
เวลากำลังเดินอยู่นั้น แลไปข้างหน้าเห็นภูเขาสูงเทียมเมฆขวางหน้าอยู่ พระถังซัมจั๋งยอม้าให้หยุด ชี้บอกว่าสานุศิษย์จงดูข้างหน้านั้น มีภูเขาสูงพวกเราจงระวังให้ดี เห้งเจียได้ฟังอาจารย์สั่งดังนั้น จึงพูดว่าพระอาจารย์จงวางใจเถิด ข้าพเจ้าจะป้องกันรักษามิให้เป็นอันตราย
พระถังซัมจั๋งพูดว่าท่านอย่าว่าไม่เป็นไร อาตมาคิดดูที่ยอดเขาสูงนั้นมีหมอกฟุ้งขึ้นสำแดงอาการว่าเป็นไอร้าย ใจคออาตมภาพไม่สบายให้หวาดหวั่น เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่าพระอาจารย์เห็นจะลืมพระคาถาของพระโอเซ้าเสียแล้วหรือ พระถังซัมจั๋งว่ายังจำได้ไม่ลืม เห้งเจียว่าถึงจำได้ก็จริงแต่คำอรรถ คาถาสี่บทนั้นเห็นจะจำไม่ได้ พระถังซัมจั๋งถามว่าคาถาสี่บทนั้นอย่างไร เห้งเจียจึงอ่านคำอรรถขึ้นว่า ฮุดตัวเล่งซัวบ๊อกอ้วนคิ้ว เล่งซัวจี๊ตัวนี้ซิบเท้า นั้ง ๆ อู่ไก๋เล่งซัวถะเอ้ซิว บทที่หนึ่งแปลว่าพุทธอยู่ยังเขาเล่งซัวอย่าหาไกล บทสองว่าเขาเล่งซัวอยู่ที่หัวใจท่าน บทที่สามว่าทุกๆคนก็มีเจดีย์เล่งซัว บทที่สี่ว่าหากได้ดีก็บวชให้เจดีย์เล่งซัว พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่ามิใช่จะไม่รู้เมื่อไร แม้ว่าเราทั้งหลายอาศัยคาถาสี่บทนี้ รักษาธรรมร้อยหมื่นคัมภีร์ก็จะต้องรักษาจิตเป็นต้น
เห้งเจียพูดว่าการทั้งนั้นไม่ต้องแสดง จิตบริสุทธิ์สว่างใส จิตสำรวมลงเป็นหนึ่ง สารพัดจะใสสะอาดทั้งสิ้น ถ้าปล่อยให้เคลื่อนคลาดเพราะความเกียจคร้าน ร้อยพันหมื่นปีก็จะไม่สำเร็จได้ จะต้องอาศัยความตั้งจิตตรงอย่างเดียว วัดลุ่ยอิมยี่ก็อยู่ต่อจักษุนั้นเอง ทำจิตครั่นคร้ามหวั่นหวาดสะทกสะท้านอยู่เหมือนอาจารย์ดังนั้น มรรคผลก็ไกลวัดลุ่มอิมยี่ก็ไกล อาจารย์อย่ามีความสงสัยเคลือบแคลง จงตั้งจิตตามข้าพเจ้าไปเถิด พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงให้ฟังดังนั้น จิตใจก็ค่อยสว่างหายความวิตกวิจารณ์ทุกข์ร้อน อาจารย์กับศิษย์สี่คนก็ตั้งหน้าพากันเดินไป มาประเดี๋ยวก็ขึ้นเขา เวลากำลังเดินอยู่ก็ได้ยินเสียงลมพัดมาดังอู้ ๆ พระถังซัมจั๋งตกใจร้องว่าลมเกิดแล้ว
เห้งเจียพูดว่าลมก็มีต่าง ๆ กันทั้งสี่ฤดูจะวิตกหวั่นหวาดกลัวอะไรแก่ลมเล่า พูดยังไม่ทันจะขาดคำลง แลไปก็เห็นหมอกที่ยอดเขาฟุ้งขึ้นออกกลุ้ม เห้งเจียร้องว่าอย่าวุ่นวายนิมนต์อาจารย์ลงจากม้าก่อน น้องทั้งสองคอยรักษาอาจารย์ไว้ให้ดีพี่จะไปดูก่อนจะมีเหตุร้ายดีประการใด เห้งเจียเหาะขึ้นไปกลางอากาศเอามือป้องหน้าเหนือคิ้ว สอดตาพิเคราะห์ดูลงไปที่เนินเขา ก็เห็นที่ข้างเพิงเขาที่ลาดมีปีศาจยักษ์ใหญ่นั่งอยู่ท่ามกลาง ปีศาจน้อย ๆ ห้าหกสิบตน ปีศาจยักษ์กำลังเป่ามนต์แผลงฤทธิ์พ่นเป็นหมอก เห้งเจียคิดว่าถ้าเราจะเอาตะบองกระทุ้งถูกมันตายก็จะได้ แต่หากจะเป็นที่ครหาติเตียนได้ว่าเราลอบทำร้ายเขา ไม่กล้าสู้ตรงหน้า อย่าเลยเราจะกลับไปให้โป๊ยก่ายมาต่อสู้แก่มันดูก่อน แม้ว่าโป๊ยก่ายจะไม่พอใจมารบสู้แก่ปีศาจ เราก็จะหาอุบายให้มาจงได้
คิดดังนั้นแล้วก็ลดลงยังพื้นเดินมาหาอาจารย์ พระถังซัมจั๋งเห็นเห้งเจียกลับมา จึงถามว่าท่านไปดูที่เกิดหมอกนั้น ได้เห็นว่ามีเหตุดีหรือร้ายประการใด เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าไปดูโดยละเอียดแล้วไม่มีเหตุร้ายอะไรที่ไหน พระถังซัมจั๋งพูดว่าเห็นจะเป็นดังนั้นจริง ดูความหวาดหวั่นได้ค่อยคลายลงแล้ว เห้งเจียหัวเราะพูดว่าข้าพเจ้าเคยพิจารณาเหตุการณ์เนือง ๆ ก็ไม่ใคร่จะผิด มาครั้งนี้ดูก็ผิดไปมาก ที่หมอกลมเกิดนั้น หากจะมีปีศาจร้ายอะไรสักอย่างหนึ่ง อันที่จริงก็หาใช่ไม่ พระถังซัมจั๋งถามว่าไม่ใช่ยักษ์ร้ายก็จะเป็นอะไรเล่า เห้งเจียตอบว่าที่ข้างหน้านั้นไม่สู้ไกลมีหมู่บ้านคนใจบุญให้ทาน ที่หมอกขึ้นขาวนั้นคือเขาหุงข้าวนึ่งขนมต้มแกงถวายพระสงฆ์ จึงมีไอควันฟุ้งขึ้นดังนั้น
โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น จึงมาจับมือเห้งเจียกระซิบถามว่า พี่ไปกินมาอิ่มแล้วหรือ เห้งเจียบอกว่าได้กินบ้างแต่ยังไม่อิ่มเพราะกับข้าวเขาทำมันเค็มมากไปจึงกินไม่ได้มาก โป๊ยก่ายพูดว่าตามทีเถิดถึงจะเค็มก็ไม่ว่า ขอให้ข้าพเจ้ากินให้อิ่มท้องก็แล้วกัน เห้งเจียถามว่าเจ้าอยากจะกินหรือ โป๊ยก่ายตอบว่าอย่างนั้นซิ ท้องข้าพเจ้าออกจะหิวอยากจะไปกินได้หรือไม่ เห้งเจียพูดว่าโบราณท่านย่อมว่า บิดายังอยู่ไม่ควรจะทำล่วงเกิน อธิบายว่าพระอาจารย์ยังอยู่นี่เราจะล่วงไปก่อนได้หรือ โป๊ยก่ายหัวเราะว่าหากพี่ไม่พูดขึ้นข้าพเจ้าก็จะไปได้ เห้งเจียว่าเอาเถอะพี่จะไม่พูดเจ้าจะทำอย่างไรไปให้ได้
