Translate

19 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 1] ตอนที่ 14 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖  
   ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่   
ตอน หงอคงถวายตัว
คนใช้ของเล่าเป็กกิมจึงพูดขึ้นว่า เสียงนี้ชะรอยจะเป็นเสียงวานรที่ติดอยู่ในซอกตีนเขานั้นดอกกระมัง
 เล่าเป๊กกิมจึงพูดว่าถ้าดังนั้น ก็เห็นจะเป็นลิงตัวนั้นแน่แล้วเปลี่ยนแปลงกายได้ จึงมีเสียงเรียกได้ดังนี้
 พระถังซัมจั๋งจึงถามว่าลิงอะไรอยู่ที่ไหน มีคำอะธิบายว่า ภูเขาลูกนี้เดิมเรียกว่า เขาเง้าเห้งซัว ต่อมาภายหลังพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ยกทัพมาเจงไซปราบปรามมาถึงตำบลนี้ จึงเปลี่ยนนามเขานี้เรียกว่า (เหลียงก๊ายซัว) คือเขาต่อแดน
 เมื่อเล่าเป๊กกิมได้ฟังพระถังซัมจั๋งถามดังนั้น จึงบอกว่าเมื่อปีก่อนนั้นเคยได้ยินผู้เฒ่าเล่าให้ฟังว่า เมื่อแผ่นดินฮั่น อ๋องมั๋งคิดกบฏชิงราชสมบัติ ในเวลานั้นข้างบนฟ้ามีภูเขาตกลงมาทับวานรตัวหนึ่งติดอยู่ในซอกหิน แต่วานรนั้นก็ไม่วิตกแก่ความหนาวแลความร้อน ถึงเวลาจะกินเข้าน้ำ พระภูมิเจ้าที่ก็นำมาให้กินแต่น้ำนั้นเป็นน้ำทองแดง ถ้าอยากข้าวก็เอาเหล็กแดงมาไข้กิน ได้ความทรมาน อดอยากมาอย่างนี้ช้านานแล้วแต่ไม่ตาย วันนี้มีเสียง เรียกเห็นจะเป็นวานรตัวนั้นเอง ท่านอย่าได้วิตกเราพากันลงไปดู จะได้เห็นว่าเป็นประการใด
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังเล่าเป๊กกิมพูดดังนั้น จึงจูงม้าพร้อมกันลงไปยังตีนเขา เดินลงไปประมาณสักสิบเส้นเศษ แลไปข้างหน้าเห็นในซอกเขามีวานรตัวหนึ่งตัวติดอยู่กับหิน โผล่แต่ศรีษะกับมือยื่นออกมานอกเขา เห็นกวักมือเรียกอยู่วุ่นวาย ได้ยินร้องถามว่าทำไมหลวงพ่อพึ่งจะมาป่านนี้เล่า มาดีแล้วช่วยข้าพเจ้าให้ออกได้ ข้าพเจ้าจะได้อาสาท่านไปเมืองไซที
 พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นจึงเดินเข้าไปใกล้ พิจารณาดูเห็นลักขณะวานรนั้น ปากแหลมคางเซี่ยมแก้วตาเหลืองบนศรีษะล้วนแต่หญ้าขึ้นปกคลุม ในช่องหูตะไคร่น้ำขึ้นท่วมหู ตามคางตะไคร่น้ำจับย้อยเป็นระย้า เห็นแล้วก็ยืนพิจารณาอยู่
 แต่เล่าเป๊กกิมเป็นคนใจกล้า ตรงเข้าไปเอามือถอนหญ้าที่ขึ้นปกคลุมแลขูดตะไคร่น้ำออกให้ดีแล้ว เล่าเป๊กกิมจึงถามว่า ท่านมีธุระกิจการอย่างใดหรือ วานรตอบว่าไม่มีธุระอะไรดอก ขอเชิญหลวงพ่อเข้ามานี้ ข้าจะขอถามสักหน่อยเถิด
 พระถังซัมจั๋งจึงเดินเข้ามาใกล้วานรแล้วพูดว่า ท่านจะถามอะไรแก่เราหรือ
 วานรจึงถามว่าท่านเป็นพระของพระเจ้าแผ่นดินถังหรือ มีรับสั่งให้ไปเมืองไซทีเพื่ออาราธนาพระธรรมคือพระไตรปิฎกหรือมิใช่
 พระถังซัมจั๋งจึงตอบว่า ตัวอาตมภาพนี้เองเป็นผู้จะไปอาราธนาพระธรรมปิฎก ท่านจะถามทำไม ท่านมีธุระอย่างไรหรือ
 วานรตอบว่า ข้าพเจ้าเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้นบนวิมานชั้นดาวดึงษ์เกิดเหตุวุ่นวายเดือดร้อน คือตัวข้าพเจ้าชื่อเกาซีเทียนนี้เอง เพราะโทษที่ทำผิดนั้นพระยูไลยจึงได้ปรับโทษ บันดาลเป็นภูเขาครอบข้าพเจ้าติดอยู่อย่างนี้ เมื่อคราวก่อนพระกวนอิมรับคำสั่งของสมเด็จพระยูไลให้ไปยังประเทศจีน หาผู้ซึ่งมีจิตรศรัทธาเพื่อจะได้ไปอาราธนาพระไตรปิฎกยังมัชฌิมประเทศ ท่านได้มาถึงที่นี้แล้วข้าพเจ้าได้อ้อนวอนขอให้ท่านช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเขานี้ ท่านได้กำชับสั่งสอนให้ข้าพเจ้ากลับใจถึงพระรัตนไตรเป็นที่พึ่ง ว่าภายหลังคงจะมีผู้มาอาราธนาพระไตรปิฎกเดินทางนี้ นั่นและข้าพเจ้าจึงจะพ้นทุกข์พ้นโทษได้ แลสั่งให้ข้าพเจ้าเป็นสานุศิษย์ตามไปยังมัชฌิมประเทศ สำเร็จการแล้วต่อภายหลังจะได้ความสุข เพราะฉนั้นข้าพเจ้าตั้งใจคอยท่านทั้งกลางวันแลกลางคืน บัดนี้ท่านมาถึงแล้วจงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าจะได้ตามไปปฏิบัติท่าน กว่าจะสำเร็จการของท่าน
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังวานรเล่าซึ่งมูลเหตุ แลจะขอตามไปด้วยดังนั้นก็มีความยินดี จึงตอบวานรว่าตัวมีจิตศรัทธาอย่างนั้นก็เป็นการดีแล้ว แต่ที่จะให้ช่วยตัวเจ้าออกจากศิลานั้น เราไม่มีสิ่วขวานแลเครื่องมืออันใดที่จะขุดเอาเจ้าออกได้ ทำอย่างไรจึงจะช่วยเจ้าได้เล่า
วานรจึงพูดว่า การทั้งนี้ไม่ต้องใช้สิ่วขวานอะไรดอก แต่ท่านมีจิตรกรุณาจะช่วยข้าพเจ้าแล้ว ขอท่านได้ขึ้นไปบนยอดเขาแกะเอาพระคาถาอักขระหกตัวมาแล้ว ข้าพเจ้าก็จะออกได้เอง อักขระหกตัวนั้นเป็นของสมเด็จพระเซ็กเกียมองนิฮุดโจ๊ท่านปิดไว้ ไม่ให้ข้าพเจ้าออกได้ แม้ท่านแกะเอาอักขระนั้นออกเสียแล้วข้าพเจ้าก็จะออกได้ไม่ต้องลำบากอะไร
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น จึงหันหน้ามาพูดแก่เล่าเป๊กกิมว่า ท่านกับข้าพเจ้าขึ้นไปดูที่นั่นจะเป็นประการใด เล่าเป๊กกิมจึงพูดว่าซึ่งวานรพูดนั้นไม่ทราบว่าจะเท็จหรือจริงประการใด
