“สมเด็จพระนเรศวร” เป็นภาพยนตร์ดราม่าประวัติศาสตร์ที่อลังการพร้อมบทภาพยนตร์ที่ท้าทายผู้ชมชาวต่างชาติอย่างมาก บทแรกของชีวประวัติสามส่วนของวีรบุรุษในศตวรรษที่ 16 ของผู้กำกับ เอ็มซี ชาตรีเฉลิม ยุคล เต็มไปด้วยตัวละครมากมายเท่าสมุดโทรศัพท์และเรื่องราวไบแซนไทน์เกี่ยวกับเรื่องราวในวัยเด็กของกษัตริย์ในอนาคต
การกอบกู้อธิปไตย” เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในขณะที่ภาพยนตร์เรื่องแรกยังฉายอยู่ ส่วนภาคที่สามมีกำหนดออกฉายในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมายุ 80 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ผู้ทรงเป็นที่เคารพนับถือ ด้วยงบประมาณที่มากกว่าภาพยนตร์เรื่อง “สุริโยทัย” (2001) ซึ่งเป็นภาพยนตร์มหากาพย์เรื่องก่อนของยุคล ซึ่งต่อมาได้นำมาทำใหม่เป็น “ตำนานสุริโยทัย” (2003) ที่นำเสนอโดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา “นเรศวร” ยังเป็นภาพยนตร์บันเทิงยอดนิยมที่สร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของชาติในดินแดนที่ราชวงศ์ได้รับการปฏิบัติอย่างเคารพอย่างสูงสุด
คำอธิบาย
พุทธศักราช 2106 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ทรงกรีฑาทัพเข้าตีราชอาณาจักรอยุธยาทางด่านระแหงแขวงเมืองตาก ทัพพม่ารามัญซึ่งมีรี้พลเหลือคณานับ ได้เข้ายึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือของราชอาณาจักรอยุธยา อันมีเมืองพิษณุโลกเป็นประหนึ่งเมืองราชธานีได้เป็นผลสำเร็จ
ครั้งนั้น สมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศวรหรือพระองค์ดำ ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินครองเมืองพิษณุโลก จำต้องยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนองเพื่อรักษาไว้ ซึ่งชีวิตอาณาประชาราษฎร์มิให้ต้องมีภยันตราย และจำต้องยอมร่วมกระบวนทัพพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยา
ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเจ้าแผ่นดินอยุธยาทรงยอมเจรจาหย่าศึกกับพม่ารามัญ และยอมถวายช้างเผือก 4 เชือก ทั้งให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรส โดยเสด็จพระเจ้าบุเรงนองไปประทับยังนครหงสาวดีตามพระประสงค์ของกษัตริย์พม่า ข้างสมเด็จพระมหาธรรมราชาซึ่งได้ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนอง ก็ได้ถวายสมเด็จพระนเรศวรราชโอรสองค์โตให้ไปเป็นองค์ประกันประทับยังหงสาประเทศเฉกเช่นกัน
หลังจากพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง (สมภพ เบญจาทิกุล) สิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช 2124 พระเจ้านันทบุเรง (จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์) ได้ขึ้นเสวยราชสืบต่อ และได้สถาปนามังสามเกียดขึ้นเป็นรัชทายาทครองตำแหน่งมหาอุปราชาแห่งราช อาณาจักรหงสาวดี
![]() |
King Naresuan 2 ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 2 ประกาศอิสระภาพ |
