฏิบัติตามนี้ จึงถือการฉันเฉพาะในบาตร ๑.
ว่าด้วยองค์ของภิกษุผู้ต้องถือนิสัย
[๙๘๒] ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ จะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ คือ ไม่รู้อุโบสถ ๑ ไม่รู้อุโบสถกรรม ๑ ไม่รู้ปาติโมกข์ ๑ ไม่รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษาหย่อนห้า ๑.
ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่ คือ รู้อุโบสถ ๑ รู้อุโบสถกรรม ๑ รู้ปาติโมกข์ ๑ รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษาห้า หรือมีพรรษาเกินห้า ๑.
ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ จะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ คือ ไม่รู้ปวารณา ๑ ไม่รู้ปวารณากรรม ๑ ไม่รู้ปาติโมกข์ ๑ ไม่รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษาหย่อนห้า ๑.
ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่ คือ รู้ปวารณา ๑ รู้ปวารณากรรม ๑ รู้ปาติโมกข์ ๑ รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษาห้า หรือมีพรรษาเกินห้า ๑.
ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ จะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ คือ ไม่รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ มีพรรษาหย่อนห้า ๑.
ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่ คือ รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ มีพรรษาห้า หรือมีพรรษาเกินห้า ๑.
ภิกษุณีประกอบด้วยองค์ ๕ จะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ คือ ไม่รู้อุโบสถ ๑ ไม่รู้อุโบสถกรรม ๑ ไม่รู้ปาติโมกข์ ๑ ไม่รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษาหย่อนห้า ๑.
ภิกษุณีประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่ คือ รู้อุโบสถ ๑ รู้อุโบสถกรรม ๑ รู้ปาติโมกข์ ๑ รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษาห้า หรือมีพรรษาเกินห้า ๑.
ภิกษุณีประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ จะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ คือ ไม่รู้ปวารณา ๑ ไม่รู้ปวารณากรรม ๑ ไม่รู้ปาติโมกข์ ๑ ไม่รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษาหย่อนห้า ๑.
ภิกษุณีประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัย คือ รู้ปวารณา ๑ รู้ปวารณากรรม ๑ รู้ปาติโมกข์ ๑ รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษา ๕ หรือมีพรรษาเกินห้า ๑.
ภิกษุณีประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ จะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ คือ ไม่รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ มีพรรษาหย่อนห้า ๑.
ภิกษุณีประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่ คือ รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ มีพรรษาห้า หรือมีพรรษาเกินห้า ๑.
โทษในกรรมไม่น่าเลื่อมใสเป็นต้น
[๙๘๓] กรรมที่ไม่น่าเลื่อมใสมีโทษ ๕ คือ ตนเองก็ติเตียนตน ๑ ผู้รู้ทั้งหลายใคร่ครวญแล้วก็ติเตียน ๑ กิตติศัพท์อันทรามย่อมขจรไป ๑ หลงใหลทำกาละ ๑ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อยเข้าถึงอบาย ทุคคติ วินิบาต นรก ๑.
กรรมที่น่าเลื่อมใสมีคุณ ๕ คือ ตนเองก็ไม่ติเตียนตน ๑ ผู้รู้ทั้งหลายใคร่ครวญแล้วก็สรรเสริญ ๑ กิตติศัพท์อันดีย่อมขจรไป ๑ ไม่หลงใหลทำกาละ ๑ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ ๑.
กรรมที่ไม่น่าเลื่อมใส มีโทษแม้อื่นอีก ๕ คือ ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสย่อมไม่เลื่อมใส ๑ คนบางพวกที่เลื่อมใสแล้วย่อมเป็นอย่างอื่นไป ๑ เขาไม่เป็นอันทำคำสอนของพระศาสดา ๑ หมู่ชนมีในภายหลังย่อมถือเป็นทิฏฐานุคติ ๑ จิตของเขาไม่เลื่อมใส ๑.
กรรมที่น่าเลื่อมใสมีคุณ ๕ คือ ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสย่อมเลื่อมใส ๑ ผู้ที่เลื่อมใสแล้วย่อมเลื่อมใสยิ่งขึ้นไป ๑ เขาเป็นอันทำคำสอนของพระศาสดา ๑ หมู่ชนมีในภายหลังย่อมถือเป็นทิฏฐานุคติ ๑ จิตของเขาย่อมเลื่อมใส ๑.
ภิกษุผู้เข้าไปสู่ตระกูลมีโทษ ๕ คือ ต้องอาบัติเพราะไม่บอกลาเที่ยวไป ๑ ต้องอาบัติเพราะนั่งในที่ลับ ๑ ต้องอาบัติเพราะอาสนะกำบัง ๑ แสดงธรรมแก่มาตุคามด้วยวาจาเกิน ๕-๖ คำต้องอาบัติ ๑ เป็นผู้มากด้วยความดำริในกามอยู่ ๑.