โป๊ยก่ายเข้าใจมีอุบายมาก จึงเดินมาที่ตรงหน้าอาจารย์แล้วพูดว่า พระอาจารย์พี่เห้งเจียแกบอกว่าที่ข้างหน้านั้น มีบ้านคนใจบุญสุนทานเลี้ยงพระ พระอาจารย์จงดูม้าไว้ข้าพเจ้าจะไปดูบางทีจะมีหญ้า ถ้ามีข้าพเจ้าก็จะเกี่ยวมาให้ม้ากินจะไม่เสียเวลา ๆ นี้หมอกนั้นก็สงบแล้ว อาจารย์รอนั่งสักประเดี๋ยว ข้าพเจ้ากลับมาแล้วพระอาจารย์จึงเข้าไปบิณฑบาตฉันต่อทีหลัง พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดว่าไปมาเร็ว ๆ จงระไวระวังไห้มาก ๆ อย่าประมาท โป๊ยก่ายดีใจหัวเราะแล้วก็ออกเดิน เห้งเจียเดินตามไปสั่งว่า ที่บ้านเลี้ยงพระสงฆ์นั้น ล้วนแต่รูปร่างงาม ๆ รูปร่างไม่หยาบช้าเช่นรูปเจ้า น้องจงแปลงกายให้สวยงามไปจึงจะดี โป๊ยก่ายก็เชื่อเห้งเจียจึงเดินเข้าแอบที่ชวากเขา ร่ายพระเวทคาถาแปลงกายเป็นพระสงฆ์องค์หนึ่ง รูปร่างต่ำเตี้ยท้องโตมือถือประคำเดินมาปากก็ภาวนาพลาง แต่หาใช่พระธรรมไม่ บ่นว่าบ้านคนใจบุญเลี้ยงพระสงฆ์เท่านั้น
![]() |
รูปภาพ ; 隐雾 山 |
ฝ่ายปีศาจ เรียกลมเรียกหมอกกลับแล้วก็สั่งบริวารให้ไปตั้งกองสกัดปากทางใหญ่ คอยคนเดินทางมาถึงที่นั่นจะได้จับเอาตัวไว้
ฝ่ายโป๊ยก่ายรื่นเริงในใจเดินมาประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงที่พวกปีศาจตั้งกองสกัดอยู่ พวกปีศาจแลเห็นก็กรูกันเข้าล้อมจับโป๊ยก่าย ๆ ร้องว่าไว้ให้เรากินของเลี้ยงพระสงฆ์ก่อน พวกปีศาจถามว่าจะไปกินเลี้ยงที่ไหน โป๊ยก่ายพูดว่าพวกบ้านแกเลี้ยงพระสงฆ์มิใช่หรือ พวกปีศาจว่าเจ้ายังไม่รู้สึกพวกเราจะมาคอยกินเนื้อพระสงฆ์ ใครจะเลี้ยงพระสงฆ์ที่ไหน พวกปีศาจสำแดงเหตุต่อไปว่า พวกเราสำเร็จภาคเป็นเซียนอยู่ในที่นี้ ตั้งใจคอยจับพระสงฆ์เอาไปถึงที่อยู่แล้วล้างใส่กะทะต้มให้สุกจะได้สู่กันกิน เจ้ากลับจะมากินเครื่องเลี้ยงอีกหรือ
โป๊ยก่ายได้ฟังปีศาจพูดดังนั้นก็ให้คิดแค้นเห้งเจียว่า อ้ายเป๊กเบ๊อุนคนนี้ไม่มีดีจริง ๆ มันหลอกเราว่าที่ตรงนี้เขาเลี้ยงพระสงฆ์ อันความจริงก็คือที่รังปีศาจนั้นเอง พวกปีศาจก็รีบจับดึงไป โป๊ยก่ายทนไม่ได้ก็กลับเป็นรูปเดิม ชักคราดเหล็กออกสับฟาดถูกพวกปีศาจแตกกระจัดกระจายไปทั้งสิ้น พวกปีศาจบริวารก็วิ่งไปบอกแก่นายของตนว่า บัดนี้มีพวกพระสงฆ์องค์หนึ่งเดินมา พวกข้าพเจ้าเข้าจับไว้แล้ว จะเอามาต้มแกงกินเนื้อมัน ไม่รู้เลยว่ามันแปลงกายได้ มันมีอาวุธไล่สับฟันพวกข้าพเจ้าต้านทานไม่ไหวต้องหลบหนี
ฝ่ายปีศาจใหญ่ได้ฟังข่าวบอกดังนั้นจึงถามว่า มันเปลี่ยนแปลงกายได้อย่างไร พวกบริวารบอกว่าแปลงเป็นรูปคนมีปากยาวใบหูใหญ่มีขนที่ท้ายทอยรุงรัง สองมือถือคราดเหล็ก พวกข้าพเจ้าเห็นมีกำลังวังชาเชี่ยวชาญมาก ก็พากันวิ่งหนีกลับมาบอกใต้อ๋องให้ทราบ ปีศาจใหญ่ได้ฟังก็จับเครื่องมือถือสากเหล็กอันหนึ่งเดินออกไป เห็นโป๊ยก่ายรูปร่างหยาบคายน่าเกลียด จึงร้องตวาดถามว่าเจ้ามาจากไหน ชื่อเรียงเสียงไรบ้านช่องอยู่ที่ไหนจงรีบบอกมาโดยเร็ว เราจะยกชีวิตให้เจ้า โป๊ยก่ายได้ฟังก็หัวเราะแล้วตอบว่า อ้ายลูกแก้วเองจำปู่ตาไม่ได้แล้วหรือ เราคือเป็นสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง พระอนุชาของพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้ นามเราชื่อว่าตือโป๊ยก่ายเจ้าไม่รู้หรือ
ปีศาจว่าอ่อเจ้าเข้าเป็นสานุศิษย์ถังซัมจั๋งหรือข้าเข้าใจแล้ว เราได้ยินว่าเนื้อถังซัมจั๋งกินอร่อยนัก เจ้าอย่าหนีไปจงดูสากเหล็กนี้ก่อน โป๊ยกายได้ยินดังนั้นก็เตรียมตัวเข้มแข็งแล้ว ก็เฃ้ารบกับปีศาจ ๆ ก็ร้องให้บริวารล้อมจับโป๊ยก่าย พวกบริวารปีศาจได้ยินนายสั่งดังนั้น ก็เข้ากลุ้มรุมกันอยู่
ฝ่ายเห้งเจียยืนอยู่ข้างหลังพระอาจารย์นึกถึงโป๊ยก่ายเผลอไปก็หัวเราะขึ้น ซัวเจ๋งถามว่าพี่หัวเราะอะไรที่ไหน เห้งเจียบอกว่าอ้ายโป๊ยก่ายอ้ายชาติตะกละ ได้ยินพูดถึงของกินมันก็อยาก พี่จึงหลอกให้มันไป ๆ ก็นานแล้วยังไม่เห็นกลับมา หากว่ามันรบกับปีศาจได้ชัยชนะก็คงกลับมาก็จะมีความชอบว่ารบชนะปีศาจ ถ้าหากมันแพ้แก่ปีศาจ ๆ จับไปได้ไม่รู้ว่ามันจะบ่นด่าพี่สักกี่กระบุง เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วจึงกำชับซัวเจ๋งว่าน้องอย่าพูดให้อาจารย์รู้เหตุ พี่จะไปตามดูโป๊ยก่ายจะเป็นประการใด เห้งเจียสั่งซัวเจ๋งแล้ว ก็ถอนขนที่ท้ายทอยออกหนึ่งเส้น เสกให้เป็นรูปเห้งเจียปลอมนั่งอยู่ข้างหลังอาจารย์ แล้วก็เหาะขึ้นบนอากาศแลไปดูเห็นพวกปีศาจกำลังล้อมโป๊ยก่ายอยู่ท่ามกลาง เพลงอาวุธดูถ้าจะเกะกะไม่ได้การ
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ลดลงกับพื้นร้องบอกโป๊ยก่ายว่าพี่มาแล้วอย่าวิตก โป๊ยก่ายได้ยินเสียงก็จำได้ว่าเห้งเจีย ก็เกิดกำลังขึ้นทันทีตรงเข้าฟาดฟันโดยความกล้าหาญ ฝ่ายปีศาจใต้อ๋องเห็นโป๊ยก่ายรบรุกกระชั้นเข้ามารอรับไม่อยู่ก็พาพวกบริวารถอยหนีไปยังสำนัก เห้งเจียเห็นปีศาจพ่ายแพ้ไปแล้วก็มิให้โป๊ยก่ายเห็นตัวเลยเหาะกลับยังที่ โป๊ยก่ายมีชัยชนะปีศาจแล้วก็กลับมาหาอาจารย์ ปากจมูกน้ำมูกน้ำลายไหลยืดยาดเป็นฟอง เหงื่อก็ไหลออกโซมตัว หายใจกระหืดกระหอบวิ่งกลับมาถึงร้องเรียกอาจารย์
พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงถามว่า โป๊ยก่ายไปเกี่ยวหญ้าม้าทำไมจึงมีกิริยาวุ่นวายกลับมาดังนี้ โป๊ยก่ายทิ้งคราดลงกับพื้นแล้วทุบอกกระทืบเท้าพูดว่า พระอาจารย์จะพูดออกมาก็อายตาย พี่เห้งเจียแกทำหลอกข้าพเจ้าว่า ข้างหน้านั้นมีบ้านคนใจบุญ ที่มีหมอกขึ้นขาวนั้นคือเขาต้มหุงนึ่งขนมถวายพระสงฆ์ ในท้องข้าพเจ้ามีความหิวโหยคิดจะได้กินก่อนจึงได้เอาเหตุหญ้านั้นเป็นประธาน ไม่รู้เลยว่าเป็นที่ปิศาจ มันพากันล้อมข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าบุกบั่นสู้รบกับปีศาจพักหนึ่ง หากไม่มีพี่เห้งเจียตามไปร้องเรียกให้เกิดกำลัง ที่ไหนเลยข้าพเจ้าจะลอดพ้นแหอวนมาได้ เห้งเจียยืนอยู่ข้างหลังหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายชาติหมูพูดเลอะเทอะ หากเจ้าไปเที่ยวทำหัวขโมยเอาความร้ายมาใส่ให้ผู้อื่นดังนั้นหรือ ข้านั่งเฝ้ารักษาพระอาจารย์อยู่ยังไม่ได้เคลื่อนที่ไปข้างไหน
พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าเห้งเจียนั่งอยู่กับอาตมาที่นี่ ทำไมจึงว่าเขาไปข้างไหน โป๊ยก่ายกระโดดมาพูดว่าพระอาจารย์ไม่เข้าใจ พี่เห้งเจียแกมีตัวแทนได้ พระถังซัมจั๋งถามเห้งเจียว่ามีตัวแทนได้จริงดังนั้นหรือ เห้งเจียไม่กล้าจะปดจึงว่าจริง ข้าพเจ้าเห็นว่าปีศาจไม่สู้รุนแรงมันไม่สามารถจะทำร้ายพวกเราได้ จึงหลอกให้โป๊ยก่ายไปก่อน เห้งเจียพูดแล้วจึงเรียกโป๊ยก่ายสั่งว่า จะมอบให้น้องเป็นคนตรวจดู พวกเราจะรักษาป้องกันอาจารย์ ข้ามที่ดุร้ายฉุกเฉินดังคุมพลทหารฉะนั้น
โป๊ยก่ายถามว่าคุมพลทหารอย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่สู้เข้าใจแน่ขอพี่ชี้แจงให้เข้าใจก่อน เห้งเจียพูดว่าน้องต้องออกหน้าเช่นทหารทัพหน้านำทางและนำพล บางทีจะมี ผี และยักษ์ร้ายมากั้นกางน้องเข้ารบปะทะหน้า ชนะปีศาจได้จะคิดความชอบให้น้องเป็นที่หนึ่ง โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ตรึกตรองอยู่ในใจว่า ปีศาจนั้นฝีมือก็ไม่เกินเราไปได้ จึงรับแก่เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นข้าพเจ้าจะขอรับนำทางเอง เห้งเจียจึงนิมนต์อาจารย์ขึ้นม้า ซัวเจ๋งหาบของตามหลังโป๊ยก่ายออกนำหน้าเดินขึ้นเขา ฝ่ายปีศาจรบแพ้โป๊ยก่ายแล้วก็หนีกลับไปยังที่ ขึ้นนั่งบนแท่นหินไม่พูดจาว่ากระไร พวกบริวารจึงเข้ามาถามว่า ทุก ๆ ครั้งออกไปกลับเข้ามาย่อมมีความรื่นเริง วันนี้กลับเข้ามาทำไมจึงมีแต่ความโศกเศร้าดังนี้ ปีศาจใต้อ๋องจึงพูดแก่บริวารว่า เราเคยทุก ๆ ครั้งออกไปเที่ยวตามภูมิเขาไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ คงได้กินเนื้อเล่นตามสบายใจ วันนี้เราออกไปบังเอิญไปพบคนซึ่งคู่ต่อสู้กัน
พวกบริวารถามว่า คู่ต่อสู้แก่ใต้อ๋องนั้นคือใครที่ไหน ปีศาจใต้อ๋องบอกว่าคือสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง อยู่เมืองใต้ถังจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม ณ ประเทศไซที คนนั้นชื่อว่าตือโป๊ยก่าย ถือคราดเหล็กเป็นอาวุธ เราต่อสู้ไม่ไหวจึงได้หนีมา เรายังมีความร้อนใจด้วยได้ยินว่าพระถังซัมจั๋งบวชเรียนบริสุทธิ์มาสิบชาติแล้ว หากผู้ใดได้กินเนื้อเธอก้อนหนึ่ง อายุจะยืนยาวไปได้ช้านาน เข้าใจว่าถ้าเธอมาถึงเขานี้ก็จะได้จับต้มกิน ไม่รู้ว่าเธอมีสานุศิษย์มีฝีมือเชี่ยวชาญดังนี้ พูดยังไม่ทันจะขาดคำลงในหมู่บริวารนั้นมีปีศาจตนหนึ่งพูดขึ้นว่า ใต้อ๋องพูดว่าจะใคร่กินเนื้อถังซัมจั๋งนั้นเห็นจะไม่สำเร็จ
ปีศาจใต้อ๋องถามว่าทำไมจะไม่สำเร็จ ปีศาจน้อยตอบว่าหากสำเร็จได้พระถังซัมจั๋งก็จะมิได้มาถึงนี่ พวกปีศาจยักษ์ร้ายทั้งหลายในที่อื่น ๆ ก็คงจะกินเสียแล้ว พระถังซัมจั๋งเธอมีศิษย์สามคน คนที่หนึ่งชื่อซึงหงอคง คนที่สามชื่อซัวเจ๋ง คนที่สองซึ่งมารบแก่ใต้อ๋องนั้นชื่อตือโป๊ยก่าย ใต้อ๋องถามว่าฝีมือซัวเจ๋งกับตือโป๊ยก่ายใครจะดีกว่ากัน พวกปีศาจบริวารบอกว่าแพ้กันไม่ไกล ใต้อ๋องถามว่าสองคนนี้กับเห้งเจียใครจะดีกว่ากัน ปีศาจบอกว่าข้าพเจ้าไม่อาจจะบอกได้ ซึ่งเห้งเจียนั้นมีฤทธาอานุภาพเชี่ยวชาญเปลื่ยนแปลงกายได้ต่างๆ เมื่อห้าร้อยปีก่อนเคยขึ้นไปบนสวรรค์ทำสงครามแก่เทพบุตรทั้งหลาย หมู่เทพยดาไม่มีผู้ใดจะต่อต้าน ทำไมใต้อ๋องจะอาจกินเนื้อถังซัมจั๋งได้
ปีศาจไต้อ๋องถามว่าเหตุใดเจ้าจึงรู้ได้โดยละเอียดดังนี้เล่า ปีศาจน้อยตอบว่า เดิมข้าพเจ้าเคยอยู่ที่เขาชื่อท่อซัวถ้ำซือท่อต๋อง ใต้อ๋องซือท่อคือพระยาสิงห์โตเธอไม่รู้ร้ายดีอยากจะกินเนื้อถังซัมจั๋ง ถูกมือเห้งเจียเอาตะบองเหล็กตีรุกเฃ้ามาในถ้ำ ประตูและหลังหอหน้าต่างหักพังทลายละเอียดไปทั้งสิ้น ข้าพเจ้าจึงได้หนีออกทางประตูข้างหลัง จึงได้รอดชีวิตมาอาศัยอยู่กับใต้อ๋องจนทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้ทราบเรื่องโดยละเอียดดังนื้ ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังบริวารชี้แจงให้ฟังดังนั้น ก็มีจิตหวาดหวั่นครั่นคร้าม
ในขณะนั้นมีปีศาจน้อยตนหนึ่งพูดขึ้นว่า ใต้อ๋องอย่ามีความวิตกเลย แม้ว่าใต้อ๋องอยากกินเนื้อถังซัมจั๋งแล้ว ข้าพเจ้าจะคิดจับตัวให้จงได้ ใต้อ๋องถามว่าเจ้ามีสติปัญญาความคิดอย่างไรจึงจะสามารถจับพระถังซัมจั๋งได้ ปีศาจน้อยตนนั้นจึงชี้แจงว่า ข้าพเจ้ามีกลอุบายอยู่ประการหนึ่งเรียกว่า ปุนเปียนบ้วนฮวยเก๋ย ปีศาจใต้อ๋องถามว่าแปลว่าอะไรจึงเรียกปุนเปียนบ้วยฮวยเก๋ย ปีศาจไต้อ๋องถามว่าแปลว่าอะไรจึงเรียก ปุนเปียนบ้วยฮวยเก๋ย ปีศาจน้อยตอบว่า ในหมู่บริวารของเรานี้ เรียกมาให้พร้อมกันแล้วเลือกคัดเอาสักสามคน ให้เข้าใจในการแปลงกายได้ แปลงปลอมให้เหมือนรูปใต้อ๋องทั้งสามคนแล้ว ถือสากเหล็กทั้งสามคน ไปคอยดักอยู่ตามทางให้คอยเข้ารบกับเห้งเจียคนหนึ่ง รบกับโป๊ยก่ายคนหนึ่ง รบกับซัวเจ๋งคนหนึ่ง สามคนแยกกันรบกับพี่น้องให้ออกคนละต่างหากกันแล้ว ฝ่ายใต้อ๋องอยู่กลางอากาศเอื้อมมือลงมาจับเอาถังซัมจั๋งไปจะยากอะไร เปรียบเหมือนล้วงของในถุงฉะนั้น
ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี พูดว่าความคิดอันนี้ดีจริง ถ้าจับถังซัมจั๋งได้เราจะตั้งให้เป็นเซียนฮ่องแม่ทัพหน้า จึงสั่งให้ประชุมพวกบริวารในถ้ำมาพร้อมกัน คัดเลือกได้สามคนในการที่เปลี่ยนแปลงกายได้ จึงให้แปลงเป็นใต้อ๋องถือสากเหล็กทั้งสามคน ให้ไปคอยดักซุ่มอยู่ตามทางเสร็จแล้ว ฝ่ายพระถังซัมจั๋งจิตใจก็ใสบริสุทธิ์เดินตามหลังโป๊ยก่ายขึ้นเขามา เดินมาได้สักครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงร้องตวาดด้วยเสียงอันดังตรงเข้ามาจะจับตัวพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียแลไปที่ข้างทางเขาแลเห็นจึงร้องว่า ปีศาจยักษ์มาแล้วเหตุใดไม่รีบลงมือเล่า โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ชักคราดออกฟาดฟันปีศาจ ๆ ก็ถือสากเหล็กเข้าต่อสู้แก่โป๊ยก่าย ต่างรบกันชุลมุนอยู่ที่ข้างเนินเขา แลเห็นปีศาจอีกตนหนึ่งอยู่ในพุ่มไม้ กระโดดออกมาร้องตวาดด้วยเสียงอันดังตรงเข้าไล่จับพระถังซัมจั๋ง เห้งเจียแลเห็นจึงร้องว่าโป๊ยก่ายทำไมจึงปล่อยให้ปีศาจมาจับอาจารย์ดังนี้เล่า
เห้งเจียจึงชักตะบองออกจากหูสกัดตีปีศาจ ๆ ก็ไม่พูดจาว่ากะไร ถือสากเหล็กเข้ารบกับเห้งเจียอยู่ที่ข้างทาง เห้งเจียกำลังรบอยู่ข้างนี้ก็ได้ยินเสียงข้างหลังเขามีปีศาจออกมาสกัดจับพระถังซัมจั๋งอีกตนหนึ่ง ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ จับพลองเหล็กออกไปสกัดไว้ ปีศาจปลอมก็เข้ารบกับซัวเจ๋งตามอุบายที่คิดกันไว้ รบกันชุลมุนวุ่นวายทั้งสามคน ปีศาจรบพลางล่อพลาง ซัวเจ๋งไล่ออกห่างพระถังซัมจั๋ง
ฝ่ายปีศาจไต้อ๋องอยู่บนอากาศ เห็นพระถังซัมจั๋งนั่งอยู่บนหลังม้าแต่ผู้เดียว จึงยื่นมือลงมาจับรวบเอาพระถังซัมจั๋งไปได้ แล้วก็รีบเหาะกลับไปยังถ้ำ แล้วก็เรียกปีศาจน้อยที่คิดอุบายให้นั้น ให้เป็นเซียนฮองในทันใดนั้น ฝ่ายปีศาจน้อยพูดถ่อมตัวว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถจะเป็นเซียนฮองได้ ปีศาจใต้อ๋องจึงพูดว่า เราได้ลั่นวาจาออกไปแล้วว่าจะตั้งให้ท่านเป็นเซียนฮอง ดุจดังผ้าขาวย้อมสีดำจะกลับได้ที่ไหน พวกเจ้าจงไปจัดแจงล้างหม้อและกะทะให้สะอาด แล้วจงต้มถังซัมจั๋งให้สุกเราจะได้สู่กันกินคนละก้อน อายุพวกเราจะได้ยืนอยู่ตั้งหมื่นปีมิได้รู้จักแก่เฒ่า ปีศาจเซียนฮองจึงห้ามว่า อันพระถังซัมจั๋งนั้น ใต้อ๋องไม่ควรกิน ปีศาจใต้อ๋องพูดว่า ก็จับมาได้แล้วเหตุไฉนจะไม่ควรกินอิกเล่า
ปีศาจเซียนฮองพูดว่า ถ้าใต้อ๋องจะกินเนื้อถังซัมจั๋งแล้วต้องระวัง คือโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งไม่สู้กะไรนัก สำคัญที่สุดเพียงเห้งเจียนั้นร้ายแรงเหลือเกิน เธอรู้เข้าแล้วก็จะมารบแก่พวกเรา จะเอาตะบองเหล็กกะทุ้งยอดเขาให้ทะลุ ภูเขาก็จะแยกทลายออกไปพวกเราก็จะไม่มีที่อาศัย ปีศาจใต้อ๋องจึงพูดว่า ถ้ากระนั้นเราจะทำประการใดดี เซียนฮองจึงพูดว่า ถ้าหากตามความคิดของข้าพเจ้านั้น ต้องเอาถังซัมจั๋งไปมัดไว้กับต้นไม้ที่ลับหลังสวน รอสักสามวันถ้าสานุศิษย์เธอไม่มาตามแล้ว เวลานั้นเราจึงค่อยเอาถังซัมจั๋งมาต้มแกงกินให้สบายใจ ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังเซียนฮองแนะนำดังนั้นก็พลอยเห็นชอบไปด้วย จึงสั่งให้พวกบริวารเอาตัวถังซัมจั๋งไปไว้ที่หลังสวนตามความคิดของเซียนฮอง
![]() |
รูปภาพ ; 铁背苍狼 หมาป่าหลังเหล็ก ปีศาจที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของราชาแห่งหนานซานในถ้ำเจ๋อเยว่เหลียนฮวนแห่ง ภูเขาหมอกซ่อนเร้นเขาเสนอแผนการอย่างชาญฉลาดเพื่อหลอกซุนหงอคงและลูกศิษย์คนอื่นๆ ด้วย "หัวปลอม" แต่กลอุบายของเขาถูกซุนซิงเจ๋อค้นพบ ในการต่อสู้ที่ตามมา แม้ว่าราชาแห่งหนานซานจะหลบหนีได้ด้วยความช่วยเหลือของสายลมและหมอก แต่สุดท้ายหมาป่าหลังเหล็กก็พ่ายแพ้ต่อซุนหงอคงเนื่องจากเขาขาดความสามารถในการแปลงร่าง เขาถูกล้มลงด้วยไม้และร่างที่แท้จริงของเขาก็ถูกเปิดเผย หลานฟาชิงรับบทเป็นหมาป่าหลังเหล็กในซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Journey to the West : The Sequel |
พวกผีที่ตายในการข้าศึกยังมิได้ผุดเกิดนั้น จะไม่ตั้งใจคอยหรือ จะเสียการไปทั้งสิ้นจะตายสะดวกที่ไหนได้เล่า คนตัดฟืนจึงพูดว่า ท่านเป็นสงฆ์ก็ห่วงถึงการดังนั้นก็จริงแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็แสนจะช้ำใจ ด้วยตั้งแต่เล็กมาบิดาก็ตาย อยู่กับมารดาก็ขัดสนจนยาก ต้องตัดฟืนขายเลี้ยงชีวิตตัวกับมารดาเท่านั้น ปีนี้มารดาอายุก็แปดสิบสามแล้ว มีแต่ข้าพเจ้าผู้เดียวหาเลี้ยงมารดาอยู่ แม้ข้าพเจ้าตายเสียแล้วใครจะหาเลี้ยงต่อไปเล่า พระถังซัมจั๋งได้ฟังคนตัดฟืนก็ยิ่งมีความเศร้าโศกทวีมากขึ้นอีก จึงพูดแก่คนตัดฟืนว่า เมื่อคิดไปแล้วก็ยิ่งแสนเวทนา ท่านห่วงถึงมารดา ข้าพเจ้าห่วงถึงเจ้านายที่มีพระคุณอันยิ่ง พูดดังนั้นแล้วก็พากันร้องไห้ไม่หยุดทั้งสองคน
