หน้าเว็บ

19 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 13 ไซอิ๋ว นวนิยาย

    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖      
      ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
         ตอนที่ ๓ เมื่อพระถังซัมจั๋งออกจากเมืองเชียงอานนั้น พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสวยราชสมบัติได้สิบสามปีแล้ว คือเป็นปีมะเส็งเดือนสิบเอ็ดขึ้นสิบค่ำ พระถังซัมจั๋งได้ออกเดินพ้นเขตเมืองเชียงอาน
 ครั้นมาได้หลายวัน ถึงพระอารามใหญ่แห่งหนึ่งนามวัดชื่อว่า (อวดฮุ้นยี่) เจ้าวัดแลหลวงจีนทั้งหลายรู้ก็ออกมาหน้าวัดคอยรับ ครั้นพระถังซัมจั๋งมาถึงแล้ว ก็เชิญเข้าไปข้างในเอาน้ำชามาเลี้ยงดูกัน ในวัดนั้นมีหลวงจีนประมาณห้าร้อยรูป เวลาที่พระถังซัมจั๋งมาหยุดพักก็จวนจะพลบค่ำ จึงหยุดนอนอยู่ในวัดนั้นคืนหนึ่ง ในคืนวันนั้นหลวงจีนทั้งหลายก็มาสนทนาด้วย ถามข่าวที่มีรับสั่งจะให้ไปมัชฌิมประเทศ ต่างองค์ต่างก็ว่าหนทางที่จะไปนั้นแสนกันดาร ข้ามห้วยข้ามเขาเป็นการลำบากมากมายนัก แลทั้งมีผีปิศาจยักษ์และสัตว์ร้ายต่าง ๆ ชุกชุม ยากที่จะปราบปรามได้
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังหลวงจีนทั้งหลายพูดดังนั้น ก็นิ่งอยู่แต่ในใจ พยักหน้าสองสามหนแล้วเอานิ้วมือจี้เข้าที่อกของตน หลวงจีนทั้งหลายเหล่านั้นไม่ทราบว่าจะเป็นปัญหาหรืออุบายประการใด
 พระถังซัมจั๋งพูดเป็นในว่า แม้จิตเกิดยักษ์มารก็เกิด ถ้าจิตระงับยักษ์มารก็ระงับ ตัวของข้าพเจ้าเมื่อยังอยู่ในโบถส์วัดฮั้วเซงยี่ต่อหน้าพระพุทธรูปได้ตั้งความอธิษฐานปฏิญาณตัวแล้ว ถึงจะเป็นประการใดก็ต้องจำใจไปกว่าจะถึงมัชฌิมประเทศ ขออาราธนาคำภีร์พระไตรปิฎกเอาพระธรรมกลับมาให้จงได้ พระเจ้าแผ่นดินของเราก็จะทรงพระเจริญอยู่ในศิริราชสมบัติสิ้นกาลนาน
 หลวงจีนทั้งหลายได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น ก็พากันสรรเสริญว่ามีความสัตย์หาผู้เสมอมิได้ พูดดังนั้นแล้วก็พากันกลับไปยังที่อยู่ของตน ๆ
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งหยุดพักอยู่ไนวัดนั้นคืนหนึ่งแล้ว ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าฉันแล้ว ก็จัดแจงนุ่งห่มเป็นปริมณฑลแล้วก็เข้าไปในโบถส์นมัสการพระพุทธรูป แล้วจึงตั้งความอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าตั๊นเหี้ยนจึง ตั้งจิตจะตรงไปยังมัชฌิมประเทศ นิมนต์พระปริยัติธรรม คือ พระคำภีร์พระไตรปิฎก ด้วยข้าพเจ้านี้เป็นปุถุชนเปรียบเหมือนคนจักษุมืด ไม่รู้ว่าพระพุทธองค์นั้นพระรูปโฉมเป็นประการใด ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า ไปตามทางนั้น ถ้าพบพระก็จะนมัสการพระ ถ้าพบปะพระเจดีย์สถานก็จะกล้ากราบพระเจดีย์ ขอคุณพระพุทธเจ้าจงบันดาลให้ข้าพเจ้าเห็นพระกายของพระองค์ ซึ่งมีรัศมีเป็นทองคำ ขอพระองค์ได้โปรดประทานพระไตรปิฎกธรรมได้แก่ข้าพเจ้า ๆ จะได้นำพระคัมภีร์กลับมายังเมืองเชียงอาน สั่งสอนมหาชนให้นับถือเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้แพร่หลายไปในทิศบุรพาประเทศ
 สิ้นคำอธิษฐานแล้วก็ออกจากโบถส์มาลาหลวงจีนทั้งหลายแล้วก็ออกเดินมากับคนใช้ ตั้งหน้าตรงไปยังมัชฌิมประเทศ
 เวลานั้นเป็นต้นฤดูหนาว ครั้นเดินมาได้สองวันถึงตำบลหนึ่งเรียกว่า เมือง (กงจิ้ว) พวกข้าราชการในเมืองนั้น ครั้นรู้ว่าพระถังซัมจั๋งมาถึงก็พากันออกมาต้อนรับนิมนต์ให้เข้าไปในเมือง จัดแจงที่ให้พักอยู่คืนหนึ่ง ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าก็จัดแจงอาหารแจถวายและเลี้ยงคนใช้ทั้งสองเสร็จแล้ว พระถังซัมจั๋งก็ลาข้าราชการทั้งหลาย ขึ้นม้าพาคนใช้ทั้งสองคนออกจากเมืองไป กลางวันก็รีบเดินกลางคืนก็หยุดพัก แต่เดินทางมาได้หลายเวลา
 ครั้นวันหนึ่งมาถึงตำบลหนึ่งเรียกว่า (ห้อจิว) ตำบลนี้คือปลายเขตแดนของเมืองถัง มีขุนนางกำนันตรวจตรารักษาด่าน ครั้นรู้ข่าวว่าพระถังซัมจั๋งมาถึง ก็พาพวกข้าราชการกับหลวงจีนและราษฎรในด่านออกมารับ พระถังซำจั๋งได้เข้าไปพักในเมือง จัดเครื่องแจถวายแล้วก็พาให้เข้าพักในวัด (ฮกหงวนยี่) คืนหนึ่ง
 ในคืนวันนั้น พระถังซัมจั๋งได้ยินไก่ขันต้นยามสี่ จึงเรียกคนใช้ให้ผูกม้า แล้วพระถังซัมจั๋งก็ลาหลวงจีนแลคนทั้งหลายออกจากวัดรีบเดินไป เวลานั้นไก่ขันจวนจะแจ้งแต่อากาศเป็นหมอกมัวไม่ใคร่จะเห็นหนทาง อาศัยแสงพระจันทร์พอเดินได้
 ครั้นเดินมาพ้นเขตเมืองแล้ว ประมาณทางสักร้อยห้าสิบเส้น เห็นภูเขาหนึ่งข้างริมเขานั้นทางเดินหามีไม่ มีคูโขดรกร้างเป็นความลำบากมาก ก็ค่อย ๆ เดินแหวกพงหญ้าลอดลัดด้นไปโดยความลำบาก บังเอิญเดินหลงไปไม่รู้ว่าทางไหนที่จะออกได้ ทั้งสามคนยืนปรึกษากันอยู่ แล้วก็เดินต่อไปอีกพากันตกลงไปในหลุมทั้งสามคน ตกใจเป็นอันมาก แล้วได้ยินเสียงโฮกฮากเข้ามาใกล้ดุจลมพายุพัด แล้วได้ยินเสียงว่าฉุดเอามาลากเอามา พอสิ้นเสียงลงก็มีลมพายุพัดอู้มาแลเห็นปิศาจยักษ์ร้ายต่าง ๆ กรูกันออกจาก พง รก เข้ามาจับพระถังซัมจั๋งและคนทั้งสองได้แล้วก็ลากเอาไป พระถังซัมจั๋งจิตใจก็สั่นระรัวขวัญหนีดีฝ่อใจไม่อยู่แก่ตัว