ภิกษุผู้เข้าไปสู่ตระกูล คลุกคลีอยู่ในตระกูลเกินเวลา มีโทษ ๕ คือ เห็นมาตุคามเนืองๆ ๑ เมื่อมีการเห็นก็มีการเกี่ยวข้อง ๑ เมื่อมีการเกี่ยวข้องก็ต้องคุ้นเคย ๑ เมื่อมีความคุ้นเคยก็มีจิตกำหนัด ๑ เมื่อมีจิตกำหนัดก็หวังข้อนี้ได้ คือ เธอจักไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ หรือจักต้องอาบัติที่เศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจักบอกลาสิกขาเวียนมาเพื่อเป็นคฤหัสถ์ ๑.
ว่าด้วยพืชและผลไม้
[๙๘๔] พืชมี ๕ ชนิด คือ พืชเกิดจากเหง้า ๑ พืชเกิดจากต้น ๑ พืชเกิดจากข้อ ๑ พืชเกิดจากยอด ๑ พืชเกิดจากเมล็ด ๑.
ผลไม้ที่ควรบริโภคด้วยวิธีอันควรแก่สมณะมี ๕ คือ จี้ด้วยไฟ ๑ กรีดด้วยศาสตรา ๑. จิกด้วยเล็บ ๑ ไม่มีเมล็ด ๑ เขาปล้อนเมล็ดออกแล้วเป็นที่ห้า ๑.
ว่าด้วยวิสุทธิ ๕
[๙๘๕] วิสุทธิมี ๕ คือ ภิกษุแสดงนิทานแล้ว นอกนั้นพึงสวดด้วยสุตบท นี้เป็นวิสุทธิข้อที่ ๑
แสดงนิทาน แสดงปาราชิก ๔ แล้ว นอกนั้นพึงสวดด้วยสุตบท นี้เป็นวิสุทธิข้อที่ ๒
แสดงนิทาน แสดงปาราชิก ๔ แสดงสังฆาทิเสส ๑๓ แล้ว นอกนั้นพึงสวดด้วยสุตบท นี้เป็นวิสุทธิข้อที่ ๓
แสดงนิทาน แสดงปาราชิก ๔ แสดงสังฆาทิเสส ๑๓ แสดงอนิยต ๒ แล้วนอกนั้นพึงสวดด้วยสุตบท นี้เป็นวิสุทธิข้อที่ ๔
สวดโดยพิสดารอย่างเดียว เป็นวิสุทธิข้อที่ ๕.
วิสุทธิแม้อื่นอีก ๕ คือ สุตตุทเทศ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑ สามัคคีอุโบสถ ๑ ปวารณาเป็นที่ห้า ๑.
ว่าด้วยอานิสงส์การทรงวินัยเป็นต้น
[๙๘๖] การทรงวินัยมีอานิสงส์ ๕ คือ กองศีลของตนเป็นอันคุ้มครองรักษาดีแล้ว ๑ ผู้ที่ถูกความรังเกียจครอบงำย่อมหวนระลึกได้ ๑ กล้าพูดในท่ามกลางสงฆ์ ๑ ข่มด้วยดีซึ่งข้าศึก โดยสหธรรม ๑ เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑.
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มี ๕
การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มี ๕.
หมวด ๕ จบ
หัวข้อประจำหมวด
[๙๘๗] อาบัติ ๑ กองอาบัติ ๑ วินีตวัตถุ ๑ อนันตริยกรรม ๑ บุคคล ๑ อาบัติมีอันตัดเป็นวินัยกรรม ๑ ต้องอาบัติ ๑ ปัจจัย ๑ ไม่เข้ากรรม ๑ เข้ากรรม ๑ กิจควร ๑ ภิกษุถูกระแวง ๑ น้ำมัน ๑ เปลวมัน ๑ ความเสื่อม ๑ ความเจริญ ๑ ความระงับ ๑ บุคคลไม่ควรให้อุปสมบท ๑ ผ้าบังสุกุลที่ตก ณ ป่าช้า ๑
ผ้าบังสุกุลที่โคกัด ๑ การลัก ๑ โจร ๑ สิ่งของไม่ควรจ่าย ๑ สิ่งของไม่ควรแบ่ง ๑ อาบัติเกิดแต่กาย ๑ เกิดแต่กายและวาจา ๑ เป็นเทสนาคามินี
๑ สงฆ์ ๑ ปาติโมกขุทเทศ ๑ ปัจจันติมชนบท ๑ อานิสงส์กฐิน ๑ กรรม ๑ อาบัติเป็นยาวตติยกา ๑ ปาราชิก ๑ ถุลลัจจัย ๑ ทุกกฏ ๑ ของเป็นอกัปปิยะ ๑ ของเป็นกัปปิยะ ๑
สิ่งที่ให้แล้วไม่เป็นบุญ ๑ สิ่งที่บรรเทาได้ยาก ๑ การกวาด ๑ การกวาดอย่างอื่นอีก ๑ ถ้อยคำ ๑ อาบัติ ๑ อธิกรณ์ ๑ วัตถุ ๑ ญัตติ ๑ อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ปาติโมกข์ทั้งสอง ๑ อาบัติเบา
และอาบัติเป็นที่แปด ๑ จงทราบฝ่ายดำและฝ่ายขาวดังข้างต้นนี้ อยู่ป่า ๑ ถือเที่ยวบิณฑบาต ๑ ทรงผ้าบังสุกุล ๑ อยู่โคนไม้ ๑ อยู่ป่าช้า ๑ อยู่ที่แจ้ง ๑ ทรงผ้า ๓ ผืน ๑
ถือเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับแถว ๑ ถือการนั่ง ๑ ถืออยู่ในเสนาสนะตามที่จัดไว้ ๑ ถือนั่งฉัน ณ อาสนะแห่งเดียว ๑ ถือการห้ามภัตรที่ถวายทีหลัง ๑ ถือฉันข้าวในบาตร ๑ อุโบสถ ๑
ปวารณา ๑ อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ บทฝ่ายดำและฝ่ายขาวดังข้างต้นนี้ สำหรับภิกษุณีก็เหมือนกัน กรรมที่ไม่น่าเลื่อมใส ๑ กรรมที่น่าเลื่อมใส ๑
กรรมที่ไม่น่าเลื่อมใสและน่าเลื่อมใสอื่นอีก ๒ อย่าง ๑ ภิกษุเข้าไปสู่สกุล ๑ ภิกษุคลุกคลีอยู่เกินเวลา ๑ พืช ๑ ผลไม้ควรแก่สมณะ ๑ วิสุทธิ ๑ วิสุทธิแม้อื่นอีก ๑ อานิสงส์
การทรงพระวินัย ๑ งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม ๑ งดปาติโมกข์เป็นธรรม ๖ หมวดห้าล้วนที่กล่าวแล้ว จบ
หัวข้อประจำหมวด ๕ จบ
ข้อว่า ปญฺจ ปุคฺคลา นิยตา นี้ บ่งถึงบุคคลผู้ทำอนันตริยกรรมนั่นเอง. ขึ้นชื่อว่าอาบัติ มีการตัดเป็นวินัยกรรม ๕ พึงทราบในเพราะเตียงตั่งและผ้าปูนั่ง ผ้าปิดฝี ผ้าอาบน้ำฝนและสุคตจีวร ซึ่งเกินประมาณ. บทว่า ปญฺจหากาเรหิ มีความว่า ภิกษุย่อมต้องอาบัติ ด้วยอาการ ๕ เหล่านี้ คือ ความเป็นผู้ไม่ละอาย ความไม่รู้ ความเป็นผู้สงสัยแล้วขืนทำ ความเป็นผู้มีความสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ความเป็นผู้มีความสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร. ข้อว่า ปญฺจาปตฺติโย มุสาวาทปจฺจยา ได้แก่ ปาราชิก ถุลลัจจัย ทุกกฏ สังฆาทิเสส และปาจิตตีย์. บทว่า อนามนฺตจาโร ได้แก่ ความไม่มีแห่งการต้องบอกลาจึงเทียวไปนี้ว่า ภิกษุไม่บอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่ ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในสกุลทั้งหลายก่อนฉันก็ดี ทีหลังฉันก็ดี. บทว่า อนธิฏฺฐานํ มีความว่า การฉันต้องคำนึงถึงสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ เพราะฉันเป็นหมู่ ชื่อว่าความคำนึง. การที่ไม่ต้องทำอย่างนั้น ชื่อว่าความไม่ต้องคำนึง. ความหมายอันใด ในโภชนะทีหลัง อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว, การที่ไม่ต้องทำความหมายอันนั้น ชื่อว่าความไม่ต้องหมาย. จริงอยู่ ๕ วัตถุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้วด้วยธุดงค์ของภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรนั่นเอง. บทว่า อุสฺสงฺกิตปริสงฺกิโต มีความว่า เป็นผู้อันภิกษุทั้งหลายผู้ได้เห็นได้ฟัง ระแวงแล้วและรังเกียจแล้ว. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุแม้เป็นพระขีณาสพ ผู้มีอันไม่กำเริบเป็นธรรมดา ก็เป็นผู้ถูกระแวงถูกรังเกียจ. เพราะเหตุนั้น อโคจรทั้งหลาย อันภิกษุพึงเว้น. จริงอยู่ ภิกษุผู้ปรากฏเสมอในอโคจรเหล่านั้น ย่อมไม่พ้นจากความเสื่อมยศ หรือจากความติเตียน. [ว่าด้วยผ้าบังสุกุลเป็นอาทิ] บทว่า โสสานิกํ ได้แก่ ผ้าที่ตกที่ป่าช้า. บทว่า อาปณิกํ ได้แก่ ผ้าที่ตกที่ประตูตลาด. บทว่า ถูปจีวรํ ได้แก่ ผ้าที่เขาห่มจอมปลวกทำพลีกรรม. บทว่า อภิเสกิกํ ได้แก่ จีวรที่เขาทิ้งที่สถานที่อาบน้ำ หรือที่สถานที่อภิเษกของพระราชา. บทว่า คตปฏิยาคตํ ได้แก่ ผ้าที่เขานำไปสู่ป่าช้าแล้วนำกลับมาอีก. มหาโจร ๕ จำพวก ได้กล่าวแล้วในอุตริมนุสธัมมสิกขาบท.