หน้าเว็บ

28 มิถุนายน 2568

[เล่ม 3] ตอนที่ 54 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
(บทที่ ๗๖)
​ฝ่ายเห้งเจียอยู่ในท้องปีศาจทำรี ๆ ขวาง ๆ พักหนึ่ง ปีศาจก็ล้มกลิ้งอยู่กับพื้นสลบไปมิได้พูดจา พากันนึกว่าตายแล้ว ภายหลังกลับฟื้นขึ้นมาได้ร้องด้วยเสียงอันดังว่า ขอความกรุณาเถิดพระโพธิสัตว์ซีเทียนใต้เซีย เห้งเจียว่าเจ้าจงจำไว้อย่าทิ้ง จงระลึกสองสามตัวอักขระ คือเรียกว่า ตาซึงหงอคงเท่านั้น ปีศาจกลัวตายเสียดายชีวิตก็เรียกตามว่า ท่านตาหงอคง ข้าพเจ้าได้ผิดแล้ว เพราะกลืนท่านตาเข้าไป ไม่รู้เลยว่าจะกลับให้ร้ายอย่างนี้ ขอได้เมตตาอย่างสัตว์มดปลวกเถิด ขอยกชีวิตให้หลานสักครั้งหนึ่งเถิด หลานจะส่งอาจารย์ของท่านให้ข้ามพ้นไป เห้งเจียเป็นคนเมตตา เมื่อได้ฟังปีศาจร้องขอโทษดังนั้นก็มีใจอันอ่อน จึงตอบว่าตาจะยกโทษให้แก่เจ้า ๆ จะทำประการใดแก่อาจารย์
   ปีศาจใต้อ๋องบอกว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีแก้วแหวนเงินทองสิ่งใดที่จะส่งไปเป็นเสบียง มีพี่น้องสามคนจะเอาเกี้ยวมารับอาจารย์ของท่านขึ้นนั่งแล้วจะหามไปส่งให้ข้ามพ้นเขตเขานี้ไป เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า เอาเกี้ยวหามไปส่งอย่างนั้นก็ยิ่งกว่าเพชรนิลจินดา เจ้าจงอ้าปากออกให้กว้างตาจะได้ออกไป
   ปีศาจใต้อ๋องที่สามมากระซิบบอกว่า พี่อ้าปากคอยรอมันออกมาก็งับมันไว้เคี้ยวมันให้ละเอียดไป แล้วจึงกลืนเข้าไปในท้องจะมิดีหรือ เห้งเจียอยู่ในท้องได้ยินแล้วจึงเอาตะบองเหล็กแหย่ออกไปก่อน ปีศาจใต้อ๋องก็งับ​ปากลงเสียงดังฮวบทีหนึ่งหน้าฟันปีศาจก็หักกระเด็นออกไป เห้งเจียก็ชักตะบองกลับเข้าไปพูดว่าดีแล้วอ้ายมารร้าย เรายกชีวิตให้เจ้าเราจะออกไป เจ้ากลับคิดประทุษร้ายต่อเราดังนี้ กูไม่ออกไปแล้ว กูจะฆ่ามึงทั้งเป็นดังนี้จึงจะสมใจมึง ปีศาจใหญ่ได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธปีศาจที่สามว่า นี่ก็เพราะเจ้าเราได้เชิญเธอให้ออกมาแล้ว เจ้ามากระซิบสอนให้งับเธอ เดี๋ยวนี้เธอไม่ออกมาเจ้าจะคิดประการใด
   ฝ่ายปีศาจที่สามเห็นปีศาจที่หนึ่งโกรธเคืองดังนั้น แกล้งพูดกระทบเสียงดังว่า เฮ้ยอ้ายเห้งเจียเราได้ยินชื่อเจ้าดุจเสียงฟ้าลั่น ว่าเจ้าขึ้นไปบนสวรรค์น่ำทีหมึงแผ่อำนาจ และเข้าไปยังปราสาทเล่งเซียวเต้ยแผลงฤทธิ์เดช บัดนี้มาทางไซทีนี้กำจัดปีศาจมารร้าย เมื่อพิเคราะห์ดูก็เป็นการเล็กน้อยมิใช่เป็นคนเก่งกาจจริง เห้งเจียถามว่าทำไมเจ้าจึงเห็นว่าเราเป็นคนเล็กน้อย ปีศาจตอบว่า เพราะเจ้าไม่กล้าออกมา ถ้าเจ้าเป็นคนเก่งจริง ก็จงออกมาลองฝีมือกันเล่นให้เห็นจริงจึงจะควรเรียกว่าคนเก่งได้ ก็เมื่อเจ้าเข้าไปมุดซ่อนตัวอยู่ในท้องเขาดังนี้ จะไม่เรียกว่าเป็นคนเล็กน้อยจะเรียกว่าอะไรอีกเล่า