 เกาซีเทียนได้ยินเล่าเป๊กกิมพูดดังนั้น ก็ร้องด้วยเสียงอันดังว่า ของนั้นมีจริง ไม่ใช่ความเท็จเชิญท่านขึ้นไปดูเถิด
 เล่าเป๊กกิมได้ฟังดังนั้น ก็ชวนพระถังซัมจั๋งค่อย ๆ ปีนขึ้นไปบนเขาจนถึงที่สุดยอดเขาแล้ว เห็นก้อนศิลาสี่เหลี่ยมตั้งอยู่มีรัศมีสว่างเป็นสีต่างๆ  ดูงามประหลาดตาแลมีแผ่นทองคำมีอักขระหกตัวติดอยู่บนยอดศิลาก้อนนั้น. พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้น จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วยกมือขึ้นนมัสการ คุกเข่าลงตรงก้อนศิลานั้น ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าตั้นเหี้ยนจึงได้รับคำสั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม แม้ว่าวานรนี้เคยเป็นสานุศิษย์อันชอบธรรมของข้าพเจ้าแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าแกะอักขระทั้งหกนี้ออกได้โดยสะดวกเถิด ถ้าลิงตัวนี้เป็นหมู่มารแลสัตว์ร้าย ไม่เคยมีอุปนิสัยแก่ข้าพเจ้าแล้ว ขออย่าให้ข้าพเจ้าแกะอักขระนั้นออกได้เลย
 ครั้นอธิษฐานแล้ว จึงลุกขึ้นเดินเข้าไปยังก้อนศิลายกมือจับขยับแต่เบา ๆ แผ่นอักษรนั้นก็หลุดออกโดยง่าย ขณะนั้นมีลมพัดมามีกลิ่นหอมวิเศษยิ่งนัก แผ่นทองที่มีอักษรนั่นก็ลอยขึ้นบนอากาศ แลมีเสียงในอากาศดังปรากฎว่า ซีเทียนวันนี้สิ้นเคราะห์แล้วเราคือเทพารักษ์ ซึ่งรักษาหน้าที่เป็นผู้คุม จะนำเอาพระคาถานี้ไปถวายพระยูไล พอสิ้นเสียงลงแผ่นทองก็ลอยหายไปในอากาศ
 พระถังซัมจั๋งกับเล่าเป๊กกิมได้ยินเสียงบนอากาศพูดดังนั้น ก็นมัสการขึ้นไปบนอากาศ ครั้นแล้วก็พากันกลับลงมายังที่วานรติดอยู่นั้น จึงบอกแก่วานรว่าอาตมภาพได้ขึ้นไปแกะยันต์อักขระนั้นออกแล้ว ตัวจงออกมาเถิด
 ซีเทียนได้ฟังดังนั้นก็ดีใจเป็นที่สุด จึงบอกพระถังซัมจั๋งว่า หลวงพ่อจงถอยออกไปให้ห่าง ข้าพเจ้าจะออก หลวงพ่อกับคนทั้งหลายอย่าตกใจ
 เล่าเป๊กกิมจึงพาพระถังซัมจั๋งรีบเดินออกไปห่างประมาณสักสามสิบเส้น ครั้นเห็นว่าห่างแล้วก็หยุดอยู่ ได้ยินเสียงวานรร้องบอกว่าให้เดินห่างออกไปอีกเถิด เล่าเป๊กกิมจึงพาพระถังซัมจั๋งเดินลงจากเขาไปอีกประมาณสามสิบเส้น ก็ได้ยินเสียงดุจฟ้าลั่นดูดังแทบภูเขาจะทลายแผ่นดินดุจซุด ต่างก็ตกใจสักประเดี๋ยวเห็นวานรมาถึงตรงหน้าพระถังซัมจั๋ง แล้วก็คุกเข่าลงคำนับพูดว่าข้าพเจ้าออกได้แล้ว แล้วก็มาคำนับเล่าเป๊กกิมพูดว่าขอบใจท่าน ได้อุตสาหะตามมาส่งพระอาจารย์ แลขอบคุณท่านได้ช่วยทึ้งถอนหญ้าแลตะไคร่น้ำให้ข้าพเจ้าได้พ้นความรำคาญ
 ครั้นพูดแก่เล่าเป๊กกิมแล้ว ก็ไปเอาหาบมาจัดแจงใส่สะพายแล้วจะไปผูกม้า ม้า ๆ เห็นวานรใกล้เข้ามาม้านั้น ก็ยืนตัวสั่นอ่อนเปลี้ยแทบจะล้มลง เหตุเพราะซีเทียนเดิมเคยเลี้ยงม้ามังกรบนสวรรค์ของเง็กเซียงฮ่องเต้ ม้าในเมืองมนุษย์จึงได้กลัวอำนาจซีเทียน
 พระถังซัมจั๋งเห็นวานรมีกิริยาเข้าใจในทางนักบวชดังนั้น จึงถามว่า เจ้าจะมาเป็นสานุศิษย์เราเจ้าแซ่ใด ซีเทียนบอกว่าข้าพเจ้าแซ่ซึง พระถังซัมจั๋งว่า เราจะให้นามเจ้า ๆ จะได้สำคัญเมื่อเราเรียกเจ้า ซีเทียนจึงบอกว่าชื่อเดิมของข้าพเจ้ามีอยู่แล้ว ข้าพเจ้าชื่อซึงหงอคง
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังหงอคงบอกดังนั้นจึงพูดว่าดีแล้ว อักษรแซ่อยู่ในนามของสมณกิจ เราจะตั้งชื่อให้ใหม่เรียกว่า (ซึงเห้งเจีย) จะดีหรือไม่
 ซีเทียนได้ฟังพระอาจารย์ตั้งชื่อให้ใหม่ดังนั้น ก็มีความยินดี แล้วจึงพูดแก่พระอาจารย์ว่า ซึ่งโปรดตั้งชื่อให้ข้าพเจ้าใหม่นั้นสมควรแล้ว ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงเรียกเกาซีเทียนว่า (เห้งเจีย)
 ฝ่ายเล่าเป๊กกิมจึงพูดแก่พระถังซัมจั๋ง ว่าบัดนี้ท่านได้สานุศิษย์แล้ว เห็นว่าจะรักษาท่านไปได้ ข้าพเจ้าจะขอลาท่านทั้งสองกลับไปบ้าน ขอท่านไปจงสำเร็จตามความปราถนาเถิด
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังเล่าเป๊กกิมลาดังนั้น ก็ย่อตัวลงแล้วพูดว่า ขอบคุณท่านเป็นอันมาก ได้อุตสาหะมาส่งข้าพเจ้าจนถึงที่นี่ ขอให้ท่านจงมีความสุขสวัสดิ์เถิด เล่าเป๊กกิมก็นมัสการลาพาคนใช้กลับไปที่อยู่ตามเดิม
 ฝ่ายซึงเห้งเจียเอาหาบขึ้นใส่บ่า พระถังซัมจั๋งขึ้นม้าแล้วพร้อมกันออกเดินไปประมาณได้สองสามชั่วโมง ข้ามพ้นเขาเง้าเห้งซัวไปได้หน่อยหนึ่ง แลไปข้างหน้าเห็นเสือโคร่งตัวหนึ่ง เดินมาตรงหน้ากระดิกหางทำขนพองร้องเสียงโฮกกระทำอิทธิฤทธิ์ เป็นน่ากลัวยิ่งนัก
 พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้า เห็นดังนั้นก็ตกใจสิ้นสติตลึงไป เห้งเจียเดินตามม้ามาข้างหลังแลเห็นดังนั้นก็ดีใจ จึงพูดว่าพระอาจารย์อย่าวิตก เสือตัวนี้มันจะเอาเครื่องนุ่งห่มมาให้ข้าพเจ้า เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็เอาหาบวางลง ชักเข็มในหูออกมาร่ายมนต์ เข็มนั้นก็โตออกเป็นกระบองเหล็ก เห้งเจียถือกระบองแกว่งกวัดแล้วหัวเราะว่า กระบองเหล็กนี้ห้าร้อยปีแล้วไม่ได้เอาออกใช้ มาวันนี้ต้องเอาออกมาหาเครื่องนุ่งห่ม จะได้แต่งตัวตามพระอาจารย์ไป พูดดังนั้นแล้วก็ถือกระบองออกสกัดหน้าเสือ ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายสัตว์เดรัจฉานมึงจะไปข้างไหน เสือได้ยินเสียงเห้งเจียดังนั้นก็ตกใจ ย่อตัวหมอบลงไม่กล้าจะกระดุกกระดิก เห้งเจียกระโดดเข้าใกล้เอากระบองหวดตรงศรีษะ ๆ เสือแตกกระจายละเอียดลงกับที่
 พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้น ก็พลัดตกจากหลังม้าร้องว่าฟ้าเอ๋ยฟ้า เมื่อวันก่อนเล่าเป๊กกิมก็ตีกับเสือหลายชั่วโมงจึงได้ตัว วันนี้ซึงเห้งเจียไม่ต้องต่อสู้เอากระบองตีลงทีเดียวก็ละเอียดไปอย่างนี้
 ฝ่ายเห้งเจียจึงลากศพเสือนั้นมาแล้วบอกแก่พระอาจารย์ว่า ขอท่านนั่งพักคอยท่าสักประเดี๋ยวข้าพเจ้าจะลอกหนังเสือนี้ เอาทำเสื้อแลกางเกงแล้วจึงค่อยไป เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วก็ถอนเอาขนหางของตนออกมาเส้นหนึ่ง ร่ายพระคาถาเป่าให้เป็นมีดแล้วก็แล่หนังเสือออกตัดเป็นสี่เหลี่ยมสองผืน ๆ หนึ่งห่มผืนหนึ่งพันบั้นเอ็ว กระชากเอาเถาวัลย์มาผูกรัดเอ็ว แล้วบอกแก่พระอาจารย์ว่าไปเถิด เมื่อไปถึงบ้านคนจึงขอยืมเข็มเขาเย็บ พูดดังนั้นแล้วจึงร่ายคาถาให้กระบองเหล็กใหญ่นั้นเล็กลงเท่าเข็มแล้วเอาซ่อนไว้ในรูหู แล้วก็ยกหาบใส่บ่า นิมนต์พระอาจารย์ให้ขึ้นม้าออกเดินต่อไป
 พระถังซัมจั๋งจึงถามว่าเมื่อตะกี้นี้ เจ้ามีกระบองใหญ่เอามาตีเสือ เดี๋ยวนี้เอาไปไว้ที่ไหนจึงไม่เห็น
 เห้งเจียหัวเราะแล้วบอกว่าพระอาจารย์ยังไม่เข้าใจ กระบองอันนี้ข้าพเจ้าได้มาจากทะเลใหญ่ทิศบูรพา เป็นของกายสิทธิ์จมอยู่ในกลางทะเล พญาเล่งอ๋องบอกให้จึงได้มา หากจะเรียกให้เล็กก็เล็กจะเรียกให้ใหญ่ก็ได้ดังประสงค์ เมื่อครั้งก่อนข้าพเจ้าขึ้นไปรบแก่เทวดาบนวิมานดาวดึงส์ก็เอาติดสำหรับตัวไปด้วย จะเก็บซ่อนไว้ในหูก็ได้เมื่อต้องการจึงค่อยเอาออกมาใช้
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้นก็มีความยินดีเป็นอันมาก จึงถามต่อไปว่าเสือใหญ่นั้นเหตุใดเห็นเจ้าเข้าแล้ว จึงได้หมอบนิ่งไม่กระดุกกระดิก
 เห้งเจียจึงบอกว่าข้าพเจ้าไม่แกล้งจะยกตัวเลยโดยความจริง ขอพระอาจารย์ได้ทราบ อย่าว่าแต่เสือเลยถึงจะมีมังกรและนาคร้ายอย่างไรข้าพเจ้าคงจะปราบปรามได้ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าสามารถจะเปลี่ยนแปลงร่างกายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง จะทำให้ใหญ่โตกว้างขวางออกไปก็ได้ จะทำให้เล็กเท่าแก่ละอองธุลีก็ได้ อย่าว่าแต่เสือตัวเดียวเลย ให้มากยิ่งกว่านี้ก็ไม่พอมือที่จะต่อเแก่ข้าพเจ้าได้
 พระถังซัมจั๋งครั้นได้ฟังซึงเห้งเจียเล่าชี้แจงให้ฟังทุกประการดังนั้นก็มีใจอันเบิกบานยิ่งนัก ศิษย์กับอาจารย์เดินพูดกันมาก็พอพระอาทิตย์จวนจะมิดดวง เห้งเจียจึงพูดว่าตะวันก็จวนจะตกอยู่แล้ว ข้างแถวพุ่มไม้ใหญ่นั้นเห็นจะมีบ้านคนอยู่ เราพากันเข้าไปดูจะได้อาศัยพักสักคืนหนึ่งพรุ่งนี้เช้าจึงค่อยออกเดินต่อไป 
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงชักม้าเดินตรงเข้าไปในบ้านนั้น ครั้นถึงพระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้า เห้งเจีย วางหาบลงแล้วก็เดินเข้าไปที่น่าประตู ร้องเรียกว่าเปิดประตูรับข้าพเจ้าด้วย  ขณะนั้นในบ้านมีคนผู้เฒ่าอยู่คนหนึ่ง ครั้นได้ยินเสียงคนมาร้องเรียกก็จับไม้สักท้าวเดิน ออกมาเปิดประตูให้ ครั้นมองไปเห็นเห้งเจียคอพันหนังเสือตัวก็นุ่งหนังเสือรูปร่างก็น่ากลัว หน้าตาก็ดุร้ายราวกับรามสูรย์ ผู้เฒ่าเห็นดังนั้นก็ตกใจตัวอ่อนเปลี้ยแทบจะล้มลงร้องว่า ปิศาจมาแล้วยักษใหญ่มาแล้ว
พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินเข้าไปใกล้ร้องบอกว่า ท่านอย่ากลัวเลย นี่คือสานุศิษย์ของ อาตมภาพเอง มิใช่ผีปิศาจแลยักษ์มารอะไรดอก
 ฝ่ายผู้เฒ่าได้ยินเสียงพูดดังนั้นจึงเงยหน้าดู เห็นพระถังซัมจั๋งรูปร่างลักษณะงดงามจึงค่อย ได้สติหายจากความกลัว แล้วถามว่าท่านถือเพศเป็นนักบวชทำไมจึงพาคนอย่างนี้เข้ามาในบ้านข้าพเจ้าเล่า
 พระถังซัมจั๋งจึงตอบว่า อาตมภาพนี้คือเป็นพระของพระเจ้าแผ่นดินใต้ถัง มึรับสั่งให้ อาตมภาพไปยังมัซฌิมประเทศวัดลุ่ยอิมยี่ นมัสการพระขออาราธนาพระไตรปิฎก วันนี้มาถึงนี่ก็พอเป็นเวลาพลบค่ำ จะขออาศัยนอนสักคืนหนึ่งพอรุ่งแจ้งจึงจะลาท่านไป ขอ ท่านผู้เฒ่าได้โปรดสงเคราะห์ด้วยเถิด
 ฝ่ายผู้เฒ่าได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดชี้แจงดังนั้นจึงตอบว่า ส่วนท่านเป็นพระของพระเจ้าแผ่นดินถัง ก็อีกคนหนึ่ง นั้นเป็นคนดุร้ายจะไม่ใช่คนใต้ถังดอกกระมัง