เมื่อแผ่นดินหงสามีอันต้องผลัดมือมาอยู่ในปกครองของพระเจ้านันทบุเรง สัมพันธไมตรีระหว่างอยุธยาและหงสาวดีก็เริ่มสั่นคลอน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีพระองค์ใหม่มิได้วางพระทัยในสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระนเรศวร (พ.ต.วันชนะ สวัสดี) เองก็หาได้เคารพยำเกรงในบุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินพม่ารามัญเช่นกาลก่อนมิ เพียงเท่านั้น
สมเด็จพระนเรศวรยังได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถให้เป็นที่ปรากฏครั่นคร้าม ดังคราวนำกำลังทำยุทธนาวีกับพระยาจีนจันตุและศึกเมืองคังเป็นอาทิ พระเจ้านันทบุเรงทรงเกรงว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะเป็นภัยต่อพระ ราชวงศ์แลแผ่นดินหงสา จึงหาเหตุวางกลศึกหมายจะปลงพระชนม์สมเด็จพระนเรศวรเสียที่เมืองแครง
![]() |
King Naresuan 3 ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3 ยุทธนาวี |
การประกาศเอกราชที่เมืองแครง และสังหารสุรกำมาเหนือยุทธภูมิฝั่งน้ำสะโตงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (หรือสมเด็จพระนเรศ) ในปีพุทธศักราช 2127 ได้สร้างความตระหนกแก่พระเจ้านันทบุเรงองค์ราชันหงสาวดีพระองค์ใหม่ ด้วยเกรงว่าการแข็งข้อของอยุธยาในครั้งนี้ จะเป็นเยี่ยงอย่างให้เหล่าเจ้าประเทศราชที่ขึ้นกับหงสาวดีอาศัยลอกเลียนตั้งตัวกระด้างกระเดื่องตาม แต่จนพระทัยด้วยติดพันศึกอังวะ
จึงจำต้องส่งเพียงทัพพระยาพะสิมและพระเจ้าเชียงใหม่เข้าประชิดกรุงศรีอยุธยา ทางหนึ่งนั้นพระเจ้านันทบุเรงทรงประมาทสมเด็จพระนเรศ ด้วยเห็นว่ายังอ่อน พระชันษา คงมิอาจรับมือจอมทัพผู้ชาญณรงค์ทั้งสองได้ ทางหนึ่งก็สำคัญว่ากรุงศรีอยุธยายัง บอบช้ำแต่คราวสงครามเสียกรุง ไพร่พลเสบียงกรังยังมิบริบูรณ์คงยากจะรักษาพระนคร
ครั้งนั้นพม่ารามัญยกเข้ามาเป็นศึกกระหนาบถึง 2 ทาง ทัพพระยาพะสิมยกเข้ามาทาง ด่านพระเจดีย์สามองค์ เลยล่วงเข้ามาถึงแดนสุพรรณบุรี
ตอนที่ 4 “ศึกนันทบุเรง” ล้วนมุ่งฟื้นอดีตอันเป็นวีรกรรมของวีรกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรอยุธยา ซึ่งได้ทรงประกอบพระราชภารกิจอันเป็นคุณูประการต่อแผ่นดินเป็นสำคัญ นั่นคือการประกาศเอกราชและการรักษาเอกราช
![]() |
King Naresuan 4 ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 4 ศึกนันทบุเรง |
หลักฐานในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาและพงศาวดารพม่าระบุตรงกันว่า ภายหลังการประกาศเอกราชในปี พ.ศ. 2127 แล้วนั้น “พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง” ได้โปรดให้กรีฑาทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาคืนเป็นเมืองขึ้นถึง 4 ครั้งคราว คือ
“ศึกพระยาพะสิมและพระเจ้าเชียงใหม่
เมงนรธาสอ” (พ.ศ. 2127-28)
“ศึกนันทบุเรง” (พ.ศ. 2129)
“ศึกมหาอุปราชา” (พ.ศ. 2133)
“ศึกยุทธหัตถี” (พ.ศ. 2135)
ในศึกทั้ง 4 ครั้งตามกล่าว ศึกที่นำพาให้ราชอาณาจักรอยุธยาต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์อันสุ่มเสี่ยงต่อการสิ้นสูญแผ่นดินคือ “ศึกนันทบุเรง” กระนั้นก็ดี เมื่อออกนามศึกนันทบุเรงจะมีคนไทยน้อยคนที่เคยได้ยินหรือระลึกได้ แต่หากระบุถึงวีรกรรมของ “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ไม่ว่าจะเมื่อครั้งออกปล้นค่ายพม่า จนเป็นที่มาของเรื่องพระแสงดาบคาบค่าย หรือการออกรบบนหลังอาชาจนสังหารลักไวทำมูทหารเอกข้างหงสาวดี ทั้งหมดเป็นวีรกรรมที่ล้วนอุบัติในคราวศึกนันทบุเรงทั้งสิ้น