๑- ข้อว่า ปญฺจาปตฺติโย กายโต สมุฏฺฐหนฺติ มีความว่า ภิกษุต้องอาบัติ ๕ ด้วยสมุฏฐานแห่งอาบัติที่ ๑ ได้แก่ อาบัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน อันตรเปยยาลอย่างนี้ว่า ภิกษุมีความสำคัญว่าควรทำกุฏีด้วยการขอเขาเอง. ข้อว่า ปญฺจาปตฺติโย กายโต จ วาจโต จ มีความว่า ภิกษุย่อมต้องอาบัติ ๕ ด้วยสมุฏฐานแห่งอาบัติที่ ๓ คือ ย่อมต้องอาบัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ในอันตรเปยยาลนั้นแลอย่างนี้ว่า ภิกษุมีความสำคัญว่าควร ชักชวนกันทำกุฎี ดังนี้. บทว่า เทสนาคามินิโย มีความว่า เว้นปาราชิกและสังฆาทิเสสเสีย ได้แก่อาบัติที่เหลือ. สองบทว่า ปญฺจ กมฺมานิ ได้แก่ กรรม ๕ คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรมและปฏิสารณียกรรมรวม ๔ และอุกเขปนียกรรมทั้ง ๓ อย่าง ๑. สองบทว่า ยาวตติยเก ปญฺจ ได้แก่ อาบัติ ๓ คือ ปาราชิก ถุลลัจจัย ทุกกฏของภิกษุณีผู้ประพฤติตามภิกษุผู้อันสงฆ์ยกวัตร ผู้ไม่ยอมสละ เพราะสมนุภาสน์ เพียงครั้งที่ ๓ สังฆาทิเสส เพราะสมนุภาสน์ในเภทกานุวัตตกสิกขาบทเป็นต้น. ปาจิตตีย์ เพราะไม่ยอมสละทิฏฐิลามก. บทว่า อทินฺนํ ได้แก่ ของที่ผู้อื่นไม่ประเคน. บทว่า อวิทิตํ ได้แก่ ชื่อว่าไม่ทราบ เพราะไม่มีเจตนาว่า เรารับประเคน. บทว่า อกปฺปิยํ ได้แก่ ของที่ไม่ได้ทำให้ควร ด้วยสมณกัปปะ ๕. ก็หรือว่าเนื้อที่ไม่ควร โภชนะที่ไม่ควร แม้อื่น ก็ชื่อว่าของไม่ควร. บทว่า อกตาติริตฺตํ ได้แก่ ของภิกษุห้ามโภชนะแล้ว ไม่ได้ทำให้เป็นเดน. บทว่า สมชฺชทานํ ได้แก่ การให้มหรสพคือฟ้อนเป็นต้น. บทว่า อุสภทานํ ได้แก่ การปล่อยโคผู้ในภายในแห่งฝูงโค. บทว่า จิตตกมฺมทานํ มีความว่า การที่ให้สร้างอาวาสแล้วทำจิตรกรรมในอาวาสนั้น สมควร. แต่คำว่า จิตฺตกมฺมทานํ นี้ท่านกล่าวหมายเอาการให้จิตรกรรมที่เป็นลายรูปภาพ. จริงอยู่ ทาน ๕ อย่างนี้ โลกสมมติกันว่าเป็นบุญก็จริง แต่ที่แท้ หาเป็นบุญไม่ คือเป็นอกุศลนั่นเอง. ความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะพูด เรียกว่าปฏิภาณ ในคำว่า อุปฺปนฺนํ ปฏิภาณํ นี้. ความว่า ธรรม ๕ อย่างนี้อันบุคคลบรรเทาได้ยาก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าบรรเทาได้ไม่ง่าย. แต่บุคคลอาจบรรเทาได้ด้วยเหตุที่เป็นอุบาย คือด้วยการพิจารณาและพร่ำสอนเป็นต้น ที่เหมาะกัน. ๑- มหาวิภังค์ ๑/๑๖๙. [อานิสงส์แห่งการกวาด] ใน ๒ บทว่า สกจิตฺตํ ปสีทติ นี้ มีเรื่องเหล่านี้เป็นอุทาหรณ์. ได้ยินว่า พระปุสสเทวเถระ ผู้อยู่ที่กาฬันทกาฬวิหาร กวาดลานเจดีย์ ทำอุตรางสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง แลดูลานเจดีย์ซึ่งเกลี่ยทรายไว้เรียบร้อย ราวกะลาดด้วยดอก ย่างทราย ให้เกิดปีติและปราโมทย์มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ได้ยืนอยู่แล้ว. ในขณะนั้น มารได้จำแลงเป็นลิงดำเกิดแล้วที่เชิงเขา เรี่ยรายโคมัยไว้เกลื่อนที่ลานเจดีย์ ไปแล้ว. พระเถระไม่ได้อาจเพื่อบรรลุพระอรหัต, กวาดแล้ว ได้ไปเสีย. แม้ในวันที่ ๒ มาร ได้จำแลงเป็นโคแก่ กระทำประการแปลกเช่นนั้นนั่นแล. ในวันที่ ๓ ได้นิรมิตอัตภาพเป็นมนุษย์ มีเท้าเก เดินเอาเท้าคุ้ยรอบไป. พระเถระคิดว่า บุรุษแปลกเช่นนี้ ไม่มีในโคจรคามประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ นี่คงเป็นมารแน่ละ จึงกล่าวว่า เจ้าเป็นมารหรือ?. มารตอบว่า ถูกละผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นมาร บัดนี้ไม่ได้อาจเพื่อจะลวงท่านละ. พระเถระถามว่า ท่านเคยเห็นพระตถาคตหรือ?. มารตอบว่า แน่ละเคยเห็น พระเถระกล่าวว่า ธรรมดามารย่อมเป็นผู้มีอานุภาพใหญ่ เชิญท่านนิรมิตอัตภาพให้คล้ายอัตภาพของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าก่อน. มารกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถนิรมิตรูปเช่นนั้น ผู้เจริญ แต่เอาเถอะ ข้าพเจ้าจักนิมิตรูปเทียมที่จะพึงเห็นคล้ายรูปนั้น ดังนี้แล้วได้จำแลงเพศของตนตั้งอยู่ด้วยอัตภาพคล้ายพระรูปของพระพุทธเจ้า. พระเถระแลดูมารแล้วคิดว่า มารนี้ มีราคะ โทสะ โมหะ ยังงามถึงเพียงนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงงามอย่างไรหนอ? เพราะว่า พระองค์ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ โดยประการทั้งปวง ดังนี้แล้ว ได้ปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัตแล้ว. มารกล่าวว่า ผู้เจริญ ข้าพเจ้าถูกท่านลวงแล้ว. ฝ่ายพระเถระกล่าวว่า มารแก่ จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะลวงคนเช่นท่าน. ภิกษุหนุ่มชื่อทัตตะ แม้ในโลกันตรวิหาร กวาดลานเจดีย์แล้วแลดู ได้โอทาตกสิณ, ยังสมาบัติ ๘ ให้เกิดแล้ว, ภายหลังเจริญวิปัสสนา กระทำให้แจ้งซึ่งผล ๓. ใน ๒ บทว่า ปรจิตฺตํ ปสีทติ นี้ มีเรื่องเหล่านี้เป็นอุทาหรณ์. ภิกษุหนุ่มชื่อติสสะ กวาดลานเจดีย์ใกล้ท่าชัมพุโกละแล้ว ได้เอามือถือตะกร้าเทหยากเยื่อเที่ยวยืนอยู่. ในขณะนั้น พระเถระชื่อติสสทัตตะลงจากเรือ แลดูลานเจดีย์ ทราบว่า เป็นสถานที่เธอผู้มีจิตอบรมแล้วกวาดไว้ จึงถามปัญหาตั้งพันนัย. ฝ่ายพระติสสะแก้ได้ทั้งหมด. พระเถระในวิหารแม้บางตำบล กวาดลานเจดีย์แล้ว ทำวัตรเสร็จ. พระเถระ ๔ รูปผู้ไหว้เจดีย์มาจากโยนกประเทศ เห็นลานเจดีย์แล้ว ไม่เข้าข้างใน ยืนอยู่ที่ประตูนั่นเอง. พระเถระรูปหนึ่งตามระลึกได้ ๘ กัป รูปหนึ่งตามระลึกได้ ๑๖ กัป รูปหนึ่งตามระลึกได้ ๒๐ กัป รูปหนึ่งตามระลึกได้ ๓๐ กัป. ในคำว่า เทวตา อตฺตมนา โหนฺติ นี้ มีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์. ได้ยินว่า ภิกษุรูปหนึ่ง ในวิหารตำบล ๑ กวาดลานเจดีย์และลานโพธิ์แล้ว ไปอาบน้ำ. เทพดาทั้งหลายมีจิตเลื่อมใสว่า ตั้งแต่กาลที่สร้างวิหารนี้มา ไม่มีภิกษุที่เคยบำเพ็ญวัตรกวาดอย่างนี้ จึงพากันมา ได้ยืนถือดอกไม้อยู่ในมือ. พระเถระมาแล้วกล่าวว่า พวกท่านเป็นชาวบ้านไหน? เทพดาจึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าอยู่ที่นี่เอง เลื่อมใสในวัตรของท่านว่า ตั้งแต่กาลที่สร้างวิหารนี้มา ไม่มีภิกษุที่เคยบำเพ็ญวัตรกวาดอย่างนี้ จึงยืนถือดอกไม้อยู่ในมือ. ในบทว่า ปสาทิกสํวตฺตนิยํ นี้ มีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์. ได้ยินว่า ถ้อยคำนี้ปรารภบุตรอมาตย์คนหนึ่งและพระอภัยเถระ เกิดขึ้นว่า บุตรอมาตย์จะเป็นผู้น่าเลื่อมใส หรือว่าพระอภัยเถระจะเป็นผู้น่าเลื่อมใสหนอ? ญาติทั้งหลายพูดกันว่า เราทั้งหลายจักแลดูชนทั้ง ๒ นั้นในที่เดียวกัน จึงแต่งตัวบุตรอมาตย์แล้วได้พากันไปด้วยความคิดว่า จักให้ไหว้พระมหาเจดีย์. ฝ่ายมารดาของพระเถระ ให้ทำจีวรมีราคาบาทหนึ่ง๑- ส่งไปให้บุตรด้วยสั่งว่า บุตรของเราจงให้ปลงผมแล้วห่มจีวรนี้ มีภิกษุสงฆ์แวดล้อมจงไหว้พระมหาเจดีย์. บุตรอมาตย์มีญาติห้อมล้อมขึ้นสู่ลานเจดีย์ ทางประตูด้านปราจีน. พระอภัยเถระมีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ขึ้นสู่ลานเจดีย์ทางประตูด้านทักษิณ มาพบกับบุตรอมาตย์นั้นที่ลานเจดีย์ จึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ ท่านเทหยากเยื่อในที่ซึ่ง พระมหัลลกเถระได้กวาดไว้จะจับคู่แข่งกับเราหรือ? ได้ยินว่า ในอัตภาพที่ล่วงไปแล้วพระอภัยเถระเป็นพระมหัลลกเถระ ได้กวาดลานเจดีย์ที่กาชรคาม. บุตรอมาตย์เป็นมหาอุบาสก ถือหยากเยื่อไปเทในที่ซึ่งท่านกวาดไว้. หลายบทว่า สตฺถุ สาสนํ กตํ โหติ มีความว่า ชื่อว่า วัตรคือการกวาดนี้ อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงสรรเสริญ. เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้ทำวัตรคือการกวาดนั้น จึงเป็นอันได้ทำตามคำสอนของพระศาสดา. เรื่องต่อไปนี้ เป็นอุทาหรณ์ในข้อนั้น. ได้ยินว่า พระสารีบุตรไปสู่หิมวันตประเทศ ไม่กวาดก่อนนั่งเข้านิโรธที่เงื้อมตำบลหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงระลึกถึง ก็ทรงทราบความที่พระเถระไม่กวาดก่อนนั่ง จึงเสด็จมาทางอากาศทรงแสดงรอยพระบาทไว้ในที่ซึ่งมิได้กวาดข้างหน้าพระเถระแล้วเสด็จกลับ. พระเถระออกจากสมาบัติแล้ว เห็นรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประจงตั้งไว้ซึ่งความละอายและและความเกรงกลัวอย่างแรงกล้า คุกเข่าลงคิดว่า พระ ศาสดาได้ทรงทราบความที่เราไม่กวาดก่อนนั่งแล้วหนอ บัดนี้เราจักขอให้พระองค์ทรงทำการทักท้วงในท่ามกลางสงฆ์ ไปสู่สำนักของพระทศพล ถวายบังคมแล้วนั่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอไปไหน? สารีบุตร แล้วตรัสว่า บัดนี้ การที่ไม่กวาดก่อนนั่ง ไม่สมควรแก่เธอ ผู้ตั้งอยู่ในตำแหน่ง เป็นรองถัดเราไป. จำเดิมแต่นั้นมา พระเถระเมื่อยืน แม้ในสถานที่ปลดลูกดุม ได้เอาเท้าเขี่ยหยากเยื่อแล้วจึงยืน. ๑- บาลีบางฉบับเป็น ปาสทิกํ แปลว่า น่าเลื่อมใสก็มี. [ว่าด้วยองค์ของพระวินัยธร] หลายบทว่า อตฺตโน ภาสปริยนฺตํ น อุคฺคณฺหาติ มีความว่า ไม่กำหนดที่สุดแห่งถ้อยคำของตน อย่างนี้ว่า ในคดีนี้ ได้สูตรเท่านี้ ได้วินิจฉัยเท่านี้ เราจักกล่าวสูตรและวินิจฉัยเท่านี้. แต่เมื่อไม่กำหนดอย่างนี้ว่า นี้เป็นคำต้น นี้เป็นคำหลังของโจทก์ นี้เป็นคำต้น นี้เป็นคำหลังของจำเลย ในคำของโจทก์และจำเลยนี้ คำที่ควรเชื่อถือเท่านี้ คำที่ไม่ควรเชื่อถือเท่านี้ ชื่อว่า ไม่กำหนดที่สุดแห่งถ้อยคำของผู้อื่น. สองบทว่า อาปตฺตึ น ชานาติ ได้แก่ ไม่รู้จักความทำต่างกันแห่งอาบัติ ๗ กองว่า ปาราชิกหรือสังฆาทิเสส เป็นต้น. บทว่า มูลํ มีความว่า มูลของอาบัติมี ๒ คือ กายและวาจา ไม่รู้จักมูล ๒ นั้น. บทว่า สมุทยํ มีความว่า สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ ชื่อว่าเหตุเกิดของอาบัติ ไม่รู้จักเหตุของอาบัติ ๖ นั้น. มีคำอธิบายว่า ไม่รู้จักวัตถุของอาบัติมีปาราชิกเป็นต้นบ้าง. บทว่า นิโรธํ มีความว่า ไม่รู้จักเหตุดับของอาบัติอย่างนี้ว่า อาบัตินี้ย่อมดับคือย่อมระงับด้วยการแสดง อาบัตินี้ด้วยการอยู่กรรม. อนึ่ง เมื่อไม่รู้จักสมถะ ๗ ชื่อว่าไม่รู้จักข้อปฏิบัติเป็นทางให้ถึงความดับแห่งอาบัติ. วินิจฉัยในหมวด ๕ แห่งอธิกรณ์ พึงทราบดังนี้ :- ความว่า ไม่รู้วิภาคนี้ คือ อธิกรณ์ ๔ ชื่อว่าอธิกรณ์. มูล ๓๓ ชื่อว่ามูลแห่งอธิกรณ์. วิวาทาธิกรณ์มีมูล ๑๒. อนุวาทาธิกรณ์มีมูล ๑๔. อาปัตตาธิกรณ์มีมูล ๖. กิจจาธิกรณ์มีมูล ๑. มูลเหล่านั้นจักมีแจ้งข้างหน้า. สมุฏฐานแห่งอธิกรณ์ ชื่อว่าเหตุเกิดแห่งอธิกรณ์. วิวาทาธิกรณ์อาศัยเภทกรวัตถุ ๑๘ เกิดขึ้น อนุวาทาธิกรณ์อาศัยวิบัติ ๔ เกิดขึ้น อาปัตตาธิกรณ์อาศัยกองอาบัติ ๗ เกิดขึ้น กิจจาธิกรณ์อาศัยสังฆกิจ ๔ อย่างเกิดขึ้น. สองบทว่า อธิกรณนิโรธํ น ชานาติ มีความว่า ไม่อาจเพื่อจะหยั่งถึงเค้าเงื่อนจากเค้าเงื่อน ให้วินิจฉัยถึงความระงับโดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสนา. อนึ่ง เมื่อไม่รู้จักสมถะ ๗ อย่างนี้ว่า อธิกรณ์นี้ระงับด้วยสมถะ ๒ อธิกรณ์นี้ระงับด้วยสมถะ ๔ อธิกรณ์นี้ระงับด้วยสมถะ ๓ อธิกรณ์นี้ระงับด้วยสมถะ ๑ ชื่อว่าไม่รู้จักข้อปฏิบัติเป็นทางให้ถึงความดับแห่งอธิกรณ์. สองบทว่า วตฺถุํ น ชานาติ ได้แก่ ไม่รู้จักวัตถุแห่งอาบัติ ๗ กองอย่างนี้ว่า นี้เป็นวัตถุแห่งปาราชิก นี้เป็นวัตถุแห่งสังฆาทิเสส. บทว่า นิทานํ ได้แก่ ไม่รู้ว่า สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติแล้วในนครนี้ บรรดานครทั้งหลาย ๗ สิกขาบทนี้ ทรงบัญญัติในนครนี้. สองบทว่า ปญฺญตฺตึ น ชานาติ ได้แก่ ผู้ไม่รู้จักบัญญัติแรกในสิกขาบทนั้นๆ.บทว่า อนุปญฺญตฺตึ ได้แก่ ไม่รู้จักบัญญัติเพิ่มเติม. บทว่า อนุสนฺธิวจนปถํ ได้แก่ ไม่รู้จักเพื่อจะกล่าวด้วยอำนาจความสืบเนื่องกัน แห่งถ้อยคำ และความสืบเนื่องกันแห่งวินิจฉัย. สองบทว่า ญตฺตึ น ชานาติ ได้แก่ ไม่รู้จักญัตติทุกๆ อย่าง. หลายบทว่า ญตฺติยา กรณํ น ชานาติ มีความว่า ไม่รู้จักกิจที่จะพึงทำด้วยญัตติ. ชื่อว่าญัตติกรรม ย่อมใช้ใน ๙ สถาน มีโอสารณาเป็นต้น. ไม่รู้ว่า เป็นผู้เข้ากรรมแล้วด้วยญัตติ ในญัตติทุติยกรรมและญัตติจตุตถกรรม. หลายบทว่า น ปุพฺพกุสโล โหติ น อปรกุสโล มีความว่า ไม่รู้จักคำที่จะพึงสวดก่อน และคำที่จะพึงสวดทีหลังบ้าง, ไม่รู้ว่า ธรรมดาญัตติต้องตั้งก่อน ไม่ควรตั้งทีหลัง บ้าง. สองบทว่า อกาลญฺญู จ โหติ มีความว่า ไม่รู้จักเวลา คือไม่ได้รับเผดียง ไม่ได้รับเชิญ ก็สวด คือไม่รู้จักทั้งกาลญัตติ ทั้งเขตญัตติ ทั้งโอกาสแห่งญัตติ. [ว่าด้วยภิกษุผู้อยู่ป่า] สองบทว่า มนฺทตฺตา โมมูหตฺตา ได้แก่ ไม่รู้จักอานิสงส์ในธุดงค์ เพราะ เป็นคนงมงายด้วยไม่รู้ทั่วทุกๆ อย่าง. บทว่า ปาปิจฺโฉ ได้แก่ ปรารถนาปัจจัยลาภ ด้วยการอยู่ป่านั้น. บทว่า ปวิเวกํ ได้แก่ กายวิเวก จิตตวิเวก อุปธิวิเวก. บทว่า อิทมฏฺฐิตํ มีวิเคราะห์ว่า ประโยชน์แห่งการอยู่ป่านั้น ย่อมมีด้วยปฏิบัติงามนี้ เพราะเหตุนั้น การอยู่ป่านั้น ชื่อว่า อิทมฏฺฐิ (มีประโยชน์ด้วยการปฏิบัติงามนี้). ความเป็นแห่งการอยู่ป่ามีประโยชน์ด้วยการปฏิบัติงามนี้ ชื่อว่า อิทมฏฺฐิตา, อาศัยการอยู่ป่ามีประโยชน์ด้วยการปฏิบัติงามนี้นั่นแล. อธิบายว่า ไม่อิงโลกามิสน้อยหนึ่งอื่น. [ว่าด้วยองค์ของภิกษุผู้ต้องถือนิสัย] สองบทว่า อุโปสถํ น ชานาติ ได้แก่ ไม่รู้จักอุโบสถ ๙ อย่าง. บทว่า อุโปสถกมฺมํ ได้แก่ ไม่รู้จักอุโบสถกรรม ๔ อย่าง ต่างโดยชนิดมีเป็นวรรคโดยอธรรมเป็นต้น. บทว่า ปาฏิโมกฺขํ ได้แก่ ไม่รู้จักมาติกา ๒ อย่าง. บทว่า ปาฏิโมกฺขุทฺเทสํ ได้แก่ ไม่รู้จักปาฏิโมกขุทเทส ๙ อย่างแม้ทั้งหมด. บทว่า ปวารณํ ได้แก่ ไม่รู้จักปวารณา ๙ อย่าง. ปวารณากรรมคล้ายกับอุโบสถกรรมนั่นแล. [วินิจฉัยในอปาสาทิกปัญจกะ] วินิจฉัยในอปาสาทิกปัญจกะ พึงทราบดังนี้ :- อกุศลกรรมมีกายทุจริตเป็นต้น เรียกว่ากรรมไม่น่าเลื่อมใส. กุศลกรรมมีกายสุจริตเป็นต้น เรียกว่ากรรมน่าเลื่อมใส. บทว่า อติเวลํ มีความว่า คลุกคลีอยู่ในสกุลทั้งหลายเกินเวลา คือสิ้นกาลมากกว่า อยู่ในวิหารน้อย. การที่กิเลสทั้งหลายหยั่งลงในภายใน ชื่อว่าช่อง. บทว่า สงฺกิลิฏฺฐํ ได้แก่ อาบัติต่างโดยชนิดในเพราะทุฏฐุลลวาจาและอาบัติในเพราะกายสังสัคคะเป็นอาทิ. วินิจฉัยในวิสุทธิปัญจกะ พึงทราบดังนี้ :- ปวารณาทั้ง ๙ อย่าง พึงทราบโดยปวารณาศัพท์. บทที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล. พรรณนาหมวด ๕ จบ.
วีนา คืนบาป สาปจากหลุม 2024 ‧ Horror/Drama ‧ 1 ชั่วมง 40 นาที|HD THAIวีนา คืนบาป สาปจากหลุม วีน่า หญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อของความโหดร้าย โดยแก๊งนักซิ่งของเมืองซิเรบอน ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าความตายของเธอเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ จึงทำให้วิญญาณของเธอเริ่มออกตามหาความจริงในช่วงเวลา7 วันก่อนที่จะเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ว่าเบื้องหลังของมัน คืออะไรกันแน่เล่นหลักดูหนังไม่ได้ ลองกดตัวเล่นอื่น ตัวเล่นหลัก แจ้งปัญหา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น