 เห้งเจียได้ยินผู้เฒ่ากล่าวดังนั้น จึงร้องด้วยเสียงเป็นอันดังว่า ท่านผู้เฒ่าเห็นจะไม่มีนัยน์ตา ท่านว่าอาจารย์ข้าพเจ้าเป็นคนใต้ถังส่วนตัวข้าพเจ้าผู้เป็นสานุศิษย์ท่านว่าไม่ใช่คนใต้ถัง ถ้ากระนั้นจะเป็นคน อะไรเล่าตัวข้าพเจ้านี้คือซีเทียนใต้เซีย ติดอยู่ในเขาเง้าเหงซัวนั้น ท่านจำไม่ได้หรือ
 ฝ่ายผู้เฒ่าครั้นได้ฟังดังนั้นก็นึกขึ้นมาได้ จึงถามว่าท่านอยู่ที่เขานั้น เหตุใดจึงออกมาได้เล่า เห้งเจียได้ฟังผู้เฒ่าถาม จึงเล่าความแต่หลังให้ผู้เฒ่าฟังทุกประการ แล้วก็พูดว่าเพราะเหตุ ฉะนี้ข้าพเจ้าจึงได้มาเป็นสานุศิษย์พระถังซัมจั๋ง เมื่อผู้เฒ่าได้ฟังเห้งเจียเล่าให้ฟังดังนั้นก็สิ้นความสงสัย จึงคำนับพระถังซัมจั๋ง แล้วเชิญให้ เข้ามาข้างในแล้วยกน้ำชาออกมาถวาย แล้วผู้เฒ่าจึงถามเห้งเจียว่าอายุของท่านได้เท่าใดแล้ว เห้งเจียจึงย้อนถามผู้เฒ่าว่าอายุของท่านได้สักเท่าใดเล่า
 ผู้เฒ่าจึงตอบเห้งเจียว่าอายุของข้าพเจ้าได้ร้อยสามสิบปีแล้ว 
 เห้งเจียจึงพูดว่าอายุของท่านผู้เฒ่านี้เท่าแก่อายุหลานเหลนของข้าพเจ้า ตัวข้าพเจ้าตั้งแต่ เกิดมานั้นได้เท่าใดก็จำไม่ได้ คิดตั้งแต่ข้าพเจ้าติดอยู่ในเขาเง้าเห้งซัวนั้นได้ห้าร้อยปีกว่ามาแล้ว ผู้เฒ่าได้ฟังเห้งเจียบอกดังนั้น จึงพูดว่าเห็นจะจริงอย่างท่านพูด ข้าพเจ้าฟังปู่ย่าตาชวดได้ เล่าต่อกันมาว่า ภูเขาลูกนี้อยู่บนอากาศตกลงมาครอบวานรไว้ตัวหนึ่ง มาบัดนี้ท่านได้รอด พ้นออกมาได้ดังนี้ก็เป็นบุญหาที่เปรียบมิได้แล้ว
 ฝ่ายคนในบ้านได้ยินผู้เฒ่าพูดดังนั้นก็พากันหัวเราะทุก ๆ คน ผู้เฒ่าจึงสั่งคนใช้ให้จัดอาหารมาเลี้ยงตาม ประสาบ้านป่า เห้งเจียจึงถามว่าท่านผู้เฒ่านั้นแซ่อะไร ผู้เฒ่าจึงตอบว่าข้าพเจ้าแซ่ตั๊น พระถังซัมจั๋งได้ฟัง ดังนั้นจึงว่าอาตมภาพนี้เมื่อเป็นฆราวาสก็แซ่ตั๊นเหมือนกัน ผู้เฒ่าได้ทราบว่าพระถังซัมจั๋งแซ่ตั๊นก็ยิ่งเพิ่มพูน ความยินดีมากขึ้นอีก เห้งเจียจึงพูดแก่ผู้เฒ่าว่าท่านโปรดให้คนใช้ต้มน้ำให้อาจารย์กับข้าพเจ้าอาบ จะได้ชะล้าง เหงื่อไคลให้สะอาดสักหนหนึ่งเถิด เพราะข้าพเจ้าเมื่อติดอยู่ในเขานั้นห้าร้อยปีกว่าก็มิได้ปะน้ำท่าอะไรเลย
 ผู้เฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงสั่งคนใช้ให้ต้มน้ำ จะให้พระถังซัมจั๋งกับเห้งเจียชำระเหงื่อใคล ครั้นคนใช้ต้มน้ำแล้วก็ยกมาถวายพระถังซัมจั๋ง ๆ จัดแจงสรงน้ำเสร็จแล้ว เห้งเจียจึงได้อาบน้ำชำระต่อทีหลัง ครั้นเสร็จแล้วเห้งเจียก็เข้ามาข้างในคำนับผู้เฒ่าแล้วก็พูดว่า ขอท่านตาโปรดสักอย่างหนึ่งเถิด ท่านมีเข็มขอยืม ให้ข้าพเจ้าสักหน่อย
 ผู้เฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงเข้าไปข้างในห้องหยิบเอาเข็มกับด้ายออกมาส่งให้เห้งเจีย ๆ รับเข็มกับ ด้ายแล้ว จึงขอยืมผ้าคนใช้ในบ้านนั้นผลัดเอาหนังเสือออกเย็บทำเป็นผ้าผืนหนึ่งเสร็จแล้วก็นุ่ง แต่งตัวแล้วก็เดิน ออกมายืนตรงหน้าพระถังซัมจั๋ง คำนับแล้วก็พูดว่าพระอาจารย์จงดูข้าพเจ้าแต่งตัววันนี้กับวันก่อนนั้นจะเป็น อย่างไรบ้าง พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า แต่งตัวอย่างนี้ดูดีสมกับชื่อว่าเห้งเจีย เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์ว่า ดังนั้นก็มีความยินดี จึงออกไปข้างนอกเก็บหาบเข้ามา แล้วไปจูงม้าเข้ามาผูกไว้ในบ้านแล้วก็พักนอนอยู่ใน บ้านป่านั้นคืนหนึ่ง
 ครั้นรุ่งเช้าผู้เฒ่าเจ้าของบ้าน จึงจัดหาเครื่องแจมาถวายพระถังซัมจั๋ง ๆ ฉันแล้ว ก็ให้พรตาม เพศแห่งสมณะฝ่ายหลวงจีนแล้วก็ลาผู้เฒ่ามาขึ้นม้า เห้งเจียก็หาบเสบียงพากันออกจากบ้านป่า เดินต่อไป ครั้นสิ้นแสงตะวันก็หาที่พักหลับนอนระงับความเหนื่อยมาตามระยะทาง เวลานั้น กำลังฤดูหนาวจัดอาจารย์กับศิษย์ก็พากันเดินมา เมื่อกำลังเดินอยู่นั้น ได้ยินเสียงอึกกระทึก มาข้างหน้า ขณะนั้นเห็นคนเดินออกมาหกคน ล้วนแต่ถืออาวุธยืนสกัดทางอยู่ แล้วร้อง ถามด้วยเสียงอันดังว่า พระรูปนั้นจะไปข้างไหน จึงวางสิ่งของลงไว้ให้เรา ๆ จะยกชีวิตไว้ ให้ ถ้าขืนดื้อดึงก็จะฆ่าเสียทั้งสองคน
 พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้น ก็ตกใจพลัดตกจากหลังม้าสิ้นสติสมประดี เห้งเจียแลเห็นพระอาจารย์มีความกลัวดังนั้น ก็วางหาบลงวิ่งมาประคองอาจารย์ แล้วพูดว่า พระอาจาริยจงวางใจเถิดอย่าวิตกเลย อ้ายพวกเหล่านี้มันจะเอาเสบียงเสื้อผ้าอาหารมาให้เรา จะกลัวมันทำไมมี พระถังซัมจั๋งพูดว่าหูเจ้าไม่มีหรือ ได้ยินหรือไม่เขาบอกให้เราวางสิ่งของไว้ให้เขา ถ้าไม่ให้ เขาโดยดีเราก็จะต้องเสียชีวิต เจ้าจงไปถามคนทั้งหกดูหรือ ว่าเขาจะต้องประสงค์สิ่งใด จงมาเอาตามปราถนา เถิดขอแต่ชีวิตไว้ เราจะได้ตั้งหน้าไปไซที เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์พูดดังนั้น จึงพูดว่า พระอาจารย์จงเฝ้าม้าแลหาบไว้ ข้าพเจ้าจะไปถาม ดูว่ามันจะเป็นประการใด
 เห้งเจียพูดดังนั้นแล้วจึงเดินมาทำยกมือขึ้นคำนับแล้วถามว่า ท่านจะต้องประสงค์สิ่งใด หรือจึงต้องมาสกัดทางข้าพเจ้าอย่างนี้ คนทั้งหกจึงตอบว่า พวกเราเป็นใต้อ๋องเจ้าของภูเขานี้ชื่อเสียงก็โด่งดังมาช้านานแล้ว เจ้าจง รีบเอาสิ่งของเหล่านั้นมาให้เรา แล้วเราจึงจะปล่อยให้เจ้าเดินทางไป
 เห้งเจียจึงว่า ข้าพเจ้ากับอาจารย์เดินทางมาก็หลายเดือนแล้ว ท่านเป็นเจ้าภูเขามาหลายปี แล้ว ข้าพเจ้ายังไม่เคยได้ยินชื่อเสียงท่านทั้งหลายนี้เลย คนทั้งหกตอบว่า แม้ท่านไม่รู้จักเรา ๆ จะบอกให้ท่านรู้จัก ตัวเราชื่อว่า (งั้นขันชี้) แปลว่า จักษุ เห็น อยากได้ อีกคนหนึ่งชื่อว่า (ยี้เทียลอ) แปลว่าโสต หู ได้ยินอยากได้ อีกคนหนึ่งชื่อว่า (ภิชืออ้าย ) แปลว่า จมูก รู้กลิ่นอยากได้ อีคนหนึ่งชื่อว่า (จิสองซื้อ) ลิ้น รู้รสอยากได้ อีกคนหนึ่งชื่อว่า (ซิ้นปุ๊มอิ๋ว) แปลว่า กาย สัมผัสรู้อยากได้ อีกคนหนึ่งชื่อว่า (อี่เกี้ยนออก) แปลว่า ใจ รู้กำหนัดอยากได้
 เห้งเจียได้ฟังโจรทั้งหกบอกดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงพูดว่า อ้ายโจรทั้งหกนี้เดิมเป็นขนหน้าแข้ง ของเรา เอ็งจำเราไม่ได้หรือ ตัวเราไปถือศีลตามทางพระ ตัวเรานี้แลคือเป็นนายพวกเจ้า ๆ อาจสามารถพากัน มาสกัดทางจะตีชิงเอาสิ่งของๆ เรา ๆ จะบอกให้เจ้ารู้สึกตัว แม้เจ้าไปปล้นสิ่งของๆ เขาทั้งหลายได้มาไว้มาก น้อยเท่าใด ให้เจ้านำเอามาปันเป็นเจ็ดส่วนให้ได้เท่ากัน เราก็จะยกชีวิตให้ ถ้าไม่ฟังเราว่า เราจะฆ่าเจ้าเสีย ให้หมดทั้งหกคน
 พวกโจรทั้งหกคนได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น มีความโกรธเป็นอันมาก ต่างคนถืออาวุธตรงเข้า มาพูดว่า อ้ายนี่พูดจองหองไม่มีธรรมเนียม เจ้าเป็นอะไรมาจึงจะมาพูดบังคับบัญชาเราจะให้แบ่งปันสิ่งของให้ แก่เจ้า พูดแล้วก็พร้อมกันเข้าล้อมเห้งเจีย เอาอาวุธเข้าประหารตีรันฟันแทง เห้งเจียก็ยืนนิ่งให้พวกโจรทำ ก็ มิได้เป็นอันตราย พวกโจรมีความประหลาดใจเป็นอันมาก ฝ่ายเห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า เราปล่อยให้พวกเจ้าทำแก่เราพอแล้ว ทีนี้เราจะทำแก่พวกเจ้า บ้าง แต่ข้าจะเอาเข็มออกมาลองเจ้าให้รู้รส พวกโจรทั้งหกพูดว่าจะเอาเข็มมาทำไม เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงชักเข็มออกจากหู แล้วยกขึ้นแกว่ง เข็มนั้นก็ใหญ่ ขึ้นเป็นกระบองเหล็กอันหนึ่งถืออยู่แล้วร้องว่า พวกเจ้าให้เราลองตีดูสักทีหนึ่งจะเป็นประการใด
 พวกโจรทั้งหกคนเห็นดังนั้น ก็ตกใจพากันกระโดดหนีวิ่งไปทั้งหกคน เห้งเจียก็วิ่งไล่ติดตามไป ทันเข้า ก็เอากระบองเหล็กตีคนละทีสองทีตายหมดทั้งหกคน จึงเปลื้องเอาเสื้อผ้าของโจรและ เสบียงอาหารได้แล้วก็กลับมาบอกพระอาจารย์ว่า พวกโจรเหล่านั้นข้าพเจ้าตีตายหมดแล้ว
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เจ้าจะได้รับภัยอันใหญ่แล้ว แม้เขาเป็นโจรผู้ร้าย เราควร จับตัวไปให้ขุนนางเขาชำระตัดสินลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง ถึงเราจะมีฤทธากล้า หาญอย่างไรก็ควรต้องละไว้ก่อน นี่ทำไมเจ้าไปตีเขาจนตายดังนี้ เจ้าหามีความเมตตาปรานี แก่เขาไม่ ผิดประเพณีของนักบวชไปมากนัก เห้งเจียพูดว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ตีมันตายมันก็จะตีท่านอาจารย์ตาย จึงจะละมันไว้มิได้เลย พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า เราถือทางพระแม้ถึงดังนั้นเราก็ต้องยอมตายจึงจะชอบ ที่จะทำใจดุร้าย อย่างนี้หาควรไม่
 เห้งเจียจึงพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดบังท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าเคยเป็นใต้อ๋อง ปราบปรามหมู่ปิศาจยักษ์ไม่รู้ว่าจะนับประมาณว่าเท่าใด ถ้าเหมือนที่พระอาจารย์พูดดังนี้ ที่ไหนข้าพเจ้าจะทำถึงที่ซีเทียนใต้เซียได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นจึงพูดว่า เพราะเจ้ามีความประมาทดังนั้น จึงต้องติดโทษลงห้าร้อยปี กว่ามิใช่หรือ บัดนี้ตัวเจ้าก็เข้าในพระพุทธศาสนาถือศีลกินเพลแล้ว ยังจะทำใจดุร้ายอยู่ดังนี้ เห็นจะไปไซทีด้วย เราไม่ได้
 เห้งเจียเมื่อได้ฟังพระอาจารย์พูดเป็นทีโกรธดังนั้น ก็มีความน้อยใจเป็นอันมาก จึงคิดว่าเรา ทำคุณกลับมาเป็นโทษพระอาจารย์โกรธและติเตียนต่าง ๆ ยิ่งคิดไปใจก็หุนหันมุทะลุดุดันขึ้นมา จึงพูดว่า ถ้า พระอาจารย์พูดว่าข้าพเจ้าบวชเรียนไม่ได้ ไปไซทีก็ไม่ได้ ท่านไม่ต้องพูดให้มากความไปทำไม เมื่อท่านไม่พอ ใจในข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็จะกลับไปเท่านั้น ท่านไม่ต้องพูดให้มากความไป