 พวกปิศาจยักษ์ลากคนทั้งสามมาเกือบจะถึงที่อยู่ พระถังซัมจั๋งแลไปเห็นปีศาจตัวนายนั่งอยู่บนแท่นศิลา หน้าตาน่ากลัวเป็นที่สุด ท่วงทีไว้อำนาจ กายดำดุจน้ำรัก นัยน์ตาเหมือนสายฟ้า เมื่อแลมาดุจแสงไฟ เสียงคำรามดุจดังว่าฟ้าลั่นหวั่นไหวไปทั้งป่า เขี้ยวออกนอกปากดุจฟันเลื่อย ตัวกลมเป็นลายมีหนวดบ้างเล็กน้อย มีเล็บยาวดุจปลายหอก พระถังซำจั๋งเห็นดังนั้นใจฝ่อกายเย็นไปทั้งกาย คนทั้งสองก็สิ้นสติสมประฤดี
 พญายักษ์ เสืออิ๊มเจียงกุนท่วนหม้ออ๋อง เมื่อเห็นคนทั้งสามจึงร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า ให้มัดหมูโดยเร็ว พวกปีศาจก็เอาเชือกมัดคนทั้งสามลากเข้ามาไว้ข้างใน อิ๊มเจียงกุนท่วนหม้ออ๋องสั่งบริวารให้แล่เนื้อมาโดยเร็ว บริวารก็เข้าจับมนุษย์ให้นอนลงชุลมุนกันอยู่ พอได้ยินเสียงข้างนอกโฮกฮากเข้ามา พวกยักษ์บริวารวิ่งเข้ามาบอกว่า ซัวกุนอ๋องกับเต็กชู้สืออ๋อง พญาควายจะเข้ามาหาท่าน
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับคนทั้งสองเมื่อต้องมัดอยู่ ครั้นได้ยินพวกยักษ์เข้ามาบอกนายดังนั้น ก็ยิ่งตกใจเป็นอันมาก จึงแลไปดูข้างนอกเห็นทั้งสองเดินเข้ามา คนที่เดินเข้ามาหน้านั้น หน้าตาดุจทาหมึก อีกคนหนึ่งที่มาข้างหลังรูปร่างโตใหญ่ ท้องยุ้ยหน้าสีหมอกดำ คนทั้งสองนั้นเดินเข้ามากิริยาเหมือนเดรัจฉาน พระถังซัมจั๋งกับคนทั้งสองสิ้นสติสมปฤดีตกใจตลึงอยู่
 อิ๊มเจียงกุนท่วนหม้ออ๋อง เห็นสหายทั้งสองมาก็ลงจากที่ไปต้อนรับ ซัวกุนอ๋องจึงถามอิ๊มเจียงกุนว่า ในคราวนี้เราเห็นว่าจะมีที่พอใจอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นแน่ เต็กชู้สืออ๋องจึงพูดว่าฝีมืออิ๊มเจียงกุนดูแปลกกว่าแต่ก่อน อิ๊มเจียงกุนตอบซัวกุนอ๋องกับเต็กชู้สืออ๋องว่า ส่วนท่านทั้งสองนั้นผลประโยชน์อย่างไรบ้าง ซัวกุนเต็กชู้สือจึงตอบว่า ก็พอเวลาไปมื้อหนึ่งคราวหนึ่งเท่านั้นเอง แล้วต่างคนก็นั่งสนทนากัน
 ซัวกุนอ๋องแลไปเห็นคนทั้งสามต้องมัดอยู่ในนั้น ร้องไห้ครวญครางอยู่ ซัวกุนจึงถามอิ๊มเจียงกุนว่า คนทั้งสามนี้อยู่ที่ไหนจึงได้มาถูกมัดอยู่ที่นี่
 อิ๊มเจียงกุนตอบว่า คนเหล่านี้เขามาส่งเนื้อของเขายังประตูของข้าพเจ้าเอง
 เต็กชู้สืออ๋องได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า สมควรจะเลี้ยงแขกหรือไม่ อิ๊มเจียงกุนตอบว่าควรแล้ว ซัวกุนอ๋องจึงพูดขึ้นว่า เรากินแต่สองคนก่อนก็พอแล้ว อีกคนหนึ่งเอาไว้สำหรับเป็นสะเบียงเมื่อเวลาขัดสน อิ๊มเจียงกุนได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งบริวารให้เอามนุษย์สองคนนั้น ผ่าอกเอาหัวใจแลตับไตกับศรีษะมาเลี้ยงกัน พวกบริวารก็จัดทำตามคำสั่งของนาย เอาศรีษะตับไตไส้พุงกับหัวใจใส่จานตั้งบนโต๊ะเลี้ยงนายทั้งสาม เหลือจากนั้นปันกันตามพวกบริวารยักษทั้งหลาย เวลาที่พวกปิศาจยักษ์ทั้งหลายกินเนื้อมนุษย์นั้น กิริยาโฮกฮากดุจเสือแลหมีกัดกันเนื้อกวาง ยื้อแย่งกันไปมาเป็นการรื่นเริงสำราญใจ