ที่มาแห่งศึกซึ่งยึดโยงจากผลการปราชัยของหงสาวดีในคราวศึกพระยาพะสิมและพระเจ้าเชียงใหม่ ความพ่ายแพ้ครั้งนั้น ทำให้พระเจ้านันทบุเรงทรงตระหนักในพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระนเรศวรและในความเข้มแข็งของกองทัพอยุธยา จึงทรงตัดสินพระทัยยกทัพใหญ่เป็นทัพกษัตริย์มาย่ำยีราชธานีสยามให้ราบเป็นหน้ากลองเพื่อเป็นการแก้มือและเพื่อรักษาซึ่งพระเกียรติยศมิให้เป็นที่ดูแคลนแก่เหล่าเจ้าประเทศราชในขอบขัณฑสีมาพุกามประเทศ
ครั้งนั้นพม่ายกเข้ามาเป็นทัพกษัตริย์ กองทัพจึงมีความสมบูรณ์ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามกว่าทุกศึก หลักฐานข้างพม่าระบุว่ากองทัพพระเจ้านันทบุเรงประกอบด้วยช้าง 3,200 ทัพม้า 12,000 และไพร่ราบซึ่งมีจำนวนถึง 252,000 ในกองทัพนี้ยังมีนายทัพผู้ปรีชาสามารถตามติดมาร่วมรบ ไม่ว่าจะเป็น “พระมหาอุปราชา”, “มังจาปะโร” หรือแม้แต่ “ลักไวทำมู” ทหารกล้า
ยุทธหัตถี ในปีพ.ศ. 2129 พระเจ้านันทบุเรงทรงแค้นเคืองที่ต้องปราชัยต่อสมเด็จพระนเรศฯอย่างย่อยยับ ทั้งต้องเสียไพร่พลและพระสิริโฉม จึงระบายความแค้นนั้นไปที่องค์พระสุพรรณกัลยา เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดาทราบความก็ให้โทมนัสด้วยสำนึกว่าชะตากรรมของพระราชธิดาและแผ่นดินอยุธยาที่ถูกกระทำการย่ำยีก็ด้วยเพราะพระองค์ทรงแปรพักตร์ไปเข้าข้างศัตรู จนตรอมพระทัยเสด็จสวรรคต
![]() |
King Naresuan 5 ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 ตอน ยุทธหัตถี |
สมเด็จพระนเรศฯจึงเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติครองกรุงศรีอยุธยาสืบต่อจากพระราชบิดา ข่าวการผลัดแผ่นดินของอยุธยารู้ไปถึงพระเจ้านันทบุเรง พระองค์สำคัญว่าราชอาณาจักรสยามจะไม่เป็นปกติสุขเป็นช่องชวนชิงเชิง จึงโปรดให้มังสามเกียดอุปราชเจ้าวังหน้ากรีฑาทัพไปตีกรุงศรีอยุธยาอีกคำรบ ข้างสมเด็จพระนเรศฯทรงโปรดให้พระราชมนูแต่งพลเป็นทัพหน้าขึ้นไปดูกำลังข้าศึกถึงหนองสาหร่าย ทัพหน้าพระราชมนูปะทะเข้ากับทัพพม่าถึงขั้นตะลุมบอน แต่กำลังข้างพระราชมนูน้อยกว่าจึงแตกพ่ายถอยลงมาเป็นอลหม่าน
แม้นยุทธหัตถีจะเป็นมหาศึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
แต่ก็หาใช่ศึกสุดท้ายที่ทำให้อโยธยามีความสุขสงบมาอีกกว่า 200 ปีไม่
หากคือการเริ่มต้นแห่งการรวบรวมบ้านเมืองและสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับแผ่นดิน
ในปี พ.ศ. 2135 หลังพ่ายศึกยุทธหัตถี พระเจ้านันทบุเรงระบายพระโทสะที่สูญเสียราชบุตรอุปราชแห่งหงสาไปที่พระนางสุพรรณกัลยาและพระราชโอรสธิดาจนสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระนเรศวรจึงนำทัพชัยหมายแก้แค้นแทนพระพี่นางและเหยียบหงสาวดีให้ราบเป็นหน้ากลอง ฝ่ายพระเจ้านันทบุเรงเมื่ออับจนหนทางจึงยอมให้นัดจินหน่องราชบุตรแห่งเจ้าเมืองตองอูพาพระองค์พร้อมกวาดต้อนทรัพย์สินและผู้คนจากหงสาไปไว้ยังตองอูจนหมดสิ้น ครั้นสมเด็จพระนเรศวรเสด็จถึงเมือง หงสาวดีก็กลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว
ศึกครั้งนี้สมเด็จพระนเรศวรจึงต้องยกทัพตามต่อตีไปยังตองอู แม้จะได้รับคำทัดทานจากพระมหาเถรและพระมเหสีมณีจันทร์ เพื่อหมายสังหารพระเจ้านันทบุเรงให้จงได้ ผลสรุปแห่งมหาสงคราม 2 แผ่นดินจะจบลงเยี่ยงไร และใครจะเป็นผู้มีชัยเหนือสมรภูมินี้ การศึกครั้งสุดท้ายของสหายร่วมรบแห่งอโยธยา
![]() |
Title: King Naresuan 6 (2015) ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ๖ อวสานหงสา |
สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์.] 14 ปี “สมเด็จพระนเรศวร” ทรงครองราชย์ เกิดอะไรขึ้นบ้างในประวัติศาสตร์โลก?... อ่านข่าวต้นฉบับ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงครองราชย์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2133 (ค.ศ. 1590) ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2148 (ค.ศ. 1605) แล้วตลอดระยะเวลา 14 ปี สมเด็จพระนเรศวรทรงครองราชย์ เกิดอะไรขึ้นบ้างในประวัติศาสตร์โลก?
5 เหตุการณ์สำคัญในโลก ช่วง 14 ปี สมเด็จพระนเรศวรทรงครองราชย์
ปี 1591 กองทัพโมร็อกโกพิชิตจักรวรรดิซองไฮ ในยุทธการที่โทนดิบิ จักรวรรดิซองไฮเป็นรัฐที่ยิ่งใหญ่ด้านการค้าช่วงศตวรรษที่ 15-16 ตั้งอยู่ในแอฟริกาตะวันตก ในพื้นที่ที่ปัจจุบันคือประเทศมาลี.
ปลายศตวรรษที่ 16 กองทัพโมร็อกโกใช้อาวุธปืนเป็นยุทโธปกรณ์สำคัญในการรุกจักรวรรดิซองไฮ และเป็นฝ่ายมีชัยในยุทธการที่โทนดิบิ ต่อด้วยทิมบักตู และ เกา
จักรวรรดิซองไฮตอบโต้กองทัพโมร็อกโกด้วยการรบแบบกองโจร แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ท้ายสุดความยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจและการปกครองก็ตกอยู่ในมือของโมร็อกโก.
ปี 1594 พระเจ้าอ็องรีผู้ทรงธรรม พระเจ้าอ็องรีที่ 4 ทรงเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรนาวาร์ (ในพระนาม พระเจ้าอ็องรีที่ 3) ระหว่างปี 1572-1589 ต่อมาทรงเป็นพระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในปี 1589 โดยทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกจากราชวงศ์บูร์บงที่ได้ปกครองฝรั่งเศส
พระองค์นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ แต่เมื่อทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ฝรั่งเศส ที่พลเมืองส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ทำให้เกิดความขัดแย้งทางศาสนาขึ้น ท้ายสุดพระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยเปลี่ยนไปนับถือนิกายโรมันคาทอลิก เรื่องราวจึงสงบลง
พระเจ้าอ็องรีที่ 4 ทรงได้รับการขนานพระนามว่า “พระเจ้าอ็องรีผู้ทรงธรรม” รวมทั้ง “พระเจ้าอ็องรีผู้ยิ่งใหญ่” เพราะทรงทำให้พลเมืองฝรั่งเศสมีความเป็นอยู่ที่ดี
พระองค์สวรรคตจากเหตุลอบปลงพระชนม์ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 1610 โดยชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกหัวรุนแรง.
![]() |
ภาพสเก็ตช์โรงละครโกลบแห่งที่ 2 ที่สร้างขึ้นในปี 1614 (ภาพสเก็ตช์โดย Wenceslaus Hollar ใน Wikimedia Commons) |
ปี 1599 เชกสเปียร์ ณ โรงละครโกลบ โรงละครแห่งนี้สร้างขึ้นในกรุงลอนดอน ข้างแม่น้ำเทมส์ฝั่งตะวันตก เพื่อเป็นที่จัดแสดงของคณะละครลอร์ดเชมเบอร์เลน ซึ่งมีวิลเลียม เชกสเปียร์ (กวี นักเขียนบทละคร และนักแสดง) เป็นหนึ่งในสมาชิก
บทละครเรื่อง เฮนรีที่ 5 ของเขา น่าจะเป็นละครเรื่องแรกที่จัดแสดงในโรงละครแห่งนี้ โรงละครโกลบเปิดแสดงได้ราว 14 ปี ก็ถูกเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ปี 1613 แต่ก็มีการสร้างโรงละครโกลบขึ้นใหม่ในเดือนมิถุนายน ปี 1614
ความที่เข้าถึงได้ทั้งชนชั้นนำผู้รู้หนังสือและสามัญชน บรรดาโรงละครในกรุงลอนดอนจึงเป็นศูนย์กลางของกระแสวัฒนธรรมที่เรียกขานกันว่า การฟื้นฟูศิลปวิทยาการของอังกฤษ.
ปี 1600 ชัยชนะของโทกุงาวะที่เซกิงาฮาระ เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วง 14 ปี สมเด็จพระนเรศวรทรงครองราชย์
หลังจากโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ หนึ่งในผู้มีส่วนสำคัญในการรวบรวมญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่น เสียชีวิตในปี 1598 โทกุงาวะ อิเอยาสุ ซึ่งเป็นขุนพลคนสำคัญก็พยายามรวบอำนาจ แต่ถูกผู้สำเร็จราชการแทนบุตรชายของฮิเดโยชิ ที่ตอนนั้นมีอายุเพียง 5 ขวบ ขวางไว้
![]() |
ภาพวาด โทกุงาวะ อิเอยาสุ ในช่วงต้นยุคเอโดะ วาดโดย Kanō Tannyū |
ยุทธการเซกิงาฮาระ ที่สันนิษฐานว่ามีซามูไรเสียชีวิตถึง 30,000 นาย ทำให้อิเอยาสุทะยานขึ้นสู่ผู้นำสูงสุดของแว่นแคว้นทั้งหลาย และขึ้นเป็นโชกุนในปี 1603
ปี 1600-1602 บริษัทอินเดียตะวันออกแข่งขันกัน ช่วงนั้นเกิดการแข่งขันอย่างดุเดือดระหว่างชาติติดทะเลในยุโรป เพื่อกุมอำนาจเหนือการค้าเครื่องเทศและสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ จากภูมิภาคอินเดียตะวันออก (อินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) อันมากด้วยผลกำไร.
ในปี 1600 กษัตริย์อังกฤษทรงอนุมัติให้กลุ่มพ่อค้ารวมตัวกันเป็นบริษัทอินเดียตะวันออก เรียกย่อๆ ว่า EIC โดยมีอำนาจผูกขาดการค้าในเอเชีย พอถึงปี 1602 เนเธอร์แลนด์ คู่แข่งทางการค้าของอังกฤษ ก็ก่อตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของตนเช่นกัน เรียกย่อๆ ว่า VOC
บริษัทซึ่งมุ่งแข่งขันกันอย่างหนักหน่วงเหล่านี้มีกองกำลังทหารของตนเอง และกลายเป็นผู้เล่นหลักในการสร้างจักรวรรดิให้กับประเทศของตน ผ่านการกำกับควบคุมอาณาบริเวณในเอเชีย...
เป็นความรับรู้ที่ค่อนข้างเลือนลางในประวัติศาสตร์ไทย เพราะหากพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับชาติตะวันตกในยุคนั้น เรามักจะพบเรื่องราวของอยุธยากับฝรั่งเศส โปรตุเกส หรือฮอลันดา (เนเธอแลนด์) เป็นส่วนใหญ่
ความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับอยุธยา คือการติดต่อทางการค้าระหว่าง บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (EIC) กับราชสำนักอยุธยาในกำกับดูแลของกรมพระคลังสินค้า
ตั้งแต่สมัยกลางถึงปลายกรุงศรีอยุธยา อังกฤษสามารถลงหลักปักฐานด้วยการตั้งสถานีการค้าในอนุทวีปและเริ่มขยายอำนาจในบริเวณโดยรอบสถานีการค้าของพวกเขา คือ มัทราสกับเบงกอล แต่ยังไม่เริ่มการยึดครองอินเดียในฐานะอาณานิคม
กระนั้น อิทธิพลของอังกฤษในอินเดียอยู่ในการรับรู้ของราชสำนักอยุธยาเป็นอย่างดี และพระเจ้าแผ่นดินสยามเองก็พร้อมที่จะติดต่อกับชาวอังกฤษ ซึ่งมองหาคู่ค้าในเอเชียอย่างกระตือรือร้นในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17
ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างอังกฤษกับอยุธยาเริ่มขึ้นเมื่อพ่อค้าของ EIC มาเข้าเฝ้า สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (ครองราชย์ พ.ศ. 2154-2171) เพื่อถวายพระราชสาส์นแสดงความเป็นไมตรีจากพระเจ้าเจมส์ที่ 1 (James I) ในฐานะ “กษัตริย์แห่งเกรทบริเตน ไอร์แลนด์ สกอตแลนด์ และฝรั่งเศส”
ในกาลนั้น สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมโปรดเกล้าฯ ให้ชาวอังกฤษเปิดสถานีการค้าในอยุธยา และยังทรงซื้อสินค้าจำนวนหนึ่งที่พวกเขานำเข้ามาด้วย แต่ดูเหมือนว่าผลกำไรจากการค้าขายกับสยามไม่เป็นที่พึงพอใจพวกอังกฤษนัก จนพวกเขาพบว่าราชอาณาจักรแห่งนี้มีข้อดีคือลู่ทางติดต่อการค้าอันยอดเยี่ยมกับชาวญี่ปุ่น อังกฤษจึงหันเหความสนใจจากอยุธยาไปหาญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว
การเปลี่ยนความสนใจครั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความพยายามของอังกฤษที่จะส่งเรือพร้อมสินค้าจากฝั่งโคโรมันเดล ทางใต้ฝั่งตะวันออกของอินเดีย มากระตุ้นการค้าในสยาม ได้ถูกขัดขวางโดยกองเรือในอาณัติบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (ฮอลันดา) หรือ VOC
ด้วยเหตุนี้ ค.ศ. 1623 (พ.ศ. 2166) อังกฤษตัดสินใจปิดสถานีการค้าในอยุธยา แต่ก่อนจะออกจากสยาม พวกเขายังพยายามแสดงความเป็นมิตรต่อสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมด้วยการถวายบรรณาการในนามของกษัตริย์แห่งอังกฤษ นั่นคือครั้งสุดท้ายที่อังกฤษใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือในการติดต่อกับอยุธยา
แต่ปลายทศวรรษ 1650 การรุกรานเมืองละแวกโดยอันนัม (ญวน) ทำให้ EIC ต้องปิดสถานีการค้าในกัมพูชาแล้วกลับมายังอยุธยาอีกครั้ง พวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างดีจาก สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์พระราชทาน
สาส์นเชิญบริษัทอังกฤษ ซึ่งขณะนั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองสุรัต ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย ให้กลับเข้ามาค้าขายในสยามอีกครั้ง อังกฤษจึงตัดสินใจจัดการการแลกเปลี่ยนสินค้าโดยตรงกับอยุธยาจากสถานีการค้าที่มัทราส ณ ชายฝั่งโคโรมันเดลในอินเดีย
การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอังกฤษของสมเด็จพระนารายณ์ฯ อาจอธิบายได้ว่าเป็นความพยายามที่จะดึงอังกฤษเข้ามาคานอำนาจกับฮอลันดาที่กำลังมีอิทธิพลเพิ่มสูงขึ้น แต่เอาเข้าจริงอิทธิพลของฮอลันดา ตอนนั้นไม่น่าทำให้อยุธยาต้องกังวล และสมเด็จพระนารายณ์ฯ เองมีความสนพระทัยที่จะค้าขายกับอินเดียอยู่แล้ว พระองค์จึงติดต่อกับอังกฤษซึ่งเรืองอำนาจอยู่ในอินเดียนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การกลับมาเจริญสัมพันธ์ทางการค้าอีกครั้งไม่ได้สร้างผลกำไรอย่างที่บริษัทอังกฤษต้องการเช่นเคย ทั้งยังเกิดกรณีร้าวฉานที่ลุกลามเป็นข้อพิพาทขนานใหญ่
ระหว่างพวกเขากับข้าหลวงชาวอังกฤษเหมือนกันที่มะริด (ส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยามในเวลานั้น) แต่เป็นพรรคพวกของออกญาวิชาเยนทร์ (ฟอลคอน) ความขัดแย้งคราวนั้นทำให้สมเด็จพระนารายณ์ฯ ถึงขั้นประกาศสงครามกับบริษัทอังกฤษ และขับไล่ชาวอังกฤษออกจากราชอาณาจักรสยาม เมื่อ ค.ศ. 1687 (พ.ศ. 2230)
หลังการประกาศสงครามสยาม-อังกฤษ ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายไม่ค่อยสู้ดีไปอีกร่วมทศวรรษ กระนั้นราชสำนักอยุธยาหลังแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ฯ ยังให้ความสนใจและต้องการสินค้าจากอินเดียอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งทอ จึงพยายามจัดหาสินค้าประเภทนี้ผ่านหลายช่องทาง ทั้งการติดต่อกับพ่อค้าเอกชนชาวอังกฤษ พ่อค้ามุสลิมในอินเดีย และผ่าน VOC ของฮอลันดา
ผู้บริหาร EIC พยายามหลีกเลี่ยงการกลับมาลงตลาดสยาม ขณะเดียวกัน เรือสินค้าสยามก็พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้มัทราส กระทั่งถึงสมัยข้าหลวงใหญ่ โธมัส พิตต์ (Thomas Pitt) คือระหว่าง ค.ศ. 1699-1709 (พ.ศ. 2241-2252) มีสัญญาณว่าอังกฤษอยากติดต่อกับสยามอีกครั้ง ด้วยการแสดงความกังวลเกี่ยวกับกรณีการปล้นเรือสยามต่อทูตสยามที่พำนักอยูที่ ซาน โตเม (San Thome) ทางใต้ของอินเดีย
ค.ศ. 1705 (พ.ศ. 2248) พิตต์ส่งสาส์นมายัง สมเด็จพระเจ้าเสือ เพื่อแสดงความเคารพ และขอให้เรือสยามกลับไปเทียบท่าที่มัทราส แต่คำขอของข้าหลวงอังกฤษไม่ได้รับการตอบกลับ อาจเป็นเพราะจดหมายของเขารวมเรื่องการทวงหนี้ที่ทูตไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ เคยยืมเงินอังกฤษเพื่อเดินทางไปเปอร์เซีย
จากเอกสารฮอลันดาทำให้เราทราบว่า สมเด็จพระเจ้าเสือทรงพยายามติดต่อกับอังกฤษ ใน ค.ศ. 1706 (พ.ศ. 2249) เอกสารยังระบุว่า อังกฤษเรียกร้องให้สยามชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากข้อพิพาทสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ แต่ราชสำนักอยุธยาทำหูทวนลม ไม่ตอบสนองใด ๆ
แม้บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษจะไม่กลับเข้ามาเปิดสถานีการค้าในสยามอีก แต่พวกพ่อค้าเอกชนชาวอังกฤษ รวมถึงบรรดาลูกจ้างของบริษัทยังคงเข้ามาค้าขายในรูปแบบของการค้าส่วนตัว และพยายามทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้สำเร็จราชการอังกฤษในอินเดียกับราชสำนักอยุธยา
ในที่สุด ค.ศ. 1762 (พ.ศ. 2305) ข้าหลวงอังกฤษที่มัทราสก็ส่งสาส์นมายังราชสำนักอยุธยา เพื่อขออนุญาตเปิดสถานีการค้าที่มะริด โดย สัญญาว่าจะส่งผ้าลินินมาขายให้ราชสำนักอยุธยาในราคาเท่ากับที่ VOC ของฮอลันดาขาย
แม้แต่ในแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ รัชกาลสุดท้ายของอยุธยา อังกฤษยังพยายามกลับมาสร้างอิทธิพล
ในราชสำนักอยุธยาเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า สายของพวกฮอลันดารายงานว่า ในขณะที่ VOC กำลังมีข้อ
พิพาทกับราชสำนักอยุธยา
กรณีฝ่ายฮอลันดาไม่ยอมปฏิบัติตามธรรมเนียมระหว่างกรมพระคลังกับบริษัทฯ คือ การจ่ายเงินค่าตอบแทนการ
ทำงานประจำปีให้แก่เจ้าหน้าที่กรมพระคลังสินค้า
ปรากฏว่า “พวกขุนนางแขกมัวร์” ในราชสำนักอยุธยา
พยายามรบเร้าให้ออกญาพระคลังเรียกร้องเงินดังกล่าว
พวกฮอลันดาเชื่อว่า การกระทำของขุนนางแขกมัวร์มีจุดประสงค์แอบแฝง เพื่อบ่อนทำลายสถานะของ
ฮอลันดาในสายพระเนตรของพระเจ้าแผ่นดินสยามและขุนนางทั้งหลาย เพื่อเปิดทางสู่ตลาดสยามให้พันธมิตรของพวกเขา
คือ พ่อค้าอังกฤษ ผ่านบุคคลชื่อ มิสเตอร์เอลเลียส (Mr. Ellias) แห่งสุรัต นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของการ
วางหมากของฝ่ายอังกฤษในราชสำนักอยุธยา
แต่พัฒนาการเหล่านี้ต้องหยุดชะงัก เมื่อกองทัพพม่าเริ่มรุกรานอยุธยาตั้งแต่ปลาย ค.ศ. 1765 (พ.ศ.
2308) ซึ่งส่งผลให้ชาวยุโรปชาติต่าง ๆ เริ่มถอนตัวออกจากอยุธยา
ราชอาณาจักรสยามสลายตัวและย้ายศูนย์มาอยู่ที่กรุงธนบุรีและกรุงเทพฯ ตามลำดับ ส่วนบริษัทอินเดียตะวันออก
ของอังกฤษ ก็ค่อย ๆ ครอบครองอินเดียทั้งหมดในนามบริติชราช
ตามคำ
![]() |
แผนที่เมืองปัตตาเวียในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก ในศตวรรษที่ 17 ศูนย์กลางการค้าของ VOC (ภาพ: Wikimedia Commons) |
![]() |
สำนักงานใหญ่ของ EIC ที่อังกฤษ (ภาพวาดสีน้ำ โดย Thomas Malton the Younger ใน Wikimedia Commons) |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น