(บทที่ ๘๖)
ฝ่ายเห้งเจียรบกับปีศาจที่เนินเขา ปีศาจแพ้แล้วก็หลบหนีไป เห้งเจียหันกลับมาหาพระอาจารย์ก็ไม่เห็นอาจารย์ ยังเหลือแต่ม้ากับถุงย่าม เห้งเจียตกใจก็ยกหาบจูงม้าไปเที่ยวหาอาจารย์ออกรอบเขาก็มิได้พบปะอาจารย์ แลไปเห็นโป๊ยก่ายกะหืดกะหอบมาถามว่า พี่ร้องเรียกข้าพเจ้าหรือ เห้งเจียบอกว่าอาจารย์หายไปข้างไหนก็ไม่รู้ น้องได้พบปะบ้างหรือไม่ โป๊ยก่ายบอกว่าข้าพเจ้าตั้งใจเป็นสานุศิษย์พระถังซัมจั๋งมา พี่หลอกตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นนายทหารหน้า ใต้เจียงกุนอะไรก็ไม่รู้ ข้าพเจ้าก็ตั้งใจออกกำลังไม่คิดแก่ชีวิตรบแก่ปีศาจจนมันพ่ายแพ้ไปแล้วจึงได้กลับมานี่ อาจารย์นั้นพี่กับซัวเจ๋งเฝ้ารักษาอยู่ บัดนี้หายไปจะกลับมาถามข้าพเจ้า ๆ จะรู้ว่ากระไร
พูดยังไม่ทันขาดคำก็แลเห็นซัวเจ๋งกลับมา เห้งเจียจึงถามซัวเจ๋งว่าพระอาจารย์ไปข้างไหน ซัวเจ๋งพูดว่าพี่ทั้งสองเซ่อปล่อยให้ปีศาจมาจับอาจารย์ ข้าพเจ้าออกต้านทานรบแก่ปีศาจ พระอาจารย์ก็นั่งอยู่บนหลังม้า เห้งเจียได้ฟังกระทืบเท้าแล้วพูดว่า พวกเราถูกอุบายของปีศาจเสียแล้ว ซัวเจ๋งถามว่ากลอุบายอะไร เห้งเจียพูดว่า กลอย่างนี้เรียกว่าแบ่งแยกดอกสารพี มันทำอุบายล่อเราพี่น้องให้รบแยกกันออกพ้นไปแล้ว มันจึงเข้าจับพระอาจารย์เราไป แต่คงจะอยู่ในภูเขานื้เอง เราพากันไปเที่ยวค้นหาอย่าให้ช้า พูดดังนั้นแล้วทั้งสามคนก็พากันเที่ยวค้นหา เดินมาก็เห็นที่ตีนเขามีประตูถ้ำ บนประตูมีศิลาจารึกอักษรใหญ่แปดอักษรคือเขาอิ้มบู้ซัว ถ้ำจี๊ขี้เลียนฮ่วนต๋อง เห้งเจียจึงบอกให้โป๊ยก่ายลงมือ ที่ในถ้ำนี้เป็นที่ปีศาจอาศัยอยู่เป็นแน่แล้ว อาจารย์ก็คงจะถูกมันขังอยู่ในนี้ด้วย
โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้น ก็เอาคราดเหล็กสับเข้าที่ประตูถ้ำ กระชากทลายออกเป็นรูใหญ่แล้ว จึงตะโกนเรียกว่าอ้ายพวกมารร้าย มึงจงรีบเอาอาจารย์กูออกมาส่งโดยเร็ว หาไม่ชีวิตมึงจะเป็นอันตราย ฝ่ายพวกปีศาจที่เฝ้าประตู ก็ตกใจวิ่งเข้าไปบอกปีศาจใต้อ๋อง ๆ ตกใจพูดว่าไม่รู้ว่าคนไหนมาพังประตูถ้ำ ปีศาจเซียนฮองพูดว่า ไว้ข้าพเจ้าจะออกไปดูจะเป็นประการใดแน่ ปีศาจเซียนฮองก็วิ่งออกมาถึงประตู แลไปดูก็เห็นโป๊ยก่ายกำลังแผลงอิทธิฤทธิ์อยู่ จึงร้องบอกแก่ปีศาจใต้อ๋องว่าไม่ต้องวิตก คืออ้ายตือโป๊ยก่ายไม่สู้กระไรนัก วิตกกลัวอยู่แต่ซึงเห้งเจียเท่านั้น โป๊ยก่ายยืนอยู่ริมนั้น ได้ยินปีศาจพูดจึงบอกแก่เห้งเจียว่า พี่มันไม่กลัวข้าพเจ้ามันกลัวแต่พี่เท่านั้น พี่จงมาแผลงฤทธิ์ให้มันเห็นเถิด อาจารย์เราคงจะอยู่ในนี้เป็นแน่แล้ว
เห้งเจียเข้ามาใกล้ร้องด่าว่าอ้ายพวกสัตว์เดรัจฉานมารร้าย ปู่มึงคือซึงเห้งเจียอยู่นี่มึงจงรีบส่งอาจารย์ของกูออกมาโดยเร็วเถิด จะได้ยกโทษที่มึงทำผิดให้แก่พวกมึง ฝ่ายปีศาจเซียนฮอง เมื่อได้ยินและได้เห็นเห้งเจียดังนั้นก็ตกใจบอกว่าใต้อ๋องเห็นจะไม่เป็นการแล้ว เห้งเจียนั้นมาถึงอีกคนหนึ่งแล้ว ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังปีศาจเซียนฮองบอกดังนั้น จึงพูดแก่ปีศาจเซียนฮองว่า เหตุนี้ก็เพราะเจ้าคิดกลอุบายจึงได้เกิดภัยร้ายเกี่ยวมาถึงบ้านเรือนดังนี้ ปีศาจเซียนฮองพูดว่าใต้อ๋องอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าพเจ้าได้ทราบว่าซึงหงอคงนั้น เป็นคนใจโอบอ้อมอารีกว้างขวางมีอัธยาสัยอารีมีฤทธิ์อานุภาพกว้างขวางก็จริง แต่เป็นคนเสีย ยอ ไม่ได้คงจะผ่อนผันได้ เราทำศรีษะปลอมเอาออกไปหลอกว่า อาจารย์นั้นเรากินเสียแล้ว ขอความกรุณาพูดยกยอให้อ่อนหวานก็คงจะเชื่อ ถ้าเธอกลับไปแล้วพวกเราจึงค่อยกินเล่นให้สบาย ถ้าหากหลอกไม่ได้เราจึงค่อยคิดต่อไป
ปีศาจใต้อ๋องถามว่าเราจะได้ศรีษะคนเก๊ที่ไหนมาหลอกเขาเล่า เซียนฮองตอบว่าข้าพเจ้าจะทำเอาเอง พูดแล้วจึงไปเอาโคนไม้สนมาถากทำเป็นศรีษะคน แล้วเอาโลหิตสด ๆ มาใส่ไว้ในถาดแล้วให้ปีศาจบริวารยกออกไปที่ประตูถ้ำ ร้องเรียกว่าท่านเห้งเจียใต้เซี้ยขอท่านจงได้ระงับโทสะก่อน ข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านทราบ เห้งเจียได้ยินพวกปีศาจเรียกยกยอว่าเป็นใต้เซี้ยดังนั้นก็มีความยินดี จึงร้องห้ามโป๊ยก่ายว่าอย่าเพิ่งวุ่นวายก่อน คอยฟังมันจะพูดจาว่ากระไร ปีศาจจึงบอกว่าขอท่านใต้เซี้ยได้ทราบ อาจารย์ของท่านนั้นใต้อ๋องนายข้าพเจ้าจับมาไว้ในถ้ำ พวกบริวารมิได้รู้ว่าดีชั่วประการใด พากันมากัดกินเนื้อเสียแล้ว ยังเหลือแต่ศรีษะเท่านั้น เห้งเจียพูดว่าหากกินเสียแล้วก็ชั่งเถิด จงรีบเอาศรีษะนั้นมาให้เราพิจารณาดูจึงจะเชื่อได้