 เวลานั้นพระถังซัมจั๋งต้องมัดอยู่ แลเห็นพวกยักษ์เอาคนทั้งสองไปกินเป็นอาหารดังนั้น มีใจอันสลดสิ้นสติซบลงกับที่แน่นิ่งไป ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่พระถังซัมจั๋งได้ความเดือดร้อนทนทุกข์ทรมาน
 เวลานั้นพอเป็นเวลาสาง ๆ จวนจะแจ้ง พวกปีศาจได้ยินเสียงร้องตวาดลงมาจากอากาศดุจฟ้าผ่าภูเขา ปีศาจทั้งหลายพากันตกใจไม่มีสมประดี ต่างคนต่างก็โลดโผนโจนหนีไป เข้าซุ่มซ่อนตัวอยู่ตามซอกห้วยชานเขา ตามแต่จะซ่อนซุกอยู่ได้
 ฝ่ายไทเป๊กแชกุน เมื่อปิศาจหนีไปหมดแล้ว ก็ลอยลงมาที่พระถังซัมจั๋งสลบอยู่ แปลงกายเป็นผู้เฒ่าชาวป่า ถือไม้เท้าเดินมายังที่ ๆ พระถังซัมจั๋งสลบอยู่ เอามือเสื้อปัดที่กายพระถังซัมจั๋งหนหนึ่ง เชือกที่มัดพระถังซัมจั๋งไว้ก็หลุดออกได้ แล้วอ่านมนต์เป่าลงที่ตรงกายพระถังซัมจั๋ง ๆ ก็ได้สติฟื้นกลับคืนมา เงยหน้าขึ้นดูไม่เห็นพวกปีศาจยักษ์เห็นแต่ผู้เฒ่าจึงคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ท่านตาช่วยชีวิตอาตมาไว้สักครั้งหนึ่งเถิด
 ไทเป๊กแชกุนผู้เฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า ท่านจงลุกขึ้นเถิด พระถังซัมจั๋งก็ลุกขึ้นคำนับผู้เฒ่า ไทเป๊กแชกุนจึงถามว่าสิ่งของๆ ท่านอะไรหายบ้างหรือไม่
 พระถังซัมจั๋งบอกว่าสานุศิษย์สองคนที่ตามมาด้วยนั้น พวกยักษ์ได้เอาไปกินเสียแล้ว ยังแต่ม้ากับถุงย่ามไม่ทราบว่าหายไปข้างไหน
 ไทเป๊กแชกุนผู้เฒ่าจึงเอาไม้เท้าชี้ว่าโน้นแน่จงไปดู พระถังซัมจั๋งแลไปก็เห็นถุงย่ามแลม้ายังอยู่ จึงเดินไปจับม้าแลแก้ถุงย่ามออกดูสิ่งของก็ยังอยู่ทั้งนั้น จึงกลับมาคำนับท่านผู้เฒ่าแล้วจึงถามว่าที่แห่งนี้เป็นที่อะไร แลนายยักษ์ทั้งสามนั้นเป็นอะไรจึงดุดันนัก
 ไทเป๊กแชกุนจึงบอกว่าที่ตำบลนี้เรียกว่าภูเขา (ซังขึ้ซัว) ล้วนแต่พวกปีศาจยักษ์มารทั้งนั้น ทำไมท่านจึงได้หลงมาที่นี่ เต็กชู้สืออ๋องนั้นคือปีศาจควายดำ ซัวกุนอ๋องนั้นคือปีศาจหมี อิ๊มเจียงกุนนั้นคือปีศาจเสือ บริวารนอกนั้นเป็นปีศาจต่าง ๆ อาศัยอยู่ในป่าตำบลนี้ มันกินเนื้อท่านไม่ได้เพราะบุญบารมีของท่านที่ได้สร้างสมอบรมมามากแล้ว ผู้เฒ่าพูดดังนั้นแล้วจึงบอกพระถังซัมจั๋งว่าท่านจงตามข้าพเจ้ามาเถิด จะชี้หนทางให้ท่านไป พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีที่สุด จึงหยิบถุงย่ามพาดบนหลังม้าแล้วจับบังเหียนจูงเดินตามผู้เฒ่า ครั้นออกมาพ้นภูเขาเหล่านั้นมาแล้วก็ถึงทางใหญ่.
