Translate

เครื่อรางสัตว์นำโชค ไสยศาสตร์ ค่านิยมของมนุษย์ในสังคมปัจจุบัน

เครื่องราง - ของขลัง  
 

ขอบคุณที่มา: เรื่องราวดีๆ Pattaradhorn Sanpinit มหาวิทยาลัยมหิดล URL. ดาวน์โหลด
Good Luck Animal Amulets in Thai Magazines : Contemporary Thai Social Values
   จากการเก็บข้อมูลในนิตยสารไทยพบว่า นิตยสารกลุ่มความเชื่อไสยศาสตร์มีการโฆษณาเครื่องราง หลายชนิด โดยมีการนำเสนอเครื่องรางเพื่อการบันดาลโชคเป็นสำคัญพบว่า มีเครื่องรางสัตว์จำนวน 18 อย่าง
   ปรากฏในนิตยสารไทย มีสัตว์จำนวน 15 จำพวก ได้แก่ เสือ งู วัว ควาย ม้า แพะ เต่า ไก่ แมว จิ้งจก นก แมงมุม แมลงปอ ตัวต่อ และปลา โดยผู้วิจัยจะแบ่งตามชนิดของสัตว์ซึ่งมีความแตกต่างทางกายภาพ
    ทั้งนี้ ผู้วิจัยจะระบุชื่อของเครื่องรางสัตว์ตามที่ปรากฏในนิตยสารไทย ดังแผนภาพที่ 1 ต่อไปนี้
 • พญาเสือนอนกิน • วัวธนูทองแดงปราบสิ่งชั่วร้าย
• พยัคฆ์ทักษิณ ชินวัชระธาตุ
• ควายมรกตแชวู้กันคุณไสย
• แพะเขาควายเผือกเมตตามหานิยม
• ม้าเสพนางมหาเสน่ห์ • แมวมหาลาภ
• นกสาลิกาคู่• พญาไก่ 9 (ลักซ์ซัวรี่) เงินล้าน
• พญาต่อเงินต่อทอง• แมลงปอล่อทรัพย์
• แมลงปอเรียกทรัพย์ เรียกลาภ  สัตว์บก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ปีก / สัตว์ตระกูลแมลง เรียกเงินทอง
• แมงมุมดักทรัพย์ สัตว์น้ำ
• เดือยงูเหลือม โภคทรัพย์และเสี่ยงโชค
• จิ้งจกนำโชค• จิ้งจกมหาเสน่ห์
• เต่ามังกรใหญ่เสริมฮวงจุ้ย
• มัจฉาเทวาปลากัดนักสู้ สุดยอดมนต์ตรามหาเสน่ห์
แผนภาพที่ 1 การจัดหมวดหมู่เครื่องรางรูปสัตว์ที่ปรากฏในนิตยสารไทย
👈
วัฒนธรรม -
รูปแบบของกิจกรรมมนุษย์

👌👳
ศาสนาและศิลปะการแสดง
ออกคือส่วนประกอบสำคัญ
ของวัฒนธรรมมนุษยชาติ
💁
งานฉลองและพิธีกรรมคือ

ส่วนประกอบสำคัญของ

วัฒนธรรมชาวบ้าน
👇
    ผู้วิจัยพบว่าเครื่องรางสัตว์ที่ปรากฏในนิตยสารไทย แบ่งประเภทของวัตถุมงคล โดยกว้างได้ 2 ประเภทใหญ่ 
ได้แก่

1. เครื่องรางสัตว์จากธรรมชาติ หมายถึง เครื่องรางท่ีนำมาจากสัตว์โดยตรง ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ในตัวโดยไม่ต้องปลุกเสก เช่น เป็นซากสัตว์หรือชิ้นส่วนของสัตว์ ได้แก่ พญาเสือนอนกิน (หนังเสือสางโคร่ง) แพะเขาควายเผือก (แกะจากเขาควายที่ถูกฟ้าผ่าตาย) และเดือยงูเหลือม 
    2. เครื่องรางสัตว์ที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ โดยพระเกจิอาจารย์หรือผู้รู้ที่ใช้มวลสารศักด์สิทธิ์มาผสม หรือหล่อหลอม บางประเภทเป็นผ้ายันต์ที่ผ่านการปลุกเสกตามตำรา 
     เช่น อธิษฐานจิต ปลุกเสกด้วยการ ประจุมนต์วิชาด้วยพลังสมาธิจิตของพระเกจิอาจารย์หรือบุคคลผู้มีวิชาการปลุกเสกเครื่องราง ได้แก่ วัวธนู ทองแดง พยัคฆ์ทักษิณ ชินวัชระธาตุ ควายมรกตแชวู้ ม้าเสพนาง แมวมหาลาภ จิ้งจกมหาเสน่ห์ จิ้งจกนำโชค เต่ามังกรใหญ่ นกสาลิกาคู่ พญาไก่ 9 พญาต่อเงินต่อทอง แมลงปอล่อทรัพย์ แมลงปอเรียกทรัพย์ เรียกลาภ เรียกเงินทอง และแมงมุมดักทรัพย์ 
  อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยพบว่าส่วนใหญ่เป็นเครื่องรางที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ซึ่งมิใช่มาจากซากสัตว์ เนื่องจากสามารถจัดสร้างได้เองอย่างไม่จำกัด โดยไม่จำเป็นต้องแสวงหาเอง 
    ตามธรรมชาติ ซึ่งหาได้ยาก และมีอยู่อย่างจำกัด และอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บูชาในปัจจุบัน 
    จากแผนภาพที่ 1 ชี้ให้เห็นว่าเครื่องรางรูปสัตว์ที่ปรากฏในนิตยสารไทยมีหลากหลายรูปแบบ จากการ สำรวจและเก็บข้อมูลระยะเวลา 4 เดือนพบว่า มีการประชาสัมพันธ์เครื่องรางสัตว์ควบคู่กับเครื่องราง ประเภทอื่นด้วย ซึ่งเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บูชาตามความเชื่อถือส่วนบุคคล 
   อย่างไรก็ตามเครื่องรางสัตว์มีอยู่ หลากหลายชนิด ซึ่งมีการตั้งชื่อกำกับเอาไว้พร้อมกับการบรรยายคุณสมบัติเด่นต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจน เครื่องรางบางกลุ่มเลือกนำลักษณะเด่นของรูปลักษณ์และความสามารถของสัตว์ชนิดนั้น
   เพื่อยกมาเป็น จุดเด่นของเครื่องรางดังกล่าวอันสะท้อนให้เห็นคุณสมบัติด้านการบันดาลพรตามความปรารถนาของกลุ่ม บุคคลในสังคม ผู้วิจัยสามารถจำแนกโดยเรียงจากจำนวนเครื่องรางสัตว์ที่พบในนิตยสาร ดังนี้
    1) ด้านการนำโชคลาภและทรัพย์สินมาให้ผู้บูชา พบมากที่สุดจำนวน 9 อย่าง ได้แก่ เครื่องราง แมวมหาลาภ พญาไก่ 9 (ลักซ์ชัวรี่) เงินล้าน พญาต่อเงินต่อทอง แมลงปอล่อทรัพย์ แมลงปอเรียกทรัพย์ เรียกลาภ เรียกเงินทอง เดือยงูเหลือม จิ้งจกนำโชค จิ้งจกมหาเสน่ห์ และแมงมุมดักทรัพย์ 
    2) ด้านการนำพาความเมตตาและเสน่ห์แก่ผู้บูชา พบพนวน 4 อย่าง ได้แก่ ม้าเสพนาง แพะ เขาควายเผือก นกสาลิกาคู่ และมัจฉาเทวาปลากัด 
    3) ด้านการบันดาลให้มีอำนาจวาสนาและชื่อเสียงแก่ผู้บูชา พบจำนวน 3 อย่าง ได้แก่ เครื่องราง พญาเสือนอนกิน พยัคฆ์ทักษิณ ชินวัชระธาตุ และเต่ามังกรใหญ่เสริมฮวงจุ้ย 
    4) ด้านการป้องกันให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตราย และทำให้อยู่ยงคงกระพัน พบจำนวน 2 อย่าง ได้แก่ วัวธนูทองแดง และควายมรกตแชวู้ 
    จะเห็นได้ว่าปัจจุบันคนไทยยังคงเชื่อถือเครื่องรางและพึ่งพาความศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องราง ซึ่งเน้น เครื่องรางประเภทการบันดาลโชคลาภและความร่ำรวยที่ส่งผลให้ตนเองมีชีวิตความเป็นที่ดียิ่งขึ้น สะท้อน ความต้องการ
   ในการมีทรัพย์สินมาก โดยพึ่งพาเครื่องรางเพื่อพยุงจิตใจตนเองให้มีความหวัง ซึ่งสอดคล้อง กับสภาพสังคมที่นิยมการเสี่ยงโชคและการพนันจากหวยชนิดต่าง ๆ ในสังคมปัจจุบัน
มนุษย์จะถูกกดดันให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์โดยเฉพาะ และแสดงพฤติกรรมบางอย่างโดยจะจัดว่ายอมรับได้หรือยอมรับไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับสังคมหรือวัฒนธรรมนั้น พฤติกรรมทางสังคม (อังกฤษsocial behavior) หมายถึงการกระทำต่อผู้อื่น โดยได้อิทธิพลสำคัญจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงจริยธรรม จริยธรรมสัมพันธภาพระหว่างบุคคล การเมืองและความขัดแย้ง พฤติกรรมบางอย่างเป็นปกติ แต่บางอย่างก็ไม่ปกติ พฤติกรรมหนึ่ง ๆ 
   ยอมรับได้หรือไม่จะขึ้นอยู่กับบรรทัดฐานทางสังคมซึ่งบังคับใช้ด้วยวิธีต่าง ๆ บรรทัดฐานทางสังคม (social norm) ยังกำหนดพฤติกรรมด้วย
Description
ผลการวิเคราะห์
  ในหัวข้อนี้ผู้วิจัยจะกล่าวถึงผลการวิเคราะห์คุณสมบัติของเครื่องรางสัตว์ที่จำแนกไว้แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่
  ด้านการนำโชคลาภและทรัพย์สินมาให้ผู้บูชา ด้านการนำพาความเมตตาและเสน่ห์แก่ผู้บูชา ด้านการบันดาลให้มีอำนาจวาสนาและชื่อเสียงแก่ผู้บูชา และด้านการป้องกันให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจาก อันตรายและทำให้อยู่ยงคงกระพัน
  ทั้งนี้ผู้วิจัยจะวิเคราะห์ผ่านการตั้งชื่อและคุณสมบัติเครื่องรางที่เกี่ยวข้อง กับสัตว์ซึ่งเข้ามาเสริมให้ความหมายในทางบวก และการใช้ถ้อยคำเน้นย้ำพิเศษบ่งชี้ความปรารถนาของ ผู้บูชาเครื่องราง ซึ่งสะท้อนถึงการสนับสนุนให้เกิดค่านิยมต่าง ๆ ในสังคมปัจจุบัน
 โดยเรียงลำดับจากที่พบมากที่สุด ไปจนถึงน้อยที่สุด จากการสะท้อนผ่านชื่อ และการบรรยายคุณสมบัติเครื่องราง ทั้งนี้ ผู้วิจัยจะพิจารณาจาก 2 องค์ประกอบ ได้แก่
    (1) การตั้งชื่อเครื่องรางในทางบวก 
 (2) ถ้อยคำเน้นย้ำพิเศษที่บ่งชี้แสดงความปรารถนาของผู้บูชาเครื่องราง อันสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้บูชา ในสังคมไทยปัจจุบัน ดังนี้
  1. ค่านิยมเกี่ยวกับอาชีพการงานที่เบาสบายรายได้ดีและมั่นคง พบว่า มีเครื่องรางสัตว์ที่เป็น ตัวช่วยในการประกอบอาชีพด้านการค้าขายและการประกอบธุรกิจการงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างดี มีรายได้มากและมีความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
