(บทที่ ๒๘) เมื่อเวลาเหาะมานั้น เอกาแต่ผู้เดียว ในดวงจิตให้มีความอาลัยสะท้อนถอนใจใหญ่บัดเดี๋ยวใจก็มาถึงฝั่งทะเลมหาสมุทรทิศตะวันออก เห้งเจียก็ลอยอยู่บนอากาศ คิดถึงพระอาจารย์มีความโทมนัศยิ่งนักก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นคร่ำครวญไปต่างๆ หยุดสักประเดี๋ยวแล้วก็เหาะเลยไป จึงคิดอยู่แต่ในใจว่าหนทางนี้ ห้าร้อยกว่าปีแล้วเรามิได้มาทางนี้คิดดังนั้นแล้ว ก็เหาะลงมาถึงเขาฮวยก๊วยซัว เห้งเจียก็ลดลงยังเนินเขาเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นเงียบสงัดอยู่ ต้นไม้ดอกไม้แห้งเหี่ยวร่วงโรยราไปหมดสิ้น แลที่ตั้งแต่งด้วยศิลาเคยนั่งเล่นเย็นเช้าก็หักพังเสียหายไปทั้งสิ้น
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ยิ่งมีความโทมนัสมากขึ้น ในเมื่อเห้งเจียคร่ำครวญอยู่นั้น ได้ยินเสียงในซอกเขาพุ่มรก เห็นลิงน้อย ๆ วิ่งออกมาเจ็ดแปดตัว พากันเข้าล้อมหน้าล้อมหลัง คำนับแล้วพูดว่า วันนี้ท่านไต้เซียกลับมาแล้ว เห้งเจียถามว่าพวกเจ้าไปข้างไหนหมดจึงได้เงียบสงัดอย่างนี้ ข้ามาถึงนานแล้วก็มิได้เห็นพวกเจ้านี่เป็นด้วยเหตุอย่างไร พวกวานรน้อย ๆ ได้ฟังเห้งเจียต่างตนเล่าบอกว่า ตั้งแต่ใต้เซียไปแล้ว อยู่ภายหลังมีพวกพรานมาทำแก่พวกข้าพเจ้าให้ได้รับความทุกข์สุดที่จะรำพัน มันเอาอาวุธศรและหน้าไม้มายิง และเอาสุนัขมาล้อมไล่ตีจับเป็นเอาบ้าง
จับตายเอาบ้าง เพราะฉะนั้นพวกข้าพเจ้าจึงหนีซ่อนเร้นอยู่ตามซอกห้วยชานเขาและพุ่มรกและในถ้ำจึงได้รอดพ้น นี่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงใต้เซียกลับมาพวกข้าพเจ้าจึงออกมาหา
![]() |
ซุนหงอคงผู้พิทักย์ |
วานรน้อย ๆ เหล่านั้นจึงบอกว่า มันจับตายได้ก็เอาไปต้มแกงกิน มันจับเป็นได้ก็เอาไปหัดเล่นงิ้วเล่นละคร แล้วเอาไปกลางตลาดทำเล่นเต้นรำต่าง ๆ มันพากันตีกลองแลม้าฬ่อเฮฮาหัวเราะกันเป็นการสนุกสนานของมันอย่างนี้
เห้งเจียได้ฟังพวกวานรเล่าให้ฟังดังนั้น มีความแค้นดุจไฟลุกอยู่ในทรวงอก จึงถามว่าเดี๋ยวนี้ในถ้ำใครเป็นหัวหน้า ลิงน้อยจึงตอบว่ามีนายเบ๊ลิ้วเจียงกุนแม่ทัพที่สามเป็นหัวหน้า เห้งเจียว่าพวกเรารีบไปบอกให้ออกมาหาเราโดยเร็ว ลิงน้อยก็พากันวิ่งเข้าไปบอก
เบ๊ลิ้วแม่ทัพที่สามได้ฟังลิงน้อยมาบอกดังนั้น ก็มีความยินดี จึงพาพวกวานรออกมาคำนับรับใต้เซียเข้าไปในถ้ำ เห้งเจียขึ้นนั่งอยู่บนที่ท่ามกลางบริวารวานรใหญ่น้อยแล้ว พวกวานรทั้งหลายก็พากันคำนับแล้วจึงถามว่า พวกข้าพเจ้าได้ยินว่า ท่านรอดชีวิตออกแล้วตามพระถังซัมจั๋งไปประเทศไซทีเพื่ออาราธนาพระธรรม ทำไมใต้เซียจึงกลับมาได้เล่า
เห้งเจียได้ฟังพวกวานรถามดังนั้นจึงดอบว่า พวกเจ้าทั้งหลายยังหารู้เหตุผลต้นปลายไม่ ถังซัมจั๋งนั้นไม่รู้จักคนดีและคนชั่ว เราเห็นแก่เธอตามไปช่วยรักษา ด้วยตามระยะทางที่ไปนั้นมีแต่ภูตผี ปีศาจยักษ์มารร้ายกาจมาก ได้ปราบปรามภูตผี ปีศาจร้ายให้ราบคาบไปได้ทั้งสิ้น เพราะความจงรักภักดีได้ความลำบากทรมานกาย ได้ตีปิศาจตายเธอกลับพูดว่าเป็นคนดุร้ายเหี้ยมโหด ทำหนังสือสัญญาว่าไม่ใช้เราอีกต่อไปขับไล่ให้เรากลับเสีย เราจึงได้กลับมาดังนี้
พวกวานรทั้งหลายได้ฟังใต้เซียเล่า ก็พากันตบมือหัวร่อว่าดีแล้วใต้เซียกลับมาอยู่ จะได้ปกครองรักษาพวกข้าพเจ้า ๆ จะได้มีความสุข ท่านจะตามไปทำไมให้ป่วยการไม่เปนผลประโยชน์อะไร พวกวานรพูดแล้วบอกกันให้เอาน้ำเหล้ามะพร้าวมาให้ใต้เซียกินแก้ทุกข์ เห้งเจียห้ามว่าอย่าเพิ่งกินก่อน ข้าจะถามพวกเจ้าว่า พวกพรานนั้นกี่วันมันจึงจะมาหนหนึ่ง เบ๊ลิ้วบอกว่ามันมาทุกวันเป็นนิตย์ วันนี้ท่านคอยดูก็จะได้เห็น
เห้งเจียได้ฟังพวกวานรบอกดังนั้น จึงสั่งลิงน้อยให้ช่วยกันเก็บหินและกรวดไปกองไว้บนเนินเขาให้มาก แล้วพวกเจ้าจงแอบหนีอยู่ในถ้ำ ไว้ธุระข้าจะทำวิชาแก้มือ ฝ่ายลิงน้อยทั้งหลายรับคำสั่งแล้วก็ไปเที่ยวเก็บหินและกรวดมากองไว้ตามสั่ง แล้วก็พากันหลบหนีเข้าซ่อนอยู่เสียในถ้ำ เห้งเจียจึงขึ้นบนยอดเขาคอยดู บัดเดี๋ยวก็แลเห็นข้างทิศอาคเนย์ทั้งคนทั้งม้าประมาณสักพันเศษ ถืออาวุธน่าไม้ธนูและแหลนหลาว หอกดาบต่าง ๆ แลสุนัขสำหรับไล่ก็มีมาหลายสุนัข พวกคนก็ตีกลองแลม้าฬ่อโห่ร้องกันขึ้นมา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ยิ่งมีความโกรธเป็นอันมาก จึงร่ายพระคาถาคาบม้วนลมบังเกิดเป็นลมพายุใหญ่ พัดหอบเอาหินกรวดเหล่านั้นสาดลงไปยังพวกพรานเหล่านั้น เจ็บปวยล้มตายไปทั้งสิ้น ซากศพล้มกลิ้งอยู่กับที่โลหิตไหลนองไป
เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตบมือหัวเราะพักใหญ่ แล้วพูดว่าเราตามพระอาจารย์ไป ท่านก็สั่งสอนทุกวัน ๆ ว่าพันวันทำความดี ความดีไม่ใคร่จะพอ วันเดียวทำความชั่วร้าย ๆ มากเหลือนั้น อันคำนี้ก็เป็นความจริงได้ ฆ่าปีศาจสองสามหนท่านว่าดุร้าย เรากลับมาบ้านวันนี้ เราทำเวรฆ่าชีวิตเขาโดยมาก พูดเช่นนี้แล้วจึงสั่งพวกวานรให้ถอดเสื้อกางเกงของคนตายนั้นมาใส่ ถลกหนังม้ามาทำสายธนูหน้าไม้ เก็บเอาเครื่องศาสตราอาวุธนั้นมาฝึกหัดซ้อมฝีมือกัน เก็บเอาธงสีต่าง ๆ นั้นมาประจบเย็บติดกันเข้าเป็นธงห้าสี แล้วเขียนอักษรลงสิบสี่ตัวว่า (ต้งซิว ฮวยก้วยซัว หกจิ๊นจุ๊ยเลียมต๋อง ซีเทียนใต้เซีย) แปลว่าซ่อมแปลงเขาฮวยก๊วยซัวปฏิสังขรณ์ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องขึ้น
เห้งเจียเป็นซีเทียนใต้เซียมายังเดิม แล้วเห้งเจียสั่งให้ชักธงขึ้นตั้งมั่วสุมสะสมเสบียงอาหารและเกลี้ยกล่อมพวกยักษ์มารปีศาจที่มีฝีมือ เห้งเจียย่อมเป็นผู้มีสันดานพอใจเป็นคนโต ตั้งฤทธาอานุภาพเวทมนต์ก็ประสิทธิ์ขลังแข็งแรง เห้งเจียไปขอน้ำทิพย์ของพระยานาคมาทั้งสี่มหาสมุทรมาล้างบนเขาให้สะอาดแล้ว ก็ปลูกต้นไม้พรรณต่าง ๆ ให้เป็นที่ร่มรื่นสำราญ
ตอน ปีศาจชุดเหลืองจอมโหด (ช่วงที่ 1)
ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งเชื่อฟังโป๊ยก่ายส่อเสียดขับไล่เห้งเจียกลับไปแล้วก็ขึ้นม้าออกเดิน ซัวเจ๋งยกหาบไส่บ่าเดินตามกันไปเดินข้ามเขาแป๊ะเฮ้าซัว แลไปข้างหน้าเห็นมีดงไม้ใหญ่ ร้องสั่งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่าหนทางดงป่ารกเปลี่ยวจงระวังระไวให้มาก ๆ โป๊ยก่ายถือคราดเหล็กออกเดินนำหน้าตัดทางเข้าดง ในเวลากำลังเดินนั้น หลวงจีนถังซัมจั๋งยอหยุดม้าบอกแก่โป๊ยก่ายว่าอาตมภาพมีความหิวอ่อนนักท่านจงไปหาข้าวมาให้กินแก้หิวเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป โป๊ยก่ายว่าถ้ากระนั้นอาจารย์ลงหยุดพักที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปบิณฑบาตร
หลวงจีนถังซัมจั๋งก็ลงจากม้า ซัวเจ๋งวางหาบลงหยิบบาตรส่งให้โป๊ยก่าย ๆ รับบาตรเดินลัดออกจากดงตรงไปข้างทิศตะวันตกประมาณร้อยเส้นเที่ยวค้นหาบ้านคนก็ไม่เห็นมี พบแต่สัตว์เสือร้าย โป๊ยก่ายเดินลำบากเข้าก็คิดถึงเห้งเจียถ้าอยู่เป็นผู้บิณฑบาตร มาวันนี้เขาไม่อยู่ตกเป็นหน้าที่ของตัวเราก็ตรึกนึกถึงเห้งเจีย ถ้าอยู่ก็เป็นผู้หาบิณฑบาตรโป๊ยก่ายเดินลำบากต้องตกเป็นหน้าที่ของเรา นี่ก็จริงเหมือนคำที่เขาพูดกันว่า (มีบ้านจึงจะรู้ราคาข้าวและฟืน เลี้ยงลูกจึงจะรู้คุณของบิดามารดา) นี่เราจะไปหาที่ไหนได้ โป๊ยก่ายคร่ำครวญดังนั้น ก็บังเกิดง่วงเหงาหาวนอนโป๊ยก่ายทนหาวนอนไม่ไหว ก็เดินแวะเข้าไปที่พุ่มรกก็มุดเข้าไปนอนหลับเสียพักใหญ่จนไม่รู้สึกตัว
ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งคอยโป๊ยก่ายอยู่ในกลางดงจิตใจให้หวาดเสียว ไม่มีความผาสุขสบายเลย นัยน์ตาก็ให้เขม่นไม่หยุด จึงเรียกซัวเจ๋งมาพูดว่า โป๊ยก่ายไปบิณฑบาตร ตะวันก็พ้นเพลแล้วยังไม่เห็นกลับมา ที่เนินดงนี้ไม่ควรเราจะพักเราจงไปหาที่พักจึงจะดี ซัวเจ๋งพูดว่าอย่าเพิ่งไปก่อน รอข้าพเจ้าไปตามโป๊ยก่ายก่อน จึงค่อยพร้อมกันไป หลวงจีนถังซัมจั๋งก็เห็นชอบด้วย ซัวเจ๋งก็ถือกระบองเดินออกมาจากดงเที่ยวตามโป๊ยก่ายตามเนินป่า ฝ่ายหลวงจีนถังซัมจั๋งนั่งอยู่ในดงแต่ผู้เดียวในจิตใจให้ง่วงเหงา จึงขืนอุตสาหะสะกดใจไว้แล้วก็ผุดลุกขึ้น ค่อย ๆ เดินชมพิศดูตามต้นผลไม้พอให้แก้รำคาญ อันที่ในดงนั้นมีทางมากแยกไปหลายทาง
หลวงจีนถังซัมจั๋งเวลานั้นจิตใจไม่ปกติเดินหลงทางไปไม่รู้ที่ว่าจะกลับก็เดินหลงออกดงไปทางทิศอาคเนย์ แลไปข้างหน้าเห็นมีรัศมีทองฟุ้งขึ้นมา เวลานั้นแสงตะวันส่องมากระทบยอดพระเจดีย์จึงได้มีรัศมีผุดผ่องขึ้น พระถังซัมจั๋งแลไปก็เห็นองค์พระเจดีย์ จึงคิดว่าเมื่อเราจะออกจากเมืองหลวงก็ได้อธิษฐานว่าแม้ปะพระพุทธรูปจะนมัสการ พบพระสถูปเจดีย์ก็จะกวาดล้างทำไมเมื่อเดินมาจึงไม่เห็น ที่ข้างพระเจดีย์นั้นคงจะมีวัดวาอารามพระเจ้าพระสงฆ์อยู่ จำเราจะแวะเข้าไปดู แต่ที่ของและม้าอยู่กลางดงนั้นเห็นจะไม่เป็นอันตราย เพราะในดงนั้นน้อยนักที่คนจะไปมา แม้คอยโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาพร้อมกันก็ดีแต่ยังช้าจำเราจะเข้าไปในวัดก่อน