   เห้งเจียได้ฟังก็นึกว่าจริง ๆ ของมัน เวลานี้เราจะดึงไส้พุง ตับปอด มันให้ตายเสียก็ได้ แต่จะเสียชื่อเสียงของเราไป คิดดังนั้นแล้วจึงร้องบอกแก่ปีศาจว่า ถ้ากระนั้นเจ้าอ้าปากออกให้กว้างเราจะได้ออกไปลองฝีมือแก่พวกเจ้า ให้รู้สึกว่าใครจะเก่งสักปานได แต่ว่าที่ในถ้ำนี้คับแคบนักไม่พอที่เราจะออกฝีมือ จงออกนอกถ้ำไปหาที่กว้าง ๆ จึงจะดี ​ฝ่ายปีศาจที่สามได้ฟังดังนั้น ก็เรียกพลบริวารให้จัดเตรียมตัวถืออาวุธทุกๆ คน ยกออกไปหน้าถ้ำตั้งเป็นกระบวนรบคอยเห้งเจียออกมาจะได้ต่อสู้ ปีศาจที่สองก็เข้าพยุงปีศาจใหญ่ที่หนึ่งออกไปนอกถ้ำ พวกปีศาจครั้นตระเตรียมเสร็จแล้ว ปีศาจที่สามก็ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยเห้งเจียถ้าเก่งจริงแล้วจงรีบออกมาที่ตรงนี้กว้างขวางดีควรเป็นที่รบได้
   เห้งเจียอยู่ในท้องได้ยินเสียงไก่ขัน การ้องก็รู้ได้ว่าที่นี่เป็นที่กว้างขวางแน่ จึงคิดว่าถ้าเราจะไม่ออกไปก็จะเสียสัตย์ แม้เราออกไปถ้ามันเป็นปีศาจรูปคนก็เป็นการจริงใจ มันยังเป็นสัตว์เดรัจฉานกลับกลายได้ยากที่จะไว้ใจ อย่ากระนั้นเลยเราจะให้ได้ดีทั้งสองฝ่ายออกก็ออกไป แต่เราจะทำเป็นยึดไว้สักอย่างหนึ่ง คิดแล้วก็ถอนขนในตัวออกขนหนึ่ง แปลงเป็นเชือกเส้นยาวสี่สิบวา เอาหัวเชือกผูกหัวใจปีศาจทำเป็นเงื่อนรัดไว้เงื่อนหนึ่ง เงื่อนนั้นไม่กระชากก็ไม่รัด หากรัดก็รู้สึกเจ็บ เห้งเจียผูกเสร็จแล้วก็จับหัวเชือกไว้ข้างหนึ่ง หัวเราะว่าเราจะออกไปให้มันส่งอาจารย์เราไป หากมันไม่ส่งก็จะคิดรบพุ่งชิงชัย เราจะกระตุกเชือกกระชากดุจจะอยู่ในท้องเหมือนกัน คิดแล้วก็ไหวกายแปลงเป็นรูปเล็กลงคลานขึ้นไปอยู่ที่บนคอหอยแล้วออกมาดูเห็นปีศาจอ้าปากกว้างฟันมีคมดุจคมมีดก็ตรึกตรองว่าเห็นจะไม่ได้การ แม้เราจะออกไปทางปากจะกระตุกเชือกถ้ามันเจ็บมันก็จะหุบปากลงเชือกก็จะขาดไป จำเราจะหาช่องออกที่ไม่มีฟันจึงจะดี
   คิดแล้วก็คลานเลื่อนขึ้นไปที่สันจมูก ปีศาจก็​จามทีหนึ่งเห้งเจียก็กระเด็นออกมาจากจมูกปีศาจ เห้งเจียถูกลมเข้าก็กลับเป็นรูปเดิม มือหนึ่งถือตะบองมือหนึ่งถือเชือก ปีศาจทั้งสามเห็นเห้งเจียออกมาก็ไม่รอรั้งพากันตรงเข้าฟันแทงเห้งเจียไม่เลือกว่าที่ไหน เห้งเจียก็เหาะขึ้นกลางอากาศพ้นที่ล้อมแล้วก็ลดลงยังเขาที่ว่าง สองมือก็รั้งเชือกนั้น ปีศาจใต้อ๋องก็เจ็บปวด เอามือเข้าดึงเชือก เห้งเจียก็กระชากปีศาจก็หมุนดุจไม้ปั่นฝ้าย หกล้มลงกับพื้นดิ้นรนจนดินที่นั่นเป็นหลุมเป็นบ่อ ฝ่ายปีศาจที่สองที่สามเห็นดังนั้น ก็ลงไปจับยึดเชือกไว้คุกเข่าลงอ้อนวอนขอว่า ท่านใต้เซี้ยเขาพูดกันว่าท่านมีจิตกว้างขวางประกอบไปด้วยเมตตาไม่มีความอาฆาตแก่ผู้ผิด นับว่าท่านเป็นเซียนใหญ่ไม่รู้เลยว่าใจหนูจิตค้างคาวดังนี้ ท่านว่าออกมาจะสู้รบกันนนี่ทำไมจึงมาหลอกลวงกันเอาเชือกผูกหัวใจไว้อีกเล่า
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า มึงอ้ายพวกมารร้ายไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต แต่แรกล่อลวงให้เราออกมาแล้วจะงับเราและกัดเราแต่หากเรารู้เท่า ครั้งนี้หลอกให้เราออกมาจัดกระบวนตั้งหมื่นจะรบเราคนเดียว เองทำอย่างนี้ถูกต้องหรือ เราจะลากไปหาอาจารย์เรา เองจะว่ากระไรต่อไป พวกปีศาจกราบไหว้ร้องขอชีวิต ขอได้กรุณาข้าพเจ้าจะส่งอาจารย์ท่านให้ข้ามเขาไป เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นเจ้าเอามีดมาตัดเชือกเอาเถิด ปีศาจว่าจะตัดข้างนอกข้างในยังติดอยู่กับหัวใจ ก็จะเจ็บปวดต่อไปอีก จะคิดอย่างไรดีเล่า ​เห้งเจียว่าดังนั้น ก็ให้อ้าปากออกเราจะเข้าไปแก้ให้ ปีศาจได้ยินดังนั้นก็ตกใจพูดว่า ถ้าท่านเข้าไปแล้วและจะไม่ออกมาจะมิเป็นการลำบากแก่ข้าพเจ้าหรือ เห้งเจียว่าแก้เชือกนั้นง่าย ๆ ไม่ยากอะไร แต่พวกเจ้าจะยอมส่งอาจารย์เราไปจริงแล้วหรือ
   ปีศาจใต้อ๋องที่หนึ่งพูดว่า ถ้าท่านแก้ให้ข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะขอส่งอาจารย์ท่านไปไม่กล่าวคำเท็จ เห้งเจียเห็นว่าปีศาจมีใจอ่อนแล้วก็เชื่อ จึงร่ายคาถาเรียกขนนั้นกลับคืน หัวใจปีศาจก็หายเจ็บ ปีศาจใต้อ๋องทั้งสามก็ลุกขึ้นคำนับ แล้วเชิญเห้งเจียให้ไปบอกอาจารย์ให้จัดแจงข้าวของ พวกข้าพเจ้าจะหามเกี้ยวไปรับ แล้วจะได้ส่งท่านไป พวกปีศาจเหล่านั้นพากันเก็บเครื่องศาตราอาวุธกลับไปยังถ้ำ ฝ่ายเห้งเจียก็เหาะกลับไปหาอาจารย์ที่เนินเขา แลไปแต่ไกลเห็นพระอาจารย์นอนกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นดิน เห้งเจียคิดแต่ในใจว่าไม่ใช่อื่นไกล อ้ายโป๊ยก่ายเป็นแน่ คงไปบอกแก่อาจารย์ว่าปีศาจกินเราเสียแล้ว เพราะฉะนั้นพระอาจารย์จึงได้มีความทุกข์โทมนัสดังนี้
   เห้งเจียก็ลดลงยังพื้นเดินเข้ามาใกล้เรียกพระอาจารย์คำหนึ่ง ซัวเจ๋งก็พูดบ่นโป๊ยก่ายว่า แกเป็นพวกต่อโลงขายแท้ ๆ คิดตั้งใจแต่จะให้คนตายเท่านั้น พี่เห้งเจียยังไม่ตายก็ว่าตายนั่นใครเล่ามาเรียก โป๊ยก่ายเถียงว่าเราได้เห็นแก่ตาว่าปีศาจมันกลืนเข้าไปในท้องแล้ว เราเห็นว่าหากจะเป็นปีศาจลิงที่ตายถูกวันคืนไม่ดี จึงให้สิงให้มาดังนี้อีก เห้งเจียได้ฟังก็เดินเข้ามาจับมือโป๊ยก่ายถามว่า .อ้ายกินรำมึงว่าใครสิงใคร ​จะเปรียบเหมือนเจ้าอ้ายคนใช้ไม่ใด้ดังนั้นหรือ ปีศาจมันกลืนเราเข้าไปในท้อง เราก็จับไส้พุงมันกระชากเล่น และเอาเชือกผูกหัวใจมันเจ็บปวดเหลือทน ทุก ๆ คนก็คุกเข่าลงคำนับอ้อนวอนขอโทษตัว เราจึงยกโทษให้แก่มัน มันยอมจะเอาเกี้ยวมาหามรับอาจารย์เราส่งไป
   พระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงเห้งเจียพูดก็ผลุดลุกขึ้นพูดแก่เห้งเจียว่า ขอบใจสานุศิษย์มาก ๆ ทำให้ลำบากจะถึงแก่ความตายเสียแล้ว ถ้าเชื่อโป๊ยก่ายอาตมก็จะทิ้งชีวิตเสียแล้ว เห้งเจียจึงด่าโป๊ยก่ายสองสามคำให้ไปจัดแจงรวบรวมข้าวของคอยถ้าปีศาจจะมารับ โป๊ยก่ายก็ไปตระเตรียมไว้เสร็จ
   ฝ่ายพวกปีศาจใต้อ๋องทั้งสาม ครั้นกลับไปยังถ้ำแล้วใต้อ๋องที่สองพูดแก่ใต้อ๋องใหญ่ว่า เราอวดว่าพวกเราเก้าหัวแปดหาง แต่เห้งเจียนั้นเป็นลูกลิงตัวนิดเดียวเท่านั้น ถ้าพี่ไม่กลืนมันเข้าไปรบกันด้วยฝีมือและกำลังที่ไหนมันจะสู้ได้ แล้วทั้งพลปีศาจของเราก็มีกว่าสองหมื่น ขับเข้าไปช่วยกันระดมตีเอาชัยชนะก็จะได้ นี่พี่กลืนมันเข้าไปในท้องมันทำเล่นตามสบายจะสู้มันที่ไหนได้ ซึ่งรับปากว่าจะส่งพระถังซัมจั๋งนั้น ก็เพราะรักชีวิตโดยมันรวบรัดเข้าที่คับแค้นนัก บัดนี้ก็พ้นออกมาได้แล้ว 
   ปีศาจใต้อ๋องที่หนึ่งจึงถามว่า ถ้ากระนั้นน้องจะคิดประการใดอีกเล่า ใต้อ๋องที่สองพูดว่าขอพลให้ข้าพเจ้าสามพัน ข้าพเจ้าจะจับอ้ายลิงนั้นให้ได้ ใต้อ๋องใหญ่ว่า ถ้าดังนั้นก็แล้วแต่น้องจะจัดแจงเถิด ปีศาจที่สองจึงเรียกพวกพลทหาร​มาสามพัน นำออกไปข้างทางใหญ่ตั้งเป็นกระบวนแล้ว ก็ให้คนถือธงไปบอกแก่เห้งเจียให้รีบมาต่อสู้กัน โป๊ยก่ายได้ยินก็หัวเราะ แล้วพูดว่าทำอะไรกลับกลายดังนี้ ไหนว่าปราบปีศาจได้แล้วมันจะเอาเกี้ยวมารับอาจารย์ ทำไมมันจึงมาท้าชวนรบอีกเล่า เห้งเจียพูดว่าอ้ายใต้อ๋องใหญ่เราปราบปรามยอมแล้ว นี่เห็นจะเป็นอ้ายใต้อ๋องที่สองจะไม่ยอมส่ง เพราะฉะนั้นจึงมาท้าชวนรบฉะนี้ อันพวกปีศาจนั้นมันมีพี่น้องสามคน เราก็มีพี่น้องสามคน แด่อ้ายคนใหญ่ไม่กล้ามาต่อสู้แล้ว นี่เห็นจะเป็นอ้ายคนที่สอง เราเห็นควรที่โป๊ยก่ายจะออกไปรบแก่มันจึงจะดี
   โป๊ยก่ายพูดว่าจะกลัวมันทำไม ไว้ข้าพเจ้าจะไปรบแก่มันเอง พูดแล้วโป๊ยก่ายก็ถือคราดเดินมาร้องเรียกว่าอ้ายปีศาจมารร้าย มึงรีบออกมาลองฝีมือกับปู่ดูคือตือโป๊ยก่ายให้รู้รสฝีมือสักคราวหนึ่ง ปีศาจใต้อ๋องที่สองได้ยินเสียงท้าก็ออกมาเห็นโป๊ยก่ายก็มิได้รอรั้งพูดจา ถือหอกหมายตรงหน้าโป๊ยก่ายก็แทงมา โป๊ยก่ายยกคราดขึ้นรับต่างองอาจออกแรงสู้รบกัน ไม่ทันถึงเจ็ดแปดเพลงโป๊ยก่ายทานกำลังปีศาจไม่ไหวก็ผละออกถอยหนี ปีศาจได้ทีก็ตามรุกเอางวงยื่นคว้ารวบจับโป๊ยก่ายไว้ได้ มีชัยชนะก็ยกกลับไปถ้ำ
   พระถังซัมจั๋งยืนแลดูอยู่เห็นปีศาจจับโป๊ยก่ายไปได้ จึงถามเห้งเจียว่าจะทำประการใดเล่า เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์มีจิตลำเอียง เวลาปีศาจจับข้าพเจ้าไป พระอาจารย์ก็ไม่รีบร้อน โป๊ยก่ายถูกจับไปพระ​อาจารย์มีความรีบร้อน ไว้ให้มันทรมานยากแค้นจึงจะรู้สึกว่าไปอาราธนาพระธรรมมิใช่เป็นการง่าย ๆ
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า ถึงเมื่อเห้งเจียไปต้องภัยได้ทุกข์ใช่ว่าอาตมาจะไม่ทุกข์ร้อน แต่เห็นว่าเห้งเจียเปลี่ยนแปลงได้จะไม่ลำบากยากแค้นนัก โป๊ยก่ายโง่เขลาแม้ถูกจับไปดังนี้จะได้ความเดือดร้อนมาก เห้งเจียจงไปช่วยสักครั้งเถิด เห้งเจียก็เหาะไล่ตามไปแต่คิดในใจว่ามันแช่งเราให้ตาย เราตามไปดูปีศาจมันจะทำประการใด คอยให้มันลงโทษเสียก่อนแล้วเราจึงค่อยแก้ต่อภายหลัง คิดแล้วก็แปลงกายเป็นแมลงหวี่บินไปจับที่ใบหูโป๊ยก่าย เข้าไปในถ้ำพร้อมกับปีศาจ ครั้นถึงปีศาจใต้อ๋องที่สองเอาโป๊ยก่ายทิ้งลงกับพื้นบอกว่าพี่ ข้าพเจ้าจับได้มาคนหนึ่งแล้ว
   ใต้อ๋องที่หนึ่งแลเห็นโป๊ยก่ายจึงพูดว่าคนนี้ไม่ต้องการน้องไปจับมาทำไม โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้น จึงพูดว่าจริงดังนั้นใต้อ๋องพูดไม่ต้องการอะไรปล่อยเรากลับไป ๆ ค้นหาคนที่ต้องการก็จับเอามาเถิด ใต้อ๋องที่สามพูดว่า ถึงไม่ต้องการก็เป็นสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋งจะต้องมัดเอาไปแช่น้ำไว้ก่อน พวกปีศาจก็เอาเชือกมัดหมูแล้วหามไปแช่ไว้ในบ่อหลังถ้ำ เห้งเจียก็ปีนขึ้นดูโป๊ยก่าย เห็นแช่น้ำอยู่เท้าชี้ฟ้าปากก็งอขึ้นหายใจปะงับ ๆ พิเคราะห์ดูก็น่าหัวเราะจมน้ำอยู่ครึ่งตัว เห้งเจียเห็นโป๊ยก่ายดังนั้นให้นึกแค้นก็แค้นสงสารก็สงสาร คิดว่าต่อไปภายหน้าก็คงได้เข้าที่ประชุมเล่งฮวยหวย คือเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรย์ลงมาตรัส ​แต่คิดเคืองว่ายังไม่ทันไร ก็คิดแบ่งข้าวของจะทิ้งอาจารย์ไปเสียแล้ว แลได้ฟังซัวเจ๋งบอกว่านินทากล่าวขวัญภายหลังหลายหน อย่าเลยจะทำให้กลัวสักทีหนึ่ง
   คิดแล้วเห้งเจียก็บินลงไปข้างริมหูร้องเรียกว่า หงอเหนง ตือหงอเหนง โป๊ยก่ายตกใจนึกว่าฉายา ตือหงอเหนงนี้ของพระโพธิสัตว์กวนอิมตั้งชื่อให้ไม่มีใครผู้ใดรู้ เมื่อตามอาจารย์มาก็ไม่มีใครเรียกชื่อนี้ เรียกแต่ชื่อโป๊ยก่ายเท่านั้น ก็ที่นี่ทำไมจึงมีคนรู้ฉายาของเรา อดไม่ได้จึงร้องถามไปว่า ใครมาเรียกข้าพเจ้าทำไม เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าเอง โป๊ยก่ายถามว่าเป็นคนหรือ เห้งเจียตอบว่าเราคือผู้คุมมาจากเมืองนรกเที่ยวจับคนถึงที่ตาย โป๊ยก่ายตกใจถามว่าท่านอยู่ที่ไหน เห้งเจียบอกว่าคือพระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋องให้มาจับตัวเจ้า โป๊ยก่ายทูลว่าขอท่านได้กลับไปกราบเรียนแก่เงียมฬ่ออ๋องก่อน ท่านก็เคยรู้จักรักใคร่แก่พี่ชายข้าพเจ้า คือซึงเห้งเจีย ขอทุเลางดผ่อนอีกสักวันหนึ่งเถิด พรุ่งนี้จึงค่อยมาจับไป เห้งเจียว่า อย่าพูดเลอะเทอะไปเลย พระยามัจจุราชได้จดลงแน่นอนแล้วว่ายามสามเป็นจะตายก็ใครเล่าจะกล้ารอไปถึงยามสี่ จงรีบมาไปกับเราโดยดีอย่าให้ถึงแก่ฉุดลากไปเลย
   โป๊ยก่ายพูดว่าทำไมท่านไม่ผ่อนผันบ้างเล่า จงพิเคราะห์ดูรูปร่างข้าพเจ้าดังยังอยากเป็นอยู่ไม่อยากตาย แต่ความตายนั้นก็ต้องตายเป็นแน่แต่จะขอทุเลาสักวันหนึ่งจะไม่ได้ทีเดียวหรือ พอให้ปีศาจมันจับอาจารย์กับพี่น้องมาให้​พบกันสักครั้งหนึ่งเท่านั้น แล้วก็ตามแต่จะเอาไปข้างไหนก็ตามเถิด เห้งเจียว่าเอาเถอะเราจะผ่อนให้ แต่หนังสือเรียงชื่อมาสามสิบคนเราจะไปจับพวกนั้นก่อนแล้วจึงจะมาเอาตัวเจ้าต่อทีหลัง จะผ่อนให้สักวันหนึ่ง แต่เจ้ามีเงินค่าป่วยการก็ส่งมาให้ข้าจะได้ไปเที่ยวจับที่อื่นก่อน โป๊ยก่ายพูดว่าตัวข้าพเจ้าเป็นคนถือศีลติดตามอาจารย์มาจะเอาเงินทองที่ไหนมาจะได้ให้ค่าป่วยการแก่ท่านเล่า เห้งเจียว่าถ้าไม่มีค่าป่วยการ จงรีบไปกับเราเดี๋ยวนี้ช้าไม่ได้ เราจะมัดเอาไป โป๊ยก่ายตกใจพูดว่าท่านอย่ามัดข้าพเจ้าเลย ด้วยข้าพเจ้าเข้าใจว่าเชือกของท่านนั้น คือเชือกเร่งชีวิตแม้ว่าลากไปก็สิ้นชีวิต อันค่าป่วยการนั้นก็มีบ้างแต่ไม่มาก
   เห้งเจียว่ามากน้อยเท่าใดก็รีบเอาออกมา โป๊ยก่ายบอกว่าข้าพเจ้าเก็บรวบรวมไว้สองปีเศษแล้วมีเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน รวมหนักได้ห้าสลึงเมื่อก่อนได้เอาไปให้ช่างหลอม รวมกันเป็นแผ่นเดียว ช่างเอาไปเสียสามหุนยังเหลือสี่สลึงกับเจ็ดหุน ข้าพเจ้าเก็บเหน็บไว้ในหู ถูกมัดมือติดอยู่หยิบให้ไม่ได้ ท่านโปรดหยิบเอาเองเถิด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงยื่นมือไปคลำที่หูล้วงออกมาแผ่นหนึ่ง เห้งเจียพิเคราะห์ดูแล้วก็เอาเก็บซ่อนเสีย แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ก็กลายกลับเป็นรูปเดิม โป๊ยก่ายแลเห็นเห้งเจีย ก็ด่าแช่งว่าอ้ายฟ้าผ่าด้วยเป๊กเบ๊อุน เรามาต้องทรมานดังนี้ ยังมาทำแกล้งจะเอาเงินค่าป่วยการอะไรอ้ายไม่มีเงาหัวอ้ายลูกลิง เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า เงินค่าป่วยการเป็นการเล็ก​น้อยไว้ธุระเราจะช่วยแก้ให้ออกไป เห้งเจียจึงเอาตะบองยื่นลงไปสอดในเชือกแล้วก็ยกขึ้นมาแก้มัด โป๊ยก่ายก็ลุกขึ้นพูดว่าพี่เราเปิดประตูหลังถ้ำหนีไปเถิด
   เห้งเจียพูดว่าประตูหลังไปไกล เรากลับออกไปทางประตูข้างหน้าดีกว่า โป๊ยก่ายก็ตามหลังเห้งเจียออกมาถึงประตูที่สองแลเห็นคราดเหล็กพิงอยู่ที่นั้น โป๊ยก่ายก็เข้าหยิบเอามาถือแล้ว ก็แผลงฤทธิ์สับฟันขนาบออกไป เห้งเจียก็แกว่งตะบองตีออกไปจนถึงประตูชั้นสี่ ฆ่าพวกบริวารปีศาจตายเป็นอันมาก ฝ่ายใต้อ๋องที่หนึ่งตกใจลุกมาดูเห็นดังนั้น จึงร้องเรียกใต้อ๋องที่สองให้เข้าจับตัวคนเก่ง ว่าเห้งเจียมันเข้ามาลักเอาโป๊ยก่ายไปแล้วยังมาเที่ยวฆ่าคนอีก ใต้อ๋องที่สองได้ฟังดังนั้น ก็จับหอกวิ่งไล่ตามออกมานอกประตูร้องด่าว่าอ้ายชาติลิง มึงสามารถมาทำดังนี้ได้หรือ ว่าแล้วก็เอาหอกแทง เห้งเจียยกตะบองขึ้นรับปัดป้องต่างรบรอต่อสู้กันด้วยกำลังความเข้มแข็ง ฟัดเหวี่ยงกันไปมาที่หน่าประตูถ้ำโป๊ยก่ายวิ่งขึ้นไปยืนดูอยู่บนโขดเขา มิได้ลงมาช่วยเห้งเจียรบ ทำกิริยางกๆ งันๆ
   ฝ่ายปีศาจที่สองเห็นตะบองเหล็กของเห้งเจียหนักนัก จึงเอาหอกรอรับไว้ ยื่นงวงออกจะใคร่จับฟัดเห้งเจีย ๆ ก็รู้ในท่วงทีของปีศาจจึงยกมือชูขึ้นเสีย ปีศาจก็เอางวงพันเห้งเจียเข้าที่บั้นเอวมิได้พันมือไว้ด้วย เห้งเจียก็แกว่งตะบองเล่นได้ตามสบาย โป๊ยก่ายแลเห็นดังนั้นก็พูดว่าอ้ายปีศาจมันโง่เสียแล้ว เวลาที่มันจับเราสิ​มันพันรัดมือไว้เสียด้วย มันจึงจับไว้ได้ เห้งเจียได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้น ก็เอาตะบองแกว่งทีหนึ่งเล็กลงเท่าฟองไก่ยาวสักวาเศษ แทงเข้าไปในงวงของปีศาจที่หนึ่ง ปีศาจถูกเจ็บแทบจะสิ้นใจก็คลายงวงออกปล่อยเห้งเจียทันที เห้งเจียคว้าจับงวงปีศาจไว้ เอามีดแทงเข้าไป ปีศาจได้ความเจ็บสาหัสก็ตามมือเห้งเจียไป โป๊ยก่ายแอบเข้าใกล้เอาคราดเหล็กสับฟันปีศาจถูกที่ขากรรไกร
   เห้งเจียร้องห้ามว่าอย่าทำมันเลย พระอาจารย์จะว่าเราดุร้ายฆ่าสัตว์ไม่มีเมตตาจิต เอาแต่ด้ามคราดตีมันก็ถมไป โป๊ยก่ายก็เอาด้ามคราดตีปีศาจ ก้าวหนึ่งตีทีหนึ่งทุกก้าว เห้งเจียก็จับงวงปีศาจเดินจูงมาดูดุจช้างใหญ่สักสองช้าง เห้งเจียจูงเดินมาข้างเนินเขา ซัวเจ๋งแลเห็นแต่ไกลก็บอกแก่อาจารย์ว่าพี่เห้งเจียแกจับปีศาจจูงมาโน่นแล้ว พระถังซัมจั๋งแลไปเห็นจึงพูดว่า พ่อเจ้าประคุณปีศาจนี้มันช่างโตใหญ่จริง ๆ และทั้งมีงวงเหมือนช้าง แล้วสั่งให้ซัวเจ๋งถามมันดูว่าพวกมันจะยอมส่งเราให้ข้ามเขาไปหรือยัง ถ้ามันยอมแล้วเราจะขอชีวิตไว้ให้ มิให้ถึงแก่ความตาย ปีศาจได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงกราบกับพื้นพูดว่า ขอท่านอาจารย์ยกชีวิตปล่อยให้ข้าพเจ้ากลับไป ข้าพเจ้าจะเอาเกี้ยวมาหามส่งท่านไป เห้งเจียพูดว่าอาจารย์กับทั้งศิษย์สี่คนนี้ มีจิตเป็นกุศลทั้งนั้น เจ้าพูดดังนั้นเรายอมยกโทษให้เจ้า ๆ จงรีบไปเอาเกี้ยวมารับอาจารย์ไปส่ง แม้ว่าเจ้ากลับกลายอีกทีนี้ เราจับได้ก็จะฆ่าเสียมิได้ไว้ชีวิตอีกต่อไปแล้ว
   ​เมื่อปีศาจได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ลุกขึ้นคำนับลากลับไปถ้ำ เห้งเจียกับโป๊ยก่ายคำนับอาจารย์แล้ว จึงเล่าเหตุที่ปีศาจจับโป๊ยก่ายไปให้อาจารย์ฟังทุกประการ โป๊ยก่ายมีความอดสูยิ่งนักก็เก็บเอาเสื้อกางเกงไปตากที่เนินเขา
   ฝ่ายปีศาจที่สองมาถึงถ้ำแล้ว จึงเล่าความที่พระถังซัมจั๋งมีจิตกรุณาปราณีให้ปีศาจทั้งหลายฟังทุก ๆ คน ต่างนั่งแลดูตากันไม่อาจพูดจาว่ากระไรได้ ปีศาจที่สองจึงถามว่าเมื่อเป็นดังนี้ควรพวกเราจะไปส่งพระถังซัมจั๋งหรือไม่ ปีศาจที่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า น้องยังจะทำอะไรต่อไปอีกเล่า จงรีบจัดแจงส่งเธอไปเถิด ส่วนปีศาจที่สามพูดว่ารีบส่งไป ๆ ปีศาจที่หนึ่งได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า พี่น้องพูดเป็นทีประชดดังนี้ออกมา ดูเหมือนจะไม่พอใจส่งดอกกระมัง หากเจ้าจะไม่ยอมไปส่ง เราสองคนจะไปส่งเอง ปีศาจที่สามหัวเราะแล้วพูดว่า พี่ทั้งสองได้ทราบว่า พระถังซัมจั๋งหากไม่อยากให้เราไปส่ง เธอกับสานุศิษย์จะแอบแฝงข้ามไปได้ ก็เป็นที่สะดวกของพระถังซัมจั๋ง หากว่าอยากให้พวกเราไปส่ง ไม่รู้เท่าก็จะถูกอุบายแยกเสือไปจากเขา
   ปีศาจที่หนึ่งถามว่าทำอย่างไรจึงเรียกว่าแยกเสือจากเขา ปีศาจที่สามพูดว่าพวกปีศาจบริวารของเราในถ้ำนี้ คัดเลือกออกสิบหกคนและอีกสามสิบคน ปีศาจที่หนึ่งถามว่าจะต้องการอะไรจึงต้องทำดังนั้น ปีศาจที่สามพูดว่าสามสิบคนนั้นให้เข้าใจต้มแกงต่าง ๆ เอาเข้าของผักปลาและเครื่องคาวหวานมอบ​ให้เธอไปตามทางถึงที่ใดก็ดี ตั้งเตาต้มแกงข้าวน้ำประคับประคองให้พระถังซัมจั๋งอิ่มเอิบบริบูรณ์ ปีศาจที่หนึ่งถามว่าก็ยังอีกสิบหกคนจะใช้อะไร ปีศาจที่สามพูดว่าสิบหกคนนั้นให้หามเกี้ยวแปดคน อีกแปดคนให้คอยร้องนำหน้า พี่น้องเราคอยประคับประคองสองข้างเดินตามส่ง ทางนี้ไปอีกสี่ร้อยโยชน์ก็ถึงกำแพงเมืองของข้า ที่นั้นมีคนคอยรับรอง ครั้นถึงริมกำแพงเมืองก็จงทำมิให้อาจารย์กับศิษย์รวมกันได้ จะจับพระถังซัมจั๋งนั้นได้ก็เพราะสิบหกคน การก็จะสำเร็จทั้งสิ้น
   ปีศาจที่หนึ่งได้ฟังดังนั้น ดุจเวลาเมาฟื้นขึ้นก็สรรเสริญว่าความคิดอย่างนี้ดีจริง จึงรีบจัดสามสิบคนเอาสิ่งของเครื่องกินกระยาหารมอบให้ไปจัดทำตามสั่ง และคัดอีกสิบหกคนให้แปดคนคอยร้องตวาดนำทาง อีกแปดคนให้หามเกี้ยวออกไป ครั้นจัดแจงเสร็จแล้ว ปีศาจที่หนึ่งก็ออกนำหน้า พาบริวารปีศาจเดินออกจากถ้ำมาในทางใหญ่ ร้องเรียกว่าท่านอาจารย์วันนี้ไม่ต้องผงละอองติดเท้า นิมนต์ท่านขึ้นนั่งในเกี้ยว พวกข้าพเจ้าจะหามท่านส่งไป