ที่มา รูปภาพ : 8%B0 > หนึ่งในวิชาเอก ของท่านอาจารย์แขก รือเสาะ “สุดยอด” เครื่องรางเรียกทรัพย์ เนื้อนวะมหาชนวน
 • แมลงปอล่อทรัพย์และแมลงปอเรียกทรัพย์ เรียกลาภ เรียกเงินทอง เป็นเครื่องรางรูปแมลงปอ ที่ใช้เป็นของขลังสำหรับการค้าขาย หากบูชาไว้ติดร้านค้าจะทำให้มีลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ถ้อยคำที่ปรากฏ
 เช่น คำว่า “ค้าขายร่ำรวยทันใจ” ซึ่งปรากฏคำเน้นย้ำพิเศษที่เกินจริง นอกจากนี้ยังพบว่ามีการสัมภาษณ์ ประสบการณ์ของแม่ค้าท่านหนึ่งที่เปิดเผยผลที่ได้รับจากบูชาว่าเดิมไม่มีลูกค้าเข้าร้าน แต่ปัจจุบันมีลูกค้า มากขึ้น อันเกิดจากการบูชา
 เครื่องรางแมลงปอ ตามการตั้งชื่อเครื่องราง ซึ่งมีคำสำคัญในชื่อให้ความหมาย ในทางบวกที่เกี่ยวข้องกับการดึงดูดทรัพย์ลูกค้า คือ “ล่อทรัพย์” และ “เรียกทรัพย์เรียกลาภเรียกเงินทอง” ที่มาของแมลงปอเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ถือคติที่ว่าแมลงปออยู่ที่ใด ย่อมมีพืชพรรณ ธัญญาหารบริบูรณ์ จึงมีการนิยมสร้างเครื่องรางแมลงปอขึ้น
 ด้วยไม้ โลหะ ผ้ายันต์ เน้นด้านการค้าขายดี เช่น แมลงปอของหลวงพ่อทอง วัดสำเภาทอง จังหวัดปัตตานี และแมลงปอรุ่นดักทรัพย์ของหลวงพ่อจักร วัดเขารังไก่ จังหวัดชัยนาท (Himalai, 2011)
        ค่านิยมของมนุษย์ที่สะท้อน
ผ่านคุณสมบัติของเครื่องรางสัตว์
   ผลการศึกษาพบว่า เครื่องรางสัตว์จำนวน 18 อย่างที่ปรากฏในนิตยสารไทยนั้น มีคุณลักษณะเด่น ทั้งรูปลักษณ์และความสามารถของสัตว์ชนิดนั้นที่นำมายกเป็นคุณสมบัติด้านการบันดาลและอำนวยพรตาม ความปรารถนาของกลุ่มบุคคลในสังคม จากการวิเคราะห์การตั้งชื่อเครื่องรางสัตว์ที่บ่งชี้ว่าเป็นวัตถุมงคล ที่มีคุณสมบัติ
 สามารถอำนวยประโยชน์แก่ผู้ครอบครองตามลักษณะการใช้งานของเครื่องรางสัตว์นั้น ๆ ดังนั้นทั้งการตั้งชื่อและชนิดของสัตว์จึงมีความสัมพันธ์กันอันเกี่ยวกับความสามารถของสัตว์แต่ละชนิดที่ เป็นคุณและสนองตอบต่อความต้องการของผู้บูชา
 เครื่องรางที่สะท้อนผ่านภาษาเป็นคำเน้นย้ำพิเศษแสดง สิ่งที่ต้องการของผู้บูชาเพื่อจะได้รับสิ่งที่ดีให้ชีวิตของตน ซึ่งสะท้อนให้เห็นความต้องการความมั่นคงใน ชีวิตของมนุษย์โดยเทียบกับกรอบความคิดเรื่องค่านิยมของ
 มนุษย์กลุ่มมนุษย์นิยม มาใช้เป็นแนวทางใน การวิเคราะห์ร่วมด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นค่านิยม 4 ประการ ได้แก่
 (1)         ค่านิยมเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม
(2) ค่านิยมเกี่ยวกับอาชีพการงาน
ที่เบาสบายรายได้ดีและมั่นคง
 (3) ค่านิยมการได้ทรัพย์สินเงินทองมา อย่างง่ายดาย
 (4) ค่านิยมยกย่องอำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ตำแหน่ง
• พญาต่อเงินต่อทอง เป็นเครื่องรางเสริมควาทร่ำรวยในการค้าขาย จากการตั้งชื่อเน้นคำว่า “ต่อ” มิใช่เป็นเพียงชื่อของสัตว์เพียงอย่างเดียว แต่คำดังกล่าวมีความหมายในทางบวกหมายถึง เพิ่มให้ยาวหรือ ขยายออกไป (Office of the Royal Social, 2011)
 ดังนั้นชื่อของแมลงชนิดนี้จึงถือว่าเป็นความหมายใน เชิงบวกหมายถึง การเพิ่มให้เงินและทองมีมากขึ้นซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บูชาหวังจะมีรายได้เพิ่มต่อเนื่องพบว่า มีถ้อยคำเน้นย้ำปริมาณคือ “ค้าขายคล่องดีมีกำไร” และ “ช่วยเรียกคน เรียกทรัพย์ไม่ขาดสาย”
ที่มารูปภาพ: แผ่นทอง แมงมุมดักทรัพย์ หมวดหมู่ แผ่นทองมหามงคล คาถา สุวัณนะระชะตัง มะหาสุวัณนะ ระชะตัง อังคะตะเศรษฐี มะหาอังคะตะ เศรษฐี มิคะตะเศรษฐี มะหามิคะตะ เศรษฐี ปุริเศษสาวา อิตถีวา พราหมณ์ มะณีวา มะอะอุ มานิมามา
 • แมงมุมดักทรัพย์ เป็นเครื่องรางที่มีรูปลักษณ์เป็นแมงมุมสีดำขนาดใหญ่บนล็อกเกต ลงรัก ปิดทองไว้พร้อมกับพลอยประดับ มีคุณสมบัติในการช่วยเสริมการค้าขายและโชคลาภแก่ผู้ประกอบการ ร้านค้า ซึ่งแมงมุมเป็นสัตว์ท่ีมีลักษณะพิเศษ คนโบราณรู้จักสังเกตว่าแมงมุมไม่ต้องออกไปหากินที่ไหน ก็มีเหยื่อมาให้กินถึงที่ เสมือนเงินหรือลูกค้าที่เข้ามาหาเอง จากการตั้งชื่อเครื่องรางก็เน้น
คำว่า “ดัก” ซึ่งตาม พฤติกรรมของแมงมุมมักจะพ่นใยออกมาดักแมลงไว้เป็นอาหาร จึงนำคำดังกล่าวมาใช้ในการสื่อความใหม่ว่า “ดักทรัพย์” เป็นความหมายในเชิงบวกหมายถึง การดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้าน ทำให้มีรายได้ดี และเพิ่มพูน เงินทองอย่างต่อเนื่อง ดังถ้อยคำที่เน้นย้ำปริมาณ “ดักทรัพย์ทุกทิศทุกทาง” 
ซึ่งสะท้อนให้เห็นค่านิยมของ การได้รับทรัพย์สินเงินทองอย่างต่อเนื่องและเน้นปริมาณมาก
• จิ้งจกนำโชค เป็นเครื่องรางช่วยเสริมให้กิจการค้าขายต่าง ๆ มีรายได้ดี และนำไปสู่ความโชคดี ในการประกอบกิจการงานต่าง ๆ เช่น ได้รับโอกาสการต่อยอดทางการค้าขาย ไม่ได้รับผลกระทบทาง เศรษฐกิจใด ๆ แต่กลับมีรายได้ที่ดียิ่งขึ้น เป็นต้น 
 ด้วยลักษณะพิเศษของจิ้งจกที่เป็นสัตว์หากินในที่สูง มักส่งเสียงร้องทักและมีเสียงเป็นจุดเด่น นอกจากนี้จิ้งจกยังสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ และมีขา ทั้งสี่ที่เกาะติดผนังได้เป็นอย่างดี คนไทยยังพบซากของจิ้งจกสองหางและนำมาตีความเป็นตัวเลขเสี่ยงโชค
 ตลอดจนการนำมาบูชาจนได้รับผลสำเร็จ จึงเกิดเป็นคติที่ว่าจิ้งจกถือเป็นสัตว์นำโชคชนิดหนึ่งซึ่งมีความดีเด่น ทางด้านโชคลาภและการดึงดูดทรัพย์สินพบว่ามีถ้อยคำที่เน้นย้ำปริมาณ คือ “ขายของดีมาก” และ “ลูกค้า เข้าร้านตลอดทั้งวัน”
นอกจากนี้ยังพบว่ามีการสัมภาษณ์ประสบการณ์ของแม่ค้าท่านหนึ่งที่เปิดเผยใน นิตยสารว่าผลที่ได้รับหลังจากการบูชา ซึ่งเดิมในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา จำเป็นต้องปิดกิจการลง
 แต่ภายหลังที่บูชาจิ้งจกนำโชคมาก็ทำให้กิจการร้านค้าดีขึ้น มีรายได้ดี และมีลูกค้าเข้าร้านมากขึ้นซึ่งแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
   2. ค่านิยมการได้ทรัพย์สินเงินทองมาอย่างง่ายดาย พบว่า มีเครื่องรางสัตว์ที่มักได้รับการเน้นย้ำ ตั้งแต่การตั้งชื่อและการบรรยายคุณสมบัติ การบันดาลพรด้านโชคลาภและการได้รับทรัพย์สินเงินทอง อย่างง่ายดาย 
 โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงหรือประกอบอาชีพเพื่อทำให้ได้รับความร่ำรวยอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงมี ความเกี่ยวข้องกับการพนันเพื่อการเสี่ยงโชคด้วย ดังนี้
ที่มารูปภาพ :ตะกรุดรกแมวมหาลาภ เนื้อกะไหล่ทอง เมตตามหานิยม เสน่ห์ โภคทรัพย์ ค้าขาย โชคลาภ ผงว่านมงคล ๑๐๘ , ผงแร่กายสิทธิ์ , มวลสารน้องแมว(รกแมว)
• แมวมหาลาภ เป็นเครื่องรางรูปสัตว์ที่อำนวยพรให้เกิดโชคลาภมหาศาล ซึ่งตอบสนองต่อ กลุ่มบุคคลในสังคมการเสี่ยงโชคและผู้ประกอบอาชีพที่จำเป็นต้องอาศัยตัวช่วยดึงดูดทรัพย์ให้เข้ามาตลอด โดยปรากฎคำเน้นย้ำพิเศษต่อการบันดาลพรของเครื่องราง
  ได้แก่ ถ้อยคำที่บ่งชี้ความปรารถนา เช่น คำว่า “บันดาลโชคลาภความเจริญรุ่งเรือง”และ“ดวงดีมีแต่เจริญ”เป็นตัวบ่งชี้ที่แสดงความปรารถนาหรือสิ่งที่ต้องการของบุคคลได้อย่างชัดเจน คติของการนำแมวเข้ามาเป็นสัตว์นำโชคแก่มนุษย์กลายมาเป็นเครื่องราง ชนิดหนึ่ง 
 จากการศึกษาพบว่ามนุษย์มีความเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์มงคลและเกี่ยวข้องกับการนำโชคลาภให้แก่ มนุษย์ตามความเชื่อเดิมของชาวญี่ปุ่น Yablon (2008) กล่าวว่า แมวมีที่มาจากตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่นว่า แมวเคยเป็นสัตว์ที่ช่วยให้คนรอดชีวิตได้และหลังพ้นเคราะห์ร้ายก็นำพาโชคลาภมาให้ 
 จึงเป็นที่มาของ ความเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์นำโชคและกลายเป็นสัญลักษณ์กวักเงินกวักทองที่ได้รับความนิยมในเอเชีย อาจมา จากความน่าเอ็นดูและแมวก็เป็นสัตว์ที่มีความใกล้ชิดกับมนุษย์ที่สุด จึงทำให้เกิดความรู้สึกเชิงบวกต่อจิตใจ