 ฝ่ายพระถังซัมจั๋ง เมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็นั่งก้มหน้านิ่งอยู่มิได้พูดประการใดต่อไป เห้งเจียเห็นพระอาจารย์นั่งก้มหน้านิ่งอยู่ดังนั้น จึงบอกแก่พระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าจะกลับ ไปอยู่ที่ของข้าพเจ้าแล้ว ว่าเท่านั้นแล้วก็โดดหายไป ฝ่ายพระถังซัมจั๋งได้ยินเสียงเห้งเจียร้องบอกดังนั้น จึงเงยหน้าขึ้นดูก็ไม่เห็นตัวได้ยินแต่เสียง หวิวไปข้างทิศตะวันออกเท่านั้น
 ครั้นเห้งเจียไปแล้ว พระถังซัมจั๋งก็อยู่แต่ผู้เดียวให้เปล่าเปลี่ยวใจยิ่งนัก จึงมานึกแต่ในใจว่า อ้ายเห้งเจียมันไม่ เชื่อฟังคำสั่งสอน ถ้าพูดจาสั่งสอนมัน ๆ กลับโกรธแล้วก็หายไปเสียมิได้เห็นร่องรอยว่ามันไปทางใด เห็นว่า ชะตาของเราจะมีสานุศิษย์มิได้ ไหน ๆ เราก็สละชีวิตแล้วก็ตามแต่จะเป็นไปเถิด เราตั้งหน้าตรงไปแต่ผู้เดียว อย่ากังวลอาศัยผู้ใดเป็นอารมณ์เลย คิดตกลงดังนั้นแล้ว ก็จัดแจงเอาหาบใส่บ่า มือหนึ่งก็จูงม้าค่อยเดินค่อยไป พอแลไปข้างหน้าเห็นยายเฒ่ามือถือเสื้อข้างหนึ่ง และมงคลวงหนึ่งเดินตรงเข้ามาใกล้
 พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้น จึงจูงม้าเดินเข้าแอบข้างทาง ยายเฒ่าครั้นเดินมาถึงพระถังซัมจั๋งแล้ว จึงร้องถามว่า นี่ท่านมาจากไหน จึงได้เดินมาคนเดียวอย่างนี้ พระถังซัมจั๋งจึงบอกว่าอาตมภาพนี้อยู่ประเทศจีน พระเจ้าแผ่นดินถังมีรับสั่งให้ไปยังมัชฌิม ประเทศ นมัสการพระยูไล ขออาราธนาคำภีร์พระไตรปิฎกธรรมไปไว้ในประเทศจีน จะได้สั่งสอนมหาชนให้ เลื่อมใสนับถือพระพุทธศาสนา
 ยายเฒ่าได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น จึงบอกว่าไซทีที่พระยูไลอยู่นั้น อยู่ที่วัดลุ่ยอิมยี่ ประเทศ เมืองไซเต็ก ตั้งแต่นี้ไประยะทางไกลถึงสิบหมื่นแปดพันโยชน์ ท่านเดินผู้เดียวไปกับม้า ไม่มีสานุศิษย์ไปเป็นเพื่อน ทำไมจึงจะไปได้ พระถังซัมจั๋งจึงบอกว่า เมื่อวันก่อนนั้นอาตมภาพได้มีสานุศิษย์คนหนึ่งเป็นเพื่อน แต่ใจเขาดุร้าย ไม่ฟังคำสั่งสอน ครั้นสั่งสอนเขาสองสามคำเขาก็โกรธทิ้งอาตมภาพไว้กลับไปเสียแล้ว
 ยายเฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ดิฉันมีเสื้อพื้นเหลืองตัวหนึ่ง กับมงคลวงหนึ่งของบุตรดิฉันได้ แต่งกาย แต่สามวันก็สิ้นอายุไปเสียแล้ว ดิฉันไปยังวัดที่ฝังศพบุตรร้องไห้คิดถึง จึงเอาเสื้อกับมงคลมาไว้เป็น ที่ระลึก แม้ท่านมีศิษย์ดิฉันจะถวายให้ท่านเอาไปให้ศิษย์ท่านใช้
 พระถังซัมจั๋งจึงตอบว่าขอบใจ ที่ท่านยายมีน้ำใจด้วยอาตมภาพ สานุศิษย์ของอาตมภาพนั้น เขาหนีไปเสียแล้ว อาตมภาพไม่อาจรับไว้ได้ ยายเฒ่าจึงถามว่าเขาหนีไปทางไหน พระถังซัมจั๋งจึงบอกว่าได้ยินเสียงเหมือนลมพัดไปข้างทิศ บูรพา ยายเฒ่าจึงพูดว่าถ้าไปทางทิศบูรพาเห็นจะไปไกลนัก แถบนั้นจะเป็นบ้านดิฉันเอง ดิฉันมีคาถาอยู่บทหนึ่ง นามเรียกว่าคาถาสะกดหัวใจ แลเรียกว่ารัตนะมงคล ท่านจงเล่าจำไว้ให้ขึ้นใจแม่นยำแล้วอย่าให้ผู้ใดรู้ ดิฉัน จะไปตามสานุศิษย์ของท่านมาให้สำหรับจะได้ตามท่านไป ถ้าเขากลับมาท่านจงเอาเสื้อตัวนี้และมงคลนี้ให้เขา ใส่ ถ้าดื้อดึงไม่ฟังคำท่าน จงภาวะนาคาถานี้แล้ว เขาก็ไม่อาจจะดุร้ายได้
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นจึงกระทำขอบคุณยายเฒ่า ฝ่ายยายเต่าเมื่อกำชับพระถังซัมจั๋งแล้ว ก็ บันดาลรัศมีเป็นแสงทองพุ่งไปทางทิศตะวันออกแล้วก็หายไป ฝ่ายพระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้น ก็ทราบได้ว่าพระกวนอิมมาสอนพระคาถาให้ จึงจุดธูปเทียนนมัส การหันหน้าไปทางทิศบูรพา แล้วจึงเอาเสื้อกับมงคลใส่ไว้ในถุงย่าม ก็เล่าพระคาถาที่พระกวนอิมบอกให้จน เจนใจจำได้ดีแล้วก็นั่งอยู่ริมทาง
 ฝ่ายเห้งเจียเมื่อทิ้งพระอาจารย์ไปนั้น ก็เหาะด้วยกำลังฤทธิ์ดั้นเมฆไปบัดเดี๋ยวก็ถึงทะเลใหญ่ ทางทิศตวันออกก็โผ ลงแซกน้ำลงไปยังบาดาลถึงที่อยู่พระยาเล่งอ๋อง
 ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องเห็นจึงมาคำนับถามว่า ได้ยินว่าท่านพ้นโทษแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าท่านคงจะไป จัดแจงถ้ำที่เดิมของท่านเรียบร้อยแล้ว จึงจะได้มาเที่ยวที่นี่
 เห้งเจียได้ฟังพระยาเล่งอ๋องพูดดังนั้น จึงตอบว่าข้าพเจ้าก็ตั้งใจจะกลับไปที่เดิม แต่บัดนี้ก็ บวชเรียนถือศีลเสียแล้ว พระยาเล่งอ๋องถามว่าท่านบวชเพศเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าอยากจะทราบบ้าง เห้งเจียบอกว่า เพราะข้าพเจ้าได้รับคำสั่งสอนของพระกวนอิมท่านชักนำให้รักษาศีล และให้ อุตส่าห์ตามพระถังซัมจั๋งไปยังประเทศไซที อาราธนาพระคำภีร์ไตรปิฎก เพราะฉะนั้น จึงได้รักษาทางสัมมาทิฐิกะธรรม จึงได้นามใหม่เรียกว่า เห้งเจีย
 พระยาเล่งอ๋องได้ฟังดังนั้น จึงถามว่าซึ่งท่านทิ้งทางไม่ชอบธรรมเสีย มาถือทางสัมปฏิปธาแล้ว ข้าพเจ้าก็มี ความยินดีด้วยท่านเป็นที่สุด แต่ข้าพเจ้าขออภัย จะขอถามท่านสักหน่อยว่า เหตุใดท่านจึงไม่ตามพระอาจารย์ ไปไซทีเล่า มาหาข้าพเจ้าด้วยจะต้องการสิ่งอะไรหรือ
 เห้งเจียได้ฟังพญาเล่งอ๋องถามดังนั้น ก็หัวเราะแล้วตอบว่า พระถังซัมจั๋งไม่รู้จักน้ำใจคน เราจึงได้ มาเสีย เมื่อวันเดินทางไปนั้น บังเอิญไปปะพวกโจรทั้งหกมาสกัดทางเราไว้ แล้วว่าจะเอาสิ่งของให้หมด ข้าพเจ้า ขัดใจจึงได้ตีตายเสียทั้งหกคน พระถังซัมจั๋งพูดติเตียนข้าพเจ้าต่าง ๆ ข้าพเจ้ามีความเสียใจจึงได้ทิ้งกลับมาเสีย หมายจะกลับไปยังที่เดิมของข้าพเจ้า ครั้นถึงช่องด่านเมืองของท่าน ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านจึงได้แวะมาเยือนท่าน แลจะมาขอน้ำชาท่านกินสักถ้วยหนึ่ง
 พญาเล่งอ๋องได้ฟังดังนั้น จึงให้ยกน้ำชามาให้เห้งเจียกิน เมื่อขณะเห้งเจียกินน้ำชาอยู่นั้น เหลือบไปเห็นฉากแขวนอยู่ข้างฝาผนังจึงถามพญาเล่งอ๋องว่า นั่นเป็นฉากอะไรจึงได้มีคำโคลงเขียนไว้ พระยาเล่งอ๋องจึงบอกว่า ฉากนี้มีมาต่อภายหลังท่านเกิดจำไม่ได้หรือ เขาเรียกกันว่า (กี๋เกี๊ยว ซามจิ๊นลี้) เห้งเจียถามว่ากี๋เกี๊ยวซามจิ๊นลี้นั้นแปลว่ากระไร
 พระยาเล่งอ๋องจึงเล่าให้ฟังว่า คือเดิมนั้นมีเทวดานามชื่อว่า (อึ๊งเจี๊ยกง) นั่งอยู่ที่หัวสะพานห้อย เท้าแกว่งเล่น รองเท้าก็ตกลงในน้ำ เทวดานั้นจึงเรียกเตียวเหลียงวานได้ลงไปเก็บขึ้นมาได้ แล้วเทวดาก็แกล้งทำได้ ตกลงไปอีก แต่ทำให้ตกดังนั้นถึงสามครั้ง เตียวเหลียงก็อุตส่าห์ลงไปเก็บทั้งสามครั้ง เตียวเหลียงก็ไม่มีใจโกรธ เคืองอะไรเลย เทวดาเห็นเตียวเหลียงมีใจเย็นหนักแน่นดังนั้น จึงสอนตำรับวิทยาการให้ไว้สำหรับรักษาบ้านเมือง ต่อมาภายหลังเตียวเหลียงได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในแผ่นดินไซฮั่น
 ครั้นเวลาบ้านเมืองเรียบร้อยแล้ว เตียวเหลียงก็ หลีกตัวออกจากราชการเข้าป่ารักษาใจถือเพศอย่างเซียน ภายหลังก็ได้สำเร็จเป็นเซียนสมความปราถนาของเตียว เหลียง ถ้าท่านเห้งเจียไม่ตามปฏิบัติรักษาพระถังซัมจั๋ง แลไม่เชื่อฟังคำสอน ต่อไปภายหน้าท่านคงเป็นปิศาจยักษ์ จะสำเร็จในทางมรรคผลนั้นอย่าพึงนึกเลย เห้งเจียได้ฟังพระยาเล่งอ๋องพูดดังนั้น ก็นิ่งคิดอยู่แต่ในใจยังมิได้พูดประการใด
 พระยาเล่งอ๋องจึงพูดต่อไปว่า ท่านใต้เซียจงตรองดูได้ดี อย่าถือเอาแต่ความสบายพอใจของตน จะทำให้ผิดทางที่ท่านทำมา เห้งเจียจึงว่า ท่านอย่าพูดมากไปเลย ข้าพเจ้าจะกลับไปปฏิบัติรักษาพระอาจารย์อีก พูดแล้วจึงลาพระยาเล่งอ๋อง รีบออกจากปราสาทแล้ว แซกน้ำขึ้นมาจากบาดาล แผลงฤทธิ์เหาะกลับมา เมื่อกำลังเหาะมานั้น พอพบพระ กวนอิมในกลางอากาศ เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงยกมือขึ้นนมัสการ
 พระกวนอิมจึงถามเห้งเจียว่า ทำไมเจ้าจึงไม่ไป ตามพระถังซัมจั๋ง เจ้ามาที่นี่มีธุระอย่างไรหรือ เห้งเจียได้ฟังพระกวนอิมถามดังนั้นจึงตอบว่า ตั้งแต่ได้พึ่งบารมีของท่านชักนำเข้าในทางสัมมา ปฏิบัติแล้ว ต่อมาก็เหมือนดังคำท่านพูด มีพระถังซัมจั๋งมาช่วยเอาอักขระนั้นออก จึงได้พ้นจากทุกข์ทรมานได้ แล้วข้าพเจ้าก็ได้ตามพระถังซัมจั๋งไป แล้วเห้งเจียก็เล่าความซึ่งบาดหมางแก่อาจารย์ ให้แก่พระกวนอิม ฟังทุกประการ เพราะท่านว่าข้าพเจ้าดุร้าย ข้าพเจ้าจึงได้หลบหนีท่านไปเสีย บัดนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปตามรักษา ท่านอาจารย์อยู่ตามเดิมต่อไปอีก
 พระกวนอิมได้ฟังดังนั้นจึงพูดแก่เห้งเจียว่า จงรีบกลับไปโดยเร็วอย่าให้เสียเวลาได้ เห้งเจียได้ฟังพระกวนอิมสั่งดังนั้น ก็นมัสการลาแล้วรีบเหาะไปบัดเดี๋ยวก็มาถึงเห็นพระอาจารย์ นั่งกอดเข่าอยู่ริมทาง เห้งเจียจึงเดินเข้ามาหาพระอาจารย์คำนับแล้วถามว่า พระอาจารย์ ทำไมมานั่งอยู่ที่นี่ พระถังซัมจั๋งเห็นเห้งเจียกลับมาก็ดีใจจึงพูดว่า ตัวทิ้งเราไปข้างไหนก็ไม่รู้ ทำให้เราไปไม่ได้ก็ต้องนั่งคอยอยู่ที่นี่ เห้งเจียจึงบอกว่า ข้าพเจ้าอยากน้ำจึงได้ลงไปหาพญาเล่งอ๋องหาน้ำชากิน
 พระถังซัมจั๋งพูดว่า ตัวเป็นคนอยู่ในศีลในธรรมทำไมจึงพูดเป็นคำเท็จเช่นนั้นเล่า ตัวเจ้าหายไปจากที่นี้ไม่ถึงสองชั่วโมงว่าได้ไปถึง บาดาล หาพญาเล่งอ๋องได้กินน้ำชาอย่างนี้ จะมิเป็นคำเท็จหรือ เห้งเจียจึงบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดบังพระอาจารย์บอกโดยความจริง ด้วยข้าพเจ้าได้เรียนทาง สำเร็จ หกขะเมนหรือตีลังกาทีหนึ่งไปไกลได้ถึงหมื่นแปดพันโยชน์ เพราะฉะนั้นทางไปบาดาลไม่เป็นการยาก อะไรตีลังกาไปทีเดียวก็ถึง ขอพระอาจารย์อย่ามีความสงสัยเลย พระถังซัมจั๋งจึงตอบว่า ถ้าเจ้าพูดจริงทำอิทธิฤทธิ์ไปได้เจ้าไม่ต้องลำบาก แต่เราไม่มีฤทธิ์ เหมือนเจ้ามิต้องลำบากอยู่ที่นี่หรือ
 เห้งเจียจึงพูดว่า แม้พระอาจารย์จะอด ข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตรข้าวมาถวาย พระถังซัมจั๋งว่า ไม่ต้องไปบิณฑบาตรดอกในถุงย่ามนั้นยังมีเข้าตากขนมแห้งก็ยังมีอยู่ จงเอามาให้เราแล้วจงเอาบาตรไปตักน้ำ มาให้เราจะฉันเดี๋ยวนี้ เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงยกเอาหาบมาแล้วแก้ถุงย่ามออก เอาขนมแลข้าวตากออกมาประเคน ให้อาจารย์ แล้วจะหยิบเอาบาตรออกจากย่ามแลเห็นในย่ามนั้นมีแสงสว่างวับแวมอยู่ เห้งเจียเห็นของประหลาด ดังนั้นจึงหยิบขึ้นมาดูก็ชอบใจ จึงถามว่าเสื้อกับหมวกนี้เอามาจากเมืองเชียงอานหรือ
 พระถังซัมจั๋งก็นิ่งเฉยสักครู่ หนึ่งจึงพูดว่าของเราบวชตั้งแต่เป็นเด็ก หมวกนั้นใส่แล้ว หนังสือและพระธรรมจะอ่านได้โดยเร็ว ไม่ต้องสอน ก็รู้ได้ เสื้อนั้นใส่เข้าแล้วไม่รู้จักธรรมเนียมไหว้กราบก็รู้จักธรรมเนียมทั้งสิ้น เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงพูดว่า พระอาจารย์ให้ข้าพเจ้าใส่เถิด พระถังซัมจั๋งว่าตามใจ อยากได้ก็ใส่เถิด เห้งเจียก็เอาหมวกใส่ศรีษะ เอาเสื้อใส่เข้าแล้วก็ดีใจยิ่งนัก พระถังซัมจั๋งเห็นเห้งเจียสวมเสื้อคลุมหมวกแล้ว ก็ฉันสิ่งของนั่งนึกภาวนาพระคาถาที่พระกวนอิม สอนให้นั้นสองสามจบ เห้งเจียก็ว่าปวดหัวเต็มทีแทบศรีษะจะแตกแล้ว
 พระถังซัมจั๋งไม่หยุดภาวนาอีกสองสามรอบ เห้งเจียก็ประคองศรีษะหมุนลงกับพื้นดินแล้วเอามือแกะกระชากหมวกมงคลนั้นก็ไม่หลุด พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้น กลัวหมวกมงคลจะขาด จึงหยุดภาวนา เห้งเจียหายปวดศรีษะทันที จึงเอามือคลำดู สังเกตดูก็คล้ายแก่ด้ายที่ ตีเกลียวรัดแน่นอยู่ จึงเอามือจับกระชากก็ไม่หลุดไม่ขาด เพราะพระถังซัมจั๋งภาวนากระทำให้บันดาลมงคลติด อยู่ไม่หลุด เห้งเจียมีความโกรธเป็นอันมาก จึงเอากระบองออกจากหูแล้วงัดมงคลก็ไม่ออก พระถังซัมจั๋งกลัวจะงัดมงคลขาด จึงภาวนาอีกสองสามรอบ ศรีษะเห้งเจียก็ปวด มงคลก็ยิ่งลัดจนตาปลิ้นตัวก็อ่อน ล้มลงกับที่
 พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็มีความเวทนาจึงหยุดภาวนาเสีย ศรีษะเห้งเจียก็หายปวด เห้งเจีย มีความสงสัยจึงถามพระถังซัมจั๋งว่า ท่านแกล้งภาวนาพระคาถาดอกกะมัง ข้าพเจ้าจึงได้ปวดศรีษะนัก พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียถามจึงตอบว่า อาตมภาพภาวนามงคลคาถาต่างหาก เราจะภาวนาถึง เห้งเจียทำไม เห้งเจียว่าไหนพระอาจารย์ลองภาวนาดูอีกสักหนหนึ่งหรือ ศรีษะข้าพเจ้าเป็นประการใด พระถังซัมจั๋งก็ภาวนาอีกสองสามรอบ เห้งเจียก็ปวดศรีษะหมุนคว่ำลงกับที่ จึงร้องบอกพระ อาจารย์ว่าอย่าภาวนาเลยจงอยุดเถิดข้าพเจ้าเหลือทนแล้ว พระถังซัมจั๋งจึงถามว่าตั้งแต่นี้จะเชื่อฟังคำเราสั่งสอน หรือไม่
 เห้งเจียร้องบอกว่าจะเชื่อคำสั่งสอนไม่ขัดขืนทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แต่ในใจให้คิดแค้นเป็นกำลังจึงควักเอา กระบองออกจากหู กวัดแกว่งกระบองก็ใหญ่ออกเป็นกระบองเหล็ก ทำท่าขยับจะเข้าทำร้ายพระถังซัมจั๋ง ๆ เห็นดังนั้น จึงภาวนาอีกสองสามรอบเห้งเจียก็ปวดศรีษะเป็นกำลังล้มคว่ำลงกับที่พื้นดิน ปล่อยกระบองทันทีร้อง เรียกพระอาจารย์ว่าหยุดเถิดอย่าภาวนาเลยข้าพเจ้ากลัวแล้ว พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น จึงถามว่าทำไมจึงมีใจประมาทเราอย่างนี้
 เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้า ไม่ประมาทท่านต่อไปแล้ว ๆ เห้งเจียจึงถามพระอาจารย์ว่า มีผู้ใดมาบอกคาถาบทนี้ให้แก่ท่าน พระถังซัมจั๋งบอกว่ามียายเฒ่าเดินมาทางนี้สอนคาถาให้เรา เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็โกรธยิ่งนัก จึงพูดว่า ยายเฒ่านี้ข้าพเจ้ารู้ได้แน่แล้ว คือพระกวนอิมนั้นเองทำไมจึงคิดให้ฆ่าข้าพเจ้าอย่างนี้ เล่า ข้าพเจ้าจะไปน่ำไฮ้จะตีพระกวนอิมให้รู้ฝีมือ เสียบ้าง พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าพระกวนอิมเธอสอนคาถานี้ให้เรา เธอก็ย่อมรู้คาถาบทนี้แล้ว ถ้าเจ้าไปคิดตีเธอ ๆ ก็จะ ภาวนาพระคาถานี้ขึ้น ตัวเจ้าจะมิถึงแก่ความตายหรือ
 เห้งเจียได้ฟังพระอาจารย์พูดถูกต้องดังนั้น ก็ไม่อาจที่จะ คิดร้ายพระกวนอิมอีกต่อไป แล้วตรึกตรองดูเห็นความจริงตามคำของอาจารย์ จึงคุกเข่าลงสารภาพนมัสการพระ อาจารย์แล้วพูดว่า ขอพระอาจารย์ได้โปรดเถิด ท่านจะสั่งสอนข้าพเจ้าอย่างไรข้าพเจ้ามิได้คิดจะกลับกลายอีก ต่อไปแล้ว ขอปฏิบัติรักษาท่านไปกว่าจะถึงเมืองไซที แลจะขอยอมตายไม่คิดสองใจเหมือนแต่ก่อนแล้ว พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียมีใจอ่อนลงแล้วจึงพูดว่า ถ้าดังนั้นท่านจงจัดแจงเถิดเราจะไป
 เห้งเจียก็ลุกขึ้นแล้วไปเอาเบาะอานมาผูกม้าเสร็จแล้ว จึงนิมนต์พระอาจารย์ให้ขึ้นม้าแล้ว ก็ยกหาบใส่บ่าพร้อมกับอาจารย์ออกเดินหมายทิศปราจิณตรงไป

ไม่มีความคิดเห็น: