
(บทที่ ๘๒)
โป๊ยก่ายแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินไปมือเปล่าลงไปข้างเขาค้นหาทาง พบทางเล็กทางหนึ่งก็เดินตามทางนั้น เที่ยวค้นหามาประมาณห้าหกลี้ แลไปข้างหน้าก็เห็นปีศาจหญิงสาวสองคนกำลังตักน้ำอยู่ข้างสระ โป๊ยก่ายเดินเข้าไปใกล้ร้องเรียกว่าปีศาจ หญิงปีศาจทั้งสองได้ยินก็โกรธ จึงพูดกันว่าอ้ายคนนี้อยู่ที่ไหนมาพูดจองหอง มันไม่เคยรู้จักแก่เราเลยและไม่เคยพูดจาปราศรัยกัน ทำไมจึงมาเรียกพวกเราว่าเป็นปีศาจดังนี้ พูดแล้วก็เอาไม้คานมาตีศรีษะโป๊ยก่าย ๆ มือเปล่าถูกตีสี่ห้าทีก็วิ่งหนีกลับไปบนยอดเขา กระหืดกระหอบกลับมาบอกเห้งเจียว่ารีบกลับไปเถิด ปีศาจมันดุร้ายนัก เห้งเจียถามว่ามันดุร้ายอย่างไร โป๊ยก่ายบอกว่าที่ช่องเขานั้น มีปีศาจหญิงสาวสองคน มันอยู่ริมบ่อจะตักน้ำข้าพเจ้าเรียกมัน ๆ กลับเอาไม้คานมาตีข้าพเจ้า เห้งเจียว่าน้องไปเรียกมันอย่างไรหรือ โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าเรียกมันว่าอีปีศาจ เห้งเจียได้ฟังก็หัวเราะว่ามันตียังน้อยนัก โป๊ยก่ายว่ามันตีจนหัวบวมเป็นลูกมะกรูดดังนี้แล้วยังจะว่าน้อยอยู่อีกหรือ เห้งเจียพูดว่ากิริยาอ่อนโยนก็ไปได้ตลอดพิภพ ถ้าห้าวหาญแต่แค่คืบก็สยายไปไม่ได้
พวกปีศาจนั้นในที่ตำบลนี้เป็นของมัน พวกเรามาจากไกลและถือเพศเป็นสงฆ์ น้องไปคนเดียวจะต้องปราศรัยด้วยกิริยาอ่อนน้อม นี่ไปถึงก็ไปเรียกเขาว่าเป็นปีศาจดังนี้ เขาไม่ตีจะคอยตีใครที่ไหน ไม่ได้ยินหรือเขาย่อมว่าให้ถือธรรมเนียมเป็นต้น โป๊ยก่ายพูดว่าการขนบธรรมเนียมข้าพเจ้าไม่สู้จะเข้าใจตลอด ว่าควรจะทำประการใด เห้งเจียพูดว่าน้องเมื่อยังอยู่ป่าก็กินคน รู้จักไม้ในป่ามีสองอย่างหรือเปล่า โป๊ยก่ายบอกว่าข้าพเจ้าไม่รู้จัก ไม่เข้าใจสองอย่างนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เห้งเจียพูดว่าไม้อย่างหนึ่งเรียกว่า เอี้ยงปัก คือไม้สนจีน เนื้อไม้อ่อนละมุนดี พวกช่างไม้เอามาแกะเป็นรูปพระพุทธเจ้าและรูปเจ้า ประดับด้วยเพชรนิลจินดาแล้วปิดทอง ตั้งประดิษฐานไว้บนที่สูงสำหรับประชาชนทั้งหลายจุดธูปเทียนบูชากราบไหว้ อีกไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่าทันปั๊กคือไม้จันเนื้อแข็งแต่น้ำมันมี อยากจะเอาน้ำมันก็เอาปลอกเหล็กใส่แล้วเอาค้อนเหล็กตีเร่งให้น้ำมันออกดังนี้ ก็เพราะเนื้อแข็ง
โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า พี่ก็ดีแต่พูดเท่านั้น หากเมื่อแรกพูดให้ข้าพเจ้ารู้ดังนี้ ที่ไหนข้าจะถูกตีทำไม เห้งเจียพูดว่าน้องจงกลับลงไปถามดูให้แน่ใจ โป๊ยก่ายว่ามันจำข้าพเจ้าได้แล้วจะลงไปอย่างไรได้ เห้งเจียว่าน้องจงแปลงตัวไปเถิด โป๊ยก่ายว่าถ้าแปลงแล้วจะไปถามว่ากระไร เห้งเจียบอกว่าเดินไปเหมือนครั้งก่อน เมื่อถึงก็จงกระทำความคำนับ แล้วพิเคราะห์ดูหญิงนั้นอายุคราวกับเราหรือแก่อ่อนประการใด แม้ว่าแก่กว่าเรานิดหน่อยจงเรียกเขาว่าพี่แม้แก่มากจงเรียกเขาว่าน้าหากว่าใหญ่กว่าเราก็เรียกเขาว่าแม่ โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ และพูดว่าเขาก็มิได้อยู่ใกล้เคียงแก่เรา ทำไมจะไปเรียกเขาเป็นฉันญาติเล่า เห้งเจียพูดว่ามิใช่จะนับว่าเป็นญาติ เพราะเราต้องการธุระจะเอาความจริงเท่านั้น บางทีพวกมันจับเอาอาจารย์เราไปไว้ เราลงมือจะไม่ผิด หากว่าพวกมันมิได้เอาไปไว้เราจะได้คิดไปทางอื่น
โป๊ยก่ายว่าพี่พูดถูกต้อง ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะลงไปถามดูให้รู้แน่ก่อน โป๊ยก่ายก็เอาคราดเหน็บหลังไว้แล้ว ก็แปลงกายเป็นคนถือบวชเดินลงไปตามทางเก่า ครั้นมาถึงที่หญิงทั้งสองก็ร้องว่า ขอรับประทานโทษแม่ทั้งสองข้าพเจ้าคำนับ ฝ่ายนางปีศาจทั้งสองได้ยินก็มีจิตยินดี จึงปราศรัยถามว่าอยู่ที่ไหนและไปข้างไหนมา โป๊ยก่ายก็ตอบว่าอยู่ที่ไหนและไปไหนมา นางทั้งสองถามอีกว่าท่านชื่อเรียงเสียงไร โป๊ยก่ายก็ตอบว่าข้าพเจ้าชื่อเรียงเสียงไร นางทั้งสองพูดกันว่าคนผู้นี้ดูก็ดี แต่ไม่รู้จักพูด ๆ ตามปากเราดังนี้เอง โป๊ยก่ายจึงถามว่าแม่ทั้งสองจะหาบน้ำไปไหนหรือ นางทั้งสองตอบว่าท่านยังไม่เข้าใจ นายผู้หญิงของข้าพเจ้าเมื่อคืนนี้ อุ้มพระถังซัมจั๋งมาได้บัดนี้เอาไว้ในถ้ำ นางจะใคร่เลี้ยงเธอน้ำในถ้ำก็เหลือใช้ แต่ให้ข้าพเจ้ามาเอาน้ำที่บ่อนี้ คือน้ำประอากาศบริสุทธิ์เป็นน้ำเชื้อร่วมสามัคคี เอาไปจะได้จัดต้มหุงเครื่องกระยาหารให้พระถังซัมจั๋งกินแล้ว เวลาค่ำจะได้เข้าร่วมห้องกับนายข้าพเจ้า
โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็รีบกลับมาหาเห้งเจีย ครั้นมาถึงก็ร้องเรียกซัวเจ๋งว่า จงเอาข้าวของมาแบ่งปันกันเกิด ซัวเจ๋งถามว่าที่จะแบ่งข้าวของทำไม โป๊ยก่ายพูดว่าพระอาจารย์อยู่ในถ้ำมีเมียปีศาจเสียแล้ว พวกเราเอาเข้าของแบ่งกันจะได้ไปตั้งการทำมาหากินมิดีหรือ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงร้องตวาดว่า อ้ายหมูพูดจาเลอะเทอะ หากปีศาจจับอาจารย์ไปได้คุมขังไว้ในถ้ำ พระอาจารย์ตั้งตาคอยพวกเราอยู่จะให้พวกเราไปช่วย เจ้าไปได้ข่าวมาแล้วทำไมจึงมาคิดดังนี้จะมิผิดไปหรือ โป๊ยก่ายถามว่าจะคิดอุบายอย่างไรจึงจะช่วยอาจารย์ออกมาได้เล่า เห้งเจียพูดว่าจงตามหลังนางปีศาจทั้งสองนั้นไป ถ้าถึงประตูถ้ำแล้ว พวกเราพร้อมกันลงมือก็จะสำเร็จการ โป๊ยก่ายก็เชื่อคำเห้งเจียพากันเดินตามนางปีศาจนั้นไป ครั้นเดินมาได้ประมาณสามสิบเส้น นางทั้งสองก็เดินเข้าไปในเขาลับแลไม่เห็น
ฝ่ายเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเดินตามมาแลไม่เห็นนางทั้งสอง โป๊ยก่ายก็ตกใจพูดว่า อาจารย์เราเห็นปีศาจยักษ์มันจะจับไปแล้วดอกกระมัง เห้งเจียถามว่าทำไมเจ้าจึงจะรู้ได้ โป๊ยก่ายพูดว่าก็เราเดินตามนางทั้งสองมา นางหาบน้ำเดินไปข้างหน้า บัดเดี๋ยวก็ไม่เห็นดังนี้ จะไม่เป็นอียักษ์มันจับไปดอกหรือ เห้งเจียพูดว่าเราคิดดูเห็นว่านางทั้งสองนั้นจะเข้าถ้ำไปแล้ว พูดแล้วเห้งเจียก็เขม่นมองดูรอบภูเขาก็ไม่เห็นไหวติง มองไปอีกก็แลเห็นในชวากเขามีเพิงศิลาปรกเงื้อมลงมา ข้างนั้นมีหลังคากระท่อมมีไมัขวาง และมีป้ายศิลาตั้งมีตัวอักษรหกตัวว่า (ฮั้มตังซัว) ถ้ำโป๊เต๊ยต๋อง เห้งเจียจึงบอกแก่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่า ปีศาจมันทำกระท่อมบนปากถ้ำ มันคงอาศัยอยู่ใต้นั้น แตไม่รู้ว่าประตูจะเข้าทางใด เห้งเจียจึงเดินเข้าไปทางหลังป้าย พิเคราะห์ดูก็แลเห็นมีก้อนศิลาใหญ่ประมาณกว้างยาวสักห้าเส้น ที่กลางก้อนศิลามีรูใหญ่หนึ่งรู ที่ใต้นั้นมีแสงสว่างขึ้นวับ ๆ แวม ๆ โป๊ยก่ายพูดว่าชะรอยปีศาจมันจะเข้าออกทางรูนี้
เห้งเจียว่าประหลาดแท้ ๆ ตั้งแต่รักษาอาจารย์มา ได้กำจัดปีศาจทุกๆ ถ้ำไม่เคยเห็นถ้ำอย่างนี้ เห้งเจียจึงบอกโป๊ยก่ายว่า น้องจงลงไปดูจะตื้นลึกสักเพียงไหน ให้แน่แล้วพี่จะได้ไปแก้อาจารย์ออกมา โป๊ยก่ายสั่นศีรษะว่ายากนัก ๆ ตัวข้าพเจ้าเกะกะรุงรังดังนี้ ไม่ทราบว่าสองสามปีจะถึงใต้ก้นหรืออย่างไรก็ไม่รู้ เห้งเจียพูดว่าจะลึกถึงดังนั้นทีเดียวหรือ โป๊ยก่ายว่าพี่จงมามองดู เห้งเจียก็ไปมองดูเห็นลึกประมาณสักสามร้อยลี้ เห้งเจียจึงหันหน้ามาบอกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่าลึกเหลือเกิน โป๊ยก่ายพูดว่าพวกเราพากันกลับเถิดช่วยอาจารย์ไม่ได้แล้ว เห้งเจียพูดว่าน้องอย่าได้มีความเกียจคร้านท้อถอย เอ่ย จงวางหาบข้าวของลงพักก่อน น้องทั้งสองคอยรอ สกัดอยู่ที่นี่ พี่จะเข้าไปฟังข่าวดูให้แน่นอน แม้อาจารย์อยู่ในนี้จริงแล้วพี่จะตีขนาบข้างในออกมา น้องทั้งสองคอยสกัดกั้นไว้สมทบช่วยกันเมื่อตีปีศาจตายแล้วก็จะช่วยอาจารย์ออกมาได้
โป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่าแล้วแต่พี่จะเห็นชอบ ข้าพเจ้าทั้งสองจะคอยอยู่ที่นี่ เห้งเจียก็บันดาลให้เกิดเป็นเมฆ แล้วขึ้นเหยียบค่อย ๆ ผ่อนลงไปบัดเดี๋ยวก็ถึงบาดาล พิเคราะห์ดูรอบเห็นเป็นเวิ้งวุ้งมีแสงสว่างดุจแสงพระอาทิตย์ส่อง แต่ต้นผลไม้ก็มีเป็นหลายอย่าง เห้งเจียสรรเสริญว่าที่ถ้ำนี้ราวกับเทพยดามาเสกสรร นฤมิต แลไปก็เห็นมีรูปน้ำย้อยมีช่องประตู ในนั้นมีต้นไม้ต่าง ๆ และมีห้องหอเคหาอยู่เรียงราย เห้งเจียเห็นดังนั้นก็นึกแต่ในใจว่า ที่ในประตูนี้จะเป็นที่ปีศาจมันอยู่เป็นแน่ จำเราจะต้องแปลงกายเข้าไปดูให้รู้ว่าจะเป็นประการใด คิดแล้วเห้งเจียแปลงเป็นแมลงวันหัวเขียวค่อย ๆ บินเข้าไปในประตู แลไปก็เห็นปีศาจนั่งอยู่ที่กลางหอ พิเคราะห์ดูลักษณะรูปร่างแต่งตัวแปลกประหลาด ไม่เหมือนที่ถูกแขวนอยู่ที่ป่าสนและที่พาไปอาศัยอยู่ที่วัดไม่งามเหมือนวันนี้
เห้งเจียก็บินรอคอยฟังกิริยาปีศาจอยู่ เห็นนางปีศาจมีสีหน้ารื่นเริงยิ้มแย้ม กำชับสั่งนางสาวใช้ให้รีบจัดเครื่องโต๊ะมา เรากับพี่ถังซัมจั๋งกินโต๊ะแล้วจะได้ร่วมห้อง เห้งเจียได้ยินก็นึกอดหัวเราะไม่ได้ คิดอยู่ในใจว่าอีนางปีศาจมันพูดเอาจริงจังดังนั้น เรายังไม่รู้จิตใจอาจารย์ท่านจะคิดเห็นไปอย่างไร เห้งเจียคิดแล้วก็บินเข้าไปชั้นในพิเคราะห์ดู เห็นที่ระเบียงข้างตะวันออกมีห้องลั่นกุญแจ ข้างในห้องมีพระถังซัมจั๋งอยู่ไนนั้น เห้งเจียเห็นแน่แล้วก็บินลอดเข้าไปจับที่ใบหูพระถังซัมจั๋งเรียกว่า พระอาจารย์คำหนึ่ง พระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงก็จำได้ จึงร้องเรียกว่าสานุศิษย์ช่วยชีวิตเราด้วยเถิด เห้งเจียพูดว่าปีศาจมันจัดแจงวิวาหะการจะร่วมห้องกับอาจารย์ บางทีจะเกิดบุตรชายหญิงสักสองคนจะได้เชื้อพระสงฆ์ต่อไป อาจารย์ควรจะมีความรื่นเริงจะมาเศร้าหมองไปทำไม
พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น กัดฟันพูดว่าตั้งแต่มามีวันใดอาตมานอกใจบ้าง หรือวันนี้มาต้องปีศาจร้ายมันพามาเข้าที่บังคับ จะให้อาตมาสู่สมร่วมสมัครสังวาสเป็นสามีภรรยาแก่มัน แม้อาตมาจะทิ้งธรรมอันประเสริฐยินดีในอสัทธรรมตัวอาตมาจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฎ ทุกข์เอนกชาติ สักเมื่อไรจะได้พ้นทุกข์ แจ้งซึ่งมรรคผลและพระนฤพาน เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าอาจารย์จะต้องปฏิญาณทำไม ถ้าจริงใจดังนั้นแล้วข้าพเจ้าจะช่วยให้พ้นจากมือมาร พระถังซัมจั๋งพูดว่าหนทางที่เดินเข้ามานี้อาตมาก็จำไม่ได้ ไม่รู้ว่ามาอย่างไรทางไหน เห้งเจียว่าอาจารย์อย่าพูดเรื่องลืมทางเลย อันถ้ำนี้แปลกประหลาดกว่าถ้ำอื่นๆ ทุกๆ ถ้ำที่เราเคยเห็นมาก่อนๆ นั้น แลทางที่จะเข้าออกมิใช่ง่าย เมื่อจะเข้าต้องมุดข้างบนลงมา หากจะช่วยออกไปต้องมุดข้างล่างขึ้นไป ถ้าสมคิดก็จะออกไปได้ ถ้าไม่สมคิดก็จะนั่งคอยตายอยู่ในนี้ ไม่รู้ว่าจะแก้ไปอย่างไรจึงจะออกไปได้
พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ พูดว่ามีความลำบากยากแค้นดังนี้จะทำประการใดดี เห้งเจียพูดว่าไม่เป็นไร แม้ว่าเมื่อเวลานางปีศาจเข้านั่งโต๊ะ มันก็จะให้อาจารย์เสพสุราด้วยกับมัน อาจารย์ก็จะขัดไม่ได้จำเป็นจะต้องผ่อนผันตามอัธยาสัยมัน อาจารย์ก็จะต้องดื่มสักถ้วยหนึ่งแล้ว จงเอาป้านสุรารินส่งให้มันกินซ้อนสักสองสามถ้วย แล้วอาจารย์รินอีกสักถ้วยหนึ่งให้มีฟอง ข้าพเจ้าจะแปลงเป็นแมลงหวี่ตัวหนึ่งมุดลงแอบในฟองสุรา ถ้าปีศาจมันยกถ้วยขึ้นดื่มสุราเข้าไป ข้าพเจ้าจะตามน้ำสุราเข้าไปในท้องมันจะทึ้งไส้พุง ตับ ปอดและหัวใจมันให้เจ็บจวนตาย ก็จะช่วยอาจารย์ออกพ้นจากทุกข์ได้
พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงพูดว่าถ้าคิดดังนี้เห้งเจียจงตามอาตมาไป คอยท่าที่จะกระทำการตามคิด พระถังซัมจั๋งกับเห้งเจียคิดกันพอเสร็จ ก็พอนางปีศาจจัดเครื่องโต๊ะพร้อมเพรียงเรียบร้อยแล้ว นางจึงเดินมาที่ห้องพระถังซัมจั๋ง ร้องเรียกว่าท่านถังซัมจั๋ง พระถังซัมจั๋งก็นิ่งไม่อาจรับ นางจึงเรียกอีกคำหนึ่ง พระถังซัมจั๋งอดไม่ได้จึงขานรับ ว่าอาตมภาพอยู่นี่ นางปีศาจก็ตรงเข้าไปจับมือพระถังซัมจั๋ง พาเดินเรียงออกมา นางปีศาจทำกิริยาเล้าโลมเคล้าคลึงด้วยความกำหนัดเสน่หา มิได้รู้ว่าพระถังซัมจั๋งมีแต่ความรำคาญด้วยจำเป็น นางปีศาจประคองพระถังซัมจั๋งมาให้นั่ง แล้วบอกว่าข้าพเจ้าจัดเครื่องกระยาหารไว้เสร็จ ขอเชิญหลวงพี่กับข้าพเจ้ากินเล่นให้สำราญในวันนี้ พระถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพตั้งแต่เยาว์มาก็มิได้เคยรับประทานของสดคาว
นางปีศาจจึงพูดว่าตัวข้าพเจ้าก็เหมือนกันไม่เคยกินเครื่องสดคาว สิ่งของที่จัดมาวันนี้ก็ล้วนเป็นเครื่องกระยาบวชทั้งนั้น ในถ้ำนี้น้ำก็ถมไปไม่ขาด แต่ข้าพเจ้าใช้คนขึ้นไปเอาน้ำสะอาดบนยอดเขามาทำเครื่องกระยาบวช น้ำนั้นเรียกว่าน้ำบริสุทธิ์สมาคม ท่านกับข้าพเจ้ากินเล่นให้เป็นสุขในเวลาวันนี้ พระถังซัมจั๋งก็เข้านั่งโต๊ะ นางปีศาจสองมือประคองยกป้านสุรารินใส่ถ้วยแล้ว ประคองถ้วยลุกยืนขึ้นส่งให้พระถังซัมจั๋ง ปากก็พูดว่าเชิญหลวงพี่รับประทานสุราอย่างดี ซึ่งข้าพเจ้าได้ตั้งใจจะร่วมรักกับท่านในวันนี้ พระถังซัมจั๋งมีความอดสูแต่ในใจ จึงรับถ้วยสุรามาจิต ไตร่ตรองไม่แน่ลงไปได้ เห้งเจียแปลงกายจับอยู่ที่ใบหูบอกว่า เครื่องโต๊ะนั้นเครื่องกระยาบวชทั้งสิ้น อาจารย์จงกินเถิดไม่เป็นไรอย่าวิตกเลย พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้น ก็ยกถ้วยสุราขึ้นดื่มแล้ว จึงเอาป้านสุรามารินใส่ถ้วยยกส่งให้นางปีศาจ ๆ รับดื่มแล้ว ก็รินซ้ำส่งให้อีกหนึ่งถ้วย พระถังซัมจั๋งจึงรินอีกหนึ่งถ้วยให้เป็นฟองพูนสูงขึ้น
เห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงหวี่บินมุดเข้าอยู่ในฟองสุรา พระถังซัมจั๋งก็ยกส่งให้นางปีศาจอีกถ้วยหนึ่ง นางปีศาจรับมาแล้ววางลงที่โต๊ะคำนับพระถังซัมจั๋งว่า ขอหลวงพี่สั่งสอนสนทนาก่อนแล้วจึงค่อยรับประทาน นางปีศาจวางถ้วยลง มัวพูดกับอาจารย์ถังซัมจั๋งฟองสุราก็ยุบหายหมด นางปิศาจแลเห็นแมลงหวี่ลอยอยู่ในสุรา จึงเอาเล็บนิ้วก้อยช้อนดีดลงกับพื้น เห้งเจียเห็นดังนั้นก็นึกว่ายาก เห็นการจะไม่สำเร็จเสียแล้ว ความคิดที่จะเข้าท้องปีศาจก็ไม่ได้ จึงแปลงกายเป็นนกอินทรีใหญ่บินขึ้นบนโต๊ะเอาเท้ากวาดเครื่องโต๊ะ ถ้วยชามก็ตกลงจากโต๊ะหมดสิ้น โฉบเอาพระถังซัมจั๋งไป
ฝ่ายนางปีศาจตกใจระรัวสั่น วิ่งมายึดพระถังซัมจั๋งไว้ เห้งเจียจะพาไปก็มิได้ นางปีศาจถามว่าอ้ายสัตว์นี้อยู่ที่ไหน เราจัดแจงสิ่งของไว้ไม่รู้เท่าไร ปราถนาจะทำการวิวาหะมงคลและกินให้สนุกสบาย ไม่รู้ว่าสัตว์นี้มาจากที่ไหนจึงได้มาทำลายของเราเสียดังนี้ พวกปีศาจคนใช้ว่ากระยาหารหกกับพื้นเปื้อนเปรอะไปทั้งสิ้น ดังนี้จะใช้อย่างไรได้ นางปีศาจพูดว่าเรารู้แล้ว คือฟ้าดินเทพยดาเห็นเราขังพระถังซัมจั๋งไว้ไม่พอใจ จึงให้สัตว์นี้ลงมาทำลายข้าวของ ๆ เราเหล่านี้ พวกเจ้ารีบเก็บถ้วยชามของแตกเสียนั้น เอาออกไปเสียโดยเร็วรีบจัดเครื่องใหม่ไม่ว่าแจและโช เอามาตั้งให้เรียบร้อยพร้อมเพรียง เราจะอธิษฐานกับฟ้าดินเป็นเฒ่าแก่ให้เรา เรากับพระถังซัมจั๋งได้ร่วมห้องกันในวันนี้ นางปีศาจสั่งเสร็จแล้วก็ส่งพระถังซัมจั๋งไปอยู่ที่ห้องยังเดิม
ฝ่ายเห้งเจียก็บินออกจากปากถ้ำ กลายกลับเป็นรูปเดิมเดินมาหาโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ร้องให้เปิดประตูโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็เปิดประตูออกมาแลเห็นเห้งเจีย โป๊ยก่ายจึงถามถึงเหตุการณ์ที่พระอาจารย์นั้นว่าเป็นประการใด เห้งเจียก็เล่าตั้งแต่ต้นจนปลายให้ฟังทุกประการ แล้วจึงสั่งว่าน้องทั้งสองจงระวังอยู่ที่นี่ให้มั่นคง พี่จะกลับลงไปคิดแก้ไขอาจารย์ออกให้จงได้ พูดแล้วเห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงวันหัวเขียวบินกลับลงไปจับที่ขื่อหน้าหอคอยฟังเหตุ ก็ได้ยินเสียงปีศาจบ่นด่านกเหยี่ยว และสั่งพวกคนใช้ว่าคราวนี้จัดเครื่องกระยาหารไม่ว่าแจและโช จะขอให้ฟ้าและดินเป็นเฒ่าแก่ เห้งเจียจับอยู่บนขื่อได้ยินปีศาจพูดดังนั้นก็นึกหัวเราะแต่ในใจ คิดว่าอีปีศาจนี้มันชั่งไม่มีความอายเลย เวลากลางวันแสก ๆ มันจับพระถังซัมจั๋งไว้ จะคิดข่มขืนเอาเป็นผัว เราจะไปหาอาจารย์ดูก่อนจะเป็นประการใด
คิดแล้วก็บินไปที่ห้องอาจารย์อยู่ ครั้นถึงก็บินลอดเข้าไปในประตูจับที่ใบหูร้องเรียกอาจารย์ พระถังซัมจั๋งกำลังเช็ดน้ำตา ได้ยินเสียงเรียกก็จำได้ว่าเห้งเจีย มีใจแค้นเห้งเจีย พูดว่าทำลายของมันเสียหมด แล้วได้ยินมันสั่งว่าให้จัดทำเครื่องใหม่ไม่ว่าสดคาวใช้ได้ทั้งสิ้น มันจะทำวิวาหะแก่อาตมาในวันนี้ การเป็นอย่างนี้เห้งเจียจะคิดประการใด เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าอาจารย์อย่าวิตก ข้าพเจ้าคงจะมีความคิดช่วยอาจารย์ออกให้จงได้ พระถังซัมจั๋งว่าจะคิดอย่างไร เห้งเจียบอกว่าเมื่อข้าพเจ้าบินมาเห็นที่หลังสวนดอกไม้ อาจารย์จงชวนมันให้ออกไปที่สวน เมื่อเวลาไปถึงต้นชมภพู่จงหยุดรอ ข้าพเจ้าจะแปลงเป็นผลชมภพู่สุกอาจารย์จงเก็บเอาผลชมภพู่ส่งให้ปีศาจ ถ้ามันกินอาจารย์ก็จะได้รอดพ้นมือมารไปได้ ข้าพเจ้าเข้าอยู่ในท้องแล้วก็จะกระทำมันให้เจ็บปวดสาหัส อาจาริย์ก็จะได้ออกจากถ้ำ
พระถังซัมจั๋งว่าเห้งเจียมีฤทธาอานุภาพจะต่อสู้แก่มันตรง ๆ มิดีหรือ ทำไมจึงต้องคิดเข้าอยู่ในท้องมันดังนี้ร่ำไป เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์ไม่เข้าใจ หากถ้ำนี้เข้าออกโดยง่ายก็จะต่อสู้รบแก่มันได้ เพราะเหตุเข้าออกแสนยากจะลงมือต่อสู้แก่มันมิใช่ง่าย เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้อุบายอย่างนี้ พระถังซัมจั๋งก็พยักหน้าเชื่อเห้งเจีย อาจารย์กับศิษย์คิดกันเสร็จ แล้วพระถังซัมจั๋งก็เดินมาที่ประตู ร้องเรียกนางปีศาจว่าแม่น้องสองคำ นางปีศาจได้ยินก็หัวเราะ ถามว่าท่านพี่มีกิจธุระอะไรหรือ พระถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพตั้งแต่มาจากเมืองเดินมาตามทางถูกแดดถูกฝนต้องความลำบาก เมื่อวันอาศัยที่วัดติ๊นใฮ้ยี่ก็ให้เจ็บไข้ไม่สบายตัว มาวันนี้ในตัวพึ่งค่อยทุเลา แม้น้องพามาอยู่ในถ้ำนี้ นั่งอยู่ที่เดียวจิตใจไม่สบายให้ชักง่วงเหงาไป แม่น้องช่วยพาไปเที่ยวเล่นให้โปร่งใจแก้รำคาญสักหน่อยเถิด
นางปีศาจได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดว่าท่านพี่จะใคร่ไปเที่ยวเล่นแก้รำคาญข้าพเจ้าจะพาไปเที่ยวเล่นในสวนให้สบาย นางพูดดังนั้นแล้ว จึงเรียกพวกคนใช้ให้ไปเปิดประตูสวน จัดกวาดให้สะอาดนางปีศาจจึงมาเปิดประตูห้องพยุงพระถังซัมจั๋งออกจากห้องแล้ว พวกปีศาจสาวใช้ต่างก็แต่งตัวผัดหน้าทาแป้งดูสะสวยสำอางทุก ๆ คน พากันตามนางปีศาจไปห้อมล้อมพระถังซัมจั๋งพาไปยังสวน ครั้นพากันเข้าในสวนแล้ว นางปีศาจค่อยอ้อนวอนพระถังซัมจั๋งว่า ท่านพี่ในสวนนี้ตามแต่จะชมเล่นให้สบายหายความรำคาญ และเป็นที่รื่นเริงเราทั้งสอง นางปีศาจก็จูงมือพระถังซัมจั๋งเดินชมต้นผลไม้ ด้วยต้นผลไม้มีดอกดวงพวงผลต่าง ๆ ประหลาดงามไม่รู้สิ้น ข้ามมาหลายแห่งแลไปเห็นต้นชมพู่สล้างเป็นดง
ฝ่ายเห้งเจียจับอยู่บนใบหูอาจารย์ ครั้นอาจารย์เดินมาใกล้ต้นชมพู่ เห้งเจียก็ผละบินออกจากอาจารย์ไปจับที่กิ่งชมพู่ จึงแปลงกายกลายกลับเป็นผลชมพู่มีสีแดงน่าชม พระถังซัมจั๋งแกล้งถามนางปีศาจว่า ในสวนนี้ต้นผลไม้อื่นก็สุกพร้อมกัน ยังผลชมภู่บ้างก็เขียวครึ่งแดงครึ่งเหตุใดจึงสุกไม่ทั่วผลดังนี้ นางปีศาจจึงตอบว่า ฟ้าไม่มีตะวันเดือนก็ไม่สว่าง ดินไม่มีธาตุอิมเอี๊ยงต้นผลไม้ก็ไม่ขึ้นได้ คนไม่มีธาตุอิมเอี๊ยงประกอบก็ไม่มีชายหญิงเหมือนผลชมภู่ ข้างไหนรับแสงแดดข้างนั้นก็สุกแดง ข้างไหนไม่ได้รับแสงตะวันข้างนั้นก็มีสีเขียว เพราะสารพัดการต้องอาศัยธาตุเป็นใหญ่ พระถังซัมจั๋งได้ฟังนางปีศาจชี้แจงแสดงความให้ฟังดังนั้น จึงสรรเสริญว่าขอบใจซึ่งชี้แจงให้อาตมาเข้าใจในเหตุนี้
พระถังซัมจั๋งเดินมาเหนี่ยวกิ่งเก็บเอาผลชมพู่แดงผลหนึ่ง นางปีศาจก็มาเก็บเอาผลชมภู่สีเขียวผลหนึ่ง พระถังซัมจั๋งเอาผลชมภู่สีแดงส่งให้นางปีศาจแล้วพูดว่านางน้องชอบกินผลชมภู่สีแดง เปลี่ยนเอาผลชมภู่สีเขียวให้อาตมาจะกินเล่น นางปีศาจคิดว่าจริง จึงเอาชมพู่สีเขียวส่งให้พระถังซัมจั๋ง รับเอาผลชมพู่สีแดงมาแล้วนึกยิ้มอยู่ในใจว่า สงฆ์นี้มีกะใจ ยังไม่ทันร่วมรักเป็นผัวเมียยังมีจิตรักใคร่ดังนี้ ฝ่ายพระถังซัมจั๋งรับชมพู่มาจากมือนางปีศาจแล้ว ก็กินในเวลานั้น นางปีศาจเห็นดังนั้นก็มีความยินดี จึงเอาชมพู่ใส่ปากกินกลืนลงไปในท้อง ฝ่ายเห้งเจียใจร้อนเห็นได้ทีก็รีบคลานเข้าไปในท้องปีศาจ นางปีศาจตกใจพูดแก่พระถังซัมจั๋งว่า ผลไม้นี้ยังไม่ทันเคี้ยวก็ลงไปเสียในท้องก่อนดังนี้
พระถังซัมจั๋งพูดว่าเพราะแม่น้องอยากกินยังไม่ทันเคี้ยวก็ลงไปเอง ฝ่ายเห้งเจียเข้าไปในท้องปีศาจได้แล้ว จึงร้องเรียกพระถังซัมจั๋งว่าพระอาจารย์อย่าตอบปากแก่มันเลยข้าพเจ้าได้ทีแล้ว พระถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียพูด จึงพูดว่าเห้งเจียจงผ่อนผันตามการ นางปีศาจได้ยินดังนั้น จึงถามว่าพี่พูดแก่ใครที่ไหน พระถังซัมจั๋งตอบว่าชมพู่สุกที่กินเข้าไปนั้นมิใช่หรือ นางปีศาจได้ฟังดังนั้นก็ตกใจพูดว่าถ้าดังนั้นข้าพเจ้าจะถึงแก่ความตาย นางปีศาจจึงร้องว่าอ้ายหงอคงมึงร้อยพันหมื่นแสนกล เข้าไปอยู่ในท้องเราทำไม เห้งเจียบอกว่าเขาไม่ทำอะไรดอก เขาจะกินหัวใจตับไตใส้พุงให้หมดเท่านั้น นางปีศาจได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึงขวัญหาย
เห้งเจียกำหมัดออกท่ามวยกระโดดชกเอากะเพาะเข้านางปีศาจ ๆ ทนเจ็บไม่ได้ก็ล้มกลิ้งลงกับพื้นสลบไปไม่พูดจา เห้งเจียเห็นปีศาจนิ่งแน่ไม่พูดจาก็นึกว่ามันตายแล้ว จึงค่อยเอามือขยำไส้แต่เบา ๆ ปีศาจรู้สึกหายใจออกได้จึงร้องเรียกว่าพวกเล็ก ๆ ไปอยู่ไหน ฝ่ายพวกนางสาวใช้ เมื่อได้ยินเสียงนางปีศาจเรียกก็พากันวิ่งมา แลเห็นนางล้มกลิ้งอยู่กับพื้นสีหน้าผิดปรกติร้องครางมิได้หยุด นางเหล่านั้นพากันเข้าช่วยพยุงให้นั่งขึ้น ถามว่าแม่เป็นอะไรไปหรือ นางบอกว่าในท้องเรานี้มีคนเข้าไปอยู่ในนั้น พวกเจ้าจงพาพระถังซัมจั๋งออกไปส่งเสียโดยเร็ว พวกเหล่านั้นก็พากันมาจะหามพระถังซัมจั๋งออกไปส่ง เห้งเจียอยู่ในห้องร้องว่าใครจะกล้าหามไปส่ง ตัวเจ้าจงรีบพาอาจารย์เราออกไปส่ง เราจึงจะยกชีวิตให้เจ้า นางปีศาจได้ฟังดังนั้นก็คิดเสียดายชีวิต ผุดลุกขึ้นเอาพระถังซัมจั๋งขึ้นวางบนหลังแล้วก็วิ่งไป
พวกนางสาวใช้วิ่งตามว่าแม่จะวิ่งไปข้างไหน นางปีศาจบอกว่าเอาเธอไว้ไม่ได้ รอเราส่งเธอออกไปแล้วจึงค่อยหาเอาใหม่เถิด ว่าแล้วนางจึงแผลงฤทธิ์บันดาลเป็นแสงสว่าง เหาะขึ้นมาถึงปากถ้ำก็ได้ยินเสียงเอะอะและเสียงศาสตราอาวุธอยู่เกรียวกราว พระถังซัมจั๋งจึงพูดแก่เห้งเจียว่า เสียงพลทหารอาวุธอะไรเกรียวกราวอยู่ข้างนอก เห้งเจียบอกว่า โป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งคอยระวังอยู่ข้างนอกประตู พระอาจารย์จงเรียกเธอสักคำหนึ่งเถิด พระถังซัมจั๋งจึงเรียกโป๊ยก่าย ๆ ได้ยินบอกแก่ซัวเจ๋งว่าอาจารย์ออกมาแล้ว สองคนต่างก็ถืออาวุธคอยระวังอยู่
(บทที่ ๘๓)
ฝ่ายปีศาจแบกพระถังซัมจั๋งออกมานอกถ้ำแล้ว ซัวเจ๋งเห็นก็ดีใจ จึงถามว่าพระอาจารย์ออกมาแต่ผู้เดียว ทำไมไม่เห็นพี่เห้งเจียออกมาเล่า พระถังซัมจั๋งบอกว่า เห้งเจียนั้นอยู่ในท้องนางปีศาจ โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อนิจจังทำไมจึงจะฆ่าคนดังนั้นเล่า จะเข้าไปอยู่ในท้องเขาจะเอามรรคผลอะไรก็ไม่รู้ เชิญพี่ออกมาเถิด เห้งเจียอยู่ในท้องปีศาจจึงร้องบอกให้นางปีศาจอ้าปากขึ้นให้กว้างเราจะออกไป ปีศาจก็อ้าปากออกคอยท่า เห้งเจียเห็นปีศาจอ้าปากแล้วก็ยังไม่วางใจ วิตกเกรงว่าปีศาจจะกระทำร้ายจึงเอาตะบองเสกให้กลายเป็นผลพุดซาใหญ่ เอาเข้าขัดที่โคนขากันไกรแล้ว เห้งเจียก็ขยับตัวผลุดลุกออกไปนอกปาก ครั้นออกมานอกปากปีศาจแล้วก็กลายกลับเป็นรูปเดิม มือถือตะบองเหล็กตรงเข้ามาจะตีปีศาจ ปีศาจเห็นดังนั้นก็ชักเกี่ยมออกมาถือสองมือ คอยรอรับเข้ารบแก่เห้งเจียอีก
ฝ่ายโป๊ยก่ายยืนอยู่ข้างนั้น แลเห็นปากก็บ่นพึมพำว่าพี่เห้งเจียไม่ควรเลย เมื่ออยู่ในท้องควรจะเอากำหมัดกระทุ้งมันให้ทะลุแล้วก็ฉีกออกมาดุจแหวกม่านจะมิดีหรือ พี่กลับปล่อยให้มันทำอิทธิฤทธิ์อีกดังนี้ ซัวเจ๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็พูดขึ้นว่าพี่พูดดังนี้ถูกแล้ว พี่เห้งเจียติดเปล่าเสียแล้ว เราทั้งสองต้องช่วยกันรบปีศาจให้แพ้แล้วจึงค่อยกลับ โป๊ยก่ายยกมือสั่นว่าไม่ได้ ๆ อย่าทำเล่น ซัวเจ๋งว่าพี่พูดอะไรอย่างนั้นเล่า จำพวกเราจะต้องช่วยกันรบให้ชนะโดยเร็วจึงพร้อมกันเข้าไล่ติดตามไป ทิ้งพระถังซัมจั๋งให้นั่งอยู่แต่ผู้เดียวที่ปากถ้ำ
ฝ่ายนางปีศาจรบแก่เห้งเจียสองต่อสองก็ยังสู้ไม่ได้ ซ้ำโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเข้าช่วยอีกสองคนก็เหลือกำลังจะรับรอง จึงผละออกหนีไป ฝ่ายเห้งเจียเห็นปีศาจถอยหนี ก็ร้องเสียงดังขึ้นว่า น้องทั้งสองจงไล่ตีจับปีศาจให้จงได้ ฝ่ายนางปีศาจล่าหนีมาเห็นโป๊ยก่ายซัวเจ๋งไล่กระชั้นจวนตัว ก็ถอดรองเท้าปักข้างขวาร่ายคาถาขว้างไปกลายเป็นรูปปีศาจเข้าสู้รบ ตัวนางปีศาจก็แปลงเป็นสายลมหนีกลับมาที่ปากถ้ำ แลเห็นพระถังซัมจั๋งอยู่แต่ผู้เดียว นางปีศาจก็เข้าอุ้มเอาพระถังซัมจั๋งกับถุงย่ามข้าวของและม้าพาเหาะกลับเข้าไปในถ้ำ
ฝ่ายโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งไล่มาทันปีศาจแปลงเข้า ก็ยกคราดขึ้นสับลงไปทีหนึ่ง ถูกปีศาจกลายเป็นรองเท้าตกอยู่กับพื้นข้างหนึ่ง เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงร้องขึ้นว่า เจ้าทั้งสองชาติชั่วทำไมจึงไม่อยู่เฝ้ารักษาพระอาจารย์ โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียว่าดังนั้น จึงหันหน้ามาพูดกับซัวเจ๋งว่า เราได้พูดแล้วเห็นหรือไม่ พี่เห้งเจียแกเป็นคนกระเบียดกระเสียนอยากจะใคร่ได้ดีกว่าเรา ๆ พากันมาช่วยรบปีศาจแพ้แล้ว เธอกลับใส่ความให้ร้ายดังนี้ควรหรือ เห้งเจียได้ยินโป๊ยก่ายพูดจึงถามว่าเจ้ารบใครชนะที่ไหน เมื่อวานนี้ปีศาจมันรบแก่เรามันก็แปลงเป็นรูปเก๊คือรองเท้าของมัน ความจริงตัวมันหนีไปแล้ว ปล่อยให้รูปเก๊อยู่สู้รบแก่เราดังนี้ บัดนี้ก็ไม่รู้ว่าพระอาจารย์จะเป็นประการใด จงรีบกลับไปโดยเร็วเถิด ถ้าช้าอยู่จะเสียการเป็นแน่
เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็พากันกลับมาหาอาจารย์ที่ปากถ้ำ แลไปก็มิได้เห็นอาจารย์ และถุงย่ามและม้าหายไปทั้งสิ้น โป๊ยก่ายซัวเจ๋งตกใจเที่ยวค้นหาจนรอบในที่นั้น ก็มิได้เห็นร่องรอย เห้งเจียจิตใจให้เร่าร้อน กำลังเที่ยวค้นหาก็มาพบสายบังเหียนม้าขาดเหลืออยู่ท่อนหนึ่ง จึงขยับดูจำได้ก็นึกโทมนัสร้องไห้คิดถึงอาจารย์ โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นอดไม่ได้ แหงนหน้าขึ้นแลดูฟ้าแล้วก็หัวเราะก๊ากใหญ่ เห้งเจียตวาดว่านี่เจ้าพอใจจะให้แตกร้าวกันหรือ จึงได้หัวเราะเยาะเราดังนี้ โป๊ยก่ายตอบว่าพี่หาใช่เช่นนั้นไม่ อันธรรมดาโบราณท่านย่อมว่า สารพัดการต้องสามหนจึงจะสำเร็จได้ อาจารย์นั้นปีศาจคงจับไปเป็นแน่ไม่ต้องสงสัย ก็นับว่าเป็นสองครั้งแล้ว พี่อุตสาหะเข้าไปช่วยอีกสักครั้งหนึ่งพระอาจารย์จึงจะพ้นภัยได้
เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายเตือนสติดังนั้นก็คิดขึ้นมาได้ จึงพูดว่าถ้ากระนั้นน้องทั้งสองจงรอคอยอยู่ที่ปากถ้ำพี่จะเข้าไปดู เห้งเจียสั่งแล้วก็กลับเข้าไปในถ้ำ เข้าไปถึงชั้นในแลไปก็เห็นประตูหน้าต่างปิดแน่นทุก ๆ แห่ง เห้งเจียแกว่งตะบองตีหักพังเข้าไปทั้งสิ้น เดินตรงเข้าไปเหลียวซ้ายแลขวาดูทุก ๆ ห้อง ก็เห็นเงียบสงัดทุกห้องไม่ได้ยินเสียง เห้งเจียเดินค้นดูรอบก็มิได้เห็นคน แลเครื่องตั้งแต่งโต๊ะและเก้าอี้ และเครื่องใช้สอยก็หายไปทั้งสิ้นไม่เห็นมีสักสิ่งหนึ่ง เห้งเจียอกใจไม่สบายเร่าร้อนก็กำมือทุบอกมีความโทมนัสร่ำร้องเสียงอึกทึกในเวลานั้น บังเอิญมีสายลมพัดฉิวมากระทบเข้าจมูกหอม เห้งเจียนึกขึ้นได้ว่ากลิ่นที่หอมนี้ออกมาจากข้างหลังนี้เห็นจะอยู่ข้างในนั้นเป็นแน่
เห้งเจียคิดเห็นดังนั้นแล้ว จึงเดินเข้าไปข้างหลังนั้น แลไปก็เห็นมีปรกหนึ่งสามห้อง ๆ กลางมีตั้งโต๊ะบูชาบนโต๊ะมีเครื่องตั้งหม้อไฟทองเหลืองเผาเครื่องไม้หอมต่าง ๆ มีกลิ่นหอมฟุ้งตลบ ที่กลางโต๊ะตั้งป้ายทองบูชามีอักษร ข้างบนเขียนชื่อว่าท่านบิดาลี้ทีอ๋องรองลงมาเขียนชื่อโลเฉียไทจื๊อ เห้งเจียยืนพิเคราะห์ดูเห็นดังนั้นแล้ว ก็มีความดีใจเป็นที่สุด ตรงเข้าหยิบเอาหม้อไฟกับป้ายทองที่บูชาอยู่นั้นแล้ว ก็หวนกลับออกมายังปากถ้ำ มีความรื่นเริงหัวเราะไม่หยุด โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งแลเห็นเห้งเจียออกมาก็พากันมาต้อนรับถามว่า พี่มีความรื่นเริงด้วยอะไร หรือพบปะอาจารย์แล้วรับมาได้กระมัง
เห้งเจียหัวเราะตอบว่า ไม่ต้องถึงเราไปเที่ยวค้นหาอาจารย์ให้ป่วยการทำไม จะทวงเอาที่ป้ายนี้ก็จะได้อาจารย์ของเราคืน เห้งเจียจึงวางป้ายกับหม้อไฟลงกับพื้น เรียกโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งว่าน้องจงมาดู ซัวเจ๋งจึงพิเคราะห์ดูแล้วถามว่า คือมีเหตุการณ์ประการใดหรือ เห้งเจียบอกว่านี่แลปีศาจมันตั้งบูชาในที่อยู่ของมัน เราเห็นก็นึกขึ้นได้ว่า ปีศาจนี้ชะรอยจะเป็นบุตรสาวของถักทะลีทีอ๋อง แลเป็นน้องสาวของโลเฉียไทจื๊อ จุติลงมาแอบแฝงแปลงเป็นปีศาจอยู่ดังนี้ ลักพาเอาอาจารย์ของเราไปซ่อนไว้ดังนี้ เราจะไปค้นหาทวงถามมันทำไม เพราะเราได้ของกลางไว้ดังนี้แล้ว น้องทั้งสองจงคอยระวังอยู่ที่ปากถ้ำรอคอยพี่จะเอาหม้อไฟกับป้ายนี้ขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ ให้ถักทะลีทีอ๋องเอาอาจารย์มาส่งแล้วเราจึงค่อยไป
โป๊ยก่ายว่าพี่จะขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้นั้นมิใช่การเล่น เห้งเจียบอกแก่โป๊ยก่ายว่า พี่มีความพอใจไม่มีความวิตก พี่จะเอาป้ายทองกับหม้อไฟเป็นพยาน และจะแต่งเรื่องราวให้คล้องจอง โป๊ยก่ายว่าพี่จะแต่งเรื่องราวมีใจความว่ากะไร ขอให้ข้าพเจ้ารู้บ้างอยากจะทราบ เห้งเจียจึงแต่งเรื่องราวใจความว่า ข้าพเจ้าซึงเห้งเจียมีชื่ออยู่ในหนังสือเดินทาง เป็นผู้รักษาพระถังซัมจั๋งไปไซทีเพื่ออาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ขอทำคำฟ้องต่อพระสยมภูวญาณ ซึ่งเป็นประธานในเทวโลกแห่งพิภพดาวดึงส์สวรรค์ทรงทราบ ด้วยบัดนี้ถักทะลีทีอ๋องกับบุตรชายโลเฉียไทจื๊อ ไม่ระวังปล่อยให้บุตรสาวจุติลงไปแอบแฝงแปลงรูปเปนปีศาจยักษ์ร้าย ฆ่าสัตว์เป็นให้จำตายมากไม่คณานานับได้ บัดนี้จับเอาอาจารย์ของข้าพเจ้าข่มขืนซ่อนเร้นไว้แห่งใดก็หาทราบไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่าบิดากับบุตรมีความผิดโดยเหตุที่ปล่อยให้บุตรสาวไปเป็นปีศาจเที่ยวกระทำการชั่วร้ายดังนี้
ขอพระองค์โปรดชำระให้ได้ความจริง แล้วพิพากษาตัดสินบังคับให้ถักทะลีทีอ๋องโลเฉียไทจื๊อส่งตัวพระอาจารย์ให้แก่ข้าพเจ้า โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งได้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลายดังนั้นทุกประการแล้ว จึงพูดว่าดีแล้วขอพี่จงรีบไปเถิด เห้งเจียก็เอาป้ายทองและหม้อไฟสองอย่างนั้นถือไว้กับมือแล้ว ก็เหาะขึ้นไปยังประตูน่ำทีหมึง ครั้นถึงก็เข้าไปยังตำหนักทงเม่งเต้ย พบกับเตียวเทียนซือ ๆ ออกมาต้อนรับถามว่าใต้เซี้ยมีธุระประการใดหรือจึงได้ขึ้นมาถึงนี่ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้านำเรื่องราวมาฟ้องคนทั้งสอง เตียวเทียนซือตกใจวิตกคิดว่าสัตว์ลิงนี้จะมาฟ้องใครที่ไหน คิดแล้วก็นำเห้งเจียเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้
ครั้นถึงเห้งเจียก็วางป้ายทองกับหม้อไฟลงแล้วก็ถวายบังคม ถวายเรื่องราวต่อพระหัตถ์เง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ ทรงรับมาทอดพระเนตรตลอดจนสิ้นข้อความแล้ว จึงเซ็นลายพระหัตถ์ลงข้างต้นเรื่องราวแล้ว มีรับสั่งให้ไท้เป๊กกิมแช นำตัวเห้งเจียกับเรื่องราวไปหาถักทะลีทีอ๋องให้เข้ามาเฝ้าในเวลานี้
ไท้เป๊กกิมแชได้ฟังรับสั่งดังนั้นพร้อมด้วยเห้งเจียถวายบังคมลาแล้วไปยังตำหนักหุ้นเล้าเกง ครั้นถึงก็ให้ผู้เฝ้าประตูเข้าไปบอกถักทะลีทีอ๋อง ถักทะลีทีอ๋องก็ออกมาต้อนรับเชิญเข้าไปข้างใน แลเห็นไท้เป๊กกิมแชถือเรื่องราวมาด้วย ถักทะลีทีอ๋องก็ตั้งที่บูชารับ แลไปข้างหลังเห็นเห้งเจียตามมาด้วย ถักทะลีทีอ๋องจึงถามว่าท่านกิมแชถือเรื่องราวอะไรมามีเหตุการณ์ประการใดหรือ ไท้เป๊กกิมแชบอกว่าเรื่องราวของเห้งเจียกล่าวโทษท่าน ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังว่ามีเรื่องราวฟ้องก็มีความโกรธ จึงถามว่าเธอมาฟ้องข้าพเจ้าด้วยเหตุประการใด ไท้เป๊กกิมแชก็ส่งเรื่องราวให้ถักทะลีทีอ๋องแล้วพูดว่า ท่านจงดูเอาเองเถิดจะทราบได้ตลอด ถักทะลีทีอ๋องมีความขุ่นหมองในใจ จึงจุดธูปเทียนกระทำความเคารพแล้วก็เปิดหนังสือออกอ่านทราบความทุกประการแล้ว บันดาลโทสะเอามือทุบลงกับโต๊ะว่าอ้ายลิงนี้มันมาฟ้องเราหาถูกไม่
ไท้เป๊กกิมแชเห็นถักทะลีทีอ๋องโกรธดังนั้นจึงห้ามว่า ขอท่านจงระงับใจก่อน ที่เห้งเจียมาฟ้องหาท่านดังนี้ มีหลักฐานพยานของกลางยังอยู่ที่เง๊กเซียงฮ่องเต้เป็นสำคัญว่าบุตรหญิงของท่านเป็นผู้ร้าย ถักทะลีทีอ๋องว่าข้าพเจ้ามีบุตรชายสามคนหญิงหนึ่งคน บุตรชายคนโตชื่อกิมเฉียไปตามพระพุทธเจ้าเป็นผู้รักษาธรรม คนที่สองชื่อบั๊กเฉียตามพระโพธิสัตว์กวนอิมไปเป็นสานุศิษย์ คนที่สามชื่อโลเฉียไทจื๊อ ก็อยู่นี่เป็นเนืองนิตย์ทุกเวลา บุตรหญิงที่สี่อายุได้เจ็ดขวบชื่อนางเจงเองยังหารู้เดียงสาไม่ ทำไมจึงจะเข้าใจว่าเป็นยักษ์มารอะไรที่ไหน หากท่านไม่เชื่อข้าพเจ้าจะอุ้มออกมาให้ท่านเห็น อ้ายลิงตัวนี้มันหยาบช้าไม่มีความยำเกรง โดยจะกล่าวอย่างต่ำที่สุดในมนุษย์โลกเมืองใต้ ยังมีกฎหมายสำหรับบ้านเมืองว่า ถ้าผู้ใดฟ้องหาโทษท่านด้วยความเท็จพิจารณาไม่ได้ โทษนั้นย่อมตกอยู่แก่ที่หาเขาไม่จริง
แล้วถักทะลีทีอ๋องก็ร้องสั่งบริวารให้จับตัวเห้งเจียมัดไว้กับเสาตำหนัก พวกบริวารก็กรูกันเข้ามาจะจับเห้งเจีย ไท้เป๊กกิมแชเห็นถักทะลีทีอ๋องทำวุ่นวายผิดธรรมเนียมดังนั้น จึงร้องห้ามว่าท่านอย่าทำวุ่นวายหาเหตุเกินไปดังนั้น ข้าพเจ้ารับ ๆ สั่งเชิญลายพระหัตถ์เง็กเซียงฮ่องเต้ และพาตัวเห้งเจียมาหาท่าน ทำไมท่านจะมาทำดังนั้นสมควรแล้วหรือ ถักทะลีทีอ๋องว่ามันเอาความเท็จมากล่าวโทษข้าพเจ้าดังนี้ ยังจะรอไว้ไม่ทำแก่มันจะให้มันมีใจกำเริบขึ้นอีกหรือ เชิญท่านนั่งพักให้สบายก่อนข้าพเจ้าจะเอาดาบตัดคออ้ายลิงร้ายเสียก่อนแล้วจึงจะไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้พร้อมแก่ท่าน กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ
ไท้เป๊กกิมแชเห็นถักทะลีทีอ๋องเอาดาบออกมาก็ตกใจกลัวเห้งเจียจะตาย แต่เห้งเจียนิ่งเฉยเป็นปรกติไม่เห็นวิตกทุกข์ร้อนหวาดหวั่นอะไร นั่งหัวเราะอยู่ปากก็พูดว่า ท่านรู้ใจมาทำใจหมายมั่นดังนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่ร้อนใจอะไร ภายหลังรู้สึกความผิดก็จะต้องอ่อนน้อม พูดยังไม่ทันขาดคำลง ถักทะลีทีอ๋องก็แกว่งดาบตรงเข้ามาจะฟันเห้งเจีย โลเฉียไทจื๊อยืนอยู่ข้างนั้น เห็นบิดาทำกิริยาดังนั้นก็ชักเกี่ยมออกรับดาบไว้ ร้องห้ามว่าบิดาจงระงับก่อน ถักทะลีทีอ๋องเห็นบุตรเอาเกี่ยมรับดาบไว้ดังนั้นก็ตกใจ ร้องตวาดให้บุตรถอยไป
เพราะฉะนั้นเมื่อถักทะลีทีอ๋องเห็นโลเฉียเอาเกี่ยมออกขวางปะทะหน้าก็สะดุ้งกลัว จึงได้เชิญพระเจดีย์มาวางบนฝ่ามือแล้ว จึงร้องถามโลเฉียว่าลูกรักของบิดาลูกจะว่ากระไรหรือ จึงได้เอาเกี่ยมเข้ามาทัดทานดังนี้
โลเฉียทำคำนับแล้วตอบว่า บุตรหญิงของบิดามีอยู่จริง บัดนี้อยู่เมืองใต้ ถักทะลีทีอ๋องพูดว่ามีที่ไหน ลูกของบิดารวมทั้งน้องสาวเจ้าสี่คนเท่านั้นจะมีที่ไหนอีกเล่า โลเฉียบอกว่าบิดาลืมเสียแล้วหรือ คือบุตรหญิงคนนั้นเป็นปีศาจ เมื่อสามร้อยปีก่อนอยู่ที่เขาเล่งซัว ลักกัดกินดอกไม้ธูปเทียนน้ำมันของพระยูไล ๆ จึงจับขังไว้ โทษของมันควรตีเสียให้ตาย พระยูไลเจ้าจึงทรงเทศนาชี้แจงว่าหากขังน้ำไว้เลี้ยงปลาอยู่ เบ็ดตกเข้าในป่าเลี้ยงกวางอยากให้อายุมันยืน พระยูไลแสดงคำอย่างนั้นแล้ว จึงยกชีวิตให้สัตว์ปีศาจนั้น สัตว์ปีศาจนั้นจึงได้รู้ซึ่งคุณของพระยูไลที่ได้รอดชีวิต จึงไหว้บิดาว่าเป็นบิดาของมัน ไหว้ข้าพเจ้าว่าเป็นพี่ของมัน มันจึงทำป้ายจารึกชื่อบิดากับข้าพเจ้าบูชาอยู่เนือง ๆ แต่หาได้รู้ว่ามันเป็นปีศาจยักษ์ร้ายฆ่าคนดังนี้ไม่ ท่านเห้งเจียเที่ยวค้นหาถึงที่อยู่แห่งมันจึงได้ป้ายและหม้อไฟนั้นมาเป็นของกลางดังนี้
แต่ปีศาจนั้นมันเป็นบุตรเลี้ยงหาได้ร่วมครรภ์แก่ข้าพเจ้าไม่ ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังโลเฉียเล่าเหตุผลต้นปลายดังนั้น จิตใจให้สะดุ้งหวาดเสียวจึงพูดว่า ความจริงบิดาลืมนึกไม่ได้ว่ามันชื่อใด โลเฉียบอกว่ามันมีสามชื่อๆ เดิมนั้นเรียกว่ากิมที้แป๊ะมัวเล่าชิ้วเจีย อีกชื่อหนึ่งเพราะลักกินธูปเทียนดอกไม้เปลี่ยนชื่อเรียกว่า ปั๊วเจี๊ยดกวนอิม บัดนี้อยู่เบื้องใต้เปลี่ยนชื่อว่าตี้ย้งฮูหยิน ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังโลเฉียชี้แจงก็นึกขึ้นได้ จึงวางพระเจดีย์ลงแล้วก็เดินมาแก้มัดให้เห้งเจีย เห้งเจียร้องว่าใครจะอาจมาแก้มัดเราได้ เราจะไปเฝ้าเง๊กเซียงฮ่องเต้ทั้งมัดอย่างนี้ พระองค์ทรงทราบเพื่อได้ชำระให้เราจงได้ ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ มือและเท้าก็อ่อนเปลี้ยลงทันที โลเฉียก็ยืนนิ่งไม่รู้ที่ว่าจะพูดประการใดได้ เห้งเจียเห็นได้ทีก็รุกร้นให้ถักทะลีทีอ๋องเข้าไปเฝ้า
ถักทะลีทีอ๋องสิ้นปัญญาไม่รู้ที่ว่าจะแก้ตัวประการใด จึงอ้อนวอนไท้เป๊กกิมแชให้ช่วยแก้ไขอ้อนวอนเห้งเจีย ไท้เป๊กกิมแชได้ฟังถักทะลีทีอ๋องพูดอ้อนวอนจึงพูดว่า สารพัดการค่อย ๆ อย่ารุกร้นรีบร้อนจะเสียการ ก็นี่ท่านให้จับมัดและเอาดาบมาจะฆ่าเธอ ข้าพเจ้าจะช่วยท่านอย่างไรได้ ถ้าจะคิดไปดูยังบุตรท่านเช่นโลเฉีย ที่พูดว่าบุตรเลี้ยงไม่ใช่บุตรเกิดในอุธรณ์ หากนับบุตเลี้ยงก็ต้องเกี่ยวข้องในวงศ์ญาติ จะปฏิเสธว่ามิใช่ญาติอย่างไรได้ ไท้เป๊กกิมแชพูดพลันก็เดินมาเอามือลูบเห้งเจียพูดว่า ใต้เซี้ยจงเห็นแก่หน้าข้าพเจ้าเถิด แก้มัดเสียก่อนจึงเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้จึงจะดี เห้งเจียพูดว่าท่านไม่ต้องแก้ ข้าพเจ้าเข้าไปทั้งมัดอย่างนี้ก็ได้ ไท้เป๊กกิมแชพูดว่าทำไมเห้งเจียจึงทำใจจืดดังนี้เล่า
เมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้าก็ได้ทำคุณแก่ท่าน ทีธุระของข้าพเจ้าท่านก็มิได้คิดถึงข้าพเจ้าบ้างเลยจะขอร้องบ้างท่านก็ไม่เชื่อฟังดังนี้ เห้งเจียว่าท่านมีคุณแก่ข้าพเจ้าอะไรที่ไหน ไท้เป๊กกิมแชพูดว่า เมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้ากราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ให้ท่านได้ยศถึงซีเทียนใต้เซี้ยมิใช่หรือ ท่านไม่รักษาตัวจึงได้มีความผิด ข้าพเจ้าจะไม่มีความดีต่อท่านบ้างหรือ เห้งเจียว่าแม้ข้าพเจ้าจะไมทำการวุ่นวายดังนั้น ก็จะมิเสียการใหญ่หรือ เอาเถอะข้าพเจ้าเห็นแก่หน้าท่าน จงบอกถักทะลีทีอ๋องให้แก้มัดเอง ถักทะลีทีอ๋องจึงเดินมาแก้มัดให้เห้งเจีย แล้วก็เชิญให้ขึ้นนั่งบนเก้าอี้กระทำคำนับขอโทษ เห้งเจียจึงพูดแก่ไท้เป๊กกิมแชว่าเหมือนดังข้าพเจ้าพูดหรือไม่ เมื่อแรกก็ทำแข็งแรง ครั้นแล้วก็ต้องอ่อนน้อม ไท้เป๊กกิมแชขอให้ถักทะลีทีอ๋องไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้โดยเร็ว แม้ช้าไปก็จะเสียการของอาจารย์ข้าพเจ้า
ไท้เป๊กกิมแชจึงบอกแก่ถักทะลีทีอ๋องให้รีบไปเฝ้า ถักทะลีทีอ๋องวิตกเกรงว่าเห้งเจียจะกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ขึ้นก็ไม่มีทางแก้ตัวให้พ้นผิดได้ จนใจไม่รู้ที่จะคิดประการใด จึงอ้อนวอนขอให้ไท้เป๊กกิมแชช่วยแก้ไข ไท้เป๊กกิมแชจึงพูดแก่เห้งเจียว่า ข้าพเจ้าจะขอพูดสักคำหนึ่ง ท่านต้องเชื่อฟังข้าพเจ้า เห้งเจียพูดว่าเชือกก็มัดดาบก็จะลงคอก็ได้เห็นแล้ว เอาเถอะข้าพเจ้าเห็นแก่หน้าท่าน ท่านจะทูลว่ากะไรขอให้ท่านชี้แจงให้ข้าพเจ้าฟังจะว่าประการใด ไท้เป๊กกิมแชพูดว่าซึ่งการฟ้องร้องวันหนึ่งกว่าจะแล้วก็ถึงสิบวัน ข้อที่ท่านกล่าวโทษว่าปีศาจเป็นบุตรถักทะลีทีอ๋อง ๆ ก็มีทางแก้ตัวว่ามิใช่บุตตัวของถักทะลีทีอ๋องคงจะไม่เสร็จได้ในวันหนึ่ง บนสวรรควันหนึ่งในมนุษย์โลกก็เป็นหนึ่งปีแล้ว แม้ว่าปีหนึ่งปีศาจจับถังซัมจั๋งข่มขืนอยู่ในถ้ำ อย่าว่าเป็นผัวเมียกันเลยบางทีจะเกิดบุตรเสียอีก
เมื่อเป็นดังนี้จะไม่เสียการใหญ่ไปหรือ เห้งเจียได้ฟังไท้เป๊กกิมแชพูดดังนั้นก็นิ่งนึกอยู่เป็นนาน แล้วจึงพูดว่าท่านไท้เป๊กกิมแชข้าพเจ้าขอฟังคำท่านว่า จะเข้าเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ขอถอนฟ้องดีหรือ ๆ จะทำประการใดจึงจะดี ขอท่านได้โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบ ไท้เป๊กกิมแชพูดว่าให้ถักทะลีอ๋องเตรียมพลทหารพร้อมด้วยเห้งเจียลงไปปราบจับปีศาจ ข้าพเจ้าจะนำลายพระหัตถ์กลับไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ทรงทราบ เห้งเจียถามว่าท่านจะกลับไปกราบทูลว่ากระไร ไท้เป๊กกิมแชว่าข้าพเจ้าจะกราบทูลว่าโจทย์หนีไปแล้ว ไม่ต้องชำระจำเลย เห้งเจียว่าท่านคิดดีแท้ ๆ กลับจะทูลว่าข้าพเจ้าหนี ถ้าท่านกับข้าพเจ้าจะกลับไปเฝ้าพร้อมกัน ให้ถักทะลีทีอ๋องยกทัพไปคอยอยู่ที่ประตูน่ำทีหมึงจะมิดีหรือ ถักทะลีทีอ๋องได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น มีความสะดุ้งจิตหวาดเสียว จึงพูดแก่ไท้เป๊กกิมแชว่า หากเธอเข้าไปเฝ้ากราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ด้วยข้อละเมิดจะมิเป็นการลุอำนาจมีความผิดหรือ
เห้งเจียพูดว่าท่านถักทะลีทีอ๋องเห็นว่าเราเป็นอย่างไรหรือ ข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่เมื่อได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว จะมากลับกลายคืนคำเสียนั้นจะหาเป็นไปได้ไม่ ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็มีความยินดีขอบใจเห้งเจีย จึงจัดเตรียมพลทหารพรักพร้อมแล้ว ก็ยกออกไปคอยอยู่นอกประตูน่ำทีหมึง ไท้เป๊กกิมแชกับเห้งเจียก็กลับไปเฝ้ากราบทูลว่า ปีศาจที่จับพระถังซัมจั๋งไปนั้นคือปีศาจ (กิมพี้แป๊ะม้อเล่าชื้อ) แปลว่าหนูเผือกแอบเอาชื่อถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียไปทำการบูชา ถักทะลีทีอ๋องทราบเรื่องมีความโกรธบัดนี้ยกทัพไปปราบแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดยกโทษนั้นเถิด ฮ่องเต้ก็ทรงพระอนุญาตให้ เห้งเจียถวายบังคมลาออกจากเล่งเซียวเต้ย ไปยังน่ำทีหมึงเข้าสมทบกับถักทะลีทีอ๋องและโลเฉีย ก็ยกพลโยธาลงมายังเขาฮั้มคังซัว
ฝ่ายโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งนั่งคอยอยู่ที่ปากถ้ำ แลไปเห็นเห้งเจียกับถักทะลีทีอ๋องและโลเฉียพลทหารเทพบุตรก็ดีใจ เดินมาต้อนรันเชิญมายังปากถ้ำ ถักทะลีทีอ๋องว่าไม่เข้าให้ถึงเสือที่ไหนจะจับลูกเสือได้ ผู้ใดจะเข้าไปก่อน เห้งเจียว่าข้าพเจ้าจะเข้าไปก่อน โลเฉียไทจื๊อว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ได้รับอาญาสิทธิ์ปราบปีศาจ ควรจะต้องให้ข้าพเจ้าเข้าไปก่อน โป๊ยก่ายร้องขึ้นว่าการหัวหน้านั้นข้าพเจ้าจะรับธุระเอง ถักทะลีทีอ๋องจึงพูดว่าท่านทั้งหลายอย่าวุ่นวายกันข้าพเจ้าจะจัดให้ คือให้เห้งเจียกับโลเฉียยกพลลงไป ข้าพเจ้ากับโป๊ยก่ายซัวเจ๋งอยู่คอยระวังที่ปากถ้ำ คอยระวังทั้งสองทางอย่าให้มันหนีได้ เห้งเจียและคนทั้งหลายได้ฟังถักทะลีทีอ๋องชี้แจงดังนั้น ก็พร้อมกันตามคำบัญชาของแม่ทัพ เห้งเจียกับโลเฉียก็ยกพลลงไปในถ้ำ เดินเข้าไปยังที่อยู่ของปีศาจ แล้วแยกย้ายกันเที่ยวค้นหาในถ้ำทุก ๆ แห่ง ก็มิได้เห็นปีศาจยักษ์มารอยู่ที่ไหน
เห้งเจียออกปากด่าว่าอีมารร้ายเห็นจะหนีออกไปแล้วดอกกระมัง อันถ้ำนี้กว้างขวางนักจะรู้ว่ามันจะไปแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ที่ไหน ก็พากันเที่ยวค้นหาไปจนทั่ว แลไปที่มุมศิลาเห็นมีเป็นชวากเข้าไป แลไปดูในนั้นมืดอยู่ข้างทิศอาคเนย์ เข้าไปใกล้เห็นมีประตูน้อยเรือนกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง ในบริเวณนั้นก็ปลูกแต่ต้นไม้ที่มีดอกหอม ข้างนั้นมีราวไม้ทอดขวางสองสามอันมีควันขึ้นฉิว ๆ ออกกลิ่นหอม คือนางปีศาจพาพระถังซัมจั๋งเข้ามาแอบอยู่จะใคร่ข่มขืนให้ร่วมประเวณี นางปีศาจจึงพูดถึงเห้งเจียว่าถึงจะลงมาตามก็จะไม่พบ ถ้าลงมาแล้วก็นึกว่าเอาชีวิตมาทิ้งเสียเถิด ข้างฝ่ายพวกบริวารของนางปีศาจ ก็ต่างคนระริกระรี้รื่นเริง
ขณะนั้นปีศาจน้อยตนหนึ่งออกมามองที่ประตูถ้ำ ก็บังเอิญพบพวกพลทหาร ๆ จึงร้องบอกกันว่า พวกปีศาจมันซ่อนอยู่ในนี้ เห้งเจียได้ยินก็ถือตะบองเหล็กตรงเข้าไปในนั้นอันเป็นที่ช่องแคบ พวกปีศาจอยู่ในนั้นทั้งสิ้น พวกทหารก็กรูกันเข้าไปกั้นไว้ เห้งเจียก็เข้ารับพระอาจารย์และถุงย่ามกับม้าออกไป ฝ่ายนางปีศาจเห็นดังนั้น คิดจะหนีก็ไม่มีทางที่จะไปได้ แลเห็นโลเฉียไทจื๊อก็คุกเข่าลงคำนับอ้อนวอนร้องขอชีวิต โลเฉียจึงพูดว่าเราถืออาญาสิทธิ์มาจับเจ้ามิใช่การเล็กน้อย เพราะเราพ่อลูกได้รับสักการะบูชาของเจ้า จึงได้เกิดเหตุใหญ่ พูดแล้วโลเฉียจึงสั่งให้พลทหารเข้าจับนางปีศาจมัด พาตัวขึ้นมายังปากถ้ำ เห้งเจียก็พาพระอาจารย์กับม้าและถุงย่ามขึ้นมายังปากถ้ำ
ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องกับโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งแลเห็นโลเฉียและเห้งเจียกลับออกมาก็มีความยินดี เห้งเจียจึงพาอาจารย์มาคำนับถักทะลีทีอ๋อง โป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งจะใคร่ผ่าอกอีปีศาจ ถักทะลีทีอ๋องพูดว่า ซึ่งจะทำดังนั้นหาควรไม่ ด้วยโปรดให้ข้าพเจ้าลงมาจับปีศาจ จำจะต้องนำตัวขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ กราบทูลให้ทราบก่อน ถักทะลีทีอ๋องโลเฉียก็คำนับลาพระถังซัมจั๋งและเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งแล้ว ก็ขับพลรีบเหาะกลับไปยังสวรรค์ พระถังซัมจั๋งก็ขึ้นม้าเก็บข้าวของออกเดินพร้อมกันกับพวกสานุศิษย์ทั้งสาม
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 6-24 พากย์ไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น