ปีศาจบริวารก็นำศรีษะเก๊นั้นขว้างออกมาตามรูทะลุนั่น โป๊ยก่ายแลเห็นก็ร้องไห้โฮ เห้งเจียด่าว่าอ้ายชาติหมูไม่ดูแลให้แน่นอนก่อน ยังไม่ทันไรก็ร้องไห้ไปก่อน นี่คือศรีษะปลอมมิใช่ศรีษะพระอาจารย์ มันปาออกมาดังเหมือนไม้ ถ้าศรีษะคนจริง ๆ จะดังเสียงอย่างนี้หรือ ถ้าน้องไม่เชื่อพี่จะทำให้ดู จึงยกขึ้นขว้างลงกับศิลาเสียงดังเหมือนเสียงไม้ เห้งเจียยกตะบองกะทุ้งลงไปทีหนึ่ง หัวนั้นก็แตกแยกออกเป็นไม้สน โป๊ยก่ายเห็นแก่ตาดังนั้น ก็ร้องด่าว่าเฮ้ยอ้ายหมู่มารร้ายเดรัจฉาน มึงเอาอาจารย์กูซ่อนไว้ในถ้ำเอาไม้สนมาหลอก ตือโป๊ยก่ายปู่ของเองอย่างนี้ได้หรือ ศรีษะอาจารย์ของกูทำไมจึงกลายเป็นท่อนไม้ดังนี้เล่า
ปีศาจบริวารได้ยินดังนั้น ก็ตัวสั่นขนลุกขนพองวิ่งกลับเข้าไปบอกใต้อ๋องว่ายาก ๆ เสียแล้ว ปีศาจใต้อ๋องถามว่าทำไมจึงยากนักดังนั้นเล่า ปีศาจน้อยบอกว่าตือโป๊ยก่ายซัวเจ๋งนั้นพอจะหลอกได้ แต่เห้งเจียนั้นเป็นคนฉลาดเฉลียวมากนัก เห็นจะหลอกไม่ได้เธอทุบออกดูจึงรู้ว่าศรีษะปลอมนั้นเป็นไม้ ถ้าได้ศรีษะคนจริง ๆ ออกไปให้ดูหากจะเชื่อบ้าง เพื่อจะถอยไปเป็นแน่ ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้น จึงให้เลือกตัดเอาศรีษะคนสด ๆ ส่งออกไป พวกบริวารได้ศรีษะแล้วก็เอาใส่ถาดออกไป จึงร้องว่าท่านใต้เซี้ย ที่เอามาก่อนนั้นมิใช่หัวจริง ศรีษะนี้แลเป็นศรีษะพระถังซัมจั๋งจริงแล้ว ใต้อ๋องหมายว่าเอาไว้ดูเพื่อกระทำสักการะบูชา บัดนี้ขัดไม่ได้ต้องเอาออกมาให้ท่าน ปีศาจน้อยจึงเอาศรีษะคนที่เปื้อนเลือดขว้างออกมา เห้งเจียเห็นแล้วก็ร้องไห้โฮ
โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็พากันร้องไห้สะอึกสะอื้น โป๊ยก่ายพูดว่าเรากลั้นน้ำตาไว้ก่อน รอข้าพเจ้าเอาศรีษะไปฝังแล้วจึงค่อยร้องไห้อีกเถิด เห้งเจียพูดว่าน้องว่าดังนั้นถูกต้องแล้ว โป๊ยก่ายก็เข้าอุ้มศรีษะนั้นไว้กับอก แล้วเดินไปที่เนินเขาวางศรีษะลงแล้ว เอาคราดขุดลงรูหนึ่งเอาศรีษะนั้นวางลงในรูแล้วเอาดินกลบ ครั้นฝังเสร็จแล้วก็เดินลงที่ริมห้วยหักกิ่งไม้สนสองสามกิ่ง แล้วเก็บเลือกเอากรวดขาวห้าหกเม็ดเดินกลับมาที่ฝังศพ เอากิ่งสนปักลงข้างริมที่ฝังนั้น แล้วเอาเม็ดกรวดขาววางที่หน้าหลุมฝังศพนั้น เห้งเจ้ยเห็นดังนั้นจึงถามว่ากิ่งสนกับกรวดขาวนั้นจะแปลว่ากระไร โป๊ยก่ายบอกว่ากิ่งสนนั้น สมมุติว่าเป็นไม้ช่งปั๊ก เพื่อบังร่มฮวงซุ้ยที่ฝัง กรวดขาวนั้นสมมุติว่าเป็นเครื่องเซ่น เพื่อว่าพี่น้องเรามีความกตัญญู
เห้งเจียว่าอย่าทำเล่นให้ช้าการ เห้งเจียสั่งซัวเจ๋งว่าน้องจงเฝ้าม้าแลข้าวของอยู่ที่นี่ พี่จะไปกับโป๊ยก่ายไล่จับอ้ายบวกปีศาจไม่ว่าเล็กใหญ่ฆ่าเสียให้หมด แก้แค้นให้พระอาจารย์เรา เห้งเจียพูดแล้วก็จับตะบองออกหน้า โป๊ยก่ายถือคราดตามหลังมา ครั้นเดินมาถึงประตูถ้ำก็มิได้พูดจาว่ากระไร ตรงเข้าตีขนาบเข้าไปพร้อมกับโป๊ยก่ายช่วยกันสับฟันประตูถ้ำก็พังทลายลงหมดสิ้น แล้วร้องประกาศว่าให้เอาชีวิตอาจารย์กูกลับคืนมาให้โดยเร็ว ฝ่ายพวกปีศาจที่อยู่ในถ้ำก็พากันบ่นด่าเซียนฮองว่า เพราะมันหาเหตุมาจึงได้เกิดความเร่าร้อนมาถึงพวกเราทั้งสิ้นดังนี้ ปีศาจใต้อ๋องถามเซียนฮองว่า บัดนี้จะคิดอ่านแก้ไขประการใด เซียนฮองตอบว่าค่าโบราณท่านย่อมว่า อยากจับปลาในตะกร้าจะหนีคาวที่ไหนได้ ซึ่งการล่วงเกินมาถึงเพียงนี้แล้ว อย่างหนึ่งไม่สู้ อย่างหนึ่งต้องสู้ ต้องเลือกเอาอย่างหนึ่ง
ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังเซียนฮองว่าดังนั้น ก็ยังไม่ตกลงในใจ จึงพาพวกบริวารน้อยใหญ่ออกไปดูท่าทางแข็งแรง เห้งเจียโป๊ยก่ายเห็นดังนั้น ก็ถอยออกมาหาที่กว้าง ยืนคอยท่ารับปีศาจอยู่ ครั้นเห็นปีศาจมาใกล้เห้งเจียจึงร้องตวาดถามว่า อ้ายคนไหนจับอาจารย์กูไป ปีศาจใต้อ๋องมือถือสากเหล็กร้องตอบว่า เฮ้ยอ้ายพวกสานุศิษย์สงฆ์ เองอย่ามาวุ่นวายแก่เรา เราคือน่ำซัวใต้อ๋อง เราอยู่ผาสุขมาในที่ตำบลนี้ช้านานหลายร้อยปีแล้ว อาจารย์ของเจ้าเราจับมากินเนื้อเสียแล้ว เจ้ายังจะว่ากะไรต่อไปหรือ เห้งเจียได้ฟังปีศาจพูดดังนั้น ก็บันดาโทสะด่าว่าอ้ายมารร้าย จะมีบุญฤทธิ์อย่างไรจึงได้มาพูดอวดอ้างวางโตดังนี้ พระยูไลท่านท้ายเสียงท่านขงจู๊เซี้ยหยิน ท่านเหล่านี้เป็นที่สุดแห่งโลกควรนิยมนับถือบุญฤทธิ์ของท่าน ๆ ยังไม่อวดอ้างถึงอย่างนี้ ทำไมกับมึงอ้ายเดรัจฉานมาอวดอ้างว่าน่ำซัวใต้อ๋อง ถ้ามึงเก่งจริงมึงอย่าวิ่งหนี จงมาลองกินตะบองของกูดูสักทีหนึ่ง จะได้รู้สึกว่ารสชาติจะเป็นประการใด
พูดแล้วเห้งเจียก็ยกตะบองขึ้นตี ปีศาจยกสากเหล็กขึ้นรับรบกัน โป๊ยก่ายก็จับคราดตรงเข้าฟาดฟันโดยสามารถเต็มกำลัง ปีศาจเซียนฮองก็ขับพลปีศาจบริวารเข้าล้อมรบ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงร่ายพระคาถาถอนขนที่บ่าซ้ายมากำมือหนึ่งเป่าไป แปลงเปน็รูปเห้งเจียหลายร้อยหลายพันตน มือถือตะบองเหล็กทุกรูปตรงเข้าทุบตีพวกปีศาจตายลงนับไม่ถ้วน เห้งเจียโป๊ยก่ายก็ไล่รุกปีศาจเข้าไปในถ้ำ พวกปีศาจทั้งหลายถูกตะบองเห้งเจียบ้าง ถูกคราดโป๊ยก่ายบ้างล้มตายเป็นจุนไปทั้งสิ้น ปีศาจใหญ่ใต้อ๋องเห็นดังนั้น ก็ตกใจไม่คิดที่จะสู้รบ จึงบันดาลเป็นหมอกมืดแล้วก็หนีเข้าถ้ำปิดประตูเสียมิได้ออกมาสู้รบ ปีศาจเซียนฮองเปลี่ยนแปลงกายไม่ได้ ถูกเห้งเจียตีด้วยตะบองก็ตายอยู่กับที่ ร่างกายกลายเป็นพังพอนไป เห้งเจียเห็นได้ชัยชนะแล้ว ก็เรียกขนกลับเข้าตัว บอกแก่โป๊ยก่ายว่าอย่าช้ารีบไล่เข้าไปในถ้ำ ทวงเอาอาจารย์ของเราให้จงได้ เห้งเจียโป๊ยก่ายพร้อมกันบุกรุกเข้าไปในถ้ำ
ฝ่ายปีศาจครั้นหนีเข้าถ้ำแล้ว สั่งพวกบริวารที่ยังเหลือตายให้เอาศิลาถมอุดปากถ้ำให้แน่นหนา แล้วก็ไม่โผล่หัวออกมาสู้รบ โป๊ยก่ายเข้ามาถึงประตูร้องตวาดเสียงอึกทึกก็ไม่มีผู้ใดโต้ตอบ โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับเข้าที่ประตูทีหนึ่งก็ไม่หวั่นไหว เห้งเจียจึงร้องห้ามว่าชั่งมันเถิด มันไม่ออกมาแล้วเรากลับไปที่ฮองซุ้ยก่อนแล้วจึงค่อยคิดอ่านต่อไป พูดดังนั้นแล้วก็พากันกลับไปที่ฝังศรีษะอาจารย์ แลเห็นซัวเจ๋งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ โป๊ยก่ายคิดขึ้นมาก็ร้องไห้นอนลงกับที่ฝังศรีษะเอามือตบดินแล้วร้องไห้โฮ ๆ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงห้ามว่าน้องอย่าร้องไห้ไปเลย พวกปีศาจมันปิดประตูแน่นดังนี้ คงจะมีทางเข้าออกข้างหลังถ้ำได้เป็นแน่ น้องทั้งสองจงรอคอยพี่อยู่ที่นี่พี่จะไปเที่ยวค้นดู โป๊ยก่ายเช็ดน้ำตาแล้วจึงกำชับเห้งเจียว่าพี่ไปจงระวังให้ดี อย่าให้มันจับเอาพี่ไปได้อีกคนหนึ่ง ข้าพเจ้าทั้งสองจะไม่มีน้ำตาร้องไห้ เห้งเจียว่าอย่าพูดเลอะเทอะไป พูดแล้วก็เดินข้ามเนินเขาไป กำลังเดินมาก็ได้ยินเสียงน้ำไหลสู้ ๆ เห้งเจียหันหน้าไปดู เห็นน้ำในชะวากหินไหลพุ่งลงในลำห้วย แลไปข้างริมลำห้วยมีช่องน้ำไหลออกมามีสีแดง
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็นึกแน่ใจว่า ที่ตรงนี้เองเป็นทางเข้าออกหลังถ้ำ เห้งเจียจึงแปลงกายเป็นหนูน้ำ ดำตามช่องน้ำเข้าไป ครั้นดำเข้าไปถึงชั้นในได้แล้วก็โผล่ขึ้นดูแลเห็นปีศาจน้อยเอาเนื้อแห้งออกผึ่ง เห้งเจียคิดในใจว่าอ้ายพวกนี้เห็นจะกินเนื้ออาจารย์เรายังไม่หมด จึงได้เอามาตากดังนี้ จำเราจะแปลงกายเข้าไปดู อ้ายปีศาจใต้อ๋องมันจะทำประการใด คิดแล้วก็ขึ้นจากน้ำแปลงกาย เป็นแมลงหวี่บินเข้าไปในที่ปีศาจอยู่ เห็นปีศาจใต้อ๋องนั่งอยู่ท่ามกลางกำลังกระสับกระส่ายไม่สบาย มีปีศาจน้อยตนหนึ่งเดินเข้าไปบอกปีศาจใต้อ๋องว่า เราได้ร้อยพันหมื่นในความรื่นเริง ใต้อ๋องถามว่าความรื่นเริงอยู่ที่ไหน
ปีศาจน้อยบอกว่าเมื่อตะกี้นี้ข้าพเจ้าออกไปที่หลังถ้ำเที่ยวเดินตรวจดู ได้ยินเสียงคนร้องไห้ ข้าพเจ้าจึงปีนต้นไม้ขึ้นไปดู เห็นเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งนั่งร้องไห้โฮ ๆ อยู่ที่ฝังศรีษะคน ท่วงทีเธอจะเข้าใจว่าเป็นศรีษะของอาจารย์เธอจริง ๆ จึงได้เอาไปฝังทำฮองซุ้ยนั่งร้องไห้กันอยู่ดังนั้น เห้งเจียฟังได้ความชัดเจนดังนั้นแล้ว ก็คิดดีใจว่าอาจารย์ของเราคงจะยังไม่ตาย มันจับซ่อนขังไว้ในนี้เป็นแน่ จำเราจะเที่ยวค้นหาดูจึงจะได้รู้แน่ คิดแล้วก็บินไปข้างทิศตะวันออก แลเห็นที่ตรงนั้นมีประตูเล็กลั่นกุญแจ เห้งเจียจึงบินลอดเข้าไปที่ในสวนก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้ แล้วเลยบินเข้าไปที่กลางสวนเห็นที่โคนไม้ใหญ่ผูกมัดคนไว้สองคน จึงบินเข้าไปใกล้ก็จำได้ว่าพระอาจารย์
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ดีใจ แปลงกายกลับเป็นรูปเดิมเดินเข้าไปใกล้ ยกมือขึ้นคำนับเรียกว่าพระอาจารย์ พระถังซัมจั๋งเห็นเห้งเจียมา จึงพูดว่าเห้งเจียมาแล้วจงช่วยอาตมาด้วยเถิด เห้งเจียห้ามว่าพระอาจารย์อย่าพูดเสียงดังคนมีอยู่ข้างนั้น มันได้ยินเข้าความจะแตกฉาว พระอาจารย์ยังไม่สิ้นชีวิต ข้าพเจ้าคงจะช่วยอย่าได้มีความวิตกเลย พูดแล้วเห้งเจียก็บินกลับไปที่หอใหญ่จับอยู่ที่ขื่อ เห็นพวกปีศาจกำลังชุลมุนวุ่นวาย มีปีศาจผู้หนึ่งพูดขึ้นว่าวันนี้เราถมประตูถ้ำให้แน่นพวกนั้นทำลายไม่ไหว เอาหัวคนกลับไปฝังไว้และทำเป็นฮองซุ้ยแล้วก็ร้องไห้กัน เราคอยระวังอยู่คือวันนี้พรุ่งนี้มะรืนนี้ ครบสามวันแล้วเราจึงออกตรวจดู หากพวกมันไปแล้วเราจับพระถังซัมจั๋งออกมาสับให้ละเอียดใส่เครื่องแกงให้อร่อย แจกกันกินคนละคำให้สนุกจะได้มีอายุยืนยาว
ปีศาจอีกคนหนึ่งพูดว่า ถ้าฉู่ฉี่กินเห็นจะมีรส อีกคนหนึ่งพูดว่าเธอเป็นคนแปลกประหลาด ดองไว้กินนาน ๆ เห็นจะดีกว่านั้น เห้งเจียจับอยู่บนขื่อได้ยินดังนั้น ก็โกรธด่าว่าอ้ายพวกเดรัจฉาน อาจารย์กูทำอะไรแก่พวกมึง จึงจะได้กินเลือดเนื้อแลทำต่าง ๆ ดังนี้ เห้งเจียถอนขนที่บ่าซ้ายเสกเป่าไปให้เป็นหนอนหาวนอน จับคนละตัว เข้าในรูจมูกปีศาจใต้อ๋องจามทีหนึ่งแล้ว ก็ล้มลงหลับกรนครอก ๆ ทั้งนายและบ่าวก็หลับไปหมดทั้งสิ้น เห้งเจียเห็นปีศาจหลับสนิทแล้วก็ลงมายังพื้นกลายกลับเป็นรูปเดิม ชักตะบองออกจากหูแล้วก็ตีประตูสวนหักพังทลายลง วิ่งเข้าไปเรียกอาจารย์แล้วเข้าแก้มัดให้แล้วก็พยุงให้เดินหนี ได้ยินคนที่ต้องมัดนั้นร้องเรียกว่าท่านอาจารย์ช่วยบอกให้สานุศิษย์ของท่านช่วยข้าพเจ้าด้วย
พระถังซัมจั๋งจึงบอกแก่เห้งเจียว่าจงช่วยแก้ให้แก่คนนั้นด้วยเถิด เห้งเจียถามว่าเขาเป็นอะไร พระถังซัมจั๋งบอกว่าเธอเป็นคนตัดฟืนขาย เธอมีความกตัญญูมากมีแม่ลูกสองคนเท่านั้น จงช่วยด้วยอีกสักคนหนึ่งเถิด เห้งเจียจึงเข้าไปแก้มัดให้ พามาพร้อมกันออกทางประตูหลังข้ามพ้นห้วยมาแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่าโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งอยู่ที่ไหน เห้งเจียบอกว่าเธอนั่งร้องไห้ถึงอาจารย์อยู่ข้างนั้น อาจารย์เรียกเธอสักคำหนึ่งก็จะขานรับ พระถังซัมจั๋งจึงร้องเรียกว่าโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งอยู่ที่ไหน โป๊ยก่ายมัวร้องไห้ถึงอาจารย์จิตใจให้มัวหมองพลั้งเผลอ ได้ยินเสียงเรียกออกชื่อจึงเช็ดน้ำตาบอกแก่ซัวเจ่งว่า พระอาจารย์สิ้นชีวิตแล้ว กลับมาเรียกเราอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เห้งเจียรีบเดินมาถึงก่อนร้องตวาดว่า อ้ายชาติหมูเอ็งว่าวิญญาณสิงอยู่ที่ไหน นี่ไม่ใช่อาจารย์กลับมาหรือ
ซัวเจ๋งแลเห็นก็วิ่งมาคุกเข่าคำนับนมัสการถามว่า พระอาจารย์ไปทนทุกข์ธรมานอยู่ที่ไหน พี่เห้งเจียแกจึงไปช่วยมาได้ เห้งเจียจึงเล่าต้นสายปลายเหตุให้ฟังทุกประการ โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ผุดลุกขึ้นเอาคราดฟันขุดเอาหัวนั้นขึ้นสับฟันเสียจนป่น แล้วพูดแก่พระอาจารย์ว่าข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่า มันเอาศรีษะคนตายที่ไหนมาหลอกให้เราร้องไห้จนเสียงแห้งเสียงเหี่ยวดังนี้ พระถังซัมจั๋งพูดว่าได้พึ่งเธอแทนชีวิตให้อาตม าเพราะฉะนั้นให้โป๊ยก่ายเอาศรีษะนั้นฝังลงเสียอย่างเดิม เพื่อให้เห็นว่าพวกเรามีเมตาจิต โป๊ยก่ายได้ฟังอาจารย์ว่าดังนั้น ก็เอาศรีษะฝังลงไว้อย่างเดิม เห้งเจียว่าขออาจารย์นั่งพักรอข้าพเจ้าสักประเดี๋ยว จะไปกำจัดเสียให้สิ้นมารร้ายแล้วจึงค่อยไป พูดแล้วก็ถือตะบองรีบเดินข้ามห้วยตรงเข้าไปในถ้ำ ไปเก็บเอาเชือกที่มัดพระอาจารย์กับคนตัดฟืนนั้นมา แล้วเข้าไปที่น่าหอปีศาจใต้อ๋องกำลังนอนหลับอยู่ไม่รู้สึกตัว เห้งเจียก็เข้ารวบมือและเท้ามัดหมูไว้ เอาตะบองค่อย ๆ สอดยกขึ้นใส่บ่าหามออกมานอกถ้ำ ไปวางลงตรงหน้าพระอาจารย์
โป๊ยก่ายเห็นยกคราดขึ้นจะสับ เห้งเจียร้องห้ามว่าอย่า ๆ เพิ่งก่อน ปีศาจน้อยบริวารในถ้ำยังมีอยู่มากมายนัก จะตีมันให้ตายเสียก็เสียดายมือ สู้หาไม้ฟืนแห้งเผามันเสียให้สิ้นจึงจะดี คนตัดฟืนได้ยินเห้งเจียว่าดังนั้น จึงนำโป๊ยก่ายไปขนเอาฟืนแห้ง ๆ มาใส่ในประตูหลังถ้ำเต็มแล้ว เห้งเจียจึงเอาไฟจุดโป๊ยก่ายก็เอาใบหูพัดลมให้ไฟลุก เห้งเจียก็ร่ายคาถาเรียกหนอนหาวนอนกลับคืนเข้าตัวไปตามเดิม พวกปีศาจตกใจตื่นเห็นไฟกำลังลุกแรงอย่านึกเลยว่าจะรอดสักคนหนึ่ง ไฟไหม้เป็นจุณไปหมดแล้วจึงพากันมาหาอาจารย์
ฝ่ายปีศาจใต้อ๋องใหญ่พึ่งรู้สึก โป๊ยก่ายกระโดดมายกคราดขึ้นสับถูกปีศาจก็ตายอยู่กับที่ ร่างกายกลายเป็นเสือลายตลับไป พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ขอบใจโป๊ยก่ายเห้งเจียเป็นอันมาก จึงจับบังเหียนขึ้นบนหลังม้า ฝ่ายคนตัดฟืนพูดแก่พระถังซัมจั๋งว่า ขอนิมนต์ท่านไปที่บ้านข้าพเจ้าอยู่ตรงทิศทักษิณไปนั้น ให้มารดาข้าพเจ้าพบกับท่านแล้วขอบพระคุณท่าน ที่ได้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดชีวิตแล้วจะส่งท่านขึ้นทางใหญ่ไป พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงลงจากม้าพร้อมด้วยคนตัดฟืนกับเห้งเจียและโป๊ยก่าย ซัวเจ๋งพากันเดินไป ลัดเลี้ยวมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึง แลไปในบ้านเห็นยายเฒ่าคนหนึ่งนั่งอยู่บนร้านมีน้ำตาไหลอยู่อาบหน้า นั่งคอยมองดูตามทางมาร้องไห้สะอึกสะอื้นเรียกฟ้าเรียกดิน
ฝ่ายคนตัดฟืนเห็นมารดา ก็รีบวิ่งมาที่ร้านคุกเข่าลงกับพื้นบอกว่าแม่จ๋าลูกกลับมาแล้ว ยายเฒ่าเห็นลูกมาก็เข้าจับยึดลูกพูดว่าแม่คอยอยู่สองวันไม่เห็นมา คิดว่าเจ้าของภูเขาจับลูกไปฆ่าเสียแล้ว ทำให้แม่อกใจเร่าร้อนทุกข์โทมนัสร้องไห้ ก็ลูกไม่ถูกจับทำไมสองวันจึงไม่กลับมาเล่า คนตัดฟืนจึงบอกแก่มารดาว่า ลูกถูกปีศาจใต้อ๋องมันจับไปมัดไว้กับต้นไม้ ลูกก็นึกว่าคงไม่รอดชีวิต ผ่ายหลังได้พึ่งสานุศิษย์ของพระอาจารย์ มีฤทธาอานุภาพเธอจับปีศาจใต้อ๋องมาฆ่าเสีย จึงได้ช่วยลูกกับท่านอาจารย์รอดมาได้ อันพระคุณของท่านเท่าฟ้าเท่าดิน ตั้งแต่นี้ต่อไปบนเขานั้น แม้กลางคืนลูกจะเดินเที่ยวเล่นก็ได้ไม่มีอันตราย
ฝ่ายยายเฒ่าได้ฟังบุตรเล่าดังนั้น ก็เดินออกมานมัสการนิมนต์พระอาจารย์กับศิษย์ทั้งสามเข้าไปนั่งพักกลางบ้าน แม่ลูกสองคนกราบไหว้แล้ว ก็รีบเข้าไปข้างในจัดแจงตามมีตามเกิด ยกกับข้าวเครื่องแจออกมาถวาย ฝ่ายอาจารย์กับศิษย์ก็ฉัน ครั้นอิ่มแล้วก็จัดแจงข้าวของจะลาไป คนตัดฟืนก็ออกเดินนำหน้าส่งขึ้นทางใหญ่แล้วพูดว่า ท่านอาจารย์ตั้งแต่นี้ตรงไปทิศไซทีไม่ต้องเป็นทุกข์แล้ว ไม่ถึงพันโยชน์ก็เข้าเขตเมืองไซที พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ลงจากม้าคำนับขอบคุณคนตัดฟืนแล้วต่างคนต่างก็ลากันไป
The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 8-24 พากย์ไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น