คิดดังนั้นแล้วก็เดินตัดตรงเข้าไปที่องค์พระเจดีย์ ครั้นถึงประตูไหญ่พระถังซัมจั๋งแลเข้าไปในพระเจดีย์ก็เห็นมู่ลี่แขวนห้อยอยู่ จึงเดินเข้าไปข้างในเปิดมู่ลี่เข้าไปชั้นในเห็นมีแท่นศิลา ข้างบนแท่นนั้นมีคนนอนแต่หน้าเขียวแยกเขี้ยวออกจากปาก กำลังนอนหลับอยู่บนแท่นพระถังซัมจั๋งเห็นก็รู้ว่ายักษ์ปีศาจ ในอกใจก็รัวสั่นไปทั้งกายหันหน้าวิ่งกลับออกมาข้างนอกทันที
ฝ่ายปิศาจยักษ์ตกใจตื่นขึ้น ร้องถามพวกปีศาจน้อย ๆ ว่าข้างนอกนั้นคนอะไรที่ไหนมา ปีศาจน้อยมองตามไปก็เห็นพระสงฆ์ จึงบอกว่าพระสงฆ์ที่ไหนมาก็ไม่ทราบ ปีศาจยักษ์ได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่า นี่เหมือนแมลงวันมาจับบนหัวงู มันเอาภักษาหารมาให้เรา พวกเรารีบตามจับตัวมาให้ได้ พวกปีศาจน้อย ๆ วิ่งตามไปจับตัวหลวงจีนมาได้แล้ว ก็พากันฉุดคร่าเอาตัวมา
หลวงจีนถังซัมจั๋งยกมือคำนับ ปีศาจยักษ์จึงถามว่านี่ตัวเป็นสงฆ์อยู่ประเทศไหนจะไปข้างไหนจึงมาทางนี้ จงบอกมาให้แจ้งโดยเร็ว พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมภาพอยู่เมืองใต้ถัง รับรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมประเทศไซที บัดนี้อาตมภาพมาถึงนี่จะใคร่นมัสการพระเจดีย์ บังเอิญทำให้ท่านตกใจ ขอท่านได้ยกโทษให้แก่อาตมภาพที่ได้ผิดนี้ ถ้าอาตมภาพไปธุระสำเร็จแล้ว กลับไปถึงเมืองอาตมภาพจะจดชื่อท่านไว้เป็นที่ระลึก
ปีศาจยักษ์ได้ฟังหลวงจีนถังซัมจั๋งพูดดังนั้น ก็หัวเราะแล้วพูดว่า ตัวอยู่เมืองบนเป็นมนุษย์โดยความจริงเราอยากกินเนื้อ บัดนี้เนื้อนั้นจะต้องอยู่ในปากเราจะปล่อยไปไม่ได้ จะหนีไปไหนก็คงหนีไปไม่พ้น พูดดังนั้นแล้ว จึงสั่งบริวารให้เอาตัวพระถังซัมจั๋งไปมัดไว้กับเสาที่ในถ้ำอย่าให้หนีไปได้ ปีศาจยักษ์ก็ถือมีดเดินมาใกล้ถามพระถังซัมจั๋งว่าตัวมากี่คนจึงมาถึงนี่ เพราะว่าคนเดียวคงจะมาไม่ได้เป็นแน่
พระถังซัมจั๋งก็บอกตามจริงว่า อาตมภาพมามีสานุศิษย์สองคนนามเรียกว่า โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งคนทั้งสองพากันไปเที่ยวบิณฑบาตรและหาบกับม้ายังทิ้งอยู่กลางดง
ปีศาจว่าถ้ากระนั้นยิ่งดีมากอาจารย์สานุศิษย์กับม้ารวมเป็นสี่ด้วยกัน ก็พอกินได้สักเวลาหนึ่งพูดดังนั้นแล้วจึงสั่งบริวารว่า พวกเจ้าจงปิดประตูคอยท่า เราจะไปจับตัวพวกศิษย์มาพร้อมกับอาจารย์จึงค่อยต้มเลี้ยงกันสักเวลาหนึ่ง
ฝ่ายซัวเจ๋งออกจากดงเที่ยวตามหาโป๊ยก่าย เดินมาประมาณทางไกลร้อยเส้นเศษ เที่ยวค้นหาก็ไม่เห็นโป๊ยก่าย ทั้งบ้านช่องผู้คนก็ไม่มี จึงขึ้นยืนบนเนินสูงแลไปดู ก็ได้ยินเสียงในพุ่มไม้รกมีเสียงคนพูด ซัวเจ๋งจึงรีบเดินเข้ามาใกล้ เอาไม้กระบองแหวกหญ้ารกดู ก็เห็นโป๊ยก่ายนอนหลับสนิทไม่รู้สึกตัว ปากก็ละเมอพูดเลอะเทอะไม่ได้ศัพท์ ซัวเจ๋งเข้าไปจับใบหูดึงขึ้น เรียกว่าอ้ายหมูป่าอาจารย์ใช้ให้ไปบิณฑบาตร ทำไมจึงมานอนซุกซ่อนหลับอยู่อย่างนี้
โป๊ยก่ายตกใจตาลีตาลานลุกขึ้นถามว่าเวลานี้กี่โมงแล้ว ซัวเจ๋งบอกว่าท่านให้ไปบิณฑบาตรเข้า ๆ ก็ไม่ได้แล้วจะไปหาที่ไหน จงกลับไปหาท่านก่อน โป๊ยก่ายก็กะหืดกะหอบมากับซัวเจ๋ง ตัดทางเดินตรงมาในดงที่หยุดนั้น ครั้นถึงที่พักแลไปก็ไม่เห็นพระอาจารย์ ซัวเจ่งไม่เห็นอาจารย์ก็โกรธโป๊ยก่าย จึงพูดว่าเพราะอ้ายชาติหมูนี่แหละไปซุ่มหลับเสียจึงกระทำให้ช้าการ ปีศาจและยักษ์ร้ายมันคงจะจับเอาอาจารย์ไปเสียแล้ว
โป๊ยก่ายหัวเราะว่าในดงนี้เป็นที่ชัยภูมิดี ปีศาจผียักษ์ที่ไหนจะมี นี่เห็นพระอาจารย์จะเที่ยวเดินชมป่าเล่นเพื่อแก้รำคาญดอกกระมัง เราทั้งสองเดินตามไปดูก่อนเถิด พูดกันแล้วโป๊ยก่ายจูงม้า ซัวเจ๋งเอาหาบใส่บ่าก็พากันเดินออกจากดง ตรงมายังทิศอาคเนย์เดินไปมองหาไปก็ไม่เห็น บัดเดี๋ยวแลไปก็เห็นมีรัศมีออกสว่างไสว โป๊ยก่ายแลเห็นดังนั้นจึงพูดว่า ที่ตรงนั้นมีพระเจดีย์คงจะมีวัดวาอารามเป็นแน่ พระอาจารย์เห็นจะไปฉันข้าวในวัดนั้นดอกกระมัง เราพากันเข้าไปดูเพื่อจะพบท่าน
ซัวเจ๋งว่าเรายังไม่แนใจว่าจะร้ายหรือดี เราจงดูข้างนอกก่อน คนทั้งสองก็พากันเดินเข้ามายังประตูใหญ่ ครั้นถึงเห็นบนประตูใหญ่มีอักษรจารึกไว้หกตัวว่า ถ้ำ (อั๊วจื๊อปอง้วยต๋อง) ซัวเจ๋งจึงพูดว่า ที่นี่ไม่ใช่วัดวาอารามเป็นที่ปีศาจยักษ์ร้ายอยู่ อาจารย์ของเราเห็นจะอยู่ในนี้เป็นแน่ โป๊ยก่ายว่าพี่จะไปถามดู มือถือคราดเหล็กเดินมายังประตูแล้วตะโกนเรียกว่าใครอยู่ในนั้นช่วยเปิดประตูรับด้วย