   เห้งเจียจึงบอกแก่อาจารย์ว่าพวกปีศาจที่ข้าพเจ้าปราบลงนั้น บัดนี้เอาเกี้ยวมารับหามอาจารย์จะส่งข้ามไป พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ประนมมือว่า สาธุ ดีแล้ว หากไม่มีเห้งเจียอาตมภาพที่ไหนจะไปได้ จึงหันมาพูดแก่พวกปีศาจว่า อาตมภาพได้พึ่งพาหนะของท่าน ท่านทั้งหลายจงได้เอ็นดูให้มาก ๆ แม้ว่าอาตมาภาพไปอาราธนาพระธรรม​กลับไปถึงเมืองแล้ว อาตมภาพจะแผ่กุศลถึงท่านทั้งหลายให้ทั่วกัน พวกปีศาจก็พร้อมกันคำนับขอบคุณ แล้วจึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งขึ้นเกี้ยว พระถังซัมจั๋งยังเป็นปุถุชนก็หารู้ในกลอุบายของปีศาจไม่ และซึงเห้งเจียก็เป็นภาคของทั้ยอิ๊ดแชเกิดในสันดานซื่อตรง ก็มุ่งหมายแต่จะกำจัดเป็นกำลังอานิสงส์ ครั้นปราบปีศาจได้แล้วก็หาได้ตรึกตรองสอดส่องให้ละเอียดไม่ จึงเรียกโป๊ยก่ายให้เอาข้าวของวางบนหลังม้าซัวเจ๋งเดินคุมไป
   ฝ่ายเห้งเจียก็ถือตะบองออกเดินนำหน้าคอยระวังการร้าย ฝ่ายปีศาจทั้งแปดก็หามเกี้ยวไป อีกแปดคนก็ร้องนำหน้าไป หามเกี้ยวตัดทางขึ้นเขาไป ปีศาจใต้อ๋องก็เดินข้างเกี้ยวประคับประคองไปทั้งสามคน ฝ่ายพระถังซัมจั๋งนั่งบนเกี้ยวก็มีจิตรื่นเริง พวกปีศาจใหญ่น้อยพร้อมใจกันจงรักภักดีเอาใจใส่โดยเรียบร้อย วันหนึ่งข้าวน้ำสามเวลาเลี้ยงดูบริบูรณ์ ค่ำลงก็หยุดพักนอนรุ่งเช้าก็ออกเดินไปเดินมาได้สี่ร้อยโยชน์เศษ แลไปข้างหน้าก็เห็นกำแพงเมือง เห้งเจียเดินห่างเกี้ยวประมาณสักสี่สิบเส้น เห็นกำแพงเมืองก็สะดุ้งชะงักกระโดดขึ้นทีหนึ่ง โดยเหตุที่เห็นในกำแพงเมืองมีอากาศร้ายพลุ่งขึ้น ได้ยินเสียงลมข้างหลังพัดหวิวกระชั้นมาจึงหันหน้าไปมองดู เห็นปีศาจที่สองถือทวนมาแทง เห้งเจียยกตะบองขึ้นรับ ก็รบกันด้วยกำลังโกรธแค้น ปีศาจที่หนึ่งก็ให้สัญญาณมือถือง้าวกระโดดมาฟันโป๊ยก่าย ๆ ตกใจทิ้งม้ามือถือคราดเข้ารบกับปีศาจ ปีศาจที่สามก็ถือหอกเข้ารบกับซัวเจ๋ง ๆ ก็ยกพลองวิเศษขึ้นปัดป้องต่อสู้
   ปีศาจ​ทั้งสามรบกับสานุศิษย์ทั้งสามอยู่บนเนินเขา พวกปีศาจบริวารสิบหกคนครั้นได้เห็นสัญญาณก็เข้าชิงเอาม้าและข้าวของทั้งนั้นไปสิ้น พวกหามเกี้ยวก็วิ่งเข้าไปถึงประตูเมืองร้องเรียกว่าใต้อ๋องมาแล้วรีบเปิดประตูเมืองโดยเร็ว พวกปีศาจที่เฝ้าประตูก็พากันมาเปิดประตูเมืองให้เข้าแล้ว จึงสั่งกันให้เอาธงลงทุกคนแลให้เงียบสงบเสียงมิให้ตีม้าฬ่อและกลอง เพราะใต้อ๋องได้สั่งมาก่อนแล้วว่า อย่าทำให้พระถังซัมจั๋งตกใจ ถ้าจิตใจเธอหวั่นหวาดเศร้าหมองเสียแล้ว เนื้อเธอก็จะมีรสเปรี้ยวเสียจะกินไม่อร่อย พวกหามเกี้ยวก็ตรงเข้าไปยังปราสาทกิมหลวนเต้ย วางลงให้พระถังซัมจั๋งนั่งอยู่กลาง ยกน้ำร้อนน้ำชามาเลี้ยง พวกปีศาจพากันมาแวดล้อมประคับประคอง พระถังซัมจั๋งให้มืดมัวแลไม่รู้จักหน้าคนให้เคลิ้ม ๆ ไป อ่านต่อ_ ..
วีดีโอ ; The Monkey King Quest For The Sutra เห้งเจียจอมอิทธิฤทธิ์ 2002 ตอนที่ 2-24 พากย์ไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น