 พระถังซัมจั๋งจึงเอาม้าผูกไว้ที่ข้างทางแล้ว หันหน้ามาจะคำนับขอบคุณท่านผู้เฒ่า ก็เห็นเป็นลมหอบเอาท่านผู้เฒ่าลอยขึ้นไปบนอากาศแล้วมีนกการะเวกบินมารับ ท่านผู้เฒ่าก็ขึ้นนั่งบนหลังนกการะเวกลอยตามลมไปทางทิศตวันออก ขณะเมื่อพระถังซัมจั๋งยืนดูท่านผู้เฒ่าอยู่นั้น เห็นกระดาษลอยลงมาจากอากาศ ตกลงที่ตรงหน้าจึงหยิบขึ้นมาดูเห็นเป็นอักษรสี่แถวในหนังสือนั้นว่า ตัวข้าพเจ้าคือไทเป๊กแชกุนมาช่วยชีวิตท่านให้พ้นจากมือมาร ถ้าท่านไปข้างหน้า จะได้ศิษย์ที่มีฤทธิ์ไปกับท่านด้วย ถึงท่านจะได้ความลำบากอย่างไรก็อย่าได้ออกปากว่าได้ความยากเพราะไปเชิญพระคำภีร์เลย พระถังซัมจั๋งอ่านสิ้นข้อความแล้วก็ยกมือขึ้นนมัศการ แล้วก็จูงม้าตั้งหน้าเดินไปแต่ผู้เดียว ทอดอาลัยในชีวิตของตนอุตส่าห์จูงม้าขึ้นเขาข้ามเนินไปได้สองวันเปลี่ยวเปล่าไม่มีบ้านคนเลย สะเบียงอาหารที่จะฉันก็หมดลงมีความกระวนกระวายโดยอดอาหาร ทั้งทางเดินก็แสนที่ลำบากเป็นคูโขดลุ่มดอนรกเรี้ยว
 เมื่อจูงม้าเดินไปนั้น แลเห็นเสือสองตัวยืนสกัดทางอยู่ก็ตกใจเป็นอันมาก จึงหันหน้าจะกลับก็แลเห็นงูตัวใหญ่นอนขดอยู่ข้างซ้ายทางที่จะกลับไป ครั้นจะหลีกไปทางข้างขวาก็แลเห็นสัตว์ร้ายต่าง ๆ พระถังซัมจั๋งยืนตลึงอยู่ผู้เดียวสิ้นความคิด จึงทอดอาลัยในร่างกายแลชีวิตของตน แล้วแต่จะเป็นไปไม่รู้แห่งที่จะหลีกหนีไปทางใดได้ แลดูม้าๆ ก็อ่อนเปลี้ยลงหมอบฟุบอยู่กับที่จะจูงก็ไม่เดิน พระถังซัมจั๋งสิ้นความคิดที่จะแก้ไขยืนตะลึงจิตใจลอยอยู่ดังนั้น
 ในทันใดนั้นได้ยินเสียงหวั่นไหว พระถังซัมจั๋งแลเห็นสัตว์ร้ายทั้งหลายเหล่านั้นสะดุ้งพากันโดดหนีไปทั้งสิ้น เที่ยวซุกซ่อนหายไปหมด พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ค่อยมีน้ำใจชื่นขึ้น จึงแลไปข้างหน้าเห็นคนรูปร่างใหญ่โตแข็งแรงเดินมา มีมือถืออาวุธคือง้าวที่บั้นเอวนั้นแขวนหน้าไม้เดินข้ามเขาลงมา ครั้นใกล้พระถังซัมจั๋ง ๆ จึงคุกเข่าลงพนมมือแล้วพูดว่า ใต้อ๋องจงช่วยชีวิตรข้าพเจ้าไว้ด้วยเถิด
 ฝ่ายผู้ที่เดินมาเห็นดังนั้นจึงวางง้าวลงแล้วเข้ามาประคองพระถังซัมจั๋ง ให้ลุกขึ้นยืนแล้วจึงพูดว่า ท่านอย่ากลัวเลยข้าพเจ้าเป็นพรานเที่ยวตามเขานี้ เพื่อหาเนื้อสัตว์เป็นอาหารเลี้ยงชีวิต ข้าพเจ้าชื่อว่า (เล่าเป๊กกิม) ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบนี้ ข้าพเจ้าได้เที่ยวค้นหาเนื้อสมันแลสัตว์ต่าง ๆ บังเอิญมาพบท่านทำให้ท่านได้รับความหวั่นหวาดนั้น ขออภัยโทษเถิด
 พระถังซัมจั๋งจึงตอบว่า อาตมภาพเป็นพระของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ๆ รับสั่งให้อาตมภาพไปยังมัชฌิมประเทศ เพื่อนมัสการพระพุทธเจ้าแลเพื่อขออาราธนาพระคัมภีร์ไตรปิฎก มาประดิษฐานในบูรพาทิศเพื่อพระราชพิธีธรรมเป็นการมหากุศล อาตมภาพมาถึงตำบลนี้พบซึ่งสัตว์ร้ายต่างๆ ชุกชุมฉะนี้จนไม่รู้ที่ จะทำประการใดจะไปต่อก็ไปไม่ได้ บังเอิญท่านเดินสวนทางมาสัตว์ร้ายทั้งหลายเหล่านั้นพากันตกใจเร้นซ่อนหนีไปหมด เปรียบเหมือนท่านช่วยชีวิตรอาตมภาพไว้ พระคุณของท่านอยู่แก่ข้าพเจ้าหาที่เปรียบมิได้
เล่าเป๊กกิมได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าข้าพเจ้าเป็นพรานอยู่ในป่าที่ตำบลนี้ เพราะฉะนั้นสัตว์เสือร้ายทั้งหลายเมื่อได้ยินเสียงข้าพเจ้าแล้ว ก็พากันหลบลี้หนีเอาตัวซ่อนเร้นไปทั้งสิ้น ท่านเป็นพระของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้พระเจ้าแผ่นดินถัง
ท่านกับข้าพเจ้าก็นับว่าเป็นข้าเจ้าเดียวกัน ในที่ตำบลนี้ยังเป็นเขตแดนของพระเจ้าถังไทจง ฮ่องเต้ ท่านกับข้าพเจ้าก็เป็นคนเมืองเดียวกัน เพราะฉะนั้นขอเชิญท่านไปพักบ้านข้าพเจ้าสักคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจะพาท่านไปส่ง พระถังซัมจั๋งได้ฟังเล่าเป๊กกิมพูดดังนั้น ก็มีความยินดีจึงพูดว่าสุดแต่ท่านจะเห็นควร เล่าเป๊กกิมได้ฟังดังนั้นก็ออกเดินนำหน้าพระถังซัมจั๋งก็จูงม้าเดินตามเล่าเป๊กกิมมาเบื้องหลัง
 พอข้ามโขดเขามาได้สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงโฮกฮากออกมาข้างหน้า เล่าเป๊กกิมจึงบอกแก่พระถังซัมจั๋งว่าที่เสียงโฮกฮากออกมานั้นคือเสียงแมวเขามันมา ท่าน จงคอยอยู่นี่ข้าพเจ้าจะไปจับตัวมันมาต้มเลี้ยงท่านสักเวลาหนึ่ง พระถังซัมจั๋งได้ฟังเล่าเป๊กกิมพูดดังนั้น อกใจให้สั่นระรัวไปจะก้าวจะเดินก็ไม่ออก เล่าเป๊กกิมพูดดังนั้นแล้วก็ถือง้าวเดินรีบตรงไปข้างหน้า เห็นเสือดำตัวหนึ่งเผ่นลงมาจากเขา ตรงหน้าเล่าเป๊กกิม
 ครั้นเสือเห็นเล่าเป๊กกิมก็ตกใจหันหน้าจะหนี เล่าเป๊กกิมก็ตวาดด้วยเสียงอันดังดุจฟ้าร้อง วิ่งทะลวงไล่เสือด้วยความรวดเร็ว เสือเห็นจวนตัวดังนั้นก็หันกลับหน้าขยายเล็บ แลแยกเขี้ยวพองขนร้องโฮก โผนเข้ามาตะครุบเล่าเป๊กกิม ๆ เอาง้าวยกขึ้นรับเสือ ๆ ก็ตะหลบรอรับกันไปมาประมาณสักพักใหญ่ เสือ พลาดท่าเล่าเป๊กกิมได้ทีเอาง้าวแทงถูกชายโครงเสือ ๆ ก็ล้มลงขาดใจตาย เล่าเป๊กกิมเข้าจับใบหูเสือลากออก มาทิ้งไว้ข้างทางแล้ว เดินกลับมาบอกแก่พระถังซำจั๋งว่าข้าพเจ้าแทงเสือตัวนั้นตายแล้ว จะเอาไปบ้านต้มเลี้ยง ท่านสักสองสามเวลาเชิญท่านเดินตามข้าพเจ้าไปเถิด
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็เดินจูงม้าไปตามเล่าเป๊กกิม ๆ มือหนึ่งถือง้าวมือหนึ่งลากเสือเดิน นำหน้าตรงมายังบ้าน ครั้นเดินมาสักครู่หนึ่งก็ถึงบ้าน เล่าเป๊กกิมลากเสือเข้าไปไว้ข้างริมโรง แล้วเรียกคนใช้ ให้จัดแจงเอาเสือไปแล่หนังแล้วต้มแกงตามเคย ครั้นสั่งเสร็จแล้วก็ออกไปนิมนต์พระถังซัมจั๋งเข้ามาในบ้าน เชิญ ให้นั่งที่อันสมควร แล้วก็ยกน้ำชามาถวายแล้วเล่าเป๊กกิมจึงเข้าไปบอกแก่มารดาว่า บัดนี้มีพระของพระเจ้าถัง ไทจงฮ่องเต้ถือรับสั่งมาให้ไปอาราธนาพระไตรปิฎกในมัชฌิมประเทศ พบกับลูกที่กลางป่าบัดนี้ลูกได้นิมนต์มา พักอยู่ข้างนอกเวลาพรุ่งนี้เช้าจึงจะส่งท่านไปตามรับสั่ง
 ฝ่ายมารดาเล่าเป๊กกิมได้ฟังบุตรดังนั้นก็มีความยินดีเป็นที่สุด จึงพูดแก่บุตรว่า วันพรุ่งนี้ก็ถึง กำหนดวันเส้นบิดาของเจ้านิมนต์ท่านไว้อีกสักวันหนึ่ง จะได้ให้ท่านสวดมนต์แล้วจะได้ถวายอาหารเป็นการทำ บุญจะได้แผ่กุศลไปถึงบิดาเจ้า เล่าเป๊กกิมเป็นคนทำปาณาติบาตก็จริง แต่เป็นคนมีความกตัญญูมาก ครั้นได้ยินมารดาว่า ดังนั้นก็ไม่อาจจะขัดมารดาได้ จึงจัดแจงแต่งโต๊ะพร้อมด้วยธูปเทียนแลกระดาษเงินกระดาษทองเสร็จแล้ว ก็พอเวลาจวนค่ำ ฝ่ายคนใช้แล่เนื้อเสือเสร็จแล้วต้มบ้างแกงบ้าง ครั้นเสร็จแล้วจึงยกมาหน้าบ้าน
 ฝ่ายเล่าเป๊กกิมจึงจัดแจงที่ทางและหาน้ำใช้น้ำฉันเสร็จแล้ว จึงมานิมนต์พระถังซัมจั๋งว่า เนื้อเสือกำลังร้อน ๆ เชิญท่านรับประทานเถิด แก้หิวดีนัก พระถังซัมจั๋งจึงพูดแก่เล่าเป๊กกิมว่า ขอบใจท่านมีจิตเอื้อเฟื้อแก่อาตมภาพ ๆ นี้ตั้งแต่ออก จากครรภ์มารดามาจนบัดนี้ ซึ่งเนื้อถึกนั้นไม่เคยฉัน ๆ แต่ผักแลถั่วงาเป็นเครื่องแจ นอกจาก เครื่องแจก็ไม่ฉันเลยเป็นอันขาด ทั้งผิดเวลาก็ฉันไม่ได้ เล่าเป๊กกิมครั้นได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็นิ่งคิดอยู่แต่ในใจ แล้วจึงตอบว่า บ้านข้าพเจ้า ขัดสนมานานแล้ว อันเครื่องแจนั้นก็มิได้จัดหาไว้ ไม่รู้ว่าจะทำประการใดดี เมื่อขณะเล่าเป๊กกิมพูดอยู่แก่พระถังซัมจั๋งนั้น ฝ่ายมารดาเล่าเป๊กกิมได้ยินเข้า จึงร้องบอกออกมาว่าเจ้าอย่า วุ่นวายเลย มารดาได้จัดหาเตรียมไว้เสร็จแล้ว พรุ่งนี้เช้าจึงค่อยถวายให้ท่านฉันเถิด เล่าเป๊กกิมได้ฟังมารดาว่าดังนั้นก็นิ่งอยู่
 ครั้นพลบค่ำลงเล่าเป๊กกิมก็จุดธูปเทียนขึ้น บูชา พระถังซัมจั๋งครองจีวรเสร็จแล้ว ก็สวดมนต์ตั้งแต่พลบค่ำจนสว่างได้ห้าจบก็พอรุ่งแจ้ง ฝ่ายภรรยาเล่าเป๊กกิม ครั้นหุงต้มเครื่องแจแลอาหารเสร็จแล้วก็ให้คนใช้นำมาหน้าบ้าน เล่าเป๊กกิมจึงจัดน้ำใช้น้ำฉันเสร็จแล้ว ยกสำรับมาวางเรียบร้อยเป็นอันดี จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งฉัน ฝ่ายพระถังซัมจั๋งครั้นฉันเสร็จแล้ว ก็ยะถาสัพพีให้พรตามเพศของหลวงจีน ในเวลาคืนวันนั้น บุตรสาวของเล่าเป๊กกิมนอนหลับฝันว่าเห็นปู่
 รุ่งเช้าจึงมาบอกแก่เล่าเป๊ก กิมว่าเมื่อคืนนี้ฉันฝันเห็นปู่มาบอกว่า ตายไปนานแล้วไปทนทุกข์เวทนาอดอยากอยู่ในเมืองนรกไม่ได้ไปเกิดในที่ สุขเลย มาวันนี้ได้พึ่งบารมีของพระถังซัมจั๋งตั้งใจสวดพระธรรมอุทิศให้จึงได้พ้นโทษ พระยามัจจุราชเงียมฬ่อ อ๋องให้ยมบาลส่งไปเกิดยังเมืองหลวงเป็นลูกเศรษฐี จึงมาบอกให้รู้จะได้ตอบแทนพระคุณท่าน เล่าเป๊กกิมได้ฟังบุตรสาวเล่าความฝันให้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า เมื่อคืนนี้บิดาก็ฝันเหมือนกัน อย่างที่เจ้าฝันนี้ บิดาจะไปบอกให้ย่ารู้จะได้ดีใจ แล้วเล่าเป๊กกิมก็มาเล่าความฝันให้มารดาฟัง
 ฝ่ายมารดาเล่าเป๊กกิมได้ฟังบุตรบอกดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าเมื่อคืนนื้แม่ก็ฝันเหมือนกันแก่ เจ้า แม่ลูกหลานก็ดีใจพากันรื่นเริงทั่วทั้งบ้าน แล้วมารดาเล่าเป๊กกิมจึงเรียกคนแต่บรรดาที่อยู่ในบ้านทั้งชาย และหญิงเด็กแลผู้ใหญ่ให้มาพร้อมกัน กราบไหว้นมัสการขอบคุณพระถังซัมจั๋ง ครั้นเสร็จแล้วเล่าเป๊กกิมจึงจัดสะเบียงอาหาร ที่จะให้พระถังซัมจั๋ง ครั้นจัดเสร็จแล้วก็เล่า ความฝันให้พระถังซัมจั๋งฟังทุกประการ แล้วเล่าเป๊กกิมจึงพูดว่า ขอบพระคุณท่านหาที่เปรียบมิได้ เพราะท่านตั้งใจสวดพระธรรม ให้บิดาข้าพเจ้า ๆ จึงได้พ้นโทษไปเกิดในที่ชอบแล้ว
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น มีความยินดีเป็นอันมาก แล้วเล่าเป๊กกิมจึงเอาเงินมาถวายแก่ พระถังซัมจั๋ง เพื่อจะได้ใช้เป็นเสบียงเดินทาง พระถังซัมจั๋งก็หารับไม่ พูดแก่เล่าเป๊กกิมว่า แม้ท่านมีความ เมตตาแก่ข้าพเจ้า ขอให้ช่วยส่งอาตมภาพไปในระยะย่านหนึ่ง อาตมภาพจะมีความขอบคุณท่านเป็นที่สุด เล่าเป๊กกิมได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น จึงเรียกภรรยาให้จัดห่อเข้าตากขนมแห้งจะได้ เอาไปกินตามทาง ภรรยาได้ฟังดังนั้น ก็มาจัดหาสิ่งของตามคำสามีสั่ง แล้วเรียกคนใช้สองสามคนให้หาบของ และถืออาวุธตามไปส่ง ครั้นจัดแจงเสบียงอาหารเสร็จแล้ว
 พระถังซัมจั๋งจึงลาคนทั้งหลายขึ้นม้าพร้อมด้วยเล่าเป๊กกิม แลคนใช้ของเล่าเป๊กกิมออกจากบ้าน เดินไปได้ครึ่งวัน แลเห็นภูเขาหนึ่งสูงใหญ่ยอดจดเมฆ ก็พากันเดินข้าม เขาไปได้สักครู่หนึ่งยังไม่พ้นเขา เล่าเป๊กกิมจึงแจ้งความว่า ท่านจงตั้งหน้าไปเถิดข้าพเจ้าจะขอลากลับแล้ว พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น จึงชักม้าหยุดลงจากม้า พูดแก่เล่าเป๊กกิมว่า ขอท่านได้กรุณาช่วย สงเคราะห์อาตมภาพส่งไปอีกสักย่านหนึ่งเถิด เล่าเป๊กกิมได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นจึงตอบว่า ท่านไม่ทราบตำบลเขานี้ เรียกว่าเขาต่อแดน ครึ่งหนึ่งข้างนี้เป็นเขตของใต้ถัง ครึ่งหนึ่งข้างโน้น เป็นเขตของเมือง (ถัดทาก๊ก) ข้างโน้นสัตว์เนื้อเสือร้ายมิได้ อยู่ในอำนาจของข้าพเจ้า ๆ ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงจะขอลาท่านกลับ ขอท่านได้เดินไปแต่ผู้เดียวเถิด
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังเล่าเป๊กกิมพูดดังนั้น ก็มีความเสียใจยิ่งนักไม่รู้ที่จะทำประการใด ในเวลาที่กำลังจะจากกัน จิตใจของพระถังซัมจั๋งก็อ่อนหวิว พอได้ยินเสียงร้องเรียกดังดุจฟ้า ผ่าว่า หลวงพ่อมาแล้ว ๆ พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นก็ตกใจกายสั่นดุจลูกนก เล่าเป๊กกิมก็ ตกใจ เที่ยวแลหาก็ไม่เห็นสิ่งใด บัดเดี๋ยวได้ยินเสียงร้องเรียกอีกดังก้องกังวาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น