พวกปิศาจน้อยได้ยินเสียงคนเรียก จึงวิ่งมาเปิดประตู แลไปก็เห็นสองคนรูปร่างประหลาดก็รีบกลับเข้าไปบอกใต้อ๋องว่า อ้ายสองคนมาแล้ว ปีศาจยักษ์ถามว่าสองคนไหน ปีศาจน้อยบอกว่าอยู่นอกคนหนึ่งปากยาวหูใหญ่คนหนึ่งหน้าสีหมอกหัวผมรุงรัง มันร้องเรียกให้เปิดประตูรับ ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีพูดว่า อ้ายสองคนนี้คือโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งมันมาตามอาจารย์ของมัน หน้าตามันดุร้ายอยู่ เราจะทำหละหลวมแก่มันนั้นเห็นจะไม่ได้ คิดเห็นดังนั้นแล้วจึงเรียกเอาเครื่องแต่งตัวมาแต่ง มือถืออาวุธมีดง้าวเดินออกมายังประตู
โป๊ยก่ายซัวเจ๋งเห็นปีศาจหน้าตาดุร้าย แลท่าทางเหี้ยมห้าวหาญแข็งแรง สีหน้าเขียวมีเขี้ยวหนวดสีชมภูผมแดงดังชาด
สวมเกราะทองแดงมือถือมีดดาบ ชื่อนั้นเรียกว่า (อึ่งเพ้าใต้อ๋อง) เมื่ออึ่งเพ้าใต้อ๋องออกมาถึงประตูแล้วจึงมีคำถาม
ว่า พวกเจ้ามาแต่ไหนจึงบังอาจมาทำฮึกฮักดังนี้ จงเร่งบอกมาโดยเร็ว
โป๊ยก่ายได้ยินถามดังนั้น จึงตอบว่าอ้ายทารก
มึงจำไม่ได้หรือ เราคือพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้พระอาจารย์เราไปอาราธนาพระธรรมยังมัชฌิมประเทศ
อาจารย์เราเป็นน้องพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ถ้าอยู่ในถ้ำนี้ขอให้ส่งมาโดยเร็ว มิฉะนั้นเราจะเอาคราดเหล็กตีกระหนาบ
เข้าไป
อึ่งเพ้าใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าจริงมีสงฆ์รูปหนึ่งอยู่ในถ้ำเรา เราไม่มีความรังเกียจทุกเวลาก็จง
รักภักดี เราทำโต๊ะเนื้อคนเลี้ยงทุกเช้าเย็น พวกเจ้าอยากกินก็เข้ามาจะให้กินสักก้อนหนึ่ง จะได้รู้รสชาติว่ามันอร่อย
อย่างไร โป๊ยก่ายคิดว่าจริงจะใคร่เข้าไป ซัวเจ๋งวิ่งมายึดไว้ถามว่าพี่กินเนื้อคนเมื่อไร โป๊ยก่ายจึงนึกขึ้นได้มีความโกรธ
ยิ่งนัก จับคราดตรงเข้าสับลงที่ศรีษะปีศาจอึ่งเพ้า ๆ หลบทันก็เข้าต่อสู้กันเป็นสามารถ คนทั้งสองต่างแผลงอิทธิฤทธิ์
เหาะขึ้นรบกันบนอากาศ ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็วางหาบปล่อยม้า ชักไม้พลองเหล็กเหาะขึ้นไปตามช่วยโป๊ยก่ายรบระดม
ต่อสู้กันเป็นสามารถยังหาแพ้ชนะกันไม่
( บทที่ ๒๙)
โป๊ยก่ายซัวเจ๋งต่อสู้แก่ปีศาจอึ่งเพ้าได้สามสิบเพลง โดยเหตุบุญบารมีของพระถังซัมจั๋ง ที่จะยังไม่ถึง
แก่ชีวิตอันตราย จึงบันดาลมิให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งแพ้แก่อึ่งเพ้าปีศาจ เทพยดาคอยรักษาโป๊ยก่ายซัวเจ๋งอยู่
ฝ่ายหลวง
จีนถังซัมจั๋ง ต้องมัดอยู่ในถ้ำนั้นกำลังร้องไห้โศกเศร้าอยู่ แลไปเห็นหญิงคนหนึ่งเดินออกมายืนอยู่ข้างพระถังซัมจั๋งถาม
ว่า เธอนี้อยู่ที่ไหน เหตุใดจึงได้มาต้องมัดอยู่อย่างนี้ พระถังซัมจั๋งได้ยินถามดังนั้น จึงพิเคราะห์ดูหญิงนั้นอายุ
ประมาณสามสิบปีเศษ จึงตอบว่าอาตมภาพก็ถึงที่ตายแล้ว มาถึงที่ของสีกาแล้วจะกินเนื้อก็กินเสียเถิด จะถามอะไร
ไปทำไมให้เนิ่นช้าไปเล่า
หญิงนั้นจึงบอกแก่พระถังซัมจั๋งว่า ข้าพเจ้ามิใช่ผีปีศาจดอก บ้านข้าพเจ้าจากที่นี่ไปสามร้อย
โยชน์ที่ตำบลนั้นมีเมืองหนึ่งเรียกว่า (โป๊เชียงก๊ก) ข้าพเจ้านี้คือพระราชบุตรีที่สามชื่อข้าพเจ้าเรียกว่า (แป๊ะฮ่อง
เซียว) เหตุเมื่อหน้าก่อนสิบสามปี เดือนสิบขึ้นสิบห้าค่ำออกมายังสวนดอกไม้ชมเดือนและดอกไม้ อ้ายปีศาจตนนี้มัน
ทำลมพายุมืดฟ้ามัวฝน แล้วพัดหอบเอาข้าพเจ้ามาเป็นผัวเมียแก่มันสิบสามปีแล้ว มีบุตรชายบุตรหญิงสองคนก็ไม่มี
ข่าวคราวไปถึงเมืองได้ พระราชบิดามารดาก็มิได้เห็นหน้าสิบสามปีแล้ว ก็ตัวของท่านเหตุใดมันจึงจับมาได้
หลวงจีนถังซัมจั๋งตอบว่า อาตมภาพนี้ถือรับสั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จะไปประเทศไซที
อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บังเอินหลงเข้ามาในที่นี่ปีศาจจึงได้จับอาตมภาพได้ ยังจะคอยจับสานุศิษย์ทั้งสองมา
พร้อมกันแล้ว จึงจะได้ต้มกินเสียด้วยกันทั้งสามคน
ฝ่ายก๋งจู๊ได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น หัวเราะแล้วพูดว่า แม้ว่า
ท่านจริงใจจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกแน่แล้ว ข้าพเจ้าจะช่วยท่านได้ ที่เมืองโป๊เชียงก๊กนั้น ตรงหนทางที่ท่านจะไป
ท่านสงเคราะห์ข้าพเจ้านำหนังสือข่าวนี้ไปให้พระราชบิดาข้าพเจ้าทราบได้ ข้าพเจ้าจะขอปีศาจให้ปล่อยท่านไป
พระถังซัมจั๋งได้ฟังก๋งจู๊พูดดังนั้นจึงพูดว่า แม้ก๋งจู๊ช่วยอาตมภาพได้ อาตมภาพจะรับนำหนังสือนั้นไปให้ ก๋งจู๊ได้ฟังพระ
ถังซัมจั๋งรับอาสาดังนั้น จึงกลับเข้าไปหยิบกระดาษมาเขียนหนังสือเสร็จแล้วก็เข้าผนึกเดินออกมาแก้มัดพระถังซัมจั๋ง
ส่งหนังสือฉบับนั้นให้พระถังซัมจั๋ง ๆ รับหนังสือนั้นมาแล้วพูดว่า อาตมภาพขอบคุณก๋งจู๊ได้ช่วยให้รอดพ้นจากความ
ตาย เมื่ออาตมภาพไปถึงเมืองจะนำเข้าไปถวาย แต่อาตมภาพยังวิตกว่า ก๋งจู๊พลัดพรากมาหลายปีแล้วบางทีพระ
ราชบิดาจะจำไม่ได้ ก๋งจู๊อย่าสงสัยว่าอาตมภาพจะพูดกลับกลอก
ก๋งจู๊ว่าข้อนั้นท่านอย่าวิตกเลย เพราะพระราชบิดานั้น
มีบุตรีสามคน ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้อง แม้หนังสือไปถึงแล้วพระราชบิดาก็จำได้ พระถังซัมจั๋งรับหนังสือใส่มือเสื้อแล้วก็
ลานางก๋งจู๊เดินออกไปหน้าถ้ำ ก๋งจู๊จึงห้ามว่าท่านอย่าออกไปทางหน้าถ้ำ ที่หน้าถ้ำปีศาจกับศิษย์ของท่านกำลังรบ
ต่อสู้กันอยู่ ท่านจงออกไปทางหลังถ้ำไปแอบซุ่มตัวอยู่ตามพุ่มรกก่อน ไว้ให้ข้าพเจ้าเกลี้ยกล่อมขอร้องเขาก่อนแล้ว
จึงให้สานุศิษย์ไปตามจะได้พร้อมกันไป
พระถังซัมจั๋งได้ฟังก๋งจู๊พูดแนะนำดังนั้นก็เห็นชอบด้วยจึงลานางออกไปทาง
หลังถ้ำ ก๋งจู๊เห็นพระถังซัมจั๋งพ้นไปแล้วจึงกลับเดินออกไปยังหน้าถ้ำคิดอุบายได้ประการหนึ่ง
ในเวลานั้นก่งจู๊ออกมายืนยังหน้าถ้ำได้ยินเสียงอึกระทึกอยู่กลางอากาศ แลเห็นโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋ง
กำลังรบกับอึ่งเพ้า ก๋งจู๊เรียกว่าอึ่งเพ้าใต้อ๋องลงมาก่อน
อึ่งเพ้าใต้อ๋องได้ยินเสียงเรียกดังนั้นก็ผละโป๊ยก่ายซัวเจ๋งลดลงยังปากถ้ำเดินมาถามก๋งจู๊ว่ามี
ธุระอะไรหรือ
ก๋งจู๊จึงบอกว่าข้าพเจ้ากำลังหลับอยู่ในห้องฝันไปว่าเจ้ากิมกะมา อึ่งเพ้าว่าเจ้ากิมกะ
พูดว่ากระไรหรือ ก่งจู๊บอกว่าเมื่อข้าพเจ้ายังเยาว์อยู่ปักเสาไว้อธิษฐานว่า แม้ข้าพเจ้าเติบใหญ่ไปข้าง
หน้า มีสามีชื่อเสียงปรากฎฤทธาอานุภาพยิ่งกว่าคน ข้าพเจ้าจะทำสังฆทานแลกุศลต่าง ๆ บัดนี้
มาร่วมรักกับใต้อ๋องเป็นสามีภรรยากัน ข้าพเจ้าก็หานึกได้ไม่ เจ้ากิมกะมาทวงตามซึ่งข้าพเจ้าได้
อธิษฐานไว้นั้นแล้ว ตวาดข้าพเจ้าก็ตกใจตื่นจะมาบอกแก่ใต้อ๋อง เดินออกมาจากห้องก็มาพบพระ
สงฆ์ต้องผูกมัดอยู่กับเสา ขอใต้อ๋องได้กรุณาแก้พระสงฆ์ปล่อยไปเถิด เปรียบเหมือนใต้อ๋องช่วย
แก้ความอธิษฐานของข้าพเจ้านั้น แต่ยังไม่ทราบว่าใต้อ๋องจะเห็นควรหรือไม่
อึ่งเพ้าใต้อ๋องได้ฟังนางก๋งจู๊พูดดังนั้น จึงพูดว่าก่งจู๊ทำไมจะต้องสงสัยให้มากความไปเล่า ข้าพเจ้าจะ
ใคร่กินเนื้อแม้ว่าก๋งจู๊ได้อธิษฐานไว้พระสงฆ์ที่จับได้นั้นตามแต่จะปล่อยไปเถิด แต่ให้ไปทางหลังถ้ำก็แล้วกัน ก๋งจู๊
เห็นอึ่งเพ้ายกให้ดังนั้นก็มีความดีใจจึงเดินเข้าไปในถ้ำ อึ่งเพ้าก็เดินออกมาทางหน้าถ้ำตะโกนร้องเรียก โป๊ยก่ายซัวเจ๋ง
บอกว่า เจ้าทั้งสองจงลงมานี่ก่อน แต่มิใช่ข้าจะยอมแพ้ฝีมือเจ้าดอกเพราะข้าเห็นแก่ภรรยาของข้า บัดนี้อาจารย์ของเจ้า
ข้าพเจ้าปล่อยออกไปข้างหลังถ้ำแล้ว จงรีบไปหาจะได้พากันไปโป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ฟังอึ่งเพ้าร้องดังนั้น ก็ตกใจลดลงยัง
พื้นรีบไปยกหาบจูงม้าตัดข้ามไปทางหลังถ้ำร้องเรียกว่าพระอาจารย์อยู่ที่ไหน
ฝ่ายพระถังซัมจั๋งซ่อนอยู่ในรก
ครั้นได้ยินเสียงร้องเรียกก็จำได้ จึงขานว่าอาตมอยู่นี่
ซัวเจ๋งก็แหวกหญ้าเข้าไปรับอาจารย์ออกมาให้ขึ้นม้าแล้วรีบเดินไป โป๊ยก่ายนำทางซัวเจ๋งหาบตาม
มาข้างหลัง ตัดเนินออกจากดงเข้าทางใหญ่รีบไป โป๊ยก่ายซัวเจ๋งทั้งเดินทั้งทะเลาะกันไปตามทางไม่หยุด พระถังซัม
จั๋งเห็นดังนั้นก็ห้ามคนทั้งสองมิให้ทะเลาะกัน
เมื่อออกจากอึ่งเพ้าเล้ว เช้าก็ออกเดินค่ำก็หยุดพักเดินมาได้ประมาณสามร้อยโยชน์ แลไปข้างหน้าก็
เห็นกำแพงเมือง คือเมืองเชียงโป๊ก๊ก พิศดูชัยภูมิงดงาม เดินไปดูไม่รู้สิ้นซึ่งสิ่งอันประหลาดต่าง ๆ ครั้นเดินเข้าไป
ในเมืองแล้วถึงศาลาพักแห่งหนึ่ง อาจารย์กับศิษย์ก็พากันเข้าพักอาศัยอยู่ในศาลา หลวงจีนก็หยิบเอาหนังสือที่ก๋ง
จู๊ฝากมานั้น เดินเข้าไปถึงประตูเมืองชั้นในบอกแก่ผู้เฝ้าประตูว่าบัดนี้มีพระสงฆ์อยู่เมืองใต้ถังจะขอเข้าไปเฝ้าพระ
เจ้าแผ่นดิน ขอท่านได้ช่วยนำความกราบทูลให้ทรงทราบ
ฝ่ายขุนนางกรมวังผู้เฝ้าประตูได้ฟังพระถังซัมจั๋งบอก
ดังนั้น ก็รีบนำความเข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า บัดนี้มีพระสงฆ์มาจากเมืองใต้ถังจะขอเข้ามาเฝ้า ฝ่ายเจ้า
เมืองเชียงโป๊ก๊กได้ฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น จึงรับสั่งให้นิมนต์พระถังซัมจั๋งเข้าไปเฝ้า ขุนนางก็ออกไปนิมนต์พระถัง
ซัมจั๋งเข้าไปเฝ้า พระถังซัมจั๋งทำกิริยาคำนับแล้วก็นั่งที่อันสมควร
ในเวลานั้นขุนนางเฝ้าอยู่พร้อมกัน พากันสรรเสริญพระถังซัมจั๋งว่าพระสงฆ์มาจากเมืองบนมีกิริยา
เรียบร้อยงามดี
เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กจึงตรัสถามพระถังซัมจั๋งว่า ท่านมีธุระอย่างไรหรือ จึงได้มาถึงเมือง
ข้าพเจ้า พระถังซัมจั๋งตอบว่าอาตมภาพเป็นสมณะอยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าแผ่นดินให้อาตมภาพ
ไปเมืองไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมมีหนังสือเดินทางตามธรรมเนียม จะต้องเอามาเปลี่ยน
เพราะฉะนั้นอาตมภาพจึงต้องเข้ามาเฝ้าพระองค์ขอความกรุณาได้โปรด จึงเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กตรัสว่า
แม้มีหนังสือเดินทางของพระเจ้าแผ่นดินถังมาท่านจงเอาให้ดูก่อน
พระถังซัมจั๋งก็ถวายหนังสือเจ้าเมือง
เชียงโป๊ก๊กรับแล้วคลี่ออกอ่านดูใจความมีว่า ในมหาชมพูทวีปนี้เมืองใต้ถังเมืองใหญ่มีหนังสือเดิน
ทางฉบับหนึ่ง ด้วยพระองค์ได้เสวยราชสมบัติปกครองอาณาประชาชนโดยยุติธรรม ไพร่บ้าน
พลเมืองมีความสุขความเจริญ เพราะผิดด้วยไฮ้เล่งอ๋องครั้นเมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว วิญญาณจิต
ของพระองค์ลงไปยังเมืองนรก ได้เที่ยวทอดพระเนตรตามขุมนรก ได้เห็นซึ่งสัตว์นรกที่มีกรรม
เวร ทรมานอยู่ทุกข์ต่าง ๆ พระยามัจจุราชได้สั่งให้ยมบาลพาพระองค์กลับมาส่งยังเมืองมนุษย์
เพราะฉะนั้นพระองค์จึงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ตั้งพิธีทำมหากุศล เหตุนี้
พระโพธิสัตว์กวนอิมเสด็จปาฏิหารย์มาชี้นำว่า พระไตรปิฎกธรรมในประเทศไซที ถ้าได้มาแล้วตั้งพิธี
จึงจะช่วยบรรเทาบรรเทากรรมของสัตว์นรกให้ปลดเปลื้องเบาบางออกไปได้ เพราะฉะนั้นจึงให้
พระสงฆ์เหี้ยนจึงตั้งความเพียรอุตสาหะมากว่าจะถึงแม้ว่าพระถังซัมจั๋งไปถึงเมืองใดในประเทศตะวัน
ตก แม้ว่าท่านเจ้าเมืองใดตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมแล้ว ได้ทราบหนังสือฉบับนี้ขอให้ท่านประทับตรา
ส่งต่อ ๆ ไปในฉบับนั้นมีลายพระราชหัตถ์เซ็นว่า พระเจ้าเจงกวนเสวยราชได้สิบสามปีและประทับ
ตราเก้าดวง
เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กทอดพระเนตรจบแล้ว จึงประทับตราของพระองค์ลงในหนังสือฉบับนั้น
เป็นสำคัญ แล้วจึงส่งให้พระถังซัมจั๋งไป
พระถังซัมจั๋งรับหนังสือแล้ว จึงถวายพระพรว่า ข้อหนึ่งอาตมภาพขอเปลี่ยน
หนังสือเดินทาง ข้อสองอาตมภาพนำข่าวพระราชบุตรีของพระองค์มาถวาย เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กตรัสถามว่าข่าวอะไร
พระถังซัมจั๋งตอบว่าพระราชบุตรีที่สามของพระองค์ บัดนี้ต้องทนทุกข์อยู่ที่ปีศาจอึ่งเพ้าจับไว้ที่เขาอั๊วจื๊อซัวถ้ำปอง้วย
ต๋อง อาตมภาพเดินทางมาทางนั้นจึงได้พบ ก๋งจู๊ได้ฝากหนังสือมาให้พระองค์ทราบ เจ้าเมืองได้ฟังดังนั้น ก็ทรงพระ
กรรแสงตรัสว่า สิบสามปีแล้วมิได้เห็นหน้าและข่าวคราวก๋งจู๊เลย ทำไมท่านจึงรู้ว่าปีศาจยักษ์จับไป
พระถังซัมจั๋งจึง
หยิบเอาหนังสือออกจากมือเสื้อถวายให้ทรงทอดพระเนตร เห็นที่สลักหลังซองข้างนอกว่าเจริญสุข ก็จำได้ว่าเป็น
ลายมือของลูก พระหัตถ์ให้อ่อนเปลี้ยไปจนไม่สามารถจะเปิดผนึกหนังสือออกอ่านได้ จึงรับสั่งให้ขุนนางมาเปิดออก
อ่านดูมีใจความว่า ข้าพเจ้าหญิงกตัญญู คือ แป๊ฮวยเซี้ยวถวายบังคมมายังพระราชบิดาทราบ และฝ่ายในใหญ่
น้อยทั้งหลาย แลฝ่ายหน้าขุนนางทั้งหลายได้ทราบว่า ข้าพเจ้าเป็นหญิงเกิดมา พระคุณของบิดามารดาดุจดังว่าฟ้า
และดิน ข้าพเจ้าก็ยังหาได้ตอบแทนไม่ บังเอิญเมื่อก่อนสิบสามปี เดือนสิบขึ้นสิบห้าค่ำ พระราชบิดามีรับสั่งทั้งฝ่าย
ในฝ่ายหน้าเลี้ยงโต๊ะด้วยความรื่นเริง และชมพระจันทร์ในวันเพ็ญ
ในขณะนั้นก็บังเกิดมืดมนอนธการ พายุใหญ่ มีปีศาจร้ายลงมาอุ้มหอบข้าพเจ้าเหาะขึ้นบนอากาศ
พาไปยังถ้ำ ได้ความคับแค้นแสนสาหัสสุดที่จะแก้ไข ปีศาจจึงได้ข่มขืนร่วมประเวณีมาได้สิบสามปีมีบุตรด้วยปีศาจ
สองคนหญิงหนึ่งชายหนึ่ง เหตุนี้จำใจต้องจำเป็นให้เสียชาติมนุษย์ ซึ่งเป็นการอัปยศอย่างนี้ไม่ควรจะกล่าวให้พระองค์
ทรงฟัง แต่มีความวิตกว่าลูกตายไป เมื่อภายหลังพระบิดาจะมิได้ทราบเรื่องว่าเป็นประการใด ข้าพเจ้าคิดถึงพระบิดา
มารดาและวงศาคณาญาติก็ไม่รู้ที่จะทำประการใด บังเอิญพบพระถังซัมจั๋งอยู่ ณ เมืองใต้ถังเดินมาทางนี้ปีศาจจับ
มัดไว้ ข้าพเจ้าคิดอุบายแก้ไขปล่อยได้ จึงได้ฝากหนังสือบอกข่าวมา เมื่อพระบิดามารดาจะได้ทรงทราบแล้ว คือหา
ทหารที่มีฤทธิ์มาปราบปรามปิศาจที่เขา (อั๊วจื๊อซัวถ้ำปอง้วยต๋อง) จับตัวอึ่งเพ้าให้ได้ช่วยข้าพเจ้าให้ได้กลับบ้านคืน
เมือง ได้เห็นหน้าพระบิดาและมารดาเพื่อได้ฉลองพระเดชพระคุณต่อไป
ครั้นอาลักษณ์อ่านจบสิ้นข้อความแล้ว พระราชบิดาก็ทรงพระกันแสง บรรดาข้าราชการผู้ใหญ่
ผู้น้อย ก็พากันโศกเศร้าถึงเจ้านายที่ต้องตกยากไปอยู่กับปีศาจ ต่างคนมีความสงสารทุก ๆ คน ทั้งฝ่ายในและ
ฝ่ายหน้า จึงมีรับสั่งถามขุนนางใหญ่น้อยทั้งปวงว่า ผู้ใดยังสามารถอาจอาสายกพลโยธาไปต่อสู้ จับตัวปีศาจ
นั้นมาได้บ้าง ให้ข้าพเจ้าแก้แค้นก๋งจู๊ผู้บุตรกลับมาได้ แต่พระองค์ตรัสถามดังนี้ถึงสามครั้ง ก็หามีผู้ใดจะออกปากรับ
อาสาไม่ พระองค์ก็ทรงพระโทมนัสทรงพระกันแสงมากขึ้น ฝ่ายขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย
เมื่อพระเจ้าแผ่นดิน
ทรงพระกรรแสงทุกข์โทมนัสถึงพระราชธิดาดังนั้น จึงพร้อมกันกราบทูลว่าธรรมดามนุษย์เช่นพวกข้าพเจ้าทั้งหลาย
ได้ฝึกหัดเพลงศาสตราอาวุธแลตำรับพิชัยสงครามก็สำหรับจะได้ต่อสู้ เอาชัยชนะแก่มนุษย์ด้วยกัน อันปีศาจยักษ์
เช่นอึ่งเพ้านี้ มีฤทธาอานุภาพเหาะเหินเดินอากาศได้ แลทั้งนิมิตบิดเบือนกายเป็นลมและเป็นไฟได้ จำเป็นจะต้องคิด
หาผู้วิเศษเช่นพระถังซัมจั๋ง โดยเหตุว่าหนทางที่จะมาจากทิศตะวันออกจากเมืองใต้ถัง ถ้ามิใช่ผู้มีอภินิหารย์บุญญา
บารมีมากแล้ว ก็จะไม่สามารถจะมาได้ถึงเพียงนี้ เพราะฉะนั้นพระถังซัมจั๋งคงจะมีศิษย์หาที่ดีมีฤทธิ์ปราบปีศาจได้บ้าง
มีคำสุภาษิตพูดไว้ว่า มาทางใดต้องเอาทางนั้นแก้ ขอพระองค์ได้นิมนต์พระถังซัมจั๋งให้ช่วยปราบปีศาจให้ ก็คงจะ
ช่วยนางก๋งจู๊ให้คืนมาได้ ขอพระองค์จงได้ทรงพระดำริเถิด หากจะสำเร็จได้เป็นแน่
พระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊ก ได้ทรงฟังขุนนางกราบทูลดังนั้น จึงเบือนพระพักตร์มาตรัสแก่พระ
ถังซัมจั๋งว่า ถ้ากระนั้นนิมนต์ท่านช่วยโยมกำจัดปีศาจยักษ์ แก้ก๋งจู๊บุตรโยมให้กลับมาเมืองแล้ว ท่านไม่ต้องไปไซที
ให้ลำบาก เรากับท่านผูกสมัครรักกันเหมือนญาติ อยู่รับความสุขสำราญมิดีหรือ
พระถังซัมจั๋งได้ฟังเจ้าแผ่นดินตรัส
ดังนั้น จึงพูดว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ อาฒภาพเป็นสมณะประกอบกิจวัตรสวดมนต์ไหว้พระเท่านั้น การที่จะ
ปราบปีศาจยักษ์ร้ายหารู้ไม่ เจ้าเมืองจึงถามว่า ท่านไม่มีฤทธิ์อานุภาพทำไมท่านจึงอาจสามารถมาประเทศไซที
ได้ พระถังซำจั๋งตอบโดยความจริงว่า อาตมภาพมีศิษย์สองคน คอยรักษาอาตมภาพจึงได้มาถึงนี่ พระเจ้าแผ่นดิน
เชียงโป๊ก๊ก จึงรับสั่งให้หาโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งเข้ามาในที่เฝ้า
พระถังซัมจั๋งจึงถวายพระพรว่า สานุศิษย์สองคนนั้น รูป
ร่างหยาบช้ารุงรัง อาตมภาพวิตกว่าให้เข้ามาในพระราชวังแล้ว คนทั้งหลายจะพากันหวาดเสียว ทั้งพระองค์ก็จะ
ตกพระทัย พระเจ้าแผ่นดินตรัสว่า เมื่อได้บอกให้ทราบแล้วดังนี้ก็ไม่ต้องวิตกอะไรดอก จึงโปรดรับสั่งให้ขุนนางถือ
ป้ายทองคำออกไปรับโป๊ยก่ายซัวเจ๋งยังศาลา โป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ทราบดังนั้น ก็เก็บข้าวของและม้าฝากมอบไว้แก่
คนที่รักษาศาลาแล้ว โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ต่างถืออาวุธสำหรับมือ ตามขุนนางเข้าไปในพระราชวัง
ครั้นถึงหน้าพระที่นั่ง
โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็คำนับแล้วก็ยืนสองข้าง ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดิน ทอดพระเนตรเห็นคนทั้งสองมีลักษณะหน้ากลัวดังนั้น
ในพระทัยก็ให้หวาดเสียวทรงนิ่งไปเป็นครู่ จึงตรัสถามว่าท่านทั้งสองท่านผู้ใดเข้าใจในการปราบปีศาจยักษ์มารได้
โป๊ยก่ายได้ยินถามดังนั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเข้าใจเคยปราบได้ พระเจ้าแผ่นดินถามว่าท่านทำประการใดในวิธี
ปราบปีศาจจึงปราบได้ โป๊ยก่ายตอบว่าข้าพเจ้าอยู่บนสวรรค์ เป็นที่ขุนนางพ่องง้วนเส้ย เพราะมีโทษทำผิดจึงต้อง
ลงมาตามโทษอยู่ในทางสัมมาปฏิบัติ ตั้งแต่เมืองใต้ถังมาถึงนี่ข้าพเจ้านี่แลปราบปีศาจที่หนึ่ง
เจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กจึงตรัสว่า ถ้ากระนั้นก็เป็นทหารบนฟ้าลงมาดินคงจะเปลี่ยนแปลงกายได้
โป๊ยก่ายทูลว่าการเปลี่ยนแปลงก็ทำได้แต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง เจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กว่าขอเชิญ
ท่านแปลงให้ดูสักหน่อยเถิด โป๊ยก่ายว่าจะโปรดให้แปลงเป็นอะไรขอให้ทราบก่อน จะได้ทำตาม
ต้องการ เจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กว่าขอให้แปลงตัวให้สูง
อันที่จริงโป๊ยก่ายแปลงตัวได้ถึงสามสิบหกอย่าง เมื่อได้ฟังเจ้าแผ่นดินบอกดังนั้น โป๊ยก่ายร่ายพระ
คาถาร้องเสียงดังว่าสูงตัวนั้นก็สูงแปด เก้า วา รูปร่างดุจปีศาจขุนนางทั้งหลายเมื่อได้เห็นดังนั้น ก็
พากันตกใจตัวสั่นไปทุกคน มีขุนนางฝ่ายทหารผู้หนึ่ง ถามว่าท่านแปลงได้เท่านี้แลหรือ ๆ จะสูง
เพียงใดได้อีก โป๊ยก่ายว่าดูตามสายลม ถ้าลมตะวันออกยังปกติไม่เปนไร ถ้าลมตะวันตกก็ยัง
ไม่เป็นไร แม้ว่าลมทิศอาคเนย์มาก็หอบทั้งท้องฟ้าได้
พระเจ้าแผ่นดินได้ยินโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็ร้อง
ห้ามว่าท่านอย่าแปลงเลย โป๊ยก่ายจึงร่ายพระคาถาลดตัวให้เล็กลงตามเดิม
พระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กเห็นดังนั้นก็มีความยินดีเป็นที่สุด จึงเรียกขันธีให้เอาสุรามารินรางวัลให้
โป๊ยก่ายถ้วยหนึ่ง โป๊ยก่ายรับแล้วก็ดื่มหมดถ้วย เจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กพูดว่านี่ข้าพเจ้ารางวัล ต่อ
เมื่อช่วยก๋งจู๋มาได้แล้วจะรางวัลเงินทองให้ยิ่งกว่านี้
โป๊ยก่ายพอดื่มสุราแล้วก็เหาะลอยไปในอากาศ เจ้าแผ่นดินเห็นดังนั้นก็สรรเสริญว่าท่านเหาะเหินได้
โป๊ยก่ายเหาะไปแล้วซัวเจ๋งดื่มสุราแล้วก็เหาะลอยขึ้นกลางอากาศตามไป พระเจ้าแผ่นดินเห็นดังนั้นก็ตกใจร้องห้าม
ว่าท่านถังซัมจั๋งอย่าเพิ่งเหาะไปก่อนนิมนต์นั่งสนทนากับข้าพเจ้าก่อน
พระถังซัมจั๋งว่าอาตมภาพนี้เหาะได้แต่แค่ยอดหญ้า
จะย่างก้าวก็ไม่ได้จะเหาะไปข้างไหนได้ ในเวลานั้นพระถังซัมจั๋งกับพระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กนั่งสนทนากันอยู่ในพระ
ราชวัง ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋งเหาะไปบัดเดี๋ยวก็ถึงปากถ้ำจึงลดลงยังพื้นแล้วก็เดินเข้าไปยังประตูถ้ำเอาคราดเหล็กสับ
ขุดประตูถ้ำล้มลงทั้งสิ้น พวกปีศาจที่เฝ้าประตูเห็นดังนั้นก็พากันวิ่งเข้าไปในถ้ำ บอกว่าใต้อ๋องได้ทราบเถิด
บัดนี้อ้ายปากยาวหูใหญ่กับอ้ายสีหมอกมันมาขุดรื้อประตูทลายลงหมดแล้ว
อึ่งเพ้าได้ฟังดังนั้นก็ตกใจเอาเกราะสวม
ตัวเสร็จแล้วมือถือมีดดาบรีบเดินออกมายังปากถ้ำ ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่าข้าปล่อยอาจารย์เจ้าไปแล้ว เหตุใด
จึงกลับมาทำสามารถดังนี้ โป๊ยก่ายตอบว่าอ้ายปีศาจเอ็งไม่มีความดี ทำอิทธิฤทธิ์อานุภาพลอบลักบุตรหญิงที่สาม
ของเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กมาข่มขืนเป็นเมียถึงสิบสามปีแล้ว บัดนี้กูรับอาสามาจะจับตัวมึง ๆ รักตัวกลัวตายจงเร่งส่งนางโดยเร็วเถิดกูจะไว้ชีวิต
อึ่งเพ้าได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็ยิ่งมีความโกรธเป็นกำลัง ยกมีดขึ้นฟันโป๊ยก่ายหลบทันก็ยกคราด
เหล็กขึ้นรับรองต่อสู้กัน ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็จับไม้พลองเหล็กวิ่งตามมาระดมตีอึ่งเพ้า รบกันครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน
อึ่งเพ้า โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งตลบตะแลงต่อสู้กันที่บนเนินเขา โดยสามารถได้แปดสิบเพลงโป๊ยก่ายกำลังล้าลงท่าจะ
เอาชัยชนะไม่ได้ รบคราวนี้สู้อึ่งเพ้าไม่ได้ เพราะคราวก่อนมีเทวดาช่วยเป็นกำลัง คราวนี้เทพยดาติดตามรักษาพระ
ถังซัมจั๋งอยู่เมืองเชียงโป๊ก๊ก เพราะฉะนั้นโป๊ยก่ายซัวเจ๋งจึงสู้อึ่งเพ้าไม่ได้ โป๊ยก่ายเห็นกำลังตัวอ่อนลงจึงร้องให้ซัว
เจ๋งสู้ไปก่อน ไว้พี่พักประเดี๋ยวพูดดังนั้นแล้วก็ผละทิ้งให้ซัวเจ๋งรบ วิ่งมุดแอบเข้ารกนอนเสียไม่ออกมารบ
ฝ่ายอึ่งเพ้า
ปิศาจ เห็นโป๊ยก่ายหนีแล้ว ก็ออกกำลังรบซัวเจ๋ง ๆ กำลังน้อยอ่อนพลาดท่าอึ่งเพ้ากระโจนเข้าจับตัวได้เอา
เข้ามาในถ้ำ แล้วเอาเชือกมาขึงพืดถ่างไว้ทั้งเท้าแลมือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น