ของมนุษย์ด้วย นอกจากนี้แมวยังเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์อายุยืนที่เรียกขานกันว่า “แมวเก้าชีวิต” ซึ่งตรง กับถ้อยคำที่ปรากฏในนิตยสารว่าเครื่องรางมีคุณสมบัติทำให้เป็นคนดวงดี สอดคล้องกับคติแมวเก้าชีวิต กล่าวคือ ไม่ว่าจะอยู่สถานการณ์ลำเข็ญเพียงใดก็ยังสามารถพลิกกลับมามีฐานะที่ดีได้ในที่สุด
 • พญาไก่ 9 (ลักซ์ชัวรี่) เงินล้าน จากชื่อเครื่องรางพบว่า มีการตั้งชื่อใหม่โดยการใช้ตัวเลขเก้า ซึ่งตรงตามคุณลักษณะของพญาไก่ที่มีความมงคล 9 ประการ และยังเป็นเลขมงคลตามความเชื่อถือของ คนไทยหมายถึง ความก้าวหน้า 
 นอกจากนี้ยังมีคำต่อท้ายว่าลักซ์ซัวรี่ หมายถึง ความหรูหราสะดวกสบาย (Sethaputra, 2008) และมีคำเน้นย้ำพิเศษตามมาว่า “เงินล้าน” ซึ่งปรากฏควบคู่ด้วยเพื่อบ่งชี้ถึง ความมั่งคั่งร่ำรวยรวยแสดงความปรารถนาของผู้บูชา และยังปรากฏคำเน้นย้ำปริมาณและเกินจริง ได้แก่ “เรียกทรัพย์ทวีสิน” “เงินทองบินมาหา” “โชคลาภกระโจนใส่” “ทำอะไรก็รวย” เป็นการเน้นย้ำที่ปรากฏ ในนิตยสาร สะท้อนสิ่งที่ต้องการของผู้บูชาว่าหวังจะได้รับโชคลาภและ ทรัพย์สินเงินทองอย่างง่ายดายในชีวิต หรือแนวทางลัดไปสู่ความร่ำรวย จากการที่นำเอาไก่มาเป็นเครื่องรางนำโชค ซึ่งมีการสรรหาคุณลักษณะของ ไก่ที่เป็นนางพญา 
 โดยมีการอ้างอิงตำราของผู้ปลุกเสก คือ ตำราของหลวงปู่ครูบาวิ ที่จัดสร้างและปลุกเสก พญาไก่ 9 มงคล 4 เกล็ดตามตำรา ได้แก่ หน้าหงอนบาง กลางหงอนสูง สร้อยระย้า หน้านกยูง อกชัน หวั้นชิด หงอนบิด ปากร่อง พัดเจ็ด ปีกสิบเอ็ด เกล็ดยี่สิบสอง เกล็ดเสือซ่อนเล็บ เหน็บชั้นใน ไชบาดาล และเกล็ดผลาญศัตรู 86 กระแสวัฒนธรรม
 • เดือยงูเหลือมโภคทรัพย์และเสี่ยงโชค เป็นเครื่องรางที่มีมาช้านานตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ เชื่อว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวโดยไม่ต้องปลุกเสก ด้วยลักษณะพิเศษของเดือยงูสามารถ ใช้ยึดเกาะกับต้นไม้ และช่วยในการจับเหยื่อกินเป็นอาหารโดยที่งูเหลือมไม่ต้องเลื้อยออกไปหากินเอง จึงเกิดคติความเชื่อมาทำเป็นเครื่องรางที่มีคุณสมบัติ
ในการดักทรัพย์และโชคลาภเหมือนกับที่ใช้ดักสัตว์ ที่หลงเข้ามาเหมือนต้องมนต์สะกด
 ผู้วิจัยพบ ว่ากลุ่มการเสี่ยงโชคผ่านตัวเลข มีเครื่องรางเดือย งูเหลือมที่เน้นย้ำพิเศษ พระเกจิอาจารย์มีการนำเดือยงูเหลือมมาปลุกเสกเพิ่มด้วยการท่องคาถามนต์ เรียกทรัพย์ เพื่อให้มีคุณสมบัติบันดาลโชคลาภและเงินทองอันเกิดจากการเสี่ยงโชคต่าง ๆ 
ให้ได้มาโดย ง่าย เช่น การเสี่ยงดวงหรือการเสี่ยงทายที่จำเป็นต้องอาศัยโชคจึงจะได้ทรัพย์มา นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติ ในด้านการนำโชคมาสู่กิจการงานด้านการค้าขายที่ดีด้วย ดังถ้อยคำที่ปรากฏเน้นย้ำปริมาณและเกินจริง  คือ “โชคลาภเข้าหาตัว” และ “เงินทองกองตรงหน้า” 
• พญาเสือนอนกินและพยัคฆ์ทักษิณ ชินวัชระธาตุ เป็นเครื่องรางรูปเสือที่มีคุณสมบัติทำให้ บุคคลมีอำนาจมากและได้รับประโยชน์จากอำนาจนั้นเป็นผลตอบแทนที่มหาศาล โดยตั้งชื่อตามสำนวนไทย ว่า “เสือนอนกิน” 
 หมายถึง คนที่ได้รับผลประโยชน์หรือผลกำไรโดยไม่ต้องลงทุนลงแรง ดังถ้อยคำที่ปรากฏ ในนิตยสารเป็นนิยามของเครื่องรางนี้ว่า “เสือมันมีแต่อำนาจ เสือข้ามันเป็นเสือนอนกิน” สะท้อนให้เห็น ค่านิยมได้รับทรัพย์สินเงินทองอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องลงทุนลงแรง ในที่นี้การตั้งชื่อทำให้มีความหมายบวก และบ่งชี้ถึงความสบายเป็นหลัก 
      นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอื่นที่จะกล่าวต่อไป 
   3. ค่านิยมเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม พบว่า มีเครื่องรางที่เป็นตัวเสริมในด้านเมตตามหานิยม หรือการเพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้บูชา ซึ่งหมายความว่าผู้บูชามีความปรารถนาให้ตัวเองเป็นที่รักของบุคคลอื่น เพิ่มความมั่นใจให้ตนเองในการดำเนินชีวิตมากยิ่งขึ้น
 ดังนั้นเครื่องรางจพนวนหนึ่งมีส่วนช่วยในเรื่องดังกล่าว ซึ่งเน้นการดึงดูดเพศตรงข้าม การปกป้องผู้ครอบครองให้ปลอดภัยและมีอายุยืนยาว
ที่มารูปภาพ : ม้าเสพนางคือ ?? ประวัติเครื่องรางม้าเสพนาง พระเครื่องยอดนิยม วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ โชคลาภ ค้าขาย ความรัก
• ม้าเสพนางมหาเสน่ห์ เป็นเครื่องรางประเภทผ้ายันต์รูปม้าและผู้หญิงในลักษณะท่าทางที่กำลัง มีเพศสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งมีนิทานเล่าขานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของหญิงสาวกับม้าหนุ่มที่เกี่ยวข้องในเชิง ความรักใคร่ บิดาของหญิงสาวล่วงรู้จึงฆ่าม้าหนุ่มตาย ทำให้หญิงสาวเสียใจและกลั้นใจตายตาม
ที่มารูปภาพ  ผ้ายันต์ม้าเสพนางครูบาวังพรหมเสโนวัดบ้านเด่นจ.ตาก ผื้นนี้เป็นผ้ายันต์เขียนมือยุคต้น ลายมือครูบาวังลงสีเองหาได้สวยเดิมเจ้าของคงลืมไว้ดีมาก
 ซึ่งผ้ายันต์ รูปม้าเสพนางดังกล่าวมีที่มาจากประเทศพม่า ซึ่งรับความเชื่อเข้ามาในสมัยอาณาจักรล้านนาของไทย มีคติ ความเชื่อจากการเปรียบบุรุษเป็นดังม้าที่มีความแข็งแกร่งและสง่างาม (Himalai, 2011)  ดังนั้นเครื่องราง ดังกล่าวจึงเป็นตัวเสริมให้เกิดพลังทางเพศที่ดึงดูดให้เกิดความรักใคร่อันเกิดจากความมีเสน่ห์ของบุคคล 
กระแสวัฒนธรรม 87 ที่ดึงดูดเพศตรงข้ามโดยเฉพาะเพศชาย ดังที่มีถ้อยคำปรากฏว่า “ชายใดหากไปหาหญิงสาว แล้วมีม้าเสพนาง ติดตัวไปด้วย ไม่เกิน 3 ราตรีจะได้หญิงสาวมาเป็นเมีย” ซึ่งสะท้อนให้เห็นเรื่องค่านิยมความพอใจในการ มีเสน่ห์ดึงดูดผู้อื่น

• มัจฉาเทวาปลากัด เป็นเครื่องรางที่เน้นเรื่องความสวยงามของรูปลักษณ์และสีสันของปลากัด ดังถ้อยคำที่ระบุในนิตยสารว่า “มีเสน่ห์มีสีสันในตัวเอง” ซึ่งชวนให้หลงใหลและน่ามอง อุปมาดังหญิงสาว ที่มีความสง่างาม ดังน้ันเครื่องรางดังกล่าวจะเป็นตัวเสริมให้สตรีมีเสน่ห์และเกิดเมตตามหานิยม
กล่าวคือ ได้รับความสำเร็จจากการเจรจาและติดต่อค้าขายต่าง ๆ อันนำพาให้ได้รับโชค นอกจากนี้ยังกล่าวถึงอุปนิสัย ของปลากัดว่าเป็นดัง “นักสู้” ซึ่งยกมาเป็นคุณสมบัติหนึ่งแสดงลักษณะนิสัยของบุคคลที่ไม่ยอมแพ้ต่อ ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ อันเป็นผลดีต่อการสร้างเสริมความมั่นใจให้กับผู้บูชามีความกล้าหาญและบากบั่น ดังถ้อยคำที่ปรากฏ คือ “สู้ไม่ถอย” “สู้จนตาย” “จิตวิญญาณแห่งนักสู้” และ “มหาเสน่ห์” ซึ่งบ่งบอก ค่านิยมบุคคลว่าความแข็งแกร่งทำให้สง่างาม
ที่มารูปภาพ : เต่าหัวมังกร สัตว์เทพมหามงคลเรียกทรัพย์เสริมดวง,แก้ฮวงจุ้ย,ป้องกันภัย 
• เต่ามังกรใหญ่ เป็นเครื่องรางสัตว์สวรรค์ท่ีมีรูปลักษณ์แตกต่างไปจากสัตว์อื่น เพราะเป็นสัตว์ผสม ระหว่างเต่ากับมังกร มีรูปลักษณะลำตัวเป็นเต่า แต่มีหัวและหางอย่างมังกร มีขนาดใหญ่และสง่างาม เต่ามังกรใหญ่เป็นสัตว์ในตำนานของเขาไท่ซานของจีน อาศัยบนภูเขาไฟ มีความสามารถพิเศษด้านทวาร การรับรู้ทั้ง 5 และทนทานต่อความร้อนมหาศาลได้ ในนิตยสาร
กล่าวถึงเครื่องรางชนิดนี้ในคอลัมน์คัมภีร์ วิชาสายเต๋าเหมาซาน โดยอ้างอิงศาสตร์หลักวิชาตามหลักของเหมาซานที่ปลุกเสกเครื่องรางดังกล่าวขึ้น ต้องผ่านการคำนวณรหัสดวงดาวบนหลังเต่าซึ่งสองร้อยปีจะมีครั้งเดียว
รูปภาพจาก : 
[ Wikipedia เหมาซาน ] -ภูเขาในมณฑลเจียงซูประเทศจีน

 ดังน้ันเครื่องรางนี้จะนำพาอำนาจ วาสนามาสู่ผู้บูชา ดังถ้อยคำที่ปรากฏเน้นย้ำความพิเศษด้านปริมาณ ได้แก่ “เพิ่มอำนาจ” “เพิ่มวาสนา” “เพิ่มบารมีให้เราถึงที่สุด” และ “เพิ่มลูกน้องให้ความซื่อสัตย์ต่อเรา” จะเห็นได้ว่า เครื่องรางนี้ชูคุณสมบัติเด่น 88 กระแสวัฒนธรรม ด้านอำนาจเพื่อให้บุคคลมีความยิ่งใหญ่และสง่างามอุปมาดังพญาเต่าและมังกร ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีรูปลักษณ์ สวยงามและถือว่าเป็นสัตว์มงคลตามความเชื่อของชาวจีน เต่าเป็นสัญลักษณ์มงคลหมายถึงความมีอายุยืน (อายุวัฒนะ) และความแข็งแกร่ง ส่วนมังกรเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจของหยาง (Britannica, 2021)
 เมื่อมาคู่กันก็หมายถึงความมีอำนาจและความยิ่งใหญ่ ค่านิยมทั้ง 4 ประการที่กล่าวมานี้ ส่วนใหญ่เป็นความปรารถนาความสุขในทางโลก ซึ่งสะท้อน ให้เห็นความต้องการและค่านิยมของมนุษย์ในสังคมปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับการแสวงหาความสุขทาง โลกมากกว่าความสุขทางธรรม และยังสะท้อนให้เห็นว่าโลกปัจจุบัน มนุษย์พยายามจะแสวงหาสิ่งเหล่านี้ อยู่ตลอดเวลา โดยมีเครื่องรางเป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งที่จะทำให้มีความหวังว่าจะได้รับพรตามความปรารถนา ของตนอันได้แก่ ความต้องการด้านความสะดวกสบาย ความมั่นคงในชีวิต และการเป็นที่ยอมรับในสังคม

~~ ผีการเลี้ยงดู ~
บทที่ 1 บทนำ
บทที่ 2 ที่มาและคำจำกัดความของไสยศาสตร์
2.1 แหล่งกำเนิด
2.2 คำจำกัดความ
2.3 ความแตกต่างระหว่างไสยศาสตร์กับศาสนา
บทที่ 3 ประเภทของไสยศาสตร์
3.1 พิธีกรรมและท่าทางที่ได้มาจากประเพณีและประเพณี 
3.2 ข้อห้าม
3.3 ลางบอกเหตุ (ลางร้ายและลางดี) 3.4 ปรากฏการณ์อาถรรพณ์
บทที่ 4 อิทธิพลของไสยศาสตร์ต่อสังคม
บทที่ 5 วิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์
บทที่ 6 บทสรุป
บทที่ 1 บทนำ
   ไสยศาสตร์มักมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี และโดยทั่วไปมักกล่าวกันว่าเป็นความรู้หรือความเชื่อพื้นบ้านที่ขัดต่อศีลธรรมและก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตทางสังคมอย่างแท้จริง 
   ตัวอย่างเช่น การดื่มปิโตรเลียมเพื่อรักษาวัณโรคในปอด การใช้ลิ้นจับบาดแผลและเลียเมื่อสังเกตเห็นเลือดไหลออกมาจากบาดแผล หรือการลูบตัวเองด้วยตุ๊กตากระดาษเพื่อขจัดสิ่งสกปรกและทิ้งลงแม่น้ำสามารถช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยและ ภัยพิบัติอื่น ๆ เป็นที่รู้กันว่า นอกจากนี้ยังมีธรรมเนียมในการส่งต่อหวัดไปให้บุคคลอื่นเพื่อรักษาให้หายอีกด้วย
   ฉันเดาว่าวิธีคิดแบบนั้นยังคงมีอยู่ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่ก็มีพลังพิเศษและกลายเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์หรือความเชื่อพื้นบ้านที่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์และประเพณีของชาวญี่ปุ่น อาจมีความเชื่อทางไสยศาสตร์และความเชื่อพื้นบ้านที่ไม่ได้ไร้ความหมายหรือไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
   แต่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมญี่ปุ่นในปัจจุบัน และดำรงอยู่เป็นธรรมเนียมในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น เป็นความเชื่อโชคลางที่รู้จักกันดีว่า ``คุณไม่ควรตัดเล็บตอนกลางคืน'' ในอดีตตอนกลางคืนแทบไม่มีแสงสว่างจึงมืดและมองเห็นได้ยาก
   กลายเป็นล่องหน หากคุณตัดเล็บกลาง คุณจะได้รับบาดเจ็บจากมีด และแบคทีเรียจะเข้าไปในนั้นและทำให้เกิดบาดทะยัก กล่าวกันว่าเป็นความเชื่อโชคลางเพื่อป้องกันสิ่งนี้ นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีที่ว่างานของเขาในฐานะคนเฝ้าประตูปราสาท
   หมายความว่าเขาต้องพักค้างคืน
   คนสมัยใหม่ที่เข้าใจเรื่องไสยศาสตร์ลึกลับที่คนโบราณเชื่อว่าเป็นจริงโดยไม่ต้องสงสัย ค่อยๆ ดูถูกความเชื่อโชคลางว่าไม่มีหลักวิทยาศาสตร์และไร้เหตุผล 
   อย่างไรก็ตาม ด้วยการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เชื้อโรคแห่งไสยศาสตร์ซึ่งมักถูกวิพากษ์วิจารณ์จากปัญญาชนและนักวิทยาศาสตร์มักหายไปตามกาลเวลา
   พวกมันจะเติบโตต่อไปหรือจะแตกหน่อทีละตัว?
   ฉันสนใจว่าคนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในสังคมอารยะสมัยใหม่
คิดอย่างไรเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และจากการค้นคว้าเกี่ยวกับ
ไสยศาสตร์ของญี่ปุ่น 
   ฉันสามารถเข้าใจแก่นแท้ของปรากฏการณ์นี้และผล
กระทบต่อสังคมญี่ปุ่น
   ฉันเริ่มคิดว่ามันจะเป็นไปได้ที่จะเข้าใจ อิทธิพลของ
ญี่ปุ่น วัฒนธรรมโบราณและวัฒนธรรมสมัยใหม่ และวิธีคิดของญี่ปุ่น : 本レポートでは、昔からの言い伝えがどのような意味を含んでいるのか、なぜそのよう なことが言われるようになったのかということや、隠された民俗的な意味、心意伝承を調 査し、考察を加えていくことによって、迷信や俗信をめぐる様々なことを理解し、明らか にしたいと思う。
 ในรายงานนี้ เราจะศึกษาความหมายของตำนานโบราณเหล่านี้ ว่าทำไมจึงถูกกล่าวขาน และความหมายและประเพณีพื้นบ้านที่ซ่อนอยู่ ข้าพเจ้าจึงอยากจะทำความเข้าใจและชี้แจงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์และความเชื่อพื้นบ้านโดยเพิ่มการพิจารณาเข้าไปด้วย .
บทที่ 2 ที่มาและคำจำกัดความของไสยศาสตร์
2.1 แหล่งกำเนิด
`` จิตใจมนุษย์ตกอยู่ภายใต้ความกลัวและความวิตกกังวลบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งบางครั้งเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่โชคร้าย ทั้งส่วนตัวและสาธารณะ จากสุขภาพที่ไม่ดี จากแนวโน้มด้านมืดมนและเศร้าหมอง หรือจากทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากสถานการณ์ทั้งหมด"
   David Hume, Thaumatology, ไสยศาสตร์และทฤษฎีการฆ่าตัวตาย, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโฮเซอิ (1985) หน้า 6
   ในอดีตเมื่ออารยธรรมยังไม่พัฒนาเหมือนทุกวันนี้ ผู้คนที่ไม่สามารถเข้าใจและกลัวปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ลม ฝน ฟ้าร้อง และฟ้าผ่า ต้องการอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้ 
   เทพเจ้าแห่งสายลม ภูเขา และทะเลจึงถูกกล่าวถึงหลายครั้งในเรื่องราวที่เขียนไว้ในโคจิกิและนิฮงจิกิ และเมื่อเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ เทพเจ้าก็จะโกรธและลงโทษมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ 
   เขาจึงเชื่อในการดำรงอยู่ ของพระเจ้า ในปัจจุบัน ด้วยการพัฒนาของสังคม มนุษย์ได้สูญเสียความกลัวว่าจะไม่สามารถเข้าใจปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้
   ความกลัวอื่นๆ เกิดขึ้น เช่น โรคที่รักษาไม่หาย หรือเจอเรื่องเลวร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อโชคลางมักเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้คนที่ยอมจำนนต่อธรรมชาติและทำงานที่ไม่มั่นคงและเป็นอันตราย สาเหตุหนึ่งก็คือ คุณเป็นโรคที่รักษาไม่หาย และไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม มันก็ไม่หาย คุณกลัวตาย 
   ไม่อยากตาย และสิ่งที่คุณทำได้คือรอปาฏิหาริย์และ สวดมนต์ต่อพระเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ เชื่อกันว่าจะทำให้ผู้คนหลงเชื่อไสยศาสตร์ นอกจากนี้ แม้ว่าผู้คนจะใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย พวกเขาก็แสวงหาชีวิตที่ดีขึ้น
   มนุษย์ทุกคนปรารถนาที่จะมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและมีความสุข เมื่อทำอะไรสักอย่าง เช่น ย้าย แต่งงาน ซื้อบ้าน ฝังเถ้าถ่าน เป็นต้น มีบางคนที่ไม่สามารถกำหนดวันและเวลาได้ด้วยตัวเอง และมักปรึกษาหมอดูหรือหมอดูและติดตามสิ่งที่คนนั้นทำ 
   บอกพวกเขา ก่อนแต่งงานผู้คนจะไปดูความเข้ากันได้ผ่านการทำนายดวงชะตา และหากถูกบอกว่าไม่ดีก็อาจจะไม่แต่งงานอีกต่อไปและอาจถึงขั้นเลิกกัน ทั้งในยุคปัจจุบันและสมัยโบราณ มนุษย์อาจมีความวิตกกังวลและความกลัวโดยไม่รู้ตัว เราสร้างความเชื่อโชคลางจากความวิตกกังวลและก่อให้เกิดความวิตกกังวล
- บางคนบอกว่านี่เป็นเพราะว่ามนุษย์มีความสามารถในการบรรเทาความตึงเครียดทางจิตใจและความวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่รู้ เช่น ``ความตาย'' คนอื่นบอกว่าเป็นเพราะพวกเขารู้สึกปลอดภัยหากพวกเขาเชื่อในสิ่งที่คนอื่นเชื่อ
2.2 คำจำกัดความ
   มีมุมมองที่แตกต่างกันมากมายเกี่ยวกับคำจำกัดความของไสยศาสตร์ และขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ยุคสมัย และศาสนาที่บุคคลมีชื่อเสียงอาศัยอยู่
   มีความแตกต่างขึ้นอยู่กับโภชนาการ อย่างไรก็ตาม คำว่า ``ไสยศาสตร์'' มีบางสิ่งที่เหมือนกัน

พจนานุกรมภาษาญี่ปุ่น

ห้คำจำกัดความของไสยศาสตร์ ดังนี้
(1) เชื่ออย่างไม่ถูกต้อง ความเชื่อผิดๆ.
(2) เชื่อในตำนานและวัตถุที่ถือว่าไม่มีเหตุผลจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน
ความเชื่อที่เป็นอันตรายต่อหัวใจมนุษย์
   ไสยศาสตร์คือสิ่งที่ผู้คนเชื่อซึ่งมีพื้นฐานมาจากความไม่รู้หรือความกลัว ขาดพื้นฐานที่เป็นเหตุเป็นผล และเป็นความเชื่อหรือการกระทำที่มีพื้นฐานมาจากความคิดที่ไม่ใช่ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งบั่นทอนคุณลักษณะทางจิตในการทำงาน ซึ่งหมายถึงวิธีคิดที่แสวงหาปรากฏการณ์ที่ไม่ใช่ทางจิต . 
   ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ความเชื่อโชคลางทั้งหมดมีต้นกำเนิดมาจากความกลัวและความปรารถนาของผู้คนซึ่งเกินความสามารถของตน
2.3 ความแตกต่างระหว่างไสยศาสตร์กับศาสนา
   มีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างความเชื่อทางไสยศาสตร์และศาสนาเมื่อเปรียบเทียบต้นกำเนิดและธรรมชาติ
ความเหมือน:
- การเชื่อมโยงสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องและเรียกสิ่งเหล่านั้น
ว่าดีหรือไม่ดี
- มันเกิดจากความจำเป็นในการอธิบายปรากฏการณ์ลึกลับ
- มีพื้นฐานมาจากจิตวิทยาความกลัวของมนุษย์
- จำกัดเฉพาะบางพื้นที่หรือบางกลุ่ม ไสยศาสตร์และ
ศาสนาไม่มีพื้นฐานอยู่นอกขอบเขตของกลุ่ม
ความแตกต่าง:
   ว่ากันว่าเป็นการกระทำโดยไม่รู้เนื่องจากขาดความรู้หรือศรัทธาที่มืดบอด
ไสยศาสตร์ | ศาสนา |   คำนิยาม
  ความเชื่อโชคลางส่วนใหญ่เป็นคติชนตั้งแต่สมัยโบราณซึ่งสืบทอดกันมาจากบุคคลทั่วไป องค์กรที่มีนโยบาย
   เผยแพร่แผนงานและกฎระเบียบที่เข้มงวด
   เปลี่ยน แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย แม้ว่าจะมีก็ช้ามาก
  เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา มันเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยเพื่อตอบสนองความต้องการทางสังคม แรงกดดันทางการเมือง และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
[ ความสัมพันธ์กับสังคม ]
  พวกเขาไม่ต้องกังวลว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อสาธารณะในสื่อ ในสื่อ หรือโดยนักการเมืองถึงการกระทำส่วนตัวของพวกเขา
  มีความจำเป็นต้องติดตามแนวคิดทางสังคมในองค์กรและสภาพแวดล้อมสาธารณะด้วยกฎเกณฑ์
   [ อิทธิพล ]
   ขอบเขตของความเสียหายที่เกิดกับบุคคลและสังคมนั้นแคบและจำกัด  เนื่องจากโครงสร้าง ตำแหน่ง และอำนาจที่ใกล้ชิด จึงมีอิทธิพลอย่างกว้างขวาง
บทที่ 3 ประเภทของไสยศาสตร์
โดยทั่วไปไสยศาสตร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท:
3.1 พิธีกรรมและท่าทางที่ได้มาจากประเพณีและประเพณี
   ทารกแรกเกิดไม่มีความรู้เรื่องไสยศาสตร์ แต่เมื่อโตขึ้น พวกเขาจะค่อยๆ เรียนรู้การกระทำ โต้ตอบ และคิดเกี่ยวกับไสยศาสตร์ผ่านครอบครัวและสังคมรอบตัวพวกเขา
   สิ่งต่างๆ เหล่านี้ซึ่งกระทำโดยกลไกโดยปราศจากการคิดอย่างมีเหตุผล ล้วนเป็นพิธีกรรมและท่าทางที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดจากพ่อแม่สู่ลูกหลาน และเลียนแบบโดยผู้อื่น ตัวอย่างเช่น ในหลายกรณี ความเชื่อโชคลาง เช่น การมาเยือนปีใหม่ 
   การทำนายดวงชะตา การตกแต่งปีใหม่ การอ่านฝ่ามือ โหงวเฮ้ง การทำนายดวงชะตาหกดาว ฯลฯ จะถูกซ่อนไว้ภายใต้ชื่อ ``ประเพณีโบราณ'' หรือ ``ความเชื่อพื้นบ้าน ''
- Hatsumode ซึ่งจัดขึ้นก่อนสมัยเอโดะยังคงเป็นประเพณีปีใหม่สำหรับคนญี่ปุ่น ฮัตสึโมเดะคือการไปศาลเจ้าหรือวัดเป็นครั้งแรกในรอบปีเพื่อขอพรให้มีสุขภาพแข็งแรงและสันติสุขในปีใหม่
   และจะจัดขึ้นในช่วงเช้าตรู่ของวันปีใหม่ เดิมเรียกว่า ``โทชิคาโกริ'' และในสมัยก่อนไม่มีนาฬิกา เวลาสิ้นสุดของวันคือตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน ดังนั้น วันนั้นจึงเริ่มต้นในตอนเย็นหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันส่งท้ายปีเก่า
   จนถึงเช้าของวันปีใหม่ หัวหน้าครัวเรือนจะค้างคืนที่ศาลเจ้าที่อุทิศให้กับเทพเจ้าในท้องถิ่น โดยสวดมนต์ตลอดทั้งคืนเพื่อการเก็บเกี่ยวที่ดีและปลอดภัยสำหรับครอบครัวในปีนั้น
   Hatsumode ได้รับความนิยมค่อนข้างเร็ว ๆ นี้ ประมาณกลางสมัยเมจิ ปัจจุบันฮัตสึโมเดะมักจัดขึ้นในวันปีใหม่และวันที่สามของปี และผู้ที่มาเยี่ยมชมศาลเจ้าจะเสี่ยงโชคเพื่อทำนายโชคลาภในปีใหม่ หรือเขียนคำอธิษฐานลงบนแผ่นจารึก
   เพื่อขอพรให้มีความสุขในปีใหม่
. จากผลการสำรวจออนไลน์ที่ดำเนินการในปี 2014 พบว่า 68.8% ของผู้ตอบแบบสอบถาม 400 คน ทั้งชายและหญิงในช่วงวัยรุ่นถึง 60 ปี กล่าวว่าพวกเขาจะไปเยี่ยมเยียนปีใหม่
   ในส่วนของเหตุผลในการไปเยี่ยมชมปีใหม่ ผู้คนเพียงไม่ถึง 40% เลือก ``เพราะเป็นงานกิจกรรม'' และเพียงไม่ถึง 30% เลือก ``เพราะฉันได้รับเชิญจากครอบครัวหรือเพื่อนฝูง'' จากผลการวิจัยพบว่าการไปเยี่ยมชมศาลเจ้านั้นมีความหมาย
   และดูเหมือนว่าจะมีความหมายที่ชัดเจนเหมือนกับงานปีใหม่ จากผลลัพธ์ข้างต้น ชาวญี่ปุ่นมีความตระหนักรู้ในการไปเที่ยวช่วงปีใหม่ในระดับสูงอย่างน่าประหลาดใจ นอกจากนี้ อาจกล่าวได้ว่าผู้คนไปศาลเจ้าปีใหม่ไม่ใช่เพราะพวกเขาเชื่อในเทพเจ้าหรือการทำนายดวงชะตา แต่เพราะพวกเขามักจะคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นกิจกรรม พิธีกรรม และประเพณี
3.2 ข้อห้าม
   ตามวิกิพีเดีย ข้อห้ามหมายถึง ``สิ่งที่ไม่ควรทำ'' และข้อห้ามเนื่องจากข้อห้ามมีความหมายแฝงทางศีลธรรม
   อย่าผิวปากในเวลากลางคืน ไม่ใช่สิ่งที่คุณนอนในภาคเหนือ อย่าส่งอาหารจากตะเกียบไปที่ตะเกียบ เมื่อรถบรรทุกศพผ่านไป ให้เอานิ้วหัวแม่มือของคุณไว้ หากคุณตัดเล็บตอนกลางคืน
   คุณจะไม่เห็นพ่อแม่ของคุณตาย อย่าซักผ้าของคุณให้แห้งข้ามคืน โชคดีมาในเช้าวันปีใหม่ ดังนั้นอย่าสัมผัสไม้กวาด
   หลายๆ คนเชื่อว่าการเชื่อมโยงสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน โดยทำหรือไม่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะส่งผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของอีกสิ่งหนึ่ง และมีความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ข้อห้ามซึ่งสืบทอดกันมาเป็นประเพณีของญี่ปุ่น
   มาตั้งแต่สมัยโบราณ ได้กลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยไปแล้ว ดังนั้นจึงลืมเหตุผลเดิมที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้น และสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้อีกต่อไปก็ถูกมองว่าเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์หรือประเพณี
   ข้อความเช่น ``กินแล้วเข้านอนทันทีกลายเป็นวัว'' หรือ ``ถ้าในภาพมีสามคน คนตรงกลางจะตายก่อน'' ไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ทั้งหมดกลายเป็นเรื่องตลกและไร้เหตุผลและเชื่อโชคลางด้วย อย่างไรก็ตามแม้จะกล่าวกันว่าเป็นความเชื่อโชคลาง แต่ก็ยังน่าเป็นห่วง และในยุคปัจจุบันยังมีธรรมเนียมมากมายที่จำกัดการกระทำบางอย่างในชีวิตประจำวัน
-คิทามาคุระ-
   ในงานศพของญี่ปุ่น เป็นธรรมเนียมที่จะต้องวางศพในคิตะมาคุระ และ ``เมื่อคุณตายคุณควรนอนในคิตะมาคุระ'' เป็นหนึ่งในประเพณีงานศพทั่วไปที่หลายคนตระหนักดี เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์ทรงหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมในศาสนาพุทธ การนอนโดยให้ศีรษะไปทางทิศเหนือ
   จึงเรียกว่าคิตะมาคุระ และแนวคิดที่ว่าหากคุณนอนโดยหันหน้าไปทางทิศเหนือก็สามารถไปหาพระพุทธเจ้าได้ ด้วยเหตุนี้ เมื่อผู้ตายนอนพักก่อนจะใส่โลงศพโดยวางไว้บนหมอนทิศเหนือ   ว่ากันว่าในศาสนาพุทธ ประเพณีการวางผู้ตายบนหมอนทิศเหนือนั้นเกิดจากความคิดที่ว่าผู้ตายจะสามารถบรรลุพุทธภาวะได้โดยตัดความผูกพันกับโลกนี้และความปรารถนาทางโลกออก
   ประเพณีนี้เริ่มต้นขึ้น และทำให้คนเป็นต้องนอนหันหน้าไปทางทิศเหนือกลายเป็นโชคร้าย เดิมทีเป็นประเพณีที่ทำเฉพาะในงานศพเท่านั้น แต่ในชีวิตประจำวันถือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
   − หากคุณเห็นรถวิญญาณ ให้ซ่อนนิ้วโป้งของคุณไว้ −
   ``ซ่อนนิ้วหัวแม่มือของคุณเมื่อคุณเห็นรถแห่งจิตวิญญาณ'' เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่รู้จักกันดี และฉันคิดว่าคนญี่ปุ่นจำนวนมากเคยประสบสิ่งนี้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในการบูชาวิญญาณของญี่ปุ่น เชื่อกันมานานแล้วว่าคนโบราณเชื่อว่านิ้วหัวแม่มือเป็นประตูสู่จิตวิญญาณของพวกเขา และพวกเขาก็ซ่อนนิ้วหัวแม่มือไว้
   เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกของคนตายเข้าสู่จิตวิญญาณของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ความเชื่อโชคลางนี้เริ่มแพร่หลายหลังยุคไทโชเมื่อรถม้าศักดิ์สิทธิ์ได้รับความนิยม และเนื่องจากพ่อแม่มีความสำคัญ พ่อแม่จึงคิดว่าจะต้องเอานิ้วโป้งออกเพื่อไม่ให้ผู้ตายได้พรากชีวิตพ่อแม่ไป
   ว่ากันว่าสิ่งนี้มีความหมายถึงพ่อแม่ และข้อห้ามถูกสร้างขึ้นเพื่อซ่อนนิ้วหัวแม่มือ ด้วยการกระทำนี้ เราหวังว่าจะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความโศกเศร้าจากการเสียชีวิตของผู้เป็นที่รัก และฉันคิดว่านี่คือสิ่งที่คนญี่ปุ่นสืบทอดมายาวนานและมีประโยชน์ในการมีชีวิตที่ดีขึ้น ความเชื่อโชคลางดังกล่าวแสดงถึงภูมิปัญญาดั้งเดิมของญี่ปุ่น
-คำพูดที่น่ารังเกียจ-
   ตามความเชื่อโคโตดามะของญี่ปุ่น เมื่อคุณพูดคำบางคำ คำนั้นก็จะเป็นจริง การหลีกเลี่ยงคำพูดที่โชคร้าย เรียกได้ว่าเป็นความเชื่อทางศาสนา และคำบูชาและคำพูดแสดงความเกลียดชังก็แสดงถึงสิ่งนี้เช่นกัน ในญี่ปุ่น มีข้อห้ามมากมายในงานแต่งงาน
   ในหนังสือคำพูดเก่าๆ คำต่างๆ เช่น เลิก แตก จบ แยก แตก ฉีก ตาย เจ็บ นรก อีกครั้ง ถือเป็นโชคร้าย และคำที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจเขียนว่า `` ไม่ควรใช้ ''
คนที่มีสามัญสำนึกจะไม่พูดเรื่องแบบนี้ ในสุนทรพจน์ในงานแต่งงานของคุณ ให้ใช้คำอื่นแทนคำสาปแช่ง ตอนตัดเค้ก ➡ ตอนเอามีดแทงเค้กเข้ากันพอดี ตอนที่ทุบกระจกจากตอนก่อน ➡ ร่างผู้กล้าหาญของคากามิ บิรากิ ความปรารถนาดีของฉันต่อคุณทั้งคู่ ➡ ฉันหวังว่าจะมีบ้านที่สดใสสำหรับคุณทั้งคู่ แต่บุคลิกที่ดื้อรั้นของฉันมันหายนะ ➡ ฉันมีความตั้งใจอันแรงกล้าและบางครั้งผู้คนก็ไม่เข้าใจฉัน ดังนั้นฉันจึงไม่น่าเชื่อถือเล็กน้อย ➡ บุคลิกที่ถ่อมตัวและใจดีของฉันยังถูกเข้าใจผิดอีกด้วย
3.3 ลางบอกเหตุ (ลางร้ายและลางดี)
   เมื่อเราพูดถึงลางมงคล เราหมายถึงเรื่องไร้สาระ เช่น ``ถ้าเสาชาตั้งขึ้น จะนำโชคดีมาให้'' หรือ ``เมื่อคืนฉันฝันถึงงู ดังนั้น วันนี้จะนำโชคดีมาให้'' ในกรณีเช่นนี้ 
  ทงูและเสาชาถือเป็นลางบอกเหตุที่บอกเหตุการณ์อันเป็นมงคล เป็นไปได้ที่จะเชื่อมโยงสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน สร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ และทำนายชะตากรรมของความดีและความชั่วในอนาคตโดยอาศัยความรู้เชิงประจักษ์ในระยะยาว
   มีความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติหรือปรากฏการณ์ของสัตว์หรือพืชบางชนิด หรือความฝันที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอนาคต ส่วนใหญ่จะรู้พื้นฐานของชีวิตประจำวัน
-กวักมือเรียกแมว-
   ในญี่ปุ่น มีความเชื่อโชคลางและความเชื่อพื้นบ้านเกี่ยวกับแมวมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของการกวักมือเรียกแมว และแมวเป็นสัตว์ที่นำโชคลาภมาให้ตั้งแต่สมัยโบราณ ปัจจุบันวัฒนธรรมได้แพร่กระจายไม่เพียงแต่
   ในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงต่างประเทศด้วย และดูเหมือนว่าความนิยมของแมวกวักที่ผลิตในญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แมวสีขาวได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางว่าเป็นสีที่ ``นำความโชคดี'' ในขณะที่แมวดำว่ากันว่า ``ปัดสิ่งชั่วร้าย'' แมวสีทอง ``นำโชคลาภมาด้วยเงิน'' แมวสีชมพู ``นำโชคดี '' และอื่นๆ เลือกสีของแมวที่แสดงถึงความปรารถนาของคุณ 
   เช่น สีแดงสำหรับ ``ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ'' สีฟ้าสำหรับ ``ความปลอดภัยด้านการจราจรและปรับปรุงการศึกษาเชิงวิชาการ'' สีเขียวสำหรับ ``สอบผ่าน '' และสีส้มสำหรับ ``ขอให้โชคดีในการทำงาน''
แมวดำนำโชคร้ายมา − เหตุผลที่ภาพลักษณ์ที่ว่า "แมวดำ = โชคร้าย" ได้รับการแก้ไขแล้วก็คือ ในยุโรป แมวดำถือเป็นสัตว์ที่คุ้นเคยของแม่มด และสี "สีดำ" มีอิทธิพลเล็กน้อยต่อจิตวิทยาของมนุษย์ ทั้งนี้เนื่องมาจาก ความจริงที่ว่ามันมีอิทธิพลอย่างมาก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนมองว่าแมวดำน่าขนลุกก็เพราะว่า
− เมื่อพิจารณาถึงแง่มุมจิตวิทยาสีของสี ``สีดำ'' แล้ว มนุษย์ไม่ชอบสีเข้มมากนัก และความรู้สึกนี้อาจแข็งแกร่งขึ้นผ่านประสบการณ์ มีหลายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสีดำ เช่น คืนที่มืดมิด ท้องฟ้ามีเมฆ วัตถุเน่าเปื่อย แมงมุม แมลง สะเก็ดเงิน และรางน้ำ ซึ่งทำให้มนุษย์รู้สึกรังเกียจโดยกำเนิดว่าสีดำ = ไม่พึงประสงค์จะรุนแรงขึ้นหากไม่มีเราด้วยซ้ำ ตระหนักถึงมัน นอกจากนี้ เมื่อคนที่มีนิสัยชอบสีดำเห็นแมวดำ พวกเขาอาจเริ่มรู้สึกว่า ``ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่... มันค่อนข้างน่าขนลุก'' ไม่ มี.
   นอกจากนี้ ไฟฟ้ายังแพร่หลายในชีวิตประจำวันในช่วงปลายทศวรรษปี 1800 และก่อนหน้านั้น ผู้คนใช้แสงจันทร์และแสงไฟเป็นแหล่งกำเนิดแสงหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน ริมถนนที่มืดสนิทเหล่านี้ ขนสีดำของแมวดำจะกลายเป็นสีอำพรางและกลืนไปกับเวลากลางคืน ดังนั้นจึงเน้นเฉพาะดวงตาที่สุกใสเป็นประกายเท่านั้น ผู้ที่เห็นแสงอันน่าขนลุกสองดวงลอยอยู่ในความมืดคงตกใจมาก สำหรับคนในอดีต แมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกือบจะเป็นสัตว์ประหลาดมาก
− เป็นฤกษ์ดีหากเสาชาตั้งขึ้น −
   ความเชื่อยอดนิยมที่ว่า ``หากเสาชาตั้งขึ้นแสดงว่าโชคดี'' แพร่กระจายมาจากเมืองซุรุกะ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดชิซุโอกะ และเป็นความเชื่อโชคลางที่ได้รับความนิยมในหมู่คนญี่ปุ่น จากการสำรวจเรื่องการทำนายดวงชะตาและการนำโชค 
   คำตอบอันดับหนึ่งสำหรับคำถาม ``มีความเชื่อโชคลางใดบ้างที่คุณมักจะเชื่อหรือเชื่อถือ'' คือ ``หากเสาชาตั้งขึ้น มันจะนำโชคดีมาให้ ,'' โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม 3,221 คน 46% เลือก อะไรคือสาเหตุของความเชื่อโชคลางเช่นนี้?
   นานมาแล้ว มีพ่อค้าชาคนหนึ่งประสบปัญหาในการขายเฉพาะใบชาใบแรกที่มีดอกตูมใหม่ดี และใบชาใบที่สองยังขายไม่ออก นิพพานมีลักษณะพิเศษคือมีลำต้นหลายต้นผสมปนเปกันไปเมื่อโตขึ้น
   มีเรื่องเล่าว่าพ่อค้าคนนี้ใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของนิพพานชะแล้วใช้โดยเชื่อว่า ``ถ้าเสาชาตั้งขึ้น จะนำโชคดีมาให้'' อีกเหตุผลหนึ่งคือเชื่อกันว่าจะนำพาไปสู่ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของครอบครัว เนื่องจากเสาชาตั้ง → เสา = ศูนย์กลางบ้าน → ตั้ง → ดี หรือเสาของตัวเอง = คนหาเลี้ยงครอบครัวยืน . ยังได้กล่าวอีกว่า
3.4 ปรากฏการณ์อาถรรพณ์
   ปรากฏการณ์อาถรรพณ์เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติที่ไม่พบในคนธรรมดาทั่วไปอาจประสบได้ และอาจส่งผลต่อสุขภาพหรือชีวิตของบุคคลหรือรักษาไว้ในโลกนิรันดร์หลังความตาย เชื่อกันว่าเป็นไปได้
   . ปรากฏการณ์ทางจิตวิญญาณ เช่น คาถา การครอบครอง สัตว์ประหลาด และผี เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้โดยใช้ความรู้ของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติจนถึงปัจจุบัน
    นี่เป็นเรื่องราวเก่าๆ เกี่ยวกับหญิงมีครรภ์ที่เสียชีวิตและถูกฝัง ให้กำเนิดในหลุมศพ และมาที่ร้านขนมในฐานะผีเพื่อเลี้ยงดูลูก ในบางกรณี ผู้คนมาซื้อดังโงะ เค้กข้าว ขนมหวาน น้ำตาล และนมผง ว่ากันว่าเด็กที่เกิดในหลุมศพเติบโตอย่างปลอดภัยและบวชเป็นพระ ชื่อของพระภิกษุเหล่านี้ ได้แก่ สึเก็น เนียวเง็น อุเมกะคุเระ โทฮากุ โชนิน และโชตัตสึ 
    เนื่องจากเรื่องราวมักจำกัดอยู่เฉพาะวัดจริงและบุคคลเฉพาะ จึงมักถูกเล่าขานว่าเป็นตำนาน นิทานพื้นบ้านนี้ว่ากันว่ามีพื้นฐานมาจากประเพณีการฝังศพหญิงตั้งครรภ์ในพื้นที่บางส่วนของภูมิภาคชูโงกุ/ชิโกกุ และภูมิภาคโทโฮคุ 
บทที่ 4 อิทธิพลของความเชื่อโชคลางต่อสังคม 
   แม้ว่าคุณจะรู้ว่ามันเป็นความเชื่อโชคลาง แต่ถ้าคุณเข้าใจว่ามันเป็นประสบการณ์ส่วนตัว มันจะมีประโยชน์ในการเพิ่มสำเนียงให้กับชีวิตของคุณ 
     อีกทั้งเมื่อเราคิดถึงเหตุการณ์และเหตุการณ์ในอดีตเราอาจเข้าใจสิ่งที่คนในอดีตเชื่อมากขึ้นจึงไม่จำเป็นต้องปฏิเสธไปโดยสิ้นเชิงแต่ถ้าเราไปไกลเกินไปเราก็อาจกลายเป็นอันตรายได้ ต่อสังคม. นอกจากนี้ยังหมายถึง        จุดแข็ง 
    ความเชื่อโชคลางอาจดูเหมือนไม่มีพื้นฐาน แต่จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากประสบการณ์ของมนุษย์ และยังสะท้อนถึงบางแง่มุมของวัฒนธรรมด้วย 
     ในญี่ปุ่น มีมารยาทในงานศพมากมายที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากอดีต และหนึ่งในมารยาทที่โด่งดังที่สุดคืองานศพควรหลีกเลี่ยงโทโมบิกิ และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป 
    ว่าไม่ควรจัดงานศพในวันโทโมบิกิ เดิมทีนี่เป็นหนึ่งใน ``โรคุโยะ'' ตามลำดับของซากิโช โทโมบิกิ ซากิเมะ บุตสึเม็ตสึ ไทอัน และอาคาคุจิ และดูเหมือนว่าการตีความในแต่ละวันจะแพร่กระจายไปในสมัยเอโดะ
 先勝 は 午前中は吉。午後凶。急用や訴訟などは吉。 友引 は 引分勝負なし。葬式や法事は凶。夕刻は吉。 先負 は 午前は凶。控えめに静観すべし。午後は吉。 仏滅 は 大凶の日。何事も忌み慎むべし。
大安は 大吉日。何事も上吉の日。
赤口 は 仏滅と同じく何事も忌むべき日。
   ชัยชนะครั้งแรกคือโชคดีในตอนเช้า ช่วงบ่ายที่ไม่ดี เรื่องเร่งด่วนและการดำเนินคดีถือเป็นโชคดี Tomobiki เป็นเกมที่เสมอกัน งานศพและพิธีไว้อาลัยไม่ดี ตอนเย็นเป็นฤกษ์ดี เช้าก็แย่.
. คุณควรจะดูมันอย่างเงียบๆ ขอให้โชคดีในช่วงบ่าย บุตสึเม็ตสึเป็นวันแห่งความโชคร้ายครั้งใหญ่ คุณควรหลีกเลี่ยงทุกสิ่ง ดาอันเป็นวันมหามงคล ทุกอย่างเป็นวันคามิคิจิ
「凶事に友を引く」という意味だと解釈され、そのため「友引に葬儀を行うと亡くなった 人が友を引き寄せて一緒に冥土に連れて行く」という迷信となり、葬儀を避けるようにな
   มีการตีความว่าหมายถึง ``การนำเพื่อนไปสู่ความโชคร้าย'' ดังนั้นจึงกลายเป็นความเชื่อโชคลางที่ว่า ``หากจัดงานศพให้กับโทโมบิกิ ผู้ตายจะดึงดูดเพื่อนฝูงและพาพวกเขาไปยังยมโลกด้วย'' และ ผู้คนหลีกเลี่ยงงานศพ
ったとされている。また、十二支の暦では、ある日のある方向に向かって葬儀をすると友 を曳くので縁起が悪いとされていた。その友曳と混同されて、友引も葬儀にはよくない日 とされたという説もあるそうである。「友引に葬儀を避ける」のは、迷信からくる単なる 習慣で葬式のマナーとしていまだに多くの日本人が共有するものである。
加えて、迷信は古くから深い意味がある習慣を子どもに教えるための『しつけ』だった と思われる。現代も迷信の話は子供の教育方法として活用することができる。特に生活や 健康のことは地域の風土をよく表しているものである。例えば、
   ว่ากันว่า นอกจากนี้ตามปฏิทินนักษัตรจีน การจัดงานศพในทิศทางใดวันหนึ่งถือเป็นโชคร้ายเพราะจะทำให้เพื่อนถูกลากไปด้วย มีทฤษฎีที่ว่าโทโมบิกิสับสนกับโทโมบิกิ และโทโมบิกิก็ถือเป็นวันที่แย่สำหรับงานศพเช่นกัน ``การหลีกเลี่ยงงานศพเพื่อหลีกเลี่ยงงานศพ'' เป็นเพียงประเพณีที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อ
   ทางไสยศาสตร์ และชาวญี่ปุ่นจำนวนมากยังคงใช้ร่วมกันว่าเป็นมารยาทในการงานศพ
   นอกจากนี้ ความเชื่อโชคลางดูเหมือนจะเป็นวิธีการ ``วินัย'' มานานแล้วในการสอนเด็กๆ ถึงธรรมเนียมที่มีความหมายลึกซึ้ง แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์ก็ยังสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการให้ความรู้แก่เด็กๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิถีชีวิตและสุขภาพเป็นตัวบ่งชี้สภาพอากาศในท้องถิ่นที่ดี ตัวอย่างเช่น,
− ถ้าคุณเข้านอนทันทีหลังทานอาหาร คุณจะกลายเป็นวัว
ดูเหมือนเป็นมารยาทที่ไม่ดีที่จะนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร ดังนั้นควรระวัง จริงๆ แล้วทันทีหลังรับประทานอาหาร ไม่ควรนอนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ควรพักสักครู่แล้วขยับร่างกายเบาๆ ซึ่งหมายความว่าการเดินดีต่อสุขภาพของคุณมากขึ้น
- ถ้าคุณโกหก Enma-sama จะถอดลิ้นของคุณออก
เด็กๆ ก่อนปี 1955 มักถูกพ่อแม่บอกเรื่องนี้ โดยเตือนพวกเขาว่าหากพวกเขาโกหกตลอดชีวิต เอ็นมะจะตัดสินพวกเขาและดึงลิ้นออก แปลว่าการโกหกเป็นสิ่งไม่ดี ดังนั้นจงหยุดเสีย
ภาพเหมือนพระเจ้ายมราชใน สมัยราชวงศ์หยวนของจีน คริสต์ศตวรรษที่ 14 หนึ่งในชุดภาพวาด "สิบกษัตริย์แห่งนรก" โดยลู่ซินจง เป็นราชาแห่งนรกและธรรมาบาล (เทพเจ้าผู้พิโรธ) ซึ่งกล่าวกันว่าพิพากษาคนตายและเป็นประธานของนารกะ และ  วัฏจักรแห่ง สังสารวัฏ
- ถ้าคุณนอนโดยสวมถุงเท้า คุณจะไม่เห็นพ่อแม่ของคุณตาย
จริงๆ แล้วคนที่ไวต่อความเย็นมากจนต้องใส่ถุงเท้านอนนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง และการที่เท้าเย็นก็จะทำให้ความร้อนสะสมในร่างกายส่วนบน การสะสมในศีรษะมากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง และการสะสมในหน้าอกมากเกินไป
   อาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อหัวใจตาย และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ กล่าวกันว่าหากอวัยวะภายในของเด็กทำงานไม่ถูกต้อง มีความเป็นไปได้ที่เขาหรือเธอจะไม่สามารถ ``เป็นพยานถึงการเสียชีวิตของพ่อแม่'' ซึ่งหมายความว่าการนอนโดยสวมถุงเท้าจะทำให้การไหลเวียนโลหิตลดลง ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพของคุณ ดังนั้นจึงไม่ควรทำเช่นนั้น
- ถ้าคุณผิวปากตอนกลางคืน งูจะออกมา
กล่าวกันว่าเป็นงู ผี หรือปีศาจ ว่ากันว่าบ้านที่ส่งเสียงหวีดหวิวในเวลากลางคืนจะทำให้เพื่อนบ้านอิจฉา เพราะพวกเขาคิดว่าต้องมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง `` งู ''
= `` อิจฉา '' นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าการผิวปากมีความยาวคลื่นที่ดึงดูดงูได้ อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบัน ผู้คนอาจคิดว่าการผิวปากตอนกลางคืนสร้างความรำคาญให้กับบริเวณใกล้เคียง
   นอกจากนี้ยังสามารถนำมาซึ่งความหวังและให้การสนับสนุนด้านจิตใจในสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงหรือยากลำบาก ในชินจูกุมีหมอดูชื่อดังที่รู้จักกันในชื่อ ``แม่แห่งชินจูกุ'' และว่ากันว่าหญิงสาวจำนวนมากมักจะเข้าแถวต่อหน้าเธอเสมอ 
   ในทางกลับกัน ในฮาราจูกุและชิบูย่าซึ่งมีคนหนุ่มสาวจำนวนมาก มีร้านค้ามากมายที่เรียกว่า ``บ้านหมอดู'' ตั้งอยู่ภายในอาคาร ในอดีตเด็กๆ เคยพูดคุยถึงความกังวลของตนเองกับคนใกล้ตัว เช่น พ่อแม่ ครู แต่ทุกวันนี้เด็กๆ ไปที่สถานที่เช่นนี้เพื่อรับฟังเรื่องราวของพวกเขา
   เห็นได้ชัดว่ายังมีนักเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลายด้วย สำหรับพวกเขา การทำนายดวงชะตาอาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับพวกเขามาก
   ข้อเสีย : คนที่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์มากเกินไปอาจตกเป็นเป้าของการละเมิดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขู่กรรโชกเงินหรือวิธีการอื่นได้อย่างง่ายดาย การเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ที่โชคร้ายอาจทำให้ผู้คนรู้สึกวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น ทำให้พวกเขาต้องหยุดงานหรือยกเลิกงานโดยไม่จำเป็น 
   ผลร้ายจากความเชื่อทางไสยศาสตร์ของคนๆ หนึ่งก็ส่งผลต่อคนรอบข้างด้วยเช่นกัน ทุกวันนี้ยังมีคนที่ไปดูดวงก่อนแต่งงานและบอกว่าความเข้ากันได้ของพวกเขาแย่มาก พวกเขาจึงกังวลและทะเลาะกันหรือแม้แต่เลิกแต่งงาน
   ``Heigo'' มีชื่อเสียงในด้านไสยศาสตร์ที่มีอิทธิพลเชิงลบ แม้ว่าจะเป็นเพียงความเชื่อโชคลาง แต่กล่าวกันว่าผู้หญิงที่เกิดในปีเฮและม้ามีนิสัยรุนแรงซึ่งจะทำให้ชีวิตของสามีสั้นลง และว่ากันว่าได้รับความเสียหายอย่างน่าประหลาดใจ 
   เช่น ถูกเพื่อนบ้านรังควานและ แม้กระทั่งการหย่าร้าง ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ที่สะเทือนใจโลกในสมัยเอโดะเป็นที่มาของเหตุการณ์ที่ลูกสาวของคนขายของชำในเอโดะสูญเสียบ้านล้มลงเพราะเหตุเพลิงไหม้และตกหลุมรักกับการประกวดนางงามวัดที่เธออพยพไป
   . แม้ว่าบ้านหลังใหม่ของเขาจะถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่เขาก็มีความรู้สึกต่อหน้าวัดมากขึ้น และเขาก็จุดไฟเผาบ้านของเขาโดยพูดว่า ``ถูกต้อง! ถ้าฉันเผาบ้านอีกครั้ง ฉันก็สามารถอยู่ในวัดได้อีกครั้ง!''

   แม้ว่าไฟจะดับลงอย่างรวดเร็ว แต่การลอบวางเพลิงก็มีโทษประหารชีวิตในญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งบ้านส่วนใหญ่สร้างจากไม้ เป็นผลให้ลูกสาวคนนี้ Oshichi ถูกตัดสินให้ถูกเผาบนเสาฐานวางเพลิง
เนื่องจากว่ากันว่าโอชิจิเกิดที่เฮโงะในปี 1666
   ว่ากันว่าความเชื่อโชคลางเกี่ยวกับการแต่งงานของผู้หญิงเริ่มแพร่กระจาย ในปี ค.ศ. 1666 อัตราการเกิดของญี่ปุ่นลดลงกะทันหัน พยายามอย่ามีลูกหรือทำแท้ง ลดลง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน แน่นอนว่าตอนนั้นเป็นยุคที่อัตราการเกิดต่ำ
   นั่นไม่เป็นความจริง นับตั้งแต่ปี 1989 ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคที่อัตราการเกิดลดลง
   นอกจากนี้ ใน ``Heigo'' ``hei = พี่ชายแห่งไฟ'' และ ``ดวงจันทร์'' ต่างก็เป็น ``ไฟแห่งดวงอาทิตย์'' ในธาตุทั้งห้าของหยินหยาง
   ดังนั้นการทับซ้อนกันของคุณสมบัติเดียวกันจึงเรียกว่า "บิวะ" ฮิวะหมายความว่า เมื่อกิตัวเดียวกันซ้อนทับกัน คินั้นจะมีความกระตือรือร้นมากขึ้น และหากผลดีก็จะดีขึ้น และหากแย่ก็จะแย่ลง ว่ากันว่าสามารถกลืนลงไปได้
บทที่ 5 วิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์
   คนสมัยใหม่คิดว่าทุกสิ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ความเชื่อโชคลางจะหายไปเมื่อวิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้นหรือไม่? ในอดีตผู้คนทำพิธีกรรมที่เรียกว่าสวดมนต์เมื่อพวกเขาป่วย แต่ถึงตอนนี้เราก็ยังต้องอาศัยเทพเจ้าและพระพุทธเจ้าในการหายจากโรคภัยไข้เจ็บ
   พวกเขาสวดภาวนาสำหรับปีใหม่และสวดภาวนาขอให้มีสุขภาพที่ดีในปีหน้า ชิซุ ซากาอิ นักประวัติศาสตร์การแพทย์กล่าวว่าไม่ว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์จะก้าวหน้าไปมากเพียงใด สมการของ ``ความกลัว'' และ ``การสวดมนต์'' ต่อโรคก็ยังคงเหมือนเดิม นอกจากความเจ็บป่วยแล้ว
   ยังมีความกลัวและการอธิษฐานในชีวิตอีกมากมาย เช่น การงาน ครอบครัว และความรัก ซึ่งยากจะขจัดออกไปทั้งในสมัยโบราณและสมัยใหม่ คนญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในสังคมสมัยใหม่ที่ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ คิดอย่างไรกับความเชื่อโชคลางที่ขาดเหตุผล? ในญี่ปุ่นสมัยใหม่ มีคนจำนวนมากที่ชอบดูดวง เกือบทุกเช้ารายการทีวี หนังสือพิมพ์ และนิตยสารจะมีหมวดดูดวง
   มีเว็บไซต์ดูดวงหลายร้อยแห่งบนอินเทอร์เน็ต และนอกเหนือจากการพบปะกับหมอดูด้วยตนเองแล้ว คุณยังสามารถทำนายดวงชะตาทางอีเมลหรือทางโทรศัพท์ได้อีกด้วย การทำนายดวงชะตาในญี่ปุ่นเดิมทีใช้วิธีการที่นำมาใช้จากประเทศจีนเป็นหลัก แต่ปัจจุบันได้นำวิธีการดูดวงมาใช้อย่างกว้างขวางจากประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน และการทำนายดวงมีหลายประเภท รูปแบบการทำนายทั่วไป ได้แก่ วันเกิด กรุ๊ปเลือด การอ่านฝ่ามือ โหงวเฮ้ง ชื่อ และรูปแบบที่ใช้เครื่องมือ เช่น ไพ่ทาโรต์
しかし科学的な根拠に乏しい にも関わらず信じて、気になってしまう日本人は多い。例えば好きなあの人との相性はど うなのだろうか、自分のことをどう思っているのか、これからどうなるのか、そういった ことが気になるだろう。不安の解消とか過去や未来、あるいは他人についての情報が欲し いため、最近は、占いに頼り過ぎてしまう「占い依存症」の人も増えているそうである。
   อย่างไรก็ตาม มีชาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่เชื่อเรื่องนี้แม้จะขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ตาม เช่น คุณอาจจะสงสัยเกี่ยวกับความเข้ากันได้ของคุณกับคนที่คุณรัก พวกเขาคิดอย่างไรกับคุณ และจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่พึ่งพาการดูดวงหรือ ``การเสพติดการดูดวง'' เพื่อคลายความวิตกกังวลหรือเพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับอดีต อนาคต หรือบุคคลอื่น
   สิ่งเหล่านี้บางอย่าง เช่น กรุ๊ปเลือดและโหราศาสตร์ อาจดูเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การวินิจฉัยบุคลิกภาพตามวันเกิดและกรุ๊ปเลือดก็รวมอยู่ในวิทยาศาสตร์เทียมด้วย นี่ไม่เหมือนกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ด้วยใช่ไหม เนื่องจากเป็นเพียงการเชื่อมโยงหมู่เลือดและบุคลิกภาพที่ไม่เกี่ยวข้องกัน แล้วบอกว่าเป็นหรือเข้ากันไม่ได้? กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะพัฒนาไปไกลแค่ไหนก็ตาม ความเชื่อทางไสยศาสตร์ยังคงมีอยู่ในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่น และจะยังคงมีอยู่ต่อไป
พระยามะ (นั่งตรงกลาง) ในฉากพิพากษาในพระนารายณ์ซึ่งปรากฎในวัดเมืองประเทศไทย
   ในอรรถกถาภาษาบาลีอรรถกถาของปราชญ์พุทธโฆ สะเกี่ยวกับ / มัชฌิมนิกายกล่าวถึงพระยมในฐานะวิมานเปตะ ( विमानपेत ) ซึ่งเป็น "สัตว์ที่อยู่ในสภาพผสมปนเปกัน"
    บางครั้งได้รับความสะดวกสบายจากสวรรค์และบางครั้งก็ได้รับการลงโทษสำหรับผล - แห่ง กรรม ของตนอย่างไรก็ตาม พุทธโฆสะถือว่าการปกครองของพระองค์ในฐานะกษัตริย์นั้นยุติธรรม
บทที่ 6 บทสรุป
   “ความเชื่อโชคลางทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์ ความฝันที่แท้จริง ประสบการณ์การรับรู้ล่วงหน้า หรือการลงโทษจากสวรรค์ มักผิดมากกว่าความเชื่ออื่นๆ แต่เมื่อมันไม่เป็นจริง เราก็จะมองข้ามมัน และเมื่อมันเกิดขึ้น เราก็จะยิ่งใหญ่” เอะอะ มันแค่หมายถึง”
ฟรานซิสเบคอน
   มีความเชื่อโชคลางที่ดีและมีความเชื่อโชคลางที่ไม่ดี แม้ว่าฉันจะบอกว่าการทำนายดวงนั้นไม่น่าเชื่อถือและเป็นเพียงเกม แต่ฉันก็ยังสงสัยเกี่ยวกับบทความเกี่ยวกับการทำนายดวงในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร เป็นเรื่องปกติที่จะต้องกังวลเมื่อมีคนบอกเราว่าโชคลาภของเรานั้นดีหรือไม่ดี 
   แต่นั่นเป็นเพราะเรามีความวิตกกังวลทุกประเภท ไม่ว่าการกระทำบางอย่างจะเป็นความเชื่อโชคลางหรือความเชื่อที่แท้จริงนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล การศึกษา วัฒนธรรม และความรู้ทางเทคนิคในระดับสูงของบุคคลไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถต้านทานอิทธิพลของความเชื่อทางไสยศาสตร์ได้เสมอไป แพทย์ วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา และนักการเมืองไม่สามารถต้านทานปัญหานี้ได้มากไปกว่าพ่อค้าและคนจรจัด
迷信が実害をもたらすものであるかどうかはともかくとして、全ての迷信を否定する必 要はない。迷信とは、自分は常に宇宙に見られているという考えの下に生まれたものであ り、信じるか、信じないかは自分次第である。結局は、自分が行った行動によって自分を 取り巻く状況は良くも悪くもなるのだ。
   ไม่ว่าความเชื่อโชคลางจะก่อให้เกิดอันตรายจริงหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธความเชื่อโชคลางทั้งหมด ความเชื่อโชคลางเกิดขึ้นจากความคิดที่ว่าจักรวาลถูกจับตามองอยู่เสมอ และมันก็ขึ้นอยู่กับคุณไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายแล้ว สถานการณ์รอบตัวคุณจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับการกระทำของคุณ
::อ้างอิง
   Haruki Kamata, “ประเพณีแห่งชีวิต: ระหว่างไสยศาสตร์กับวิทยาศาสตร์”, Toki Shobo (1998), Yasuo Kitahara et al., “Encyclopedia of Japanese”, Shogakukan (2000)
   Satoshi Kitayama, “ทำไมคุณไม่ควรตัดเล็บในเวลากลางคืน: ภูมิปัญญาที่ซ่อนอยู่ในความเชื่อโชคลางของญี่ปุ่น” Kadokawa SSC Shinsho (2007)
   Gilovich, Thomas, “มนุษย์เชื่อได้ง่ายมาก: ความเชื่อโชคลางและการเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้อย่างไร” Cognitive Science Selections (1993)
   Ensuke Konno และคณะ “ประเพณีและไสยศาสตร์ของญี่ปุ่น/ผลงานฉบับสมบูรณ์ของชีวิตชาวญี่ปุ่น เล่มที่ 5” Iwasaki Shoten (1959)
   Shizuo Takeno, “มรดกของ Saikaku-Kaon: การพัฒนาของ Greengrocers และ Shichimono”, วรรณคดีญี่ปุ่น, เล่มที่ 32, เรียบเรียงและจัดพิมพ์โดย Japan Literary Association (1983)
   Chuichi Nagano, ภาพลวงตาแมวและความเชื่อพื้นบ้าน (Suzokusho no. 9), Shuzoku Dojokai (1978) Hume, David, Thaumatology, ไสยศาสตร์และทฤษฎีการฆ่าตัวตาย, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโฮเซอิ (1985)

ไม่มีความคิดเห็น: